143 วารสารวชิ าการสขุ ภาพภาคเหนอื (Journal of Health Sciences Scholarship) The Lancet (2020). Maintaining the HIV response in a world shaped by COVID-19. Lancet (London, England), 396(10264), 1703. Retrieved (2021, August,15) from https://doi.org/10.1016/S0140-6736(20)32526-5 The World Bank. (2021). Global Economic Prospects. Washington DC, US.: Author. Tran, B. X., Nguye, L. T., Do, C. D., Nguyen, Q. L., & Maher, R. M. (2014). Associations between alcohol use disorders and adherence to antiretroviral treatment and quality of life amongst people living with HIV/AIDS. BMC public health, 14, 27. Retrieved (2021,August,15) from https://doi.org/10.1186/1471-2458-14-27 Trova, AC., Paparrigopoulos, T., Liappas, I., & Ginieri-Coccossis, M. (2015). Prevention of alcohol dependence. Psychiatriki, 26(2), 131-140. UNAIDS. (2016). 90–90–90—An ambitious treatment target to help end the AIDS epidemic. Geneva, Switzerland: Author. Wardell, J. D., Shuper, P. A., Rourke, S. B., & Hendershot, C. S. (2018). Stigma, Coping, and Alcohol Use Severity Among People Living with HIV: A Prospective Analysis of Bidirectional and Mediated Associations. Annals of behavioral medicine: a publication of the Society of Behavioral Medicine, 52(9), 762–772. Retrieved (2021,August,17) from https://doi.org/10.1093/abm/kax050 World Health Organization. (2016). Global health sector strategy on HIV 2016-2021. Towards ending AIDS. Geneva, Switzerland: Author. วารสารวชิ าการสุขภาพภาคเหนือ ปที ่ี 9 ฉบับที่ 1 เดอื น มกราคม – มิถุนายน 2565 Journal of Health Sciences Scholarship January - June 2022, Vol.9 No.1
Rational Drug Use Literacy of Nursing Students at Public Nursing College in Chiangmai Kesaraporn Choopun 1*, Panida Palee*, Karnrawee Khamchang*, Tawee Reungchom* (Received: January 21, 2021, Revised: February 21, 2022, Accepted: March 8, 2022) Abstract The purpose of this descriptive research was to study the rational drugs used literacy among 250 nursing students in the academic year 2020 recruited by stratified sampling technic. Data were collected by an online survey questionnaire reporting validity of the questionnaire range was 0. 67 – 1. 00. Reliability of basic knowledge of drug use and rational drug use literacy was tested by Kuder-Richardson reporting as 0.79 and 0.96 respectively. Descriptive statistics were used for data analysis. A relationship between factors and rational drugs used literacy was analyzed by using the Chi-square test and the Pearson Correlation. Most participants ( 77. 60% ) completed the pharmacological subject and experienced learning nursing subjects from classroom and clinical practice. The research findings showed that about half of the participants (49.6%) had a high level of basic knowledge of drug use (M=12.85 SD=3.31). Most of the participants (88%) had a high level of rational drugs used literacy (M=51.97 SD= 13. 40) . It is reported that years of study, completion of the pharmacological subject, experience learning nursing subjects, and levels of basic knowledge of drug use were significantly associated with levels of rational drug use literacy ( p<. 001) . Also, basic knowledge of drug use was positively correlated with rational drug use literacy (r=. .586, p<.001). The findings also suggest that nursing colleges should develop practical rational drug use learning programs or short courses for improving nursing students’ knowledge and applying rational drug use in clinical practice effectively. Keywords: Rational drug use literacy; Nursing students; Factors; Basic knowledge of drug use * Nurse Instructor, Boromarajonani College of Nursing, Chiangmai, Faculty of Nursing, Praboromrachanok Institute 1Corresponding author: [email protected] (085-7157756) วารสารวิชาการสุขภาพภาคเหนือ ปที ี่ 9 ฉบบั ที่ 1 เดือน มกราคม – มิถนุ ายน 2565 Journal of Health Sciences Scholarship January-June 2022, Vol.9 No.1
ความรอบรูด้ ้านการใช้ยาอยา่ งสมเหตผุ ลของนกั ศึกษาพยาบาล วทิ ยาลยั พยาบาลของรัฐในจังหวดั เชียงใหม่ เกศราภรณ์ ชพู ันธ์1*, พนดิ า พาลี*, กานต์รวี คำช่งั *, ทวี เรอื งโฉม* (วันทรี่ ับบทความ : 21 มกราคม 2565 , วนั แกไ้ ขบทความ: 21 กุมภาพันธ์ 2565, วันตอบรบั บทความ: 8 มนี าคม 2565) บทคัดย่อ การวิจัยเชิงพรรณนาคร้ังนี้ มีวัตถุประสงค์เพ่อื ศกึ ษาความรอบรู้ดา้ นการใชย้ าอย่างสมเหตุผล และปัจจัยที่ มีความสัมพันธ์กับความรอบรู้ด้านการใช้ยาอย่างสมเหตุผล กลุ่มตัวอย่างเป็นนักศึกษาพยาบาล ของวิทยาลัย พยาบาลบรมราชชนนี เชียงใหม่ ปีการศึกษา 2563 จำนวน 250 คน โดยใช้วิธีการสุ่มแบบแบ่งชั้นภูมิ (Stratified Sampling) รวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามออนไลน์ โดยหาค่าความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหา ได้ค่าดัชนีความ สอดคล้องภายในอยู่ในช่วง 0.67 – 1.00 ได้ค่าความเที่ยงของแบบสอบถามจากสูตรคูเดอร์-ริชาร์ดสัน ของ แบบสอบถามการใช้ยาเบื้องต้น และแบบสอบถามความรอบรู้ด้านการใช้ยาอย่างสมเหตุผล เท่ากับ 0.79 และ 0.96 วิเคราะห์ข้อมลู โดยใช้สถิตเิ ชิงพรรณนา วเิ คราะหค์ วามสัมพนั ธ์ของปจั จยั ทมี่ คี วามสมั พนั ธ์กบั ระดับความรอบ รู้ด้านการใช้ยาอย่างสมเหตุผล โดยใช้สถิติไคสแควร์ (Chi-square test) ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์เพียรสัน (Pearson Correlation) ผลการวจิ ัยพบว่า กลุ่มตัวอย่างสว่ นใหญร่ ้อยละ 77.60 ผ่านการเรยี นวิชาเภสชั วิทยาและมีประสบการณ์การเรยี นภาคปฏิบัติ วิชาการพยาบาล ร้อยละ 49.6 มีความรู้เรื่องการใช้ยาเบื้องต้นอยู่ในระดับสูง (M=12.85 SD=3.31) ร้อยละ 88 มี ความรอบรู้ด้านการใช้ยาอย่างสมเหตุผลอยู่ในระดับสูง (M=51.97 SD=13.40) งานวิจัยนี้พบว่าระดับชั้นปี การ ผ่านวิชาเภสชั วิทยา ประสบการณ์การเรยี นภาคปฏบิ ตั ิวชิ าการพยาบาล และระดบั ความรู้เรื่องการใช้ยาเบื้องตน้ มี ความสัมพันธ์กับระดับความรอบรู้ด้านการใช้ยาอย่างสมเหตุผลอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p<.001) และพบว่า คะแนนความรู้เรื่องการใช้ยาเบื้องต้นมีความสัมพันธ์เชิงบวกกับคะแนนความรอบรู้ด้านการใช้ยาอย่างสมเหตุผล อย่างมีนยั สำคญั ทางสถติ ิ (r=. .586, p<.001) ผลการวิจัยนี้สามารถนำไปพัฒนาจัดการเรียนการสอนเรื่องการใช้ยาอย่างสมเหตุผล หรือหลักสูตรอบรม ระยะสั้นเก่ียวกับการใช้ยาอยา่ งสมเหตุผล เพื่อส่งเสริมให้ผูเ้ รยี นเกิดความรู้และสามารถประยกุ ต์ใช้ในการพยาบาล ผปู้ ่วยทไ่ี ดร้ ับยาได้อยา่ งมีประสทิ ธภิ าพ คำสำคญั : ความรอบร้ดู ้านการใช้ยาอย่างสมเหตผุ ล; นกั ศึกษาพยาบาล; ปัจจัยทมี่ ีความสมั พันธ์; การใชย้ าเบอื้ งต้น * อาจารย์พยาบาล,วิทยาลยั พยาบาลบรมราชชนนี เชียงใหม่ คณะพยาบาลศาสตร์ สถาบนั พระบรมราชชนก 1ผู้ประพันธบ์ รรณกจิ [email protected] โทร 085-7157756 วารสารวชิ าการสขุ ภาพภาคเหนือ ปีท่ี 9 ฉบบั ที่ 1 เดอื น มกราคม – มิถนุ ายน 2565 Journal of Health Sciences Scholarship January-June 2022, Vol.9 No.1
146 วารสารวิชาการสุขภาพภาคเหนอื (Journal of Health Sciences Scholarship) บทนำ ปัญหาเชื้อดื้อยาเป็นปัญหาทางสาธารณสุขที่สำคัญของโลก มีสาเหตุจากการใช้ยาไม่สมเหตุผล ซึ่งพบ ประเด็นปัญหาการบริหารยา ทั้งด้านขนาดยา ช่วงเวลาที่ให้ยา ข้อบ่งใช้และค่าใช้จ่ายในการรักษาที่เพิ่มสูงข้ึน (Kshirsagar, 2016) สำหรับประเทศไทย ปัญหาการใช้ยาไม่สมเหตุผลมีแนวโน้มสูงขึ้นเช่นเดียวกับหลายประเทศ ทั่วโลก จากการใช้ยาเกินความจำเป็น โดยเฉพาะยาที่มีความเสี่ยงสูง เช่น ยาต้านจุลชีพ และยาสเตียรอยด์และยา ชุด ส่งผลให้เกิดการเจ็บป่วยเรื้อรัง ทำให้ต้องเปลี่ยนประเภทกลุ่มยาปฏิชีวนะใหม่ จนกระทั่งเกิดปัญหาเชื้อดื้อยา เพิ่มขึ้น (Health System Research Institute, 2012) รวมถึงการใช้ยาราคาแพงนอกบัญชียาหลัก การใช้ยาที่มี ความเส่ียงสูง การใช้ยาด้วยตนเองที่ยังขาดข้อมูลที่เพียงพอในการตัดสินใจ ทั้งนี้เนื่องจากประเทศไทยยังไม่มี ระบบการติดตามกำกับการใช้ยาที่เป็นรูปธรรมต่อเนื่อง (World Health Organization Regional Office for South East Asia., 2015) การใช้ยาอย่างสมเหตุผลเป็นยุทธศาสตร์หนึ่งในการพัฒนาระบบยาแห่งชาติ ซึ่งได้กำหนดให้มีการพัฒนา กำลังคนด้านสุขภาพ เพื่อส่งเสริมการใช้ยาอย่างสมเหตุผลของแพทย์และบุคลากรทางการแพทย์ ตลอดจน ประชาชนทั่วไป โดยกำหนดเป้าหมายการพัฒนากำลังคนด้านสุขภาพให้เป็นผู้ที่สามารถทำหน้าที่เป็นกลไกสำคัญ ในการใช้ยาอย่างสมเหตุผล โดยเป็นผู้มีความรู้ (knowledge) ทักษะ (skill) และเจตคติ (attitude) ที่เอื้อต่อการ ใช้ยาสมเหตุผล (Food and Drug Administration Ministry of Public Health, 2017; Subcommittee on the Promotion of Rational Drug Use, 2015; Thailand Nursing and Midwifery Council, 2021; World Health Organization, 1985) องค์การอนามัยโลก อธิบายความหมายของการใช้ยาอย่างสมเหตุผล (Rational Drug Use) ว่า เป็นการใช้ยาโดยมีข้อบ่งชี้ที่มคี ณุ ภาพมีประสิทธิผล สนับสนนุ ด้วยหลักฐานที่เชื่อถือไดใ้ ห้ประโยชน์ ทางคลินกิ เหนอื กว่าความเสย่ี งจากการใชย้ าและคำนึงถึงปญั หาเชอ้ื ดื้อยา ใช้ยาตามกรอบบญั ชยี าในราคาเหมาะสม คุ้มค่าตามหลักเศรษฐศาสตร์สาธารณสุข ผู้รับบริการทุกคนสามารถใช้ยาได้อย่างเท่าเทียม (Food and Drug Administration Ministry of Public Health, 2017; World Health Organization, 1985) สภาการพยาบาลกำหนดให้การใช้ยาอย่างสมเหตุผลเป็นสมรรถนะของบัณฑิตพยาบาล โดยส่งเสริมการ พัฒนาการจัดการเรียนการสอนร่วมกันเพื่อดูแลผู้ป่วยแบบสหวิชาชีพ โดยบรรจุหลักสูตรการใช้ยาสมเหตุผลใน หลักสูตรพยาบาลศาสตรบัณฑิต เพื่อผลิตบัณฑิตพยาบาลให้มีสมรรถนะในการใช้ยาอย่างสมเหตุผลตามนโยบาย แห่งชาติด้านยาและยทุ ธศาสตรก์ ารพัฒนาระบบยาแห่งชาติ พ.ศ. 2560-2564 โดยใช้วธิ กี ารเรียนการสอนและการ ประเมินผลที่หลากหลาย ประกอบกับการใช้กรณีตัวอย่างจากสถานการณ์จริง (Thailand NursingandMidwifery Council, 2021) สถาบันพระบรมราชชนกเป็นหน่วยงานที่รับผิดชอบด้านการผลิตและพัฒนากำลังคนด้านสุขภาพ เป็น แหล่งผลิตพยาบาลเพื่อไปปฏิบัติงานในส่วนภูมิภาค เช่น สำนักงานสาธารณสุขจังหวัด โรงพยาบาลศูนย์ โรงพยาบาลทั่วไป และโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพระดับตำบล เป็นต้น วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี เชียงใหม่ วารสารวิชาการสขุ ภาพภาคเหนือ ปที ่ี 9 ฉบบั ท่ี 1 เดือน มกราคม – มถิ ุนายน 2565 Journal of Health Sciences Scholarship January - June 2022, Vol.9 No.1
147 วารสารวชิ าการสุขภาพภาคเหนอื (Journal of Health Sciences Scholarship) คณะพยาบาลศาสตร์ สถาบันพระบรมราชชนก มีหน้าที่ในการผลิตและพัฒนากำลังคนด้านสุขภาพเพื่อไป ปฏิบัติงานร่วมกับทีมสุขภาพในสถานบริการสุขภาพต่าง ๆ เพื่อตอบสนองความต้องการของกระทรวงสาธารณสุข จึงต้องมีการผลิตกำลังคนด้านสุขภาพที่มีความรู้ในการแก้ปัญหาของประชาชนและการใช้ยาอย่างสมเหตุผลก็เป็น หนึ่งในประเด็นปัญหาสุขภาพของประเทศ จากสถานการณ์ดังกล่าว พบว่า ในปัจจุบันการศึกษาประเด็นความรู้ และพฤติกรรมการใช้ยาอย่างสมเหตุผล พบว่านักศึกษาพยาบาลที่กำลังศึกษาในช้ันปีที่สูงกว่ามีความรู้เรื่องการใช้ ยาในระดับดี (Bunmusik, Chantra, & Heeaksorn, 2019; Samranbua & Thamcharoentrakul, 2020) ส่วน ประเด็นความรอบรู้ในการใช้ยาอย่างสมเหตุผลยังไม่พบงานวิจัยด้านนี้ ดังนั้นผู้วิจัยในฐานะอาจารย์พยาบาลจึง สนใจทำการศึกษาความรอบรู้ด้านการใช้ยาอย่างสมเหตุผลและความรู้เรื่องการใช้ยาเบื้องต้น และเปรียบเทียบ ปัจจัยที่มีความสัมพนั ธ์กับความรอบรูด้ ้านการใช้ยาอย่างสมเหตผุ ลในกลุ่มนักศึกษาวิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี เชียงใหม่ ทั้งนี้ผลการวิจัยสามารถนำไปเป็นข้อมูลในการวางแผนพัฒนาความรู้ด้านการใช้ยาอย่างสมเหตุผล ให้ สอดคล้องกับบริบทในการจัดการเรียนการสอนหลักสูตรพยาบาล เพื่อนำไปสู่การพัฒนาสมรรถนะด้านการใช้ยา อย่างสมเหตุผลของบัณฑิตพยาบาล เพื่อเตรียมบุคลากรทางการพยาบาลให้มีความพร้อมในการให้บริการทาง สขุ ภาพรว่ มกับทีมสหวชิ าชีพในสถานบรกิ ารสุขภาพต่างๆ วตั ถุประสงค์ 1.เพื่อศึกษาความรอบรู้ด้านการใช้ยาอย่างสมเหตุผลของนักศึกษาพยาบาล วิทยาลัยพยาบาลบรมราช ชนนี เชียงใหม่ 2.เพื่อศึกษาความรูเ้ ร่ืองการใช้ยาเบอื้ งต้นของนกั ศึกษาพยาบาล วิทยาลยั พยาบาลบรมราชชนนี เชยี งใหม่ 3.เพื่อเปรียบเทยี บความสัมพนั ธ์ระหวา่ งความรูเ้ ร่ืองการใช้ยาเบื้องต้น และความรอบรูด้ ้านการใช้ยาอย่าง สมเหตุผล กรอบแนวคดิ การวิจยั การวิจัยครั้งนี้อ้างอิงกรอบแนวคิดการใช้ยาอย่างสมเหตุสมผลขององค์การอนามัยโลก (World Health Organization, 1985) และคู่มือการใช้ยาอย่างสมเหตุสมผลของประเทศไทย (Subcommittee on the Promotion of Rational Drug Use, 2015) และสมรรถนะในการใช้ยาอย่างสมเหตุผลของพยาบาล (Thailand Nursing and Midwifery Council, 2021) โดยอธิบายความหมายของการใช้ยาอย่างสมเหตุผล (Rational Drug Use, RDU) ไว้ดังนี้ การที่ผู้ป่วยได้รับยาที่เหมาะสมกับปญั หาสุขภาพ ใช้ยาในขนาดที่เหมาะสมกับผู้ป่วยแต่ละราย ด้วยระยะเวลาการรักษาที่เหมาะสม และมีค่าใช้จ่ายต่อชุมชนและผู้ป่วยน้อยที่สุด คุ้มค่าตามหลักเศร ษฐศาสตร์ สาธารณสขุ ไม่เป็นการใช้ยาซำ้ ซ้อน คำนึงถึงปัญหาเชื้อดื้อยา โดยกำหนดความรอบรู้ด้านการใช้ยาอย่างสมเหตผุ ล (RDU Literacy) ประกอบด้วยความสามารถ 8 ด้าน ดังต่อไปนี้ 1) หลักการและความสำคัญของการใช้ยาอย่างสม วารสารวิชาการสขุ ภาพภาคเหนือ ปที ่ี 9 ฉบับท่ี 1 เดอื น มกราคม – มถิ นุ ายน 2565 Journal of Health Sciences Scholarship January - June 2022, Vol.9 No.1
148 วารสารวิชาการสขุ ภาพภาคเหนอื (Journal of Health Sciences Scholarship) เหตุผล 2) การสื่อสารเพื่อการใช้ยาอย่างสมเหตุผล 3) การใช้ยาอย่างสมเหตุผลเพื่อความปลอดภัยของผู้ป่วย 4) ผลกระทบของยาต่อสงิ่ แวดล้อม 5) จรยิ ศาสตรก์ ับการส่งเสริมการใชย้ าอยา่ งสมเหตผุ ล 6) ความเสมอภาค ในการใช้ยา และการคำนึงถึงความคุ้มค่าตามหลักเศรษฐศาสตร์การแพทย์ 7) ความร่วมมือของสหวิชาชีพเพื่อการ ใช้ยาอย่างสมเหตุผล และ 8) การประเมินหลักฐานทางการแพทย์ และแหล่งเรียนรู้ในการใช้ยาอย่างสมเหตุผล ดังนั้นในการวิจัยนี้จึงกำหนดตัวแปรที่ศึกษา ได้แก่ ระดับชั้นปี การเรียนวิชาเภสัชวิทยา ประสบการณ์เรียน ภาคปฏิบัติวิชาการพยาบาล ความรู้เกี่ยวกับการใช้ยาเบื้องต้น และความรอบรู้การใช้ยาอย่างสมเหตุผล สรุปเป็น กรอบแนวคดิ ในการวิจยั ได้ดงั ภาพที่ 1 ▪ ระดับชั้นปี ความรอบรู้ ▪ การเรียนวิชาเภสัชวทิ ยา การใช้ยาอย่างสมเหตผุ ล ▪ การเรียนภาคปฏิบัตวิ ิชาการพยาบาล ▪ ความรู้เกี่ยวกับการใช้ยาเบือ้ งตน้ ภาพท่ี 1 กรอบแนวคดิ การวจิ ยั วิธกี ารดำเนนิ วิจยั การวจิ ยั เชิงพรรณนาแบบตดั ขวาง (Cross-sectional Descriptive research) ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง ประชากร คือ นักศึกษาหลักสูตรพยาบาลศาสตรบัณฑิต วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนีเชียงใหม่ ปี การศกึ ษา 2563 จำนวน 612 คน คำนวณขนาดกล่มุ ตัวอยา่ งโดยใชส้ ูตรทาโร ยามาเน่ (Yamane, 1973) ไดข้ นาด ตัวอยา่ งเท่ากับ 250 คน เลอื กกลุ่มตัวอย่างโดยใช้วธิ ีการสุ่มแบบแบ่งชั้นภูมิ (Stratified Sampling ) ประกอบดว้ ย นักศึกษาชั้นปีที่ 1, 2, 3 และ 4 จำนวน 56, 63, 78 และ 53 คน ตามลำดับ ทำการสุ่มตัวอย่างโดยการสุ่มอย่าง ง่ายโดยใช้ตารางเลขสุ่ม เครื่องมอื ทใี่ ช้ในการวจิ ยั แบบสอบถามทีผ่ ู้วิจยั สรา้ งขึ้น แบง่ ออกเป็น 3 สว่ น ดังน้ี ตอนท่ี 1 ขอ้ มลู ท่วั ไป ไดแ้ ก่ ระดับชน้ั ปี การเรียนวิชาเภสชั วิทยา ประสบการณ์เรยี นภาคปฏิบตั วิ ิชาการ พยาบาล ตอนที่ 2 แบบประเมินความรู้เกยี่ วกบั การใชย้ าเบ้อื งตน้ จำนวน 20 ขอ้ เลอื กตอบ ถูก ผดิ ใช้เกณฑก์ ารแบ่งระดบั คะแนนของเบสท์ (Best, 1977) แปลผลดังนี้ วารสารวิชาการสขุ ภาพภาคเหนือ ปีท่ี 9 ฉบับที่ 1 เดือน มกราคม – มิถุนายน 2565 Journal of Health Sciences Scholarship January - June 2022, Vol.9 No.1
149 วารสารวชิ าการสุขภาพภาคเหนอื (Journal of Health Sciences Scholarship) ระดับสูง คะแนนระหวา่ ง 13.34 - 20 ระดบั ปานกลาง คะแนนระหวา่ ง 6.68 – 13.33 ระดับตำ่ คะแนนระหวา่ ง 0 – 6.67 ตอนท่ี 3 แบบประเมนิ ความรอบรดู้ ้านการใชย้ าอยา่ งสมเหตุผล จำนวน 60 ขอ้ เลอื กตอบ ถกู ผดิ ใชเ้ กณฑ์การแบง่ ระดบั คะแนนของเบสท์ (Best, 1977) แปลผลดงั น้ี ระดบั สงู คะแนนระหว่าง 40.01 – 60 ระดับปานกลาง คะแนนระหว่าง 20.01 – 40 ระดับต่ำ คะแนนระหว่าง 0 – 20 การตรวจสอบคุณภาพเคร่อื งมอื เครื่องมือได้ผ่านการตรวจสอบความตรงเชิงเนื้อหา (Content Validity) โดยผู้เชี่ยวชาญจำนวน 3 ท่าน ประกอบด้วยเภสัชกร 1 ท่าน และอาจารย์พยาบาลที่มีความรู้ด้านเภสัชวิทยา 2 ท่าน โดยมีค่าความเที่ยงตรงของ แบบสอบถาม (Index of item objective congruence, IOC) อยู่ระหว่าง 0.67-1.00 นำไปทดลองใช้กับ นักศึกษาพยาบาล วิทยาลยั พยาบาลบรมราชชนนี เชียงใหม่ ปีการศึกษา 2563 ที่ไม่ใชก่ ลุ่มตัวอย่างในการวิจัยครง้ั นี้ จำนวน 30 คน ค่าความเที่ยงจากสูตรคูเดอร์-ริชาร์ดสัน (Kuder-Richardson) พบว่าแบบประเมินการใช้ยา เบื้องต้น เทา่ กบั 0.79 และแบบประเมนิ ความรอบรูด้ า้ นการใช้ยาอย่างสมเหตผุ ลเท่ากับ 0.96 การเก็บรวบรวมข้อมูล การเก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถาม Google Form กลุ่มตัวอย่างสแกน QR code เพื่อตอบ แบบสอบถามเอง โดยมีเอกสารชี้แจงข้อมูลแก่ผู้เข้าร่วมการวิจัย (Information sheet) กลุ่มตัวอย่างมีสิทธิ์ที่จะ ตอบรับหรือปฏิเสธการเข้าร่วมวิจัย และสามารถออกจากการวิจัยในระหว่างการวิจัยได้ ซึ่งการกระทำดังกล่าวจะ ไม่มีผลต่อกลุ่มตัวอย่างแต่อย่างใด ข้อมูลของกลุ่มตัวอย่างถือเป็นความลับ มีการรายงานผลการวิจัยในภาพรวม เท่านั้น หากกลุม่ ตวั อย่างประสงค์จะเข้าร่วมโครงการวิจัย ต้องให้ความยินยอมโดยกดเลือก “ยินยอม”เข้ารว่ มวิจัย ในเอกสารยินยอมเข้าร่วมวิจัย (Consent Form) เพื่อเริ่มตอบแบบสอบถาม กลุ่มตัวอย่างสามารถปฏิเสธการเข้า ร่วมการวจิ ัย โดยการกดเลือก “ไมย่ นิ ยอม” เพอื่ ออกจากแบบสอบถาม กำหนดระยะเวลาในการตอบแบบสอบถาม 21 วัน ตั้งแต่วันที่ 11 กุมภาพันธ์ - 4 มีนาคม 2564 กลุ่มตัวอย่างตอบแบบสอบถาม จำนวน 250 คน คิดเป็นร้อย ละ 100 การวิเคราะหข์ ้อมูล 1. ขอ้ มูลสว่ นบคุ คล และคะแนนความรูเ้ ก่ยี วกับการใชย้ าเบอ้ื งตน้ และคะแนนความรอบรู้ด้านการใช้ยา อย่างสมเหตุผล วิเคราะห์ด้วยสถิติเชงิ พรรณนา (Descriptive Statistics) การแจกแจงความถี่ ร้อยละ คา่ เฉล่ียและ สว่ นเบ่ียงเบนมาตรฐาน วารสารวชิ าการสุขภาพภาคเหนือ ปีท่ี 9 ฉบบั ท่ี 1 เดอื น มกราคม – มถิ นุ ายน 2565 Journal of Health Sciences Scholarship January - June 2022, Vol.9 No.1
150 วารสารวิชาการสุขภาพภาคเหนือ (Journal of Health Sciences Scholarship) 2. วิเคราะหป์ จั จัยท่มี คี วามสมั พนั ธร์ ะหวา่ ง ระดับชน้ั ปี การเรียนวชิ าเภสัชวทิ ยา ประสบการณเ์ รียน ภาคปฏิบัติวชิ าการพยาบาล กับระดับความรอบรูด้ ้านการใชย้ าอยา่ งสมเหตผุ ลด้วยสถติ ิไคสแควร์ (Chi-square test) 3. วเิ คราะห์ความสัมพนั ธ์ระหว่างความร้เู กี่ยวกับการใชย้ าเบ้ืองต้นกบั ความรอบรูด้ ้านการใชย้ าอยา่ งสม เหตุผล โดยหาสหสมั พันธ์ของเพียร์สนั (Pearson's correlation) การพทิ ักษส์ ิทธกิ์ ลุม่ ตวั อย่างและจรยิ ธรรมการวจิ ัย งานวิจัยนี้ได้รับการอนุมัติจากคณะกรรมการพิจารณาจริยธรรมการวิจัยของวิทยาลัยพยาบาลบรมราช ชนนี เชียงใหม่ ตามเอกสารรับรองเลขที่ E11/2563 เมื่อวันที่ 23 มีนาคม พ.ศ.2563 ผู้วิจัยแนะนำตัวและชี้แจง โครงการวิจัยและวัตถุประสงค์ของการวิจัย ขอความร่วมมือในการเก็บรวบรวมขอ้ มูล และชี้แจงให้ทราบถึงสทิ ธิใน การเข้าร่วมการวิจัยครั้งนี้ ซึ่งกลุ่มตัวอย่างสามารถตอบรับหรือปฏิเสธการเข้าร่วมวิจัยครั้งนี้ กลุ่มตัวอย่างสามารถ แจ้งขอออกจากการวจิ ยั ไดก้ ่อนการดำเนนิ การวิจยั จะสน้ิ สุดลง โดยการตอบรับหรือปฏิเสธหรือขอออกจากงานวิจัย ไม่มีผลต่อการเรียนหรือการประเมินผลการเรียนใดๆทั้งสิ้น ข้อมูลของกลุ่มตัวอย่างจะถือเป็นความลับ ซึ่งจะ นำมาใชต้ ามวตั ถปุ ระสงคข์ องการวิจัยเทา่ น้นั และการรายงานผลการวจิ ยั เป็นภาพรวมไม่ชีเ้ ฉพาะเจาะจงบุคคลใด ผลการวิจัย 1. ข้อมลู ส่วนบุคคล กลุ่มตัวอย่างตอบแบบสอบถามจำนวน 250 คน ส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง ร้อยละ 92.80 และเพศชาย ร้อย ละ 7.20 อายุ (M=20.92,S.D. = 2.56) กำลังศึกษาหลักสูตรพยาบาลศาสตรบัณฑิต ชั้นปีที่ 1-4 คิดเป็นร้อยละ 22.40, 25.20, 31.20 และ 21.20 ตามลำดับ กลุ่มตัวอย่าง ร้อยละ 77.60 ผ่านการเรียนวิชาเภสัชวิทยาสำหรับ พยาบาล รายละเอยี ดแสดงในตารางที่ 1 2. ความรเู้ ก่ยี วกบั การใชย้ าเบ้ืองต้น กล่มุ ตวั อยา่ งมคี ะแนนความรู้เรอ่ื งการใชย้ าเบือ้ งต้น (M= 12.85,S.D.=3.31) จากคะแนน 20 คะแนน โดย ร้อยละ 49.60 มีระดับคะแนนความรู้เรื่องการใช้ยาเบื้องต้นระดับสูง ร้อยละ 45.20 มีระดับคะแนนความรู้เรื่อง การใช้ยาเบื้องต้นระดับปานกลาง มีเพียงร้อยละ 5.20 ที่มีระดับคะแนนความรู้เรื่องการใช้ยาเบื้องต้นในระดับต่ำ (ตารางที่ 2) เมื่อพิจารณาความรู้การใช้ยาเบื้องต้นรายข้อพบว่า พบว่า กลุ่มตัวอย่างมีความรู้มากที่สุด 3 อันดับ ได้แก่ 1) การรับประทานยาพาราเซตามอลมากเกินไปจะเป็นพิษต่อตับ (ร้อยละ 92.00) 2) เมื่อท่านเกิดอาการ แพย้ า ทา่ นตอ้ งหยดุ รบั ประทานยานน้ั ทันที (รอ้ ยละ 91.60) และ 3) ยาแก้แพบ้ างชนิด เชน่ คลอเฟนิรามนิ อาจทำ ให้ง่วงซึมได้ (ร้อยละ 84.40) อย่างไรก็ตามพบว่ากลุ่มตัวอย่างมีความรู้น้อยที่สุด 3 อันดับ ได้แก่ 1) เครื่องดื่มที่ไม่ ควรรบั ประทานร่วมกับยา ไดแ้ ก่ นม ชา หรอื กาแฟ (ร้อยละ 2.40) 2) การที่แพทย์สั่งจ่ายยาลดกรดร่วมกับยา วารสารวชิ าการสุขภาพภาคเหนือ ปีที่ 9 ฉบบั ที่ 1 เดือน มกราคม – มิถนุ ายน 2565 Journal of Health Sciences Scholarship January - June 2022, Vol.9 No.1
151 วารสารวชิ าการสุขภาพภาคเหนือ (Journal of Health Sciences Scholarship) ประเภทอื่นๆ จะช่วยลดอาการแสบร้อนในท้องได้ (ร้อยละ 18.00) และ 3) การเก็บรักษายารูปแบบน้ำเชื่อมใน ตู้เย็นจะชว่ ยยืดวันหมดอายุของยาได้ (รอ้ ยละ 26.00) รายละเอยี ดแสดงในตารางท่ี 3 ตารางท่ี 1 จำนวนและรอ้ ยละของกลมุ่ ตัวอยา่ งจำแนกตามขอ้ มูลส่วนบุคคล ข้อมลู สว่ นบุคคล จำนวน (คน) ร้อยละ เพศ 18 7.2 ชาย 232 92.8 หญงิ ระดับช้ันปี 56 22.4 ช้นั ปที ี่ 1 63 25.2 ชนั้ ปที ี่ 2 78 31.2 ชัน้ ปีที่ 3 53 21.2 ชัน้ ปีท่ี 4 การเรียนวชิ าเภสัชวทิ ยา 56 22.4 ยงั ไมไ่ ดเ้ รยี น 194 77.6 ผา่ นการเรียน การเรยี นภาคปฏบิ ตั วิ ิชาการพยาบาล 56 22.4 ยังไมไ่ ด้เรยี น 194 77.6 ผา่ นการเรียน ตารางท่ี 2 จำนวนและรอ้ ยละของกลุ่มตวั อยา่ ง จำแนกตามความรูเ้ รอื่ งการใช้ยาเบอื้ งต้น ระดบั ความรู้เรอื่ งการใชย้ าเบื้องตน้ จำนวน (คน) รอ้ ยละ สูง (13.34 – 20 คะแนน) 124 49.60 ปานกลาง (6.68 – 13.33 คะแนน) 113 45.20 ตำ่ (0 - 6.67 คะแนน) 13 5.20 คะแนนเตม็ 20 คะแนน Min=0, Max=19 M=12.85, SD=3.31 วารสารวิชาการสุขภาพภาคเหนือ ปที ี่ 9 ฉบับที่ 1 เดอื น มกราคม – มถิ นุ ายน 2565 Journal of Health Sciences Scholarship January - June 2022, Vol.9 No.1
152 วารสารวชิ าการสุขภาพภาคเหนอื (Journal of Health Sciences Scholarship) ตารางท่ี 3 จำนวนและร้อยละของกล่มุ ตัวอย่างที่ตอบถูกความรเู้ กี่ยวกับการใช้ยาเบื้องตน้ รายข้อ ข้อ คำถาม ตอบถกู n ร้อยละ 1 การท่ีแพทยส์ ง่ั จา่ ยยาลดกรดรว่ มกบั ยาประเภทอ่นื ๆ จะชว่ ยลดอาการแสบรอ้ นในทอ้ งได้ 45 18.00 2 การเก็บรักษายารปู แบบขี้ผงึ้ หรือเจลในตู้เย็นจะชว่ ยยืดวันหมดอายุของยาได้ 101 40.40 3 การเก็บรักษายารูปแบบนา้ํ เชอื่ มในตเู้ ย็นจะช่วยยืดวนั หมดอายขุ องยาได้ 65 26.00 4 เมอ่ื เปิดใชย้ าหยอดตาแล้วใช้ไมห่ มดสามารถเก็บไวใ้ ช้ครง้ั ต่อไปได้จนกวา่ จะถงึ วนั หมดอายุ 108 43.20 5 ยาแต้มสิวท่ีผสมยาปฏิชีวนะ (หรือท่ีเข้าใจวา่ เป็นยาฆ่าเชอ้ื หรอื ยาแกอ้ ักเสบ) สามารถใช้ในการ รักษาสิวไดท้ ุกชนดิ 157 62.80 6 การรบั ประทานยาปฏิชีวนะ (ทเ่ี ขา้ ใจวา่ เปน็ ยาฆ่าเชื้อหรือยาแก้อักเสบ) ควรรบั ประทาน ติดตอ่ กันอย่างน้อย 5 วนั 136 55.40 7 ผงเกลอื แรม่ ีขอ้ บ่งใชร้ ักษาอาการปวดท้อง 197 78.80 8 พาราเซตามอลช่วยบรรเทาอาการหวดั 179 71.60 9 การรับประทานยาลดกรดชนิดเมด็ ควรเค้ียวก่อนกลนื เพอื่ ให้ยาออกฤทธไ์ิ ดด้ ี 188 75.20 10 วิตามินเปน็ ผลิตภัณฑ์เสรมิ อาหาร ดังนน้ั การรบั ประทานวิตามินมากๆ จะไม่เป็นอนั ตรายตอ่ สุขภาพ 151 60.40 11 การรับประทานยาก่อนอาหาร หมายถงึ การรับประทานยาก่อนรับประทานอาหาร 30-60 นาที 182 72.80 12 การกนิ ยาหลังอาหารทถ่ี ูกตอ้ ง คือ การรับประทานยาหลงั อาหาร 15-30 นาที 206 82.40 13 ยาแกแ้ พ้บางชนิด เชน่ คลอเฟนิรามิน อาจทำ ให้งว่ งซึมได้ 211 84.40 14 คาลาไมน์โลช่นั เป็นยาทาภายนอกใชร้ ักษาบาดแผลเปิดบรเิ วณผิวหนงั 192 76.80 15 ยาระบายมสี รรพคุณในการลดน้ำหนัก 208 83.20 16 การรับประทานยาพาราเซตามอลมากเกินไปจะเปน็ พษิ ตอ่ ตับ 230 92.00 17 วธิ กี ารรับประทานยาเมอ่ื ลมื รับประทานยาคือการเพิ่มขนาดยาเปน็ สองเท่าในม้ือถดั ไป 211 84.40 18 Used before 31 August 2020 หมายถงึ การใชย้ านีค้ วรใชก้ ่อนวนั ท่ี 31เดอื นสิงหาคมพ.ศ. 2563 211 84.40 19 เครอ่ื งดมื่ ทีไ่ ม่ควรรับประทานร่วมกับยา ไดแ้ ก่ นม ชา หรอื กาแฟ 6 2.40 20 เมื่อท่านเกดิ อาการแพ้ยา ทา่ นตอ้ งหยุดรบั ประทานยานนั้ ทนั ที 229 91.60 วารสารวิชาการสขุ ภาพภาคเหนือ ปที ่ี 9 ฉบบั ท่ี 1 เดือน มกราคม – มถิ นุ ายน 2565 Journal of Health Sciences Scholarship January - June 2022, Vol.9 No.1
153 วารสารวิชาการสขุ ภาพภาคเหนอื (Journal of Health Sciences Scholarship) 3. ความรอบรดู้ ้านการใช้ยาอยา่ งสมเหตผุ ล กลุ่มตัวอย่างมีคะแนนความรอบรู้ด้านการใช้ยาอย่างสมเหตุผล คิดเป็นร้อยละ 86.62 (Mean=51.97, S.D.=13.40) จากคะแนนทั้งหมด 60 คะแนน โดยกลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ ร้อยละ 88.00 มีระดับคะแนนความรอบ รู้ด้านการใช้ยาอย่างสมเหตุผลอยู่ในระดับสูง มีเพียงส่วนน้อย ร้อยละ 6.40 ท่ีมีคะแนนในระดับปานกลาง ร้อยละ 5.60 มคี ะแนนในระดบั ตำ่ (ตารางท่ี 4) เมอ่ื พิจารณาความรอบร้ดู ้านการใชย้ าอย่างสมเหตุผลรายด้าน (ตารางที่ 5) พบวา่ กลมุ่ ตัวอย่างมีความรู้ด้านความรว่ มมือของสหวิชาชพี เพือ่ การใชย้ าอยา่ งสมเหตุผลสงู สุด คิดเป็นคะแนนร้อย ละ 90.92 (Mean=10.91,S.D.=2.92) จากคะแนน 12 คะแนน และรองลงมาคือด้านการประเมินหลักฐานทาง การแพทย์และแหล่งเรียนรู้ในการใช้ยาอย่างสมเหตุผล คิดเป็น ร้อยละ 90.40 (Mean=4.52,S.D.=1.24) จาก คะแนน 5 คะแนน และด้านการใชย้ าอยา่ งสมเหตผุ ลเพือ่ ความปลอดภัยของผู้ป่วย คิดเปน็ รอ้ ยละ 89.20 (Mean= 8.29,S.D.=2.73) จากคะแนน 10 คะแนน อย่างไรก็ตามพบว่ากลุ่มตัวอย่างมีความรู้ด้านผลกระทบของยาต่อ สิ่งแวดล้อมมคี ะแนนต่ำสดุ คิดเป็น ร้อยละ 81.90 (Mean=8.19,S.D.=2.68) จากคะแนน 10 คะแนน ความรู้ด้าน หลักการและความสำคัญของการใช้ยาอย่างสมเหตุผล คิดเป็น ร้อยละ 82.70 (Mean= 8.27 ,S.D.=2.46) จาก คะแนน 10 คะแนน และความรู้ด้านจริยศาสตร์กับการส่งเสริมการใช้ยาอย่างสมเหตุผล คิดเป็น ร้อยละ 83.80 (Mean=4.19,S.D.=1.31) จากคะแนน 5 คะแนน ตารางที่ 4 จำนวนและรอ้ ยละของกลมุ่ ตัวอยา่ ง จำแนกตามความรอบรู้ดา้ นการใช้ยาอย่างสมเหตุผล ระดับ ความรอบรดู้ า้ นการใชย้ าอยา่ งสมเหตุผล (Rational Drug Use) จำนวน (คน) รอ้ ยละ สูง (40.01 – 60 คะแนน) 222 88.00 ปานกลาง (20.01 – 40 คะแนน) 16 6.40 ตำ่ (0 – 20 คะแนน) 14 5.60 คะแนนเต็ม 60 คะแนน Min=0, Max=60 M=51.97, S.D.=13.40 วารสารวชิ าการสขุ ภาพภาคเหนือ ปที ี่ 9 ฉบับที่ 1 เดือน มกราคม – มิถนุ ายน 2565 Journal of Health Sciences Scholarship January - June 2022, Vol.9 No.1
154 วารสารวิชาการสุขภาพภาคเหนือ (Journal of Health Sciences Scholarship) ตารางท่ี 5 คะแนนความรอบรดู้ ้านการใชย้ าอย่างสมเหตผุ ลจำแนกรายด้าน ความรอบรดู้ ้านการใช้ยาอยา่ งสมเหตุผล(รายดา้ น) คะแนน คะแนน Mean รวม ร้อยละ 8.27 S.D. 4.35 2.46 1. หลักการและความสำคัญของการใช้ยาอย่างสมเหตุผล 10 82.70 8.92 1.27 8.19 2.73 2. การส่ือสารเพอ่ื การใชย้ าอย่างสมเหตุผล 5 87.00 4.19 2.68 1.31 3. การใช้ยาอย่างสมเหตผุ ลเพ่ือความปลอดภยั ของผู้ป่วย 10 89.20 2.60 10.91 0.85 4. ผลกระทบของยาต่อส่งิ แวดล้อม 10 81.90 2.92 4.52 5. จรยิ ศาสตรก์ ับการส่งเสรมิ การใช้ยาอย่างสมเหตุผล 5 83.80 51.97 1.24 13.40 6. ความเสมอภาคในการใช้ยา และการคำนงึ ถึงความคมุ้ คา่ ตาม หลกั เศรษฐศาสตรก์ ารแพทย์ 3 86.67 7. ความร่วมมอื ของสหวชิ าชพี เพอ่ื การใช้ยาอย่างสมเหตผุ ล 12 90.92 8. การประเมนิ หลักฐานทางการแพทย์ และแหลง่ เรยี นรใู้ นการใช้ยา อย่างสมเหตผุ ล 5 90.40 รวมรายด้าน 60 86.62 4. ปจั จยั ทม่ี คี วามสมั พันธ์กับความรอบรู้ดา้ นการใชย้ าอยา่ งสมเหตุผล ผลการศึกษา พบว่า ระดับชั้นปี การผ่านการเรียนวิชาเภสัชวิทยา ประสบการณ์เรียนภาคปฏิบัติวิชาการ พยาบาล และระดับความรู้เกี่ยวกับการใช้ยาเบื้องต้น มีความสัมพันธ์กับระดับความรอบรู้ด้านการใช้ยาอย่างสม เหตุผล อยา่ งมนี ัยสำคัญทางสถิติ (p<.001) รายละเอียดแสดงในตารางท่ี 6 นอกจากน้ี พบวา่ คะแนนความรู้เร่ือง การใช้ยาเบื้องต้น มีความสัมพันธ์เชิงบวกกับคะแนนความรอบรู้ด้านการใช้ยาอย่างสมเหตุผล อย่างมีนัยสำคัญ (r=.586, p<.001) ตารางที่ 7 วารสารวิชาการสขุ ภาพภาคเหนือ ปที ่ี 9 ฉบบั ที่ 1 เดอื น มกราคม – มิถุนายน 2565 Journal of Health Sciences Scholarship January - June 2022, Vol.9 No.1
155 วารสารวิชาการสขุ ภาพภาคเหนือ (Journal of Health Sciences Scholarship) ตารางท่ี 6 ปจั จัยทมี่ คี วามสมั พันธก์ ับความรอบรู้ดา้ นการใชย้ าอยา่ งสมเหตผุ ล ระดับความรอบรู้ ปัจจยั ด้านการใชย้ าอยา่ งสมเหตุผล df 2 p-value 3 19.366 0.000 ระดบั ชั้นปี สงู ตำ่ -ปานกลาง ช้นั ปีที่ 1 1 18.766 0.000 ชน้ั ปีที่ 2 (n=220) (n=30) 1 18.766 0.000 ชน้ั ปที ี่ 3 ชั้นปที ี่ 4 40(71.40) 16(28.60) 58(92.10) 5(7.90) การเรียนวชิ าเภสชั วทิ ยา 74(94.90) 4(5.10) ยงั ไม่ไดเ้ รียน 48(90.60) 5(9.40) ผา่ นการเรยี น 40(71.40) 16(28.60) การเรียนภาคปฏบิ ัตวิ ชิ าการ 180(92.80) 14(7.20) พยาบาล 40(71.40) 16(28.60) ยังไม่ได้เรียน 180(92.80) 14(7.20) ผ่านการเรียน ระดับความรูเ้ ร่ืองการใชย้ า 1 21.385 0.000 เบือ้ งตน้ ต่ำ-ปานกลาง 99(78.60) 27(21.40) สงู 121(97.60) 3(2.40) ตารางที่ 7 ความสมั พันธร์ ะหวา่ งความรเู้ รื่องการใชย้ าเบือ้ งตน้ กบั ความรอบรู้ด้านการใช้ยาอย่างสมเหตุผล ความรอบรู้ด้านการใช้ยา ความรเู้ รอื่ งการใชย้ าเบอื้ งตน้ อย่างสมเหตผุ ล ความรู้เร่อื งการใชย้ า Pearson Correlation 1 .586** เบ้ืองต้น Sig. (2-tailed) .000 (12.85, 3.31) N 250 250 **Correlation is significant at the 0.01 level (2-tailed) วารสารวิชาการสขุ ภาพภาคเหนือ ปที ่ี 9 ฉบบั ที่ 1 เดอื น มกราคม – มิถุนายน 2565 Journal of Health Sciences Scholarship January - June 2022, Vol.9 No.1
156 วารสารวิชาการสุขภาพภาคเหนือ (Journal of Health Sciences Scholarship) อภิปรายผล ความรู้เร่อื งการใช้ยาเบอ้ื งตน้ ผลการวิจัย พบว่า กลุ่มตวั อย่างเกอื บคร่ึงมรี ะดับคะแนนความรูเ้ รือ่ งการใช้ยาเบ้ืองต้นในระดับสูง อย่างไร ก็ตามพบว่ากลุ่มตัวอย่างเกินครึ่งที่มีความรู้เรื่องการใช้ยาเบื้องต้นในระดับต่ำ - ปานกลาง โดยพบว่าประเด็นที่มี ความเข้าใจคลาดเคลื่อนมากที่สุด คือ เครื่องดื่มที่ไม่ควรรับประทานร่วมกับยา และการเก็บรักษายาและวัน หมดอายุของยา แสดงให้เห็นว่านักศึกษายังขาดความรู้ หรือมีความรู้ไม่เพียงพอในการใช้ยาเบื้องต้น ซึ่งสอดคล้อง กับการศึกษาระดับความรู้การใช้ยาปฏิชีวนะของนักศึกษาระดับปริญญาตรีในจังหวัดภูเก็ต พบว่า กลุ่มตัวอย่าง ส่วนใหญ่ รอ้ ยละ 46.25 มคี วามรู้ในการใช้ยาปฏชิ ีวนะอยู่ในระดับตำ่ และพฤติกรรมการใช้ยาปฏชิ วี นะอยู่ในระดับ พอใช้ (Khoka, 2021) ทั้งนี้อาจจะเนื่องจากกลุ่มตัวอย่างบางส่วนกำลังศึกษาในระดับชั้นปีที่ 1 ยังไม่ได้เรียนวิชา เภสัชวิทยาและวิชาทางการพยาบาล และบางส่วนกำลังศึกษาในระดับชั้นปีที่ 2 ที่ผ่านเรียนวิชาเภสัชวิทยาและ เริ่มต้นเรียนรู้ภาคปฏิบัติทางการพยาบาล ซึ่งอาจจะยังขาดประสบการณ์การใช้ยา จึงทำให้มีความรู้ด้านการใช้ยา เบื้องต้นในระดับต่ำ-ปานกลาง จากผลการวิจัยนี้ สถาบันการศึกษาควรออกแบบการเรียนการสอนที่สอดแทรก ความรู้เรื่องการใช้ยาเบื้องต้นควบคู่ไปกับการใช้ยาอย่างสมเหตุผลให้กับนักศึกษาพยาบาลในทุกชั้นปี และติดตาม ผลความรู้อย่างต่อเนื่อง เพื่อส่งเสริมให้นักศึกษามีความรู้เรื่องการใช้ยาที่ถูกต้องและมีพฤติกรรมการใช้ยาที่ เหมาะสม ความรอบร้ดู ้านการใชย้ าอย่างสมเหตุผล งานวิจัยนี้ค้นพบว่านักศึกษาพยาบาลส่วนใหญ่มีความรอบรู้ด้านการใช้ยาอย่างสมเหตุผลอยู่ในระดับสูง โดยมีคะแนนด้านความร่วมมือของสหวิชาชีพเพื่อการใช้ยาอย่างสมเหตุผลสูงสุด รองลงมาได้แก่ ด้านการประเมิน หลักฐานทางการแพทย์และแหล่งเรียนรู้ในการใช้ยาอย่างสมเหตุผล และด้านการใช้ยาอย่างสมเหตุผลเพื่อความ ปลอดภัยของผู้ป่วย ซึ่งสอดคล้องกับงานวิจัยที่ศึกษาสมรรถนะการใช้ยาอย่างสมเหตุผลของบัณฑิตหลักสูตร พยาบาลศาสตร์ ที่พบว่าบัณฑิตพยาบาลมีการรับรูส้ มรรถนะการใช้ยาสมเหตุผลโดยรวมอยู่ในระดับมาก โดยมีการ รับรู้สมรรถนะย่อยการใช้ยาอย่างสมเหตุผลในระดับมากทุกด้าน ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงที่สุดคือ ด้านทำงานร่วมกับ ผอู้ น่ื แบบสหวิชาชีพเพ่ือส่งเสรมิ ให้เกิดการใช้ยาอย่างสมเหตผุ ล (Charoensuk, Leungratanamart, Reunreang, Turner, & Theinpichet, 2020) ทั้งนี้อาจสามารถอธิบายได้ว่า พยาบาลมีความตระหนักและให้ความสำคัญว่า การใช้ยาอย่างสมเหตุผล โดยถือเป็นความรับผิดชอบร่วมกันของสหวิชาชีพเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อผู้ป่วย ตามนโยบายของสภาการพยาบาลที่กำหนดให้การจัดการเรียนการสอนหลักสูตรพยาบาลศาสตร์ ต้องครอบคลุม สาระเกี่ยวกับสิทธิผู้ป่วย ความเสมอภาคและความเป็นธรรม (Thailand Nursing and Midwifery Council, 2021) สอดคล้องกับประกาศขององค์การอนามัยโลก (World Health Organization, 2010) ระบุว่า ความ ร่วมมือแบบสหวิชาชีพในการใช้ยาช่วยเพิ่มคุณภาพการดูแลและความปลอดภัยแก่ผู้ป่วย คุ้มค่าคุ้มทุน สร้างความ พึงพอใจในบริการ และทีมสขุ ภาพมีความสขุ ในการทำงาน วารสารวิชาการสขุ ภาพภาคเหนือ ปที ่ี 9 ฉบบั ที่ 1 เดือน มกราคม – มิถนุ ายน 2565 Journal of Health Sciences Scholarship January - June 2022, Vol.9 No.1
157 วารสารวิชาการสุขภาพภาคเหนือ (Journal of Health Sciences Scholarship) ปัจจัยทีม่ ีความสมั พนั ธ์กบั ความรอบรดู้ ้านการใช้ยาอย่างสมเหตุผล งานวิจัยน้ีพบว่าระดับชั้นปี การเรียนวิชาเภสัชวิทยา และการเรียนภาคปฏิบัติวิชาการพยาบาล มี ความสัมพันธ์กับระดับความรอบรู้ด้านการใช้ยาอย่างสมเหตุผล โดยพบว่า กลุ่มตัวอย่างซึ่งเป็นนักศึกษาพยาบาล ในชั้นปีที่สูงขึ้น ผ่านการเรียนวิชาเภสัชวิทยา มีประสบการณ์การเรียนภาคปฏิบัติวิชาการพยาบาล และมีความรู้ เรื่องการใช้ยาเบื้องต้นสูง จะมีระดับความรอบรู้ด้านการใช้ยาอย่างสมเหตุผลสูงขึ้น สามารถอธิบายได้ว่า วิทยาลัย พยาบาลเริ่มมีการบรรจุประเด็นการใช้ยาอย่างสมเหตุผลในหลักสูตรพยาบาลศาสตรบัณฑิตในปีการศึกษา 2561 และบรรจุหัวข้อการใช้ยาอย่างสมเหตุผลในทุกรายวิชาการพยาบาล ในปีการศึกษา 2562 ตามนโยบายของ คณะกรรมการพัฒนาระบบยาแห่งชาติ นโยบายของกระทรวงสาธารณสุข และสภาการพยาบาล เพื่อส่งเสริมการ ใช้ยาอย่างสมเหตุผลของแพทย์และบุคลากรทางการแพทย์ ตลอดจนประชาชนท่ั วไป (Food and Drug Administration Ministry of Public Health, 2017; Subcommittee on the Promotion of Rational Drug Use, 2015; Thailand Nursing and Midwifery Council, 2021) ซึ่งวิทยาลัยพยาบาลมีการจัดการเรียนการ สอนเริ่มจากหมวดวิชาพื้นฐานวิชาชีพในชั้นปีที่ 2 ในรายวิชาเภสัชวิทยา ครอบคลุมเนื้อหาสาระของเภสัช จลนศาสตร์ เภสัชกลศาสตร์ อาการข้างเคียง ปฏิกิริยาต่อกันของยากลุ่มยาประเภทต่างๆ สมุนไพรที่ใช้ในการ บำบัดรักษา และบทบาทพยาบาลในการบริหารยาสมเหตุผล และเริ่มบรรจุเนื้อหาการใช้ยาอย่างสมเหตุผลใน รายวิชาการพยาบาลทั้งรายวิชาทฤษฎีและปฏิบัติ ในชั้นปีที่ 2-4 โดยเน้นบทบาทของพยาบาลในการบริหารยา อย่างสมเหตุผล และการพยาบาลผู้ป่วยท่ีได้รับยาตามขอบเขตของวิชาชีพพยาบาลร่วมกับสหวิชาชีพ แสดงวา่ กลุ่ม ตัวอย่างได้รับการพัฒนาความรู้มาอย่างต่อเนื่องทั้งจากการเรียนหลักสูตรภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติ และจากสื่อ ออนไลน์ หรือการประชาสัมพันธ์ตามสถานพยาบาลพยาบาลต่างๆ จึงส่งผลให้นักศึกษาพยาบาลในชั้นปีสูง ที่ผ่าน การเรียนวิชาเภสัชวิทยา การเรียนวิชาทางการพยาบาล มีความรู้เรื่องการใช้ยาเบื้องต้นในระดับสูง จะมีความรอบ รู้ด้านการใช้ยาอย่างสมเหตุผลสูงขึ้น สอดคล้องกับงานวิจัยที่ศึกษาสมรรถนะด้านความสามารถในการใช้ยาของ นักศกึ ษาพยาบาล โดยประเมินความรู้เกีย่ วกบั เภสัชวิทยา การบรหิ ารจัดการยา รวมถึงการประยกุ ต์ความรู้ไปใช้ใน การตดั สนิ ใจการใหย้ าแก่ผู้ป่วย ผลการศึกษาพบว่า นักศกึ ษาพยาบาลท่จี ะสำเรจ็ การศกึ ษาพยาบาลมีความรู้ทักษะ การปฏิบัติเกี่ยวกับการใช้ยาและการตัดสินใจดีกว่านักศึกษาพยาบาลที่เริ่มเรียนพยาบาล (Manias & Bullock, 2002) และยังสอดคล้องกับการวิจัยเรื่องความรู้เรื่องการใช้ยาและพฤติกรรมการใช้ยาอย่างสมเหตุผล ซึ่งพบว่า นักศึกษาพยาบาลที่กำลังศึกษาในชั้นปีที่สูงกว่า คือ ปี 2-4 ผ่านการเรียนวิชาเภสัชวิทยามาแล้ว และกลุ่มตัวอย่าง บางส่วนที่มปี ระสบการณใ์ นการทำงานในโรงพยาบาลมาก่อน มคี วามรู้เร่อื งการใช้ยาในระดบั ดี ส่งผลใหส้ ามารถใช้ ยาได้อย่างสมเหตุผล (Bunmusik, Chantra, & Heeaksorn, 2019; Samranbua & Thamcharoentrakul, 2020) และเป็นไปในทิศทางเดียวกับการสำรวจความรู้และพฤติกรรมเกี่ยวกับการใช้ยาอย่างสมเหตุผลของ นักศึกษาวิทยาลัยในประเทศจีน ที่พบว่าความรู้เรื่องยาเบื้องต้น สามารถช่วยให้นักศึกษามีความรู้ความเข้าใจการ ใช้ยาอย่างสมเหตุผลได้ ดังนั้นสถาบันการศึกษาจำเป็นต้องมีการเผยแพร่ความรู้เรื่องการใช้ยาอย่างสมเหตุผลใน วารสารวชิ าการสขุ ภาพภาคเหนือ ปีท่ี 9 ฉบบั ท่ี 1 เดือน มกราคม – มิถนุ ายน 2565 Journal of Health Sciences Scholarship January - June 2022, Vol.9 No.1
158 วารสารวชิ าการสขุ ภาพภาคเหนือ (Journal of Health Sciences Scholarship) วิทยาเขต และให้โอกาสนักศึกษาได้เลือกเรียนในหัวข้อความรู้เกี่ยวกับการใช้ยาอย่างสมเหตุผลหรือวิชาเลือกอื่นๆ ทเ่ี กย่ี วขอ้ ง (Yin, He, Shen, Mu, & Tang, 2022) อย่างไรก็ตามเมื่อศึกษาในรายละเอียดพบว่า กลุ่มตัวอย่างชั้นที่ ที่ 3 และ ชั้นปีที่ 2 มีร้อยละของผู้ที่มี ความความรอบรู้ด้านการใช้ยาอย่างสมเหตุผลในระดับสูง มากกว่าชั้นปีที่ 4 (ร้อยละ 94.60, 92.10 และ 90.60 ตามลำดับ) ซึ่งนักศึกษาชั้นปีที่ 2-4 ผ่านการเรียนรายวิชาเภสัชวิทยาและรายวิชาการพยาบาล การที่กลุ่มตัวอย่าง ในช้ันปีที่ 4 มีร้อยละของผู้ทม่ี ีความรอบรู้ด้านการใชย้ าอย่างสมเหตุผลในระดบั สูง นอ้ ยกวา่ ช้ันปี 2 และ 3 เล็กนอ้ ย อาจเนื่องมากจากในชั้นปีที่ 4 มีการสอดแทรกหาการใช้ยาอย่างสมเหตุผลในปีสุดท้ายของการเรียน ซึ่งแตกต่าง จาก ชั้นปีที่ 2 และ 3 ทเี่ รม่ิ สอดแทรกเน้อื หาการใช้ยาอย่างสมเหตผุ ลในระยะเร่ิมต้นและมคี รบทุกรายวิชาทางการ พยาบาลทั้งภาคทฤษฎีและปฏิบัติ จะเห็นได้ว่าการเรียนวิชาเภสัชวิทยาและการเรียนวิชาทางการพยาบาลมีความ เกี่ยวข้องกับระดับความรู้เรื่องการใช้ยาเบื้องงต้นและความรอบรู้เร่ืองการใช้ยาอย่างสมเหตุผล นอกจากนี้แล้ว ประสบการณ์การใช้ยาส่วนบุคคลอาจเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่มีความเกี่ยวข้องกับระดับความรู้เรื่องการใช้ยาเบื้องต้น และการใช้ยาอย่างสมเหตผุ ล ซึ่งสนับสนุนโดยงานวิจัยปจั จัยทำนายการใช้ยาปฏชิ ีวนะอยา่ งสมเหตุสมผล ที่ระบุวา่ ประสบการณ์ในการใช้ยาของบุคคลมีความสัมพันธ์กับความรู้และพฤติกรรมการใช้ยาอย่างสมเหตุผล (Polsingchan & Rungruang, 2021; Sornkrasetrin et al., 2019) ดังนั้นวิทยาลัยควรออกแบบการเรียนการ สอนเรื่องการใช้ยาอย่างสมเหตุผลให้กับนักศึกษาพยาบาลทุกชั้นปี และควรมีหลักสูตรระยะสั้นให้ความรู้เรื่องการ ใช้ยาเบื้องต้นสำหรับนักศึกษาพยาบาลรูปแบบออนไลน์ ควรมีการติดตามประเมินผลอย่างต่อเนื่องเพื่อส่งเสริมให้ นักศึกษามคี วามรู้เรือ่ งการใช้ยาทถี่ ูกตอ้ ง และมีพฤตกิ รรมการใชย้ าท่เี หมาะสม ขอ้ จำกัดของงานวิจยั งานวิจัยนี้ศึกษาในกรอบประชากรของวิทยาลยั พยาบาลของรัฐเพยี งแห่งเดยี ว ดังนั้นการนำผลการวิจัยไป ใช้ควรคำนงึ ถงึ คุณลักษณะของประชากรด้วย ข้อเสนอแนะในการนำผลการวจิ ยั ไปใช้ งานวิจัยนี้พบว่าว่านักศึกษาพยาบาลส่วนใหญ่มีความรูเ้ ก่ียวกับการใชย้ าเบื้องต้น และความรอบรู้ด้านการ ใช้ยาอย่างสมเหตุผลในระดับสูง อย่างไรก็ตาม มีรางานนักศึกษาจำนวนหนึ่งมีความรู้เกี่ยวกับการใช้ยาเบื้องต้น และความรอบรู้ด้านการใช้ยาอย่างสมเหตุผลในระดับต่ำ-ปานกลาง ดังนั้นวิทยาลัยพยาบาลซึ่งมีส่วนสำคัญในการ ขับเคลื่อนการพัฒนาระบบการผลิต และพัฒนากำลังคนด้านสุขภาพ ควรจัดการเรียนการสอนเรื่องการใช้ยาอย่าง สมเหตุผลให้ครอบคลุมในทุกสาขาวิชา ควรพัฒนากระบวนการและรูปแบบวิธีการจัดการเรียนการสอนที่ส่งเสริม ให้เกิดการเรียนรู้ เน้นกระบวนการประยุกต์ใช้ความรู้ และฝึกทักษะการปฏิบัติในสถานการณ์จริงให้ครอบคลุม เพื่อให้นักศึกษาสามารถใช้ยาในกรอบบัญชียา ตามบทบาทของพยาบาลในการบริหารยาให้เกิดประโยชน์ทาง วารสารวชิ าการสุขภาพภาคเหนือ ปีท่ี 9 ฉบับท่ี 1 เดอื น มกราคม – มถิ นุ ายน 2565 Journal of Health Sciences Scholarship January - June 2022, Vol.9 No.1
159 วารสารวิชาการสุขภาพภาคเหนอื (Journal of Health Sciences Scholarship) คลินิกสูงสุดและลดความเสี่ยงที่เกิดจากการใช้ยา เพื่อให้มีทักษะในการใช้ยาอย่างสมเหตุผลในระดับดีตาม มาตรฐานวิชาชีพพยาบาล (Churyen, 2021) นอกจากนี้ควรมีการให้ความรู้เกี่ยวกับการใช้ยาเบื้องต้น และความ รอบรดู้ ้านการใชย้ าอย่างสมเหตผุ ล สำหนบั นักศึกษา ช้ันปีท่ี 1 ทยี่ ังไม่ได้เรียนวิชาเภสัชวทิ ยาหรือวชิ าการพยาบาล เพื่อสง่ เสรมิ ให้นักศึกษากลมุ่ น้ีมีความรแู้ ละพฤตกิ รรมการใช้ยาทีถ่ ูกตอ้ ง ข้อเสนอแนะในการศกึ ษาวจิ ยั คร้ังตอ่ ไป 1) ควรศึกษาวิจยั เชงิ ทดลองหรือพัฒนารูปแบบการจัดการเรยี นการสอนหรือการอบรมเพอื่ พฒั นาความรู้ และทักษะในการใช้อยา่ งสมเหตุสมผลและเปรียบเทยี บผลลพั ธ์ทช่ี ดั เจน 2) ควรศึกษาวิจัยเพิ่มเติมดว้ ยการออกแบบที่ได้มาตรฐาน โดยวิธีวิจัยแบบผสมผสาน ในกลุ่มประชากรที่ เป็นนักศึกษาพยาบาลจากสถาบันการศึกษาทั้งรัฐบาลและเอกชน เพื่อค้นหาปัจจัยที่เกี่ยวข้องและออกแบบการ การจัดการสอนอย่างเป็นระบบเพื่อการปรับปรุงความรู้และพฤติกรรมในการใช้ยาอย่างสมเหตุผลของนักศึกษา พยาบาลตอ่ ไป เอกสารอ้างองิ Best, W. (1977). Research in Education. Englewood Cliffs, New Jersey: Prentice Hall, Inc. Bunmusik, S., Chantra, R., & Heeaksorn, C. (2019). Knowledge Attitude and Behaviors in Rational Antibiotics Use of Nursing Students Southern College of Nursing and Public Health Network. Journal of Health Research and Innovation, 2(1). (in Thai) Charoensuk, S. , Leungratanamart, L. , Reunreang, T. , Turner, K. , & Theinpichet, S. ( 2020) . An Evaluation of Competency in Rational Drug Use of Nursing Graduates. Journal of The Royal Thai Army Nurses, Vol. 21(2), 158-168. (in Thai) Churyen, A. (2021). The Nurses’ Role in Rational Drug Use in Hospital. Nursing Journal, 48(1), 410- 421. (in Thai) Food and Drug Administration Ministry of Public Health. (2017). Instructional Manual for Rational Use of Drugs. (in Thai) Health System Research Institute. (2012). Antibiotic Resistant Bacteria Crisis and Solution of Thai Society. (Online), Available: https://kb.hsri.or.th/dspace/handle/11228/3917?locale- attribute=th(2021, January 10). Khoka, A. ( 2021) . Knowledge and antibiotic use behavior of undergraduate students in Phuket Province. Royal Thai Army Medical Journal, 74(4), 277-290. (in Thai) วารสารวิชาการสุขภาพภาคเหนือ ปีที่ 9 ฉบับที่ 1 เดือน มกราคม – มิถนุ ายน 2565 Journal of Health Sciences Scholarship January - June 2022, Vol.9 No.1
160 วารสารวชิ าการสุขภาพภาคเหนอื (Journal of Health Sciences Scholarship) Kshirsagar, A. ( 2016) . Rational use of medicines: Cost consideration & way forward. The Indian journal of medical research, 144(4), 502. Manias, E., & Bullock, S. (2002). The educational preparation of undergraduate nursing students in pharmacology: perceptions and experiences of lecturers and students. International Journal of Nursing Studies, 39(7), 757-769. Polsingchan, S., & Rungruang, K. (2021). Selected Factors Affecting Rational Antibiotic Use Behaviors of Nursing Students at Boromarajonani College of Nursing, Surin. Nursing Journal of The Ministry of Public Health, 31(1), 211-223. (in Thai) Samranbua, A., & Thamcharoentrakul, B. (2020). Factor Predicting Rational Drug Use Among Nursing Students in Boromarajjonani College of Nursing, Nakorn Rashisima. Journal of Health and Nursing Education, 26(2), 37-52. (in Thai) Sornkrasetrin, A. , Rungnoei, N. , Thongma, N. , Klinchat, R. , Rajataramya, B. , & Nitirat, P. ( 2019) . Factors Predictingthe Rational Antibiotic Use among Nursing Students. Journal of Health and Nursing Education, 25(1), 43-59. (in Thai) Subcommittee on the Promotion of Rational Drug Use. (2015). Rational Drug Use Hospital Manual. In C. Chayakul (Ed.), (pp. 198). (Online), Available: https://www.hsri.or.th/sites/default/files/attachment/RDU%20Book.pdf. (2021, January 10) Thailand Nursing and Midwifery Council. (2021). The format of the curriculum of rational drug use in the Bachelor of Nursing program. (Online), Available: https://www.tnmc.or.th/images/userfiles/files/summarymed.pdf. (2021, January 8) World Health Organization. (1985). The rational use of drugs: review of major issues. World Health Organization. (2010). Medicines: rational use of medicines. Fact sheet No.338. World Health Organization Regional Office for South East Asia. ( 2015) . Medicine in Health Care Delivery: Thailand situation analysis. New Delhi: WHO Yamane, T. (1973). Statistics: An Introductory Analysis. New York: Harper and Row. Yin, C., He, X., Shen, K., Mu, X., & Tang, F. (2022). Knowledge and Behavior in Rational Drug Use Among College Students in Zunyi City. Risk Management and Healthcare Policy, 15, 121. วารสารวิชาการสุขภาพภาคเหนือ ปที ่ี 9 ฉบบั ที่ 1 เดือน มกราคม – มถิ นุ ายน 2565 Journal of Health Sciences Scholarship January - June 2022, Vol.9 No.1
The Effects of Toothbrushing Process Picture Communication Aid at Home for Parents with Special Need Children at Wat Changkean School Chiangmai Thatsana Ritthikul 1*,Patcharaporn Gavila* ,Numpueng Rattanapiboon* Kornwipa Wudtijureepun*, Wisapen Kittaned*, Sutthikarn Kantee* Phawinee Wannasee*, Decha Tamdee** (Received: January 21 , 2021, Revised: March 30, 2022, Accepted: April 4, 2022) Abstract Dental caries and gingivitis in children with special needs are higher than general children. One of the main reasons is improper tooth brushing. Parents therefore play an important role in children’s tooth brushing including training children to brush their teeth by themselves. But with disabilities in language comprehension and communication, as a result, children do not cooperate in tooth brushing. Therefore, the use of visual media is an important aid in communication between children and parents. The quasi- experimental research aimed to study the effects of using Tooth brushing process picture on helping to communicate the brushing process to children with special needs by their parents at home among 32 pairs of parents- children in Wat Chang Khian School, Chiang Mai Province in the academic year 2021. The research instruments composed of the demographic data interview form, children's toothbrushing behaviors and the child's upper front teeth plaque record. Data were analyzed by descriptive statistic and compare the efficacy of intervention by Wilcoxon rank-sum test and fisher’s exact test. The results showed that the average age of children was 11.2 years. 96.9% of the children brushed their teeth by themselves while 34. 4 % of the children brushed their teeth without parent supervision and 78. 1 % of them brushed their teeth twice a day. After receiving Tooth brushing Process Picture Communication Aid, it was found that 96. 9 % of children had better brushing behaviors, 75.0 % of them had more systematic brushing, and the amount of plaque on the tooth surface before and after using visual media was statistically significant reduced atP<.001 In conclusion, the use of Tooth brushing Process Picture Communication Aid at home has clearly changed tooth brushing behavior of children in a better way. Keywords: Tooth brushing process picture communication aid, Children with specialneeds, Parent * Intercountry Centre for oral health, Department of Health **Faculty of Nursing, Chiangmai University 1Corresponding author: [email protected] โทร 053140141 วารสารวิชาการสขุ ภาพภาคเหนือ ปีที่ 9 ฉบับท่ี 1 เดือน มกราคม – มิถุนายน 2565 Journal of Health Sciences Scholarship January-June 2022, Vol.9 No.1
การศกึ ษาผลการใชส้ ่อื ภาพกระบวนการแปรงฟนั ในการชว่ ยสอ่ื สารกระบวนการแปรงฟันแกเ่ ดก็ ท่ี มีความตอ้ งการพิเศษโดยผปู้ กครองทบ่ี า้ นโรงเรยี นวดั ชา่ งเคยี่ น จ.เชียงใหม่ ทศั นา ฤทธิกลุ 1* ,พชั ราภรณ์ กาวิละ*,น้ำผง้ึ รตั นพิบูลย*์ , กรวภิ า วฒุ ิจรู ีพนั ธ*์ุ ,วสิ เพญ็ กจิ ธเนศ* ,สทุ ธกิ านต์ กนั ต*ี , ภาวณิ ี วรรณศร*ี ,เดชา ทำด*ี * (วนั ท่รี บั บทความ : 21 มกราคม 2564 , วนั แก้ไขบทความ: 30 มีนาคม 2565, วนั ตอบรบั บทความ: 4 เมษายน 2565) บทคดั ย่อ ปัญหาโรคฟันผแุ ละโรคเหงือกพบไดส้ ูงในเด็กท่ีมีความต้องการพิเศษ เมื่อเทียบกับเด็กทัว่ ไป สาเหตุสำคัญ คือ การแปรงฟันที่ไม่มีประสิทธิภาพ ผู้ปกครองจึงมีบทบาทสำคัญในการแปรงฟันแก่เด็กกลุ่มนี้ รวมถึงฝึกเด็กให้ แปรงฟนั ดว้ ยตนเอง แตด่ ้วยความบกพรอ่ งทางความเข้าใจภาษาและการสอ่ื สาร ทำใหเ้ ด็กไม่ใหค้ วามร่วมมือในการ แปรงฟัน ดังนั้นการใช้สื่อภาพจึงเป็นตัวช่วยที่สำคัญในการสื่อสารระหว่างเด็กและผู้ปกครอง งานวิจัยกึ่งทดลอง ครั้งน้ี มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาประสิทธิผลการใช้สื่อภาพกระบวนการแปรงฟัน ในการช่วยสื่อสารกระบวนการ แปรงฟันแก่เด็กที่มีความต้องการพิเศษโดยผู้ปกครองที่บ้าน ของเด็กในโรงเรียนวัดช่างเคี่ยน จ.เชียงใหม่ ในปี การศึกษา 2564 จำนวน 32 คู่ เครื่องมือที่ใช้ประกอบด้วย แบบสัมภาษณ์ผู้ปกครองเกี่ยวกับข้อมูลทั่วไปของ ผู้ปกครอง เด็ก และพฤติกรรมทันตสุขภาพของเด็ก และแบบบันทึกปริมาณคราบจุลินทรีย์บนผิวฟันหน้าบนของ เด็ก วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณาและวิเคราะห์เปรียบเทียบผลการศึกษาระหว่างกลุ่มด้วยสถิติ Wilcoxon rank-sum test และสถิติ fisher’s exact test ผลการศึกษา พบว่า เด็กมีอายุเฉลี่ย 11.20 ปี มีพฤติกรรมแปรงฟันด้วยตนเอง ร้อยละ 96.90 โดยไม่มี ผู้ปกครองคอยกำกับดูแล ร้อยละ 34.40 แปรงฟันด้วยตนเองวันละ 2 ครั้ง ร้อยละ 78.10 หลังจากได้รับสื่อภาพ กระบวนการแปรงฟันเพื่อใช้ในบ้าน พบว่าเด็กส่วนใหญ่มีพฤติกรรมการแปรงฟันที่ดีขึ้น ร้อยละ 96.90 แปรงฟัน อย่างเป็นระบบมีแบบแผนมากขึ้น ร้อยละ 75.00 และปรมิ าณคราบจุลินทรีย์บนผิวฟันกอ่ นและหลังการใช้ส่ือภาพ ลดลงอย่างมีนัยสำคัญทางสถติ ิท่ี P < .001 สรุป การใช้สื่อภาพกระบวนการแปรงฟันที่บ้านทำให้มีการเปลี่ยนแปลงของทันตสุขภาพและพฤติกรรม การแปรงฟนั ของเดก็ ในทางท่ดี ขี ้นึ อยา่ งชัดเจน คำสำคัญ: ส่อื ภาพกระบวนการแปรงฟัน; เด็กที่มคี วามต้องการพเิ ศษ; ผปู้ กครอง * ศนู ยท์ ันตสาธารณสขุ ระหวา่ งประเทศ กรมอนามัย อำเภอเมือง เชยี งใหม่ ** คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั เชยี งใหม่ 1ผู้ประพันธบ์ รรณกิจ [email protected] โทร 053140141 วารสารวชิ าการสขุ ภาพภาคเหนือ ปีท่ี 9 ฉบับที่ 1 เดือน มกราคม – มิถุนายน 2565 Journal of Health Sciences Scholarship January-June 2022, Vol.9 No.1
163 วารสารวชิ าการสุขภาพภาคเหนือ (Journal of Health Sciences Scholarship) บทนำ ในปี 2560 พบความชุกของการเกิดโรคฟันผุในเด็กไทย อายุ 3 – 5 ปี สูงถึงร้อยละ 52.90 – 75.60 โดย เด็กอายุ 5 ปี เคยมีประสบการณ์ปวดฟันถึงร้อยละ 27.5 และพบว่าผู้ปกครองให้เด็กแปรงฟันเองถึงรอ้ ยละ 80.40 (Bureau of Dental Health, 2018) นอกจากนั้นพบว่ามีรายงานปัญหาโรคฟันผุและโรคเหงือกในเด็กที่มีความ ต้องการพิเศษสูงกว่าเด็กทั่วไปหลายงานวิจัย (Alkhabuli, Essa, Al-Zuhair, & Jaber, 2019;Gardens et al., 2013; Hennequin, Moysan, Jourdan, Dorin, & Nicolas, 2008; Lamba, Rajvanshi, Sheikh, Khurana & Saha, 2015; Makboon, 2019) และไม่พบการศึกษาเกี่ยวกับการจัดการ ดำเนินการแก้ไขปัญหาและยังขาด มาตรการ การส่งเสริมและป้องกันด้านสุขภาพช่องปากที่ดีพอสำหรับเด็กพิเศษกลุ่มนี้ (Department of health and human services, 2002; Gardens et al., 2013; Shin & Saeed, 2013) โดยท่ัวไปแลว้ เดก็ ท่มี ีอายนุ ้อยจะปญั หาในการแปรงฟันดว้ ยตนเอง ซง่ึ อาจทำได้ไม่ครบถ้วนสมบรู ณ์ ทำให้ การแปรงฟนั ในเดก็ กลุม่ น้ไี มม่ ีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะเด็กทีม่ คี วามต้องการพิเศษท่ีมีอายุน้อยมีความยุ่งยากในการ แปรงฟัน ทำให้ประสบปัญหาในการแปรงฟันมากกว่าเด็กปกติ ทั้งนี้ปัญหานี้ยังคงอยู่ถึงแม้ว่าเด็กที่มีความต้องการ พิเศษมีอายุมากขึ้น (Lamba et al., 2015) โดยเฉพาะขั้นตอนของการแปรงฟันซ้ำ เพื่อขจัดคราบจุลินทรีย์ท่ี หลงเหลือออกให้หมด (Shin & Saeed, 2013) จึงเป็นความจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับผู้ปกครองเด็กพิเศษที่มีความ ต้องการควรได้รับความรู้เรื่องกระบวนการแปรงฟัน การกระตุ้น การส่งเสริมทักษะการดูแลสุขภาพช่องปากเด็ก พิเศษรวมถึงการช่วยเหลือจากหน่วยงานต่างๆ เพื่อบรรเทาความยากลำบากลง (Campanaro, Huebner, & Devis, 2014; Huebner & Riedy, 2010; Shin & Saeed, 2013) เด็กกลมุ่ น้ียังต้องไดร้ ับการส่งเสริมการฝึกแปรง ฟันด้วยตนเองตามระดับความสามารถและพัฒนาการของแต่ละคน ภายใต้การดูแลของผู้ปกครอง (Khoomyat, Rujirojananun, Kongtaweelerd, & Limsomwong, 2015) ขณะเดียวกันควรได้รับการฝึกฝนการดูแลสุขภาพ ตนเองเพื่อคุณภาพชีวิตในระยะยาว (Shin & Saeed, 2013) จากการศึกษาพบว่าสุขภาพช่องปากของเด็กที่มี ความต้องการพิเศษขึ้นอยู่กับการดูแลของผู้ปกครองและการสื่อสาร กล่าวคือ เด็กที่มีความต้องการพิเศษที่มี ผู้ปกครองเป็นคนแปรงฟันให้ มีสุขภาพช่องปากดีกว่ากลุ่มเด็กที่มีความต้องการพิเศษที่แปรงฟันเอง ( Curnow, Pine, Burnside, & Nicholson, 2002; Pine , Curnow, Burnside, & Nicholson, 2000) และปัญหาด้านการ สื่อสารเป็นอุปสรรตอ่ การใช้ชีวิตประจำวัน เช่น เด็กไม่สามารถเข้าใจความสำคัญของการดูแลความสะอาดร่างกาย และรวมถงึ ขนั้ ตอนทค่ี วรปฏบิ ตั ิเพ่ือดแู ลความสะอาดร่างกายตนเอง แมผ้ ปู้ กครองเนน้ ยำ้ ดว้ ยการอธิบายผ่านคำพดู อย่างดีแล้วก็ตาม และอุปสรรคเรื่องการสื่อสารนี้ ยังส่งผลต่อความร่วมมือในการแปรงฟันวันละสองครั้ง อีกด้วย (Khoomyat et al., 2015) ทั้งนี้ สุขภาพช่องปากส่งผลกับการใช้ชีวิตประจำวันของเด็กที่มีความต้องการพิเศษ ( Department of Promotion and Development of the Quality of Life of Persons with Disabilities Ministry of Social Development and Human Security, 2019) วารสารวิชาการสขุ ภาพภาคเหนือ ปีท่ี 9 ฉบับที่ 1 เดอื น มกราคม – มิถนุ ายน 2565 Journal of Health Sciences Scholarship January - June 2022, Vol.9 No.1
164 วารสารวชิ าการสุขภาพภาคเหนือ (Journal of Health Sciences Scholarship) การสอ่ื สารกับเด็กทมี่ ีความต้องการพิเศษโดยเฉพาะกล่มุ เด็กทม่ี ีความบกพร่องทางสตปิ ัญญาและออทิสติก เป็นกระบวนการสื่อสารที่ทำได้ยาก และมีผลต่อการใช้ชีวิตร่วมกันระหว่างผู้ปกครองและเด็กพิเศษ แต่ทั้งนี้ มี กระบวนการท่จี ะทำให้ ผู้ปกครองและเดก็ ท่มี คี วามตอ้ งการพเิ ศษ สามารถเรียนรซู้ ึง่ กันและกันได้ คอื กระบวนการ TEACCH (Treatment and Education of Autistic and related Communication handicapped Children) ซึ่งเป็นกระบวนการ เพื่อให้เกิดเชื่อมโยงการได้ยินและการเห็นเข้าด้วยกัน โดยใช้เครื่องมือ อย่างเป็นขั้นตอน เช่น วิดีโอ ภาพ การเห็นตัวอย่าง การสัมผัสของจริง อย่างเป็นลำดับ (Orellana, Sanchis, & Silvestre 2014) กระบวนการ TEACCH เป็นรูปแบบท่ีผ่านการทดลอง มีความเชื่อถือได้ และเป็นวิธีที่ให้ผลดีในการสร้างความ ร่วมมือในขั้นตอนการรักษาทางทันตกรรมสำหรับเด็กที่มีความต้องการพิเศษ ( Backman & Pilebro, 1999; Limsomwong, 2015; Orellana et al., 2014) รวมถึงดา้ นทนั ตกรรมป้องกนั (Pilebro & Backman, 2005) ถึงกระนั้น สื่อภาพที่เกี่ยวกับทันตสุขภาพสำหรับเด็กที่มีความต้องการพิเศษ ส่วนใหญ่มาจากต่างประเทศ สำหรับประเทศไทยนั้นการศึกษาการใช้สื่อภาพเพื่อส่งเสริมการแปรงฟันในเด็กกลุ่มนี้ยังมีจำนวนน้อย แต่การ ฝึกฝนเด็กท่ีมีความต้องการพเิ ศษ จนสามารถแปรงฟนั ไดเ้ องอยา่ งมีประสิทธิภาพนนั้ เป็นสงิ่ จำเป็น และต้องเร่ิมต้น ตั้งแต่อายุน้อยๆ ด้วยความช่วยเหลือของผู้ปกครองในการกระตุ้นการแปรงฟัน การสื่อสารขั้นตอนการแปรงฟัน รวมถึงการแปรงฟันแก่เด็กอย่างสะอาดครบถ้วน ซึ่งเป็นการยากที่เด็กจะให้ความร่วมมือจนจบกระบวนการแปรง ฟัน ในการนสี้ ือ่ ภาพจึงเปน็ ตัวช่วยสำคัญท่จี ะทำให้เดก็ เข้าใจกระบวนการแปรงฟันได้ดขี ้ึน ส่งผลตอ่ ความร่วมมือใน การแปรงฟันทุกขั้นตอน จากการทบทวนวรรณกรรมผู้วิจัยจึงนำสื่อภาพกระบวนการแปรงฟันมาพัฒนาต่อยอด และศึกษาผลของการใชส้ ่ือภาพกระบวนการแปรงฟนั สำหรบั เด็กที่มคี วามต้องการพเิ ศษท่บี ้าน เพ่ือนำผลการศึกษา ดังกล่าวไปวางแผนการดูแลเด็กที่มีความต้องการพิเศษทั่วประเทศ เพื่อลดปัญหาสุขภาพช่องปากแก่เด็กกลุ่มน้ี ต่อไป วัตถุประสงค์ เพอ่ื ศึกษาผลการใช้ส่ือภาพกระบวนการแปรงฟัน ในการชว่ ยส่อื สารกระบวนการแปรงฟันแก่เด็กท่ีมีความ ต้องการพเิ ศษโดยผปู้ กครองท่บี ้าน วธิ ีดำเนินการวจิ ัย การวจิ ยั ครง้ั น้ีเป็นการวจิ ยั กึง่ ทดลอง (Quasi-Experimental Research) เปรยี บเทียบข้อมูลกอ่ นและหลัง การทดลอง เพื่อศึกษาผลการใช้สื่อภาพกระบวนการแปรงฟัน ในการช่วยสื่อสารกระบวนการแปรงฟันแก่เด็กที่มี ความต้องการพิเศษโดยผู้ปกครอง ที่บ้าน โดยศึกษาในกลุ่มผู้ปกครองและเด็กที่มีความต้องการพิเศษ โรงเรียนวดั ช่างเคี่ยน จ.เชียงใหม่ ในปีการศึกษา 2564 คัดเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง (Purposive sampling) จำนวน 32 คู่ ทุกคนได้รับการทาบทามเพื่อเข้าร่วมวิจัย โดยนักวิจัยจะทำการแจ้งให้ทราบถึงวัตถุประสงค์ และประโยชน์ วารสารวชิ าการสุขภาพภาคเหนือ ปที ี่ 9 ฉบบั ท่ี 1 เดือน มกราคม – มิถนุ ายน 2565 Journal of Health Sciences Scholarship January - June 2022, Vol.9 No.1
165 วารสารวชิ าการสุขภาพภาคเหนอื (Journal of Health Sciences Scholarship) ของงานวิจัย รวมถึงขั้นตอนการวิจัยประกอบด้วย การสัมภาษณ์ผู้ปกครองจำนวนสองครั้ง ระยะเวลาห่างกัน 2 เดือน โดยในการสัมภาษณ์ครั้งแรกจะได้รับการสาธิตการใช้สื่อภาพกระบวนการแปรงฟันโดยละเอียด พร้อมได้รับ สื่อภาพกระบวนการแปรงฟันกลับไปใช้ที่บ้านเป็นประจำเพื่อใช้สื่อสารกับเด็กที่บ้านในระหว่างแปรงฟัน อย่าง สม่ำเสมอตลอดระยะสองเดือน ในขณะเดียวกันเด็กจะได้รับการตรวจปริมาณคราบจุลินทรีย์ผิวฟันหน้าบนด้านริม ฝีปากที่เห็นด้วยตาเปล่าก่อนและหลังการใช้สื่อภาพกระบวนการแปรงฟันที่บ้าน โดยให้ผู้ปกครองลงนามรับทราบ ข้อมูลและยินยอมเข้าร่วมโครงการวิจัย และเมื่อกลับบ้านแล้วผู้ปกครองจะทำการดูแลเรื่องการแปรงฟันให้กับเดก็ ท่มี คี วามต้องการพเิ ศษโดยการใชส้ ่ือทีไ่ ดร้ บั อย่างน้อยสปั ดาห์ละ 3 ครง้ั เปน็ เวลา 2 เดอื น ประชากรและกล่มุ ตัวอย่าง ผู้วิจัยได้คำนวณกลุ่มตัวอย่างโดยใช้โปรแกรมสำเร็จรูป G Power18 โดยกำหนดค่า Effect size เท่ากับ .5 กำหนดค่าalphaเท่ากับ .5 และกำหนดค่า power เท่ากับ .80 คำนวณกลุ่มตัวอย่างได้ เท่ากับ 24 คู่ ผู้วิจัยได้ เพิ่มกลุ่มตัวอย่างเป็น 32 คู่ เพื่อทดแทนกรณีกลุ่มตัวอย่างออกจากการวิจัย โดยมีเกณฑ์คัดเข้ากลุ่มเป้าหมายดังน้ี ผูป้ กครองของเด็กมีความสมัครใจในการเข้ารว่ มวิจัย สามารถใหข้ อ้ มลู กอ่ นและหลงั การวิจัย และยินดใี ช้ส่ือภาพใน การสื่อสารกับเด็กระหว่างแปรงฟันต่อเนื่องอย่างน้อยสัปดาห์ละ 3 ครั้ง เป็นเวลา 2 เดือน เป็นผู้กำกับดูแลเรื่อง การแปรงฟันของเด็กโดยเฉพาะ สามารถใช้ภาษาไทยได้ดี และยินยอมให้มีการตรวจคราบจุลินทรีย์บนผิวฟันเด็ก จำนวน 2 ครั้ง และเด็กที่จะเข้าร่วมงานวิจัย เป็นเด็กที่ไม่มีโรคประจำตัวหรือพฤติกรรมท่ีทำให้ไม่สามารถรับการ ตรวจฟันได้ เดก็ ไมม่ ีอาการเจ็บปวดฟันรนุ แรงในระหว่างชว่ งเวลา 2 เดอื นที่มีการวิจยั เคร่ืองมอื ทใี่ ช้ในการวจิ ยั เครื่องมือท่ใี ช้ในการศึกษาครัง้ นี้ แบ่งเป็น 2 สว่ นไดแ้ ก่ ส่วนท่ี 1 เครอ่ื งมือสำหรบั การดำเนินการวจิ ัย ประกอบด้วย 1.1 สื่อภาพกระบวนการแปรงฟันที่พัฒนาโดยศูนย์ทันตสาธารณสุขระหว่างประเทศภายใต้ความร่วมมือ ของผู้เชี่ยวชาญสหวิชาชีพที่เกี่ยวข้องกับการเรียนรู้ของเด็กที่มีความต้องการพิเศษ โดยสื่อภาพกระบวนการแปรง ฟันได้ถูกนำไปทดลองใช้กับผู้ปกครองเด็กที่มีความต้องการพิเศษในศูนย์การศึกษาพิเศษเขตการศึกษาที่ 8 จังหวดั เชียงใหม่ ในปี 2563 และประเมินผล พบว่า ผู้ปกครองจำนวน 26 คน มีความพึงพอใจมาก ร้อยละ 82.10 และ ผู้ปกครองร้อยละ 88.50 พบว่าเด็กมีความร่วมมือในระหว่างการแปรงฟันดขี ึ้น สังเกตจากการนิ่งขึ้น แปรงฟันนาน ขึ้น และแปรงฟันบ่อยขึ้น (Intercountry Centre For Oral Health, 2019) โดยสื่อภาพกระบวนการแปรงฟันชุด นี้ ได้มีการมุ่งเน้นออกแบบให้สอดคล้องกับการเรียนรู้ของเด็กที่มีความบกพร่องทางการสื่อสารและการเรียนรู้ ซึ่ง เด็กกล่มุ นเี้ รียนรไู้ ดจ้ ากการใชส้ ายตาในการจดจำสิ่งต่าง ๆ มากกวา่ การใชห้ ฟู ัง สอดคลอ้ งกับหลกั การ TEACCH ท่ี นำขั้นตอนการแปรงฟันมาทำให้เป็นขั้นตอนย่อย ทีละขั้นตอน เหมาะกับเด็กที่สามารถจดจ่อได้ทีละหนึ่งอย่าง ตามหลักการนี้เด็กจะสามารถรับรู้ว่าการแปรงฟันจะจบเมื่อไหร่ ลดโอกาสความไม่ร่วมมือจากการรอคอย สื่อนี้ยัง ออกแบบให้มีลักษณะไม่ดึงดูดสายตาของเด็กออกนอกประเด็นที่กำลังสื่อสารในแต่ละขั้นตอนตามกระบวนการ TEACCH ทั้งยังต้องมีสีสันและรูปภาพสมวัย กระตุ้นเด็กให้มีความสนใจในการแปรงฟัน และสามารถใช้พูดคุย วารสารวิชาการสขุ ภาพภาคเหนือ ปีที่ 9 ฉบับท่ี 1 เดือน มกราคม – มิถนุ ายน 2565 Journal of Health Sciences Scholarship January - June 2022, Vol.9 No.1
166 วารสารวิชาการสุขภาพภาคเหนือ (Journal of Health Sciences Scholarship) สื่อสารได้ทั้งกับเด็กกลุ่มที่เข้าใจภาษาและไม่เข้าใจภาษา ทั้งนี้ในเด็กที่ยังแปรงฟันเองไม่ได้ สื่อยังสามารถเป็น แนวทางแก่ผู้ปกครองในการแปรงฟันแก่เด็กอย่างถูกวิธี และใช้สอนขั้นตอนการแปรงฟันแก่เด็กที่พร้อมแปรงฟัน ด้วยตนเองได้ และสิ่งที่สำคัญคือ เนื้อหาต้องไม่ยากจนเกินไปที่เด็กจะเข้าใจได้ ใช้คำชัดเจน ไม่เปรียบเปรย และ ตรงไปตรงมา สื่อภาพกระบวนการแปรงฟันชุดนี้มีลักษณะเป็นแผ่นกระดาษขนาด 63*29.70 ซม. ปริ้นท์สีพร้อมเคลือบ ด้วยลามิเนตใส (ดังแสดงในรูปภาพ 1) มีข้อมูลสามส่วน คือ ปริมาณยาสีฟันที่มีผลูออไรด์ที่เหมาะสมตามวัย บริเวณผิวฟันที่ต้องได้รับการเน้นย้ำใหไ้ ด้รับการแปรง และลำดับการแปรงฟันตามตำแหนง่ ฟันแต่ละบริเวณในช่อง ปาก โดยภาพจะแบ่งฟันท้ังปากออกเป็น 6 บริเวณ และลิ้นอีก 1 บริเวณ รวมเป็น 7 ตำแหน่ง ซึ่งจะมีภาพหน้า ตุก๊ ตาอา้ ปากเห็นฟันทุกซต่ี ิดกาวหนามเตยในชอ่ งสี่เหลย่ี มตามลำดับจากบนลงล่าง ตุ๊กตาแตล่ ะลำดับจะมีสบี นซ่ฟี ัน ตรงกับบริเวณที่กำลังแปรง เช่น ลำดับที่1 แปรงฟันบนขวา สีของซี่ฟันบนภาพตุ๊กตาตำแหน่งที่ตรงกันจะมีสีเขียว เช่นเดียวกับตำแหน่งซี่ฟันอื่นๆในลำดับถัดไป การทำให้สีซี่ฟันมีสีเขียวเด่นชัดทำให้เด็กได้จดจ่อกับซี่ฟันที่กำลัง แปรงโดยมีภาพประกอบวธิ กี ารใช้งานอยา่ งละเอยี ดที่ตดิ ไว้ดา้ นหลัง (ดังแสดงในรปู ภาพ 3) ผู้ปกครองจะได้รับการสอนวิธีการใช้สื่อภาพกระบวนการแปรงฟันผ่านการสาธิต และการดูวิดีโอวิธีสาธิต การใช้สื่อภาพ พร้อมซักถามตอบข้อสงสัย รวมเป็นเวลา 30 นาที และถูกขอให้นำสื่อภาพกระบวนการแปรงฟันน้ี ไปใช้ในการพูดคุยสื่อสารกับเด็กในระหว่างแปรงฟันที่บ้าน ผ่านข้อมูลในส่ือภาพ โดยให้ผู้ปกครองเริ่มต้นจากการ แนะนำสื่อให้เด็กได้รู้จัก ผ่านการจัดวางสื่อภาพติดกับผนังในบริเวณที่เด็กมองเห็นในระดับสายตา (ดังแสดงใน รูปภาพ 2) และเป็นบริเวณที่มีการแปรงฟันเป็นประจำ พร้อมกับกระตุ้นให้เด็กมีส่วนร่วมกับการแปรงฟัน ได้แก่ การบีบยาสีฟันตามภาพ สำหรับเดก็ เลก็ หรือเดก็ โตท่ีต่อต้านการแปรงฟนั ผปู้ กครองจะเปน็ ผูแ้ ปรงฟันให้ตามลำดบั ภาพ สำหรับเดก็ โตหรือเดก็ ทไ่ี ม่ตอ่ ต้านการแปรงฟนั เด็กจะเปน็ ผูจ้ ับแปรงฟันสีฟันเอง ผู้ปกครองทำการช้ีนำลำดบั การแปรงฟันเริ่มต้นจากตำแหน่งฟันบนขวา เมื่อแปรงฟันลำดับนี้ทั้งด้านนอกและด้านในของผิวฟันครบถ้วนอย่าง นอ้ ย 20 วินาที ผู้ปกครองตอ้ งกระต้นุ ให้เด็กย้ายภาพตุก๊ ตาลำดบั ทแี่ ปรงฟนั เสร็จแลว้ ไปไวบ้ นชอ่ งตารางขาวดำด้าน ขวามือและกลับมาแปรงฟันตามลำดับ ทำอย่างนี้ในทุกลำดับจนครบ 7 ลำดับ ช่วงเวลาในการแปรงฟันทั้งหมดจะ ไมน่ ้อยกว่า 2 นาที โดยขอให้ใช้สื่อภาพอยา่ งน้อยสปั ดาหล์ ะ 3 วนั ในระหว่างแปรงฟนั ท่ีบา้ น เป็นเวลาต่อเนอื่ ง 2เดือน วารสารวชิ าการสุขภาพภาคเหนือ ปีที่ 9 ฉบบั ท่ี 1 เดอื น มกราคม – มิถุนายน 2565 Journal of Health Sciences Scholarship January - June 2022, Vol.9 No.1
167 วารสารวิชาการสุขภาพภาคเหนือ (Journal of Health Sciences Scholarship) รูปภาพที่ 2 แสดงตัวอยา่ งการใชส้ ื่อภาพ กระบวนการแปรงฟันทีบ่ ้าน รปู ภาพที่ 1 แสดงตวั อยา่ ง รปู ภาพที่ 3 แสดงตวั อยา่ งคำแนะนำสำหรับผู้ปกครอง สื่อภาพกระบวนการแปรงฟัน ในการส่ือภาพกระบวนการแปรงฟัน 1.2 วดิ ีโอสาธติ วิธกี ารใชส้ อ่ื ภาพกระบวนการแปรงฟัน นอกจากการสาธิตด้วยการอธิบายและฝึกใช้แล้ว ยังให้ผู้ปกครองได้ดูวิดีโอสาธิตการใช้สื่อภาพในบ้านโดย ละเอียด ตั้งแต่การกระตุ้นความสนใจสื่อภาพ การบีบยาสีฟัน การจัดท่าทางการแปรงฟัน เทคนิคการเปิดกระพุ้ง แก้มช่วยเด็กขณะแปรงฟันด้านใน ตลอดจนข้อสังเกตที่สำคัญในการแปรงฟัน สำหรับการแปรงฟันทั้งเด็กเล็กและ เด็กโต เพื่อให้ผู้ปกครองเห็นภาพกระบวนการใช้อย่างละเอียด ซึ่งสามารถดูซ้ำได้โดยการสแกนคิวอาร์ที่ติดอยู่บน มมุ ภาพด้านล่างซ้าย สว่ นท่ี 2 เคร่ืองมอื สำหรบั การรวบรวมขอ้ มลู ประกอบด้วย 2.1 แบบสมั ภาษณข์ ้อมลู จากผปู้ กครอง ประกอบดว้ ย ข้อมลู ท่ัวไปของผู้ปกครองและเดก็ ข้อมูลด้านทนั ตสุขภาพของเด็ก 2.2 แบบสัมภาษณ์ผู้ปกครองเกี่ยวกับข้อมูลพฤติกรรมการแปรงฟันที่บ้านของเด็กที่ผู้วิจัยพัฒนามาจาก การทบทวนวรรณกรรม มีจำนวน 6 ข้อ และตรวจสอบและให้ข้อเสนอแนะโดยผู้เชี่ยวชาญด้านสื่อภาพสำหรับเดก็ วารสารวชิ าการสขุ ภาพภาคเหนือ ปีที่ 9 ฉบับที่ 1 เดือน มกราคม – มถิ ุนายน 2565 Journal of Health Sciences Scholarship January - June 2022, Vol.9 No.1
168 วารสารวิชาการสุขภาพภาคเหนอื (Journal of Health Sciences Scholarship) พิเศษ จากนั้นทดสอบความตรงตามเนื้อหา (Content Validity) โดยการคำนวณดัชนีความตรงตามเนื้อหา (Content Validity Index; CVI) มีค่า = 0.90 2.3 แบบสัมภาษณเ์ กย่ี วกับทศั นคติของผู้ปกครอง ท่ผี ู้วจิ ยั พัฒนามาจากการทบทวนวรรณกรรมตรวจสอบ และใหข้ ้อเสนอแนะโดยผู้เชย่ี วชาญดา้ นสอื่ ภาพสำหรับเด็กพเิ ศษ จำนวน 12 ข้อ 2.4 แบบบันทึกปริมาณคราบจุลินทรีย์ผิวฟันหน้าบนด้านริมฝีปากที่เห็นด้วยตาเปล่าก่อนและหลังการใช้ ส่ือภาพ ตามแนวทางการตรวจปรมิ าณคราบจลุ ินทรียใ์ นงานวจิ ยั ของ Pilebro & Backman (2005) การวิเคราะหข์ อ้ มลู ใช้การวิเคราะห์ในรูปแบบสถิติเชิงพรรณนา (descriptive statistics) สำหรับข้อมูลทั่วไป แสดงเป็น จำนวนรอ้ ยละ คา่ เฉล่ยี และสว่ นเบ่ียงเบนมาตรฐาน และวิเคราะหค์ วามแตกต่างของข้อมูลคา่ เฉลีย่ คราบจุลินทรีย์ และค่าเฉล่ยี ความร่วมมือก่อนและหลังการใช้ส่ือภาพกระบวนการแปรงฟนั โดยใช้สถิติ Wilcoxon ranksum test เนื่องจากข้อมูลมีการประจายแบบไม่เป็นโคง้ ปกติ และวิเคราะห์ความแตกต่างจำนวนและรอ้ ยละของเด็กที่มีความ สมบรู ณใ์ นการแปรงฟันโดยใชส้ ถิติ fisher’s exact test การพิทักษ์สทิ ธ์ิกลุ่มตัวอย่างและจรยิ ธรรมการวจิ ัย การวิจัยนี้ได้รับการรับรองจากคณะกรรมการพิทักษ์สิทธิ์สวัสดิภาพและป้องกันภยันตรายของผู้ถูกวิจัย ศูนย์อนามยั ท่ี 1 เชียงใหม่ โดยได้รบั อนุมัตเิ ม่อื วันที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2563 อา้ งองิ เลขเอกสารรหัสโครงการวิจัย 38/2563 ผลการวจิ ัย ผู้วิจัยได้รวบรวมข้อมูลจากการสัมภาษณ์และการตรวจคราบจลุ ินทรีย์ผิวฟันหน้าบนด้านริมฝีปากของเดก็ ที่มีความต้องการพิเศษ จำนวน 32 คู่ และทุกคู่สามารถเข้าร่วมการวิจัยจนเสร็จสิ้น โดยข้อมูลทั่วไปของผู้ปกครอง ที่เข้าร่วมงานวิจัยเป็นดังน้ี มีอายุเฉลี่ย 43.20 มีอาชีพแม่บ้านมากที่สุด ร้อยละ 25.00 และมีการศึกษาระดับ ปริญญาตรีมากที่สุดร้อยละ 46.90 ส่วนเด็กที่เข้าร่วมงานวิจัย มีอายุเฉลี่ย 11.20 ปี เป็นบุคคลออทิสติกมากที่สุด ร้อยละ 59.40 มรี ะดบั การสอ่ื สารระดับเข้าใจภาษาสามารถพูดเป็นประโยคมากทส่ี ุด ร้อยละ75.00 ได้รบั การรกั ษา ทางทันตกรรมเฉพาะเมื่อมีอาการเท่านั้น ร้อยละ 43.80 และไม่เคยรับการรักษาทางทันตกรรมเลย ร้อยละ 28.10 เคยมีประสบการณ์การใช้สื่อภาพในครอบครัว ร้อยละ 62.50 และเด็กมีพฤติกรรมแปรงฟันด้วยตนเอง จำนวน 31 คน โดย 11 คน แปรงฟนั โดยไมม่ ผี ูป้ กครองกำกบั ดูแล ร้อยละ 34.40 วารสารวชิ าการสขุ ภาพภาคเหนือ ปที ี่ 9 ฉบับที่ 1 เดือน มกราคม – มถิ นุ ายน 2565 Journal of Health Sciences Scholarship January - June 2022, Vol.9 No.1
169 วารสารวิชาการสุขภาพภาคเหนือ (Journal of Health Sciences Scholarship) ตารางที่ 1 การเปลีย่ นแปลงของปรมิ าณคราบจลุ ินทรียใ์ นเดก็ กลุ่มตวั อยา่ งหลังการใช้ส่อื ภาพกระบวนการแปรง ฟัน (n=32) ปรมิ าณคราบจลุ ินทรีย์ หลงั การใชส้ อ่ื ฯ จำนวน รอ้ ยละ กลมุ่ ที่มีคราบจลุ นิ ทรีย์ลดลง กลุ่มทม่ี คี ราบจลุ นิ ทรียไ์ ม่เปลย่ี นแปลง 21 65.60 กลมุ่ ทม่ี คี ราบจลุ นิ ทรยี ์เพ่ิมขึน้ 6 18.80 5 15.60 จากตารางที่ 1 ผลการเปลี่ยนแปลงคราบจุลินทรีย์ของเด็กหลังการใช้สื่อภาพกระบวนการแปรงฟันที่บ้าน พบวา่ ร้อยละ 65.60 (จำนวน 21 คน) มคี ราบจลุ ินทรยี เ์ ฉล่ยี ลดลง ร้อยละ 18.80 (จำนวน 6 คน) มีคราบจุลินทรีย์ ไมเ่ ปลย่ี นแปลง และร้อยละ 15.60 (จำนวน 5 คน) มีคราบจุลนิ ทรยี เ์ พิม่ ข้ึน ตารางที่ 2 ค่าเฉล่ียปริมาณคราบจุลินทรยี ์ผิวฟันหน้าบนก่อนและหลังใชส้ ือ่ ภาพกระบวนการแปรงฟนั เป็นเวลา2เดอื น(n=32) ปรมิ าณคราบจุลินทรยี ์ กอ่ นการใช้สือ่ ฯ หลังการใชส้ อื่ ฯ P-value คา่ เฉลย่ี คราบจุลินทรยี ์ Mean S.D. Mean S.D. <.001 1.20 0.50 0.80 0.60 จากตารางที่ 2 เมื่อเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยของคราบจุลินทรีย์ผิวฟันหน้าบนพบว่าค่าเฉลี่ยปริมาณคราบ จุลนิ ทรียห์ ลังการใช้ส่ือภาพกระบวนการแปรงฟันของเด็กลดลงอยา่ งอยา่ งมนี ยั สำคญั ทางสถติ ทิ ่ี P < .001 ตารางที่ 3 จำนวนและรอ้ ยละของเด็กทมี่ คี วามสมบรู ณ์ในการแปรงฟัน ก่อนและหลังใชส้ อ่ื ภาพกระบวนการแปรง ฟัน จากการสังเกตของผ้ปู กครอง เป็นเวลา 2 เดอื น (n=32) ความสมบรู ณใ์ นการแปรงฟนั ของ ก่อนการใช้สอ่ื ฯ หลังการใชส้ ือ่ ฯ p-value เด็กทีม่ ีความตอ้ งการพเิ ศษ จำนวน รอ้ ยละ จำนวน ร้อยละ <.001 แปรงได้ครบทุกซ่ี 10 31.30 17 53.10 <.001 แปรงได้ครบทกุ ดา้ น 9 28.10 13 40.60 .002 แปรงได้นานอยา่ งน้อย 2 นาที 14 43.80 23 71.90 .057 แปรงทุกวัน วันละ 2 ครัง้ 31 96.90 32 100.00 วารสารวชิ าการสขุ ภาพภาคเหนือ ปีที่ 9 ฉบบั ที่ 1 เดือน มกราคม – มถิ นุ ายน 2565 Journal of Health Sciences Scholarship January - June 2022, Vol.9 No.1
170 วารสารวิชาการสขุ ภาพภาคเหนือ (Journal of Health Sciences Scholarship) จากตารางที่ 3 ผลความสมบูรณ์ในการแปรงฟันก่อนและหลังการทดลอง พบว่า พฤติกรรมการแปรงฟัน ของเด็กมีความสมบรู ณ์มากขึน้ หลังใช้สื่อภาพกระบวนการแปรงฟันจากการสังเกตของผู้ปกครอง โดยจำนวนเด็กที่ แปรงฟันครบทุกซี่เพิ่มขึ้นจากก่อนการเข้าร่วมการศึกษา จากร้อยละ 31.30 เป็นร้อยละ 53.10 อย่างมีนัยสำคัญ ทางสถิติ p<.001 เด็กกลุ่มตัวอย่างแปรงฟันได้ครบทุกด้านเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 28.10 เป็นร้อยละ 40.60 อย่างมี นัยสำคญั ทางสถติ ิ p<.001 กลุ่มตวั อยา่ งแปรงฟนั ได้นานอยา่ งนอ้ ย 2 นาที เพิ่มข้ึนจากร้อยละ 43.80 เปน็ ร้อยละ 71.90 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ p=.002 และแปรงฟันทุกวันอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 96.90 เป็นรอ้ ยละ 100 แต่อยา่ งไมม่ นี ัยสำคญั ทางสถติ ิ p=.057 ตารางท่ี 4 การความเปลย่ี นแปลงทางพฤติกรรมการแปรงฟันของเดก็ ที่มีความตอ้ งการพิเศษหลงั ใชส้ อื่ ภาพ กระบวนการแปรงฟนั จากการสังเกตของผปู้ กครอง เปน็ เวลา 2 เดือน สิง่ ทศ่ี กึ ษา จำนวน ร้อยละ ปฏกิ ริ ยิ าการตอบโตข้ องเด็กต่อสอื่ ภาพฯ 25 78.10 พยายามเรียนรู้ ทำตาม แตไ่ ม่ย้ายภาพสมำ่ เสมอ 6 18.80 พยายามเรียนรู้ ทำตาม และยา้ ยภาพสมำ่ เสมอ 1 3.10 ไมส่ นใจดสู อื่ ภาพ ต่อต้าน ลักษณะพฤติกรรมการแปรงฟันทเ่ี ปล่ียนแปลงไปอย่างชดั เจน 31 96.90 มีพฤติกรรมการแปรงฟนั ทีด่ ีขน้ึ 1 3.10 ยอมอ้าปากใหผ้ ู้ปกครองแปรงทกุ คร้ังจากที่ไมย่ อมอ้าปากเลย 1 3.10 เริม่ ฝกึ แปรงเองจากทไี่ ม่ยอมฝกึ ด้วยตนเอง (อาย1ุ 5) 15 46.90 แปรงฟนั นานขน้ึ 17 53.10 มวี ินยั รู้เวลาในการแปรงฟนั เรียกแล้วมาแปรงฟันทนั ที 24 75.00 แปรงฟันอย่างมแี บบแผนไม่สะเปะสะปะ 14 43.80 สื่อสารกบั ผปู้ กครองได้ดีขึ้น เชน่ ชี้บอกจดุ ที่แปรงไมส่ ะอาดได้งา่ ยขึน้ 2 6.30 หมุนขอ้ มอื ได้ดขี นึ้ 1 3.10 พฤติกรรมไมเ่ ปลี่ยนแปลง จากตารางท่ี 4 พบว่า เด็กมีพฤติกรรมการแปรงฟันเป็นไปในทางที่ดีขึ้น ร้อยละ 96.90 โดย เด็กมี พฤติกรรมการแปรงฟันท่มี ีระเบยี บแบบแผนมากข้นึ ร้อยละ 75.00 เดก็ แปรงฟันนานข้นึ ร้อยละ 46.90 เด็กมีวนิ ัย ในการแปรงฟันเป็นประจำมากขึ้น ร้อยละ 53.10 และเด็กสามารถรับการส่ือสารจากผู้ปกครองได้ดีขึ้น เช่น เข้าใจ วารสารวิชาการสขุ ภาพภาคเหนือ ปีท่ี 9 ฉบับที่ 1 เดอื น มกราคม – มิถุนายน 2565 Journal of Health Sciences Scholarship January - June 2022, Vol.9 No.1
171 วารสารวิชาการสขุ ภาพภาคเหนือ (Journal of Health Sciences Scholarship) การชี้บอกจุดที่แปรงไม่สะอาดได้ง่ายขึ้น ร้อยละ 43.80 นอกจากนี้ยังพบว่าเด็ก 1 คนที่ไม่ยอมอ้าปากเพื่อรับการ แปรงฟัน สามารถให้ความร่วมมือจนถึงขั้นตอนการแปรงฟันซี่ในสุดได้เป็นประจำทุกวัน เด็ก 2 คน สามารถหมุน ข้อมือได้ดีขึ้น และเด็ก 1 คน ยอมรับเริ่มฝึกแปรงฟันด้วยตนเองจากเดิมที่ยอมให้ผู้ปกครองเป็นผู้แปรงฟันให้ เท่านนั้ ตารางที่ 5 ค่าเฉลยี่ ความรว่ มมอื ในการแปรงฟนั ที่บา้ นกอ่ นและหลงั ใช้สอื่ ภาพกระบวนการแปรงฟนั จากการสังเกต ของผูป้ กครอง เปน็ เวลา 2 เดอื น (n=32) ความรว่ มมอื ในการแปรงฟนั ที่บ้าน กอ่ นการใชส้ ่ือฯ หลังการใชส้ อื่ ฯ P-value Mean S.D. Mean S.D. .002 3.10 0.80 ค่าเฉลีย่ ความรว่ มมือในการแปรงฟันท่บี ้าน 2.90 0.90 จากตารางท่ี 5 ผลการเปรียบเทียบความร่วมมือของเด็กในการแปรงฟันที่บ้านก่อนและหลังการทดลองมี ค่าเพิม่ ขน้ึ อยา่ งมนี ยั สำคญั ทางสถิติ (p = .002) ทัศนคติของผู้ปกครองหลังการใช้สื่อภาพกระบวนการแปรงฟันที่บ้าน พบว่า ผู้ปกครองเห็นว่าสื่อภาพ กระบวนการแปรงฟันมีส่วนช่วยฝึกเด็กให้แปรงฟันด้วยตนเองหรือทำให้เด็กได้รับการแปรงฟันได้อย่างถูกต้องมาก ขึ้น จำนวน 30 คน คิดเป็น ร้อยละ 93.80 และสังเกตเห็นวา่ เด็กมคี วามเข้าใจความหมายในสื่อภาพได้ จำนวน 29 คน คิดเป็น ร้อยละ 90.60 ผู้ปกครองเห็นด้วยว่าสื่อภาพกระบวนการแปรงฟันนี้มีประโยชน์ จำนวน 31 คน คิด เป็น ร้อยละ 96.90 และจะใช้สื่อภาพกระบวนการแปรงฟันน้ีต่อไปในอนาคต จำนวน 29 คน คิดเป็น ร้อยละ 90.60 ดังแสดงในตารางท่ี 6 ตารางท่ี 6 ทศั นคตขิ องผู้ปกครองหลงั การใชส้ ่ือภาพกระบวนการแปรงฟนั ท่ีบา้ นเป็นเวลา 2 เดือน สิ่งทีศ่ กึ ษา จำนวน ร้อยละ มสี ว่ นชว่ ยฝึกเด็กให้แปรงฟันดว้ ยตนเองหรอื ทำใหเ้ ดก็ ได้รับการแปรงฟันได้ 30 93.80 อย่างถูกตอ้ งมากข้นึ เดก็ มีความเข้าใจความหมายในสอื่ ภาพได้ 29 90.60 ส่อื ภาพกระบวนการแปรงฟนั นมี้ ปี ระโยชน์ 31 96.90 จะใช้สอ่ื ภาพกระบวนการแปรงฟนั นตี้ อ่ ไปในอนาคต 29 90.60 วารสารวิชาการสขุ ภาพภาคเหนือ ปที ี่ 9 ฉบบั ท่ี 1 เดือน มกราคม – มถิ นุ ายน 2565 Journal of Health Sciences Scholarship January - June 2022, Vol.9 No.1
172 วารสารวชิ าการสขุ ภาพภาคเหนอื (Journal of Health Sciences Scholarship) อภิปรายผล งานวิจัยนี้แสดงให้เห็นว่า สื่อภาพกระบวนการแปรงฟันกระตุ้นการเรียนรู้เรื่องการแปรงฟันของเด็กที่มี ความต้องการพิเศษที่บ้านโดยมีผู้ปกครองคอยกำกับดูแลตามกระบวนการแปรงฟันร่วมกับสื่อภาพ ดังนี้ คือ สร้าง ความคุ้นเคยระหว่างเด็กกับสื่อภาพ กระตุ้นให้เด็กมีส่วนร่วมกับการแปรงฟันเช่นการบีบยาสีฟัน กระตุ้นให้เด็ก แปรงฟันตามลำดับภาพ อย่างน้อยลำดับละ 20 วินาที และกระตุ้นให้เด็กย้ายภาพตุ๊กตาในลำดับที่แปรงฟันเสร็จ แล้ว ไปไว้บนช่องตารางขาวดำด้านขวามือ และกลับมาแปรงฟันตามลำดับ จนครบ 7 ลำดับ โดยผู้ปกครองช่วยใน การเปิดกระพุ้งแก้มหรือทำการแปรงซ้ำในกรณีที่เห็นว่าเด็กแปรงได้ไม่ครบถ้วน อย่างสม่ำเสมออย่างน้อยสัปดาห์ ละ 3 วัน ในระหว่างแปรงฟันที่บ้าน เป็นเวลาต่อเนื่อง 2 เดือน ทำให้เด็กมีพฤติกรรมการแปรงฟันที่ดีขึ้น ได้แก่ การยอมอ้าปากทุกครั้งจากที่ไม่ยอมอ้าปากเลย เริ่มฝึกแปรงเองจากที่ไม่ยอมฝึกด้วยตนเอง แปรงฟันนานขึ้น มี วินัย รู้เวลาในการแปรงฟัน เรียกแล้วมาแปรงฟันทันที แปรงฟันอย่างมีแบบแผนไม่สะเปะสะปะ สื่อสารกับ ผู้ปกครองได้ดีขึ้น เช่น ชี้บอกจุดที่แปรงไม่สะอาดได้ง่ายขึ้น และหมุนข้อมือได้ดีขึ้น นอกจากนั้นปริมาณคราบ จุลินทรีย์บนผิวฟันก่อนและหลังการใช้สื่อภาพกระบวนการแปรงฟันที่บ้านยังมีค่าลดลง อีกทั้งการสื่อสารกับเด็กท่ี มีความต้องการพิเศษในเรื่องการแปรงฟันที่บ้านโดยใช้ภาพประกอบตามแนวหลักการ TEACCH นั้น มีความ เหมาะสม ตรงกับความต้องการของผู้ปกครองเพื่อช่วยดูแลและฝึกฝนการแปรงฟันแก่เด็กโดยเฉพาะในกลุ่มที่มี พัฒนาการทางด้านภาษาในระดับที่เข้าใจประโยคได้ แม้จะไม่สื่อสารเป็นประโยคก็ตาม ซึ่งจะสามารถเห็นการ เปล่ยี นแปลงด้านการแปรงฟนั ดว้ ยตนเองอยา่ งชัดเจน อย่างไรก็ตาม ในทางปฏิบตั ิแล้ว การแปรงฟันยังคงเป็นเรื่อง ที่ผู้ปกครองต้องลงมือแปรงฟันแก่เด็กด้วยตนเองก่อน แต่สื่อภาพกระบวนการแปรงฟันนี้ก็ยังคงมีบทบาทสำคญั ใน การสร้างความตระหนักแก่ผู้ปกครองและกระตุ้นให้กำกับดูแลการแปรงฟันอย่างละเอียด ทุกขั้นตอน และมีความ อดทนในการควบคมุ ดูแลการแปรงฟนั เปน็ ประจำแก่เด็กรวมถึงเปน็ เคร่ืองหมายที่ย้ำเตอื นถึงการใหค้ วามสำคัญของ การดแู ลสขุ ภาพชอ่ งปากของเดก็ ทมี่ ีความตอ้ งการพิเศษในบา้ นอีกดว้ ย นอกจากนี้ จากข้อมูลในงานวิจัยนี้ที่พบว่าผู้ปกครองร้อยละ 62.50 จบการศึกษาระดับปริญญาตรีขึ้นไป ใน จำนวนนี้ จำแนกเป็นผู้ที่จบการศึกษาระดับปริญญาจำนวน 15 คน และปริญญาโทหรือสูงกว่าจำนวน 5 คน) ซึ่ง ค่าเฉลย่ี ความรอบรู้ดา้ นสขุ ภาพเพ่ิมขึ้นเม่ือระดบั การศกึ ษาสูงข้ึน (Roma et al. 2019) อาจกลา่ วไดว้ ่าผู้ปกครองที่ มีการศึกษาสูงขึ้นมีแนวโน้มใช้สื่อภาพกระบวนการแปรงฟันที่บ้านได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตรงกับการศึกษาก่อน หน้านี้ที่พบว่า ระดับการศึกษามีผลต่อความรู้ของผู้ดูแลเด็กพิเศษ และความรู้มีผลต่อทัศนคติในการดูแลสุขภาพ ชอ่ งปากเด็กพิเศษ (Liu et al., 2017) แม้ว่าผลการวิจัยทำให้เห็นแนวโน้มที่ดีขึ้นเรื่องการแปรงฟันด้วยตนเองที่บ้าน ภายใต้การกำกับดูแลของ ผ้ปู กครอง อย่างไรก็ตาม ไมส่ ามารถกล่าวไดว้ า่ สื่อภาพกระบวนการแปรงฟันที่ตดิ ไว้ในหอ้ งน้ำของแตล่ ะบา้ นจะเป็น ปัจจัยสำคัญอย่างเดียวที่ทำให้เด็กแปรงฟันได้ด้วยตนเอง โดยไม่ต้องพึ่งพาคำแนะนำจากผู้ปกครองอีกต่อไป เนื่องจากการศึกษานี้เป็นการศึกษาความเปลี่ยนแปลงในระยะเวลาเพียง 2 เดือน การติดตามผลในระยะเวลานาน วารสารวิชาการสขุ ภาพภาคเหนือ ปที ่ี 9 ฉบบั ที่ 1 เดือน มกราคม – มถิ นุ ายน 2565 Journal of Health Sciences Scholarship January - June 2022, Vol.9 No.1
173 วารสารวิชาการสขุ ภาพภาคเหนือ (Journal of Health Sciences Scholarship) ขึ้นอาจให้ผลแตกต่างจากนี้ นอกจากนี้ยังพบว่าเด็กบางคนยังมีระดับคราบจุลินทรีย์ที่ยังไม่เปลี่ยนแปลง แม้ว่า ผู้ปกครองจะมีทัศนคติที่ดตี ่อการใชส้ ื่อภาพกระบวนการแปรงฟันท่ีบา้ น จึงกล่าวได้ว่าสื่อน้ีเป็นปัจจยั สำคัญในการ ช่วยสื่อสารเรื่องการแปรงฟันระหว่างผู้ปกครองและเด็ก สำหรับเด็กที่มีความต้องการพิเศษแม้ว่าจะมีพัฒนาการ การแปรงฟันที่ดีขึ้นตามละดับแต่ก็ยังต้องได้รับการกำกับดูแล เพื่อให้พัฒนาถึงจุดที่เทียบเท่าผู้ใหญ่ปกติ จึงจะ สามารถปรับวิธีการโดยให้เด็กดูแลตนเองได้อยา่ งถาวร (Khoomyat et al., 2015) ขอ้ เสนอแนะเพอ่ื การนำผลการวจิ ยั ไปใช้ 1. สื่อภาพกระบวนการแปรงฟันที่ได้จากการพัฒนาครั้งนี้สามารถนำมาเป็นต้นแบบเพื่อพัฒนารูปแบบส่ือ ภาพเพื่อการเรียนรู้และสื่อสารสำหรับเด็กที่มีความต้องการพิเศ ษในประเด็นอื่นที่เกี่ยวข้องกับทักษะการใช้ ชีวิตประจำวัน เช่น การอาบน้ำ การแต่งตัว และการทานอาหาร เป็นต้น รวมไปถึงการเรียนรู้และปฏิบัติตาม ขั้นตอนที่ยากขึ้นไปกว่าชีวิตประจำวัน เช่น การรับการรักษาทางทันตกรรม เป็นต้น โดยเฉพาะกลุ่มเด็กออทิสตกิ ท่ี มอี ปุ สรรคและความทา้ ทายแก่ผู้ดูแลในการสอื่ สารมากทส่ี ดุ 2. นำผลการวิจัยไปสู่รูปแบบบริการส่งเสริมป้องกันสุขภาพช่องปากพื้นฐานแก่ครอบครัวเด็กที่มีความ ต้องการพิเศษเพื่อเพิ่มศักยภาพผู้ปกครองและเด็กในการดูแลความสะอาดช่องปาก โดยเฉพาะหน่วยงานท่ี เกี่ยวข้องกับการพัฒนาศักยภาพเด็กที่มีความต้องการพิเศษควรมีการสนับสนุนงบประมาณและส่งเสริมการดูแล อย่างทว่ั ถึงและครอบคลมุ ข้อเสนอแนะในการศึกษาวจิ ยั ครัง้ ต่อไป ควรมีการศึกษาเพิ่มเติมในประเด็นของผลลัพธ์ที่เกิดจากการใช้สื่อภาพกระบวนการแปรงฟัน เช่น การ เปรียบเทียบความสะอาดของผิวฟันของเด็กออทิสติกที่ได้รับการดูแลกระบวนการแปรงฟันที่บ้านโดยผู้ปกครอง ตามปกติ กับ กลุ่มที่ได้รับสื่อภาพกระบวนการแปรงฟันเข้ามาช่วยในการสื่อสารกระบวนการแปรงฟันที่บ้าน และ ควรขยายเวลาการศกึ ษาต่อเนือ่ งมากขนึ้ เอกสารอา้ งองิ Alkhabuli, J.O.S., Essa, E.Z., Al-Zuhair, A.M., Jaber, A.A. (2019). Oral health status and treatment needs for children with special needs: a cross-sectional study. Pesquisa Brasileiraem odontopediatria e clínica integrada. 19(4877), 1-10. Backman, B., Pilebro, C. (1999). Visual pedagogy in dentistry for children with autism. Journal of Dentistry for Children. 66, 325-331. วารสารวิชาการสุขภาพภาคเหนือ ปที ี่ 9 ฉบับท่ี 1 เดือน มกราคม – มิถุนายน 2565 Journal of Health Sciences Scholarship January - June 2022, Vol.9 No.1
174 วารสารวิชาการสขุ ภาพภาคเหนอื (Journal of Health Sciences Scholarship) Bureau of Dental Health. (2018). Report on the results of the 8th National Oral Health Survey, Thailand 2017, 1st edition, Nonthaburi: Sam Charoen Panich. (in Thai). Campanaro, M., Huebner, C.E., Devis, B.E. (2014). Facilitators and barriers to twice daily tooth brushing among children with special health care needs.SpecialCareinDentistry.34(4),185-92. Curnow, M.M., Pine, C.M., Burnside, G., Nicholson, J.A. (2002). A randomized controlled trial of the efficacy of supervised tooth brushing in high-caries-risk children. Caries Research. Jul-Aug; 36(4), 294-306. Department of health and human services. (2002). Closing the gap: a national blueprint to improve the health of persons with mental retardation is a 2002 report of the surgeon general's conference on health disparities and mental retardation. (Online), Available: https://www.ncbi.nlm.nih.gov/books/NBK44346/. (2020, September 1). Department of Promotion and Development of the Quality of Life of Persons with Disabilities Ministry of Social Development and Human Security. (2019) Report on the situation of people with disabilities in Thailand. (Online), Available: https://www.m- society.go.th/ ewtadmin/ewt/mso_web/ewt_news.php?nid=15511. (2020, September 20). (in Thai). Gardens, S.J., et al. (2013). Oral health survey of 6–12-year-old children with disabilities attending special schools in Chennai, India. International Journal of Paediatric Dentistry. 24(6), 424-33. Hennequin, M., Moysan, V., Jourdan, D., Dorin, M., Nicolas, E. (2008). Inequalities in oral health for children with disabilities: a french national survey in special schools. PLoS ONE. 3(6), (1-11). Huebner, C.E., Riedy, C.A. (2010). Behavioral determinants of brushing young children’s teeth: implication for anticipatory guidance. Pediatric dentistry. 32, 48-55. Intercountry Centre For Oral Health (2019). Project report for developing dental health media for children with special needs. (Online), Available: article_20201005102714.pdf (moph.go.th). (2021, September 25). (in Thai). Khoomyat, P., Rujirojananun, P., Kongtaweelerd O., Limsomwong, P. (2015). Guidelines for dental management for special children. (Online),Available:https://th.rajanukul.go.th/_admin/file- download/5-4614-1450157545.pdf. (2020, October 25). (in Thai). วารสารวชิ าการสขุ ภาพภาคเหนือ ปีที่ 9 ฉบับท่ี 1 เดอื น มกราคม – มถิ นุ ายน 2565 Journal of Health Sciences Scholarship January - June 2022, Vol.9 No.1
175 วารสารวชิ าการสขุ ภาพภาคเหนือ (Journal of Health Sciences Scholarship) Lamba, R., Rajvanshi, H., Sheikh, Z., Khurana, M., Saha, R. (2015). Oral hygiene needs of special children and the effects of supervised tooth brushing. International Journal of Scientific Study. 3,30-35. Limsomwong, P. (2015). The application of a visual communication program in conjunction with dental services in children with autism. Rajanukul Journal. 30(1), 25-35. (in Thai). Makboon, K. (2019). Oral conditions and dental health behaviors of special children in kindergarten Suphanburi Panyanukul School, Suphan Buri Province. Thai Dental Nurse journal. 30(1), 1-14. (in Thai). Orellana, L.M., Sanchis, S.M., Silvestre, F.J. (2014). Training adults and Children with an autism spectrum disorder to be compliant with a clinical dental assessment using a TEACCH-based approach. Journal of Autism and Developmental Disorders.44, 776–785. Pilebro, C., Backman, B. (2005). Teaching oral hygiene to children with autism. International Journal of Paediatric Dentistry. 15, 1-9. Pine, C.M., Curnow, M.M., Burnside, G., Nicholson, J.A. (2000). An intervention program to establish 10Regular tooth brushing; understanding parent's belief and motivating children. International Dental Journal. 312-23. Roma, W., et al. (2019). The Thai Health Literacy Survey (THL-S) of Thais aged 15 years and above. Nonthaburi. Health Systems Research Institute. (in Thai). Shin, C.J., Saeed, S. (2013). Toothbrushing barriers for people with developmental disabilities: a pilot study. Special Care in Dentistry. 33(6), 269-74. วารสารวิชาการสุขภาพภาคเหนือ ปที ่ี 9 ฉบบั ท่ี 1 เดือน มกราคม – มิถนุ ายน 2565 Journal of Health Sciences Scholarship January - June 2022, Vol.9 No.1
Effectiveness of Herbal Knee Wraps together with Self- Care Promotion on Knee Pain, Walking Ability and Joint Mobility in the Elderly Osteoarthritis Wanida Intharacha 1*,Payom Tin-uan* ,Athit Wajeekarm** (Received: November 3, 2021, Revised: February 11, 2022, Accepted: April 4, 2022) Abstract Osteoarthritis is a common problem in the elderly which has an impact on health and lifestyle. This quasi-experimental research aimed to compare the degree of knee pain, walking ability, and joint mobility in elderly patients with osteoarthritis of the herbal knee wrap and promote self-care. Twenty-four participants recruited by using purposive sampling. Following the clinical trial at five days and two weeks, the participants who received a herbal knee mask to promote self-care were checked performs. The instrumental included the face rating scale, walking ability test (TUGT), and knee range of motion measurement tool (Goniometer), using one- way repeated measure ANOVA. The pre-trail mean post-test pain level (Mean = 7.04, S.D = 0.45) was significantly reduced (p.05), as were after five days (Mean= 3.08, S.D.= 0.53) and two weeks (Mean= 1.79, S.D.= 0.43) while the mean post-test range of left knee motion increased statistically significance (p<.05) compared to the mean pre-trails. However, the mean range of left knee motion and right knee after the experiment at pre-trail, after five days, and two weeks had not statically significant differences (p<.05). Although the mean score of walking ability after trail (Mean = 15.96, S.D = 0.75), after five days (Mean = 11.97, S.D = 0.46), and two weeks (Mean = 10.96, S.D = 0.32) was statistically decreases (p<.05), the mean score between five days and two weeks of trail had no statically significant (p<.05). This notices that promoting self-care in elderly patients with osteoarthritis using alternative medicine was self-reliant in promoting better quality of life. Keywords: Elderly with osteoarthritis; Herbal knee wraps; Knee pain; Walking ability; Joint mobility * Nurse Instructor, Boromarajjonani College of Nursing, Nakhon lampang, Faculty of Nursing, Praboromarajchanok Institute, Ministry of Public Health ** Thai Traditional Medicine, Thai Traditional Health Learning and Promotion Center Boromarajonani College of Nursing, Nakhon Lampang 1Corresponding author: wanidaintharacha @gmail.com โทร 0897561836 วารสารวิชาการสุขภาพภาคเหนอื ปที ่ี 9 ฉบบั ท่ี 1 เดอื น มกราคม – มิถนุ ายน 2565 Journal of Health Sciences Scholarship January-June 2022, Vol.9 No.1
ประสิทธผิ ลของการพอกเขา่ สมนุ ไพรรว่ มกับสง่ เสริมการดูแลตนเอง ตอ่ อาการปวดเข่า ความสามารถในการเดิน และการเคลื่อนไหวขอ้ ในผ้สู งู อายโุ รคขอ้ เข่าเสอื่ ม วนดิ า อนิ ทราชา1* ,พยอม ถ่ินอ่วน* ,อาทติ ย์ วจีกรรม** (วนั ท่ีรับบทความ : 3 พฤศจิกายน 2564 , วนั แกไ้ ขบทความ: 11 กมุ ภาพนั ธ์ 2565, วันตอบรบั บทความ: 4 เมษายน 2565) บทคดั ย่อ ภาวะข้อเข่าเส่ือมเป็นปัญหาท่ีพบบ่อยในผู้สูงอายุ ซึ่งมีผลกระทบต่อภาวะสุขภาพและการดาเนินชีวิต การศึกษาครั้งน้ีเป็นการวิจัยกึ่งทดลอง มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาประสิทธิผลของการพอกเข่าสมุนไพรร่วมกับ ส่งเสริมการดูแลตนเอง ต่ออาการปวดเข่า ความสามารถในการเดิน และการเคลื่อนไหวข้อในผู้สูงอายุโรคข้อเข่า เส่ือม กลุ่มตัวอย่างเป็นผู้สูงอายุได้รับการวินิจฉัยจากแพทย์ว่าเป็นโรคข้อเข่าเส่ือม จานวน 24 คน ซ่ึงได้รับการ พอกเข่าด้วยสมุนไพรและส่งเสริมการดูแลตนเอง วัดผลก่อนและหลังการทดลอง โดยใช้แบบประเมินระดับความ ปวดชนดิ ตวั เลข การทดสอบความสามารถในการเดิน และเคร่ืองมือวัดพสิ ัยการเคล่อื นไหวของข้อเข่า ผลการวิจัย พบว่า ค่าเฉล่ียระดับความปวดหลังการทดลองลดลงอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติ (p< .05) โดย ก่อนการทดลอง (Mean=7.04,S.D.= 0.456) ในระยะหลังการทดลอง 5 วัน (Mean=3.08, S.D.= 0.531 ) และ ในระยะหลังการทดลอง 2 สัปดาห์ (Mean=1.79, S.D.= 0.430 ) ค่าเฉล่ียของพิสัยการเคลื่อนไหวของข้อเข่าซา้ ย หลังการทดลองมีค่าเพ่ิมข้ึนอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติ (p< .05) โดยก่อนการทดลอง ค่าเฉลี่ย 55.92 คะแนน (S.D.= 3.253) หลังการทดลอง 5 วนั (Mean=66.42, S.D.= 3.44 ) และหลงั การทดลอง 2 สัปดาห์ (Mean=72.96 ,S.D.= 3.569 ) แต่ค่าเฉล่ียหลังการทดลอง 5 วัน กับ หลังการทดลอง 2 สัปดาห์ เพิ่มขึ้นอย่างไม่มีนัยสาคัญทาง สถิติ (p<.05) ค่าเฉลี่ยพิสัยการเคลื่อนไหวของข้อเข่าขวา หลังการทดลองมีค่าเพ่ิมข้ึนอย่างไม่มีนัยสาคัญทางสถิติ (p<.05) โดยก่อนการทดลอง (Mean=47.33,S.D.= 5.33 ) หลังการทดลอง 5 วัน (Mean=56.21 ,S.D.=6.11) และหลังการทดลอง 2 สัปดาห์ (Mean=64.42,S.D.=7.025) ค่าเฉล่ียของความสามารถในการเดินพบว่า ระยะเวลาการเดินหลังการทดลอง ลดลงอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติ (p<.05)โดยก่อนการทดลอง (Mean= 15.96,S.D.=0.75 ) หลังการทดลอง 5 วัน (Mean=11.97,S.D.=0.46 ) และหลังการทดลอง 2 สัปดาห์ (Mean= 10.96,S.D.=0.32 ) แต่คา่ เฉล่ยี หลังการทดลอง 5 วนั กบั หลังการทดลอง 2 สปั ดาห์ ลดลงอยา่ งไมม่ ีนยั สาคัญทาง สถิติ (p<.05) ผลการศึกษาคร้ังนี้ สามารถนาไปใช้ประโยชน์ได้ในการส่งเสริมการดูแลตนเองของผู้สูงอายุที่มี ปญั หาจากภาวะข้อเขา่ เสื่อมโดยใชแ้ พทย์ทางเลือก ซง่ึ ส่งผลใหผ้ สู้ ูงอายุสามารถพง่ึ พาตนเองได้และมีคุณภาพชวี ิตดีขึน้ คาสาคัญ : ผสู้ ูงอายุโรคขอ้ เข่าเสือ่ ม;การพอกเข่าด้วยสมุนไพร;อาการปวดเข่า;ความสามารถในการเดนิ ; การเคลื่อนไหวข้อ * อาจารยพ์ ยาบาล วทิ ยาลยั พยาบาลบรมราชชนนี นครลาปาง คณะพยาบาลศาสตร์ สถาบนั พระบรมราชชนก กระทรวงสาธารณสขุ **แพทยแ์ ผนไทย ศนู ยก์ ารเรยี นรแู้ ละส่งเสรมิ สุขภาพแผนไทย วิทยาลยั พยาบาลบรมราชชนนี นครลาปาง 1ผปู้ ระพันธบ์ รรณกจิ wanidaintharacha @gmail.com โทร 0897561836 วารสารวิชาการสุขภาพภาคเหนือ ปีที่ 9 ฉบบั ที่ 1 เดือน มกราคม – มิถุนายน 2565 Journal of Health Sciences Scholarship January-June 2022, Vol.9 No.1
178 วารสารวชิ าการสขุ ภาพภาคเหนอื (Journal of Health Sciences Scholarship) บทนา ปัจจุบันประเทศไทยมีแนวโน้มประชากรผู้สูงอายุเพ่ิมมากขึ้น และในปี พศ. 2564 ได้ก้าวเข้าสู่สังคมสงู วัย โดยสมบูรณ์ (Complete Aged Society) (Department of Elderly Affairs, 2019) วัยสูงอายุเป็นวัยแห่งความ เสอ่ื มของร่างกายและอวัยวะต่างๆ โรคกระดูกและข้อเป็นปัญหาสุขภาพท่ีพบมากในผสู้ ูงอายุ โดยเฉพาะโรคข้อเข่า เส่ือม (Knee osteoarthritis) เป็นโรคเร้ือรัง ท่ีพบได้บ่อยในผู้สูงอายแุ ละมีความสัมพันธ์กับอายุท่ีเพิ่มข้ึน ผู้สูงอายุ ต้ังแต่อายุ 75 ปีข้ึนไป พบข้อเข่าเส่ือมถึง ร้อยละ 80.00 (Allen & Golightly, 2015; Nimitanan, 2014; CDC. Arthritis Statistic, 2010) เน่ืองจากข้อเข่าเป็นข้อที่ต้องรับน้าหนักของร่างกายและท้าหน้าที่เคลื่อนไหวขณะเดิน มากที่สุด ท้าให้ผู้สูงอายุเกิดภาวะข้อเข่าเส่ือมได้ง่าย ภาวะข้อเข่าเส่ือมเกิดจากการเสื่อมสภาพของกระดูกอ่อนข้อ ตอ่ ท้าให้กระดูกอ่อนไมส่ ามารถเป็นเบาะรองรับน้าหนักและมีการสูญเสียคุณสมบัติของน้าหล่อเลีย้ งเข่า เมื่อมีการ เคลื่อนไหวของเขา่ ก็จะเกดิ การเสียดสีและเกิดการสึกหรอของกระดูกอ่อน ผิวของกระดูกอ่อนจะ แขง็ ผิวไมเ่ รยี บท้า ให้มีอาการปวดเวลาเคลื่อนไหวหรือลงน้าหนัก อาการท่ีพบได้บ่อย คือ ปวด ข้อเข่า มีเสียงกรอบแกรบ (crepitation) ฝืดติดขัดข้อเข่า เป็นระยะเวลาน้อยกว่า 30 นาที และมีข้อเข่าขนาดใหญ่ ขึ้นโดยไม่มีการอักเสบ บวมร้อน การปวดเข่าระยะแรกจะมีอาการเป็นๆหายๆ แล้วต่อมาค่อยเป็นมากขึ้น จนในท่ีสุดจะปวดรุนแรงหรือ ปวดตลอดเวลา และท้าให้เกิดข้อเข่าผิดรูป ข้อฝืด หรือข้อติด เดินได้ไม่ปกติ (Kawinwongkowit, et al. 2017) ส่งผลให้การปฏิบัติภารกิจประจ้าวันต่างๆ ท้าได้ไม่สะดวก และเสี่ยงต่อการหกล้ม ภาวะติดบ้านติดเตียง เกิดเป็น ภาระของญาติและผู้ดูแล ซ่ึงส่งผลให้เกิดความทุกข์ทรมานท้ังด้านร่างกายและจิตใจและส่งผลกระทบต่อคุณภาพ ชีวิตที่ลดลง และเกิดการสูญเสียเวลา รายได้และค่าใช้จ่ายในการรักษาจ้านวนมาก ( Petcharat & Kaspichayawattana, 2014) แนวทางการรักษาโรคข้อเข่าเสือ่ มในปัจจุบันส่วนใหญ่จะมุ่งเน้นการบรรเทาอาการปวด การชว่ ยชะลอการ เสื่อมของข้อเข่า เพ่ือบรรเทาความรุนแรงของโรค ท้าให้ข้อเข่ามีการท้างานได้ดีข้ึน และป้องกันความพิการที่อาจ เกิดข้ึน การใช้ยาบรรเทาอาการ เช่น ยาแก้ปวดแก้อักเสบ ยาคลายกล้ามเนื้อ ไม่ควรใช้ติดต่อกันเป็นเวลานาน เพราะท้าให้เกิดผลข้างเคียง เช่น แผลในกระเพาะอาหาร ไตวาย ความดันโลหิตสูง เป็นต้น ยากระตุ้นการสร้าง กระดูกอ่อนที่ผิวข้อ หรือยาชะลอความเส่ือม การฉีดน้าไขข้อเทียมซึ่งจะช่วยให้อาการดีขึ้นเฉล่ีย 6 เดือนถึง 1 ปี แต่มีราคาค่อนข้างสูง การฉีดยาสเตียรอยด์เข้าข้อหรือเจาะข้อเพ่ือดูดนา้ ไขข้อออกจะทาให้อาการปวดดขี ึ้นเรว็ แต่ กจ็ ะกลบั มาเป็นอีกและมีผลข้างเคียง เช่น กระดูกอ่อนผิวข้อบางลงทาให้ข้อเส่ือมเร็วข้นึ กระดูกพรุน กลา้ มเนื้อลีบ หรือติดเชื้อในข้อ ส่วนการผ่าตัดเป็นทางเลือกสุดท้ายจะใช้ในผู้ท่ีมีอาการมากและรักษาวิธีอื่นแล้วไม่ได้ผล (Durham, Fowler, & Edlund, 2014 ) ปัจจุบันยังไม่มีวิธีการรักษาโรคข้อเข่าเสื่อมให้หายขาดได้ การรักษาทาง การแพทย์แผนไทยเปน็ ทางเลือกท่ีส้าคญั ในการดูแลสขุ ภาพผู้สงู อายุท่ีมีภาวะข้อเขา่ เสื่อมด้วยภูมิปญั ญาไทย โดยมี เป้าหมายเพื่อลดอาการปวดขอ้ เข่า เพม่ิ การเคลือ่ นไหวของรา่ งกายและข้อ เพื่อให้ผสู้ งู อายสุ ามารถช่วยเหลือตนเอง ได้ เช่น การประคบสมุนไพร การนวดประคบ การนวดไทยแบบราชส้านัก การนวดแบบเชลยศักด์ิ การนวดแบบ วารสารวิชาการสุขภาพภาคเหนือ ปที ี่ 9 ฉบับที่ 1 เดือน มกราคม – มถิ ุนายน 2565 Journal of Health Sciences Scholarship January - June 2022, Vol.9 No.1
179 วารสารวชิ าการสขุ ภาพภาคเหนือ (Journal of Health Sciences Scholarship) พ้ืนบ้าน (Department of Thai Traditional and Alternative Medicine, Ministry of Health, 2016) การ พอกเข่าด้วยสมุนไพร เป็นการรักษาทางการแพทย์แผนไทย โดยใช้ภูมิปัญญาไทยที่มีการน้ามาใช้ในการรักษาโรค ขอ้ เขา่ เสื่อมเพื่อบรรเทาอาการปวด ลดความรนุ แรงของโรคและท้าให้ผู้สูงอายโุ รคข้อเขา่ เส่ือมมคี ุณภาพชีวิตท่ีดีขึ้น สมุนไพรทใี่ ช้ในการประคบจะช่วยกระตุน้ การไหลเวียนของโลหิตให้ดีขน้ึ ทา้ ให้มเี ลอื ดมาเลีย้ งเพิ่มข้ึน ชว่ ยขจัดของ เสยี ในกล้ามเน้ือและขอ้ ไดเ้ ร็วข้นึ ท้าใหก้ ลา้ มเนือ้ มีความยดื หยุ่นดขี ึน้ ช่วยรักษาและบรรเทาอาการเคล็ด ปวดขัดใน ข้อเข่าได้ (Institute of Thai Traditional Medicine, 2016; Pradit, Chomdet, & Nganwongpanich, 2014) จากการศกึ ษาผลของการพอกเข่าดว้ ยสมุนไพรชนิดต่างๆ ในงานวิจยั ตา่ ง ๆท่ผี ่านมา พบวา่ การใช้สมนุ ไพรพอกเข่า มีผลท้าให้อาการปวดและการเคล่ือนไหวของข้อดีข้ึน (Poonsuk, et al.2017; Yammun, Udompittayasan & Siramaneerat. 2018; Wichayavoranun, Mukpradub & Thiangjanya, 2017; Somput, 2015). นอกจากนี้ การท้ากายภาพบ้าบัดด้วยการบริหารข้อ และการออกก้าลังกายที่ถูกต้อง จะช่วยส่งเสริมความแข็งแรงของข้อเขา่ และชว่ ยบรรเทาอาการปวดเขา่ ได้ (Billi, 2018; Inkaew, 2020; Udomsak, 2019) ปัจจัยส่งเสริมการเกิดอาการโรคข้อเข่าเสื่อมมากข้ึนส่วนใหญ่เก่ียวข้องกับพฤติกรรมการปฏิบัติตัว ได้แก่ ภาวะอ้วนเน่ืองจากน้าหนักตัวจะไปเพิ่มแรงกดข้อต่อผิวข้อซึ่งจะต้องรับน้าหนัก 6 เท่าของน้าหนักตัว 1 กิโลกรัม หรอื การนงั่ ยองๆ นั่งพับเพียบโดยเฉพาะการเดนิ การข้ึนลงบันได ซ่ึงเปน็ ปจั จัยเสี่ยงเน่ืองจากท้าให้ข้อเข่าต้องแบก รับน้าหนักเกินกระดูกอ่อนมากข้ึน (Soisong, Ruenkon, Fuengthong & Sathong, 2019) หากผู้สูงอายุโรคข้อ เข่าเสื่อมสามารถลดปัจจัยส่งเสริมดังกล่าวโดยมีพฤติกรรมการดูแลตนเองที่เหมาะสมย่อมช่วยให้ผสู้ ูงอายุสามารถ ดา้ เนินชวี ิตประจ้าวันได้อยา่ งมคี วามสขุ และอยู่อยา่ งมีคณุ ภาพชวี ติ ทด่ี ีขึน้ (Mathhujad & Nititham, 2020) ดังนัน้ การควบคุมน้าหนักตัวให้เหมาะสม การเปล่ียนแปลงพฤติกรรมในชีวิตประจ้าวัน การหลีกเล่ียงการงอเข่ามาก เกินไป การบริหารกล้ามเนื้อ และการออกก้าลังกายท่ีเหมาะสม (Areeuea, Wanavanan & Rupsawang, 2016) จากการการศึกษาพฤติกรรมการดูแลตนเองของผู้สูงอายุโรคข้อเข่าเสื่อม พบว่า การเพ่ิมความรู้ความเข้าใจที่ ถูกต้องในการดูแลตนเองโรคข้อ เข่าเสื่อมที่เหมาะสมจะช่วยให้ที่ผู้สูงอายุโรคข้อเข่าเสื่อมสามารถดูแลตนเองได้ดี ข้ึน และลดปัญหาจากภาวะข้อเข่าเส่ือมได้ (Mathhujad & Nititham, 2020; Udomsak, 2019 ; Malaimart, Danyuthsilp, Tangkavanich, & Kittimanon, 2012) ดังนั้นการส่งเสริมการดูแลตนเองด้านต่าง ๆ จะช่วย บรรเทาอาการปวดได้อย่างมีประสิทธิภาพมากข้ึน และท้าให้ผู้สูงอายุสามารถเดินและเคล่ือนไหวข้อเข่าได้มากข้นึ และส่งผลให้ผู้สูงอายุ มีคุณภาพชีวิตท่ีดีขึ้น จะเห็นได้ว่าผลการศึกษาที่ผ่านมาส่วนใหญ่เป็นการศึกษาการพอกเข่า ด้วยสมุนไพรชนิดต่างๆ ที่มีผลต่อการบรรเทาอาการปวดและการเคลื่อนไหวของข้อ แต่ยังไม่พบการศึกษาผลของ การพอกเข่าด้วยสมุนไพรร่วมกับการส่งเสริมการดแู ลตนเอง และการมีประสิทธิผลต่อความสามารถในการเดิน ใน การศึกษาคร้ังน้ี ผู้วิจัยใช้สูตรสมุนไพรท่ีหาง่ายในชุมชน และเป็นต้ารับยาเฉพาะของศูนย์การเรียนรู้และส่งเสริม สขุ ภาพแผนไทย วทิ ยาลยั พยาบาลบรมราชชนนี นครล้าปาง ผูว้ จิ ยั จึงมีความสนใจในการศกึ ษาผลของการพอกเข่า ดว้ ยสมุนไพรร่วมกบั การส่งเสริมการดูแลตนเอง เพอ่ื ใหผ้ ้สู ูงอายสุ ามารถดแู ลตนเองได้เม่อื มีอาการปวดเข่าและมีข้อ วารสารวชิ าการสุขภาพภาคเหนอื ปีท่ี 9 ฉบบั ที่ 1 เดอื น มกราคม – มถิ ุนายน 2565 Journal of Health Sciences Scholarship January - June 2022, Vol.9 No.1
180 วารสารวชิ าการสุขภาพภาคเหนอื (Journal of Health Sciences Scholarship) เข่าติดจากภาวะข้อเส่ือม โดยใช้สมุนไพรในชุมชนและมีการปฎิบัติตัวที่ถูกต้อง ซึ่งจะช่วยให้ผู้สูงอายุโรคข้อเข่า เส่อื มมคี ุณภาพท่ีดขี ึ้นต่อไป วตั ถุประสงค์ 4.1 เพอื่ เปรยี บเทียบระดบั อาการเข่าปวดกอ่ นและหลงั การพอกเข่าดว้ ยสมุนไพรและสง่ เสริมการดแู ลตนเอง 4.2 เพ่อื เปรยี บเทียบการเคล่ือนไหวขอ้ เข่าก่อนและหลังการพอกเขา่ ดว้ ยสมุนไพรและสง่ เสรมิ การดูแลตนเอง 4.3 เพ่ือเปรียบเทียบความสามารถในการเดนิ ก่อนและหลังการพอกเข่า ด้วยสมุนไพรและส่งเสรมิ การดูแลตนเอง วิธีดาเนินการวจิ ยั การศึกษาครัง้ นี้เป็นการวิจยั กึ่งทดลอง มวี ัตถปุ ระสงค์เพื่อศึกษาประสทิ ธิผลของการพอกเขา่ สมุนไพร ร่วมกับสง่ เสริมการดูแลตนเอง ต่ออาการปวดเข่า ความสามารถในการเดิน และการเคล่ือนไหวข้อในผ้สู ูงอายโุ รค ขอ้ เข่าเส่อื ม ซ่ึงมีวธิ ีการดา้ เนินการวจิ ยั ดังนี้ ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง เปน็ ผสู้ ูงอายุ บา้ นแม่กง๋ ตา้ บล บ้านเป้า อา้ เภอ เมืองลา้ ปาง จงั หวัด ลา้ ปาง กลมุ่ ตวั อย่างได้จากการเลือก แบบเจาะจง (Purposive sampling ) จ้านวน 30 ราย โดยการเปดิ รับอาสาสมัครเข้ารว่ มโครงการ และผ่านการ คดั เข้าตามเกณฑ์ (Inclusion criteria) และประเมนิ อาการโดยพยาบาลเวชปฏบิ ัติ และแพทย์แผนไทย หลังการ ทดลองมีกลมุ่ ตวั อย่างอยู่ตลอดโครงการ จา้ นวน 24 คน เคร่อื งมอื ทีใ่ ช้ในการวิจัย 1. เคร่ืองมอื ที่ใชใ้ นการเก็บรวบรวมข้อมูล (1) แบบสอบถามข้อมูลท่ัวไป ได้แก่ เพศ อายุ น้าหนักตัว ส่วนสูง อาชีพ ระดับการศึกษา โรค ประจ้าตัว จา้ นวนขอ้ เขา่ ทีม่ ีอาการปวด ระยะเวลาทีเ่ ปน็ ท่มี ีอาการข้อเข่าเสอื่ ม ประวัตกิ ารรกั ษาข้อเข่าเสื่อม และวธิ ีการลดอาการเจบ็ ปวด (2) แบบทดสอบการวัดระดบั อาการปวด โดยใช้ Facial Scale (3) การทดสอบความสามารถในการเดิน โดยใช้ Time Up and Go Test (4) เครือ่ งมอื วดั พิสัยการเคลื่อนไหวของข้อเขา่ (Goniometer) 2. เครือ่ งมอื ท่ีใช้ด้าเนนิ การวจิ ัย 2.1 วัสดุ อุปกรณ์ ท่ีใช้ในการพอกเข่าด้วยสมุนไพร และยาพอกสมุนไพร ซ่ึงสูตรน้ีเป็นตา้ รบั ยาเฉพาะของ ศูนย์การเรียนรูแ้ ละส่งเสริมสขุ ภาพแผนไทยวทิ ยาลยั พยาบาลบรมราชชนนี นครลา้ ปาง มีส่วนประกอบ ดงั นี้ ผงฟา้ วารสารวิชาการสขุ ภาพภาคเหนือ ปีที่ 9 ฉบบั ที่ 1 เดอื น มกราคม – มิถนุ ายน 2565 Journal of Health Sciences Scholarship January - June 2022, Vol.9 No.1
181 วารสารวชิ าการสุขภาพภาคเหนือ (Journal of Health Sciences Scholarship) ทะลายโจร 40 กรัม ผงขมิ้นชัน 25 กรัม ผงพริกไทยด้า 25 กรัม แป้งข้าวเจ้า 10 กรัม น้าฝางเสนต้มสุก 100 มิลลลิ ิตร โดยมีขนั้ ตอนการท้าตา้ รับยาพอกเขา่ สมนุ ไพร ดังนี้ 1) เตรียมสมุนไพรชนดิ แห้ง ได้แก่ ฟา้ ทะลายโจร(ใบ) หนัก 40 กรัม ขมิ้นชัน (หัวเหงา้ ) พริกไทย ด้า(เมลด็ ) หนกั สงิ่ ละ 25 กรัม ฝางเสน(แกน่ ) หนกั 0.10 กรัม 2) บดสมนุ ไพรแหง้ ได้แก่ ฟ้าทะลายโจร ขม้ินชนั และพรกิ ไทย ให้เปน็ ผงละเอียด 3) ผสมผงยาและแปง้ ขา้ วเจ้าใหเ้ ปน็ เนอื้ เดียวกัน น้าหนกั ผงยารวม 100 กรมั 4) ตม้ นา้ ฝางเสน ประมาณ 5-10 นาที จากนน้ั ผสมนา้ ฝางเสนและผงยาให้เป็นเน้ือเดียวกนั เมอ่ื ส่วนผสมเข้ากันแล้วน้าตัวยาพกั ไวใ้ นต้เู ย็นเปน็ เวลา 5-10 นาที 5) ใชม้ อื นวดเน้อื ยา ใหเ้ ปน็ แผ่นบางๆวางบนข้อเขา่ จากน้นั ใชผ้ ้าพนั รอบข้อเข่าพอกทิ้งไว้ประมาณ30 นาที 2.2 คู่มือส่งเสริมการดูแลตนเองของผู้สูงอายุโรคข้อเข่าเสื่อม ประกอบด้วย ความรู้เกี่ยวกับโรคข้อเข่า เสอ่ื ม การปฎบิ ตั ิตนเม่อื เปน็ โรคขอ้ เขา่ เสอื่ ม การออกก้าลังกายและการบรหิ าร และวิธกี ารพอกเขา่ ด้วยสมุนไพร การเก็บรวบรวมข้อมูล ใช้เวลาในการดา้ เนนิ การ 2 สปั ดาห์ สปั ดาห์ท่ี 1 1) เปิดรับอาสาสมัครเข้าร่วมโครงการ และผ่านการคัดเข้าตามเกณฑ์ ตามจ้านวนท่ีก้าหนดไว้ และ ประเมินอาการโดยแพทย์แผนไทย 2) สัมภาษณ์กลุ่มตัวอย่างตามแบบสอบถามข้อมูลทั่วไป และประเมินระดับความปวด โดยใช้ Facial Scale ตรวจวัดองศาการเคล่ือนไหวเข่าด้วย Goniometer และทดสอบความสามารถในการเดิน (Time Up and Go Test) และบันทกึ ไว้ ก่อนการทดลอง 3) จัดอบรมให้ความรู้เกี่ยวกับการส่งเสริมการดแู ลตนเองในผู้สูงอายุโรคข้อเข่าเส่ือม สาธิต และสอนการ ฝึกปฎบิ ตั กิ ารพอกเขา่ ดว้ ยตนเอง และวธิ กี ารบรหิ ารขอ้ เข่า พร้อมแจกคมู่ ือ 4) ให้กลุ่มตัวอย่างได้รับการพอกเข่าสมุนไพร วันละ 1 ครั้ง คร้ังละ 30 นาที โดยจะพอกเข่าติดต่อกัน จ้านวน 5 คร้ัง เปน็ เวลา 5 วัน 5) หลังจากกลุ่มตัวอย่างพอกเข่าด้วยสมุนไพร ครบ 5 ครั้ง ผู้วิจัยประเมินระดับความปวด โดยใช้ Facial Scale ตรวจวัดองศาการเคลื่อนไหวเข่าด้วย Goniometer และทดสอบความสามารถในการเดิน (Time Up and Go Test) และบันทกึ ไว้ ในหลงั การทดลอง 5 วัน 6) ติดตามกลุ่มตัวอย่างเป็นรายบุคคล โดยการสอบถาม เร่ืองการปฎิบัติตัว การออกก้าลังกายและการ บริหารเข่า และให้คา้ แนะน้าการดูแลตนเอง วารสารวิชาการสขุ ภาพภาคเหนือ ปที ี่ 9 ฉบบั ท่ี 1 เดือน มกราคม – มถิ นุ ายน 2565 Journal of Health Sciences Scholarship January - June 2022, Vol.9 No.1
182 วารสารวชิ าการสขุ ภาพภาคเหนอื (Journal of Health Sciences Scholarship) สัปดาหท์ ่ี 2 ผู้วิจัยนัดกลุ่มตัวอย่างมาประเมินระดับความปวด โดยใช้ Facial Scale ตรวจวัดองศาการเคลื่อนไหวเข่า ด้วย Goniometer และทดสอบความสามารถในการเดิน (Time Up and Go Test) หลังได้รับการพอกเข่าด้วย สมนุ ไพร และบันทึกไว้ ในหลงั การทดลอง 2 สัปดาห์ การวิเคราะห์ข้อมลู 1. ข้อมูลสว่ นบคุ คล ใชส้ ถติ ิพ้นื ฐานการแจกแจงความถ่ี ร้อยละ คา่ เฉล่ีย และส่วนเบีย่ งเบนมาตรฐาน 2. การวิเคราะห์ข้อมูลเปรียบเทียบความแตกต่างของคะแนนเฉลี่ยก่อนและหลังการทดลองโดยใช้สถิติ one way ANOVA ผลการศกึ ษา ส่วนที่ 1 ขอ้ มลู ทวั่ ไป กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง ร้อยละ 83.30 อายุ 60-70 ปี ร้อยละ 75.10 ดัชนีมวลกายส่วนใหญ่ อยู่ในเกณฑ์ปกติ คือ 18.50-22.90 ร้อยละ 50.00 โรคประจ้าตัวที่พบส่วนใหญ่เป็น โรคกระดูกและกล้ามเนื้อ คิด เป็นร้อยละ 33.30 มีสถานภาพ สมรส ร้อยละ 66.70 มีระดับการศึกษาในระดับประถมศึกษา คิดเป็นร้อยละ 58.30 ส่วนใหญ่ประกอบอาชีพเกษตรกร ร้อยละ 37.50 มีรายได้ต่อเดือนน้อยกว่า 1,000 บาท ร้อยละ 45.80 ประวตั กิ ารรกั ษาเกีย่ วกับโรคขอ้ เข่าเสื่อม ส่วนใหญเ่ ขา้ รบั การรักษาท่ีโรงพยาบาล รอ้ ยละ 45.80 จากการประเมินอาการและอาการแสดงภาวะข้อเข่าเสื่อม พบว่า กลุ่มตัวอย่างมีปัญหาข้อเข่าทั้งสองข้าง คิดเปน็ รอ้ ยละ 70.80 ระยะเวลาเป็นโรคข้อเข่าเสื่อม 3-5 ปี ร้อยละ 58.30 ประวตั ิการไดร้ บั อบุ ตั ิเหตุบรเิ วณขอ้ เข่า พบว่า ไม่เคยประสบอุบัติเหตุบริเวณข้อเข่า ร้อยละ 79.20 ประวัติการเข้ารับการรักษาด้วยการผ่าตัดบริเวณข้อ เข่า พบว่า ไม่เคยเข้ารับการผ่าตัดบริเวณข้อเข่า คิดเป็นร้อยละ 91.70 อาการแสดงท่ีพบ ส่วนใหญ่มีอาการปวด ข้อเข่า ร้อยละ 95.80 มีอาการข้อฝืด ร้อยละ 50.00 มีเสียงดังในข้อเข่า ร้อยละ 75.00 ไม่มีอาการบวมแดง บริเวณข้อเขา่ คดิ เปน็ รอ้ ยละ 58.30 ลักษณะขอ้ เข่าผิดรูป พบวา่ ไม่มอี าการผดิ รูปของข้อเข่า รอ้ ยละ 83.30 การ ใชอ้ ุปกรณ์ในการชว่ ยเดิน พบว่า ไมใ่ ช้อปุ กรณใ์ นการชว่ ยเดนิ รอ้ ยละ 87.50 จากการประเมนิ ผลกระทบของโรคข้อเข่าเสื่อมต่อการด้าเนนิ ชีวิตประจ้าวัน พบว่า การเดินไมค่ ่อยสะดวก ร้อยละ 70.80 การน่ังยองๆนงั่ พบั เพียบไม่ได้ รอ้ ยละ 70.80 การท้ากิจกรรมตา่ งๆลดลง รอ้ ยละ 54.20 ออกกา้ ลัง กายไม่ได้/ออกก้าลังกายลดลง ร้อยละ 66.70 การได้รับการรักษาโรคข้อเข่าเส่ือมในปัจจุบัน พบว่า เข้ารับการ รักษาโรคข้อเข่าเสื่อมด้วยวิธีการนวด-ประคบสมุนไพร ร้อยละ 33.30 รองลงมาเข้ารับการรักษาโรคข้อเข่าเส่ือม ด้วยการรับประทานยา รอ้ ยละ 29.20 วารสารวิชาการสุขภาพภาคเหนือ ปที ี่ 9 ฉบบั ที่ 1 เดอื น มกราคม – มิถุนายน 2565 Journal of Health Sciences Scholarship January - June 2022, Vol.9 No.1
183 วารสารวชิ าการสุขภาพภาคเหนอื (Journal of Health Sciences Scholarship) ส่วนท่ี 2 ผลการพอกเขา่ ดว้ ยสมนุ ไพรและการส่งเสริมการดูแลตนเอง ตารางท่ี 1 แสดงค่าเฉล่ียและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานผลการพอกเข่าด้วยสมุนไพรและการสง่ เสรมิ การดแู ลตนเอง ผลการทดลอง กอ่ นการทดลอง หลังการทดลอง 5 วนั หลงั การทดลอง 2 สัปดาห์ Mean(S.D.) Mean(S.D.) Mean(S.D.) ความเจบ็ ปวด 7.04(0.45) 3.08(0.53) 1.79(0.43) ความสามารถในการเดนิ 15.96(0.75) 11.97(0.46) 10.96(0.32) พสิ ยั การเคลื่อนไหวของข้อเข่า 47.33(5.33) 56.21(6.11) 64.42(7.02) ข้อเขา่ ขวา 55.92(3.25) 66.42(3.44) 72.96(3.56) ข้อเข่าซ้าย จากตารางที่ 1 แสดงการเปรยี บเทียบผลการประคบเข่าดว้ ยสมุนไพร พบวา่ ก่อนการทดลอง ระดับความ ปวด (Mean=7.040,S.D.=0.45 ) ความสามารถในการเดิน (Mean=15.96,S.D.=0.75 ) พิสัยการเคลื่อนไหวของ ข้อเข่าขวา (Mean=47.33,S.D.= 5.33 ) พิสัยการเคลื่อนไหวของข้อเข่าซ้าย (Mean=55.92,S.D.= 3.25 ) หลัง การทดลอง 5 วนั ระดับความปวด(Mean=3.08,S.D.=0.53 ) ความสามารถในการเดนิ (Mean= 11.97,S.D.=0.46 ) พิสัยการเคลื่อนไหวของข้อเข่าขวา (Mean=56.21,S.D.=6.11 ) พิสัยการเคลื่อนไหวของข้อเข่าซ้าย (Mean= 66.42 ,S.D.=3.44 ) และหลังการทดลอง 2 สปั ดาห์ ระดบั ความปวด(Mean=1.79,S.D.=0.43 ) ความสามารถใน การเดิน (Mean= 10.96,S.D.=0.329 ) พสิ ยั การเคลื่อนไหวของข้อเข่าขวา (Mean=64.42 ,S.D.=7.02 ) พสิ ัยการ เคลอ่ื นไหวของข้อเขา่ ซา้ ย (Mean=72.96,S.D.=3.56) สว่ นท่ี 3 การเปรยี บเทียบความเจบ็ ปวด พิสัยการเคลอ่ื นไหวของข้อเขา่ และความสามารถในการเดนิ ระหว่างก่อน การทดลอง กบั หลังการทดลอง 5 วัน และ หลงั การทดลอง 2 สัปดาห์ ตารางที่ 2 แสดงผลการเปรียบเทยี บคา่ เฉลยี่ และส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐานของความเจ็บปวด ความเจบ็ ปวด Mean(S.D.) Mean different P-value 3.95 .000 ก่อนการทดลอง 7.04(0.45) หลก หลงั การทดลอง 5 วัน 3.08(0.53) 5.25 .000 7.04(0.45) ก่อนการทดลอง 1.79(0.43) 1.29 .000 หลังก หลงั การทดลอง 2 สปั ดาห์ 3.08(0.53) 1.79(0.43) หลงั การทดลอง 5 วนั หลงั การทดลอง 2 สปั ดาห์ วารสารวชิ าการสุขภาพภาคเหนือ ปีท่ี 9 ฉบบั ที่ 1 เดอื น มกราคม – มถิ ุนายน 2565 Journal of Health Sciences Scholarship January - June 2022, Vol.9 No.1
184 วารสารวชิ าการสขุ ภาพภาคเหนอื (Journal of Health Sciences Scholarship) จากตารางท่ี 2 แสดงผลการเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยของระดับความปวดพบวา่ ก่อนการทดลอง ระดับความ ปวด (Mean= 7.04,S.D.=0.45) หลงั การทดลอง 5 วนั ระดับความปวด (Mean= 3.08,S.D.=0.53) และหลังการ ทดลอง 2 สัปดาห์ ระดับความปวด (Mean= 1.79,S.D.=0.43) ซึ่งคา่ เฉล่ยี ระดับความปวดก่อนการทดลอง กับ หลังการทดลอง 5 วัน และ หลงั การทดลอง 2 สปั ดาห์ ลดลงอยา่ งมีนยั สาคญั ทางสถิติ (p<.05) ตารางท่ี 3 แสดงผลการเปรียบเทียบพิสัยการเคลือ่ นไหวของขอ้ เข่า(ข้างขวา) พสิ ัยการเคล่อื นไหวของขอ้ เข่า Mean(S.D.) Mean different P-value -8.87 .31 ก่อนการทดลอง 47.33(5.33) หลก หลังการทดลอง 5 วัน 56.21(6.11) -17.08 .05 47.33(5.33) ก่อนการทดลอง 64.42(7.02) -8.20 .35 หลงั ก หลังการทดลอง 2 สัปดาห์ 56.21(6.11) 64.42(7.02) หลงั การทดลอง 5 วัน หลังการทดลอง 2 สัปดาห์ จากตารางที่ 3 แสดงผลการเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยพสิ ัยการเคลอื่ นไหวของขอ้ เขา่ (ขา้ งขวา) พบวา่ ก่อนการ ทดลอง คะแนนพิสัยการเคล่อื นไหวของขอ้ เขา่ (ข้างขวา) (Mean= 47.33,S.D.= 5.33 ) หลงั การทดลอง 5 วนั คะแนนพิสัยการเคล่ือนไหวของข้อเข่า(ขา้ งขวา) (Mean= 56.21,S.D.=6.11 ) และหลังการทดลอง 2 สัปดาห์ คะแนนพสิ ยั การเคล่ือนไหวของข้อเข่า(ขา้ งขวา) (Mean= 64.42,S.D.=7.02 ) ซ่ึงค่าเฉลีย่ ของคะแนนพสิ ัยการ เคล่ือนไหวของข้อเขา่ (ข้างขวา) ก่อนการทดลอง กับ หลังการทดลอง 5 วัน และ หลังการทดลอง 2 สัปดาห์ เพ่ิมขึ้นอยา่ งไม่มนี ัยสาคัญทางสถิติ (p<.05) ตารางท่ี 4 แสดงผลการเปรียบเทียบพิสยั การเคลอ่ื นไหวของขอ้ เข่า (ข้างซา้ ย) พสิ ัยการเคลอ่ื นไหวของข้อเขา่ Mean(S.D.) Mean different P-value -10.50 .034 ก่อนการทดลอง 55.92(3.25) -17.04 .001 หลก หลงั การทดลอง 5 วนั 66.42(3.44) 55.92(3.25) -6.54 .181 กอ่ นการทดลอง 72.96(3.56) หลังก หลงั การทดลอง 2 สปั ดาห์ 66.42(3.44) หลงั การทดลอง 5 วนั 72.96(3.56) หลงั การทดลอง 2 สปั ดาห์ วารสารวิชาการสขุ ภาพภาคเหนือ ปที ่ี 9 ฉบบั ท่ี 1 เดอื น มกราคม – มถิ ุนายน 2565 Journal of Health Sciences Scholarship January - June 2022, Vol.9 No.1
185 วารสารวชิ าการสขุ ภาพภาคเหนอื (Journal of Health Sciences Scholarship) จากตารางท่ี 4 แสดงผลการเปรียบเทียบค่าเฉลย่ี พิสัยการเคล่ือนไหวของข้อเข่า(ข้างซ้าย) พบว่า ก่อนการ ทดลอง คะแนนพิสัยการเคลื่อนไหวของข้อเข่า(ข้างซ้าย) (Mean= 55.92,S.D.= 3.253 ) หลังการทดลอง 5 วัน คะแนนพิสัยการเคลื่อนไหวของข้อเข่า(ข้างซ้าย) (Mean= 66.42,S.D.= 3.447) และหลังการทดลอง 2 สัปดาห์ คะแนนพิสัยการเคล่ือนไหวของข้อเข่า(ข้างซ้าย) (Mean= 72.96,S.D.= 3.569) ซ่ึงค่าเฉลี่ยของคะแนนพิสัยการ เคลื่อนไหวของข้อเข่า(ข้างซ้าย) ระหว่าง หลังการทดลอง 5 วัน กับ หลังการทดลอง 2 สัปดาห์ เพิ่มขึ้นอย่างไม่มี นยั สาคัญทางสถิติ (p<.05) ตารางที่ 5 แสดงผลการเปรียบเทยี บคา่ เฉลยี่ ของความสามารถในการเดิน (ระยะเวลาคิดเปน็ วนิ าที) ความสามารถในการเดิน Mean(S.D.) Mean different P-value 15.96(0.75) 3.98 .000 กอ่ นการทดลอง 11.97(0.46) หลก หลังการทดลอง 5 วนั 15.96(0.75) 4.99 .000 10.96(0.32) ก่อนการทดลอง 11.97(0.46) 1.01 .196 หลังก หลงั การทดลอง 2 สปั ดาห์ 10.96(0.32) หลงั การทดลอง 5 วัน หลังการทดลอง 2 สปั ดาห์ จากตารางที่ 5 แสดงผลการเปรยี บเทยี บค่าเฉล่ียของความสามารถในการเดนิ พบว่า กอ่ นการทดลอง ความสามารถในการเดนิ (Mean= 15.96,S.D.=0.75 ) หลงั การทดลอง 5 วัน คะแนนความสามารถในการเดิน (Mean= 11.97,S.D.=0.46) และหลังการทดลอง 2 สปั ดาห์ คะแนนความสามารถในการเดิน (Mean= 10.96,S.D.=0.32 ) ซง่ึ ความสามารถในการเดินก่อนการทดลอง กบั หลงั การทดลอง 5 วัน และ หลงั การทดลอง 2 สปั ดาห์ มรี ะยะเวลาลดลงอย่างมนี ยั สาคัญทางสถติ ิ (p<.05) แต่ความสามารถในการเดิน หลงั การทดลอง 5 วนั กบั หลงั การทดลอง 2 สปั ดาห์ มรี ะยะเวลาลดลงอย่างไม่มีนัยสา้ คัญทางสถิติ (p<.05) วารสารวชิ าการสุขภาพภาคเหนอื ปีที่ 9 ฉบบั ที่ 1 เดอื น มกราคม – มิถุนายน 2565 Journal of Health Sciences Scholarship January - June 2022, Vol.9 No.1
186 วารสารวชิ าการสุขภาพภาคเหนือ (Journal of Health Sciences Scholarship) อภปิ รายผล การเปรยี บเทียบระดบั ความเจ็บปวดก่อนและหลงั การพอกเขา่ ดว้ ยสมุนไพรและสง่ เสริมการดูแลตนเอง จากผลการศึกษา พบว่า ค่าเฉล่ียระดับความปวดหลังจากการพอกเข่าสมุนไพรร่วมกับส่งเสริมการดูแล ตนเองในผู้สูงอายุท่ีมีภาวะข้อเข่าเส่ือม ลดลงอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติ (p<.05) โดย ก่อนการทดลอง (Mean= 7.04,S.D.= 0.45) ในระยะหลังพอกเข่าตดิ ต่อกนั 5 วัน (Mean= 3.08,S.D.= 0.53 ) และ ในระยะหลังการทดลอง 2 สัปดาห์ (Mean= 1.79,S.D.= 0.43 ) แสดงว่ากลุม่ ตัวอยา่ งมอี าการปวดลดลงในระยะแรกหลงั พอกเขา่ ติดต่อกัน 5 วัน และยังคงอยู่หลังพอกเข่า 2 สัปดาห์ จากข้อมูลท่ัวไปของกลุ่มตัวอย่าง พบว่า กลุ่มตัวอย่างมีอาการปวดข้อ เข่าท้ังสองข้าง ร้อยละ 70.80 รองลงมามีอาการปวดข้อเข่าข้างเดียว คิดเป็นร้อยละ 29.20 ระยะเวลาเป็นโรคข้อ เขา่ เส่ือม 3-5 ปี รอ้ ยละ 58.30 มอี าการแสดงที่พบ ได้แก่ มอี าการปวดข้อเข่า ร้อยละ 95.80 และไมม่ ีอาการบวม แดงบริเวณขอ้ เข่า รอ้ ยละ 58.30 แสดงวา่ กลมุ่ ตวั อย่างส่วนใหญม่ ีอาการปวดเข่าและไม่มีการอักเสบของข้อเข่า ใน การศึกษาครั้งนี้ใช้ สมุนไพรพอกเข่าที่มีองค์ประกอบส้าคัญได้แก่ ขม้ินชัน พริกไทย และฟ้าทลายโจร ซ่ึงมีท้ังฤทธ์ิ ร้อนและฤทธ์เย็น ส้าหรับสมุนไพรพอกเข่าที่มีฤทธิร์ ้อน ได้แก่ ขม้ินชัน และพริกไทย ช่วยกระตุ้นการไหลเวยี นของ โลหิตให้ดีขึ้น ท้าให้มีเลือด มาเล้ียงเพ่ิมขึ้น ช่วยขจัดของเสียในกล้ามเน้ือและข้อได้เร็วขึ้น ท้าให้กล้ามเน้ือมีความ ยืดหยุ่นดีขึ้น ช่วยรักษาและบรรเทาอาการเคล็ด บรรเทาอาการปวดขัดในข้อเข่าได้ พริกไทยด้ามีฤทธิ์ต้านการ อกั เสบในหลอดเลอื ด มีสารไปเปอร์รนี (Piperine) ซง่ึ มีฤทธแิ์ ก้ปวด สามารถยับย้ังการทา้ งานของสารอินเตอร์ลูคิน (Interleukin) ยับยั้งเอนไซม์เมทริกซ์เมแทโลโปรทีเนส 13 (MMP -13) และลดการสร้างพลอสต้าแกรนดิน (Prostaglandin) ท้าให้เมล็ดพริกไทยมีฤทธิ์ต้านการอักเสบและต้านการเส่ือมของข้อ ขมิ้นชันเป็นสมุนไพร มีสาร เคอร์คูมินอยด์ท่ีมีฤทธ์ิต้านการอักเสบได้เหมือนกับยาต้านการอักเสบไดโคลฟีแนคของแผนปัจจุบัน ขมิ้นชันยังมี สารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยลดการอักเสบ ชะลอการเส่ือมของข้อเข่า ส้าหรับฟ้าทลายโจร เป็นสมุนไพรท่ีมีฤทธ์ิเย็น ช่วยลดการอักเสบ การบวม และลดปวดได้จากการกระตุ้นใยประสาทซี - ไฟเบอร์ (C - fiber) ในบริเวณเดียวกัน กับต้าแหนง่ ทีเ่ กิดความเจบ็ ปวด สง่ ผลให้ศกั ยภาพในการรับกระแสประสาทความรู้สึกเจ็บปวดและส่งไปยังสมองจึง น้อยลง ความเจ็บปวดจึงลดลงตรงตามทฤษฎีควบคุมประตู (Pradit, Chomdet, & Nganwongpanich, 2014) จากผลการศึกษาของ ธีระ ผิวเงิน และ ขนิษฐา ทุมาผล (Pew-ngern & Tuma, 2020) พบว่าการใช้สมุนไพร ประคบเข่า เป็นการรักษาขอ้ เข่าเส่ือมท่ีท้าให้พยาธสิ ภาพของโรคดีข้ึนได้มากกว่าลูกประคบธรรมดา โดยสมุนไพรท่ี ใช้คือ ไพล และเถาวัลย์เปรียง มีฤทธิ์ลดอาการอักเสบ ลดปวดและลดบวมได้ ผลการศึกษาในคร้ังน้ีมีความ สอดคล้องกับการศึกษาประสิทธิผลของการพอกเข่าด้วยต้ารับสมุนไพรต่ออาการปวดเข่าในผู้ป่วยโรคจับ โปงแห้ง เข่า ของ ศิริพร แย้มมูล เจษฎา อุดมพิทยาสรรพ์ และ อิศรา ศิรมณีรัตน์ (Yammun, Udompittayasan, & Siramaneerat, 2018) โดยใชส้ มนุ ไพรมี ผงขมน้ิ ชัน และผงขิง เปน็ องคป์ ระกอบท่ีส้าคัญ พบว่า ท้าให้ระดับอาการ ปวดเข่าของผู้ป่วยลดลง โดยมีค่าเฉล่ียระดับอาการปวดเข่าของกลุ่มตัวอย่างก่อนการพอกคัร้งท่ี1 และหลังการ พอกคร้ังท่ี5 แตกต่างกันอย่างมีนัยส้าคัญทางสถิติที่ระดับ .05 เช่นเดียวกับการศึกษาของ ผัสชา สมผุด (Somput, วารสารวิชาการสุขภาพภาคเหนือ ปีที่ 9 ฉบบั ที่ 1 เดือน มกราคม – มถิ ุนายน 2565 Journal of Health Sciences Scholarship January - June 2022, Vol.9 No.1
187 วารสารวชิ าการสขุ ภาพภาคเหนอื (Journal of Health Sciences Scholarship) 2015) ท่ีได้ศึกษาผลของการพอกเข่าด้วยตารับยาพอกต่ออาการปวดเข่าในผู้ป่วยโรคจับโปงน้าเข่า โดยต้ารับยา สมุนไพรนม้ี สี ่วนประกอบหลกั คือ รากชิงช่ี รากย่านาง รากคนทา รากเท้ายายม่อม รากมะเดื่อชมุ พร ไพล ขมิน้ ชนั ผิวมะกรูด ผลการศึกษาพบว่า อาการปวดเข่าของผู้ป่วยลดลง ค่าเฉล่ียพอกครั้งที่ 1 และหลังการพอกคร้ังท่ี 6 แตกตา่ งกนั ท่ีระดับนยั สาคญั ทางสถติ ิ .05 นอกจากผลการออกฤทธิ์ของสมุนไพรแล้ว กลุ่มตัวอย่างยังได้รับความรู้และคู่มือการส่งเสริมการดูแล ตนเองของผู้สูงอายุโรคข้อเข่าเส่ือม ซ่ึงประกอบด้วย ความรู้เก่ียวกับโรคข้อเข่าเสื่อม การปฎิบัติตนเม่ือเป็นโรคข้อ เข่าเส่ือม การออกก้าลังกายและการบริหาร และวิธีการพอกเข่าด้วยสมุนไพรด้วยตนเอง ท้าให้สามารถน้ากลับไป ศึกษาทบทวนแนวทางการปฎิบัติตัวและมีการติดตามสอบถามการปฏิบัติตัวเพ่ือเปิดโอกาสให้ซักถามและกระตุ้น ให้มีการปฎิบัติตามค้าแนะน้าอย่างต่อเนื่อง ท้าให้กลุ่มตัวอย่างมีความรู้และพฤติกรรมการดูแลตนเองท่ีดีข้ึน เช่นเดียวกับการศึกษาของ ปิยะมน มัทธุจัด และอลิสา นิติธรรม (Mathhujad, & Nititham, 2020) ได้ศึกษา ประสทิ ธิผลของโปรแกรมการส่งเสริมพฤติกรรมเพ่ือลดอาการปวดข้อเข่าในผปู้ ว่ ยโรคข้อเข่าเสื่อม ซ่งึ ประกอบการ ให้ความรู้เก่ยี วกบั โรคและการปฎบิ ัติตัวที่ถกู ต้อง การบริหารและปรับอิริยาบถที่เหมาะสมโดยมีทง้ั การบรรยายและ สาธิต มีการติดตามและให้ค้าปรึกษาเป็นรายบุคคล ซึ่งส่งผลให้กลุ่มทดลองมีการปฎิบัติพฤติกรรมเพื่อลดอาการ ปวดเข่าดีกวา่ กลมุ่ ควบคุมอย่างมีนัยส้าคัญทางสถติ ิทร่ี ะดบั .05 เช่นเดียวกบั ผลการศึกษาของ สุกญั ญา มาลยั มาตร (2563) ศึกษาพบว่า การส่งเสริมพฤติกรรมการดูแลตนเองของผู้สูงอายุโรคข้อเข่าเสื่อมท้าให้คะแนนเฉล่ียความ เจ็บปวดข้อเข่าต่้ากว่าก่อนทดลองและต่้ากว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติท่ีระดับ .001 (Malaimart, Danyuthsilp,Tangkavanich & Kittimanon, 2012) และจากการศึกษาของ รัตนาวลี ภกั ดสี มัย และพนษิ ฐา พา นิชาชีวะกุลม ( Phakdisamai & Panichacheewakul, 2011) พบว่า การมีคู่มือในการปฏิบัติการบริหารร่างกาย จะช่วยให้ผู้สูงอายุม่ันใจและสามารถท่ีจะปฏิบัติกิจกรรมการบริหารร่างกายเพื่อลดอาการปวด จากผลการศึกษา แสดงให้เห็นว่าการพอกเข่าด้วยสมุนไพรร่วมกับการปฎิบัติตัวที่ถูกต้อง โดยเฉพาะการบริหารข้อเข่า จะช่วย บรรเทาอาการปวดข้อเข่าได้ สอดคล้องกับการศึกษาของ จันจิรา บิลหลี (Billi, 2018) พบว่า การพอกเข่าด้วยยา สมนุ ไพร เป็นเวลา 20 นาที ทา้ ตอ่ เนื่อง 5 วนั รว่ มกับการฝึกการบริหารกล้ามเนื้อขาและเข่า ระดบั ความปวดก่อน การทดลอง หลังการทดลองทันที และหลังการทดลอง 5 วัน มีความแตกต่างอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติ (p<.05) โดยระดบั ความปวดก่อนการทดลอง (Mean= 5.52,S.D.=0.87 ) หลงั การทดลองทันที (Mean= 4.45 ,S.D.=1.28) และหลังการทดลอง 5 วัน (Mean= 3.67,S.D.=1.36) เช่นเดียวกับ สิรินทิพย์ วิชยวรนันท์, และคณะ (Wichayavoranun et al., 2017) พบว่า ค่าเฉลี่ยระดับความปวดมีค่าลดลงหลังจากได้รับโปรแกรมในวันท่ี 1 วันที่ 2 วันท่ี 3 วันท่ี 4 และวันท่ี 5 เม่ือเปรียบเทียบกับระดับความปวดก่อนได้รับโปรแกรม ซ่ึงมีความแตกต่างกัน อย่างมีนัยสาคัญ (p<.05) ดังนั้นการส่งเสริมพฤติกรรมการดูแลตนเองจึงเป็นปัจจัยส้าคัญร่วมกับการพอกเข่าด้วย สมุนไพร ซึง่ สามารถช่วยบรรเทาอาการปวดเข่าในผู้สงู อายุโรคขอ้ เขา่ เสอื่ ม วารสารวชิ าการสขุ ภาพภาคเหนอื ปที ี่ 9 ฉบับที่ 1 เดอื น มกราคม – มถิ ุนายน 2565 Journal of Health Sciences Scholarship January - June 2022, Vol.9 No.1
188 วารสารวชิ าการสุขภาพภาคเหนอื (Journal of Health Sciences Scholarship) เปรยี บเทียบพสิ ัยการเคลอื่ นไหวของข้อเขา่ ก่อนและหลังการพอกเข่าด้วยสมุนไพรและสง่ เสรมิ การดูแลตนเอง การเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยพิสัยการเคล่ือนไหวของข้อเข่าขวา พบว่า ก่อนการทดลอง พิสัยการเคล่ือนไหว ของข้อเข่าขวา (Mean= 47.33,S.D.= 5.33) หลังการทดลอง 5 วัน พิสัยการเคล่ือนไหวของข้อเข่าขวา (Mean= 56.21,S.D.=6.11 ) และหลังการทดลอง 2 สัปดาห์ พิสัยการเคลื่อนไหวของข้อเข่าขวา (Mean= 64.42,(S.D.=7.02 ) ซ่ึงค่าเฉลี่ยของคะแนนพิสัยการเคลื่อนไหวของข้อเข่าขวา ก่อนการทดลอง กับ หลังการทดลอง 5 วัน และ หลัง การทดลอง 2 สปั ดาห์ มีค่าเฉลยี่ เพมิ่ ข้ึนอยา่ งไมม่ นี ยั สาคัญทางสถิติ (p<.05) การเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยพิสัยการเคลื่อนไหวของข้อเข่าซ้าย พบว่า ก่อนการทดลอง คะแนนพิสัยการ เคลือ่ นไหวของขอ้ เข่าซา้ ย (Mean= 55.92,S.D.= 3.25 ) หลังการทดลอง 5 วัน คะแนนพสิ ยั การเคลือ่ นไหวของข้อ เขา่ ซ้าย (Mean= 66.42,(S.D.= 3.44 ) และหลงั การทดลอง 2 สปั ดาห์ คะแนนพสิ ยั การเคลอื่ นไหวของข้อเข่าซ้าย (Mean= 72.96,S.D.= 3.56 ) ซ่ึงค่าเฉล่ียของคะแนนพิสัยการเคล่ือนไหวของข้อเข่าข้างซ้าย ก่อนการทดลอง กับ หลังการทดลอง 5 วัน และ หลังการทดลอง 2 สัปดาห์ เพ่ิมขึ้นอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติ (p<.05) แต่ ค่าเฉลี่ยของ คะแนนพสิ ยั การเคล่ือนไหวของข้อเข่าซ้าย หลงั การทดลอง 5 วนั กับ หลงั การทดลอง 2 สัปดาห์ เพมิ่ ขน้ึ อย่างไม่มี นยั สาคัญทางสถิติ (p<.05) จากข้อมูลทั่วไปของกลุ่มตัวอย่าง พบว่า มีอาการข้อฝืด ร้อยละ 50.00 มีเสียงดังในข้อเข่า ร้อยละ 75.00 มีอาการผิดรูปของข้อเข่า ร้อยละ 16.70 การน่ังยองๆน่ังพับเพียบไม่ได้ มีปัญหา ร้อยละ 70.80 แสดงให้เห็นว่า กลุ่มตัวอย่างนี้มีปัญหาเรื่องการเคลื่อนไหวของข้อ ไม่สามารถเหยียดหรืองอข้อได้ตามปกติ ในการศึกษาคร้ังนี้ใช้ เครื่องมือวัดองศาการเคล่ือนไหวของเข่า ด้วยโกนิโอมิเตอร์ (goniometer) เพ่ือประเมินความสามารถในการงอ และเหยียดเข่า โดยวัดองศาที่เข่าสามารถเหยียดได้มากที่สุดทั้งก่อนและหลังการทดลอง จากผลการศึกษาพบว่า หลังการทดลองมีค่าเฉลี่ยพิสัยการเคล่ือนไหวของข้อเพ่ิมมากข้ึน แสดงว่าข้อเข่าสามารถเหยียดและงอได้มากข้ึน จึงแสดงให้เหน็ ว่าการพอกเข่าด้วยสมุนไพร สามารถช่วยเพ่ิมพิสัยการเคล่อื นไหวของข้อได้ เน่ืองจากสมุนไพรพอก เข่ามีองค์ประกอบส้าคัญได้แก่ ขม้ินชัน พริกไทย และฟ้าทลายโจร ซึ่งมีทั้งฤทธ์ิร้อนและฤทธ์เย็น สมุนไพรที่มีทั้ง ฤทธริ์ ้อนเช่น ขม้ินชนั และพริกไทย จะมีสรรพคุณในการช่วยขับลม กระจายลม บรรเทาอาการปวดกล้ามเน้ือและ ปวดตามข้อต่างๆซึ่งอาการปวดข้อเข่าในทฤษฎีการแพทย์แผนไทย เกิดจากเลือดและลมไหลเวยี นไม่สะดวก ท้าให้ มีการคง่ั อั้นของลมสง่ ผลให้เกิดอาการปวด เม่ือเราใชส้ มนุ ไพรรสร้อนจึงชว่ ยกระจายลมไมใ่ ห้เกดิ การคั่งอ้ันที่ข้อเข่า ท้าให้อาการปวดลดลง อาการข้อฝืดลดลง จึงสามารถเหยียดและงอข้อเข่าได้ดีข้ึน ( Pradit, Chomdet & Nganwongpanich, 2014) สอดคล้องกับผลการศึกษาของ อมรรัตน์ เรืองสกุล และคณะ (Rueangsakul et al.,2020) ศึกษา พบว่า การนวดราชส้านักร่วมกับการประคบท้าให้ลดการบวมของใต้ลูกสะบ้าและเหนือลูกสะบ้า ลงไดม้ ากกว่า ท้าให้สามารถมมี ุมขอ้ (นอนหงาย) เหยยี ดตรงได้มากกว่า แสดงใหเ้ หน็ วา่ พิสยั การเคล่ือนไหวของข้อ เขา่ เพม่ิ มากขน้ึ เมอื่ ไดร้ ับการประคบรว่ มดัวย จงึ ทา้ ให้เชอ่ื ได้วา่ ผลของการรกั ษานา่ จะมาจากการออกฤทธขิ์ องตัวยา หลังได้รับการประคบ จากการศึกษาของผัสชา สมผุด (Somput, 2015) ท่ีศึกษาผลของการพอกเข่าด้วยต้ารับยา วารสารวิชาการสขุ ภาพภาคเหนือ ปที ี่ 9 ฉบบั ที่ 1 เดอื น มกราคม – มิถนุ ายน 2565 Journal of Health Sciences Scholarship January - June 2022, Vol.9 No.1
189 วารสารวชิ าการสุขภาพภาคเหนือ (Journal of Health Sciences Scholarship) พอกต่ออาการปวดเข่าในผู้ป่วยโรคจับโปงน้าเข่าโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพต้าบลบ้านหนองหลุมพอ อ้าเภออ่าว ลึก จังหวัดกระบี่ โดยต้ารับยาสมุนไพรน้ีมีส่วนประกอบหลัก คือ รากชิงช่ี รากย่านาง รากคนทา รากเท้ายายมอ่ ม รากมะเด่ือชุมพร ไพล ขมิ้นชัน ผิวมะกรูด ผลการศึกษา พบว่า องศาการเคลื่อนไหวของข้อเข่าของผู้ป่วยเพ่ิมข้ึน คา่ เฉล่ียก่อนพอกครงั้ ที่ 1 และหลังการพอกครง้ั ท่ี 6 แตกตา่ งกนั อย่างมีนยั สาคญั ทางสถิตทิ ่ีระดบั .05 นอกจากผลการออกฤทธิ์ของสมุนไพรแล้ว กลุ่มตัวอย่างยังได้รับความรู้เก่ียวกับโรคและการส่งเสริมการ ดูแลตนเองของผู้สูงอายุโรคข้อเข่าเส่ือมโดยเฉพาะการออกก้าลังกายแบบท่ีมีการเคล่ือนไหวของข้อ (Isotonic Exercise หรือ Dynamic) ซ่ึงมีการสาธิตและมีการติดตาม สอบถามเรื่องการบริหารข้อเมื่ออยู่บ้านเป็นรายบุคคล โดยมีคู่มือ ซึ่งมีรูปภาพของท่าที่ใช้ในการบริหารเพ่ือให้ข้อเข่าได้เคล่ือนไหวช่วยลดข้อติดแข็ง และมีเพิ่มพิสัยการ เคล่ือนไหวของข้อเข่า จึงส่งผลใหห้ ลงั การทดลองมีค่าเฉลย่ี ของพิสัยการเคล่ือนไหวของข้อเพ่มิ ขน้ึ ซึ่งสอดคล้องกับ การศกึ ษาผลการใชร้ ูปแบบโปรแกรมการสนับสนุนการจัดการตนเองในผ้สู ูงอายุทมี่ ภี าวะปวดข้อเข่าต่อระดับ ความ รุนแรงของอาการปวดข้อเข่าก่อนและหลังได้รับโปรแกรมการสนับสนุนการจัดการตนเองในผู้สูงอายุที่มีภาวะปวด ข้อเข่า พบว่า ระดับข้อฝืดก่อนการศึกษา (Mean= 9.54) หลังการศึกษา (Mean= 6.40) (Udomsak, 2019) เช่นเดียวกับสิริวรรณ ธรรมคงทอง ปาจรีย์ อับดุลลากาซิม และนิภา มหารัชพงศ์ (Thammakongthong, Abdullakasim, & Maharachpong, 2019) ศึกษาผลการโปรแกรมออกก้าลังกาย ร่วมกับแบบ แผนความเช่ือ ด้านสุขภาพ และแรงสนับสนนุ ทาง สังคม พบว่า ความสามารถในการเคลอ่ื นไหวของข้อเข่าในกลมุ่ ทดลองเพมิ่ ขน้ึ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าการส่งเสริมการดูแลตนเองโดยเฉพาะการออกก้าลังกายท่ีเน้นการบริหารข้อ จะช่วยท้าให้พิสั ย การเคลื่อนไหวของข้อเพิ่มข้ึน ในการศึกษาคร้ังนี้ พบว่า พิสัยการเคล่ือนไหวของข้อเข่าขวา มีค่าเฉลี่ยเพ่ิมขึ้นหลัง การทดลอง อย่างไม่มีนัยสา้ คญั ส่วนพสิ ยั การเคล่ือนไหวของขอ้ เข่าซ้าย มีค่าเฉล่ยี เพิม่ ข้นึ หลังการทดลอง 5 วัน กบั หลังการทดลอง 2 สปั ดาห์ อย่างไมม่ ีนัยส้าคัญ อาจเน่ืองมาจากจา้ นวนขอ้ เขา่ ที่มีอาการปวดสว่ นใหญเ่ ป็นท้ัง 2 ขา้ ง ทา้ ให้คา่ เฉล่ยี ของพิสัยการเคลื่อนไหวของข้อเขา่ แต่ละข้างที่เพิ่มขึ้นมีความแตกตา่ งกนั อย่างไม่มีนยั ส้าคญั อย่างไร กต็ ามผลการศกึ ษาแสดงใหเ้ ห็นวา่ พิสัยการเคล่ือนไหวของข้อเขา่ ทั้งสองมีค่าเฉล่ียเพิม่ ขึน้ ซึ่งสง่ ผลต่อความสามารถ ในการเดนิ และการเคล่ือนไหวต่าง ๆ ไดด้ ีขน้ึ เปรยี บเทยี บความสามารถในการเดนิ ก่อนและหลงั การพอกเข่าดว้ ยสมุนไพรและสง่ เสริมการดแู ลตนเอง จากผลการเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยของความสามารถในการเดิน พบว่า ก่อนการทดลอง คะแนน ความสามารถในการเดิน (Mean=15.96,S.D.=0.75 ) หลังการทดลอง 5 วัน คะแนนความสามารถในการเดิน (Mean=11.97,S.D.=0.46)และหลังการทดลอง 2 สัปดาห์ คะแนนความสามารถในการเดิน (Mean= 10.96,S.D.=0.32) ซ่ึงคา่ เฉล่ยี ของคะแนนความสามารถในการเดินก่อนการทดลอง กับ หลงั การทดลอง 5 วนั และ หลังการทดลอง 2 สัปดาห์ มีระยะเวลาลดลงอย่างมีนัยส้าคัญทางสถิติ (p<.05) แต่ค่าเฉล่ียของคะแนน ความสามารถในการเดิน หลังการทดลอง 5 วัน กับ หลังการทดลอง 2 สัปดาห์ มีระยะเวลาลดลงอย่างไม่มีนัย วารสารวชิ าการสุขภาพภาคเหนอื ปที ี่ 9 ฉบับที่ 1 เดือน มกราคม – มถิ นุ ายน 2565 Journal of Health Sciences Scholarship January - June 2022, Vol.9 No.1
190 วารสารวชิ าการสุขภาพภาคเหนอื (Journal of Health Sciences Scholarship) สาคัญทางสถิติ (p<.05) จากข้อมูลท่ัวไปของกลุ่มตัวอย่าง พบว่า มีอาการผิดรูปของข้อเข่า คิดเป็นร้อยละ 16.70 ใช้อุปกรณ์ในการช่วยเดินคิดเป็นร้อยละ 12.50 จากการประเมินผลกระทบของโรคข้อเข่าเสื่อมต่อการด้าเนิน ชวี ติ ประจ้าวนั พบว่า การเดินไม่ค่อยสะดวก มีปญั หาคิดเปน็ ร้อยละ 70.80 การนั่งยองๆนั่งพับเพียบไม่ได้ มีปญั หา คิดเป็นร้อยละ 70.80 การท้ากิจกรรมต่างๆลดลง มีปัญหา ร้อยละ 54.20 การออกก้าลังกายไม่ได้/การออกก้าลัง กายลดลง มีปัญหา ร้อยละ 66.70 มีการรับประทานยา ร้อยละ 29.20 แสดงว่า กลุ่มตัวอย่างมีปัญหาในการเดิน และการทรงตัว ส่งผลต่อการปฎิบัติกิจวัตรประจ้าวันและการออกก้าลังกาย ในการศึกษาครั้งนี้ ใช้แบบประเมิน ความสามารถในการเดินโดยใช้ Timed Up and Go Test (TUGT) ซ่ึงเป็นแบบประเมินความเสี่ยงในการล้มใน ผู้สูงอายุที่มีปัญหาข้อเข่าเสื่อม โดยผู้ทดสอบจะบันทึกเวลาที่ใช้ในการท้ากิจกรรมทปี่ ระกอบด้วยการลุกขึ้นยืนจาก เก้าอ้ี เดินด้วยความเร็วปกติ (comfortable speed) ในระยะทาง 3 เมตร (10 ฟุต) หมุนตัวกลับ เดินกลับมาท่ี เก้าอ้ีและน่ังลง ท้าการทดสอบ 3 คร้ัง ผลของเวลาในการทดสอบน้ามาเฉลี่ยกัน การทดสอบ TUG มีหลายค่า ค่า ตัดแบ่งในกลุ่มของผู้สูงอายุคือ 1) ผู้สูงอายุท่ีอาศัยในชุมชน มากกว่า 13.50 วินาที 2) ผู้สูงอายุที่พักรักษาใน พยาบาล มากกว่า 15 วินาที 3) ผู้สูงอายุที่เป็นโรคหลอดเลือดสมอง มากกว่า 14 วินาที และผู้สูงอายุท่ีเป็นโรคข้อ สะโพกเสอื่ ม มากกว่า 10 วินาที (Jalayondeja, 2014) ผู้สูงอายุทีม่ ปี ัญหาข้อเขา่ เส่ือม จะมีปัญหาเร่อื งการทรงตัว การลุกน่ัง การยืน และการเดิน ท้าให้ใช้ระยะเวลาในการเดินมากกว่าปกติ จากผลการศึกษาในคร้ังน้ีพบว่า ค่าเฉล่ียของคะแนนความสามารถในการเดินก่อนการทดลอง กับ หลังการทดลอง 5 วัน และ หลังการทดลอง 2 สัปดาห์ มีระยะเวลาลดลงอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติ (p<.05) แสดงว่า การพอกเข่าด้วยสมุนไพรและการส่งเสริม การปฎิบัติตัว ท้าให้กลุ่มตัวอย่างมีความสามารถในการเดินเพิ่มข้ึน และลดความเสี่ยงต่อการหกล้มได้ แต่ค่าเฉล่ีย ของคะแนนความสามารถในการเดิน หลังการทดลอง 5 วนั กบั หลังการทดลอง 2 สัปดาห์ มีระยะเวลาลดลงอย่าง ไมม่ นี ยั สาคัญทางสถิติ (p<.05) แสดงวา่ ความสามารถในการเดินเพิ่มขนึ้ แต่ไม่มีความแตกต่างกนั อาจเนือ่ งมาจาก หลังการทดลองในสัปดาห์ท่ี 2 กลุ่มตัวอย่างไม่ได้มีการพอกเข่าร่วมด้วยแต่ยังคงมีการปฎิบัติตัวตามค้าแนะน้าใน คมู่ ือ ซง่ึ การพอกเข่าดว้ ยสมุนไพรอย่างสม่้าเสมอจะชว่ ยบรรเทาอาการปวดเขา่ ได้ เหน็ ไดจ้ ากการศึกษาของปิยะพล พูลสุข และคณะ (Poonsuk et al.,2017) พบว่า ระดับความปวดของข้อเข่า ระดับอาการข้อฝืด และช่วงเวลาใน การลุกเดนิ ลดลง และระดับความสามารถในการใชง้ านของข้อเขา่ ดีขนึ้ หลังไดร้ บั การพอกเข่าดว้ ยยาสมนุ ไพร นอกจากน้ีการส่งเสริมการดูแลตนเองของผู้สูงอายุโรคข้อเข่าเสื่อม โดยเฉพาะการพอกเข่าสมุนไพรด้วย ตนเองและการปฎิบัติตัวท่ีถูกต้อง มีผลช่วยบรรเทาอาการปวด และท้าให้มีการเคล่ือนไหวของข้อเพิ่มขื้น จึงส่งผล ให้ความสามารถในการเดินเพ่ิมข้ึนได้ เห็นได้จากการศึกษาการพัฒนาการดูแลผู้สูงอายุปวดข้อเข่าในชุมชนที่มี หลักสูตรในการพัฒนาอสม.ท้าให้ชุมชนมีกลุ่มแกนน้าท่ีสามารถดูแลผู้สูงอา ยุปวดข้อเข่าในชุมชนได้การพัฒนา ผู้สูงอายุโดยการให้ความรู้เร่ืองโรค การฝึกการบริหารข้อและกล้ามเน้ือรอบข้อ และการมีคู่มือในการปฏิบัติการ บริหาร จะช่วยให้ผู้สูงอายุม่ันใจและสามารถท่ีจะปฏิบัติกิจกรรมการบริหารเพื่อลดอาการปวด เพ่ิมความสามารถ ในการเคล่ือนไหวข้อเข่า และลดการใช้ยาลงได้ (Phakdisamai & Panichacheewakul, 2011) ซ่ึงสอดคล้องกับ วารสารวิชาการสขุ ภาพภาคเหนอื ปีที่ 9 ฉบบั ที่ 1 เดอื น มกราคม – มิถุนายน 2565 Journal of Health Sciences Scholarship January - June 2022, Vol.9 No.1
191 วารสารวชิ าการสขุ ภาพภาคเหนอื (Journal of Health Sciences Scholarship) การศึกษาผลการใช้รูปแบบโปรแกรมการสนับสนุนการจัดการตนเองในผู้สูงอายุที่มีภาวะปวดข้อเข่า พบว่า หลัง การทดลอง กลุ่มตัวอย่างมีระดับความปวด ระดับข้อฝืดลดลง และระดับความสามารถในการใช้ข้อเพ่ิมขึ้น อย่างมี มนี ัยสา้ คญั ทางสถิตทิ รี่ ะดับ < .01 (Udomsak, 2019) ผลการศึกษาคร้ังน้ีแสดงให้เห็นว่า การพอกเข่าด้วยสมุนไพรร่วมกับการส่งเสริมการปฎิบัติตัวที่ถูกต้อง สามารถช่วยบรรเทาอาการปวดและส่งผลให้มีการเคล่ือนไหวของข้อและความสามารถในการเดินเพ่ิมข้ึน ท้าให้ ผู้สูงอายุโรคข้อเข่าเสื่อมสามารถพ่ึงพาตนเองได้มากข้ึน และมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น จากผลการศึกษาผลการใช้ โปรแกรมการจัดการตนเองของผู้สูงอายุโรคข้อเส่ือม ช่วยส่งเสริมทักษะในการจัดการกับปัญหาสุขภาพและ เกิด ผลลัพธ์ทางสุขภาพท่ีดี มีผลท้าให้ผู้สูงอายุโรคข้อเข่าเส่ือมมีความสามารถในการปฎิบัติกิจวัตรประจ้าวันเพิ่มข้ึน สามารถด้าเนินชีวิตได้ อย่างปกติและมีคุณภาพชีวิตที่ดี (Petcharat,& Kaspichayawattana, 2014) ดังน้ันการ ส่งเสริมคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุท่ีมีภาวะข้อเข่าเสื่อมในปัจจุบันควรใช้วิธีการพอกเข่าด้วยสมุนไพรร่วมกับก าร ส่งเสรมิ การดแู ลตนเองทถ่ี ูกตอ้ ง เอกสารอ้างอิง Areeuea, S., Wanavanan, S. & Rupsawang, I. (2016). Selected factors in predicting health status. of people with osteoarthritis symptoms. Journal of Public Health Nurses. 30(1). 28-46. Allen, K.D., & Golightly, Y.M. (2015). Epidemiology of osteoarthritis: state of the evidence. Current Opinion in Rheumatology. 27(3), 276-283. Billi, J. (2018). The Effects of Self- Knee Pain Relief Program in Elderly with Osteoarthritis. Thai Journal of Public Health and Health Sciences. 1 (2). (in Thai). Center for Disease Control: CDC. Arthritis Statistic. Retrieved (2020, January 29) from http://www.cdc.gov/ arthritis/data_statistics/arthritis_related_stats.htm; 2010. Department of Elderly Affairs. (2019). Statistics of the elderly. http://www.dop.go.th/th/know/side/1/1/275 Department of Thai Traditional and Alternative Medicine, Ministry of Health. (2016). Guidelines for examination and treat osteoarthritis with Thai traditional medicine. Bangkok: Sam Charoen Commercial (Bangkok) Co., Ltd. Durham, C. O., Fowler, T., & Edlund, B. (2014). Managing knee osteoarthritis in older adults. American Nurse Today, 9(7). Retrieved (2020, January 29) from http://www.americannursetoday.com/manageing-kneeosteoarthritis-in-older-adults/ Inkaew, C. (2020). Effectiveness of the Program in Reducing Knee Osteoarthritis Problems in the Elderly osteoarthritis, Chang Sai Hospital, Kanchanadit District, Surat Thani Province Journal of Medicine District. 11(33), 293-301. (in Thai). วารสารวิชาการสขุ ภาพภาคเหนือ ปีท่ี 9 ฉบบั ท่ี 1 เดอื น มกราคม – มถิ นุ ายน 2565 Journal of Health Sciences Scholarship January - June 2022, Vol.9 No.1
192 วารสารวชิ าการสขุ ภาพภาคเหนือ (Journal of Health Sciences Scholarship) Poonsuk, P., Songphasuk, S., Chantha, M., Nimphithakphong, N & Jiratsathit. K. (2017). Effectiveness of herbal poultices for relieving knee pain in osteoarthritis patients. Thammasat Medicine, 18(1). 104-111. Institute of Thai Traditional Medicine. (2016). Handbook of Elderly Care for Osteoarthritis with Traditional Medicine Thai and Integrated Medicine for public health volunteers. Nonthaburi : Factory Affairs Office Print the War Veterans Organization. Jalayondeja, C. (2014). Falls screening by Timed Up and Go (TUG). Journal of Medical Tecnology and Physical therapy. 26(1), 5-16. Kawinwongkowit, W., et al. (2017). Osteoarthritis of the knee. Bangkok: Hip joint unit and knee joints department Orthopedic, Faculty of Medicine Ramathibodi Hospital. Retrieved (2017,July 12) from https://med.mahidol.ac.th/ortho/sites/default/fifiles/public/fifile/pdf/knee Lekutai ,S., Tansuwannon ,W., Sereechotchahiran ,S.,& Buakham ,P.(2008).Pain-relieving effects of hot herbal compressin patients with knee osteoarthritis. Journal of Thai Traditional& Alternative Medicine. 6(2), 219-228. (in Thai). Mathhujad, P. & Nititham, A. (2020). Effectiveness of a behavioral promotion program for reducing knee pain in osteoarthritis patients who receive treatment at a Thai traditional medical clinic Nong Suea Hospital Pathum Thani Province. Advanced Science Jounal. 20 (1), 70-89. (in Thai). Malaimart, S., Danyuthsilp, C., Tangkavanich, T. & Kittimanon, N. (2012). Effects of Empowerment Program on Self -care Behaviorsand Pain Level among Older Adults Osteoarthritis, Muang District, NakhonSawan Province. Journal of Public Health Nurses. 26(2) : 44-57 Nimit-arnun, N. (2014). Epidemiological situation and risk assessment of osteoarthritis in Thai people. The Royal Thai Army Nursing Journal. 15(3), 185-194. Petcharat, N.,& Kaspichayawattana. J. (2014). Impact of a Self-Management Programme on Old – Age Osteoartthritis Patients’ Daily Activities and Health-Related Quality of life. Thai Journal of Nursing Council. 2014; 29(2): 127-140. Pew-ngern, T. & Tuma, K. (2020). Comparison of the effect of Thai herbal compress and vine- piercing compress on pain in patients with osteoarthritis. Journal of Thai Traditional & Alternative Medicine. 18(2), 297-305 (in Thai). Poonsuk, P., Songphasuk, S., Chantha, M., Nimphithakphong, N. & Jiratsathit, K. (2017). Effectiveness of herbal poultices for relieving knee pain in osteoarthritis patients. Thammasat Medicine, 18(1), 104-111. วารสารวิชาการสขุ ภาพภาคเหนือ ปที ี่ 9 ฉบบั ที่ 1 เดอื น มกราคม – มิถนุ ายน 2565 Journal of Health Sciences Scholarship January - June 2022, Vol.9 No.1
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285