Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore วัฒนธรรมการแต่งกาย

วัฒนธรรมการแต่งกาย

Published by saroeisspap, 2020-09-23 03:55:25

Description: วัฒนธรรมการแต่งกาย

Keywords: การแต่งกายม,ือนารอ

Search

Read the Text Version

เอกสารประกอบ การจดั การเรียนรู้ เรือ่ ง วฒั นธรรมการแตง่ กาย

ใบความรู้เรอ่ื ง วฒั นธรรมการแตง่ กาย ประวตั ิการใช้ ผา้ คลุมผม และ หมวกกปเิ ยาะห์ ในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ กอ่ นพุทธศตวรรษท่ี 11 การแต่งกายของชาวไทยมุสลิมในภูมภิ าคนรี้ ับรูปแบบมาจากวัฒนธรรมของ ศาสนาฮนิ ดู และศาสนาพุทธ แตเ่ มือ่ เข้าสยู่ ุคของการเปลีย่ นไปนับถือศาสนาอสิ ลาม ปรากฏว่าวฒั นธรรมใดที่ ขัดกบั หลกั ศาสนาอิสลามค่อยๆ ยกเลิกไป ดังเช่น การแตง่ กายของชาวลงั กาสุกะแต่เดิมจะคลา้ ยกับชาวอนิ เดีย คือ ชายนงุ่ ผ้าผนื เดียวใชพ้ นั รอบตวั ชายผา้ ด้านหนงึ่ นามาพาดไหลเ่ รียกว่าแบบ “โดตี” สาหรับการแต่งกายของชาวไทยมุสลิมในสามจังหวดั ชายแดนภาคใต้ ตง้ั แต่อดตี จนถงึ ปจั จุบันมี ววิ ัฒนาการมาตามลาดบั การแต่งกายบางแบบก็เลกิ ใช้แลว้ อย่างเชน่ ชดุ กระโจมอกของผู้หญงิ ไดเ้ ลกิ ใชม้ า ประมาณ 80 ปมี าแลว้ ทงั้ ทใ่ี นอดตี เคยเปน็ ทีน่ ยิ มทั่วไปสาหรับใส่อยู่กับบา้ น หรือออกงานนอกบา้ นโดยใช้ ผ้าน่งุ เปน็ ผา้ สตือรอ (ไหม) เป็นถุงนงุ่ ยาวกรอมเท้า ผ้ากระโจมอก มักใช้ผ้าแอแจ๊ะ (ผา้ ไหมลายตา่ งๆ เช่น ลาย คดกริชตามแนวนอน ลายมัดหมี่ หรือผา้ ตลโิ ป๊ะ (ผา้ ไหมลิโปจ้ ากจีน) หรือผา้ ปาเตะ๊ และผา้ คลมุ ผมมักใช้ผ้า ปา่ นมีดอกสวยงาม หรือผ้าปลางนิ (ผ้าแพรชนิดหนง่ึ ทาเป็นดอกดวงโต โดยการใช้ใบตองแห้งมดั แลว้ ยอ้ มสีพ้ืน ของผา้ ผ้าชนิดน้ี ทาในปตั ตานีสมัยกอ่ น) วธิ ีคลุมก็อาจคลมุ โดยปลอ่ ยชายทัง้ สองข้างไว้ข้างหน้า หรอื จะตลบ ชายข้างใดขา้ งหนง่ึ ให้พาดโอบไปขา้ งหลงั ก็ได้ ผทู้ ่ีแต่งกายแบบนี้มกั นยิ มเกล้าผมมวยแบบโบราณ หรือปล่อย สยายลงมาเมอ่ื อยู่กบั บา้ น (จิตตมิ า ระเดน่ อาหมดั ,2529 :37 )

ภาพที่ 1 ในอดีตหญงิ ไทยมสุ ลิมในสามจงั หวดั ชายแดนภาคใต้แต่งกายชุดกระโจมอกเมื่ออยู่กบั บ้าน ซง่ึ การ แตง่ กายแบบนี้ได้ยกเลิกไปเมื่อ 80 ปมี าแล้ว ภาพนี้ถ่ายเม่ือวันที่ 3 กุมภาพนั ธ์ 2540 ที่มา : จรุ ีรตั น์ บวั แก้ว, 2540 : 194. ฮิญาบ (Hijab) มาจากภาษาอาหรับว่า ฮายาบา (Hayaba) แปลว่า การอ่อนนอ้ มถ่อมตน ความสงบ เสงย่ี ม ซง่ึ หมายถึงผ้ทู ่ีสวมผา้ คลุมผมแลว้ มองดสู ภุ าพและสงบเสงย่ี ม ดงั ปรากฏหลกั ฐานอย่ใู นคัมภรี ก์ ุรอานบท ที่ 24 อายะฮฺท่ี 30-32 (“Hijab”. http:www.Islamiclifestyle.com/Hijab.htm 18 สิงหาคม 2548) เน้ือผา้ ท่ใี ช้ในการผลิต ผา้ คลมุ ผมมีหลายชนิด เช่น ผ้าฝ้าย ผา้ ใยสงั เคราะห์ ผ้าไหม ชีฟอง เปน็ ต้น ผ้าคลุมผมมี หลากหลายรปู แบบแตกตา่ งกัน เพราะสตรีในแตล่ ะประเทศมีวธิ ีการใช้ผ้าคลุมผมในรูปแบบทแี่ ตกต่างกัน บาง ประเทศมีการเปล่ยี นแปลงไปตามยุคสมยั แต่บางประเทศยังคงอนุรักษ์แบบเดมิ ไว้ อย่างไรกต็ าม ไมป่ รากฏ หลกั ฐานแน่ชดั วา่ หญิงในบริเวณสามจังหวดั ชายแดนภาคใตเ้ รม่ิ มีการใช้ ผา้ คลมุ ผมเมื่อใด พบเพยี งหลักฐาน เป็นภาพถ่าย การแต่งกายของคหบดีเมืองปัตตานี ในสมยั พระบาทสมเด็จพระจลุ จอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั ที่ สวม เสอื้ ตัวยาว แขนยาว นุ่งผา้ ตาหมากรุก หม่ สไบแลว้ เกลา้ มวยตา่ สว่ นคนรับใชก้ ระโจมอก นุง่ ผา้ ถงุ ผา้ ตาหมาก รุกและยังไม่มีการใชผ้ า้ คลมุ ผม (ดภู าพที่ 2) นอกจากนี้ ยงั พบภาพถ่ายการรับเสด็จพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หวั ทเ่ี มือง ปัตตานนี ้นั เร่ิมมีการใช้ ผ้าคลมุ ผมสตรบี า้ งแลว้ (ดูภาพท่ี3) แตจ่ ากภาพถา่ ยที่ประชาชนมารอรับเสดจ็ พระบาทสมเดจ็ พระปกเกลา้ เจ้าอยหู่ วั ก็ไม่ปรากฏใหเ้ หน็ ว่ามีการใช้ผ้าคลุมผมสตรแี ตอ่ ย่างใด (ดภู าพที่ 4)

ภาพท่ี 2 การแต่งกายของคหบดีเมืองปัตตานีในสมยั พระบาทสมเดจ็ พระจุลจอมเกล้าเจา้ อย่หู ัว ยังไม่มกี าร ใชผ้ า้ คลมุ ผมแต่นามาห่มเปน็ ผา้ สไบ ทีม่ า : หอจดหมายเหตแุ ห่งชาติ ทา่ วาสกุ รี กรงุ เทพฯ ภาพที่ 3 ราษฎรมารอรบั เสดจ็ พระบาทสมเดจ็ พระมงกุฎเกลา้ เจา้ อยู่หัว ณ พลบั พลาเมืองปัตตานี สังเกต การแต่งกายของหญงิ มีทงั้ นุ่งผ้ากระโจมอก มจี านวนนอ้ ยที่ใชผ้ า้ คลมุ ผม ชายสวมเส้ือ นงุ่ ผ้าตาหมากรุก บาง รายใช้ผ้าโพกศรี ษะ ที่มา : หอจดหมายเหตแุ ห่งชาติ ทา่ วาสกุ รี กรุงเทพฯ อ้างถงึ ใน สุจติ ต์ วงษ์เทศ, 2547 :54

ภาพท่ี 4 ชาวเมืองปัตตานีจัดขบวนแห่บุงอซิเฆะ(บุหงาสิเระ) ถวายพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว เม่ือ พ.ศ. 2472 หญิงนุ่งผ้าถุง สวมเสื้อและใชผ้ ้าคลอ้ งคอไม่ใช้ผา้ คลุมผม ส่วนชายสวมเสื้อคอปดิ แขนยาว นุ่ง ผา้ ปาลกิ ัต สวมหมวกซอเกา๊ ะและบางคนโพกผา้ ทับหมวกกปเิ ยาะห์ ทมี่ า : หอจดหมายเหตแุ หง่ ชาติ ท่าวาสุกรี กรุงเทพฯ อา้ งถงึ ใน สุจิตต์ วงษ์เทศ, 2547 : 60 อย่างไรก็ตาม สันนิษฐานว่าผู้หญิงมุสลิมน่าจะมีการใช้ผ้าคลุมเร่ือยมา แต่ใช้ในหลายลักษณะได้แก่ พาดไหล่ คลุมไหล่ คลุมศีรษะ ปิดผมบางส่วนและปิดผมท้ังหมด จนกระทั่งถึงสมัยจอมพล แปลก พิบูลสงครามเป็น นายกรัฐมนตรีในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2481 ได้แถลงนโยบายสาคัญคือการนาประเทศไทยเข้าสู่ความเป็น อารยะ ซง่ึ รัฐบาลได้วางแนวทางในการปฏิบัติทส่ี าคัญ 3 ประการคอื การสรา้ งความสมบูรณ์ทางเศรษฐกิจ การ สร้างความเป็นปึกแผ่นของชาติ และการสร้างวัฒนธรรมอันดีงาม สาหรับนโยบายการสร้างชาติทางวัฒนธรรม นั้น ได้ส่งผลกระทบต่อประชาชนทั้งประเทศโดยเฉพาะในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ซ่ึงผู้หญิงนุ่งผ้าโสร่งและ คลมุ ผมตามประเพณีนยิ มของผู้นับถือศาสนาอิสลาม ขา้ ราชการท้องถิ่นได้รับคาสั่งให้ชักจูงผ้หู ญิงมุสลิมเปลี่ยน จากนุ่งผ้าถุงแบบไทย เป็นกระโปรงแบบฝร่ัง และสวมหมวกแทนผ้าคลุมผม จากคาส่ังส่วนกลางดังกล่าว กรมการจังหวดั ปตั ตานีไดร้ ายงานกลับมาวา่ ในชั้นแรกชาวไทยมสุ ลมิ ไมย่ อมเปลี่ยนแบบเครื่องแต่งกาย จงึ ต้อง เรียกประชุมชี้แจงว่าผู้ท่ีแต่งกายแบบเดิมจะไม่ได้รับความสะดวก ในการติดต่อกับราชการ (สุวดี ธนประสิทธ์ิ พฒั นา, 2542 :116 ) (ดูภาพท่ี 5)

ภาพท่ี 5 ภาพโฆษณาให้ประชาชนในภาคใต้ปรับปรุงการแต่งกายตามแบบท่ีรัฐบาลยุคจอมพล ป.พิบูล สงคราม อ้างวา่ จะทาให้ไทยเป็นประเทศอารยะตามแบบตะวันตกเม่ือวันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2484 ทม่ี า : นันทิ รา ขาภบิ าล, “นโยบายผู้หญงิ สมัยจอมพล ป.พบิ ูลสงคราม พ.ศ. 2481-2487 อ้างถงึ ใน สุวดี ธนประสิทธ์พิ ฒั นา, 2542 :117 จากภาพโฆษณาท่ี รัฐบาลชักชวนให้ประชาชนที่ต้องออกไปในที่ชุมชน อย่าเปลือยกายท่อนบนหรืออย่าใช้ผ้า คาดอก อย่าสวมเส้ือชั้นในตัวเดียวหรือทูนของบนศีรษะ แต่ให้ผู้หญิงไว้ผมยาว สวมเส้ือช้ันนอกให้สะอาด เรียบร้อยและนุ่งผ้าส้ิน (ผ้าถุง) ผลปรากฏวา่ นโยบายการสร้างชาติทางวัฒนธรรมนี้ สร้างความเดอื ดร้อนให้กบั ผู้หญิงมุสลิมอย่างมาก เพราะต้องหันมาปฏิบัติตามนโยบายของรัฐบาล หญิงมุสลิมท่ีเป็นสามัญชนไม่มีเงินตัด เสื้อ กระโปรงตัวใหม่ รองเท้า หมวกและกระเป๋า ก็ไม่สามารถออกไปทาธุระนอกบ้าน ต้องใช้วิธีการหยิบยืม เส้ือผ้าจากญาติพี่น้อง ดังน้ัน ผู้ที่มีเสื้อผ้าตามที่รัฐบาลโฆษณามักเป็นผู้ที่มีฐานะดี เช่น ครอบครัวคหบดี ข้าราชการ เปน็ ต้น จากการสัมภาษณ์ นางนิรอเมาะห์ ระเด่นอาหมัด อายุ 79 ปี (สัมภาษณ์,วันท่ี 14 สิงหาคม 2548 ) ซ่ึงเป็น ครอบครวั ข้าราชการ เล่าว่า เม่อื วนั ที่ 30 มถิ นุ ายน พ.ศ. 2487 ทา่ นพร้อมเพอ่ื นสาวซ่ึงมสี ามีเป็นข้าราชการอยู่ แผนกเดียวกันท่ีศาลากลาง จังหวัดปัตตานี หลังจากท่านได้แต่งงานตามหลกั ศาสนาอิสลาม ฝ่ายสามีได้ปฏิบตั ิ ตามนโยบายรัฐนิยม เรื่องการจดทะเบียนสมรสให้ถูกต้องตามกฎหมาย จึงนัดแนะให้ภรรยาทั้งคู่ไปพบที่ศาลา กลางจังหวัดปัตตานี เพอื่ จดทะเบียนสมรส ท้ังคูจ่ งึ ข่ีจักรยานคนละคันโดยแต่งตวั ตามแบบรฐั นิยม คอื นุ่งผา้ ถุง จีบให้พองๆ คล้ายกระโปรง รัดด้วยเข็มขัด ใส่เสื้อเข้ารูปแขนยาวแบบตะวันตก สวมรองเท้าสานส้นเตี้ย เพื่อ สะดวกในการขจ่ี กั รยาน (ปกติสวมรองเท้าส้นสงู ) สวมหมวกปกี กว้าง ทา่ นเลา่ วา่ ทา่ นสามารถใชเ้ ชือกรัดใต้คาง ส่วนเพ่ือนสาวสวมหมวก แต่ไม่ใช้เชือกรัดใต้คาง เม่ือข่ีจักรยานโดยจับแฮนด์ข้างเดียวด้วยแขนขวา ส่วนแขน ซ้ายจบั หมวก ปรากฏว่าลมพัดแรง กระโปรงเปดิ จึงต้องปล่อยมือขา้ งซ้ายมาจบั กระโปรง ทาใหห้ มวกถกู ลมพัด ปลิวตกลงไปในแม่น้า ตามสมัยรัฐนิยมเม่ือออกจากบ้านต้องสวมหมวก มิฉะน้ันจะถูกเจ้าหน้าที่จับกุม ท่านกับ เพอื่ นปรกึ ษา กนั วา่ ตอ้ งเดินทางต่อไปให้ทันเวลานดั แตเ่ ป็นการเดนิ ทางท่ที าให้เกดิ ความวติ กกงั วลตลอดทาง

แสดงว่าผู้หญิงมุสลิม ในสมัยน้ีเม่ือออกจากบ้านจะไม่ใช้ผ้าคลุมผมซ่ึงสะท้อนให้เห็นว่า นโยบายนี้ กลายเป็นเร่ืองตลกขบขนั และสรา้ งความราคาญใหแ้ กป่ ระชาชนอย่างแน่นอน เพราะปรากฏว่าเมื่อหมดสมัยรัฐ นิยมประชาชนก็หันมาแต่งกายตามแบบท้องถ่ินนิยม และค่อยๆ พัฒนาตามแบบของผู้หญิงในประเทศ สหพันธรฐั มาลายู (มาเลเซียตะวนั ตก ในปัจจบุ ัน) และอนิ โดนเี ซีย เช่น ชุดกรุ ง กบายอ เปน็ ตน้ ชว่ งนม้ี ที ั้งใช้ผ้า คลุมผมและไม่ใช้ ผู้หญิงสูงวัยมักใช้ผ้าป่านรูปสี่เหล่ียมผืนผ้า ผืนใหญ่คลุมศีรษะ แต่หญิงสาวนิยมใช้ผ้าผืนเล็ก ชนิดบางทั้งรูปส่เี หล่ยี มผืนผา้ และสีเ่ หล่ียม จตั รุ สั คลุมไหล่หรือพาดไหล่ ต่อมาการแต่งกาย ของผู้หญิงไทยมุสลิมได้พัฒนาไปอีกข้ันหน่ึง โดยเฉพาะเป็นท่ีนิยมในหมู่หญิงสาว ลักษณะคล้ายเส้ือกบายอแต่เนน้ รปู ทรงกวา่ เสอื้ แบบนเ้ี รยี กว่า บานง เป็นเสื้อทไี่ ดร้ บั อิทธพิ ลมาจากอนิ โดนีเซีย ส่วนสตรีท่ีเป็นฮัจยะห์ นิยมคลุมผมด้วยผ้า 2 ผืนๆ หนึ่งเป็นผ้าสีขาวบางๆ มีลวดลายเล็กๆ หรือไม่มี เรียกว่า มือดูวาเราะห์ เป็นผ้าที่ซื้อมาจากซาอุดิอาระเบีย ใช้สาหรับปิดผมให้มิดชิด และอีกผืนหน่ึงเป็นผ้าป่านสาหรับ คลมุ ตามประเพณที ้องถ่นิ (จิตตมิ า ระเดน่ อาหมดั ,2529 : 39-40 ) เม่ือมีกลุ่มดะวะห์ มาช่วยเผยแผ่ศาสนา ทาให้ศาสนาอิสลามมีบทบาทต่อการแต่งกายของชาวไทยมุสลิมมาก ข้ึน แต่เดิมลักษณะการแต่งกายเป็นศาสนาวัฒนธรรมอยู่แล้ว แต่อาจมีบางอย่างท่ีขัดต่อศาสนาบ้าง เมื่อมีการ เผยแพรห่ ลกั ปฏิบัติในการแต่งกายให้ถูกต้องตามหลักศาสนาอิสลาม โดยถือวา่ การเปิดเผยอวัยวะบางส่วนของ ร่างกายเป็นการไม่เหมาะสม บริเวณท่ีควรปกปิดสาหรับผู้ชายได้แก่ อวัยวะตรงกลางลาตัวตั้งแต่บ้ันเอวลงไป ถึงกลางน่อง ถ้าเป็นหญิงต้องปกปิดทั่วร่างกาย เว้นแต่ใบหน้ากับมือเท่าน้ัน ขณะน้ีจึงมีการเปล่ียนแปลง ลักษณะการแต่งกายของชาวไทยมุสลิมอย่างขนานใหญ่ กล่าวได้ว่าเป็นการปฏิวตั ิการแต่งกายก็ย่อมได้ ฉะน้ัน ภาพการแต่งกายคล้ายชาวอาหรับ ชาวปากีสถาน ชาวบังกลาเทศและอื่นๆ ได้ปรากฏให้เหน็ ตามท้องถนน แต่ ในขณะเดียวกัน เอกลักษณ์การแต่งกายดั้งเดิมก็ถูกดัดแปลง ให้เข้ากับหลักศาสนาอิสลามและสมัยนิยม ตามลาดบั (จติ ตมิ า ระเดน่ อาหมดั ,2529 : 38 ) ในปัจจุบันมี โรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลามหรือปอเนาะเกิดข้ึนท่ัวไปในท้องถิ่น แต่ละโรงเรียน กาหนดให้นักเรียนหญิง แต่งกายปกปิดให้มิดชิดตามหลักศาสนาอิสลาม ในระยะแรกเรียกชุดนี้ว่า ชุดดะวะห์ (ตามชื่อกลุ่มดะวะห์) ต่อมาเป็นที่รู้จักกันในช่ือชุด ฮิญาบ ซ่ึงประกอบด้วย เสื้อกุรงสีขาว ผ้าถุงสีพื้นยาวกรอม เท้า จุดเด่นของชุดนี้คือ ผ้าคลุมผมซ่ึงประกอบด้วยผ้าสีดาสาหรับปิดผมแล้วคลุมทับด้วยผ้าขาวหรือดายาว คลมุ ไหล่ อีกช้ินหนึ่ง (ดูภาพที่ 6 ) สาหรับประวัติ ความเป็นมาของการใช้หมวกกปิเยาะห์ ในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ไม่ปรากฏ หลักฐาน ชัดเจนว่ามีการใชห้ มวกกปิเยาะห์เมื่อใด แต่ในสมัยโบราณ ชายนิยมแต่งกายด้วยชุดปูฌอปอตอง ซึ่ง

ปัจจุบันไม่นิยมแล้ว ประกอบด้วย เส้ือคอกลมสีขาว ผ่าหน้ายาวพอสมควร สวมทางศีรษะได้ ติดกระดุมสาม เม็ด แขนสั้น ส่วนผ้าท่ีนุ่งมีลักษณะเหมือนผ้าขาวม้า ทาด้วยสีสันค่อนข้างฉูดฉาด มักเย็บเป็นถุง ใช้นุ่งทับบน เสือ้ วิธีนงุ่ ต้องใหช้ ายท้ังสองข้างห้อยอยู่ตรงกลางเป็นมุมแหลม (ลกั ษณะเช่นนเ้ี รียกวา่ ปูฌอปอตอง) มีผ้ายอื แฆ เป็นผ้าจากเมืองจีนคล้ายแพรดอกในตัวหรือไหม เป็นผ้าที่มีขนาดเล็กกว่านุ่งทับบนผ้าปูฌอปอตองอีกช้ันหนึ่ง เสร็จแล้วเหน็บกริชหรือหอกด้วยก็ได้ การแต่งกายแบบนี้นิยมใช้สตาแงโพกศีรษะ ภาษามลายูเรียกว่า สตางัน หรือ สตาแง เป็นผ้าโพกศีรษะที่พับเป็นรูปต่างๆ (ดูภาพท่ี 7 ) ซ่ึงในสมัยนี้อาจจะยังไม่นิยมสวมหมวกกปิ เยาะห์ ในขณะเดียวกันจากภาพถ่ายเจา้ เมืองของ 7 หัวเมอื งในสมัยพระบาทสมเด็จพระจลุ จอมเกล้าเจา้ อยู่หัว สะท้อน ใหเ้ ห็นการใชห้ มวกรูปทรงต่างๆ โดยเฉพาะหมวกซอเกา๊ ะเรม่ิ ปรากฏให้เหน็ แลว้ (ภาพที่ 9-14) ภาพท่ี 7 การแต่งกายของชายไทยมุสลิมในสมัยโบราณในชุดปูฌอปอตอง โดยใช้สตาแงเป็นผ้าโพกศีรษะ ปัจจุบันไดเ้ ลกิ ใชไ้ ปแล้ว ที่มา : จติ ตมิ า ระเดน่ อาหมดั ,2529 : 39 ในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น ชนชั้นปกครองและข้าราชการนิยมใช้ผ้าโพกศีรษะ เม่ือแต่งกายด้วยชุด ท้องถ่ินและชุดเครื่องแบบข้าราชการ จนกระทั่งสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เริ่มมีการแต่ง กายด้วยชุดสากลนิยมและชุดข้าราชการมักใช้หมวกซอเก๊าะ (ดูภาพท่ี 9 -14) ส่วนประชาชนสวมเสื้อแขนสั้น นุ่งผ้าตาหมากรุกแล้วโพกศีรษะ (ดูภาพที่ 14) ในอดีต หมวกซอเก๊าะทาด้วยผ้ากามะหย่ีสีดา มีทั้งที่ทาในสาม จังหวัดชายแดนภาคใต้ และสั่งซ้ือจากอินโดนีเซีย นิยมใช้ท่ัวไปเวลาออกนอกบ้าน รวมทั้งไปละหมาดที่มัสยิด ต่อมาความนิยมลดลง เน่ืองจากหมวกกปิเยาะห์ใช้สะดวกกว่า แต่ในปัจจุบันมีการนาเข้าหมวกซอเก๊าะจาก ต่างประเทศ โดยเฉพาะจากประเทศแถบตะวันออกกลาง

ภาพที่ 9 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (ประทับยืนทางขวามือ) ทรงฉลองพระองค์เสื้อตื อโละบลางอ ทรงพระภูษาปาลิกัต พระมาลาซอเก๊าะตามแบบชายไทยมุสลิมในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ เมื่อเสด็จประพาสหัวเมืองมลายู ทม่ี า : หอจดหมายเหตแุ ห่งชาติ ทา่ วาสกุ รี กรงุ เทพฯ, 11 ธนั วาคม 2539 อา้ ง ถึงใน จรุ รี ัตน์ บัวแก้ว, 2540 : 197.

ภาพที่ 10 พระยาสุริยสุนทรบวรภักดี ศรีมหารายามัตตาอับดุล วิบุลยขอบเขตประเทศราช (เต็งกูอับดุล มุฏฏอเลบ็ หรอื นวิ ิตานาเซร์) พระยาเมอื งสายบรุ ี สวมหมวกสขี าวและโพกผ้า ทม่ี า : http://kaekae.pn.psu.ac.th/psupn/file/pn_picture_pn-old0003.jpg ภาพท่ี 11 พระยาพิทักษ์ธรรมสุนทรนริศรสุรบดินทร์นรินทรภักดี (เต็งกูเดร์) ผู้กากับทานุบารุงราชการ เมืองปตั ตานี สวมเสอ้ื แขนยาว คอปิด นุ่งผา้ ปาลิกัต โพกผา้ ทศี่ รี ษะ (สตาแง) ทม่ี า : http://kaekae.pn.psu.ac.th/psupn/file/pn_picture_pn-old0002.jpg

ภาพที่ 12 พระยาภูผาภักดี ศรีสุวรรณประเทศวิเศษวังษา (เต็งกูเงาะซาซูดิน) เจ้าเมืองระแงะโพกผ้า ท่ี ศีรษะ ทมี่ า : http://kaekae.pn.psu.ac.th/psupn/file/pn_picture_pn-old0005.jpg ภาพที่ 14 พลทหารเมืองปตั ตานนี ุ่งผ้าถุงแล้วนุ่งผา้ ตาหมากรุกแบบปูฌอปอตอง โพกผ้าทศี่ ีรษะ ท่ีมา : หอ จดหมายเหตแุ ห่งชาติ, ทา่ วาสุกรี กรุงเทพฯ

ภาพที่ 15 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ ให้จัดซื้ออาหารพระราชทานราษฎร เมืองปัตตานี ในงานฉลองศาลาวัดตานีนรสโมสรเมื่อวันท่ี 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2448 ในภาพจะเห็นข้าราชการ เมอื งปตั ตานสี วมเสื้อคอปดิ นงุ่ ผา้ ปาลิกัต โพกผ้าทศ่ี ีรษะ ท่มี า : หอจดหมายเหตแุ ห่งชาติ, ทา่ วาสุกรี กรงุ เทพฯ อ้างถึงใน สุดจิตต์ วงษ์เทศ, 2547 : 45 ต่อมาชายมุสลิม เมื่อแต่งกายด้วยเสื้อผ้าแล้วจะสวมหมวกซ่ึงมี 2 รูปแบบ คือ หมวกซอเก๊าะและ หมวกกปเิ ยาะห์ คาว่าหมวกกปิเยาะห์นั้นเปน็ คาภาษาอาหรับว่า Kupiah หรอื Tokiah สันนิษฐานวา่ ประเพณี การสวมหมวกกปิเยาะห์น้ัน เข้ามาพร้อมกับการรับนับถือศาสนาอิสลาม เนื่องจากการสวมหมวกกปิเยาะห์ถือ เปน็ สัญลกั ษณ์ของศาสนิกชายมุสลิมใชส้ วมศรี ษะ เพราะยดึ ท่านศาสดาและผู้นาทางศาสนาเปน็ แบบอย่างของ การแต่งกาย ใช้สวมได้ทุกเวลาถือเป็นสิ่งที่ดีงาม รูปทรงของหมวกกปิเยาะห์ บางแบบจะคล้ายคลึงกับหมวก ของนกั บวชหรอื ผ้นู าทางศาสนายิวและศาสนาครสิ ต์ (อบั ดลุ เราะมัน เจะ๊ อารง, (สัมภาษณ)์ , 5 สิงหาคม 2548) แตเ่ ดมิ หมวกกปิเยาะหใ์ ชใ้ นกลมุ่ โตะ๊ ครแู ละโต๊ะปาเก และค่อยๆ ขยายไปสู่ชายมสุ ลมิ ท่ัวไป

หมวกกปิเยาะห์ เดมิ ใช้วธิ ีการปกั จกั รเป็นลวดลายต่าง ๆ และนยิ มใชส้ ีขาวเท่าน้นั แตใ่ นปัจจุบันยังนยิ ม ใช้หมวกกปเิ ยาะหท์ ีถ่ ักดว้ ยโครเชต์ เพราะพกพาสะดวกและเรม่ิ ใช้หมวกกปิเยาะห์สตี า่ งๆ บ้างประปราย ซง่ึ ส่วนใหญ่ จะผลิตในสามจงั หวดั ชายแดนภาคใต้ และนาเข้าจากตา่ งประเทศโดยเฉพาะจากซาอุดอิ าระเบีย ประชาชนในภาคใต้น้มี ีการแต่งกายต่างกันตามเช้ือชาตทิ าให้การใชว้ สั ดแุ ละรูปแบบมีเอกลกั ษณ์ไป ตามเช้อื ชาติ ถา้ เช้ือสายจนี จะแตง่ แบบจนี ถ้าเป็นชาวมสุ ลมิ ก็จะแต่งคล้ายกบั ชาวมาเลเซยี 1. กลุม่ เชอ้ื สายจีน-มลายู เรียกชนกลมุ่ น้ีว่ายะหยา หรือ ยอนย่า เปน็ กลมุ่ ชาวจนี เชื้อสายฮกเก้ียนทม่ี า สมรสกบั ชนพืน้ เมืองเช้ือสายมลายู ชาวยะหยาจงึ มีการแต่งกายอันสวยงามที่ผสมผสานรปู แบบของชาวจนี และ มลายูเขา้ ดว้ ยกันอย่างงดงาม ฝ่ายหญิงใสเ่ สอ้ื ฉลลุ ายดอกไม้ รอบคอ, เอว และปลายแขนอย่างงดงาม นิยมน่งุ ผา้ ซนิ่ ปาเตะ๊ ฝา่ ยชายยังคงแต่งกาย คล้ายรูปแบบจีนด้งั เดมิ อยู่ 2. กลุ่มชาวไทยมสุ ลมิ ชนด้งั เดมิ ของดินแดนนนี้ ับถอื ศาสนาอสิ ลาม และมเี ช้อื สายมลายู ยงั คงแต่งกาย ตามประเพณี อนั เก่าแกฝ่ ่ายหญงิ มีผา้ คลุมศรี ษะ ใสเ่ ส้อื ผ้ามัสลนิ หรือลูกไมต้ วั ยาวแบบมลายูนุ่งซ่ินปาเต๊ะหรือ ซิน่ ทอแบบมลายู ฝา่ ยชายใสเ่ สอ้ื คอตัง้ สวมกางเกงขายาว และมีผ้าโสร่งผืนสนั้ ที่เรยี กว่า ผา้ ซองเก็ต พันรอบ เอวถา้ อยู่บา้ นหรือลาลองจะใส่โสรง่ ลายตารางทอด้วยฝา้ ยและสวมหมวกถักหรอื เยบ็ ด้วยผ้ากามะหยี่ 3. กลมุ่ ชาวไทยพทุ ธ ชนพนื้ บา้ น แตง่ กายคล้ายชาวไทยภาคกลาง ฝา่ ยหญิงนิยมนุ่งโจงกระเบน หรอื ผ้าซ่ินด้วยผา้ ยกอันสวยงาม ใสเ่ สือ้ สีอ่อนคอกลม แขนสามสว่ น สว่ นฝา่ ยชายนุง่ กางเกงชาวเล หรือ โจงกระเบน เช่นกนั สวมเส้ือผ้าฝา้ ยและมีผ้าขาวม้าผูกเอวหรือพาดบ่าเวลาออกนอกบ้านหรือไปงานพิธีการ

ใบงานเรื่อง วัฒนธรรมการแตง่ กาย คาช้แี จง ใหน้ กั เรยี นสรุปวฒั นธรรมการแต่งกายเปน็ แผนผังความคิด


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook