บทท่ี 1 บทนำ 1.1 ควำมเป็นมำและควำมสำคัญของปัญหำ หลกั สตู รแกนกลางการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551 เปน็ หลกั สตู รสาคญั ในการพัฒนา การศึกษา พัฒนาผู้เรียนให้เป็นคนดี มีปัญญาและมีความรู้ (สานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้น พื้นฐาน. 2552 : 1) เป็นการพัฒนาผู้เรียนให้เกิดความสมดุล จึงกาหนดให้ผู้เรียนเรียนรู้ 8 กลุ่มสาระ การเรียนรู้ คือ ภาษาไทย คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สังคมศึกษา ศาสนาและ วัฒนธรรม สุขศึกษาและพลศึกษา ศิลปะ การงานอาชีพ ภาษาต่างประเทศ (กระทรวงศึกษาธิการ. 2552 : 8) ทงั้ นจ้ี ะเห็นได้ว่ากลมุ่ สาระการเรยี นรู้สังคมศึกษา ศาสนาและวฒั นธรรม เปน็ กลมุ่ สาระการ เรียนรู้ท่ีเป็นรากฐานของวิชาการทุกสาขา (สมศักด์ิ ชูโต. 2547 : 2) เป็นวิชาที่ทาให้ผู้เรียนมีความรู้ ความเขา้ ใจการดาเนนิ ชวี ิตของมนุษย์ ทัง้ ในฐานะปจั เจกบุคคลและการอยู่ร่วมกนั ในสังคม การปรบั ตัว ตามสภาพแวดล้อม การจดั การทรพั ยากรทมี่ ีอยอู่ ยา่ งจากัด สามารถเข้าถึงการพฒั นาการเปลี่ยนแปลง ตามยุคสมัยกาลเวลา ตามเหตุปัจจัยต่าง ๆ เกิดความเข้าใจในตนเองและผู้อ่ืน มีความอดทน อดกล้ัน ยอมรับในความแตกต่างและมีคุณธรรม สามารถนาความรู้ไปปรับใช้ในการดาเนินชวี ิต เป็นพลเมืองที่ ดีของประเทศชาติและสังคมโลก (กระทรวงศึกษาธิการ. 2552 : 140) ประวัติศาสตร์เป็นรายวิชาที่ กล่าวถึงเรื่องราวหรือเหตุการณ์ของมนุษย์ท่ีเกิดข้ึนมาแล้วในอดีต เป็นการให้ความรู้เก่ียวกับความ เป็นมาของมนุษย์ในทกุ ดา้ นไมว่ ่าจะเป็นความล้มเหลว ความรว่ มมือ ความขัดแย้ง การสรา้ งสรรค์ การ ทาลายและอื่น ๆ ซ่ึงจะทาให้ผู้เรียนมีความเฉลียวฉลาด รอบคอบ มีเหตุผล (ชาคริต ชุ่มวัฒนะ และ คณะ. 2552) ถอื เป็นรายวิชาทที่ าให้ผู้เรยี นได้เรียนร้ถู ึงการเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจ สังคมและความ เจริญก้าวหน้าของวิทยาการ ซึ่งนาความเปลี่ยนแปลงมาสู่สังคมของมนุษย์เป็นอย่างมาก ช่วยให้การ พัฒนาคนในสงั คมใหม้ ีความรอบรู้และสามารถก้าวทันการเปล่ียนแปลงเพื่อนาไปสสู่ งั คมฐานความรู้ได้ อย่างม่ันคง เนื้อหาของกลุ่มสาระสังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม ประกอบด้วย 5 สาระ ได้แก่ สาระศาสนา ศีลธรรม จริยธรรม สาระหน้าที่พลเมือง วัฒนธรรม และการดารงชีวิตในสังคม สาระ เศรษฐศาสตร์ สาระประวตั ศิ าสตร์ และสาระภมู ศิ าสตร์ สาระประวตั ิศาสตร์เปน็ การปพู นื้ ฐานทางด้าน จิตใน ทาใหเ้ กดิ จิตสานึกและความภาคภูมิใจเป็นการเรียนรู้เรื่องราวจากอดตี เพ่ือเป็นบทเรียนสาหรับ ปัจจุบัน องค์ความรู้จากการศึกษาประวัติศาสตร์ ทาให้เข้าใจปัญหา สาเหตุของปัญหาและผลกระทบ จากปัญหา ซ่ึงสอดคล้องกับสภาพสังคมไทยท่ีเปลี่ยนแปลงไป วิชาประวัติศาสตร์อาจทาหน้าที่ได้ดีใน การอบรมส่งั สอนใหเ้ ดก็ และเยาวชนหรือคนในสงั คมให้รู้จักการใชเ้ หตุผล คดิ วเิ คราะห์แก้ไขปญั หาต่าง ๆ ได้ การเรียนจากประสบการณ์ในอดีตของมนุษย์นอกจากเป็นความรู้ท่ีสาคัญแลว้ ยังเป็นบทเรียนท่ี มีคุณค่าของมนุษย์ในสังคม เพราะเหตุการณ์ในอดีตแม้ว่าแตกต่างกันในด้านพฤติกรรม เวลา สถานที่ และตัวบุคคล แต่ก็สามารถหาเหตุผลร่วมกันของหลาย ๆ เหตุการณ์ได้ ซ่ึงช่วยให้สามารถวิเคราะห์ เหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นได้อย่างถูกต้อง มเี หตผุ ล นอกจากนี้ ยงั สามารถนาข้อบกพร่องท่ีเกิดข้ึนจาก ประสบการณ์ในอดีต มาปรับปรุงแก้ไขได้เหมาะสมกับสภาพเหตุการณ์ในปัจจุบัน และเป็นแนวทาง สาหรับอนาคตได้ (ณฐกรณ์ ดาชะอม. 2553 : 1)
2 การจัดการเรียนรู้วิชาประวัติศาสตร์ท่ีผ่านมายังเป็นการสอนแบบปกติ คือ ครูผู้สอนเป็นผู้ นาเสนอแต่เพียงผู้เดียว เป็นวิธีสอนที่ช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ตามวัตถุประสงค์ท่ีกาหนดโดยการ พูด เล่า อธิบาย สิง่ ทตี่ ้องการสอนให้แก่นักเรียน โดยทน่ี ักเรยี นมีสว่ นรว่ มในกจิ กรรมการเรียนการสอน น้อยเพียงแต่ฟัง จดบันทึกหรือซักถามบางครั้ง แล้วประเมินการเรียนรู้ของนักเรียนด้วยวิธีใดวิธีหนึ่ง (อาภรณ์ ใจเที่ยง. 2540 : 7) ครูผู้สอนส่วนใหญ่ใช้วิธีการสอนแบบบรรยาย คือให้นักเรียนอ่านและ ท่องจาเนือ้ หาจากตารา ครยู งั ไม่จัดการเรียนการสอนโดยยึดผ้เู รยี นเปน็ ศูนย์กลางในการเรียนรู้ ยงั เน้น ให้ความรู้มากกว่าการให้นักเรียนปฏิบัติ ทาให้การเรียนการสอนยังไม่บรรลุผลเป็นท่ีพึงพอใจ ดังจะ เห็นได้จากผลการประเมินระดับชาติข้ันพื้นฐาน (O-NET) ระดับประเทศ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ปี การศึกษา 2559 ท่ีพบว่า กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม มีคะแนนค่าเฉล่ีย ร้อยละ 37.24 สอดคล้องกับผลการประเมินกลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม ช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 3 ปีการศึกษา 2559 ในรายวิชาประวัติศาสตร์ มีผลการเรียนระดับดี ลดลงเม่ือ เปรียบเทียบกับผลการเรียนรายวิชาเดียวกันในปีการศึกษา 2558 โดยในปีการศึกษา 2558 ผลการ เรียนระดับ 4 คิดเป็นร้อยละ 25.00% ผลการเรียนระดับ 3.5 คิดเป็น 35.00% ผลการเรียนระดับ 3 คิดเป็น 26.67% ผลการเรยี นระดบั 2.5 คิดเปน็ 5.00% (โรงเรียนเทศบาล 3 (บ้านยะกัง). 2558 : 5) สาหรับปีการศึกษา 2559 ผลการเรียนระดับ 4 คิดเป็นร้อยละ 17.19% ผลการเรียนระดับ 3.5 คิด เป็น 10.93% ผลการเรียนระดับ 3 คิดเป็น 37.50% ผลการเรียนระดับ 2.5 คิดเป็น 28.16% (โรงเรียนเทศบาล 3 (บ้านยะกัง). 2559 : 5) ท้ังน้ีอาจเนื่องมาจากนักเรียนขาดความเข้าใจในเนื้อหา สาระประวัตศิ าสตร์ เมือ่ เทยี บกับสาระอืน่ ๆ ในรายวิชาสงั คมศึกษา ดังนั้นผู้ศึกษาจึงมีความสนใจต่อการจัดกิจกรรมการสอนวิชาประวัติศาสตร์ เพ่ือส่งเสริม ความสามารถในการคิดและเพ่ือพัฒนาผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนของนักเรียนให้สูงข้ึน ครูผู้สอนควร ปรับเปลี่ยนวิธีสอนและบทบาทของครูจาก “ผู้ถ่ายทอดความรู้ไปสู่การเป็นมัคคุเทศก์ทางความรู้และ เน้นผู้เรียนเปน็ สาคัญ ใหผ้ เู้ รียนมีโอกาสประกอบกิจกรรมการเรยี นและมีบทบาทสาคัญในการเรียนจะ ช่วยให้ผู้เรียนมีความสนใจในการเรียนมากข้ึน” (ลัดดาและคณะ. 2553 :17 ; ชัยวัฒน์ สุทธิรัตน์. 2553 : ข) วธิ กี ารทางประวัตศิ าสตร์เป็นวธิ สี อนแม่บทสาหรับการเรยี นการสอนประวัติศาสตร์ เป็นวธิ ี แสวงหาข้อเท็จจริงของเร่ืองราวในอดีต เกิดจากการวิจัยเอกสารและหลักฐานประกอบอื่น ๆ เพื่อให้ ได้มาซึ่งความรู้ใหม่ทางประวัติศาสตร์บนพ้ืนฐานความเป็นเหตุเป็นผล และการวิเคราะห์เหตุการณ์ ต่าง ๆ อย่างเป็นระบบ (สมชาย. 2553 : 18-19) สอดคล้องกับ สมสุขและคณะ การสอนวิธีการทาง ประวัติศาสตร์มีข้ันตอนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสาคัญ ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการจัดการเรียน ผู้สอน เปน็ ผูล้ งมอื สืบค้นขอ้ มูลและคน้ พบข้อมลู ทาให้ผ้เู รยี นเกิดการเรยี นรู้และสามารถสรา้ งองค์ความรู้ด้วย ตนเอง จากปัญหาดังกล่าว ผู้ศึกษาจึงมีความสนใจที่จะศึกษาผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน รายวิชา ส 23104 ประวัติศาสตร์ เร่ือง ประวัติศาสตร์เมืองมือนารอ โดยใช้การจัดการเรียนรู้ด้วยวิธีการทาง ประวัติศาสตร์ สาหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 เพ่ือนักเรียนสามารถสร้างองค์ความรู้ใหม่ทาง ประวัติศาสตร์บนพื้นฐานความเป็นเหตุเป็นผลและวิเคราะห์อย่างเป็นระบบ สามารถนาไปใช้ในชีวิต จรงิ ไดอ้ ยา่ งเหมาะสม ซึ่งจะสง่ ผลให้ผลสัมฤทธิท์ างการเรียนสูงข้ึน
3 1.2 วตั ถุประสงคข์ องกำรวจิ ัย 1. เพือ่ ศกึ ษาผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน เรื่อง ประวตั ิศาสตร์เมอื งมือนารอ กลุ่มสาระการเรียนรู้ สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม ของนักเรียนท่ีได้รับการสอนโดยใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้ด้วย วิธีการทางประวัติศาสตร์ โดยนักเรียนมีคะแนนเฉลี่ยไม่น้อยกว่าร้อยละ 75 และมีจานวนนักเรียนที่ ผ่านเกณฑ์ ร้อยละ 75 ขึ้นไป 2. เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนต่อการจัดการเรียนรู้ด้วยวิธีการทางประวัติศาสตร์ เร่ือง ประวัติศาสตร์เมืองมือนารอ กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม สาหรับ นกั เรยี นชนั้ มัธยมศกึ ษาปีท่ี 3 1.3 ขอบเขตของกำรวจิ ัย 1.3.1 กล่มุ เป้ำหมำย กลุ่มเป้าหมายที่ใช้ในการวิจัยในครั้งนี้ ได้แก่นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 3 โรงเรียน เทศบาล 3 (บา้ นยะกัง) ระดบั มธั ยมศกึ ษาตอนต้น ภาคเรยี นท่ี 2 ปีการศึกษา 2559 จานวน 31 คน 1.3.2 ตัวแปรในกำรวิจัย 1.3.2.1 ตวั แปรตน้ การจัดการเรียนร้ดู ว้ ยวิธีการทางประวตั ิศาสตร์ 1.3.2.2 ตวั แปรตำม ผลสมั ฤทธิท์ างการเรยี นของนักเรยี น ความพึงพอใจของนักเรยี น 1.3.2.3 เน้ือหำในกำรวิจัย เนื้อหาตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551 กลุ่มสาระการเรียนรู้ สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม สาระที่ 4 เร่ือง ประวัติศาสตร์เมืองมือนารอ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ประกอบด้วยเน้ือหา 1 หน่วย เวลาเรียน 16 ช่วั โมง ดงั น้ี 1.3.2.4 ระยะเวลำในกำรวจิ ยั ภาคเรยี นท่ี 2 ปกี ารศึกษา 2559 1.4 นยิ ำมศพั ท์เฉพำะ 1.4.1 วธิ ีสอนโดยใช้วิธีกำรทำงประวัติศำสตร์ วิธีสอนโดยใช้วิธีการทางประวัติศาสตร์ หมายถึง กระบวนการในการแสวงหา ข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์ ซ่ึงเกิดขึ้นจากการวจิ ัยเอกสารและหลักฐานประกอบอ่ืน ๆ เพ่ือให้ได้มา ซ่งึ องคค์ วามรู้ใหม่ทางประวตั ิศาสตร์บนพื้นฐานของความเป็นเหตุเป็นผล และการวเิ คราะห์เหตุการณ์ ต่าง ๆ อย่างเปน็ ระบบ ซ่ึงประกอบด้วยขน้ั ตอนตอ่ ไปนี้ 1. ขั้นกาหนดปญั หาและตง้ั สมมตฐิ าน 2. ข้ันรวบรวมขอ้ มลู ซึง่ เป็นข้อเทจ็ จรงิ และแนวคดิ 3. ขั้นวิเคราะห์และประเมินคณุ คา่ ข้อมลู 4. ข้นั ตีความและสงั เคราะห์ข้อมลู 5. ขน้ั นาเสนอขอ้ มลู 1.4.2 ผลสมั ฤทธ์ิทำงกำรเรียน หมายถึง ผลของคะแนนการทดสอบหลังเรียนของนักเรียนที่ ไดจ้ ากการทาแบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธิท์ างการเรยี นท่ผี ู้ศกึ ษาสร้างขึ้น โดยทดสอบหลงั จากทนี่ กั เรียน เรยี นครบตามหน่วยการเรียนรู้ ประวัตศิ าสตร์เมืองมอื นารอ ทีก่ าหนดไว้
4 1.4.3 ควำมพึงพอใจ หมายถึง ความรู้สึก อารมณ์ หรือความชอบของนักเรียนช้ัน มัธยมศึกษาปีที่ 3 ที่มีต่อการจัดกิจกรรมการเรียนร้ดู ้วยวิธกี ารทางประวตั ิศาสตร์ เรื่อง ประวัติศาสตร์ เมืองมือนารอ กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม โดยการวัดได้จาก แบบสอบถามความพงึ พอใจในการเรยี นรู้ของนักเรยี น วิธีสอนด้วยวิธีการทางประวัติศาสตร์ หมายถึง กระบวนการในการแสวงหาข้อเท็จจริงทาง ประวัติศาสตร์ ซ่ึงเกิดข้ึนจากการวิจัยเอกสารและหลักฐานประกอบอ่ืน ๆ เพื่อให้ได้มาซ่ึงองค์ความรู้ ใหม่ทางประวัติศาสตร์บนพ้ืนฐานของความเป็นเหตุเป็นผล และการวิเคราะห์เหตุการณ์ต่าง ๆ อย่าง เปน็ ระบบ ซง่ึ ประกอบดว้ ยข้ันตอนต่อไปนี้ 1.5 ประโยชน์ทีไ่ ด้รับ 1.5.1 นักเรียนสร้างองค์ความรู้โดยเช่ือมโยงความรู้เดิมด้วยวิธีการทางประวัติศาสตร์บน พนื้ ฐานของความเปน็ เหตเุ ปน็ ผล และการวเิ คราะห์เหตุการณ์ต่าง ๆ อยา่ งเปน็ ระบบ 1.5.2 เป็นแนวทางสาหรบั ครูผู้สอนและผสู้ นใจในการพฒั นาแผนการจัดการเรียนรู้อีกรูปแบบ หนง่ึ ซงึ่ จะส่งเสริมการเรียนการสอนใหม้ ีประสทิ ธภิ าพมากยิ่งขึ้น 1.5.3 สถานศกึ ษาได้แนวทางในการจดั กจิ กรรมการเรยี นรู้ด้วยวธิ ีการทางประวัติศาสตร์ เรอ่ื ง ประวตั ิศาสตรเ์ มืองมือนารอ กลุม่ สาระการเรยี นรู้ สังคมศกึ ษา ศาสนาและวฒั นธรรม สาหรับนักเรยี น ช้ันมัธยมศกึ ษาปีท่ี 3
Search
Read the Text Version
- 1 - 4
Pages: