Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore สรุป5บท 9 ก.พ.2566

สรุป5บท 9 ก.พ.2566

Published by wikoy59, 2023-05-31 03:54:03

Description: สรุป5บท 9 ก.พ.2566

Search

Read the Text Version

คำนำ เอกสารเล่มน้ี เป็นเอกสารรายงานผลการจัดกิจกรรมโครงการส่งเสริมการอ่านและ การเรียนรู้ Co - Learning Space กจิ กรรมการเรยี นรู้ศาสตรพ์ ระราชาและการประดิษฐ์สมุดทามือ เพ่ือส่งเสริม นิสยั รกั การอ่าน และผูร้ ว่ มกิจกรรมได้รับความรู้จากการใช้สื่อดิจิทัลและได้รับความรู้เก่ียวกับการใช้ประโยชน์จาก เทคโนโลยดี ิจิทลั ต่าง ๆ รวมไปถึงเป็นการประชาสมั พันธ์ห้องสมุดประชาชน “เฉลิมราชกุมารี” อาเภอวงั ทรายพนู การทาโครงการน้ี ได้รับความรว่ มมอื จากผบู้ รหิ ารสถานศกึ ษา คณะครู กศน.วังทรายพูน ทุกท่าน ภาคีเครือข่าย ผู้นาชุมชน ปราชญช์ าวบ้าน นกั ศึกษา และประชาชน เปน็ อยา่ งดจี ากการดาเนินการจดั กจิ กรรม ในครง้ั นี้ จนสาเร็จบรรลุตามวัตถุประสงค์ หอ้ งสมดุ ประชาชน “เฉลมิ ราชกมุ ารี” อาเภอวงั ทรายพูน จงั หวดั พิจติ ร

สำรบญั หนำ้ คำนำ 1 สำรบญั 2 บทที่ 2 3 1 บทนา 5 โครงการสง่ เสรมิ การอา่ นและการเรียนรู้ Co - Learning Space 5 หลักการและเหตผุ ล 6 วตั ถปุ ระสงค์ 6 เปา้ หมาย 6 วิธีการดาเนนิ งาน งบประมาณ 6 ผรู้ บั ผิดชอบโครงการ สถานทแ่ี ละวันท่ดี าเนินงานการจดั กจิ กรรม 7 ดัชนชี ้ีวดั ผลสาเรจ็ ของโครงการ 15 การติดตามและประเมนิ ผล 17 ๒ เอกสำรที่เกย่ี วข้อง ศาสตรพ์ ระราชา 20 สมุดทามือ 24 27 3 วธิ กี ำรดำเนินงำน ขน้ั ตอนการดาเนินงาน 29 30 ๔ ผลกำรดำเนินงำน สรุปแบบประเมนิ ความพึงพอใจ ผลการดาเนินงาน 5 สรปุ ผลกำรดำเนนิ งำนและข้อเสนอแนะ บรรณำนุกรม ภำคผนวก บันทึกขออนมุ ัติโครงการ บัญชรี ายชอ่ื ผเู้ ขา้ ร่วมโครงการ แบบประเมินความพงึ พอใจ จดหมายขา่ วประชาสมั พนั ธ์ คณะผ้จู ัดทา

บทท่ี 1 บทนำ 1. ชอื่ โครงกำร โครงการส่งเสริมการอา่ นและการเรยี นรู้ Co - Learning Space 2. สอดคลอ้ งกับยทุ ธศำสตร์และจุดเนน้ กำรดำเนนิ งำน สำนักงำน กศน. ประจำปงี บประมำณ 2566 นโยบำยทเี่ ก่ียวขอ้ งกับงำนกำรศึกษำตำมอธั ยำศยั ปี 2566 ความสอดคล้องกบั ยุทธศาสตร์ชาติ และขอ้ สงั่ การรฐั มนตรชี ่วยว่าการกระทรวงศกึ ษาธิการ นโยบายและจุดเนน้ สานกั งานกศน. และนโยบายส่งเสริมการอ่านของสานักงาน กศน. ยทุ ธศาสตรท์ ี่ 3 ด้านการพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพทรพั ยากรมนุษย์ ข้อ 3.2 พัฒนาแหล่งเรียนรู้ให้มีบรรยากาศและสภาพแวดล้อมท่ีเอ้ือต่อการเรียนรู้ มีความพร้อมในการ ให้บริการกิจกรรมการศึกษาและการเรียนรู้ เป็นแหล่งสารสนเทศสาธารณะท่ีง่ายต่อการเข้าถึง มีบรรยากาศ ท่ีเอ้ือต่อ การเรียนรู้ เป็น คาเฟ่พ้ืนที่การเรียนรู้สาหรับคนทุกช่วงวัย มีสิ่งอานวยความสะดวก มีบรรยากาศสวยงามมีชีวิต ท่ี ดงึ ดูดความสนใจและมี ความปลอดภัยสาหรบั ผูใ้ ชบ้ รกิ าร 1) เร่งยกระดบั กศน.ตาบลนารอ่ ง 928 แหง่ (อาเภอละ 1 แห่ง) ให้เป็น กศน.ตาบล 5 ดีพรีเม่ียม ที่ประกอบ ดว้ ย ครูดี สถานท่ีดี (ตามบริบทของพืน้ ท)่ี กจิ กรรมดี เครอื ขา่ ยดี และมีนวตั กรรมการเรยี นรู้ทด่ี ีมีประโยชน์ 2) จัดให้มีศูนย์การเรียนรู้ต้นแบบ กศน. เพ่ือยกระดับการเรียนรู้ ใน 6 ภูมิภาค เป็นพื้นท่ีการเรียนรู้ (Co – Learning Space) ท่ีทันสมัยสาหรับทุกคน มีความพร้อมในการให้บริการต่าง ๆ อาทิ พื้นที่สาหรับการทางาน/ การเรียนรู้ พ้ืนที่สาหรับกิจกรรมต่าง ๆ มีห้องประชุมขนาดเล็ก รวมท้ังทางานร่วมกับห้องสมุดประชาชนในการ ให้บริการ ในรูปแบบห้องสมุดดิจิทัล บริการอินเทอร์เน็ต สื่อมัลติมีเดีย เพื่อรองรับการเรียนรู้แบบ Active Learning 3) พัฒนาห้องสมุดประชาชน “เฉลิมราชกุมารี” ให้เป็น Digital Library โดยให้มีบริการหนังสือ ในรูปแบบ e – Book บรกิ ารคอมพิวเตอร์ และอินเทอร์เน็ตความเร็วสงู รวมทัง้ Free Wifi เพอ่ื การสืบค้นข้อมูล สอดคลอ้ งกบั มาตรฐานการศึกษา กศน. มาตรฐานท่ี 1 คุณภาพคณุ ภาพผเู้ รยี น/ผู้รบั บรกิ ารการศกึ ษาตามอัธยาศยั ตวั บง่ ช้ีท่ี 1.7 ผ้รู ับบริการไดร้ บั ความรู้และ/หรอื ประสบการณ์จากการเข้ารว่ มกจิ กรรม/โครงการการศึกษาตามอัธยาศยั มาตรฐานที่ 2 คุณภาพการจัดการศึกษา/การใหบ้ ริการการศกึ ษาตามอัธยาศยั ตัวบ่งชี้ท่ี 2.8 คณุ ภาพผจู้ ัดกจิ กรรมการศกึ ษาตามอัธยาศยั ตัวบ่งช้ที ี่ 2.9 คุณภาพกระบวนการจัดกิจกรรมการศึกษาตามอธั ยาศยั ภารกิจต่อเนื่อง 1.4 การศึกษาตามอธั ยาศยั 1) พฒั นาแหล่งการเรียนรทู้ ม่ี ีบรรยากาศและสภาพแวดล้อมที่เอ้ือต่อการอ่านและพัฒนาศักยภาพการเรียนรู้ ให้เกิดข้ึนในสังคมไทยให้เกิดข้ึนอย่างกว้างขวางและทั่วถึง เช่น พัฒนาห้องสมุดประชาชนทุกแห่งให้มีการบริการที่ ทนั สมยั ส่งเสรมิ และสนับสนนุ อาสาสมคั รการอา่ น การสรา้ งเครือขา่ ยส่งเสรมิ การอา่ น จดั หนว่ ยบริการเคลื่อนที่พร้อม อปุ กรณเ์ พือ่ จดั กิจกรรมส่งเสริมการอ่านและการเรียนรู้ท่ีหลากหลายให้บริการกับประชาชนในพื้นที่ต่างๆ อย่างทั่วถึง สม่าเสมอ รวมท้ังเสริมสร้างความพร้อมในด้านบุคลากร สื่อ อุปกรณ์เพ่ือสนับสนุนการอ่าน และการจัดกิจกรรมเพื่อ ส่งเสริมการอ่านอย่างหลากหลาย

2.3 สอดคล้องกับมาตรฐานประกันคุณภาพ กศน.อาเภอ ดังนี้ มาตรฐานที่ 1 คุณภาพของผรู้ ับบรกิ ารการศึกษาตามอัธยาศยั มาตรฐานที่ 2 คุณภาพการจดั การศึกษาตามอธั ยาศัย มาตรฐานท่ี 3 คุณภาพการบริหารจัดการของสถานศกึ ษา 2.4 สอดคล้องกับหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง สอดคล้อง กับ 2 เง่ือนไข ความรู้ คุณธรรม 3 หลักการ พอประมาณ มีเหตุผล มีภูมิคุ้มกันในตัวท่ีดี สมดุลใน 4 มิติ ด้านวัตถุ/เศรษฐกิจ ด้านวัฒนธรรม ดา้ นสงั คม ด้านสงิ่ แวดลอ้ ม 3. หลักกำรและเหตุผล ยุคสมัยท่ีเปล่ยี นแปลงอย่างรวดเร็วดว้ ยอานาจของเทคโนโลยีทาใหก้ ารเรียนร้อู ยูก่ บั ท่ภี ายในห้องเรียน หรือห้องสมุดไม่สามารถตอบโจทย์ การท่องโลกแห่งการเรียนรู้ของเยาวชนคนรุ่นใหม่และประชาชนท่ัวไป จึง ทาให้วิถีการเรียนรู้ยุคปัจจุบัน เปลี่ยนแปลงไป เพราะการเรียนรู้ในยุคนี้เน้นให้ผู้เรียนเป็นศูนย์กลางแห่งการ เรียนรู้ ผู้เรียนเป็นผู้เร่ิมตั้งคาถาม และออกค้นคว้าหาคาตอบด้วยตนเองจากส่ิงต่างๆ รอบตัว ด้วยวิธีการท่ี หลากหลาย เช่น วิธีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ วิธีการระดมสมอง วิธีการสืบค้นจากส่ืออิเล็กทรอนิกส์วิธีการลง มือปฏบิ ตั ลิ องผิดลองถกู เป็นต้น ดงั กล่าวนค้ี อื กุญแจสาคญั ของการเรยี นรสู้ าหรับยคุ ปจั จุบนั การสร้างพ้ืนที่แห่งการเรียนรู้ที่ทันสมัยและสร้างสรรค์ จึงเป็นสิ่งจาเป็นที่ผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่ายต้อง คานึงถึงและเป็นภารกิจเร่งด่วนท่ีจะต้องดาเนินการ (Co - Learning Space) เป็นแนวคิดในการสร้างพื้นที่ แห่งการเรยี นรู้ สาหรบั คนทั่วไป ทส่ี อดคล้องกบั สภาพปัญหา ความต้องการและเป็นพื้นท่ีแห่งการเรียนรู้ให้คน ท่ัวไปได้เรียนรู้ร่วมกัน เพ่ือต่อยอดความต้องการเรียนรู้ ด้วยพ้ืนท่ีแห่งการเรียนรู้ที่ทันสมัย พร้อมส่ิงอานวย ความสะดวกรวมถึงเวลาเปิด - ปิด บริการที่โดนใจผู้รับบริการ ส่งผลให้การเรียนรู้ เป็นเร่ืองสนุก มีความสุข และท้าทาย ประกอบกับ (Co - Learning Space) เป็นแนวคิดในการสร้างพ้ืนท่ีแห่งการเรียนรู้ที่ทันสมัย ท่ี เปน็ ท่ีนิยมกันทง้ั ในประเทศและตา่ งประเทศ สานกั งาน กศน. มนี โยบายให้จัดตั้งศูนย์การเรียนรู้ต้นแบบ (Co - Learning Space) ท่ัวทุกภูมิภาค เป็นพ้ืนท่ีการเรียนรู้ (Co - Learning Space) ที่ทันสมัยสาหรับทุกคน มี ความพรอ้ มในการให้บริการต่างๆ อาทิ พ้ืนท่ีสาหรับการทางาน/การเรียนรู้ พ้ืนท่ีสาหรับกิจกรรมต่างๆ มีห้อง ประชุมขนาดเล็ก รวมท้ังทางานร่วมกับห้องสมุดประชาชนในการให้บริการในรูปแบบห้องสมุดดิจิทัล บริการ อินเทอร์เน็ต สื่อมัลติมีเดีย เพ่ือรองรับการเรียนรู้แบบ Digital Library ด้วยคุณค่า ความสาคัญและความ จาเป็นดังกล่าวนี้ ห้องสมุดประชาชน”เฉลิมราชกุมารี”อาเภอวังทรายพูน จึงได้จัดทา โครงการส่งเสริมการ อา่ นและการเรียนรู้ Co - Learning Space ข้ึน 4. วัตถุประสงค์ 1. เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ในรูปแบบท่ีหลากหลาย และเป็นการเพิ่มศักยภาพการเรียนรู้ด้วยตนเอง ส่งเสริมการเรยี นรู้ตลอดชวี ติ 2. เพื่อจดั กจิ กรรมปลกู ฝงั นสิ ัยรักการอา่ นและพัฒนาการเรยี นรขู้ องกลุ่มเปา้ หมาย 3. เพ่ือสร้างสังคมแห่งการเรียนรู้และส่งเสริมการอ่านแก่นักเรียน/นักศึกษาเยาวชนและประชาชน ทว่ั ไป

5. เปำ้ หมำย เชิงปริมำณ นกั เรียน นักศกึ ษาและประชาชนท่วั ไป จานวน 180 คน เชิงคณุ ภำพ การจัดกิจกรรมการเรียนรู้มีความหลากหลาย มีสื่อพร้อมสาหรับให้บริการ มีบรรยากาศท่ีดี เอ้ือต่อการอ่านและการเรียนรู้ ผู้ใช้บริการมีความสามารถในการแสวงหาความรู้ มีความสามารถในการคิด วิเคราะห์ ตัดสินใจ อันก่อให้เกิดนิสัยรักการอ่าน และเลือกใช้แหล่งเรียนรู้ได้อย่างเหมาะสมเรียนรู้ได้ต่อเนื่อง ตลอดชวี ิต สามารถนาความรูไ้ ปประยุกต์ใชใ้ นชวี ิตประจาวันได้ 6.วธิ กี ำรดำเนนิ งำน กิจกรรม วัตถุประสงค์ กล่มุ เปำ้ หมำย พื้นทดี่ ำเนนิ กำร ระยะเวลำ งบ ประมำณ 1.สารวจความต้องการ เพ่ือทราบถงึ ความต้องการ นกั เรียน นกั ศึกษา กศน.อาเภอ 27 ม.ค.66 - ของผ้เู ขา้ ร่วมโครงการ ของผเู้ ข้าร่วมโครงการแต่ละ และประชาชน วงั ทรายพูน กลุ่ม ทัว่ ไป จานวน 180 คน 2.ประชุมคณะทางาน เพ่ือให้ผ้เู กีย่ วขอ้ งไดร้ ่วมกัน ผบู้ ริหารและ กศน.อาเภอ 27 ม.ค.66 - 30 ม.ค.66 - วางแผนแนวทางการทางาน บุคลากร กศน. วังทรายพูน 30 ม.ค.66 - อาเภอวงั ทรายพนู 3.จดั ทาและเสนอขอ เพ่ือจัดทาโครงการและ ผู้บรหิ ารและ กศน.อาเภอ อนุมัตโิ ครงการ เสนอขออนุมัตโิ ครงการ บคุ ลากร กศน. วังทรายพนู อาเภอวังทรายพนู 4.ประสานเครอื ขา่ ย/ ประสานงานโรงพยาบาล นักเรียน นักศึกษา หอ้ งสมุดประชาชน แหล่งเรียนรู้ / สง่ เสริมสุขภาพประจาตาบล และประชาชน “เฉลิมราชกุมารี” วทิ ยากร หนองปลอ้ ง เพอ่ื ดาเนินการ ทัว่ ไป จานวน 180 อาเภอวังทรายพูน 5.ดาเนินการจัด จดั กจิ กรรมการเรยี นรู้ คน 9 ก.พ.66 5,000 1. เพ่ือส่งเสริมการเรียนรู้ใน นักเรยี น นักศกึ ษา หอ้ งสมดุ ประชาชน 17 ก.พ.66 บาท 24 ก.พ.66 กจิ กรรม รูปแบบที่หลากหลาย และ และประชาชน “เฉลมิ ราชกมุ ารี” 1 ม.ี ค.66 - กจิ กรรมการเรยี นรู้ เป็นการเพิ่มศักยภาพการ ทวั่ ไป จานวน อาเภอวังทรายพนู ศาสตร์พระราชาและ เรียนรู้ดว้ ยตนเอง ส่งเสริม 180 คน การประดิษฐ์สมุดทามือ การเรียนรูต้ ลอดชวี ิต - กจิ กรรมการเรียนรู้ 2. เพ่ือจัดกิจกรรมปลูกฝัง หนงั สอื Bigbook นิ สั ย รั ก ก า ร อ่ า น แ ล ะ - กจิ กรรมหุ่นมอื หรรษา พั ฒ น า ก า ร เ รี ย น รู้ ข อ ง - กิจกรรมการเรียนรู้ กลมุ่ เปา้ หมาย มะกรูดหอมใบเตยสรา้ ง 3. เพ่อื สรา้ งสงั คมแหง่ การ

กจิ กรรม วัตถปุ ระสงค์ กลมุ่ เป้ำหมำย พืน้ ท่ดี ำเนินกำร ระยะเวลำ งบ อาชีพ ประมำณ เรียนรู้และส่งเสริมการอา่ น 6. นเิ ทศ ตดิ ตาม แกน่ ักเรยี น/นกั ศึกษา คณะกรรมการ ห้องสมดุ ประชาชน 9 ก.พ.66 ประเมนิ ผล เยาวชนและประชาชน นิเทศ “เฉลมิ ราชกุมารี” 17 ก.พ.66 -แบบสงั เกตการเข้า ผ้มู าใช้บริการหอ้ งสมุด อาเภอวงั ทรายพนู 24 ก.พ.66 รว่ มกจิ กรรม จังหวัดพจิ ติ ร 1 ม.ี ค.66 - แบบประเมินความ 1.เพื่อตดิ ตามและ พงึ พอใจ ประเมนิ ผลการดาเนินงาน 2. เพือ่ นาผลการประเมนิ ไป ปรับปรุงการดาเนินงาน 7. สรปุ รายงานการ 1.เพื่อจัดทาเป็นข้อมูล บรรณารกั ษ์ หอ้ งสมดุ ประชาชน” เสร็จสิ้น ดาเนนิ งานโครงการ สารสนเทศและการเผยแพร่ เฉลิมราชกมุ ารี” กิจกรรม ประชาสัมพันธ์ ห้องสมุด อาเภอวงั ทรายพูน 2. เพ่ือประเมินผลการ ประชาชน”เฉลิม ดาเนนิ โครงการ ราชกุมารี”อาเภอ 2.รายงานผลต่อผูท้ เี่ กย่ี วขอ้ ง วังทรายพูน 7. งบประมำณ เบิกจ่ายจากเงินงบประมาณปี พ.ศ.2566 แผนงาน : ยุทธศาสตร์เพ่ือสนับสนุนด้านการพัฒนาและเสริมสร้าง ศักยภาพทรัพยากรมนุษย์ โครงการปรับปรุงห้องสมุดประชาชนให้เป็น ศูนย์การเรียนรู้ (Co – Learning Space) งบรายจ่ายอื่น รหัสงบประมาณ 20002340052005000019 จานวนเงิน 5,000.-บาท (-ห้าพันบาทถ้วน-) มีรายละเอยี ดดงั นี้ - คา่ วสั ดุในการจดั กิจกรรม จานวน 5,000 บาท รวมเปน็ เงนิ ท้งั สน้ิ 5,000 บาท (-ห้าพันบาทถว้ น-) หมำยเหตุ: ถัวจ่ำยทุกรำยกำร

8. แผนกำรใชจ้ ำ่ ยงบประมำณ กิจกรรมหลกั ไตรมำสท่ี 1 ไตรมำสที่ 2 ไตรมำสที่ 3 ไตรมำสท่ี 4 ( ต.ค.65 – ธ.ค.65 ) ( ม.ค.66 – ม.ี ค.66) ( เม.ย.66– มิ.ย.66 ) ( ก.ค.66–ก.ย.66 ) 1.สารวจความตอ้ งการในการ ดาเนนิ งาน ดาเนนิ งาน - - จดั กิจกรรม 2.จดั ทาแผนการจดั กจิ กรรม ดาเนินงาน ดาเนนิ งาน - - ดาเนนิ งาน - - 3.ประสานงานผู้เกี่ยวขอ้ ง ดาเนนิ งาน ดาเนนิ งาน - - 5,000 บาท 4.จัดเตรยี มวัสดอุ ปุ กรณ์ ดาเนนิ งาน ดาเนนิ งาน - - ดาเนินงาน - - 5.ดาเนนิ การจัดกจิ กรรม ดาเนนิ งาน 6.ตดิ ตามประเมนิ ผล ดาเนนิ งาน 7.สรปุ รายงานผลการจดั ดาเนนิ งาน กจิ กรรม 9. ผู้รับผดิ ชอบโครงกำร ตาแหน่ง ผูอ้ านวยการ กศน.อาเภอทับคลอ้ 1.นางสาวนภสั วรรณ อฤุ ทธ์ิ รกั ษาการในตาแหนง่ ผูอ้ านวยการ กศน.อาเภอวงั ทรายพนู ตาแหน่ง ครู คศ.1 2.นางนิศารัศมิ์ ไตรยวงค์ ตาแหนง่ ครูผู้ชว่ ย 3.นางสาวกานต์สนิ ี ยอดจนั ทร์ ตาแหนง่ ครอู าสาสมัครการศกึ ษานอกโรงเรยี น 4.นางสาวณฎั ชากร พิศอ่อน ตาแหนง่ ครู กศน.ตาบล 5.นางสาวบานเย็น จูบ้านไร่ ตาแหนง่ ครู กศน.ตาบล 6.นางสาวเหมือนฝนั มสี วัสด์ิ ตาแหน่ง ครู กศน.ตาบล 7.นายสมโพด ราศรี ตาแหนง่ ครู กศน.ตาบล 8.นายจานงค์ กันษา ตาแหน่ง ครู ศูนย์การเรยี นชมุ ชน 9.นางกานดา แกว้ เกตุ ตาแหนง่ บรรณารกั ษ์ 10.นางสาวภาวิณี เจรญิ สขุ 10. สถำนทแ่ี ละวันทีด่ ำเนินงำนกำรจัดกจิ กรรม วนั ท่ีดำเนินกำร วันท่ี 9,17,24 กมุ ภาพันธ์ 2566 และ 1 มีนาคม 2566 สถำนท่ีดำเนนิ กำร ห้องสมดุ ประชาชน “เฉลมิ ราชกมุ ารี”อาเภอวงั ทรายพนู

11. ผลที่คำดวำ่ จะได้รับ - การจัดกิจกรรมการเรียนรู้มีความหลากหลาย มีส่ือพร้อมสาหรับให้บริการ มีบรรยากาศท่ีดี เอ้ือต่อการอ่านและการเรียนรู้ ผู้ใช้บริการมีความสามารถในการแสวงหาความรู้ มีความสามารถในการคิด วิเคราะห์ ตัดสินใจ อันก่อให้เกิดนิสัยรักการอ่าน และเลือกใช้แหล่งเรียนรู้ได้อย่างเหมาะสมเรียนรู้ได้ต่อเนื่อง ตลอดชีวติ สามารถนาความรู้ไปประยกุ ต์ใชใ้ นชีวิตประจาวนั ได้ 12. ดชั นีชี้วัดผลสำเรจ็ ของโครงกำร ตัวช้ีวดั ผลผลติ (Output) - การจัดกิจกรรมการเรียนรู้มีความหลากหลาย มีส่ือพร้อมสาหรับให้บริการ มีบรรยากาศที่ดี เอื้อต่อการอ่านและการเรียนรู้ ผู้ใช้บริการมีความสามารถในการแสวงหาความรู้ มีความสามารถในการคิด วิเคราะห์ ตัดสินใจ อันก่อให้เกิดนิสัยรักการอ่าน และเลือกใช้แหล่งเรียนรู้ได้อย่างเหมาะสมเรียนรู้ได้ต่อเน่ือง ตลอดชีวติ สามารถนาความรู้ไปประยุกต์ใช้ในชวี ิตประจาวนั ได้ ตัวช้วี ัดผลลพั ธ์ (Outcome) การจัดกิจกรรมการเรียนรู้มีความหลากหลาย มีส่ือพร้อมสาหรับให้บริการ มีบรรยากาศที่ดี เอื้อต่อการอ่านและการเรียนรู้ ผู้ใช้บริการมีความสามารถในการแสวงหาความรู้ มีความสามารถในการคิด วิเคราะห์ ตัดสินใจ อันก่อให้เกิดนิสัยรักการอ่าน และเลือกใช้แหล่งเรียนรู้ได้อย่างเหมาะสมเรียนรู้ได้ต่อเนื่อง ตลอดชวี ติ สามารถนาความรไู้ ปประยกุ ตใ์ ช้ในชีวิตประจาวนั ได้ 13. กำรติดตำมประเมินผลโครงกำร 1 .ประเมนิ ความสาเรจ็ ในการดาเนนิ การตามโครงการ - แบบประเมินความพงึ พอใจ 2.การประเมนิ ความพึงพอใจผู้รบั บรกิ าร - แบบประเมนิ ความพงึ พอใจ

บทท่ี 2 เอกสำรท่ีเก่ียวข้อง 1. ศำสตร์พระรำชำ ศาสตรพ์ ระราชา คอื แนวทางการพฒั นาของในหลวงรัชกาลที่ 9 ทม่ี ีความลุ่มลึก รอบด้าน มองการณ์ ไกลและเนน้ ความย่งั ยืนยาวนาน ก่อนท่ีประชาคมโลกจะต่ืนตัวในเรื่องนี้ เป็นแนวทางการพัฒนาที่มุ่งยกระดับ คุณภาพชีวิตของคนไทยทุกหมู่เหล่า องค์ประกอบของศาสตร์พระราชา คือ การศึกษาและสุขภาพ การเพ่ิม ผลติ ภาพการผลิต การคน้ ควา้ วิจัยการบริหารความเส่ียง การอนุรักษ์ธรรมชาติ และปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง แตล่ ะองคป์ ระกอบลว้ นมีส่วนชว่ ยยกระดบั คณุ ภาพชวี ติ ของทกุ ผู้ทุกคน โดยเฉพาะ คนจนผูย้ ากไร้ หลกั กำรทำงำน ตำมศำสตร์พระรำชำ เข้าใจ.เข้าถึง.พัฒนา. เป็นวิธีการแห่งศาสตร์พระราชาเพื่อการพัฒนาท่ีย่ังยืน ท่ีพระบาทสมเด็จ พระปรมินทรมหาภมู พิ ลอดุลยเดชทรงใช้เป็นวธิ ีการทรงงานมาตลอดรัชสมัย ศำสตร์พระรำชำ มนี ยั ยะกว้างขวางมาก ศาสตรแ์ ปลว่า ความรทู้ ่ีเป็นระบบ เชื่อถือได้ผ่านการพิสูจน์ มาแล้วความรขู้ องพระเจา้ แผน่ ดนิ พระองคน์ ้ี มที ้งั ดา้ นทเี่ ป็นวทิ ยาศาสตร์ธรรมชาติมีทั้งวิทยาศาสตร์ประยุกต์มี ท้ังสังคมศาสตร์มีทั้งมานุษยวิทยา มนุษยศาสตร์ คือ มีทุกมิติ ถ้าเราติดตาม/ดูงานท่ีพระองค์ท่านทรงงานมา มากว่า 70 ปีพระองค์ทรงทาเป็นตัวอย่างมาให้ดูท้ังหมด 1,500 กว่าแห่ง มีทุกศาสตร์ มีทั้งจริยธรรมศาสตร์ ศาสนา มีทกุ มติ ิ ปรัชญำเศรษฐกิจพอเพียง เป็นศาสตร์ว่าด้วยการพัฒนามนุษย์ท่ีสาเร็จท่ีสุดในโลก มีศาสตร์ว่าด้วย การเกษตรศาสตร์วา่ ดว้ ยเร่ืองดิน ศาสตรเ์ ร่ืองนา เรอื่ งดินพระองค์ท่านทรงมีความเช่ียวชาญ จนท่ัวโลกยกย่อง ให้วันเกิดพระองค์ท่าน คือวันที่ 5 ธันวาคม เป็น “วันดินโลก” หรือแม้แต่น้า ศาสตร์ว่าด้วยเร่ืองน้า “ฝนหลวง” ที่ทรงศึกษาวิจัยในการให้เมฆรวมตัวกันเป็นก้อนโต แล้วทาให้เป็นฝนตกลงมาได้พระองค์ทรงทา สาเร็จจนได้รางวัล การสรา้ งเขือ่ น ฝายชะลอน้า ศาสตร์เรื่องป่าไม้ท่ีเป็น “พื้นท่ีต้นน้า” ช่วยสร้างความชุ่มชื่น ศาสตร์เรื่องการจัดการดิน การป้องกันชะล้างหน้าดิน เก็บความสมบูรณ์ของดิน บนเขา บนพื้นท่ีลาดชัน ด้วย “หญ้าแฝก ที่เปรียบเสมือนกาแพงท่ีมีชีวิต” พระองค์เข้าใจเรื่องการใช้หญ้าแฝก อย่างลึกซึ่ง ในการป้องกัน ความเสื่อมโทรมของดิน เก็บน้าและความอุดมสมบรู ณ์ ให้คงอยู่ตลอดไป แม้แต่น้าท่ีไหลบ่าท่วมบ้านเรือน ทรง คดิ วิธีกกั เก็บด้วยโครงการ “แก้มลงิ ” การบาบัดนา้ เสยี ดว้ ยเครือ่ งกลเตมิ อากาศ “กงั หนั ชยั พฒั นา” ทรงทางาน วิจัยท้ังในวังและในไร่นาเกษตรกร ทรงคิดค้น “ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง” และ“เกษตรทฤษฎีใหม่”ที่มีการ ปรับใช้ท้ังในพ้ืนท่ีราบลุ่มและบนพื้นท่ีสูงชัน บางคนก็เรียก ศาสตร์พระราชาศาสตร์ว่าเป็นศาสตร์แห่งการ พัฒนาที่ยิ่งใหญ่ ทรงให้ความสาคัญกับทุกปัญหาทุกความทุกข์ของพสกนิกร จนเกิดศาสตร์พระราชามากกว่า 4,500 กรณีศกึ ษา2

โครงกำรเกษตรทฤษฎีใหม่ โครงการเกษตรทฤษฎใี หม่ คอื การบริหารจดั การท่ดี นิ เพ่ือการเกษตร ตามแนวพระราชดารแิ ห่งองค์ พระบาทสมเดจ็ พระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ท่ีทรงคิดค้น/วิจัย เกษตรทฤษฎีใหม่ มาต้ังแต่ปี พ.ศ.2532 ในพน้ื ที่สว่ นพระองค์ขนาด 16 ไร่ 2 งาน 23 ตารางวา ที่ ต.ห้วยบง อ.เมือง จ.สระบรุ ี และทรงเผยแพร่ตั้งแต่ปี 2537 เพื่อแกไ้ ขปัญหา เกษตรกรรมที่ในเขตแหง้ แลง้ ขาดแคลนน้าในการเกษตร โดยเฉพาะการเกษตรที่อาศัย น้าฝนเป็นหลัก ซึ่งมีความเสี่ยงสูงในการขาดแคลนน้า กรณีฝนทิ้งช่วงและปริมาณน้าฝนไม่เพียงพอใน การเพาะปลกู เป็นทฤษฎแี หง่ การบริหารจดั การ ดนิ ท่ีดิน น้า และเวลา ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด โดยเฉพาะ เกษตรกรรายยอ่ ย ท่มี ีทดี่ ินจานวนนอ้ ยสามารถเล้ยี งตัวเองได้ มีความมัน่ คงดา้ นอาหาร คอื มีข้าว มพี ชื ผัก และ อาหารโปรตนี จากการเลี้ยงสัตว์ เช่น ไก่ หมู ปลาฯลฯ ไว้บรโิ ภคได้ตลอดท้ังปี มีการนาหลักเศรษฐกิจพอเพียง มาปฏิบตั ิ ให้เปน็ รปู ธรรม อย่างเหมาะสม สอดคลอ้ งกบั สภาพปัญหาและทรพั ยากรทมี่ ี ตั้งแตก่ ารทาการเกษตร แบบพอเพยี ง เพื่อการเลยี้ งชีพ เล้ยี งครอบครัว ไปจนถึงการพฒั นาการเกษตรแบบประณีต เพิ่มมูลค่า สามารถ ใหผ้ ลตอบแทนเชงิ เศรษฐกิจที่สงู มากขึน้ ในทุกครา ทพี่ ระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ เสด็จพระราชดาเนินไปทรงเยี่ยมราษฎร ตามพื้นที่ต่างๆ ทั่วประเทศนั้น ทรงสอบถาม และทอดพระเนตรพบสภาพปัญหาการขาดแคลนน้า เกิดแรงดลพระราชหฤทัย อันเป็นแนวคดิ ข้ึนวา่ 1. ข้าวเป็นสิ่งจาเป็นในวิถีชีวิตของคนไทย หากได้น้าเพียงพอ จะสามารถเพ่ิมปริมาณผลผลิตข้าวได้ มากยงิ่ ข้ึน 2. หากเก็บนา้ ฝนทต่ี กลงมาไวไ้ ดแ้ ลว้ นามาใช้ในการเพาะปลกู ก็จะสามารถเก็บเก่ียวผลผลิตต่างๆ ได้ มากขึ้นเชน่ กัน 3. การสรา้ งอา่ งเก็บน้าขนาดใหญ่ นับวนั แตจ่ ะยากทจ่ี ะดาเนนิ การได้ เน่ืองจากการขยายตวั ของชุมชน มีขอ้ จากดั และอาจเกดิ ผลกระทบหลายอย่าง 4. หากแตล่ ะครัวเรอื น มสี ระน้าประจาไร่นาทกุ ครัวเรือนแล้ว เมือ่ รวมปรมิ าณกันกย็ ่อมเทา่ กบั ปรมิ าณ ในอา่ งเก็บน้าขนาดใหญ่ ทาได้งา่ ย ส้นิ คา่ ใช้จา่ ยนอ้ ย และเกิดประโยชนส์ งู โดยตรง มากกวา่

ในเวลาต่อมา ได้พระราชทานพระราชดาริ ให้ทาการทดลอง \"ทฤษฎีใหม่\" เก่ียวกับการจัดการที่ดิน และแหลง่ น้าเพ่ือการเกษตรขน้ึ ณ วดั มงคลชัยพฒั นา ตาบลหว้ ยบง อาเภอเมอื งจังหวดั สระบุรี แนวทฤษฎีใหม่ กาหนดข้นึ โดยใหแ้ บ่งพ้ืนท่ีถอื ครอง ทางการเกษตร ซ่งึ โดยเฉลี่ยแลว้ เกษตรกรไทย มีเนือ้ ท่ีดินประมาณ 10-15 ไร/่ ครอบครัว แบ่งออกเป็นสดั สว่ น 30 – 30 – 30 - 10 คอื กรณีทม่ี ี พน้ื ที่ 15 ไร่ จะแบง่ ได้ดงั น้ี สว่ นแรก : รอ้ ยละ 30 เน้ือทเี่ ฉลย่ี 4.5 ไร่ ใหท้ าการขดุ สระกกั เก็บน้าไวใ้ ชใ้ นการเพาะปลกู โดยมีความ ลึกประมาณ 3 เมตร ซึ่งจะสามารถรับน้าได้จุถึง 20,000 ลูกบาศก์เมตร โดยการรองรับจากน้าฝน ราษฎรจะ สามารถนาน้านี้ไปใช้ในการเกษตร ได้ตลอดปีและยังสามารถเลี้ยงปลาและปลูกพืชน้า พืชริมสระเพ่ือเพ่ิม รายไดใ้ ห้กบั ครอบครัวอกี ทางหนึ่งดว้ ย ส่วนท่ีสอง : ร้อยละ 60 เน้ือที่เฉลี่ย ประมาณ 9.0 ไร่ เป็นพ้ืนท่ีทาการเกษตรปลูกพืชผลต่าง ๆ โดย แบ่งพื้นที่นี้ออกเป็น 2 ส่วน คือ ร้อยละ 30 ในส่วนท่ีหน่ึง : ทานาข้าว ประมาณ 4.5 ไร่ ร้อยละ 30 ในส่วนท่ี สอง ปลูกพืชไร่หรือพืชสวน ตามแต่สภาพของพ้ืนที่และภาวะตลาด ประมาณ 4.5 ไร่ พระบาทสมเด็จพระ เจ้าอยู่หัว ทรงคานวณ โดยใช้หลักเกณฑ์ ว่า ในพ้ืนที่ทาการเกษตรน้ี ต้องมีน้าใช้ในช่วงฤดูแล้ง ประมาณ 1,000 ลูกบาศก์เมตร/ไร่ ถ้าหากแบ่ง แต่ละแปลงเกษตรให้มีเนื้อที่ 4 ไร่ ทั้ง 2 แห่งแล้ว ความต้องการน้า จะตอ้ ง ใช้ประมาณ 9,000 ลกู บาศก์เมตร ท่จี ะตอ้ งเป็นนา้ สารองไว้ใช้ ในยามฤดแู ล้ง ส่วนท่ีสาม : รอ้ ยละ 10 เปน็ พ้ืนที่ทเ่ี หลอื มเี นือ้ ทเี่ ฉลีย่ ประมาณ 1.5 ไร่ จัดเปน็ ท่ีอยู่อาศัย ทางลาเลียง คันดินป้องกันน้าท่วม ร่องคู พ้ืนท่ีปลูกพืชสวนครัว-หลุมพอเพียง เล้า/คอก ปศุสัตว์หากมีการรวมกลุ่ม หรือมี การผลิต/จาหน่ายในรูปสหกรณ์ ก็จะเพ่ิมอานาจต่อรองในการซื้อ-ขาย มีการเชื่อมโยง/ประสานงาน ในการ จัดหาแหล่งเงินทุน การแปรรูป การพัฒนาผลิตภัณฑ์ และช่องทางกาตลาด ท้ังในชุมชนข้างเคียงตลาดภายใน และตลาดต่างประเทศ ท้ังในระดับบุคคล หรือองค์กร ให้ได้รับประโยชน์ร่วมกัน บนพ้ืนฐานของคุณธรรม ที่มี การสนับสนุนและเกื้อกูลซ่ึงกันและกนั และรองรับการพัฒนาดา้ นตา่ งๆ จากราชการหรอื ภาคเอกชน ได้สะดวก และมีประสิทธภิ าพ มากข้นึ

เศรษฐกิจพอเพียง พระบาทสมเด็จพระปรมนิ ทรมหาภูมิพลอดลุ ยเดช ทรงพระราชทาน ปรชั ญาเศรษฐกิจพอเพียง เพื่อเป็นแนวทางในการด าเนินชีวิต แก่พสกนิกรชาวไทย มาตั้งแต่ พ.ศ. 2517 ก่อนเกิดวิกฤตการณ์ทาง เศรษฐกิจและเมื่อวันท่ี 4 ธันวาคม พ.ศ. 2540 ได้ทรงเน้นย้าแนวทางการแก้ไข เพื่อให้รอดพ้น และสามารถ ดารงอยู่ได้อย่างม่ันคงและยั่งยืน ภายใต้กระแสโลกาภิวัตน์ และความเปลี่ยนแปลงต่างๆ ของโลก อยู่ ตลอดเวลา ทรงช้ีแนะแนวทางการดาเนนิ ชีวิตและการปฏิบตั แิ ก่ประชาชน โดยยดึ หลัก “ทางสายกลาง” สรุป ความหมายเศรษฐกิจพอเพยี ง ออกเปน็ หลกั สาคญั คอื ปรชั ญา/หลัก 3 หว่ ง 2 เง่อื นไข ดงั นี้ ปรัชญา/หลกั 3 หว่ ง คือ 1. หลักความพอประมาณ หมายถงึ ความพอดที ไ่ี ม่น้อยไป และไมม่ ากเกนิ ไป โดยไมเ่ บียดเบียนตนเอง และผ้อู ่นื เชน่ การผลติ การบริโภค การใช้จา่ ย ฯลฯ ท่ีอย่ใู นระดบั พอประมาณ 2. หลักความมีเหตุผล หมายถึง การตัดสินใจเกี่ยวกับระดับความพอเพียง น้ัน จะต้องเป็นไปอย่างมี เหตุผลโดยพิจารณาจากเหตุปัจจัย ท่ีเกี่ยวข้อง ตลอดจนคานึงถึงผลที่คาดว่าจะเกิดข้ึนจากการกระทานั้นๆ อยา่ งรอบคอบ 3. หลักการสร้างภูมิคุ้มกัน หมายถึง การเตรียมตัวให้พร้อมรับผลกระทบและการเปลี่ยนแปลงด้าน ต่างๆ ทจ่ี ะเกดิ ข้นึ โดยคานงึ ถึงความเปน็ ไปไดข้ องสถานการณ์ต่างๆ ท่ีคาดว่าจะเกิดขน้ึ ในอนาคต โดยมเี ง่ือนไข ของกำรตดั สินใจและดำเนนิ กจิ กรรมให้อยูใ่ นระดบั พอเพยี ง ๒ ประกำร คอื 1. เงื่อนไขความรู้ประกอบด้วย ความรอบรู้เกี่ยวกับวิชาการต่างๆ ที่เก่ียวข้องรอบด้าน เพ่ือจะนา ความรู้เหลา่ นั้นมาพิจารณาใหเ้ ช่อื มโยงกนั เพอ่ื ประกอบการวางแผน และระมดั ระวงั ในการปฏิบตั ิ 2. เงื่อนไขคุณธรรม ท่ีจะต้องเสริมสร้าง ประกอบด้วย มีความตระหนักใน คุณธรรม มีความซ่ือสัตย์ สจุ ริต มคี วามอดทน มีความเพียร และมีการแบง่ ปนั ใชส้ ตปิ ญั ญาในการดาเนนิ ชีวติ

ส่ิงสำคญั ของเศรษฐกิจพอเพยี ง คือ 1. มีความเชื่อในแนวคิดการพง่ึ ตนเอง 2. มีความเข้าใจคาว่า \"บูรณาการ” โดยไม่ยึดเร่ืองใดเรื่องหนึ่งเป็นสรณะ สามารถเลือกเร่ืองที่ เหมาะสมมาประยุกต์ใช้ และสามารถเปลี่ยนแปลงได้ตามสถานการณ์ ซึ่งไม่มีสูตรสาเร็จ เป็นการขับเคลื่อนไป ใหส้ อดคลอ้ งกบั สภาพแวดลอ้ มทเี่ ปลีย่ นแปลง 3. เคารพในภูมิปัญญา โดยเคารพว่าภูมิปัญญาเกิดจากการเรียนรู้ร่วมกัน ไม่ใช่เช่ือว่า ส่ิงที่ตนเองคิด นัน้ ถกู ตอ้ งเพราะฉะนนั้ การเรยี นร้รู ่วมกันผา่ นศูนยเ์ รียนรู้จึงมีความสาคัญ 4. เคารพในระบบนิเวศ เข้าใจความสมบูรณ์และให้คุณค่ากับความอุดมสมบูรณ์ ของทรัพยากรธรรมชาติ ส่ิงแวดลอ้ ม และระบบนเิ วศ 5. มคี วามเข้าใจแก่นของ \"สงั คมมีสขุ ” และใหค้ วามสาคญั กบั ครอบครวั และชมุ ชน ปจั จัยแหง่ ควำมสำเร็จ (ของเกษตรกร) 1. เกษตรกรต้องสมคั รใจในการประกอบอาชพี การเกษตร 2. ตอ้ งรู้จกั ตนเองและรู้ศกั ยภาพตนเอง 3. มคี วามรู้ สามารถจดั การองคค์ วามรู้ ทดลอง ทดสอบ รวมถึงการหาวทิ ยากรทเ่ี หมาะสม 4. รูจ้ กั ออม ประหยัด 5. มีกัลยาณมิตร เพอื่ สรา้ งเครอื ข่าย รวมพลังกนั 6. มีคุณธรรม จรยิ ธรรม 7. มีความขยนั และอดทน วธิ กี ารทางานทไ่ี ดผ้ ล หน่วยงานราชการที่เกยี่ วข้องจะต้องเขา้ ไปสนับสนนุ การปฏิบัติงานของปราชญ์ ชาวบา้ นเชน่ ตามความตอ้ งการในแผนแมบ่ ทชมุ ชน มากกวา่ จะเปน็ ตัวหลกั ในการพฒั นาเหมอื นทผ่ี ่านมาในอดตี เกษตรทฤษฎใี หม:่ ศำสตรพ์ ระรำชำสู่โคก หนอง นำ โมเดล เทคนิคการสร้างหลมุ ขนมครกในไร่ คือ การนาศาสตร์พระราชา ร่วมกับภูมิปญั ญาทอ้ งถน่ิ นามาสู่การ ออกแบบพ้ืนท่ี 1 พื้นท่ี จานวนกี่ไร่ก็ได้ ให้สามารถเก็บน้าฝนในพื้นท่ีน้ันๆ ไว้ให้ได้ทั้ง 100% โดยต้องมีการ คานวณปริมาณน้าฝนท่ีตกลงมา น้าสาหรับการบริโภค และปลูกข้าวซ่ึงเป็นหลักการสาคัญของเกษตรทฤษฎี ใหม่ นอกจากน้ันยังนาศาสตร์พระราชาด้านการจัดการ ดิน น้า ป่า มาใช้เพื่อฟ้ืนฟูระบบนิเวศในภาพรวม ทั้ง การกั้นฝายชะลอน้า ฝายชุ่มช้ืน การบาบัดน้าเสีย การปลูกแฝก และป่า 3 อย่างประโยชน์ 4 อย่าง ส่วนภูมิ ปัญญาท้องถ่ินนั้นได้แก่ การนาดินท่ีขุดจากหนองมาทาโคก การขุดหนองคดโค้งเพ่ือเพิ่มพื้นที่รอบหนอง และ

เพ่ือให้เป็นท่ีอยู่อาศัยของปลา การขุดคลองไส้ไก่เพื่อเพิ่มความชุ่มช้ืนในพ้ืนที่ การยกหัวคันนาสูงเพื่อกักเก็บ น้าฝน การทานานา้ ลกึ โดยใชร้ ะดับน้าในทอ้ งนาควบคุมวัชพชื และศัตรพู ืช หลุมขนมครก เมื่อนามาปฏิบัติ จะแตกต่างตามพ้ืนที่ลุ่ม และพ้ืนที่สูง แบ่งได้เป็น 2 รูปแบบ คือ ในพื้นท่ีล่มุ ใช้รูปแบบ “โคก หนอง นา โมเดล” ในพ้ืนทส่ี งู ใชก้ าร “เปล่ียนเขาหัวโลน้ เป็นเขาหัวจุก” เชน่ พ้นื ท่ลี มุ่ : โคกหนองนำ โมเดล คอื รูปธรรมของหลุมขนมครก ซ่ึงเรียกให้ง่ำยต่อกำรจดจำ – โคก การนาดินที่ได้จากการขุดหนอง นามาถมเป็นโคกเพื่อสร้างที่อยู่อาศัย ปลูกผัก เลี้ยงสัตว์ รวมท้ังปลูกต้นไม้ตามแนวทางศาสตร์พระราชา คือ “ป่า 3 อย่าง ประโยชน์ 4 อย่าง” ได้แก่ ไม้เพ่ือบริโภค (พอกิน) เพือ่ ใช้สอยในครวั เรือน(พอใช้) และเพื่อสรา้ งทอ่ี ยู่อาศัย (พออยู่) ปา่ ทั้ง 3 อย่าง ให้ประโยชน์อย่างที่ 4 คือช่วยสร้างสมดุลระบบนิเวศ (พอร่มเย็น) ปลูกเป็นป่า 5 ระดับคือ สูง กลาง เตี้ย เรี่ยดิน และพืชหัว ใบไม้ที่ ร่วงหล่นช่วยปกคลุมหน้าดินเพิ่มความชุ่มช้ืน *น้าใต้ดินท่ีสะสมไว้ใต้โคก เม่ือฝนตกลงมาบนโคกท่ีมีต้นไม้ จานวนมาก น้าจะค่อยๆ ไหลซมึ ลงมาเก็บไวใ้ ตโ้ คก รากต้นไม้ซ่ึงต่างระดับกันจะช่วยรักษาหน้าดิน และกักเก็บ น้าไวใ้ ตด้ นิ กลายเป็นแหลง่ กกั เก็บน้าใต้ดนิ ชว่ ยสร้างความชุ่มช้ืน เพ่ิมความอดุ มสมบูรณใ์ ห้กับพ้นื ดิน – หนอง ขุดหนองใหข้ อบมีความคดโค้ง เพอื่ ให้เหมาะสมกบั การอยู่อาศัยของปลา ปรบั พ้ืนหนองให้มี ความลกึ หลายระดบั สว่ นทีแ่ สงแดดสอ่ งถึง ปลาจะสามารถวางไขไ่ ด้ด*ี คลองไส้ไก่ ช่วยกระจายนา้ รอบพ้ืนท่ี ขุดใหม้ ลี ักษณะคดเค้ยี วเพื่อใหน้ ้าไหลผ่านท่ัวพ้ืนท่ี เพม่ิ ความชุม่ ช้ืนให้กบั ผนื ดนิ ส่งผลดีตอ่ การท าเกษตรและ การปลูกพชื ผล * ฝายชะลอน้า รบั และชะลอน้าทไี่ หลมาจากแม่นา้ หรอื พืน้ ท่ีขา้ งเคยี ง ชว่ ยดกั ตะกอนดนิ ไมใ่ ห้ ไหลลงมาสะสมในหนอง คลอง บงึ และเขือ่ นนอกจากนนั้ ยงั เปน็ การเพมิ่ แหลง่ กกั เก็บน้าในพน้ื ท่ี – นา ยกหัวคันนา เพอื่ เพ่มิ พน้ื ท่ีกักเก็บนา้ ไวใ้ นนา โดยใหม้ คี วามสูงประมาณ 1 เมตร และปน้ั หวั คนั นาใหม้ ีความกว้างเพื่อปลกู “ปา่ 3 อย่าง ประโยชน์ 4 อยา่ ง” และปลูกแฝก เพือ่ ปอ้ งกนั การพงั ทลายของคนั นา คนั นาจะใช้เป็นเครอ่ื งมือในการปรับระดบั น้าเข้านาตามความสงู ของตน้ ขา้ ว เกิดเปน็ นาน้าลึก ใช้นา้ ในการ ควบคมุ วชั พชื และแมลงตามภมู ิปัญญาทอ้ งถิ่น

2. พ้นื ทส่ี งู : เปล่ยี น “เขำหัวโลน้ ” เป็น “เขำหัวจกุ ” เม่ือประยุกต์ใช้ โคกหนองนา โมเดล ให้เข้ากับภูมิสังคม พื้นท่ีภูเขา คือโคกตามธรรมชาติ จึงไม่ จาเป็นต้องสรา้ งโคกอีก ส่วนหนองน้ันเปล่ียนเป็นการก้ันฝายในพ้ืนที่ร่องเขาเพื่อเก็บน้าไว้ ทานาขั้นบันได โดย ยกหัวคันนาสูงและกว้าง เพื่อเก็บน้าฝนที่ตกลงมาบนภูเขาให้ได้มากท่ีสุด สร้างบ่อเก็บน้าจากวัสดุในพื้นที่ไว้ ด้านบน เพ่อื ปล่อยน้าผ่านคลองไสไ้ ก่ หรือท่เี รียกว่าลาเหมืองกระจายให้ท่ัวพื้นที่ และปลูกแฝกเพื่อป้องกันการ พังทลายของดิน ปลูกป่า 3 อย่างประโยชน์ 4 อย่าง เพ่ือพอกิน พออยู่ พอใช้ และคืนความร่มเย็นให้ระบบ นิเวศ รปู แบบนีจ้ ะใช้พ้นื ทเ่ี พียง 10 ไร่ สามารถใหผ้ ลผลติ มากกวา่ การปลกู ขา้ วโพดท้ังภูเขา – โคก พ้ืนที่สูงในลักษณะภูเขาเป็นโคกโดยธรรมชาติ จึงเน้นการปลูก “ป่า 3 อย่าง ประโยชน์ 4 อย่าง” เพอื่ ช่วยสรา้ งสมดุลระบบนิเวศ แตเ่ นอ่ื งจากพืน้ ทีข่ าดความชมุ่ ชน้ื จึงต้องเพ่ิมความชุ่มชื้นให้กลับคืนมา ดว้ ยการสูบนา้ จากร่องเขามาทีบ่ อ่ เก็บนา้ และกระจายผา่ นลาเหมอื งให้ท่ัวพ้นื ที่ “เขาหวั จุก” – หนอง เกิดจากการกักน้าไว้ในร่องเขาให้เพ่ิมระดับสูงขึ้นด้วยการท าฝายชะลอน้า บ่อเก็บน้า สร้าง บ่อเก็บน้าไว้บนที่สูงโดยใช้วัสดุที่หาได้ง่ายในพ้ืนท่ี เช่น ไม้ไผ่ ท าบ่อโครงไม้ไผ่ฉาบปูน สูบน้าจากฝายขึ้นบ่อ ดว้ ยพลงั งานทดแทน เมอ่ื นา้ เกินปรมิ าณกักเก็บของบ่อ ปล่อยน้าไหลลงคลองไส้ไก่ หรือ “ลาเหมือง” ซ่ึงขุดไล่ ตามระดบั ช้นั ความสูงของพ้นื ท่ี เพื่อกระจายความชุ่มชืน้ – นา ทานาข้ันบันได ยกหวั คนั นาสงู และกว้าง เพอ่ื กักเกบ็ น้าฝนที่ตกลงมาไว้ในทอ้ งนา และปลกู แฝก ชะลอการพังทลายของดนิ ทานานา้ ลกึ เปน็ นาอินทรยี ์โดยการใช้น้าควบคมุ วัชพชื และเร่งระดบั ความสงู ของตน้ ข้าว เพ่มิ ผลผลติ

หลักในกำรทรงงำนของในหลวง(ศำสตร์พระรำชำ) 23 ขอ้ หลักในกำรทรงงำน ขอ้ ที่ 1 จะทำอะไรต้องศึกษำข้อมลู ใหเ้ ป็นระบบ อดตี ทาอะไรมาบา้ ง ทง้ั เอกสาร สอบถามเจา้ หน้าทแ่ี ละชาวบ้าน เพื่อน าขอ้ มูลไปใชป้ ระโยชน์ได้จรงิ ๆ ขอ้ ที่ 2 ระเบดิ จำกภำยใน สร้างความเข้มแขง็ จากภายในให้เกิดความเขา้ ใจ และอยากทา ข้อท่ี 3 แก้ปญั หำจำกจุดเลก็ มองภาพรวมก่อนเสมอ แต่การแกป้ ญั หาตอ้ งเรม่ิ จากจดุ เล็กๆ ไม่เริ่มทเี ดยี วใหญ่ๆ ขอ้ ที่ 4 ทำตำมลำดบั ขนั้ เรมิ่ ทาจากความจาเปน็ ก่อน สง่ิ ทีข่ าดคือสง่ิ ทจี่ าเปน็ ขอ้ ที่ 5 ภมู ิสงั คม ภูมศิ ำสตร์ สงั คมศำสตร์ การทางานทกุ อย่าง ต้องคานึงถึงภูมิศาสตร์วา่ อยู่แถบไหน อากาศ เปน็ อย่างไร ตดิ ชายแดน ตดิ ทะเล และ สงั คมของเราเปน็ อยา่ งไร นบั ถอื ศาสนาอะไร คนนสิ ยั ใจคอ เป็นอยา่ งไร รวมไปถงึ พวกเรากันเองดว้ ย ขอ้ ที่ 6 ทำงำนแบบองคร์ วม โดยคิดความเชอ่ื มโยง ทรงมองเหตกุ ารณท์ เี่ กิดขน้ึ และมีแนวโนม้ ทางแก้ไขอยา่ ง เชอ่ื มโยง องค์รวม <-------------> ครบวงจร เชื่อมโยง “เด็ดดอกไม้สะเทอื นถงึ ดวงดาว” ขอ้ ที่ 7 ไมต่ ดิ ตำรำ ความรทู้ ่วมหวั เอาตวั ไมร่ อด บางครัง้ เรายดึ ทฤษฎีจนเกินไปทาอะไรไมไ่ ด้เลย ขอ้ ท่ี 8 ประหยัด เรียบงา่ ย ใชเ้ งนิ น้อย แต่ไดป้ ระโยชน์สงู สุด ทาได้เอง หาไดเ้ องในท้องถ่นิ ใชเ้ ทคโนโลยงี า่ ยๆ ขอ้ ที่ 9 ทำให้งำ่ ย ทาอะไรใหง้ า่ ยๆ ทาใหช้ วี ติ งา่ ย โปรดทาส่งิ ยากๆ ให้กลายเป็นสง่ิ ท่งี า่ ยๆ ขอ้ ที่ 10 กำรมีส่วนรว่ ม เปดิ โอกาสให้มกี ารแสดงความคิดเห็น ข้อที่ 11 ต้องยดึ ประโยชน์สว่ นรวม จากพระราชดารสั ใครตอ่ ใครชอบบอกใหน้ ึกถงึ ประโยชนส์ ว่ นรวม ให้ ส่วนรวมคอื การชว่ ยตวั เองดว้ ย เพราะเม่ือส่วนรวมได้ประโยชน์ เราเองกไ็ ด้ประโยชน์ ข้อท่ี 12 บริกำรที่จุดเดยี ว วันน้ีเราพดู วันสตอ๊ ปเซอรว์ ิส แตใ่ นหลวงตรสั ไวเ้ กิน 20 ปมี าแลว้ ข้อท่ี 13 ใชธ้ รรมชำตชิ ่วยธรรมชำติ มองธรรมชาติให้ออก กักน้าตามลาธารช่วยให้ป่าสมบูรณ์ช่วยให้ชาวเขา มีอาชีพ ข้อท่ี 14 ใชอ้ ธรรมปรำบอธรรม เชน่ เอาผักตบชวาท่ีเป็นปญั หาของเราในประเทศ มากาจดั นา้ เสยี ข้อท่ี 15 ปลกู ปำ่ ในใจคน ตอ้ งปลกู ปา่ ท่จี ิตสานึกกอ่ น ต้องให้เห็นคณุ คา่ กอ่ นท่จี ะลงมอื ท า ข้อท่ี 16 ขำดทุนคือกำไร อย่ามองที่กาไรขาดทุนที่เป็นตัวเงินมากจนเกินไป บางครั้งเราได้กาไรจากการ ขาดทุน - ลงทุนมหาศาล ไดธ้ รรมชาตกิ ลบั คืนมา - ลงทุนมหาศาล ได้ลกู คนื มา - ลงทนุ มหาศาล ไดค้ นดๆี กลับมา - ลงทุนมหาศาล ไดค้ วามรูไ้ วค้ อยชว่ ยเหลอื ขอ้ ที่ 17 กำรพงึ่ ตนเอง ในหลวงทรงสอนใหพ้ วกเราพง่ึ ตนเอง เพราสงั คมบริโภค จะเป็นทาสของผู้ผลิต การพึ่งตนเองได้ทาให้ ไม่ต้องเปน็ ทาสใคร เมือ่ แกป้ ัญหาเฉพาะหนา้ แลว้ พยายามพ่ึงตนเองใหไ้ ด้ ข้อที่ 18 พออย่พู อกนิ พออยู่พอกินก่อน แล้วค่อยพัฒนา เราขอให้บาบัดให้ได้ก่อน==> ประคับประคอง==> เป็นที่ ปรกึ ษา==>เปน็ ผูช้ ว่ ยเหลือผู้อนื่ ต่อไป

ขอ้ ท่ี 19 เศรษฐกจิ พอเพียง เป็นแนวทางการต่อสูร้ บั มอื ความเปลยี่ นแปลงของโลก การขจดั ความหวิ โหย ทีต่ ้องคานึงถึงเร่ืองความ พอดโี ดยอาศัยหลักเศรษฐกิจพอเพยี ง ขอ้ ที่ 20 ควำมซอ่ื สัตยส์ ุจรติ จรงิ ใจตอ่ กนั คนท่ีมคี วามรมู้ าก แต่โกง สู้คนทไ่ี ม่เก่ง แต่ดีไม่ได้ วรี บรุ ุษ วีรสตรคี อื คณุ ธรรม ทท่ี าประโยชนเ์ พอ่ื ผ้อู ื่น พวกเราที่ทางานยาเสพติด คอื วรี บุรษุ วรี สตรีผูห้ นง่ึ ขอ้ ที่ 21 ทำงำนอย่ำงมีควำมสุข “ทางานกับฉนั ฉันไม่มีอะไรจะให้ ฉนั มแี ต่ความสขุ ท่รี ่วมกันในการท าประโยชนใ์ ห้กับผ้อู ่ืนเท่าน้ัน” ทาอะไรตอ้ งมคี วามสขุ ดว้ ย ขอ้ ท่ี 22 ควำมเพียร กว่า 60 ปที ีท่ รงงาน ในหลวงไม่เคยทรงทอ้ ถอย ไม่มกี ารลาพกั รอ้ น หยุดงานสักเวลาเดยี ว ข้อท่ี 23 รู้ รกั สำมคั คี คดิ เพอื่ งำน รู้ = ต้องรูป้ ัจจยั รูป้ ญั หา รู้ทางออก ของปัญหา รกั = เมือ่ รูแ้ ล้ว ต้องเกิดความอยาก สามัคค=ี รว่ มมอื ลงมอื ปฏิบัตเิ พอ่ื เกิดพลงั 2. สมดุ ทำมือ สมดุ ทามือ 5 แบบง่าย ๆ ใครก็ทาได้ สมดุ และหนังสอื มรี ูปแบบดีไซนท์ แี่ ตกต่างกนั ออกไป ขึน้ อยูก่ บั ความชอบ และประเภทการใชง้ านของแต่ละคน อกี ท้ังยงั ช่วยสรา้ งประโยชน์ อย่างไม่ทันสงั เกต จนกลายมา เปน็ ส่วนหนึง่ ใน ชีวิตปร ะ จา วนั ของเราโดยทเี่ ราไมร่ ตู้ วั ในบทความนี้ Hilmyna จะพาผู้อา่ นทุกทา่ นไปรจู้ ัก กับ 5 วธิ ีการเยบ็ สัน สมดุ ทีห่ ลายคนอาจไมเ่ คยรมู้ าก่อน รับรองว่างานนีห้ ายข้อสงสัย และสามารถทาตามท่ี บา้ นไดเ้ ลยทันที 1. สมุดทำมือ – แบบเย็บกี่ / กีม่ ือ ( thread binding ) จดุ เด่น ของ การเยบ็ กี่ คอื ใชด้ ้ายเย็บ ทาให้สมุดมีความคงทนไม่หลุดออกจากกันเม่ือนาไปใช้งานนาน ๆ สามารถกางสมุดออกได้ถึง 180 องศา ทาให้เวลาเขียนจะไม่เสียพ้ืนที่ของกระดาษ แถมยังสามารถ ออกแบบวธิ กี ารเย็บ ได้หลากหลายรปู แบบวิธีอีกด้วย การเย็บประเภทน้ีจึงมี เอกลักษณ์ เฉพาะตัวที่ไม่เหมือน การเย็บประเภทอืน่ ในปัจจุบนั มกี ารเยบ็ ก่ีด้วยเคร่ืองเย็บ ซึ่งประหยัดเวลาและแรงงาน แต่การเย็บกี่ด้วยมือก็ ยังได้รับความนิยมอยู่ และถือเป็น งานฝีมือ ท่ีต้องใช้ความประณีตและความชานาญ ร้านรับทาเล่ม และซ่อม หนังสือบางรา้ น ก็ยงั ใช้วิธีการนี้อยู่แต่มีจานวนลดน้อยลงเรอื่ ย ๆ ส่วนใหญน่ ิยมใช้กับพจนานุกรม , สารานุกรม , ไดอารี่ และนวนยิ ายที่มีจานวนหนา้ มากกวา่ 400 – 500 หนา้ 2. สมุดทำมือ – แบบเย็บมุงหลังคำ ( saddle binding ) เป็นอกี หนึ่งวธิ ีทีท่ าได้ง่าย ๆ เพียงแค่นากระดาษทาปกและกระดาษเน้ือในประมาณ 30 – 40 แผ่นมา เรยี งกัน จากนั้นใช้เครอ่ื งเย็บกระดาษ หรอื แมก็ เยบ็ ขนาดเลก็ เย็บตรงแนวพับ 2 – 3 จุด เพียงเท่าน้กี ็เรียบร้อย แล้ว หรือ จะใช้ด้ายในการเย็บ ซ่ึงวิธีการเย็บด้ายน้ีจะคล้ายกับการเย็บกี่เพียงแต่ไม่ได้เอากระดาษของแต่ละ ส่วนมารวมกัน จะเอาเพียงแค่ส่วนเดียวมาใช้งาน ส่วนใหญ่นิยมใช้กับ สมุดจดบันทึก , หนังสือ และ แคตตาล็อก ที่มคี วามหนาของกระดาษอย่ทู ีป่ ระมาณ 70 – 260 แกรม

3.สมดุ ทำมือ – แบบเยบ็ กี่ไสกำว ( glue binding ) เป็นอีกวิธีท่ีน่าสนใจอย่างมาก เพราะ ใช้ ด้าย ในการเย็บ ซ่ึงทาให้ สมุดหรือหนังสือ นั้นจะได้ความ แข็งแรงเป็นพิเศษ ไม่หลุดง่ายเหมือนการเย็บแบบไสกาวปกติ จานวนหน้าท่ีใช้ตั้งแต่ 70 – 300 แผ่น ซ่ึงก่อน จะทาการ ไสกาว จะต้องจัดชุดกระดาษแบบมุงหลังคา โดยแบ่งเป็นเล่มเล็ก ๆ แล้วเย็บด้วยด้ายก่อน จากนั้น จึงนาไปไสกาว สว่ นใหญจ่ ะนิยมใช้กับงานประเภท นิตยสาร , โฟโต้บุค๊ และหนังสือแบบเรยี น 4. แบบเยบ็ ไสกำว ( perfect binding ) เป็นอีกหนึ่งการเย็บท่ี ได้รับความนิยม อย่างมาก เพราะด้วยดีไซน์ท่ีดูเรียบง่ายและราคาถูก การเย็บ ประเภทนี้จะนยิ มใช้ทาหนังสือแบบเรยี นหรือนิตยสาร วิธีการคือจะไสขอบกระดาษด้านข้าง เพ่ือให้กาวซึมเข้า ไปและทากาวอีกรอบเพื่อการยึดติดที่ดี เพียงเท่านี้ก็จะได้นิตยสารท่ีออกมาดูเรียบร้อย สวยงาม แต่การเย็บ แบบไสกาว ไม่สามารถกางออกได้มาก จึงเหมาะกับการทาหนังสือมากกว่าสมุด เพราะการเขียนสมุดน้ัน จาเปน็ ตอ้ งกางออกมากกวา่ การเปดิ อา่ นหนังสือ ไสกาวอ่อน คือ การเข้าเล่มสมุดอีกรูปแบบหน่ึง ซึ่งนิยมใช้ทา สมุดฉีก หรือ post it วัสดุคือ กาวแท่ง หรอื glue stick โดยนากระดาษมาตัดใหไ้ ด้ขนาดตามทต่ี อ้ งการ จากนั้นใช้กาวแท่งทาบนกระดาษบริเวณแถบ ท่ตี ้องการทีละแผ่น เพียงเท่านี้ก็จะไดส้ มุดฉกี หรอื post it แบบไสกาวอ่อนไปใช้กนั งา่ ย ๆ แลว้ 5. แบบเย็บสันห่วง ( wire binding ) การเย็บประเภทนี้เป็นท่ีนิยมอย่างมากในธุรกิจการค้า เพราะบริษัทหรือห้างร้านต่าง ๆ นิยมใช้กันทั้ง สะดวกรวดเร็ว ใช้ง่าย แถมราคายังถกู จดุ เดน่ อยทู่ ีส่ นั ห่วงท่ีดูเป็นระเบียบเรียบร้อย สวยงาม แขง็ แรง ทนทาน เหมาะสาหรับงานทกุ รูปแบบ นยิ มใช้กันในกลุ่มของนักเรียน , นสิ ติ / นักศกึ ษา ในการเข้าเล่มทารายงาน หรือ บรษิ ัทหา้ งร้านต่าง ๆ ท่ตี อ้ งจัดทาเอกสารอยเู่ ปน็ ประจา วธิ กี ารใช้งานเครื่องเย็บสันห่วงนั้น สามารถเจาะ และ เข้าเล่มแบบขดลวด หรือแบบกระดูกงูได้ในเครื่องเดียว โดยจะ แบ่งเป็นส่วน ของการเจาะห่วงของกระดาษที่ สามารถปรับขนาดกระดาษที่จะใช้เจาะได้ เม่ือเจาะเสร็จแล้วให้นาสันห่วงแบบขดลวด หรือแบบกระดูกงู มา วางไว้บนส่วนทใ่ี ช้สาหรับใส่หว่ งและนากระดาษทีเ่ จาะรไู ปเรยี งใส่ในหว่ งเทา่ น้กี ็เสร็จเรียบรอ้ ย ส่วนใหญ่นิยมใช้ กับ ปฏทิ ิน , ไดอารี่, รายงาน และ สมุดบนั ทกึ

บทที่ 3 วิธีกำรดำเนนิ งำน ควำมหมำย PDCA คือ วงจรการบริหารงานคุณภาพ ย่อมาจาก 4 คา ได้แก่ Plan (วางแผน), Do (ปฏิบัติ), Check (ตรวจสอบ) และ Act (การดาเนนิ การให้เหมาะสม) ซ่ึงวงจร PDCA สามารถประยุกต์ใช้ได้กับทุกๆ เรื่อง นับต้ังแต่ กิจกรรมส่วนตัว เช่น การปรุงอาหาร การเดินทางไปทางานในแต่ละวัน การตั้งเป้าหมายชีวิต และการดาเนินงาน ในระดบั บรษิ ทั ซง่ึ รายละเอยี ดในแตล่ ะขน้ั ตอนมดี ังนี้ 1. P = Plan ขน้ั ตอนการวางแผน ข้ันตอนการวางแผนครอบคลุมถึงการกาหนดกรอบหัวข้อที่ต้องการปรับปรุงเปล่ียนแปลง ซึ่งรวมถึงการ พัฒนาส่งิ ใหม่ ๆ การแก้ปัญหาท่ีเกิดข้ึนจากการปฏิบัติงาน ฯลฯ พร้อมกับพิจารณาว่ามีความจาเป็นต้องใช้ข้อมูล ใดบ้างเพื่อการปรับปรุงเปล่ียนแปลงน้ัน โดยระบุวิธีการเก็บข้อมูลและกาหนดทางเลือกในการปรับปรุงให้ชัดเจน ซึ่งการวางแผนจะช่วยให้กิจการสามารถคาดการณ์ส่ิงที่เกิดขึ้นในอนาคต และช่วยลดความสูญเสียต่าง ๆ ท่ีอาจ เกดิ ขนึ้ ได้ ทงั้ ในดา้ นแรงงาน วตั ถดุ ิบ ชัว่ โมงการทางาน เงิน และเวลา 2. D = Do ข้นั ตอนการปฏิบัติ ข้นั ตอนการปฏิบัติ คอื การลงมอื ปรับปรุงเปลย่ี นแปลงตามทางเลือกที่ได้กาหนดไว้ในขั้นตอนการวางแผน ซ่ึงในข้ันตอนนี้ต้องมีการตรวจสอบระหว่างการปฏิบัติด้วยว่าได้ดาเนินไปในทิศทางท่ีต้ังใจหรือไม่ เพื่อทาการ ปรบั ปรุงเปลี่ยนแปลงใหเ้ ปน็ ไปตามแผนการที่ไดว้ างไว้ 3. C = Check ข้นั ตอนการตรวจสอบ ข้ันตอนการตรวจสอบ คือ การประเมินผลท่ีได้รับจากการปรับปรุงเปลี่ยนแปลง เพ่ือให้ทราบว่า ใน ขน้ั ตอนการปฏิบัติงานสามารถบรรลเุ ป้าหมายหรอื วตั ถุประสงค์ที่ได้กาหนดไว้หรือไม่ แต่ส่ิงสาคัญก็คือ ต้องรู้ว่าจะ ตรวจสอบอะไรบา้ งและบอ่ ยครั้งแคไ่ หน เพื่อใหข้ อ้ มูลทีไ่ ดจ้ ากการตรวจสอบเปน็ ประโยชน์สาหรบั ข้นั ตอนถดั ไป 4. A = Action ข้ันตอนการดาเนนิ งานให้เหมาะสม ข้นั ตอนการดาเนินงานใหเ้ หมาะสมจะพิจารณาผลทีไ่ ด้จากการตรวจสอบ ซ่ึงมีอยู่ 2 กรณี คือ ผลท่ีเกิดขึ้น เป็นไปตามแผนทวี่ างไว้ หรือไม่เปน็ ไปตามแผนท่ีวางไว้ หากเป็นกรณีแรก ก็ให้นาแนวทางหรือกระบวนการปฏิบัติ น้ันมาจัดทาให้เป็นมาตรฐาน พร้อมท้ังหาวิธีการท่ีจะปรับปรุงให้ดียิ่งขึ้นไปอีก ซึ่งอาจหมายถึงสามารถบรรลุ

เปา้ หมายได้เร็วกวา่ เดมิ หรือเสยี คา่ ใชจ้ ่ายน้อยกวา่ เดิม หรือทาใหค้ ุณภาพดยี ง่ิ ขึน้ ก็ได้แต่ถ้าหากเป็นกรณีที่สอง คือ ผลที่ได้ไม่บรรลุวัตถุประสงค์ตามแผนท่ีวางไว้ ควรนาข้อมูลท่ีรวบรวมไว้มาวิเคราะห์และพิจารณาว่าควรจะ ดาเนินการอย่างไร เช่น มองหาทางเลือกใหม่ท่ีน่าจะเป็นไปได้ ใช้ความพยายามให้มากข้ึนกว่าเดิม ขอความ ช่วยเหลอื จากผรู้ ู้ หรือเปล่ียนเป้าหมายใหม่ เปน็ ต้น ประโยชน์ 1. การวางแผนงานก่อนการปฏบิ ตั ิงาน จะทาให้เกิดความพรอ้ มเม่ือไดป้ ฏบิ ัติงานจริงการวางแผนงานควร วางให้ครบ 4 ข้นั ดงั น้ี 1.1 ขั้นการศึกษา คือ การวางแผนศึกษาข้อมูล วิธีการ ความต้องการของตลาด ข้อมูลด้าน วตั ถดุ ิบ ด้านทรพั ยากรทมี่ อี ยู่หรือเงินทนุ 1.2 ข้ันเตรียมงาน คือ การวางแผนการเตรียมงานด้านสถานท่ี การออกแบบผลิตภัณฑ์ ความ พร้อมของพนักงาน อุปกรณ์ เคร่ืองจักร วตั ถุดิบ 1.3 ข้ันดาเนินงาน คือ การวางแนวทางการปฏิบัติงานของแต่ละส่วนแต่ละฝ่าย เช่น ฝ่ายผลิต ฝา่ ยขาย 1.4 ขั้นการประเมินผล คือ การวางแผนหรือเตรียมการประเมินผลงานอย่างเป็นระบบ เช่น ประเมินจากยอดการจาหน่าย ประเมินจากการติชมของลูกคา้ เพ่ือให้ผลทีไ่ ดจ้ ากการประเมินเกิดการเที่ยงตรง 2. การปฏิบัติตามแผนงาน ทาให้ทราบขั้นตอน วิธีการ และสามารถเตรียมงานล่วงหน้าหรือทราบ อุปสรรคล่วงหน้าดว้ ย ดงั นน้ั การปฏบิ ตั ิงานก็จะเกดิ ความราบร่นื และเรยี นร้อย นาไปสเู่ ปา้ หมายทีไ่ ด้กาหนดไว้ 3. การตรวจสอบ ใหไ้ ดผ้ ลทเ่ี ที่ยงตรงเชื่อถือได้ ประกอบด้วย 3.1 ตรวจสอบจากเปา้ หมายท่ไี ดก้ าหนดไว้ 3.2 มเี ครือ่ งมอื ท่เี ช่อื ถือได้ 3.3 มีเกณฑ์การตรวจสอบที่ชดั เจน 3.4 มีกาหนดเวลาการตรวจทีแ่ นน่ อน 3.5 บุคลากรท่ีทาการตรวจสอบต้องได้รับการยอมรับจากทุกหน่วยงานท่ีเกี่ยวข้อง เมือ่ การตรวจสอบได้รับการยอมรบั การปฏบิ ัตงิ านข้ันต่อไปกด็ าเนนิ งานตอ่ ไปได้ 4. การปรบั ปรุงแกไ้ ข ขอ้ บกพรอ่ งที่เกดิ ขึน้ ไมว่ ่าจะเป็นขนั้ ตอนใดกต็ าม เมอ่ื มีการปรับปรุงแกไ้ ขคุณภาพก็ จะเกดิ ข้ึน ดงั น้ัน วงจร PDAC จึงเรียกวา่ วงจรบริหารงานคณุ ภาพ

วิธกี ำรดำเนนิ งำน ขั้นท่ี 1 P = Plan ขั้นตอนกำรวำงแผน โดยมวี ธิ กี ำรดงั นี้ 1. ประชุมวางแผนร่วมกันของผู้บริหารและบุคลากร กศน.อาเภอวังทรายพูน ในเร่ืองของการกาหนด สถานที่ กลุ่มเป้าหมาย ระยะเวลาการจัดกิจกรรม และกาหนดประเภทการจัดกิจกรรมส่งเสริมการอ่านของ กลุม่ เปา้ หมาย 2. เขียนโครงการ โดยเสนอโครงการตอ่ ผ้บู รหิ ารเพือ่ พจิ ารณาและอนมุ ตั โิ ครงการต่อไป 3. ประชมุ คณะบุคลากร กศน.อาเภอวงั ทรายพนู ในการกาหนดผู้รบั ผดิ ชอบของแตล่ ะกิจกรรม 4. ประชาสัมพนั ธ์การจัดโครงการ โดยการประชาสมั พันธ์ใหก้ านัน ผู้ใหญบ่ ้าน ประกาศเสยี งตามสายใน ชุมชน และการประชาสมั พนั ธ์ผ่าน Facebook และเวบ็ ไซตแ์ หล่งเชื่อมโยงการเรียนรู้ 5. จัดเตรยี มสื่อในการจดั กิจกรรม 6. สร้างเครื่องมือในการประเมินผลการจัดกิจกรรม ซ่ึงได้เตรียมแบบประเมินการสังเกตพฤติกรรมใน การเขา้ ร่วมโครงการไวใ้ ห้กับผู้เขา้ ร่วมโครงการ ขั้นท่ี 2 D = Do ข้นั ตอนการปฏบิ ัติ ดาเนนิ การจดั กิจกรรม โดยให้ผู้เขา้ ร่วมกิจกรรมสามารถเข้าร่วมกิจกรรม ดงั นี้ - กิจกรรมการเรียนรู้ศาสตร์พระราชาและการประดิษฐ์สมดุ ทามอื 3. C = Check ข้ันตอนกำรตรวจสอบ เก็บขอ้ มลู เพอื่ การประเมนิ ผลด้วยแบบสังเกตพฤติกรรม วเิ คราะหข์ ้อมูลและจดั ทารายงาน 4. A = Action ขั้นตอนกำรดำเนินงำนให้เหมำะสม บนั ทึกขอ้ ค้นพบจากการประเมิน ข้อเสนอแนะจากการวเิ คราะหผ์ ลการประเมนิ เผยแพร่และรายงาน นาข่าวขึ้นเผยแพรบ่ นเวบ็ ไซต์ สานกั งาน กศน. ระบบเช่ือมโยงแหลง่ การเรยี นรแู้ ละ Facebook.com/ห้องสมุดประชาชน “เฉลิมราชกุมาร”ี อาเภอวังทรายพนู

บทที่ 4 ผลกำรดำเนินงำน จากผลการจัดโครงการส่งเสริมการอ่านและการเรียนรู้ Co - Learning Space กิจกรรมการเรียนรู้ ศาสตรพ์ ระราชาและการประดิษฐส์ มุดทามอื วนั ที่ 9 กมุ ภาพนั ธ์ 2566 ณ หอ้ งสมดุ ประชาชน “เฉลิมราชกุมารี” อาเภอวังทรายพูน จังหวัดพิจิตร มีผู้เข้าร่วมโครงการท้ังหมด 66 คน แบ่งเป็นเพศหญิง 43 คน เป็นเพศชาย จานวน 23 คน โดยถือว่าบรรลุเป้าหมายที่กาหนดไว้ โดยการจัดโครงการน้ีได้ให้ผู้เข้าร่วมโครงการ 60 คนตอบ แบบประเมินความพึงพอใจ ดังตารางต่อไปนี้ สรปุ แบบประเมินควำมพงึ พอใจ จำนวน (คน) ร้อยละ ตอนที่ 1 ข้อมลู ทั่วไป 19 31.67 1. เพศ 41 68.33 60 100.00 เพศ ชาย หญงิ รวม 2. อายุ จำนวน (คน) ร้อยละ 0 0.00 อำยุ 31 51.67 ต่ากวา่ 15 ปี 13 21.67 15 - 30 ปี 11 18.33 31 - 40 ปี 5 8.33 41 - 50 ปี 60 100.00 51 ปขี ึน้ ไป รวม

3. ระดบั การศกึ ษา จำนวน (คน) ร้อยละ 5 8.33 ระดับกำรศึกษำ 21 35.00 ประถมศึกษา 34 56.67 มัธยมศกึ ษาตอนต้น 0 0.00 มัธยมศกึ ษาตอนปลาย 0 0.00 ปวช 0 0.00 อนุปรญิ ญา 0 0.00 ปรญิ ญาตรี 0 0.00 ปรญิ ญาโท 60 100.00 ปริญญาเอก รวม

ตอนที่ 2 กำรแสดงควำมคิดเหน็ ระดบั ความพึงพอใจ ประเด็นวัดความพงึ พอใจ มากทีส่ ุด ระดบั ความพงึ พอใจ นอ้ ย 16 มาก ปานกลาง 0 1. การจดั พ้นื ท่บี รกิ ารโซนต่าง ๆ คน 26.67 44 0 0.00 ร้อยละ 22 73.33 0.00 0 2. การจดั บรรยากาศที่เอือ้ ตอ่ การเรียนรู้ 36.67 35 3 0.00 รปู แบบ และวธิ ีการจัดกจิ กรรมมคี วาม คน 58.33 5.00 ทันสมยั ร้อยละ 19 0 31.67 36 5 0.00 3. การจดั อปุ กรณ์และสง่ิ อานวยความ คน 60.00 8.33 สะดวก และระยะเวลาในการจดั รอ้ ยละ 26 0 กิจกรรมตา่ งๆ มีความเหมาะสม 43.33 34 0 0.00 คน 21 56.67 0.00 0 4. กจิ กรรมมีความหลากหลายและ รอ้ ยละ 35.00 37 2 0.00 น่าสนใจตรงกบั ความต้องการ 11 61.67 3.33 0 คน 18.33 49 0 0.00 5. มกี ารนาเทคโนโลยีสมยั ใหม่ ๆ มาใช้ใน ร้อยละ 81.67 0.00 การจดั กจิ กรรมต่างๆ 20 0 คน 33.33 40 0 0.00 6. การบริการส่อื การเรียนรู้ ส่ือนวตั กรรม รอ้ ยละ 15 66.67 0.00 0 สง่ เสรมิ การอา่ นมีความทนั สมยั ตรงกับ 25.00 35 10 0.00 ความต้องการ คน 32 58.33 16.67 0 7. ผ้จู ดั กจิ กรรมมคี วามรคู้ วามสามารถและ ร้อยละ 53.33 28 0 0.00 ทักษะในการจดั กจิ กรรม 46.67 0.00 คน 10 0 8. ได้รบั ความรจู้ ากสอื่ ทรัพยากร ร้อยละ 16.67 45 5 0.00 สารสนเทศท่นี าไปให้บรกิ าร 75 8.33 คน 9. การให้บรกิ ารของเจา้ หนา้ ที มมี นษุ ย์ ร้อยละ สัมพันธ์ทีด่ ี ใหบ้ ริการดว้ ยรอยยิม้ สุภาพ เป็นมติ ร/อธั ยาศัยดี คน 10. ประโยชน์ทไี่ ดร้ ับจากการเข้ารว่ ม รอ้ ยละ กจิ กรรมและสามารถนาไปใช้ ในชวี ติ ประจาวนั ได้ โดยภาพรวมแลว้ ระดับความพงึ พอใจในระดบั มากขึ้นไปคิดเป็นรอ้ ยละ 95 และมผี ู้ประเมินความพงึ พอใจใน ระดบั มากทสี่ ดุ จานวน 19 คน ผ้ปู ระเมินความพึงพอใจในระดับมาก จานวน 38 คน ผู้ประเมนิ ความพึงพอใจใน ระดบั ปานกลาง จานวน 3 คน

ตอนท่ี 3 การจดั พ้ืนท่ีใหบ้ ริการโซนตา่ ง ๆ โซนใดที่ทา่ นช่ืนชอบ กำรจดั พื้นทีใ่ หบ้ รกิ ำรโซนต่ำง ๆ จำนวน (คน) รอ้ ยละ โซนทางาน หรอื ประชมุ (Co - Working Zone) 0 0.00 โซนส่งเสริมการอา่ น ค้นควา้ ขอ้ มลู และสื่อการเรยี นรู้ (Learning Zone) 8 13.33 โซนกิจกรรม (Activities Zone) โซนคอมพิวเตอร์ศูนยภ์ าษา หอ้ งภาพยนตร์ (Multimedia 16 26.67 Zone and Language Center) 0 0.00 โซนพกั ผ่อน (Relax Zone) โซนกาแฟ (Coffee Zone) 32 53.33 โซนอ่นื ๆ (ระบ)ุ 4 6.67 โซนใดทที่ า่ นชอบมากทส่ี ดุ (ระบุ) 0 0.00 0 0.00 รวม 60 100.00 ขอ้ คิดเหน็ /ข้อเสนอแนะ -

ผลกำรดำเนนิ กจิ กรรม บรรณารักษ์ให้ผู้เข้าร่วมกิจกรรมได้เรียนรู้เร่ืองศาสตร์พระราชา จากห้องศาสตร์พระราชา โดยได้ เรียนรู้เก่ียวกับเรื่องพระราชประวัติ โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดาริ ของในหลวงรัชกาลท่ี 9 ผ่าน นิทรรศการและหนังสือ

บรรณารกั ษ์อธิบายขนั้ ตอนการทาสมุดทามือใหก้ บั ผู้เข้าร่วมกจิ กรรม และใหผ้ ้เู ขา้ ร่วมกจิ กรรมลงมอื ปฏิบัติทาสมุดทามอื ตามข้นั ตอนได้อยา่ งถูกตอ้ งและสวยงาม

ผลงำนของผ้เู ข้ำรว่ มกิจกรรม

บทที่ 5 สรุปผลกำรดำเนนิ งำนและข้อเสนอแนะ จากการดาเนินโครงการสง่ เสริมการอา่ นและการเรียนรู้ Co - Learning Space กจิ กรรมการเรยี นรู้ ศาสตร์พระราชาและการประดิษฐ์สมุดทามอื มผี เู้ ข้าร่วมโครงการจานวน 66 คน และจากการตอบ แบบสอบถามความพงึ พอใจของผูเ้ ข้าร่วมกจิ กรรมพบวา่ ตอนที่ 1 ข้อมูลทั่วไปผู้ตอบแบบสอบถามท้ังหมด 20 คน พบว่าผู้เข้าร่วมกิจกรรมทั้งหมดมีช่วงอายุ 15-30 ปี จานวน 31 คน คดิ เป็นรอ้ ยละ 51.67 ชว่ งอายุ 31 - 40 ปี จานวน 13 คน คดิ เป็นร้อยละ 21.67 ช่วง อายุ 41 – 50 ปี จานวน 11 คน คดิ เป็นรอ้ ยละ 18.33 ช่วงอายุ 51 ปขี ้นึ ไป จานวน 5 คน คิดเป็นร้อยละ 8.33 สาหรับระดับการศึกษาพบว่า ระดับการศึกษาระดับประถมศึกษา จานวน 5 คน คิดเป็นร้อยละ 8.33 ระดับ มัธยมศึกษาตอนตน้ จานวน 21 คน คิดเป็นร้อยละ 35.00 ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย จานวน 34 คน คิดเป็น รอ้ ยละ 56.67 ตอนท่ี 2 การแสดงความคดิ เห็นผู้ตอบแบบสอบถามจากกลมุ่ ตวั อยา่ งทัง้ หมด 20 คน พบวา่ 1. ความพึงพอใจการจดั พืน้ ทบ่ี ริการโซนตา่ ง ๆ มคี วามพึงพอใจในระดบั มากขึน้ ไป จานวน 60 คน คิดเปน็ รอ้ ยละ 100 2. ความพงึ พอใจการจัดบรรยากาศทีเ่ อ้อื ตอ่ การเรยี นรู้ รูปแบบ และวิธีการจดั กจิ กรรมมีความทันสมัย มีความพงึ พอใจในระดบั มากขึ้นไป จานวน 57 คน คิดเปน็ รอ้ ยละ 95 3. ความพงึ พอใจการจดั อุปกรณ์และสิง่ อานวยความสะดวก และระยะเวลาในการจัดกิจกรรมต่างๆ มคี วามเหมาะสม มีความพงึ พอใจในระดับมากข้นึ ไป จานวน 55 คน คดิ เปน็ รอ้ ยละ 91.67 4. ความพึงพอใจการจัดกิจกรรมสง่ เสริมการอ่านและการเรียนรู้ มีความหลากหลายและน่าสนใจตรง กบั ความต้องการ มคี วามพงึ พอใจในระดับมากข้ึนไป จานวน 60 คน คดิ เป็นรอ้ ยละ 100 5. ความพึงพอใจมกี ารนาเทคโนโลยีสมัยใหม่มาใช้ในการจดั กจิ กรรมตา่ ง ๆ มีความพึงพอใจในระดบั มากข้นึ ไป จานวน 58 คน คิดเปน็ ร้อยละ 96.67 6. ความพงึ พอใจการบรกิ ารส่ือการเรยี นรู้ สื่อนวตั กรรมส่งเสรมิ การอ่านมคี วามทนั สมัยตรงกบั ความ ตอ้ งการ มีความพึงพอใจในระดับมากขน้ึ ไป จานวน 60 คน คดิ เปน็ ร้อยละ 100 7. ความพึงพอใจผู้จดั กิจกรรมมคี วามรคู้ วามสามารถและทกั ษะในการจดั กิจกรรม มีความพงึ พอใจใน ระดบั มากขนึ้ ไป จานวน 60 คน คดิ เป็นรอ้ ยละ 100 8. ความพึงพอใจไดร้ บั ความรจู้ ากสอื่ ทรพั ยากรสารสนเทศทนี่ าไปให้บริการ มีความพึงพอใจในระดับ มากขึ้นไป จานวน 50 คน คิดเป็นรอ้ ยละ 83.33 9. ความพึงพอใจการใหบ้ ริการของเจ้าหนา้ ที่ มมี นุษยส์ มั พนั ธ์ที่ดี ใหบ้ รกิ ารดว้ ยรอยยม้ิ สภุ าพ เปน็ มิตร/อัธยาศยั ดี มคี วามพึงพอใจในระดับมากข้ึนไป จานวน 60 คน คดิ เปน็ ร้อยละ 100 10. ความพงึ พอใจประโยชนท์ ไ่ี ดร้ ับจากการเขา้ รว่ มกจิ กรรมและสามารถนาไปใช้ในชวี ิตประจาวันได้มี ความพึงพอใจในระดับมากขึ้นไป จานวน 55 คน คดิ เป็นรอ้ ยละ 91.67

ตอนที่ 3 การจัดพน้ื ที่ใหบ้ รกิ ารโซนต่าง ๆ โซนใดทท่ี ่านชื่นชอบ จากผู้ตอบแบบประเมินความพึงพอใจ จานวน 60 คน พบวา่ 1. โซนส่งเสริมการอา่ น ค้นคว้าขอ้ มลู และส่ือการเรียนรู้ (Learning Zone) มผี เู้ ข้าร่วมกจิ กรรมช่นื ชอบ จานวน 8 คน คดิ เป็นร้อยละ 13.33 2. โซนกจิ กรรม (Activities Zone) มผี ้เู ขา้ รว่ มกจิ กรรมชน่ื ชอบ จานวน 16 คน คดิ เปน็ ร้อยละ 26.67 3. โซนพกั ผ่อน (Relax Zone) ผู้เขา้ ร่วมกจิ กรรมชื่นชอบ จานวน 32 คน คดิ เปน็ ร้อยละ 53.33 4. โซนกาแฟ (Coffee Zone) ผเู้ ขา้ ร่วมกจิ กรรมช่นื ชอบ จานวน 4 คน คิดเปน็ รอ้ ยละ 6.67 ข้อคดิ เห็น/ข้อเสนอแนะ -

บรรณำนกุ รม ศำสตร์พระรำชำ. (ม.ป.ป.). [Online]. Available: http://r01.ldd.go.th/spb/News61/ContinuetheworkthatFatherdid/KMRama9.pdf . [2566, กุมภาพันธ์ 2]. สมุดทำมอื . (ม.ป.ป.). [Online]. Available:https://www.hilmynabrand.com. [2566, กุมภาพนั ธ์ 2].

ภำคผนวก

บนั ทกึ ข้อควำมขออนมุ ตั ิโครงกำร

บญั ชรี ำยช่อื ผู้เขำ้ รว่ มโครงกำร

แบบประเมนิ ควำมพึงพอใจในกำรเขำ้ ร่วมโครงกำร

จดหมำยขำ่ วประชำสัมพนั ธ์



คณะผจู้ ดั ทำ ทป่ี รกึ ษา นางสาวนภสั วรรณ อุฤทธ์ิ ผอู้ านวยการ กศน.อาเภอทบั คลอ้ รกั ษาการในตาแหนง่ ผูอ้ านวยการ กศน.อาเภอวังทรายพูน คณะทางาน นางสาวภาวณิ ี เจริญสุข บรรณารักษห์ อ้ งสมดุ ประชาชน “เฉลิมราชกมุ ารี” อาเภอวงั ทรายพนู รวบรวบสรุปข้อมูล นางสาวภาวณิ ี เจรญิ สขุ บรรณารกั ษ์หอ้ งสมดุ ประชาชน “เฉลมิ ราชกุมารี” อาเภอวังทรายพูน จัดพิมพ/์ ออกแบบปก นางสาวภาวณิ ี เจรญิ สขุ บรรณารักษ์หอ้ งสมดุ ประชาชน “เฉลมิ ราชกมุ ารี” อาเภอวงั ทรายพูน ศูนย์กำรศึกษำนอกระบบและกำรศกึ ษำตำมอธั ยำศยั อำเภอวงั ทรำยพนู จงั หวดั พจิ ิตร ถนนเขำทรำย-วังทอง ต.หนองพระ อ.วังทรำยพนู จ.พจิ ิตร โทร 056-695615


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook