Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore รายงานเรื่องแมว

รายงานเรื่องแมว

Published by pijakkhanasuwannachot, 2019-10-21 00:20:54

Description: โดยทั่วไปมีการแบ่งพันธุ์แมวออกเป็น 2 ลักษณะใหญ่ ๆ คือ

Search

Read the Text Version

โดยทว่ั ไปมกี ารแบ่งพนั ธุ์แมวออกเป็น 2 ลกั ษณะใหญ่ ๆ คือ แมวขนยาว (longhaired cat) และ แมวขนส้ัน (shorthaired cats) การแบ่งพนั ธดุ์ ว้ ยวธิ ีน้ีทาใหจ้ าแนกแมวออกไดต้ ามลกั ษณะพนั ธุท์ ่ีจาเพาะต่าง ๆ กนั การจดั จาแนกแมวในยโุ รปและสหรฐั อเมริกามกี ารกาหนดมาตรฐานของพนั ธุ์ แมวที่เป็นท่ียอมรบั กนั ท้งั น้ีลกั ษณะมาตรฐานของพนั ธุก์ ม็ กี ารเปลย่ี นแปลงอยบู่ ่อย ๆ การใชช้ ่ือเรียกพนั ธุแ์ มวท่ีแสดงถงึ ลกั ษณะของพนั ธุ์ท่ีจาเพาะมคี วามแตกต่าง กนั ระหวา่ งในยโุ รปและสหรัฐอเมริกา และมีบางพนั ธุม์ ีการจดั จาแนกเฉพาะต่างหากในสหรฐั อเมริกาเท่าน้นั แมวในโลกน้ีมีมากมายหลายพนั ธุ์ โดยเฉพาะแมวท่ีเป็นสตั วเ์ ล้ยี งไมน่ บั รวมสตั วต์ ระกูลแมว พวกเสือ แมวดาว แมวป่ า หรือสิงโต แมวเล้ยี งหรือที่เรา เรียกวา่ Domestic cat น้นั มวี วิ ฒั นาการมาจากแมวป่ าในธรรมชาติจากหลายภูมิภาคของโลก ช่ือเรียกพนั ธุแ์ มวท่ีแตกต่างกนั ท่ีเรียกกนั ทุกวนั น้ี เช่น เปอร์เซีย แมวสยาม แมวบาหลี แมวอะบิสซิเนีย และแมวโซมาลี น้นั แสดงถงึ ถนิ่ กาเนิดที่แสดงถงึ ภมู ิศาสตร์ที่เขาถือกาเนิดมา ในการจดั นิทรรศการท่ียง่ิ ใหญ่ ที่สุดในประเทศองั กฤษเมื่อปี คริสศกั ราช 1871 ถือเป็นการเร่ิมตน้ ในการนาเสนอพนั ธุ์แมวในระดบั นานาชาติ ทาใหผ้ ูส้ นใจในแมวมคี วามตื่นตวั แต่การแสดงใน คร้ังน้นั ส่วนใหญเ่ ป็นแมวเปอร์เซียและแมวขนส้นั เป็นหลกั สรีรวทิ ยา[แก]้ แมวมีความคุน้ เคยและเล้ยี งไดง้ ่าย สรีรวิทยาของแมวไดร้ บั การศกึ ษาโดยเฉพาะ โดยทว่ั ไปจะมีลกั ษณะคลา้ ยกบั สตั ว์ เล้ยี งลูกดว้ ยนมท่ีกนิ เน้ืออน่ื ๆ แต่ จากลกั ษณะที่ผดิ แปลกออกไปหลายอยา่ ง อาจจะทาใหเ้ ชื่อวา่ เช้ือสายแมว มาจากสายพนั ธุท์ ่ีอาศยั อยใู่ นทะเลทราย[6] ตวั อยา่ งเช่นแมวที่สามารถทนต่ออณุ หภูมิสูง มาก มนุษยโ์ ดยทว่ั ไปเริ่มท่ีจะรู้สึกอึดอดั ผวิ เมื่อมอี ณุ หภมู ิประมาณ 38° C (100° F) แต่แมวแสดงความรูส้ ึกไมส่ บายผิวของพวกมนั เมอื่ อุณหภูมถิ งึ ราว ๆ 52° C (126° F)[7]และสามารถทนต่ออณุ หภูมสิ ูงถึง 56° C (133° F ) ถา้ พวกมนั เขา้ ถึงน้าได[้ 8] แมวเกบ็ รักษาความร้อนโดยการลดการไหลเวยี นของเลอื ดไปยงั ผวิ และระบายความรอ้ นโดยการระเหยผา่ นปากของพวกมนั แมวมีความสามารถทจี่ ะขบั เหงื่อโดยมตี ่อมอยใู่ นองุ้ เทา้ [9] และจะหอบเพอ่ื บรรเทาความร้อนที่อุณหภมู ิสูงมากเท่าน้นั [10] (แต่อาจหอบเมือ่ เครียด) อณุ หภูมริ ่างกายของแมวไม่ไดแ้ ตกตา่ งกนั ตลอดท้งั วนั อาจสะทอ้ นใหเ้ ห็นถึงแนวโนม้ ท่ีจะมคี วามกระตือรือร้น ท้งั ในเวลากลางวนั และกลางคืน[11] มลู แมวจะแห้งและปัสสาวะจะมคี วามเขม้ ขน้ สูงซ่ึงท้งั สอง อยา่ งคือการปรบั ตวั ทจี่ ะชว่ ยใหแ้ มวเกบ็ น้าไดม้ ากท่ีสดุ เท่าทจ่ี ะเป็นไปได[้ 6] ไตของแมวมีประสิทธิภาพเพือ่ ให้แมวสามารถอยรู่ อดไดใ้ นอาหารที่มีเฉพาะเน้ือสตั วโ์ ดย ที่ไม่ตอ้ งกนิ น้าเพิม่ เติม[12] และยงั สามารถไดร้ ับน้าโดยด่ืมน้าทะเล[11][13] แมวเป็นสตั วก์ นิ เน้ือ สรีรวทิ ยาของพวกมนั มีการพฒั นาในการยอ่ ยเน้ือไดอ้ ยา่ งมีประสิทธิภาพและในทางตรงกนั ขา้ มพวกมนั มปี ัญหาในการยอ่ ยพืช [6] ในขณะท่ีสตั วท์ ่ีกนิ ท้งั พืชและสตั ว์ เช่นหนูซ่ึงตอ้ งการโปรตีนในอาหารประมาณ 4% แต่แมวจะตอ้ งการโปรตีนประมาณ 20% ในอาหารของมนั [6] แมวจะ ผิดปกติถา้ ขาดอาร์จินีนและการรบั ประทานอาหารที่ขาดอาร์จินีนเป็นสาเหตุของอาการน้าหนกั ลดและอาจถงึ แกช่ วี ิตไดอ้ ยา่ งรวดเร็ว[14] อกี คณุ สมบตั ิท่ีผดิ ปกติคือ การท่ีแมวไม่สามารถผลติ ทอรีน การขาดทอรีนกอ่ ใหเ้ กดิ การเส่ือมสภาพในจอประสาทตาของแมวทาใหต้ าบอดถาวร[6] แมวจะกนิ เหยอ่ื ของพวกมนั ท้งั หมดเพราะ จะไดร้ บั แร่ธาตุโดยการยอ่ ยกระดูกสตั ว์ ดงั น้นั อาหารที่มีเน้ือสตั วโ์ ดยเฉพาะอาจกอ่ ให้เกดิ การขาดแคลเซียม[6] ระบบทางเดินอาหารของแมวถูกปรับใหเ้ ขา้ กบั การรับประทานเน้ือสตั ว์ ดงั น้นั ระบบทางเดินอาหารของแมวส้นั กว่าของสตั วท์ ี่กนิ ท้งั พชื และสตั ว์ และแมว มีระดบั เอนไซมท์ ่ีจาเป็นในการยอ่ ยสลายคาร์โบไฮเดรตอยใู่ นระดบั ตา่ [15] นี่จึงจากดั ความสามารถของแมวที่จะยอ่ ยสารอาหารจากพืชอยา่ งมาก เช่นเดียวกบั กรด ไขมนั บางอยา่ งที่แมวมคี วามสามารถในการยอ่ ยจากดั [15] แมส้ รีรวิทยาของแมวจะมุ่งเนน้ ไปทางอาหารที่เป็นเน้ือ แต่กม็ ีอาหารแมวมงั สวริ ัติทาการตลาดมีการเสริม สงั เคราะห์สารเคมีทอรีนและสารอาหารอ่ืน ๆ ในความพยายามทีจ่ ะผลติ อาหารท่ีสมบูรณ์แบบ แต่บางส่วนของผลิตภณั ฑเ์ หลา่ น้ียงั คงลม้ เหลวในการให้สารอาหารท่ี จาเป็นท้งั หมดต่อแมว[16] และผลิตภณั ฑอ์ าหารท่ีมีไม่มีส่วนประกอบจากสตั วก์ อ่ ให้เกดิ การขาดสารอาหารอยา่ งรุนแรง[17] แมวจะกนิ หญา้ เป็นคร้ังคราวคาอธิบายหน่ึงกค็ ือแมวใชห้ ญา้ เป็นแหล่งของกรดโฟลกิ อกี คาอธบิ ายหน่ึงกค็ ือมนั จะใชใ้ นการเป็นแหล่งใยอาหาร[18] ในเชิงสิ่งแวดลอ้ ม[แก]้ จากการศกึ ษาของนกั วทิ ยาศาสตรแ์ ห่งสถาบนั สมิธโซเนียนพบวา่ แมวเป็นสตั วท์ ี่เป็นภยั คกุ คามต่อสตั วห์ รือสิ่งมีชีวติ เลก็ ๆ อยา่ งยง่ิ โดยในสหรฐั อเมริกา แมวไดฆ้ ่านกไปถงึ ปี ละ 2,000–4,000 ลา้ นตวั ต่อปี ท้งั แมวที่มีเจา้ ของ หรือแมวจร ส่วนในออสเตรเลยี ปี ละ 70 ลา้ นตวั ต่อปี และองั กฤษ 27 ลา้ นตวั ต่อปี รวมแลว้ ทว่ั โลกประมาณ 7,000–20,000 ลา้ นตวั ต่อปี โดยในรอบ 500 ปี ท่ีผ่านมา แมวไดท้ าใหส้ ตั วช์ นิดต่าง ๆ ท้งั นก, สตั วป์ ี ก, สตั วเ์ ล้ียงลูกดว้ ยนม ขนาดเลก็ , สตั วฟ์ ันแทะ, สตั วเ์ ล้ือยคลานหรือสตั วส์ ะเทินน้าสะเทินบกสูญพนั ธุไ์ ปแลว้ ถงึ 430 ชนิด เนื่องจากแมวเป็นสตั วท์ ่ีมีสญั ชาตญาณนกั ลา่ บางทีลา่ หรือ ฆา่ เพราะความอยากรู้อยากเห็นไมไ่ ดน้ ามากนิ หรือเป็นอาหาร [19] แมวนานาพนั ธุ์[แก]้ ปัจจุบนั มีแมวพนั ธุ์ต่าง ๆ มากกวา่ 30 พนั ธุ์ทวั่ โลก แมว้ า่ มนุษยเ์ พ่งิ เริ่มผสมพนั ธุแ์ มวเพื่อเลอื กลกั ษณะเด่นเมอื่ เพยี งร้อยกวา่ ปี มาน้ีเท่าน้นั แมวแต่ละพนั ธุ์ มีลกั ษณะต่างกนั มากท้งั สีและความยาวขน ในขณะทีแ่ มวพนั ธุ์เมก็ ซิกนั มรี ูปร่างเปลือยเปล่าแทบไมม่ ีขน แมวเพอร์เซียกลบั มขี นฟฟู ่ อง

ตน้ กาเนิด[แก]้ เชื่อวา่ แมวบา้ นสืบเช้ือสายมากจากแมวป่ าอาฟริกา (African Wildcat-- Felis silvestris silvestris) ส่วนแมวป่ า (Felis chaus) ท่ีมีอยใู่ นเมอื งไทย หรือแมวพอลลาส (Felis manul) พบวา่ ไม่มีความใกลช้ ิดทางพนั ธุกรรมกบั แมวบา้ นแต่อยา่ งใด อยี ปิ ตค์ ือชาติแรกท่ีนาแมวมา เป็นสตั วเ์ ล้ยี งเมอ่ื 4,000 ปี มาแลว้ แมวในยคุ น้นั ถือว่าเป็นสตั วศ์ กั ด์ิสิทธ์ิเคียงคู่กบั ศาสนาเลยทีเดียว เช่นเดียวกบั ววั ที่ถอื เป็นสตั วศ์ กั ด์ิสิทธ์ขิ องชาวฮนิ ดู อุปนิสัย[แก]้ แมวบา้ นเป็นสตั วห์ ากนิ กลางคืนเป็นส่วนใหญ่ แมวบา้ นอาจดูเหมอื นกบั เป็นสตั วท์ ี่นอนตลอดท้งั วนั แต่ความเป็นจริงแมวจะหลบั ๆ ต่ืน ๆ เป็ นช่วงเวลา ส้นั ๆ สลบั กนั มนั ตื่นข้ึนมาเพอ่ื จะสารวจเสียงหรือส่ิงแปลกปลอมรอบตวั หากไม่มีอะไรน่าสนใจกจ็ ะหลบั ต่อ แมใ้ นขณะท่ีหลบั หูของแมวกไ็ ม่เคยหยดุ น่ิง แต่จะ พลิกหันไปหันมาอยเู่ สมอเพ่ือดกั ฟังเสียงแปลกปลอมเช่นเสียงความถี่สูงซ่ึงอาจจะเป็นเสียงของเหยอื่ หูของแมวสามารถฟังเสียงความถีส่ ูงกวา่ ท่ีมนุษยไ์ ดย้ นิ มาก ผูท้ ่ีเล้ยี งแมวบา้ นอาจเคยสงั เกตวา่ แมวชอบทจ่ี ะถูและกลง้ิ เกลอื กตวั กบั ส่ิงของหรือพ้ืนท่ีมกี ลิ่นแรง แลว้ กล่นิ น้นั กจ็ ะติดกบั ตวั แมวบา้ นไปดว้ ย พฤติกรรม เช่นน้ีเชื่อวา่ เป็นสญั ชาติญาณทีต่ ิดมาจากธรรมชาติ เพราะกลน่ิ ภายนอกจะกลบกลิ่นของตวั เอง ซ่ึงทาใหเ้ ป็นประโยชนใ์ นการลา่ เหยอื่ แมว้ า่ แมวบา้ นไม่จาเป็นตอ้ งหา อาหารเองเพราะมคี นใหอ้ าหาร แต่ไม่ไดห้ มายความวา่ แมวจะลา่ เหยอื่ เองไมไ่ ด้ แมวยงั ล่าสตั วร์ อบ ๆ บา้ นหลายชนิด เช่น หนู กระรอก ตุ่น หนูผี กระต่าย คา้ งคาว รวมถงึ นกอีกหลายชนิดเช่น นกกระจอก นกกงิ้ โครง นกกางเขน นกพริ าบ ไก่นกกระทา หรืออาจจะกนิ แมลง และ ปลา ดว้ ยกไ็ ด้ บางคร้งั แมวอาจกนิ หญา้ หรือพืชใบ เขียวบางชนิด พฤติกรรมท่ีแมวกนิ พชื เช่ือว่าอาจเป็นความตอ้ งการแร่ธาตุหรือวติ ามินบางชนิดที่ไม่มีอยใู่ นอาหารปกติของมนั แมวอาจกลืนขนจากลาตวั ของมนั เองเขา้ ไปในกระเพาะจนขนรวมกนั เป็นกอ้ นอยใู่ นกระเพาะ สิ่งน้ีอาจเป็นเจตนาของมนั เองเพื่อใหก้ อ้ นขนเขา้ ไปบุหรือ ป้องกนั กระเพาะจากเศษกระดูกอนั แหลมคมจากสารพดั เหยอ่ื ท่ีมนั กนิ เขา้ ไป แมวบา้ นเป็นสตั วท์ ี่อยโู่ ดยลาพงั เป็นส่วนใหญ่ แต่แมวกม็ สี งั คมในหมแู่ มวที่อยใู่ นทอ้ งท่ีเดียวกนั แมวแต่ละตวั มกี ารจดั ลาดบั ชนช้นั ในสงั คมแมว ใน สถานที่ ๆ มอี าหารหรือเหยอื่ ใหก้ นิ มาก แมวอาจรวมตวั กนั เป็นชุมชนแมวขนาดใหญ่และมสี มั พนั ธ์ท่ีดีถอ้ ยทีถอ้ ยอาศยั ต่อกนั แมวในสงั คมหน่ึงจะรู้จกั มกั คุน้ กนั โดย มกั อาศยั การจาแนกกลิ่น เช่นกล่นิ ของปัสสาวะ หรือกล่ินจากต่อมกลิน่ ท่ีแมวถูกเขา้ กบั ส่ิงของต่าง ๆ ชีววทิ ยา[แก]้ เมอื่ ตวั เมียพร้อมท่ีจะผสมพนั ธุ์ มนั จะปลอ่ ยกลน่ิ และส่งเสียงร้องบ่งบอกถงึ ภาวะเป็นสดั ของมนั ในช่วงน้ีมนั จะยอมให้ตวั ผเู้ ขา้ ใกลเ้ พื่อผสมพนั ธุไ์ ด้ แมว ตวั ผูท้ ่คี ุน้ เคยจะเขา้ มาผสมพนั ธุไ์ ดท้ นั ที แต่สาหรบั แมวตวั ผตู้ ่างถ่ินตอนแรกจะถกู ขบั ไลอ่ อกไม่ให้เขา้ ใกลไ้ ดง้ ่ายดายนกั มนั จะตอ้ งตาม \"ตื๊อ\" อยสู่ กั พกั ตวั เมียจึงยอม ให้เขา้ ใกลไ้ ด้ แมวตวั เมยี จะเป็นสดั ปี ละประมาณ 3-4 คร้ัง แต่ละคร้งั จะยาวนานประมาณ 3 วนั แต่ถา้ ในช่วงวนั แรก ๆ ท่ีติดสดั ไม่ไดผ้ สมพนั ธุ์ ระยะเวลาการติดสดั ก็ อาจจะยาวนานกวา่ น้ี ตวั เมียต้งั ทอ้ งนานประมาณ 63-66 วนั ออกลกู ปี ละประมาณ 2 ครอก มีลกู รวมกนั 1-8 ตวั แต่ส่วนใหญจ่ ะประมาณ 3-5 ตวั แม่แมวจะ ออกลูกตามโพรงไม้ โคนตน้ ไม้ กองหลบื หิน พุ่มทึบ ลงั หรือแมแ้ ต่กล่องกระดาษ โดยแมวชอบออกลูกในสถานท่ีเงียบๆปลอดภยั และไม่ถกู รบกวน ลูกแมวแรกเกดิ หนกั ประมาณ 85-110 กรัม ตาจะเปิดไดภ้ ายในเวลา 7-20 วนั และเร่ิมเดินไดเ้ ม่ืออายุ 9 ถึง 15 วนั ลกู แมวเริ่มกนิ อาหารแข็งได้ เมื่ออายุ 4 สปั ดาห์และหยา่ นมเม่ืออายุ 8-10 สปั ดาห์ พออายไุ ด้ 6 เดือนกส็ ามารถแยกจากแมแ่ ละหากนิ เองไดแ้ ลว้ เม่ือแมวหนุ่มสาวมอี ายไุ ด้ 10-12 เดือน ก็ จะเขา้ สู่วยั เจริญพนั ธุ์ พรอ้ มท่ีจะผสมพนั ธุ์และให้กาเนิดลกู รุ่นต่อไป


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook