ศาสตร์พระราชา หอ้ งสมดุ ประชาชน “เฉลมิ ราชกมุ ารี” อาเภอวังทรายพนู กศน.อาเภอวังทรายพนู สานักงาน กศน.จังหวดั พจิ ิตร
ศาสตรพ์ ระราชา ศาสตร์พระราชา คือ ศาสตร์การจัดการและการอนุรักษ์ดิน น้า ป่า ท่ีพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมพิ ลอดลุ ยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงศึกษา คิดค้น และวิจัย แล้วพระราชทานให้กับปวงชนชาวไทย เพ่ือใช้ ในการจัดการลุ่มน้า ตังแต่ต้นน้า กลางน้า สู่ปลายน้า จากภูผาสู่มหานที เมื่อน้าองค์ความรู้นีมาปฏิบัติตามหลักปรัชญา เศรษฐกิจพอเพียงและทฤษฎใี หม่ จะน้าไปสกู่ ารพ่ึงพาตนเองและการพฒั นาอยา่ งยง่ั ยืน “คนไทยมปี ัญหาพระราชากท็ รงคิดหาทางแก้ไขโดยศาสตร์พระราชา” มีค้ากล่าวถึง “ศาสตร์พระราชา” มานานหลายปีท่ีผ่านมา เช่น ศาสตร์พระราชาสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน, ศาสตร์พระราชาสูก่ ารพัฒนาทีย่ ัง่ ยนื , ศาสตร์พระราชาจากภูผาสู่มหานที ซ่ึงในต่างประเทศต่างทราบว่าเป็นแนวคิดตาม แนวพระราชดา้ ริขององค์พระบาทสมเดจ็ พระเจ้าอย่หู ัวภมู ิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9 ในความคิดแวบหนึ่งคนไทยนี่ช่างโชคดี ท่ีเจอปัญหาอะไร พระราชาของเราก็หาทางแก้ไขไว้ให้ มีค้าถามว่า “คนไทยรู้จักศาสตร์ของพระราชาดีแค่ไหน และเคยน้าไปปฏิบัติกันหรือยัง” มาเริ่มต้นที่ตัวเรา และต่อไปก็คนรอบข้าง แลว้ ขยายออกวงกลางไปสู่สงั คมและประเทศชาตใิ นท่สี ดุ ตัวอย่างปัญหาเช่น ทุกครังท่ีคนไทยมีปัญหา น้าเสีย น้าท่วมดินถล่ม ไฟป่า พระองค์ท่านก็จะคิดศาสตร์มา แก้ไข เมอื่ ประเทศไทยฝนแลง้ พระองค์ทา่ นก็มศี าสตร์ในการท้าฝนเทยี ม หรือ ฝนหลวง ที่เรียกวา่ “ฟากฟา้ ลงภูผา ผ่านทุ่ง นาสู่มหานที” เมื่อประชาชนชาวกทม.น้าท่วม พระองค์ท่านก็คิดศาสตร์ท่ีชื่อว่าโครงการแก้มลิง ท่ีคลองมักกะสัน เพ่ือ
แก้ไขปญั หา โครงการขุดคลองลดั โพธ์ิ หรือ การแกไ้ ขปัญหาน้าเสีย ใช้ผกั ตบชวาท่ีเรยี กว่า “ใชอ้ ธรรมปราบอธรรม” (The use of vice to defeat vice) และกม็ กี งั หนั ชัยพฒั นา เตมิ ออกซิเจน มคี า้ ถามหน่ึงว่า “ทา้ ไมคนไทยรักพระราชาของเขาไดม้ ากขนาดยอมตายแทนได้” ค้าตอบก็คือพระราชา ทรง หว่ งใยประชาชนของพระองค์ และท้าเพอ่ื บา้ บัดความทุกข์ทุกอย่างของประชาชนตลอดระยะเวลาที่ทรงครองราชย์ กว่า 70 ปี จึงเป็นหนา้ ท่ีของคนไทยทีต่ อ้ งศกึ ษาศาสตรแ์ หง่ พระราชา และชว่ ยกันดา้ เนินการตามรอยพระบาท หรือ “การเดิน ตามรอยเท้าพอ่ ” ทต่ี ้องศึกษาแนวทาง ท่พี ระองค์ทา่ นไดท้ รงงานและวางแนวทางหาหนทางแก้ไขปัญหาของประชาชนไว้ ที่ทกุ คนรู้จักกนั ในนาม “ศาสตรพ์ ระราชา” หรือ “ศาสตรแ์ ห่งพระราชา” ในแงแ่ นวคิด ปรชั ญา และการปฏิบัตินนั “การรักพระราชาของเรา” นันก็คือการปฏิบตั บิ ูชาตามค้าสอน หาก คนไทยทุกคน ช่วยกันท้า กันปฏิบัติ และขยายผลการปฏิบัติให้กว้างขวาง จะยิ่งเกิดผลดีในการปฏิบัติ “เชิงสัญลักษณ์” มากขนึ ทปี่ กตเิ หลา่ บรรดาข้าราชการและพสกนิกรท่ัวไปทุกคนก็ได้ท้ากันอยู่แล้ว เช่น ค้าขวัญ สโลแกน ที่เขียนขึนป้าย ตดิ เสือ ติดรถ ต่าง ๆ อาทิ “เราเกดิ ในรัชกาลท่ี 9” ซึ่งเรียกรวมๆกันวา่ “ปฏิบัติบูชา” ช่วยกันท้า สังคมก็จะดีย่ิงขึน การ เขียนให้ดูสวยดดู ีดเู ท่ห์ แต่ไมช่ ว่ ยกันทา้ ช่วยกนั ปฏิบตั ิ กจ็ ะไมเ่ รียกวา่ “รกั พระองคท์ ่านอยา่ งแท้จริง”
การนาหลกั ปรัชญาของเศรษฐกจิ พอเพยี งไปประยกุ ต์ใช้ในการบรรลเุ ปา้ หมายการพฒั นาทยี่ ง่ั ยนื เป็นเวลาเกือบ 20 ปีท่ีคนไทยรู้จัก “หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง” ท่ี “พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ภูมิพลอดุลยเดช” พระราชทานเป็นแนวทางในการน้าพาประเทศไทยให้ข้ามพ้นวิกฤตเศรษฐกิจครังใหญ่ที่เกิดขึน เมื่อปี 2540 หรือ “วิกฤตตม้ ยา้ กุ้ง” หรอื ช่วงวิกฤตเศรษฐกิจ “ฟองสบู่แตก” จนหลายภาคส่วนน้อมน้าหลักปรัชญานีไป เป็นแนวทางปฏิบัติ โดยอาจารยย์ กั ษ์ หรือ ดร.ววิ ัฒน์ ศลั ยกา้ ธร ผเู้ ดด็ เด่ยี วตามรอยในหลวงใหเ้ ศรษฐกจิ พอเพยี งเลียงชีวิต ได้ศึกษาและเขียนเร่ืองเศรษฐกิจพอเพียง มาตลอดตังแต่ปี 2540 จวบจนทุกวันนี ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงได้รับการ น้าไปประยกุ ต์ใช้อย่างแพรห่ ลาย ทงั ในภาคเกษตรกรรม ธุรกิจ การจัดการทางเศรษฐกิจและส่ิงแวดล้อม และสถานศึกษา จนประสบความส้าเร็จอยา่ งเปน็ รปู ธรรม โดย “มลู นิธิม่ันพฒั นา” ทีจ่ ัดตังขนึ เม่อื 25 กรกฎาคม 2557 ศาสตร์พระราชา...ศาสตรเ์ พอื่ การพฒั นาที่ยงั่ ยนื สมเดจ็ พระเทพรัตนราชสดุ าฯ มพี ระราชด้ารสั เม่ือปี 2554 ว่า “เป้าหมายในการพัฒนาของพระบาทสมเด็จ พระเจา้ อยหู่ วั คอื ‘การพัฒนาท่ยี ่งั ยืน’ เพ่ือปรบั ปรุงชวี ติ ความเป็นอยู่ของคน โดยไม่ท้าลายสิ่งแวดล้อม ให้คนมีความสุข โดยต้องค้านงึ เรอื่ งสภาพภมู ิศาสตร์ ความเชื่อทางศาสนา เชือชาติ และภูมิหลังทางเศรษฐกิจ สังคม แม้ว่าวิธีการพัฒนามี หลากหลาย แต่ท่ีส้าคัญคือนักพัฒนาจะต้องมีความรัก ความห่วงใย ความรับผิดชอบ และการเคารพในเพ่ือนมนุษย์ จะ เหน็ ได้ว่าการพัฒนาเกยี่ วขอ้ งกบั มนุษยชาติ และเปน็ เรือ่ งของจติ ใจ” เมอื่ 28 ตุลาคม 2559 พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวในรายการ “ศาสตร์พระราชาสู่ การปฏบิ ตั ิอย่างยง่ั ยืน” ในการพัฒนาเศรษฐกจิ สู่ยุคไทยแลนด์ 4.0 รวมทังการพัฒนาประเทศเพื่อก้าวเข้าสู่สังคมโลกทัง ในระดบั ภมู ิภาค และ ในระดับโลก เพอ่ื นอ้ มนา้ พระราชด้ารสั ขององค์พระบาทสมเดจ็ พระเจ้าอยู่หัว ภูมิพลอดุลยเดชที่ให้ “ประชาชนเป็นศูนย์กลาง” ของการพัฒนา มาเป็นแนวทางในการด้าเนินงาน เพื่อไม่ให้เกิดความขัดแย้งในพืนที่ ประชาชนมีส่วนร่วม และได้ประโยชน์จากการพฒั นาอย่างแท้จรงิ ให้มคี วาม อยดู่ ี กินดี รัฐบาล ฯพณฯ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีได้เช่ือมโยง “ศาสตร์พระราชา”ในเรื่องหลัก ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง (SEP - Sufficiency Economy Philosophy) กับเป้าหมายการพัฒนาท่ีย่ังยืน (SDGs - Sustainable Development Goals) ประสบความส้าเร็จ ในการสร้างความตระหนักและการยอมรับในเวทีระหว่าง ประเทศในระดับหนง่ึ ยกตวั อยา่ ง ไดแ้ ก่ (1) ศนู ย์สาธิตสหกรณ์โครงการหุบกะพง เพื่อแก้ปัญหาการขาดน้ากินและน้าใช้, การขาดท่ีดินท้ากิน ซึ่งมีการส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีอย่างง่าย (2) ธนาคารอาหารเป็นกิจกรรมจากกองทุนอาหาร กลางวนั แบบยงั่ ยนื ใหเ้ ดก็ นักเรียนทกุ คนน้าไปลงทุน เพือ่ ประกอบอาชีพทา้ การเกษตรและปศุสัตว์ขนาดเล็ก (3) โรงเรียน พระดาบส จัดให้มีการสอนวิชาชีพ หลักสูตร 1 ปี มุ่งให้สามารถน้าไปประกอบอาชีพได้จริง เสริมด้วยทักษะชีวิต ให้ สามารถดา้ รงตน ได้อย่างเหมาะสม (4) กังหนั ชยั พัฒนา เปน็ การเพ่ิมปรมิ าณออกซิเจนในน้า ลดกลิ่น น้าไม่เน่าเสีย เป็นที่ อยู่อาศัยของสัตว์น้าได้ (5) บริษัท ประชารัฐ รักสามัคคี จ้ากัด ด้าเนินการตามรูปแบบ “วิสาหกิจเพ่ือสังคม” บนกลไก “ประชารฐั ”ท่ไี มม่ ่งุ เนน้ ผลก้าไรจากการประกอบการ ลองมาดูเนือหาโดยสรปุ ของ “ศาสตร์แห่งพระราชา” ท่สี า้ คัญเหล่านีกัน อาทิ โครงการฝนหลวง จากฟากฟ้าลงภูผา ผา่ นทุง่ นาสมู่ หานที วิธที ้าฝนหลวงมีอยู่ 3 ขันตอน คือ ขนั ตอนท่ี 1 ก่อกวน คือการดัดแปรสภาพอากาศหรือก้อนเมฆในขณะนัน เพื่อกระตุ้นให้มวลอากาศ ชืนไหลพาขึนสู่เบืองบนอันเป็นการชักน้าไอน้าหรืออากาศชืนเข้าสู่กระบวน การเกิดเมฆ ขันตอนท่ี 2 เลยี งใหอ้ ว้ น คอื การดัดแปรสภาพอากาศเพ่ือท้าใหเ้ มฆเจรญิ ขึนจนมีขนาดใหญ่หนาแน่นและพร้อมที่จะตกลง มาเป็นฝน ขันตอนที่ 3 โจมตีคือการดัดแปรสภาพอากาศที่จะกระตุ้นให้เม็ดละอองเมฆปะทะชนกันแล้วรวมตัว เข้า
ด้วยกนั จนมีขนาดใหญข่ ึน ขณะเดยี วกันกเ็ ปน็ การลดแรงไหลพาขึนเบืองบน เพื่อให้เม็ดน้า มีขนาดใหญ่ตกลงสู่เบืองล่าง แลว้ เกิดเป็นฝนตกลงมาสเู่ ป้าหมาย ฝายชะลอความช่มุ ชนื ( Check Dam) หรือฝายแมว้ ใช้วสั ดธุ รรมชาตทิ ีห่ างา่ ยในท้องถ่นิ เช่นก้อนหนิ และไมเ้ พอ่ื ก่อเป็นฝายขวางร่องน้าหรือห้วยเล็กๆท้าหน้าที่กัก กระแสน้าไว้ให้ไหลช้าลงและให้น้าสามารถซึม ลงใต้ผวิ ดินสร้างความชุ่มชืนในบริเวณนัน อีกทังยังช่วยดักตะกอนดินและ ทราย ไม่ให้ไหลลงส่แู หล่งนา้ เบืองล่าง แฝก การปลูกหญ้าแฝกตามแนวระดับเพื่อช่วยชะลอความชุ่มชืนไว้ในดิน โดยรากของหญ้า แฝกจะขยายออก ดา้ นข้างเปน็ วงเสน้ ผ่าศูนย์กลางไมเ่ กนิ 50 เซนติเมตรและจะแทงลงไป เป็นแนวลึกใต้ดิน 1-3 เมตรแล้วสานกันเป็นแนว ก้าแพงดูดซับความชมุ่ ชนื ใหแ้ ก่ผวิ ดิน
ทฤษฎใี หม่ เปน็ การสรา้ งแหลง่ นา้ ขนาดเลก็ บนผวิ ดินในพนื ที่การเกษตรของเกษตรกรโดยแบ่ง ท่ีดินส้าหรับใช้ขุดเป็นสระ เกบ็ น้าให้สามารถใชท้ า้ การเกษตรได้ตลอดปีและสามารถ เลยี งปลาไปพรอ้ มๆกันนอกจากนีบริเวณขอบสระยังสามารถใช้ ปลูกพืชผักสวนครวั ไดอ้ ีกด้วย โครงการแก้มลิง
หลักการของโครงการ คือเม่ือเกิดน้าท่วมก็ขุดคลองชักน้าให้ไหลมารวมกันเก็บไว้ ในแหล่งพักน้าแล้ว จงึ ค่อยทา้ การระบายลงสู่ทะเลผา่ นทางประตรู ะบายนา้ ในช่วงท่ี ปริมาณนา้ ทะเลลดลง ขณะเดียวกันก็สามารถ สบู นา้ ออกจากคลองทีเ่ ปน็ แกม้ ลิงลงสู่ ทะเลตลอดเวลาเพ่ือทนี่ ้าจากตอนบนจะได้ไหลลงมาได้เร่ือยๆและเมื่อใด ก็ตามท่ี ระดับน้าทะเลขึนสูงกว่าระดับน้าในคลองที่เป็นแก้มลิงก็ให้ปิดประตูระบายน้ากันไม่ให้น้าทะเลไหล ยอ้ นกลับเขา้ มา การใชน้ าดีไลน่ าเสยี เป็นการน้าน้าคุณภาพดีจากแม่น้าเจ้าพระยาส่งเข้าไปไล่น้าเสียตามคลองใน เขตกรุงเทพฯและ ปรมิ ณฑลไดแ้ กค่ ลองบางเขน คลองบางซอ่ื คลองแสนแสบ คลองเทเวศร์และ คลองบางล้าภูเพื่อช่วยลดปัญหา ความเน่าเสยี ของนา้ ในคลองตา่ งๆคล้ายกับ การ “ชักโครก”คือปิดและเปิดน้าให้ได้จังหวะตามเวลาน้าขึน-น้า ลงหากนา้ ขนึ สงู กเ็ ปิดประตูน้าให้น้าดีเข้าไปไล่น้าเสียครันน้าทะเลลงก็เปิดประตูถ่ายน้าเสียออกจากคลองไป ดว้ ย
กงั หนั นาชยั พฒั นา กงั หนั ชัยพัฒนา หรอื เคร่อื งกลเตมิ อากาศทผี่ ิวน้าหมุนช้าแบบทุ่นลอย เป็นกังหันน้าเพื่อบ้าบัดน้าเสีย ด้วยวิธีการเติมอากาศ ท้างานโดย การหมุนปั่น เพื่อเติมอากาศให้น้าเสียกลายเป็นน้าดี สามารถประยุกต์ใช้ บ้าบัดน้าเสียจากการอุปโภคของประชาชน น้าเสียจากโรงงานอุตสาหกรรม รวมทังเพิ่มออกซิเจน ให้กับบ่อ เพาะเลยี งสัตว์นา้ ทางการเกษตร ใช้บ้าบัดน้าเสียท่ีเกิดจากชุมชนและอุตสาหกรรมลักษณะเป็นเคร่ืองกลหมุน ช้าแบบทุ่นลอยเพ่ือช่วยเตมิ ออกซิเจนท่ผี ิวน้า การบาบัดนาเสียโดยใช้จุลินทรยี ์ 2 วิธี วิธีที่ 1 การใช้น้าหมักชีวภาพ โดยการใช้น้าหมักชีวภาพปริมาณ 1 ต่อ 500 ส่วนราดลงทังในน้าทิง จากครัวเรือน ตลาดสดฟาร์มปศุสัตว์หรือโรงงานอุตสาหกรรมเพ่ือให้จุลินทรีย์ช่วยย่อยสลาย อินทรีย์สารใน แหล่ง น้านอกจากนนี า้ หมักชวี ภาพยังสามารถนา้ ไปใช้ได้ดีในการปรับสภาพน้าในบ่อประมงทังบ่อเลียงกุ้งและ ปลาได้เป็นอย่างดี วิธีท่ี 2 ลูกระเบิดจุลินทรีย์ เป็นการบ้าบัดและฟื้นฟูแหล่งน้าให้ดีขึนด้วยจุลินทรีย์ เช่นเดียวกับการใชน้ ้า หมกั ประกอบด้วยโคลนจากท้องน้า 50กิโลกรัม,ร้า 10 กิโลกรัม,ปุ๋ยอินทรีย์เม็ดหรือ ผง 50 กโิ ลกรมั และนา้ หมักชีวภาพทหี่ มักจนได้ท่ีแล้ว 3 เดือนขึนไปโดยน้าทุกอย่างมาผสมเข้าด้วยกันจนสามารถ ปั้นเป็นก้อนขนาดเท่าลูกเปตองน้าไปผ่ึงไว้ในท่ีร่ม จนแห้งสามารถน้าไปบ้าบัดน้าได้โดยใช้ในอัตราส่วน 5 กโิ ลกรัมต่อน้า 1 ลา้ นลติ ร หรือ 25 กิโลกรัมต่อพนื ท่ีไร่ทังนขี ึนอยกู่ ับสภาพนา้ ทเี่ น่าเสีย ในบริบทของท้องถิ่นนันปัจจุบันได้มีการน้อมน้าแนวพระราชด้าริดังกล่าว มาปฏิบัติเพ่ือให้เป็นไปตาม “แผนพัฒนาเศรษฐกิจพอเพียงท้องถ่ิน ในด้านการเกษตรและแหล่งน้า” (Local Sufficiency Economy Plan : LSEP) ประจ้าปีงบประมาณ พ.ศ.2560 ซ่ึงเป็นทางเดินท่ีถูกทางแล้ว เราชาว อปท. มาช่วยกันน้า ทางการปฏบิ ัติทเี่ ปน็ รปู ธรรมกันหนอ่ ย
23 หลกั การทรงงานในหลวงรัชกาลท่ี 9 แบบอยา่ งของประชาชน พระราชกรณียกิจของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ที่ทรงปฏิบัติ นับตงั แต่เสด็จขนึ เถลิงถวลั ยส์ ริ ริ าชสมบัตใิ นปี 2489 แสดงถึงพระมหากรุณาธิคุณในการบา้ บัดทุกข์บา้ รุงสขุ แก่พสกนิกรได้ มีชวี ติ ความเป็นอยู่ท่ีดีขึน โดยพระองค์ทรงยึดหลักการด้าเนินงานทางสายกลาง ที่สอดคล้องกับส่ิงรอบตัวและปฏิบัติได้ จริง เป็นแนวทางพัฒนา เพื่อประโยชน์ต่อประชาชนสูงสุด ซ่ึงวิธีการเหล่านี ล้วนมีคุณค่าต่อปร ะชาชนท่ีควรยึดเป็น แบบอยา่ ง นา้ มาปฏิบัติ เพอ่ื ให้เกิดผลต่อตนเอง สงั คม และประเทศชาติ สา้ หรบั 23 หลักการทรงงานของในหลวงรัชกาล ท่ี 9 มดี งั นี 1. “ศึกษาขอ้ มูลอย่างเปน็ ระบบ” กอ่ นท่จี ะพระราชทานพระราชดา้ ริเพอื่ ด้าเนนิ งานโครงการ พระองค์จะทรงศึกษาข้อมูลรอบด้านจากเอกสาร แผนที่ สอบถามเจา้ หน้าท่ี นักวิชาการ และราษฎรในพืนท่ี ให้ได้รายละเอียดที่เป็นประโยชน์ครบถ้วน เพื่อพระราชทาน ความชว่ ยเหลือได้อยา่ งถูกตอ้ งและรวดเร็วตรง ความตอ้ งการของประชาชน 2. “ระเบิดจากขา้ งใน” พระองค์ทรงพระราชด้ารัสตอนหนงึ่ วา่ \"ตอ้ งระเบดิ จากข้างใน\" หมายถึง ต้องมุ่งพัฒนาสร้างความเข้มแข็งให้ คนและครอบครัวในชุมชนท่ีเข้าไปพัฒนา มีสภาพพร้อมที่จะรับการพัฒนาเสียก่อน แล้วจึงค่อยออกมาสู่สังคมภายนอก มใิ ชก่ ารนา้ ความเจริญจากสังคมภายนอกเข้าไปหาชุมชนและหมูบ่ ้าน ซง่ึ หลายชุมชนยังไมไ่ ดต้ ังตวั จึงไมส่ ามารถปรับตัวได้ ตามกระแสการเปล่ียนแปลงและนา้ ไปสู่ความล่มสลายได้ 3. “แกป้ ัญหาทจ่ี ุดเลก็ ” พระองค์ทรงเป่ียมด้วยพระอัจฉริยภาพในการแก้ไขปัญหา ทรงมองปัญหาภาพรวมก่อน และทรงเร่ิม แก้ปญั หาจดุ เลก็ ๆ คอื เรมิ่ แกไ้ ขปญั หาเฉพาะหนา้ ที่คนมกั จะมองข้าม ดังพระราชดา้ รัส ความตอนหนึ่งว่า “...ถ้าปวดหัวก็ คิดอะไรไม่ออกเป็นอย่างนันต้องแก้ไขการปวดหัวนีก่อน... มันไม่ได้เป็นการแก้อาการจริง แต่ต้องแก้ปวดหัวก่อน เพ่อื ทีจ่ ะให้อยู่ในสภาพทคี่ ิดได้แบบ (Macro) นี เขาจะทา้ แบบรือทังหมด ฉนั ไม่เหน็ ด้วย อยา่ งบ้านคนอยู่ เราบอกบ้านมัน ผุตรงนนั ผุตรงนี ไม่คุ้มท่ีจะซ่อม เอาตกลงรือบ้านนี ระเบิดเลย เราจะไปอยู่ท่ีไหน ไม่มีที่อยู่ วิธีท้าต้องค่าย ๆ ท้า จะไป ระเบิดหมดไม่ได้...”
4. “ทาตามลาดบั ขัน” ในการทรงงานพระองค์ทรงเริ่มต้นจากส่ิงที่จ้าเป็นของประชาชนที่สุดก่อน ได้แก่ งานด้านสาธารณสุข , สาธารณูปโภคขันพืนฐาน,ให้ความรู้วิชาการ-เทคโนโลยี เน้นปรับใช้ภูมิปัญญาท้องถ่ินที่ราษฎรน้าไปปฏิบัติให้เกิด ประโยชน์สูงสดุ ดงั พระบรมราโชวาท เมอ่ื วนั ท่ี 18 กรกฎาคม 2517 ความตอนหน่งึ ว่า “...การพัฒนาประเทศจ้าเป็นต้อง ทา้ ตามลา้ ดบั ขนั ตอ้ งสรา้ งพืนฐาน คอื ความพอมพี อกนิ พอใช้ของประชาชนส่วนใหญ่เปน็ เบืองต้นกอ่ น โดยใช้วิธีการและ ใช้อุปกรณ์ท่ีประหยัด แต่ถูกต้องตามหลักวิชา เมื่อได้พืนฐานที่มั่นคงพร้อมพอควรและปฏิบัติได้แล้ว จึงค่อยสร้างค่อย เสริมความเจริญและฐานะเศรษฐกิจขันท่ีสูงขึนโดยล้าดับต่อไป หากมุ่งแต่จะทุ่มเทสร้างความเจริญ ยกเศรษฐกิจขึนให้ รวดเรว็ แตป่ ระการเดยี ว โดยไม่ใหแ้ ผนปฏบิ ตั ิการสัมพันธ์กับสภาวะของประเทศและของประชาชนโดยสอดคล้องด้วย ก็ จะเกดิ ความไม่สมดุลในเรื่องต่าง ๆ ขึน ซึ่งอาจกลายเป็นความยุ่งยากล้มเหลวได้ในที่สุด ดังเห็นได้ท่ีอารยประเทศก้าลัง ประสบปญั หาทางเศรษฐกจิ อยา่ งรนุ แรงในเวลานี…” 5.\"ภูมิสงั คม” การพัฒนาตอ้ งค้านึงถึงสภาพภมู ปิ ระเทศของบริเวณนนั วา่ เป็นอย่างไร และสังคมวิทยาเกี่ยวกับลักษณะนิสัย ใจคอของคน ตลอดจนวัฒนธรรมประเพณีในแตล่ ะทอ้ งถน่ิ ท่ีมคี วามแตกต่างกัน ดังพระราชด้ารัส ในพระบาทสมเด็จพระ ปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ความตอนหน่ึงว่า “...การพัฒนาจะต้องเป็นไปตามภูมิประเทศทาง ภมู ศิ าสตรแ์ ละภมู ิประเทศทางสงั คมศาสตรใ์ นสงั คมวทิ ยา คอื นิสยั ใจคอของคนเราจะไปบังคับให้คนคิดอย่างอื่นไม่ได้ เรา ต้องแนะน้า เราเข้าไปช่วยโดยท่ีจะคิดให้เขาเข้ากับเราไม่ได้ แต่ถ้าเราเข้าไปแล้ว เราเข้าไปดูว่าเขาต้องการอะไรจริง ๆ แลว้ ก็อธิบายให้เขาเขา้ ใจหลักการของการพฒั นานีก็จะเกดิ ประโยชน์อย่างยงิ่ ...\" 6.\"องคร์ วม” ในการพระราชทานพระราชด้าริเกย่ี วกับโครงการหนึ่งนนั จะทรงมองเหตกุ ารณ์ทีจ่ ะเกิดขนึ และแนวทางแก้ไข อย่างเชื่อมโยง เชน่ \"ทฤษฎใี หม\"่ ท่ีพระองค์ทรงมองอย่างเป็นองค์รวม ตังแต่การถือครองท่ีดินเฉลี่ยของคนไทย 10 - 15 ไร่ การบริหารจดั การทด่ี นิ และแหลง่ น้า เพราะเม่ือมีน้าในการท้าการเกษตรแล้วจะสง่ ผลใหผ้ ลผลิตดขี นึ และหากมีผลผลิต เพิม่ มากขนึ เกษตรกรจะต้องรู้จักวิธีการจัดการและการตลาด รวมถึงการรวมกลุ่มรวมพลังชุมชนให้มีความเข้มแข็ง เพ่ือ พรอ้ มที่จะออกสู่การเปลย่ี นแปลงของสงั คมภายนอกไดอ้ ยา่ งครบวงจร 7.\"ไมต่ ิดตารา” หลักการทรงงานของพระองค์ มีลักษณะพัฒนาท่ีอนุโลมและรอมชอมกับสภาพธรรมชาติสิ่งแวดล้อม และ สภาพสงั คมจิตวิทยาของชุมชน เปน็ การใชต้ ้าราอยา่ งอะลมุ่ อล่วยกัน ไม่ผกู ติดกับวชิ าการและเทคโนโลยีท่ีไม่เหมาะสมกับ สภาพชีวติ ความเปน็ อยูท่ ี่แทจ้ รงิ คือ \"ไม่ติดตา้ รา\" 8.\"ประหยัดเรียบง่าย ใช้ประโยชน์สงู สดุ ” ทรงประหยดั มากแมเ้ ปน็ เร่ืองสว่ นพระองค์ ดังที่ประชาชนชาวไทยเคยเห็นว่า หลอดยาสีพระทนต์นันทรงใช้ อย่างคุ้มค่าอยา่ งไร ฉลองพระองค์แตล่ ะองค์ทรงใช้อยูเ่ ปน็ เวลานาน หรอื แม้แตฉ่ ลองพระบาทหากชา้ รดุ ก็จะสง่ ซ่อมและใช้ อย่างคุ้มค่า ขณะเดียวกันการพัฒนาช่วยเหลือราษฎร ทรงใช้ความเรียบง่ายและประหยัดในการแก้ไขปัญหา ให้ราษฎร สามารถท้าได้เอง ประยุกต์ใช้สิ่งท่ีมีอยู่ในภูมิภาคมาแก้ไขปัญหาโดยไม่ต้องลงทุนสูงหรือใช้เทคโนโลยีที่ไม่ยุ่งยากนัก ดัง พระราชด้ารัสความตอนหนึ่งว่า “...ให้ปลูกป่า โดยไม่ต้องปลูก โดยปล่อยให้ขึนเองตามธรรมชาติ จะได้ประหยัด งบประมาณ...”
9. \"ทาให้งา่ ย” ดว้ ยพระอจั ฉรยิ ภาพและพระปรีชาสามารถของพระองค์ ท้าให้การคิดค้น ดัดแปลง ปรับปรุงและแก้ไข งาน พัฒนาประเทศตามแนวพระราชด้าริด้าเนินไปโดยง่าย และ สอดคล้องกับสภาพความเป็นอยู่ระบบนิเวศโดยส่วนรวม ทรงโปรดท่ีจะท้าสิง่ ทย่ี ากให้กลายเป็นงา่ ย อนั เป็นการแกป้ ญั หาด้วยการใชก้ ฎแหง่ ธรรมชาติเป็นแนวทาง ดงั นันค้าว่า “ท้า ใหง้ า่ ย” จึงเปน็ หลักคิดส้าคัญของการพฒั นาประเทศ ทีม่ าในรูปแบบของโครงการอนั เน่อื งมาจากพระราชด้าริ 10. \"การมีสว่ นร่วม” พระองค์ทรงเปน็ นกั ประชาธปิ ไตย ทรงเปดิ โอกาสใหท้ ุกฝา่ ยไดร้ ว่ มกันแสดงความคิดเห็น และทา้ งานโครงการ พระราชดา้ ริ โดยคา้ นึงถงึ ความคิดเหน็ และ ความต้องการของประชาชน โดยพระองคท์ รงน้า \"ประชาพจิ ารณ\"์ มาใช้ ในการบริหารจัดการ ซ่ึงเป็นวิธีท่ีเรียบง่ายตรงไปตรงมา โดยหากจะท้าโครงการใด จะทรงอธิบายถึงความจ้าเป็นและ ผลกระทบที่เกิดกบั ประชาชนทุกฝ่าย รวมทังผนู้ ้าชมุ ชนในท้องถิ่น เมือ่ ประชาชนในพืนท่ีเห็นด้วยแล้ว หน่วยราชการต่างๆ ท่ีเกี่ยวขอ้ งและรว่ มดา้ เนินการมีความพร้อม จึงจะพระราชทานพระราชด้ารใิ ห้ด้าเนนิ โครงการนนั ๆ ตอ่ ไป 11. \"ประโยชน์ส่วนรวม” การปฏบิ ัติพระราชกรณียกิจ และการพระราชทานพระราชด้ารใิ นการพัฒนาและชว่ ยเหลือพสกนกิ ร พระองค์ ทรงระลึกถึงประโยชน์ของส่วนรวมเป็นส้าคัญ ดังพระราชด้ารัสความตอนหน่ึงว่า “...ใครต่อใครบอกว่า ขอให้เสียสละ ส่วนตัวเพ่ือสว่ นรวม อนั นฟี งั จนเบื่อ อาจรา้ คาญด้วยซ้าวา่ ใครตอ่ ใครมากบ็ อกวา่ ขอใหค้ ดิ ถงึ ประโยชน์ส่วนรวม อาจมานึก ในใจว่า ให้ ๆ อยู่เรื่อยแล้วส่วนตัวจะได้อะไร ขอให้คิดว่าคนท่ีให้เพื่อส่วนรวมนัน มิได้ให้แน่ส่วนรวมแต่อย่างเดียว เป็น การใหเ้ พื่อตัวเองสามารถทีจ่ ะมสี ่วนรวมท่จี ะอาศยั ได้...” 12. \"บรกิ ารรวมจดุ เดยี ว” การบริการรวมจุดเดียว หรือ One Stop Services เกิดขึนเป็นครังแรกในระบบบริหารราชการแผ่นดินของ ประเทศไทย โดยพระองค์ทรงให้ศูนย์ศึกษาการพัฒนาอันเน่ืองมาจากพระราชด้าริ เป็นต้นแบบในการบริการรวมที่จุด เดียว เพ่อื ประโยชนต์ อ่ ประชาชนทใี่ ชบ้ ริการ ให้ประหยัดเวลาและค่าใช้จ่าย 13. \"ใช้ธรรมชาตชิ ว่ ยธรรมชาติ” พระองค์ทรงมองปัญหาธรรมชาติอย่างละเอียด โดยหากเราต้องการแก้ไขธรรมชาติจะต้องใช้ธรรมชาติเข้า ช่วยเหลือ เช่น การแก้ไขปัญหาป่าเส่ือมโทรม ได้พระราชทานพระราชด้าริ \"การปลูกป่าโดยไม่ต้องปลูก\" ปล่อยให้ ธรรมชาตชิ ว่ ยในการฟ้นื ฟธู รรมชาติ หรอื แม้กระทั่ง \"การปลูกป่า 3 อย่างประโยชน์ 4 อย่าง\" ได้แก่ ปลูกไม้เศรษฐกิจ ไม้ ผล และไม้ฟืน นอกจากได้ประโยชน์ตามประเภทของการปลูกแล้วยังช่วยสร้างความชุ่มชืนให้แก่พืนดินด้วย พระองค์จึง ทรงเข้าใจธรรมชาติและมนุษย์ทอี่ ยู่อยา่ งเกอื กลู กนั ท้าใหค้ นอย่รู ่วมกบั ปา่ ไม้ได้อยา่ งย่งั ยืน 14. \"ใช้อธรรม ปราบอธรรม” พระองค์ทรงน้าความจริงเรื่องความเป็นไปแห่งธรรมชาติ และกฎเกณฑ์ของธรรมชาติมาเป็นหลักการ แนว ปฏบิ ตั ิ เพื่อแกป้ ญั หา และเปล่ียนแปลงสภาวะที่ไม่ปกติให้เข้าสู่ระบบที่เป็นปกติ เช่น การน้าน้าดี ขับไล่น้าเสีย เป็นการ เจอื จางนา้ เสยี ให้กลบั เป็นนา้ ดี ตามจังหวะการขึนลงตามธรรมชาติของนา้
15. \"ปลูกป่าในใจคน” การปลูกปา่ บนแผน่ ดินด้วยความต้องการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติอย่างสินเปลืองของมนุษย์ ท้า ให้ส่ิงแวดล้อมเสียหาย ดังนันการฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติให้กลับคืนมา จะต้องปลูกจิตส้านึกในการรักผืนป่าให้แก่คน เสียก่อน ดังพระราชด้ารัสในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร กับเจ้าหน้าท่ีท่ีเฝ้ารับ เสด็จฯ เมื่อคราวเสด็จพระราชด้าเนินไปหน่วยงานต้นน้าพัฒนาทุ่งจือ จังหวัดเชียงใหม่ ปี 2514 ความตอนหน่ึงว่า “... เจ้าหนา้ ท่ปี า่ ไม้ควรจะปลูกตน้ ไม้ ลงในใจคนเสียก่อนแล้วคนเหล่านันก็จะพากันปลูกต้นไม้ลงบนแผ่นดินและรักษาต้นไม้ ดว้ ยตนเอง...” 16. \"ขาดทนุ คือกาไร” “...ขาดทุน คอื กา้ ไร our loss is our gain การเสยี คือ การได้ ประเทศชาติกจ็ ะก้าวหน้า และการที่คนอยู่ดี มีสขุ เป็นการนับที่เป็นมูลค่าเงินไม่ได้...” จากพระราชด้ารัสดังกล่าว คือหลักการที่พระองค์ ทรงมีต่อพสกนิกรไทยด้วย “การให”้ และ “การเสียสละ” โดยความอยู่ดีมีสุขของราษฎร ถือเป็นการกระท้าอันมีผลเป็นก้าไร ที่สามารถสะท้อนให้ เห็นเป็นรูปธรรมชัดเจน ดงั พระราชด้ารสั ที่ได้พระราชทานแก่ตวั แทนของปวงชนชาวไทยทไ่ี ดเ้ ข้าเฝา้ ฯ ถวายพระพร เน่ือง ในโอกาสเฉลิมพระชนมพรรษา เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2534 ณ ศาลาดุสิดาลัย พระต้าหนักจิตรลดารโหฐาน ความตอน หนึ่งว่า “...ประเทศต่างๆ ในโลกในระยะ 3 ปีมานี คนท่ีก่อตังประเทศที่มีหลักทฤษฎีในอุดมคติที่ใช้ในการปกครอง ประเทศล้วนแตล่ ม่ สลายลงไปแล้ว เมืองไทยของเราจะสลายลงไปหรือ เมืองไทยนับว่าอยู่ได้มาอย่างดี เม่ือประมาณ 10 วันก่อน มีชาวต่างประเทศมาขอพบ เพ่ือขอโอวาทเกี่ยวกับการปกครองประเทศว่าจะท้าอย่างไร จึงได้แนะน้าว่า ให้ \"ปกครองแบบคนจน\" แบบท่ี \"ไม่ตดิ กับต้ารา\" มากเกินไป ทา้ อยา่ งมีสามัคคี มีเมตตากันก็จะอยู่ได้ตลอด ไม่เหลือกับคนท่ี ทา้ ตามวิชาการที่เวลาปดิ ตา้ ราแลว้ ไม่ร้วู ่าจะทา้ อยา่ งไร ลงท้ายกต็ ้องเปดิ หนา้ แรกเรม่ิ ต้นใหม่ \"ถอยหลงั เข้าคลอง\" ถ้าเราใช้ ต้าราแบบอะลุ้มอล่วยกัน ในที่สุดก็เป็นการดี ให้โอวาทเขาไปว่า \"ขาดทุนเป็นการได้ก้าไร\" ของเรา นักเศรษฐศาสตร์คง คา้ นว่าไม่ใช่ แต่เราอธิบายไดว้ า่ ถ้าเราทา้ อะไรท่เี ราเสยี แต่ในที่สดุ ทเ่ี ราเสียนัน เปน็ การไดท้ างอ้อม ตรงกับงานของรัฐบาล โดยตรง เงินของรัฐบาลหรืออีกนัยหนึ่งคือเงินของประชาชน ถ้าอยากให้ประชาชนอยู่ดี กินดี ก็ต้องลงทุนต้องสร้าง โครงการซ่ึงต้องใช้เงินเป็นร้อย พัน หมื่นล้าน ถ้าท้าไปเป็นการจ่ายเงินของรัฐบาล แต่ในไม่ช้าประชาชนจะได้รับผล ราษฎรอยู่ดีกินดีขึน ราษฎรได้ก้าไรไป ถ้าราษฎรมีรายได้รัฐบาลก็เก็บภาษีได้สะดวก เพื่อให้รัฐบาลได้ท้าโครงการต่อไป เพอื่ ความกา้ วหนา้ ของประเทศชาติ ถา้ \"รู้ รกั สามคั คี รู้เสยี สละ\" คือการได้ ประเทศชาติก็จะก้าวหน้า และการท่ีคนอยู่ดี มีสุขนนั เปน็ การนบั ทเ่ี ปน็ มูลคา่ เงินไม่ได้...” 17.\"การพึง่ ตนเอง” การพัฒนาตามแนวพระราชด้าริ เบืองตน้ เป็นการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า เพื่อให้ประชาชนแข็งแรง พอที่จะ ด้ารงชีวติ ต่อไป แล้วขนั ตอ่ ไปกค็ อื การพัฒนาให้ประชาชนอยู่ในสังคมได้ตามสภาพแวดล้อม และ “พึ่งตนเองได้” ในที่สุด ดังพระราชด้ารัสในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ตอนหน่ึงว่า “...การช่วยเหลือ สนับสนุนประชาชนในการประกอบอาชีพและตังตัวให้มีความพอกินพอใช้ ก่อนอื่นเป็นส่ิงส้าคัญยิ่งยวดเพราะผู้มีอาชีพ และฐานะเพยี งพอทีจ่ ะพงึ่ พาตนเองได้ ย่อมสามารถสรา้ งความเจริญในระดับสูงขันต่อไป...” 18.\"พออยพู่ อกนิ ” การพัฒนาเพ่ือให้พสกนิกรมีความเป็นอยู่ท่ีดีขึน เร่ิมจากการเสด็จพระราชด้าเนินไปทรงเยี่ยมราษฎรในทุก ภาคของประเทศ และพระองค์ได้ทอดพระเนตรความเปน็ อยขู่ องราษฎรด้วยพระองค์เอง จึงทรงเข้าพระราชหฤทัยสภาพ ปัญหาอย่างลกึ ซงึ จากนนั จึงได้พระราชทานความช่วยเหลอื ใหพ้ สกนกิ ร มีความกินดีอยู่ดี มีชีวิตอยู่ในขัน “พออยู่พอกิน” กอ่ น แลว้ จงึ ขยบั ขยายใหม้ ขี ีดสมรรถนะที่ก้าวหน้าต่อไป
19.\"เศรษฐกจิ พอเพยี ง” \"เศรษฐกิจพอเพียง\" เป็นปรัชญาที่ทรงพระราชทานชีแนวทางด้าเนินชีวิต แก่พสกนิกรมานานกว่า 30 ปี ตงั แต่ก่อนเกดิ วิกฤตการณท์ างเศรษฐกจิ เพอื่ ให้ชาวไทยรอดพน้ และดา้ รงอยู่ได้อย่างย่ังยืนภายใต้กระแสโลกาภิวัตน์ และ การเปลย่ี นแปลงตา่ ง ๆ ดงั นัน \"เศรษฐกจิ พอเพียง\" จึงเป็นปรัชญาชแี นวทางปฏิบัติของประชาชนทุกระดับ ในการพัฒนา และบริหารให้ด้าเนินไปในทางสายกลาง ภายใต้ \"ความพอเพียง\" หากมีการเปล่ียนแปลง โดยทุกคนต้องมีความ พอประมาณ,ซ่ือสตั ย์สจุ ริต ,อดทน ,ความเพยี ร รอบคอบ,มีสตปิ ัญญา ซึ่งเหลา่ นีจะเป็นระบบภมู ิคุ้มกันในตัวทด่ี ี 20. \"ความซอ่ื สัตย์ สจุ รติ จริงใจต่อกัน” “...คนทีไ่ มม่ ีความสจุ ริต คนท่ีไม่มีความมั่นคง ชอบแต่มักง่าย ไมม่ วี นั จะสรา้ งสรรคป์ ระโยชน์ส่วนรวมที่ส้าคัญ อันใดได้ ผ้ทู ม่ี คี วามสจุ ริตและความมุ่งมัน่ เทา่ นนั จึงจะท้างานส้าคัญ ย่ิงใหญ่ท่ีเป็นคุณ เป็นประโยชน์แท้จริงได้ส้าเร็จ...” พระราชด้ารัสในพระบาทสมเดจ็ พระปรมินทรมหาภูมพิ ลอดุลยเดชบรมนาถบพิตร เม่ือวันที่ 12 กรกฎาคม 2522 “...ผู้ท่ี มคี วามสุจริตและบริสุทธ์ิใจ แม้จะมีความรู้น้อยก็ย่อมท้าประโยชน์ให้แก่ส่วนรวมได้ มากกว่าผู้มีความรู้มากแต่ไม่มีความ สุจริต ไม่มีความบริสุทธิ์ใจ...” พระราชด้ารัสในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร เมื่อ วันท่ี 18 มีนาคม 2533 21. \"ทางานอย่างมคี วามสุข” พระองคท์ รงพระเกษมส้าราญ และทรงมคี วามสุขทุกคราทจ่ี ะชว่ ยเหลอื ประชาชน ซ่ึงเคยมีพระราชด้ารัสครัง หนึ่งความว่า “...ท้างานกับฉัน ฉนั ไมม่ อี ะไรจะให้ นอกจากการมคี วามสุขรว่ มกนั ในการทา้ ประโยชน์ให้กับผอู้ ่นื ...” 22.\"ความเพียร” พระองค์ทรงริเร่ิมโครงการต่างๆ ในระยะแรกไม่ได้มีความพร้อมมากนัก และทรงใช้พระราชทรัพย์ส่วน พระองค์ทังสิน แต่พระองค์ก็มิได้ท้อพระราชหฤทัย ทรงอดทนและมุ่งมั่นด้าเนินงานนัน ให้ส้าเร็จลุล่วง ดังเช่นพระราช นิพนธ์ \"พระมหาชนก\" ซึ่งพระองค์ทรงใช้เวลาค่อนข้างนานในการคิดประดิษฐ์ถ้อยค้าให้เข้าใจง่าย และปรับให้เข้ากับ สภาพสังคมปัจจุบัน เพ่ือให้ประชาชนชาวไทยปฏิบัติตามรอยพระมหาชนก กษัตริย์ผู้เพียรพยายามแม้จะไม่เห็นฝ่ังก็จะ วา่ ยน้าต่อไป เพราะถ้าไม่เพียรว่ายก็จะตกเปน็ อาหารปู ปลา และไม่ได้พบกับเทวดาที่ช่วยเหลือมใิ หจ้ มน้า 23. \"ร-ู้ รกั -สามัคค”ี พระองค์ทรงมีพระราชด้ารัสในเรื่อง \"รู้ รัก สามัคคี\" อย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นแนวทางปฏิบัติท่ีมีคุณค่าและมี ความหมายลึกซึง สามารถปรับใช้ได้กับทุกยุคทุกสมัย รู้: การท่ีเราจะลงมือท้าส่ิงใดนัน จะต้องรู้เสียก่อน รู้ถึงปัจจัย ทังหมด รู้ถึงปัญหา และรู้ถึงวิธีแก้ปัญหา รัก: คือ ความรัก เม่ือเรารู้ครบถ้วนกระบวนความแล้วจะต้องมีความรัก การ พจิ ารณาทจ่ี ะเขา้ ไปลงมอื ปฏิบัติแก้ไขปัญหานัน ๆ คือ การสร้างฉันทะ สามัคคี: การท่ีจะลงมือปฏิบัติควรค้านึงเสมอว่า เราจะทา้ งานคนเดยี วไม่ได้ ต้องรว่ มมอื รว่ มใจกนั เปน็ องคก์ ร เป็นหม่คู ณะจึงจะมพี ลงั เข้าไปแก้ปัญหาให้ลลุ ว่ งไปได้ดว้ ยดี แหล่งท่มี า : https://www.bedo.or.th/bedo/new-content.php?id=127
Search
Read the Text Version
- 1 - 14
Pages: