26 แผนการจดั การเรียนรู้ รายวชิ า ประวตั ิศาสตร์ 6 กลุม่ สาระสงั คมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม ชั้นมธั ยมศึกษาปีที่ 3 หนว่ ยการเรียนรู้ ประวตั ศิ าสตร์เมอื งมือนารอ เวลาเรียน 8 คาบ (นอกห้องเรยี น 15 ช่วั โมง) แผนการจดั การเรียนรู้ท่ี 2 เร่อื ง การก่อตั้งเมอื งมือนารอ เวลาเรยี น 2 คาบ (นอกหอ้ งเรยี น 5 ชั่วโมง) 1. สาระ/มาตรฐานการเรียนรู้ สาระท่ี 4 ประวัติศาสตร์ มาตรฐาน ส 4.1 เข้าใจความหมาย ความสาคัญของเวลาและยคุ สมยั ทางประวัตศิ าสตร์ สามารถใช้วธิ กี ารทางประวตั ิศาสตร์มาวเิ คราะห์เหตกุ ารณ์ต่างๆ อยา่ งเปน็ ระบบ 2. ตัวช้ีวัด มฐ. ส 4.1 ม.3/1 วิเคราะห์เรื่องราวเหตุการณ์สาคัญทางประวัติศาสตร์ได้อย่างมีเหตุผลตาม วธิ ีการทางประวตั ิศาสตร์ มฐ. ส 4.1 ม.3/2 ใชว้ ธิ ีการทางประวัติศาสตร์ในการศกึ ษาเรือ่ งราวต่าง ๆ ทต่ี นสนใจ 3. จดุ ประสงค์การเรยี นรู้ 1. อธบิ ายเรอ่ื งราวของตานานเมืองมือนารอได้ (K) 2. อธิบายการก่อต้งั และสถาปนาจงั หวดั นราธิวาสได้ (K) 3. ยกตัวอยา่ งชือ่ เจ้าเมืองหรือผวู้ ่าราชการจงั หวัดนราธวิ าสได้ (K) 4. สามารถวเิ คราะห์และสรุปความคิดรวบยอดหรือสาระสาคัญของเรอ่ื งทศ่ี ึกษาได้ (P) 5. มีความสนใจ กระตือรือร้นในการเรียนรู้และมคี วามรับผดิ ชอบงานทีไ่ ด้รบั มอบหมาย (A) 4. สาระสาคญั มีความรู้ ความเข้าใจในความเปน็ มาของตานานเมอื งมอื นารอ การก่อตัง้ และสถาปนาจังหวดั นราธิวาส ทาใหเ้ กิดความรัก ความภมู ใิ จในประวัติศาสตรท์ ่ียาวนาน 5. ช้นิ งานหรือภาระงาน ใบงาน เร่ือง การก่อตั้งเมืองมือนารอ 6. กิจกรรมการเรียนรู้ 6.1 ขั้นนา 6.1.1 ครแู จง้ จุดประสงค์การเรียนรใู้ หน้ กั เรียนทราบ ดังน้ี - อธิบายเร่ืองราวของตานานเมืองมือนารอได้
27 - อธบิ ายการก่อตัง้ และสถาปนาจังหวัดนราธิวาสได้ - ยกตวั อย่างช่ือเจา้ เมืองหรือผ้วู ่าราชการจงั หวัดนราธิวาสได้ 6.1.2 นักเรียนร่วมกันท่องคาขวัญจังหวัดนราธิวาส ทักษิณราชตาหนัก ชนรัก ศาสนา นราทัศน์เพลินตา ปาโจตรึงใจ แหล่งใหญ่แร่ทอง ลองกองหอมหวาน เพ่ือให้นักเรียนรักและ ภมู ใิ จในทอ้ งถ่ินของตนเอง ขน้ั ที่ 1 ขั้นกาหนดปญั หาและตั้งสมมติฐาน 6.1.3 ครูสนทนากับนักเรียนประเด็นเพราะเหตุใดจึงต้องศึกษาประวัติศาสตร์เมือง มือนารอ 6.1.4 ให้นักเรียนดูภาพประวัติศาสตร์ของเมืองมือนารอ (นราธิวาส) แล้วสนทนา ซักถามนักเรียนว่าเคยรู้เร่ืองราวเกี่ยวกับประวัติศาสตร์เมืองมือนารอในเร่ืองใด และด้านใดบ้าง เพื่อ จดุ ประเด็นให้นักเรียนได้เกิดความสนใจที่อยากจะศึกษาประวัติศาสตร์เมืองมือนารอ (นราธวิ าส) โดย ใช้วธิ ีการทางประวตั ศิ าสตร์ โดยใหศ้ ึกษาใบความรู้ เรอ่ื ง การก่อตั้งเมืองมือนารอ 6.2 ข้นั สอน ขั้นท่ี 2 รวบรวมขอ้ มลู ซ่งึ เป็นข้อเท็จจรงิ และแนวคิด 6.2.1 แบ่งกลุ่มนักเรียนเป็นกลุ่ม ๆ ละ 5 – 6 คน โดยคละความสามารถ เก่ง ปานกลางและอ่อน ศึกษาวิธกี ารทางประวัตศิ าสตรจ์ ากใบความรู้ 6.2.2 ใหแ้ ตล่ ะกลุ่มศึกษาข้อมลู และรวบรวมข้อมูลจากใบความรกู้ ารกอ่ ตัง้ เมอื ง มือนารอ 6.2.3 นักเรียนศึกษาเรียนรู้จากแหล่งเรียนรู้อ่ืน ๆ เช่น เว็บไซต์เก่ียวกับประวัติ จงั หวดั นราธิวาส หอ้ งสมดุ ขัน้ ที่ 3 ประเมินคุณค่าของขอ้ มลู หรอื หลักฐาน 6.2.4 แต่ละกลมุ่ นาขอ้ มลู ทไี่ ดจ้ ากการรว่ มกนั ศึกษาวิเคราะห์ขอ้ มูลให้ตรง ประเดน็ ท่ีศึกษาพรอ้ มท้ังวิเคราะห์ขอ้ เทจ็ จริงของหลักฐานและลาดบั ความสาคญั ของข้อมูล ขน้ั ท่ี 4 ตีความและสงั เคราะหข์ ้อมูล 6.2.5 นักเรียนสรุปความรู้เก่ียวกับการก่อต้ังเมืองมือนารอเขียนเป็นแผนผัง ความคดิ ลงในใบงานเรือ่ ง การกอ่ ตงั้ เมอื งมือนารอ 6.3 ข้นั สรปุ ขั้นท่ี 5 การนาเสนอขอ้ มลู 6.3.1 นักเรียนแต่ละกลุ่มส่งตัวแทนนาเสนอแผนผังความคิดเร่ืองการก่อตั้งเมือง มอื นารอ 6.3.2 นักเรยี นท้ังชนั้ ร่วมกนั อภปิ รายผลงานของแตล่ ะกลมุ่ ครูสรปุ เพมิ่ เตมิ 7. ส่อื /แหลง่ เรียนรู้ - ภาพ “ประวัติศาสตรเ์ มืองมือนารอ (นราธิวาส) ” - ใบความรู้เร่ือง การก่อตั้งเมอื งมือนารอ
28 8. การวัดและประเมินผล • ด้านความรู้ (K) เครอ่ื งมือวดั และประเมินผล เกณฑก์ ารวดั และประเมนิ ผล วิธกี ารวัดและประเมินผล • ผา่ นเกณฑ์รอ้ ยละ 70 ขึ้นไป • แบบประเมนิ ผลงาน • ใบงาน เร่ือง การกอ่ ต้ังเมือง • แบบสังเกตพฤตกิ รรมกลุ่ม มอื นารอ • ด้านทกั ษะ/กระบวนการ (P) วธิ กี ารวัดและประเมินผล เครอื่ งมอื วดั และประเมินผล เกณฑ์การวดั และประเมนิ ผล • สงั เกตพฤติกรรมการเรยี นรู้ • แบบสังเกตพฤติกรรมกล่มุ • ผา่ นเกณฑ์รอ้ ยละ 70 ข้นึ ไป ของนักเรียน • ดา้ นคณุ ธรรมจริยธรรมค่านยิ มและคุณลักษณะอนั พงึ ประสงค์ (A) วธิ กี ารวดั และประเมนิ ผล เครื่องมอื วดั และประเมินผล เกณฑก์ ารวดั และประเมินผล • ผ่านเกณฑร์ ้อยละ 80 ขึ้นไป • สังเกตพฤติกรรม • แบบประเมินคุณธรรม การแสดงออกของนักเรียน จริยธรรม คา่ นยิ มและ คุณลักษณะอนั พึงประสงค์ (ลงชอ่ื ) ...................................................ครูผู้สอน (นางซารอ อิสสภาพ) วนั ที่ ..........เดือน ......................พ.ศ...............
29 9. บนั ทกึ หลงั สอน
30 10. ความคิดเห็นผู้บริหาร (นางอุษามาศ เรืองธนู) ผ้อู านวยการสถานศกึ ษาโรงเรียนเทศบาล ๓ (บา้ นยะกัง)
31 เอกสารประกอบ การจดั การเรยี นรู้ เรื่อง การกอ่ ตั้งเมืองมอื นารอ
32 ใบความรู้ เรอ่ื ง การกอ่ ต้งั เมอื งมือนารอ ช่อื นราธิวาสเปน็ ชื่อทีต่ ั้งขึ้นมาใหมใ่ นปี พ.ศ. 2458 ช่ือเดิมของพนื้ ทีน่ คี้ ือ มนารา หรอื มือ นารอ (มลายู: Menara, )مناراซึ่งมีความหมายว่า \"หอคอย\" ท่ีกลายมาจากคาว่า กูวาลา มนารา (มลายู: Kuala Menara) ท่ีมีความหมายว่า \"กระโจมไฟ\" หรือ \"หอคอยท่ีปากน้า\" ส่วนชาวไทยที่นับ ถือศาสนาพุทธจะเรียกว่า บางนรา หรือ บางนาค ต่อมาในปี พ.ศ. 2458 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎ เกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เปล่ียนช่ือเมืองข้นึ ใหม่ว่า นราธิวาส อันมีความหมายว่า \"อันเป็นทอ่ี ยู่ของคนดี\" เมืองนราธิวาส แต่เดิมมีลักษณะเป็นหมู่บ้านชาวประมงขนาดเล็ก ข้ึนอยู่กับเมืองสายบุรี ใน บรเิ วณอาเภอบางนารา และอยู่ภายใตก้ ารดแู ลของเมืองปัตตานี ทั้งน้ีในสมยั พระบาทสมเด็จพระพุทธ ยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ 1 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ได้มีรับสั่งให้กรมพระราชวังบวรมหา สุรสิงหนาท ยกกองทพั หลวงลงมาปักษ์ใต้ เพื่อปราบปรามข้าศึกท่ยี กเข้ามารกุ รานพระราชอาณาเขต ทางใต้ เมื่อข้าศกึ แตกพ่าย หนีไปหมดแลว้ จึงได้เสด็จไปประทับ ณ เมืองสงขลา แล้วได้มรี ับสั่งออกไป ถงึ หัวเมืองมลายูท้ังหลาย ซงึ่ เคยเป็นเมืองข้ึนกับกรงุ ศรีอยธุ ยามาแต่ก่อนใหม้ าอ่อนน้อมเหมือนดังเดิม พระยาไทรบุรี และพระยาตรังกานู ยอมอ่อนน้อมโดยดี ส่วนพระยาปัตตานีตั้งแข็งเมืองไม่ยอมอ่อน น้อม จึงได้รบั ส่ังให้ยกกองทัพไปตีเมืองปตั ตานี เมือ่ พ.ศ. 2332 เม่ือได้เมืองปัตตานีแล้วก็โปรดเกล้าฯ พระราชทานตราต้ังให้พระยาสงขลา ( บุญฮุย ) เป็น พระยาสงขลา และให้อยู่ในความกากับดูแลเมืองสงขลาต่อไป และต้ังให้เป็นเมืองตรี ขึ้นอยู่กับกรุง รัตนโกสินทร์โดยตรง ในระหว่างท่ีพระยาปัตตานี (ขวัญซ้าย) ว่าราชการเมืองปัตตานีอยู่น้ัน บ้านเมืองสงบเรยี บร้อยเปน็ ปกติสุขตลอดมา ครนั้ ต่อมาเมื่อพระยาปัตตานี (ขวญั ซา้ ย) ถงึ แกก่ รรมลง โปรดเกล้าฯ ให้นายพ่าย น้องชายของพระยาปัตตานี (ขวัญซ้าย) ข้ึนว่าราชการเป็นพระยาปัตตานี และแต่งต้ังให้นายยิ้มซ้าย บุตรพระยาปัตตานี (ขวัญซ้าย) เป็นหลวงสวัสดิภักดี ผู้ช่วยราชการเมือง ปัตตานี และได้ย้ายท่ีว่าการเมืองปัตตานีจากบ้านมะนา ( อ่าวนาเกลือ ) ไปตั้งท่ีบ้านยามู ในระหว่าง น้ันพวกซาเหย็ดรัตนาวงศ์ฯ และพวกโมเซฟได้เริ่มก่อกวนความสงบสุขของบ้านเมือง โดยคบคิดกัน ปล้นบ้านพระยาปัตตานี ( พ่าย ) และบ้านหลวงสวัสดิภักดี ( ย้ิมซ้าย ) ผู้ช่วยราชการเมืองปัตตานี แต่ก็ได้ถูกตีถอยหนีไปหลบซ่อนตัวอยู่ท่ีตาบลกะลาพอ เขตเมืองสายบุรี และด้วยเหตุท่ีเมืองปัตตานี มีอาณาเขตกว้างขวาง และมีโจรผู้ร้ายปล้นบ้านเรือนราษฎร ชุกชุมย่ิงขึ้น จนเหลือกาลังท่ีพระยา ปัตตาน(ี พา่ ย)จะปราบให้สงบราบคาบลงได้ก็แจง้ ข้อราชการไปยังเมืองสงขลาพระยาสงขลา(เถยี้ นจ๋อง) ออกมาปราบปราม และจัดวางนโยบายแบ่งแยกเมืองปัตตานีออกเป็น 7 หัวเมือง เม่ือปี พ.ศ. 2355 แล้วทูลเกล้าถวายรายชื่อเมืองที่แยกออกไปดังนี้ คือ เมืองปัตตานี เมืองหนองจิก เมือง ยะลา เมืองรามัน เมืองระแงะ เมืองสายบุรี และเมืองยะหร่ิง ต่อมาทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ พระยาอภัยสงครามกับพระยาสงขลา ( เถ้ียนจ๋อง ) เป็นผู้เชิญตราตั้งออกไปพระราชทานแก่เจ้าเมือง ท้ัง 7 หัวเมือง โดยเมืองระแงะและสายบุรี ได้หนิเดะเป็นพระยาระแงะ และหนิดะเป็นพระยา สายบรุ ตี ามลาดบั โดยใหพ้ ระยาสงขลา ( เถ้ยี นจ๋อง ) แต่งตงั้ กรรมการออกไประวังตรวจตราและ
33 แนะนาข้อราชการอยู่เป็นประจา บ้านเมืองจึงสงบเรียบร้อยตลอดมา เมื่อแบ่งแยกหัวเมืองปัตตานี ออกเป็น 7 หัวเมือง ในครั้งนั้นพระยาระแงะ ( หนิดะ ) ตั้งบ้านเรือนว่าราชการอยู่ที่ตาบลบ้านระ แงะ รมิ พรมแดนตดิ ต่อกับเขตเมืองกลนั ตนั ซง่ึ เป็นต้นทางท่ีจะไปยังโตะ๊ โมะเหมืองทองคา ส่วนพระ ยาสายบรุ ี ( หนดิ ะ ) ตงั้ บ้านเรอื นวา่ ราชการอยู่ที่ตาบลย่ีงอ ( อาเภอย่ีงอปัจจบุ นั ) บา้ นเมืองเป็นปกติ สุขเรยี บร้อยอยหู่ ลายปี ต่อมาในแผน่ ดินพระบาทสมเดจ็ พระน่ังเกลา้ เจ้าอยูห่ วั พระยาปัตตานี ( ต่วนสหุ ลง ) พระยา หนองจิก ( ต่วนกะจิ ) พระยายะลา ( ต่วนบางกอก ) และพระยาระแงะ ( หนิดะ ) เจ้าเมืองทั้ง 4 ได้ สมคบรว่ มคิดกันเป็นกบฏข้ึนในแผ่นดิน โดยรวบรวมกาลังพลออกตบี ้านพระยายะหร่ิง ( พ่าย ) แล้ว เลยออกไปตีเมืองเทพาและเมืองจะนะ พระยาสงขลา ( เถ้ียนเส้ง ) ทราบข่าว ก็มีใบบอกเข้าไปยัง กรุงเทพฯ พระบาทสมเด็จพระน่ังเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้พระยาเพชรบุรี เป็นแม่ทัพบก ออกมาสมทบช่วยกาลังเมืองสงขลาออกปราบปรามตั้งแต่เมืองจะนะ เมืองเทพา ตลอดจนถึงเมือง ระแงะ ตัวพระยาระแงะ ( หนิดะ ) ซึ่งเป็นสมัครพรรคพวกร่วมคิดกันเป็นกบฏกับพระยาปัตตานีนั้น หนีรอดตามจับไม่ได้ พระยาเพชรบุรีและพระยาสงขลา ( เถ้ียนจ๋อง ) พิจารณาเห็นว่าในระหว่างท่ี ทางการรบอยู่น้ัน หนิบอสู ชาวบ้านบางปูซ่ึงพระยายะหร่ิงแต่งตั้งให้เป็นกรมการเมืองยะหริ่งได้เปน็ กาลังสาคัญ และได้ช่วยทางการสู้รบด้วยความกล้าหาญ ด้วยคุณงามความดีดังกล่าวจึงได้รับแต่งตั้ง ให้เป็นผู้รักษาราชการเมืองระแงะสืบต่อจากพระยาระแงะ ( หนดิ ะ ) ที่หนไี ป และไดย้ า้ ยทว่ี า่ ราชการ เมืองระแงะจากบ้านระแงะริมพรมแดนติดต่อกับเขตเมืองกลันตันมาตั้งที่ว่าราชการเสียใหม่ ณ ตาบลตันหยงมัส ( อาเภอระแงะปัจจุบนั ) ต่อมาเมื่อพระยาระแงะ ( หนิบอสู ) ถึงแก่กรรมลง โปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้ต่วนโหนะ บุตร พระยาระแงะ ( หนิบอสู ) ว่าราชการเมืองระแงะแทน มีบรรดาศักด์ิเป็นพระยาคีรีรัตนพิศาล ต้ัง บ้านเรอื นว่าราชการเมืองอยทู่ ่ีบา้ นพระยาระแงะ ( หนิบอสู ) บิดา เม่อื ปี พ.ศ. 2434 พระบาทสมเด็จ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หวั จึงทรงพระกรณุ าโปรดเกลา้ ฯ พระราชทานสัญญาบตั รปูนบาเหนจ็ ความ ดคี วามชอบเจา้ เมืองระแงะเปน็ ที่ “ พระยาภผู าภักดี ศรสี วุ รรณประเทศ วเิ ศษวงั ษา ” ต่อมาทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ประกาศกฎข้อบังคับสาหรับปกครองบริเวณ 7 หัวเมือง เม่ือวันที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2444 ทรงให้ยกเลิกการปกครองแบบเก่าเสีย เพราะการแบ่งเขตแขวง การปกครองและตาแหน่งหน้าที่ราชการในหัวเมืองทั้ง 7 ยังก้าวก่ายกันอยู่หลายอย่าง จึงได้วาง ระเบียบแบบแผนการปกครองและตาแหน่งหนา้ ที่ราชการให้เปน็ ระเบยี บตามสมควรแก่การสมัย โดย ให้หัวเมืองทั้ง 7 คงเป็นเมืองอยู่ตามเดิม และให้พระยาเมืองเป็นผู้รักษาราชการต่างพระเนตรพระ กรรณ มีกองบัญชาการเมืองให้พระยาเมืองเป็นหัวหน้าปลัดเมือง ยกกระบัดเมือง และผู้ช่วยราชการ เมือง รวม 4 ตาแหน่งตามลาดับ นอกนั้นให้มีกรมการชั้นรองเสมียนพนักงานตามสมควร เพ่ือให้ ราชการบ้านเมืองเป็นไปโดยสะดวกและอาณาประชาราษฎร์มีความอยู่เย็นเป็นสุข โดยมิให้ กระทบกระเทอื นตอ่ ขนบธรรมเนียมประเพณี และส่งิ ที่งามทัง้ หลายในหัวเมอื งเหล่านน้ั แต่ประการใด
34 สาหรับการตรวจตราแนะนาข้อราชการเมืองทั้งปวงให้เป็นหน้าท่ีของข้าหลวงใหญ่ ประจา บริเวณ 7 หัวเมือง คนหนึ่งมีหน้าท่ีออกแนะนาข้อราชการเพื่อให้เป็นไปตามข้อบังคับของท้องตรา กรุงเทพฯ และสอดคล้องกับคาสั่งของข้าหลวงเทศาภิบาลมณฑลนครศรีธรรมราชอีกด้วย พระยา เมอื งท่รี บั ราชการสนองพระเดชพระคณุ ดว้ ยดี กท็ รงพระกรณุ าโปรดเกล้าฯ พระราชทานผลประโยชน์ ให้พอเล้ียงชีพและรักษาบรรดาศักดิ์ตามสมควรแก่ตาแหน่ง และพระราชทานผลประโยชน์ที่เก็บได้ เพ่ือหักค่าใช้จ่ายไว้เป็นเงนิ สาหรับบารุงบ้านเมืองเป็นปีๆ ไป แล้วอีกส่วนหนึง่ ถ้าต้องออกจากราชการ ในหน้าที่ด้วยเหตุผลทุพพลภาพ หรือด้วยเหตุประการหน่ึงประการใดก็ดี จะได้รับพระราชทานเบี้ย เลย้ี งบานาญอกี ตอ่ ไป เร่อื งการศาล จดั ให้มีศาลเปน็ 3 ช้นั คือ ศาลบรเิ วณ ศาลเมอื ง ศาลแขวง มผี พู้ ิพากษาสาหรับ ศาลเหล่านั้นพิจารณาคดีตามพระราชกาหนดกฎหมาย เว้นแต่คดีแพ่งที่เก่ียวกับครอบครัวและมรดก ซ่ึงอิสลามิกชนเป็นโจทก์และจาเลย หรือเป็นจาเลยให้ใช้กฎหมายอิสลามิกชนแทนบทบัญญัติ กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ เว้นแต่บทบัญญัติว่าด้วยอายุความมรดกยังคงต้องใช้ประมวลกฎหมาย แพ่งและพาณิชย์บังคับ การใช้กฎหมายอิสลามในการพิจารณาพิพากษาอรรถคดีดังกล่าวตาม ข้อบังคับ การใช้กฎหมายอิสลามในการพิจารณาพิพากษาอรรถคดีดังกล่าวตามข้อบังคับสาหรับการ ปกครองบริเวณ 7 หัวเมือง ร.ศ. 120 เรียกตุลาการตาแหน่งนี้ว่า “โต๊ะกาลี” ต่อมาจึงได้มีข้อกาหนด ไว้ในศาลตรากระทรวงยุติธรรม ลงวนั ท่ี 14 กนั ยายน พ.ศ.2460 เรยี กตาแหนง่ น้วี ่า “ดาโต๊ะยุติธรรม” เพื่อให้สอดคล้องกับตาแหน่ง “เสนายุติธรรม” ในมณฑลพายับ ดาโต๊ะยุติธรรมเป็นผู้รู้และเป็นท่ีนับ ถือของอิสลามิกชนเปน็ ผู้พพิ ากษาตามกฎหมายอสิ ลาม ต่อมาได้มีการประกาศพระบรมราชโองการ ให้จัดตั้งมณฑลปัตตานีเม่ือวันที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2449 มีสาระสาคญั วา่ แต่ก่อนมาจนถึงเวลาน้บี ริเวณ 7 หัวเมือง มีข้าหลวงใหญ่ปกครองข้ึนอยู่ กับข้าหลวงเทศาภบิ าลมณฑลนครศรธี รรมราช ทรงพระราชดาริเหน็ ว่าทุกวนั น้ี การค้าขายในบรเิ วณ 7 หัวเมือง เจริญข้ึนมากและการไปมาถึงกรุงเทพฯ ก็สะดวกกว่าแต่ก่อน ประกอบกับบริเวณ 7 หัว เมืองมีท้องที่กว้างขวางมีจานวนผู้คนมากขึ้น สมควรจะแยกออกเป็นมณฑลหนง่ึ ต่างหากให้สะดวกแก่ ราชการ และจะทานุบารุงบ้านเมืองให้เจริญย่ิงข้ึนกว่าแต่ก่อนได้ จึงแยกบริเวณ 7 หัวเมืองออกมา จากมณฑลเทศาภิบาลอีกมณฑลหน่ึงเรียกว่า “ มณฑลปัตตานี ” ให้บรรดาศักด์ิเสนีเป็นข้าหลวง เทศาภิบาล สาเร็จราชการมณฑลปัตตานี ในมณฑลปัตตานีเมืองท่ีเข้ามารวม 4 เมือง คือ เมือง ปตั ตานี ( รวมเมืองหนองจกิ ยะหริ่ง และเมืองปตั ตานี ) เมอื งยะลา ( รวมเมอื งรามนั และเมืองยะลา ) เมืองสายบุรี และเมอื งระแงะ ต่อมาในปี พ.ศ. 2450 ไดย้ ้ายท่ีวา่ ราชการเมืองระแงะจากตาบลตันหยงมสั มาตั้งท่บี ้าน มะนารอ ( บางมะนาวปัจจบุ นั ) อาเภอบางนรา สว่ นทอ้ งทีเ่ มอื งระแงะ และฐานะอาเภอบางนราขึ้น เป็นเมืองบางนรา มีอาเภอโต๊ะโม๊ะ ครั้งต่อมาพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ไดเ้ สดจ็ ประพาสมณฑลปกั ษใ์ ต้ เม่อื เสดจ็ มาถึงเมืองทรงพระราชทานพระแสงราชศตั ราแกบ่ ้านเมอื ง บางนรา จึงทรงพระกรุณาโปรดเกลา้ ฯ ให้เปลย่ี นชือ่ เมืองบางนราเป็นเมอื งนราธิวาส ตั้งแตว่ ันท่ี 10 มถิ นุ ายน พ.ศ. 2458
35 ในปี พ.ศ. 2465 ได้มีการปรับปรุงระเบียบบรหิ ารราชการส่วนภูมิภาคคร้ังใหญ่ให้เปล่ียนชือ่ เมืองเปน็ จงั หวัด ฉะน้นั เมอื งนราธวิ าส จงึ เปลย่ี นชือ่ มาเปน็ จังหวัดนราธิวาส ดงั เช่นปัจจบุ นั ตอ่ มา ในรชั สมัยสมเดจ็ พระปกเกลา้ รัชกาลที่ 7 ทรงพระราชดารเิ ห็นวา่ การท่แี บง่ เขตเปน็ มณฑลและจังหวัด ไว้แต่เดิมน้ัน เวลาน้ีการคมนาคมสะดวกขึ้นมากพอที่จะรวมการปกครองบังคับบัญชาให้กว้างขวาง ยิง่ ขน้ึ แล้ว จงึ เปน็ การสมควรทจ่ี ะยุบมณฑลและจังหวัดเพอื่ ประหยดั รายจา่ ยของแผ่นดิน จงึ ทรงพระ กรณุ าโปรดเกล้าฯ ใหย้ ุบเลกิ มณฑล 4 มณฑล จังหวดั 9 จงั หวดั เม่อื วนั ท่ี 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2474 ในการประกาศยุบเลิกมณฑลคร้ังน้ี มีมณฑลปัตตานีเป็นมณฑลหน่ึงด้วย และให้รวมจังหวัดต่างๆ ของมณฑลปัตตานีเข้าไว้ในปกครองของมณฑลนครศรรีธรรมราช มีศาลารัฐมณฑลตั้งอยู่ที่จังหวัด สงขลา ปจั จบุ ันเมอื งเกา่ นราธวิ าส จึงได้พัฒนาข้ึนเป็นเมอื งท่ีอยู่ในพน้ื ทีป่ กครองของจังหวัดนราธิวาส และมีผู้เข้ามาอาศัยหลายเชื้อชาติมากขึ้น และถือเป็นเมืองสาคัญของพ้ืนที่สามจังหวัดชายแดน ภาคใตข้ องประเทศไทย
36 ใบงานเรอื่ ง การก่อตั้งเมืองมอื นารอ คาชแี้ จง ให้นักเรียนสรุปการก่อตั้งเมอื งมือนารอเปน็ แผนผังความคิด
37 แบบสงั เกตพฤติกรรมการทางานกลุม่ ของนกั เรียน ชน้ั มธั ยมศึกษาปที ี่ 3 เรือ่ ง การก่อต้ังเมืองมือนารอ เกณฑ์การให้คะแนนพฤตกิ รรม ดมี าก ให้ 9 - 10 คะแนน ดี ให้ 7 – 8 คะแนน ปานกลาง ให้ 5 – 6 คะแนน ควรปรับปรงุ ให้ 1 – 4 คะแนน พฤตกิ รรมท่แี สดง ความสนใจ การตอบ การแสดง การมสี ว่ น ยอมรับฟงั ช่ือ - สกุล (10) คาถาม ความคิดเห็น ร่วม ความคดิ เห็น (10) (10) (10) ของผู้อน่ื (10) ลงชอื่ ...............................................ผปู้ ระเมิน (นางซารอ อิสสภาพ)
38 แบบประเมินงานกลุ่ม รายการทปี่ ระเมนิ เนื้อหา มีการ มคี วาม นาเสนอ ถูกต้อง และมี วเิ คราะห์ สวยงาม ขอ้ มูลได้ ความ ช่อื กลุ่ม/นกั เรียน สมบูรณ์ ประเดน็ ท่ี และเป็น อย่าง รวม ผา่ น ไม่ แตกต่าง ระเบียบ ถกู ตอ้ งตรง ผา่ น (5) และ (5) ประเด็น สร้างสรรค์ (5) (5) ลงชอ่ื ...............................................ผปู้ ระเมนิ (นางซารอ อสิ สภาพ)
39 เกณฑ์คะแนน ระดบั ดเี ยี่ยม คะแนน 17 – 20 ระดับดี คะแนน 13 – 16 ระดับพอใช้ คะแนน 9 – 12 ระดับปรับปรุง คะแนน 1 – 8
40 แบบประเมินการตรวจใบงาน ลาดับ ชอ่ื -สกุล ความสมบรู ณ์ ความเป็น ความตั้งใจใน ความคิด รวม ท่ี ของเนอ้ื หา ระเบียบ การทางาน สรา้ งสรรค์ (20คะแนน) (5 คะแนน) เรยี บร้อย (5 คะแนน) (5 คะแนน) (5 คะแนน) ลงช่อื ...............................................ผูป้ ระเมนิ (นางซารอ อสิ สภาพ) เกณฑก์ ารประเมนิ อยใู่ นเกณฑ์ ดี แสดงว่า ผ่าน 15 - 20 คะแนน อยู่ในเกณฑ์ พอใช้ แสดงวา่ ผา่ น 10 - 14 คะแนน ต่ากว่า 10 คะแนน อย่ใู นเกณฑ์ ตอ้ งปรับปรงุ แสดงวา่ ไม่ผ่าน
41
42
43
44
45
46
47
Search
Read the Text Version
- 1 - 22
Pages: