Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore 17026-5889-PB

17026-5889-PB

Published by Sucheera Panyasai, 2021-12-25 04:06:32

Description: 17026-5889-PB

Keywords: วารสารวิชาการสุขภาพภาคเหนือ

Search

Read the Text Version

243 วารสารวิชาการสุขภาพภาคเหนือ (Journal of Health Sciences Scholarship) ผ่านการรับรองคณุ ภาพของ TCI และอยูใ่ นฐานขอ้ มลู TCI กลมุ่ ท่ี 2 (จนถงึ 31 ธันวาคม 2567) วธิ ีการวเิ คราะห์ข้อมูลเชงิ คณุ ภาพ ผ้วู ิจยั วิเคราะหข์ อ้ มลู โดยไฟล์เสยี งจากการสนทนากลุ่มและการสัมภาษณ์ จะถูกนำมาถอดเทปแบบคำต่อ คำและค้นหาประเด็นสำคัญโดยใช้การวิเคราะห์เชิงเนื้อหา (content analysis) ด้วยวิธีการวิเคราะห์ข้อมูลแบบ แบบอุปนัย (inductive coding) และการจัดกลุ่มข้อมลู ให้เป็นหมวดหมู่ (taxonomy) เชื่อมโยงข้อมูล และการ ตรวจสอบขอ้ มลู แบบสามเส้า (triangulation) กบั บนั ทึกการสังเกตในสนาม จากนัน้ ผ้วู ิจยั จะนำประเด็นหลักท่ีได้ จากกับกลุ่มตัวอย่าง เพือ่ การตรวจสอบความถูกต้อง และให้ข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อความชัดเจนและนำมาปรับปรุง ประเดน็ หลักใหม่เพ่อื หาขอ้ สรปุ รว่ มกันกบั ภาคเี ครอื ข่ายทเี่ กี่ยวข้อง การพทิ ักษส์ ทิ ธกิ ลุ่มตวั อยา่ งและมาตรฐานจริยธรรมการวจิ ัย ผู้วิจัยเสนอโครงร่างวิจัยเพื่อขอรับรองจากคณะกรรมการพิจารณาจริยธรรมการวิจัยเกี่ยวกับมนุษย์ วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี นครลำปาง ตามเลขที่จริยธรรม E2563/067 รับรองตั้งแต่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2563 - 4 มิถนุ ายน พ.ศ. 2564 ผลการวจิ ยั ระยะที่ 1 การสำรวจสถานการณก์ ารเจริญเติบโตและพฒั นาการเดก็ ก่อนวัยเรยี น 1. สถานการณก์ ารเจริญเตบิ โตและพฒั นาการเด็กวยั กอ่ นเรียนของกลุม่ ตวั อย่าง จำนวน 80 คน เป็นเพศ ชายรอ้ ยละ 56.3 โดยมอี ายุมากกวา่ 2 ปี 6 เดือน - 4 ปี ร้อยละ 42.3 ผู้ปกครองเด็กส่วนใหญ่เป็นมารดา (ร้อยละ 81.3) อายมุ ากกวา่ 25 -35 ปี (ร้อยละ 50.0) ลกั ษณะเปน็ ครอบครวั เดีย่ ว (รอ้ ยละ 85.0) อาชพี รบั ราชการ (รอ้ ยละ 40.0) การศกึ ษาปรญิ ญาตรี (ร้อยละ 67.5) และรายได้สว่ นใหญข่ องครอบครวั 30,001–45,000 บาท (ร้อยละ 52.5) ตารางที่ 1 จำนวนและร้อยละปัญหาการเจริญเติบโตและพัฒนาการเด็ก ปัจจัยที่มีผลต่อการเจริญเติบโตและ พัฒนาการเดก็ จากการใหข้ ้อมูลของผู้ปกครอง (n = 80) รายการประเมนิ จำนวน รอ้ ยละ การเจริญเตบิ โต 28 35.00 - นำ้ หนักไม่ตามเกณฑ์ 12 15.00 - ส่วนสูงไม่ตามเกณฑ์ 23 28.70 - ไม่สมสว่ น พฒั นาการ 43 53.75 - สมวัยทุกด้าน 37 46.25 - ไมส่ มวยั 26 32.50 - ไม่สมวยั 1 ด้าน 11 13.75 - ไม่สมวัยมากกวา่ หรอื เท่ากับ 2 ด้าน วารสารวิชาการสขุ ภาพภาคเหนอื ปีท่ี 8 ฉบับท่ี 2 เดือน กรกฎาคม – ธันวาคม 2564 Journal of Health Sciences Scholarship July - December 2021, Vol.8 No.2

244 วารสารวิชาการสุขภาพภาคเหนอื (Journal of Health Sciences Scholarship) ผา่ นการรับรองคุณภาพของ TCI และอย่ใู นฐานขอ้ มูล TCI กลุ่มที่ 2 (จนถงึ 31 ธันวาคม 2567) ตารางที่ 1 จำนวนและรอ้ ยละปญั หาการเจริญเตบิ โตและพฒั นาการเด็ก ปจั จยั ทมี่ ผี ลตอ่ การเจรญิ เตบิ โตและ พัฒนาการเดก็ จากการให้ขอ้ มลู ของผปู้ กครอง (n = 80) (ต่อ) รายการประเมนิ จำนวน รอ้ ยละ ปัจจัยทม่ี ีผลตอ่ การเจริญเตบิ โต 48 60.00 - พฤติกรรมการบรโิ ภคอาหารไมเ่ หมาะสมกบั วยั 45 56.25 - พฤติกรรมการออกกำลงั กายไม่เหมาะสมกบั วยั 33 41.25 - พฤติกรรมการนอนหลบั ไมเ่ หมาะสมกบั วยั 41 51.25 ปจั จยั ที่มีผลต่อพฒั นาการเด็ก 32 40.00 - การสง่ เสรมิ ทกั ษะการช่วยเหลือตนเองไมเ่ พยี งพอ 46 57.50 - การสง่ เสรมิ ทักษะด้านสังคม ปฏสิ มั พันธร์ ่วมกับผู้อ่ืนไมเ่ พยี งพอ 42 52.25 - การสง่ เสรมิ การใช้ภาษาจากการอ่านและเขยี นไม่เพียงพอ - การจดั กจิ กรรมเรยี นรดู้ ้วยการเลน่ ไม่เหมาะสม จากตารางที่ 1 แสดงปญั หาด้านการเจริญเติบโต พบว่า มเี ด็กน้ำหนกั ไม่ตามเกณฑ์ รอ้ ยละ 35.00 ส่วนสูง ไมต่ ามเกณฑ์ ร้อยละ 15.00 ไม่สมส่วน รอ้ ยละ 28.70 สว่ นปญั หาดา้ นพัฒนาการ พบวา่ เด็กมีพัฒนาการไม่สมวัย จำนวน 37 คน (ร้อยละ 46.25) โดยพัฒนาการไม่สมวัยเพียง 1 ด้าน จำนวน 26 คน (ร้อยล ะ 32.50) และมี พัฒนาการไม่สมวัยมากกว่าหรือเท่ากับ 2 ด้าน จำนวน 11 คน (ร้อยละ 13.75) ปัจจัยที่มีผลต่อปัญหาการ เจรญิ เติบโต พบว่า เดก็ มีพฤติกรรมการบริโภคอาหารไมเ่ หมาะสมกับวัย ร้อยละ 60.00 พฤติกรรมการออกกำลัง กายไม่เหมาะสมกบั วัยร้อยละ 56.25 พฤติกรรมการนอนหลับพักผ่อนไม่เหมาะสม ร้อยละ 41.25 และในปญั หา การส่งเสริมการพัฒนาการของผู้ปกครอง พบว่า เด็กไดร้ ับส่งเสริมการใช้ภาษาจากการอ่านและเขียนไม่เพียงพอ การจดั กิจกรรมเรยี นรูด้ ้วยการเลน่ ไม่เหมาะสม การส่งเสริมทกั ษะการช่วยเหลือตนเองไมเ่ พียงพอ และการส่งเสริม ทกั ษะดา้ นสังคม ปฏิสัมพนั ธร์ ่วมกับผู้อืน่ ไม่เพียงพอ รอ้ ยละ 57.50, 52.25, 51.25, และ 40.00 ตามลำดบั 2. ความรแู้ ละทกั ษะปฏบิ ตั เิ กี่ยวกบั การส่งเสรมิ การเจรญิ เตบิ โตและพฒั นาการเด็กของครูผ้ดู แู ลเด็ก ตารางที่ 2 ค่าต่ำสุด ค่าสงู สุด ค่าเฉล่ยี และคา่ เบีย่ งเบนมาตรฐานของความรูแ้ ละทกั ษะปฏบิ ตั เิ ก่ยี วกบั การส่งเสริม การเจรญิ เติบโตและพฒั นาการเด็กของครู/ผูด้ แู ลเดก็ (n = 13) การประเมนิ Min Max Mean(S.D.) ความรกู้ ารส่งเสริมการเจรญิ เตบิ โต 10 17 13.77(2.16) การสง่ เสริมการเจรญิ เติบโต จำนวน 20 ขอ้ ความรู้การสง่ เสรมิ พฒั นาการ 9 15 11.77(1.77) การสง่ เสรมิ การพัฒนาการ จำนวน 20 ขอ้ 48 6.08(1.38) ทกั ษะปฏิบัติการส่งเสรมิ การเจรญิ เติบโต การส่งเสรมิ การเจรญิ เตบิ โต จำนวน 10 รายการ 37 5.00(1.00) ทักษะปฏิบัติการส่งเสรมิ พัฒนาการ การสง่ เสริมพฒั นาการ จำนวน 10 รายการ วารสารวชิ าการสุขภาพภาคเหนอื ปีท่ี 8 ฉบับท่ี 2 เดือน กรกฎาคม – ธันวาคม 2564 Journal of Health Sciences Scholarship July - December 2021, Vol.8 No.2

245 วารสารวิชาการสุขภาพภาคเหนอื (Journal of Health Sciences Scholarship) ผ่านการรับรองคณุ ภาพของ TCI และอยู่ในฐานข้อมลู TCI กลุ่มที่ 2 (จนถงึ 31 ธนั วาคม 2567) จากตารางท่ี 2 พบวา่ ครผู ดู้ ูแลเด็กมีค่าคะแนนเฉลยี่ ความรใู้ นการสง่ เสรมิ การเจรญิ เตบิ โตมากกว่าการ สง่ เสรมิ พฒั นาการ (Mean=13.77 ,S.D.= 2.16, Mean=11.77,S.D.= 1.77) และ ครผู ดู้ ูแลเดก็ มคี ่าคะแนนเฉลีย่ ทกั ษะปฏิบัติการสง่ เสริมการเจรญิ เติบโตท่ีถูกตอ้ งมากกว่าการสง่ เสริมพฒั นาการ (Mean=6.08 S.D.=1.38, Mean=5.00, S.D.=1.00) ระยะท่ี 2 วธิ ีเชงิ ปฏบิ ัติการ ผลการวิเคราะหข์ อ้ มูลจากการสนทนากลุ่ม สถานการณก์ ารเจรญิ เติบโตและพัฒนาการเด็กก่อนวัยเรยี น ข้นั ตอนที่ 1 การวิเคราะหป์ ญั หาสถานการณ์การเจริญเตบิ โตและพฒั นาการเดก็ (Analyzing) 1. การวิเคราะหป์ ัญหาสถานการณก์ ารเจรญิ เติบโต 1.1 ปัจจัยที่มีผลต่อการเจริญเตบิ โตไม่ตามเกณฑ์ เด็กมีการใช้พลังงานและการบริโภคอาหาร ไม่สมดุล ส่งผลกระทบให้เด็กมีการเจริญเติบโตไม่เหมาะสมกับวัย ได้แก่ น้ำหนักตัวน้อย เตี้ย อ้วน รวมท้ัง พฤติกรรมการรับประทานอาหารทไี่ มส่ มดลุ เช่น รับประทานหารครั้งละนอ้ ย ๆ กนิ จกุ จิก จะใช้พลังงานส่วนใหญ่ กบั การเล่น ดงั ตวั อย่างคำพูดจากครูผูด้ ูแลเด็ก “ในศูนยเ์ ด็ก จะมีเดก็ ที่มปี ัญหาน้ำหนกั ผอม และเต้ียเป็นส่วนใหญ่ เด็กอว้ นจะเจอตงั้ แตก่ ลุ่มเด็กเลก็ ในบางราย และบางรายก็เจอในกลุ่มเด็กโต สว่ นเด็กตัวผอมและเตี้ยมากกว่ามัก เริม่ เจอในกล่มุ หัดเดิน” “เดก็ ตัวเลก็ ๆ ผอม เต้ีย เพราะไม่ทานอาหารม้ือเชา้ ทานข้าวไดท้ ีละน้อย ชอบกินจุกจิก ก่อนมื้ออาหาร และชอบทานนมรสหวาน ไม่ค่อยอยากทานอาหาร ทานได้สองสามคำ บอกว่าอ่ิมแล้ว” และจาก ตัวอย่างคำพูดของผู้ปกครอง “แม่สงั เกตว่า ช่วงลกู อายุน้อย จะทานอาหารได้มากกว่า แตพ่ อหลังอายุหนึ่งขวบจะ ทานไดน้ ้อยลง มักชอบห่วงเล่น ไม่ยอมทานขา้ ว ชอบอมข้าว” “ตอนเล็ก ๆ ลกู อว้ นจ้ำมำ้ นา่ รกั พอโตขน้ึ ว่งิ ซุกซน ไม่อยนู่ งิ่ และไมค่ อ่ ยทานอะไร ทานอาหารไดน้ ้อยมาก” 1.2 พฤติกรรมการบรโิ ภคอาหารของเด็กไม่เหมาะสม ทั้งรูปแบบการรบั ประทานอาหาร และ รับประทานอาหารไม่ครบ 5 หมู่ ดังตวั อยา่ งคำพูดของผปู้ กครอง “ลกู เปน็ เด็กอว้ น ชอบทานอาหารจานเดยี ว มัก ชอบทานไก่ทอดเป็นประจำทกุ วนั ไม่ทานผกั แตช่ อบทานผลไมร้ สหวานมาก” “เดก็ ท่ีอ้วนจะชอบอาหารรสหวาน บางคนไม่ทานข้าว ทานแต่ข้าวเหนียว และแซนวิช” “เด็กจะเขี่ยผักทิ้ง ไม่ว่าผักอะไร ก่อนตกั อาหารใส่ปาก ถ้า ทานไปเจอเศษผกั เล็กๆ จะคายทิง้ ” และครูผู้ดแู ลเด็กให้ขอ้ มลู ดังตวั อยา่ งคำพดู “บางคนเตรยี มอาหารเช้าไม่ทัน ใหล้ ูกแวะร้านอาหารสะดวกซือ้ มาทานทศ่ี ูนย์เด็กเป็นประจำ”“เด็กจะนัง่ ตักแยกข้าวกับเนอื้ และเขี่ยผักออกนอก จาน ครูต้องชอ่ นป้อนอาหารโดยแอบทำผักเลก็ เล็กทสี่ ดุ ไวใ้ ตข้ ้าว แต่พอเดก็ ทานเขา้ ไปเจอผกั กจ็ ะคายผักทง้ิ ” 1.3 ขาดการส่งเสริมและสนบั สนุนการจัดอาหารและโภชนาการตามเกณฑ์มาตรฐาน ส่งผล ใหเ้ ดก็ ไดร้ บั ปรมิ าณอาหารไมเ่ หมาะสมกับความตอ้ งการของร่างกาย ดังตวั อยา่ งคำพดู ของครผู ู้ดูแลเด็ก “การจัด เมนูอาหารในศูนย์เด็กจะใช้วิธีกะปริมาณตามจำนวนเด็ก และจัดสบั เปลี่ยนเมนูอาหารเด็กรายเดอื นโดยผูจ้ ัดการ ศูนย์เด็ก” “เมนูอาหารส่วนใหญ่ไม่ได้คุณภาพตามเกณฑ์ รสชาติไม่ถูกปากเด็ก ทานได้บางเมนู” โดยอาจารย์ พยาบาลเด็กมคี วามคิดเห็นว่า ควรมกี ารสรรหาตำแหนง่ นกั โภชนาการหรอื แม่ครวั เพอื่ กำหนดรายการอาหารให้ได้ เป็นไปตามมาตรฐาน ดงั ตวั อยา่ งคำพดู “ทางศนู ยเ์ ด็ก ไม่มตี ำแหน่งแมค่ รวั หรือนักโภชนาการ สง่ ผลให้ต้องมีการ วารสารวิชาการสขุ ภาพภาคเหนือ ปีที่ 8 ฉบบั ที่ 2 เดือน กรกฎาคม – ธนั วาคม 2564 Journal of Health Sciences Scholarship July - December 2021, Vol.8 No.2

246 วารสารวิชาการสุขภาพภาคเหนือ (Journal of Health Sciences Scholarship) ผา่ นการรับรองคณุ ภาพของ TCI และอยู่ในฐานข้อมลู TCI กลมุ่ ท่ี 2 (จนถงึ 31 ธันวาคม 2567) ควบคุมสถานที่ปรุงอาหาร ประกอบอาหารทำได้ไม่ต่อเนื่อง ส่งผลต่อคุณภาพอาหารส่วนใหญ่ไม่ได้ตามเกณฑ์ มาตรฐาน” “อาหารของเด็กเล็ก ตอ้ งมผี ดู้ แู ลเดก็ ในกลมุ่ หมุนเวยี นมาทำเองรายสปั ดาห์ ทำใหต้ อ้ งทง้ิ ภาระการดูแล เดก็ ใหก้ บั ผู้ดแู ลเด็กท่านอืน่ ในหอ้ ง ประมาณวนั ละ 1-2 ชัว่ โมงต่อวัน ส่งผลตอ่ การคุณภาพการบริการแก่เด็กกลุ่ม เด็กเลก็ ” 1.4 เดก็ ขาดการส่งเสรมิ กจิ กรรมการออกกำลังกายตามวัย ทำให้ส่งผลตอ่ ตอ่ การเจริญเติบโต และสุขภาพร่างกายแขง็ แรง ดังตัวอยา่ งคำพูดของผปู้ กครอง “ทบ่ี า้ น นอ้ งจะออกกำลงั กายวง่ิ เล่นในบ้าน ไม่ค่อย ได้ไปออกกำลังกายนอกบ้าน หรือสนาม เนื่องจากพอ่ แม่ไม่มเี วลา ทำงานกลับบ้านค่ำ ส่วนใหญ่พาไปออกกำลัง กายวันเสารอ์ าทติ ย์” ในศูนยเ์ ดก็ ไมไ่ ดจ้ ดั กจิ กรรมการออกกำลังกายเคร่ืองเล่นสนามและเครื่องเล่นสนามบางช้ิน ชำรดุ ดงั ตัวอย่างคำพูด “เด็กจะได้รบั การออกกำลงั กาย ในกจิ กรรมการเคลื่อนไหวในศูนยเ์ ด็ก แต่ไม่ค่อยได้ออก กำลังกาย หรอื เลน่ เครือ่ งเล่นสนามนอกห้องเรียน”“เดก็ ในศูนย์เดก็ ได้ลงออกกำลังกายเลน่ เครอ่ื งเล่นสนามได้ไม่ ครบทกุ กลุ่ม บางคร้งั สนามกไ็ ม่พรอ้ มใช”้ 1.5 เด็กขาดการส่งเสริมใหเ้ ดก็ ได้นอนหลับพักผอ่ นให้เพียงพอ ในบางครอบครัวเด็กได้รับ การพักผ่อนไม่เหมาะสมกบั อายุ ทำให้เดก็ นอนดกึ ตน่ื สาย ส่งผลต่อการเจรญิ เติบโตได้ ดงั ตัวอยา่ งคำพูดผู้ปกครอง “เดก็ จะได้นอนพกั ผอ่ นไม่ต่อเน่อื ง สว่ นใหญ่จะติดการ์ตนู ในโทรศัพท์ งอแงไม่ยอม บางครัง้ แมง่ านยุ่ง ไม่ได้พาเข้า นอน ก็เลยตอ้ งนอนพร้อมแม่ประมาณสีท่ ุ่มหรือห้าทุ่ม” ทำให้เด็กบางคนมาพักผ่อนตอ่ ทศ่ี ูนย์เด็ก ซึง่ ทางศูนย์เด็ก ได้จัดส่งิ แวดลอ้ มในการพกั ผ่อนกลางวัน เช่น การจดั บรรยากาศที่เงยี บสงบและเปดิ เพลงบรรเลงให้ฟังช่วยในการ พักผ่อนนอนหลบั ดงั ตวั อยา่ งคำพูดของผู้ดแู ลเด็ก “ทางศนู ยเ์ ดก็ จะจัดสิง่ แวดล้อมให้เดก็ ในศนู ย์เด็กนอนพักผ่อน กลางวันอย่างน้อย 1–2 ชั่วโมง” “เด็กบางคน ไม่ยอมนอนกลางวัน บางคนก็นอนได้น้อยประมาณครึ่งชั่วโมง โดยเฉพาะกลุ่มเดก็ เลก็ ถ้าชว่ งอากาศรอ้ นเดก็ จะนอนไม่คอ่ ยหลับ นอนได้ประมาณสิบนาทีก็ตนื่ ” 2. การวเิ คราะหป์ ัญหาสถานการณพ์ ัฒนาการ 2.1 ปัจจยั ทีม่ ีผลตอ่ พัฒนาการเด็กไม่สมวยั โดยบางรายมปี ัญหาพฤติกรรมที่ไมพ่ ่งึ ประสงค์ รว่ มด้วยการดูแลเพือ่ ส่งเสริมพฒั นาการเด็กของผปู้ กครองที่ไมเ่ หมาะสม ดังตวั อยา่ งคำพดู ของครผู ดู้ ูแลเด็ก “เด็ก ในศนู ย์เด็กมีพฒั นาการชา้ หลายคน บางคน 2 ขวบยงั พดู เปน็ คำ ๆ อยเู่ ลย แตบ่ างคน 3 ขวบยังไม่เขา้ ใจคำส่ัง และ เล่นกับเพื่อนๆไม่ได้” “มีเด็กในศูนย์เด็ก ตอนนี้จำนวน 4 คน ที่ต้องให้ผู้ปกครองพาน้องไปพบผู้เชี่ยวชาญที่ เก่ยี วขอ้ งกบั ดา้ นพัฒนาการและพฤตกิ รรมเดก็ ” ซงึ่ สอดคล้องกบั ขอ้ มลู ท่ีได้จากนักศึกษาพยาบาลทพ่ี บวา่ เมอ่ื มนี อ้ ง พฒั นาการและพฤตกิ รรมที่ไม่เหมาะสม ส่งผลใหต้ ้องมีผดู้ ูแลเด็กอยา่ งใกล้ชิดเพ่อื ปอ้ งกันอันตราย ดงั ตวั อย่างคำพดู “มีน้องอายุ 3 ขวบกว่า ชอบอย่ไู ม่น่ิง ปีนป่ายทสี่ ูง ชอบส่งเสียงเอะอะโวยวาย ไม่เขา้ ใจกฎกติกากลมุ่ ไมม่ ีสมาธิใน การเรยี นรู้ ทำให้ผู้ดูแลเด็กตอ้ งมาดแู ลน้องคนน้พี ิเศษคนเดยี ว สง่ ผลใหเ้ ดก็ คนอ่นื ได้รบั การดูแลไดไ้ มด่ ีเท่าที่ควร” 2.2 ทาง 2 แพร่ง จากสื่อออนไลน์ ส่งผลให้เด็กมีพัฒนาการไม่สมวัยทุกดา้ น เนื่องจากส่อื ออนไลน์เป็นสือ่ การเรียนรู้ทางเดียว เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว กระตุ้นเร้าอารมณ์ ทั้งมีแสง สี เสียง ที่กระตุ้นการ ทำงานของคล่นื กระแสไฟฟา้ ของสมองในช่วงเดก็ กอ่ นวยั เรยี นมากเกนิ ไปเมอื่ ใชใ้ นเวลานาน จึงไม่เหมาะสมอย่างยง่ิ วารสารวชิ าการสุขภาพภาคเหนอื ปีท่ี 8 ฉบบั ที่ 2 เดอื น กรกฎาคม – ธันวาคม 2564 Journal of Health Sciences Scholarship July - December 2021, Vol.8 No.2

247 วารสารวิชาการสขุ ภาพภาคเหนือ (Journal of Health Sciences Scholarship) ผ่านการรับรองคณุ ภาพของ TCI และอยใู่ นฐานขอ้ มูล TCI กลมุ่ ท่ี 2 (จนถงึ 31 ธนั วาคม 2567) กับการนำสื่อออนไลน์เป็นสื่อการเรียนรูห้ รือแทนของเล่นให้กับเด็ก ดังตัวอย่างคำพดู ของอาจารย์พยาบาลเดก็ “ผูป้ กครองหลายทา่ นมกั เข้าใจผดิ คิดว่าสื่อออนไลน์ไม่ว่าจะเปน็ โทรทัศน์ เคร่ืองคอมพวิ เตอร์ โนต๊ บคุ๊ แท็บเลต มือ ถือ จะเป็นสิง่ ท่ีช่วยส่งเสรมิ พฒั นาการเด็ก จึงมักเหน็ เด็กใช้มือถือมากกวา่ การใชข้ องเล่น หรือหยิบหนังสืออ่าน” ส่งผลใหเ้ ดก็ มพี ฒั นาการลา่ ช้าดา้ นการใช้ภาษา ต้องสง่ ไปพบกุมารแพทย์ด้านพัฒนาการเพ่อื กระตนุ้ พฒั นาการ ดัง ตวั อยา่ งคำพดู ของครผู ูด้ แู ลเดก็ “เดก็ ทีม่ ีพฒั นาการด้านการเข้าใจภาษาและการใช้ภาษาไมส่ มวัย ส่วนใหญ่เกดิ จาก ครอบครัวไมค่ อ่ ยมเี วลาจัดกิจกรรมการเลน่ กับลูก มักให้ลูกดทู วี ี หรือดูการ์ตูน จะพดู ชา้ ไมช่ ดั ต้องสง่ ไปพบแพทย์ เพอ่ื กระตนุ้ พัฒนาการ” 3. ขาดการเชอ่ื มโยงทางดา้ นโครงสรา้ งและกระบวนการส่งเสรมิ การเจรญิ เติบโตและพฒั นาการ 3.1 ศกั ยภาพทต่ี ้องการเตมิ เต็มของครผู ดู้ แู ลเด็ก 3.1.1 ดา้ นความรูเ้ ป็นประเด็นสำคัญท่ีตอ้ งพฒั นาศกั ยภาพของครูผดู้ แู ลเด็ก ซงึ่ ครู ผู้ดแู ลเดก็ ต้องพัฒนาศักยภาพตอ่ เนอื่ งระหวา่ งประจำการอย่างนอ้ ยปลี ะ 20 ชั่วโมงในแต่ละปี โดยเฉพาะความรแู้ ละ ทักษะปฏิบัติการดูแลเด็กด้านสุขภาพเพื่อการส่งเสริมการเจริญเติบโตและพฒั นาการเด็ก ดังตัวอย่างคำพูดของ อาจารย์พยาบาลเดก็ “ครยู งั ขาดความรแู้ ละทกั ษะในการประเมินพฒั นาการเด็ก ซ่ึงปจั จุบันเปลี่ยนมาใช้คู่มือเฝ้า ระวงั และสง่ เสรมิ พัฒนาการเดก็ ปฐมวัย 2563” ซ่ึงผู้ดูแลเดก็ ตอ้ งการพัฒนาความรใู้ นการส่งเสริมการเจริญเติบโต และพฒั นาการ ดงั ตัวอย่างคำพูด “อยากพัฒนาความรู้ในด้านโภชนาการ และการส่งเสรมิ พัฒนาการเดก็ ทั้งจาก ภายในหรือภายนอกวิทยาลยั พยาบาล” 3.1.2 ด้านทกั ษะปฏิบตั ิเป็นประเด็นสำคญั ต่อเน่ืองจากประเด็นความรู้ ซ่งึ ครูผู้ดูแลเด็ก ประเมนิ ตนเอง วา่ ไม่มั่นใจในการใชเ้ คร่อื งมอื ประเมินพัฒนาการ DSPM เนอื่ งจากยงั ไมไ่ ดร้ ับการอบรม สอดคล้อง กบั ความคดิ เหน็ ของอาจารย์พยาบาลเดก็ ดังตัวอย่างคำพูด “ครูไมม่ มี น่ั ใจในการประเมนิ พัฒนาการเดก็ เนอ่ื งจาก ไมไ่ ด้รับการอบรม ไมเ่ คยใช้เคร่ืองมือในการประเมนิ พัฒนาการเดก็ ” “เวลาผปู้ กครองสอบถามแนวทางการส่งเสรมิ การเจรญิ เตบิ โต กจ็ ะตอบด้วยความไม่ม่นั ใจ” 3.1.3 รูปแบบการจัดกิจกรรมสง่ เสริมการเจรญิ เตบิ โตและพัฒนาการไม่เป็นรายบุคคล ส่งผลให้คณุ ภาพการบรกิ ารดา้ นสุขภาพไม่ได้รบั การจัดการและดูแลอย่างเป็นองค์รวม ดงั ตวั อยา่ งคำพูดของคณะ กรรมการบริหารศูนย์เด็ก และอาจารยพ์ ยาบาลเดก็ “การจดั แผนประสบการณ์การเรยี นรู้ 6 หลักในแตล่ ะหอ้ งที่มี ช่วงอายุแตกต่างกัน ไม่แตกต่างกัน จะเป็นแผนสอนเดิม ๆ ซ้ำ ๆ ไม่หลากหลาย ไม่สอดคล้องกับการส่งเสริม พฒั นาการแตล่ ะช่วงในแต่ละห้อง ไมม่ ีการจดั กจิ กรรมในการสง่ เสรมิ พัฒนาการเด็กเป็นรายบคุ คล” “การส่งเสริม การการเจริญเตบิ โตและพฒั นาการเดก็ ยงั ไมไ่ ด้มีการจดั การรายบคุ คล ขาดการมีส่วนร่วมของผูป้ กครองเด็ก ไม่มี ระบบการส่งต่อขอ้ มูลถึงผู้ปกครองเป็นระบบ” 3.2 ชอ่ งวา่ งระหว่างนโยบายสู่การปฏิบัติ 3.2.1 ขาดการถา่ ยทอดเกณฑ์มาตรฐานสถานพัฒนาเด็กปฐมวยั แห่งชาตสิ ู่การปฏิบัติ ในการแกไ้ ขปัญหาการเจริญเติบโตและพัฒนาการ ซึง่ เปน็ สิ่งสำคัญทีต่ อ้ งมผี ู้รบั ผดิ ชอบถ่ายทอดตวั ช้วี ัดนีส้ ง่ สกู่ าร วารสารวชิ าการสุขภาพภาคเหนอื ปีท่ี 8 ฉบับที่ 2 เดือน กรกฎาคม – ธันวาคม 2564 Journal of Health Sciences Scholarship July - December 2021, Vol.8 No.2

248 วารสารวชิ าการสขุ ภาพภาคเหนอื (Journal of Health Sciences Scholarship) ผ่านการรบั รองคุณภาพของ TCI และอยู่ในฐานข้อมลู TCI กลมุ่ ท่ี 2 (จนถงึ 31 ธนั วาคม 2567) กำหนดแนวทางปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม ดังตัวอย่างคำพูดของผู้ดูแลเด็ก “ไม่มีใครมาถ่ายทอดตัวชี้วัดเกณฑ์ มาตรฐานสถานพัฒนาเด็กปฐมวัยแหง่ ชาติสู่การปฏิบัติในการแก้ไขปัญหาการเจริญเติบโตและพัฒนาการสู่การ ปฏิบตั ิในการแกป้ ญั หาหรือสง่ เสรมิ การเจรญิ เติบโตและพฒั นาการท่ีชดั เจน แม้ว่ามกี ารสง่ บุคลากรไปอบรมเร่ืองนี้ มาแล้ว” “ขาดผู้รับผิดชอบถ่ายทอดตัวชี้วัดเกณฑ์มาตรฐานสถานพัฒนาเด็กปฐมวัยแห่งชาติสู่การปฏิบัติของ บุคลากรทงั้ หมดในศูนยเ์ ดก็ ท่ชี ดั เจน” 3.2.2 ขาดการนำข้อมลู ปญั หาการเจริญเติบโตและพัฒนาการนำมาใชใ้ นการตัดสินใจ เพื่อพัฒนาระบบคุณภาพการบริการสุขภาพเด็ก สง่ ผลใหไ้ ม่มีข้อมูลสรุปผลและประมวลปัญหาการเจรญิ เติบโต และพัฒนาการเดก็ ในรายบุคคล รายห้องเรียน และภาพรวมของศูนย์เด็ก เพื่อนำมาสูก่ ารตัดสินใจจัดการแก้ไข ปัญหาการเจรญิ เติบโตและพัฒนาการได้อยา่ งเป็นระบบ ดังตวั อยา่ งคำพูดของคณะกรรมการบริหารศูนย์เด็ก “ขาด การเชอ่ื มโยงกนั ในขอ้ มลู ทเ่ี ฝา้ ระวงั และส่งเสริมพฒั นาการรวมทง้ั การแก้ไขพัฒนาการในเด็กท่ีมีปัญหาระหว่างครู ผู้ดูแลเด็กและผู้ปกครอง และยังขาดการส่งต่อปัญหาพัฒนาการอย่างเป็นระบบแก่อาจารย์พยาบาลเด็ก และ คณะกรรมการบริหารศนู ย์เด็ก” 3.2.3 ไมม่ ีฐานขอ้ มลู ทีป่ ระมวลผลในการตดั สนิ ใจของผบู้ รหิ ารศนู ย์เด็ก เพือ่ แก้ปัญหา การเจริญเติบโตและพฒั นาการท่ีไม่สมวัยเปน็ รายบุคคล ทำใหไ้ ม่มีขอ้ มลู ในการแกป้ ัญหาของเด็กรายบุคคล ดัง ตวั อย่างคำพดู ของคณะกรรมการบริหารศูนย์เด็ก และอาจารยพ์ ยาบาลเดก็ “ต้องจดั ทำระบบฐานข้อมูลศูนย์เด็ก การติดตามประเมินซ้ำทุกเดือน ระบบการให้ความช่วยเหลือและให้คำแนะนำผู้ปกครองในการส่งเสริมการ เจรญิ เติบโตและพฒั นาการเดก็ การจัดทำสมุดรายงานประจำตวั เด็ก สง่ ตอ่ ขอ้ มลู ระหว่างศูนย์เดก็ และท่ีบ้าน เป็น ประจำทกุ เดือน” “ไม่มฐี านข้อมลู ของเดก็ ในศูนย์เดก็ ในทุกด้านตามเกณฑม์ าตรฐาน มีแตข่ ้อมลู ดิบไม่ต่อเน่ือง ถูก จัดเกบ็ ไมเ่ ป็นระบบ ไม่ได้มรี ะบบการวเิ คราะหใ์ ห้เหน็ ระดับของปญั หา ที่นำมาส่กู ารจัดการปญั หาทีช่ ดั เจนได้” 3.2.4 ไม่มีระบบการส่งคืนข้อมูลแก่ผู้ปกครอง การส่งข้อมูลให้ผู้ปกครองส่วนใหญ่เป็น การสอื่ สารดว้ ยวาจา ไมไ่ ด้ระบบการรายงานเปน็ ระบบ ดังตัวอย่างคำพูดของอาจารยพ์ ยาบาลเดก็ และครผู ดู้ แู ลเดก็ “การรายงานข้อมลู ให้ผู้ปกครองส่วนใหญ่จะรายงานทางวาจา ในช่วงผู้ปกครองมากรับเด็กตอนเย็น และมีการ รายงานน้ำหนักส่วนสูงประจำเดือน แต่ไม่ได้ให้ข้อมูลในแนวทางที่ต้องแก้ไขหรือส่งเสริมการเจริญเติบโตหรือ พฒั นาการทช่ี ดั เจนเป็นลายลักษณ์อักษร” ขั้นตอนที่ 2 การวางแผนและกำหนดรูปแบบการดแู ลเพื่อการส่งเสริมการเจริญเติบโตและพัฒนาการเดก็ ใน ศูนย์พัฒนาเดก็ ก่อนวัยเรยี น (planning) นำประเด็นสถานการณ์การดูแลเพื่อส่งเสริมการเจริญเติบโตและพัฒนาการ ข้อมูลการจัดการด้านการ เจริญเติบโตและพัฒนาการไม่สมวัย จากการสำรวจปัญหา การสัมภาษณ์ และสนทนากลุ่มมาร่วมระดมสมอง สังเคราะห์ จัดทำเป็นรปู แบบการดแู ลเพ่อื สง่ เสริมการเจริญเติบโตและพฒั นาการเด็กในศูนยเ์ ดก็ อย่างเป็นระบบ สามารถสรุปได้ประเด็น และนำเสนอสรปุ ในภาพที่ 1 ดงั นี้ วารสารวชิ าการสขุ ภาพภาคเหนือ ปีที่ 8 ฉบับท่ี 2 เดือน กรกฎาคม – ธันวาคม 2564 Journal of Health Sciences Scholarship July - December 2021, Vol.8 No.2

249 วารสารวชิ าการสขุ ภาพภาคเหนือ (Journal of Health Sciences Scholarship) ผ่านการรับรองคณุ ภาพของ TCI และอยใู่ นฐานขอ้ มลู TCI กล่มุ ที่ 2 (จนถงึ 31 ธันวาคม 2567) ภาพที่ 1 องคป์ ระกอบการดูแลเพื่อการสง่ เสรมิ การเจรญิ เตบิ โตและพฒั นาการเด็ก 1. คณะกรรมการบริหารศูนย์พัฒนาเด็กก่อนวัยเรียนต้องมีการกำหนดนโยบายการบริหารที่ชัดเจน ในการ ถ่ายทอด กำกบั ขับเคลอ่ื นตัวชี้วัดการประกนั คณุ ภาพตามมาตรฐานสถานพัฒนาเด็กปฐมวัยแหง่ ชาติ โดยทำงานรว่ มกนั ระหวา่ งผปู้ กครอง รว่ มกับคณะกรรมการบรหิ ารศนู ย์พัฒนาเดก็ ก่อนวัยเรยี น อาจารย์พยาบาลเดก็ และครูผ้ดู ูแลเด็ก 2. การพฒั นาศักยภาพของบคุ ลากรศนู ย์พฒั นาเดก็ กอ่ นวยั เรยี น ในประเดน็ การดูแลสุขภาพเดก็ โดย ครผู ูด้ แู ลเดก็ ตอ้ งไดร้ บั การพัฒนาต่อเนื่องระหว่างประจำการ อยา่ งนอ้ ยปีละ 20 ชัว่ โมง ตามเกณฑ์คุณสมบัติของครู ผ้ดู ูแลเดก็ ตามเกณฑต์ ัวชว้ี ดั การประกนั คณุ ภาพตามมาตรฐานสถานพฒั นาเด็กปฐมวัยแหง่ ชาติ 3. ระบบการจดั การข้อมูล ตอ้ งมฐี านข้อมลู เกีย่ วกับข้อมูลสำคญั ตามเกณฑม์ าตรฐานสถานพัฒนาเด็กปฐมวัย แหง่ ชาติใหผ้ ูท้ เ่ี กยี่ วขอ้ งไดร้ ับทราบถงึ ขอ้ มูล ปัญหา และหาแนวทางการตัดสนิ ใจร่วมกันในการจัดการขอ้ มูล 4. การมีสว่ นรว่ มของผ้ปู กครองมคี วามสำคัญในการสง่ เสรมิ การเจรญิ เติบโตและพัฒนาการเด็ก โดยตอ้ งมีสว่ น ร่วมในการดแู ลสุขภาพเด็กร่วมกนั ตัง้ แตแ่ รกเข้า ขณะรับบรกิ าร จนสำเรจ็ การบรกิ ารที่ศูนย์พัฒนาเด็กกอ่ นวัยเรยี น ข้นั ตอนท่ี 3 การนำรปู แบบการดูแลเพ่อื การสง่ เสริมการเจรญิ เติบโตและพฒั นาการเดก็ ไปปฏิบัตใิ นศนู ย์ พัฒนาเด็กกอ่ นวยั เรียน วิทยาลยั พยาบาลบรมราชชนนี นครลำปาง (acting) ตามที่คณะผู้วจิ ัยได้จัดทำขึ้น เข้าร่วมประชุมเสวนากับผู้รับผดิ ชอบและภาคีเครือข่ายท่ีเกีย่ วข้องในการ ดูแลเด็กเพ่ือสง่ เสรมิ การเจริญเตบิ โตและพัฒนาการเดก็ ได้แก่ ผู้ปกครองเด็ก กรรมการบริหารศูนย์เดก็ อาจารย์ พยาบาลเดก็ ครูผดู้ ูแลเดก็ และนักศกึ ษาพยาบาลศาสตรบัณฑิต เพอ่ื หาข้อตกลงร่วมกันถึงความเป็นไปได้ของการ นำรูปแบบการสง่ เสริมการเจรญิ เติบโตและพฒั นาการเด็กไปปฏิบัตไิ ด้จรงิ ในศนู ยพ์ ฒั นาเด็กก่อนวัยเรยี น วทิ ยาลัยพยาบาลนครลำปาง โดยมกี ารกำหนดรปู แบบการดูแลเด็กเพ่อื การส่งเสรมิ การเจรญิ เตบิ โตและพัฒนาการ เดก็ ทีม่ รี ายละเอยี ดข้ันตอนและมผี ู้รบั ผดิ ชอบในการดูแลกำกับตดิ ตามและรายงานผลเปน็ ระยะอยา่ งชัดเจนตลอด การรับการบริการในศนู ย์เด็ก ตั้งแต่การรับสมคั รเด็กเข้ามารับบริการที่ศูนยเ์ ด็ก เด็กและผู้ปกครองจะได้รับการ วารสารวชิ าการสุขภาพภาคเหนอื ปีท่ี 8 ฉบบั ท่ี 2 เดือน กรกฎาคม – ธนั วาคม 2564 Journal of Health Sciences Scholarship July - December 2021, Vol.8 No.2

250 วารสารวิชาการสขุ ภาพภาคเหนอื (Journal of Health Sciences Scholarship) ผ่านการรับรองคณุ ภาพของ TCI และอยูใ่ นฐานขอ้ มลู TCI กล่มุ ท่ี 2 (จนถงึ 31 ธันวาคม 2567) บริการเพื่อส่งเสริมการเจริญเติบโตและพัฒนาการจากครูผู้ดูแลเด็ก โดยมีอาจารย์พยาบาลเด็กเป็นที่ปรึกษา ควบคุมกำกับโดยผู้จัดการศูนย์เด็กร่วมกับคณะกรรมการบริหารศูนย์เด็ก เพื่อให้เด็กได้รับการส่งเสริมและ พฒั นาการเหมะสมกบั วัยตามเกณฑ์มาตรฐานสถานพฒั นาปฐมวัยแห่งชาติ ตามรายละเอยี ดดงั ภาพท่ี 2 ภาพท่ี 2 รปู แบบการดูแลเด็กเพอื่ การสง่ เสรมิ การเจรญิ เตบิ โตและพฒั นาการเดก็ อภิปรายผล 1. สถานการณ์การเจริญเติบโต พบว่า เด็กนำ้ หนักไม่ตามเกณฑ์ ร้อยละ 35.00 ส่วนสูงไม่ตามเกณฑ์ ร้อยละ 7.50 รูปร่างไมส่ มสว่ น รอ้ ยละ 28.75 ซงึ่ สอดคล้องกบั การศึกษาของ Prommul, et al. (2018) ที่พบว่าเด็กมีน้ำหนัก มากกว่าเกณฑ์ ร้อยละ 6.97 เริ่มอ้วน ร้อยละ 5.81 มีน้ำหนักน้อยกว่าเกณฑ์ ร้อยละ 1.16 ผอม ร้อยละ 1.16 สถานการณพ์ ัฒนาการเด็ก เด็กมพี ัฒนาการไม่สมวัย ร้อยละ 46.25 ด้านพัฒนาการ พัฒนาการไมส่ มวยั เพียง 1 ด้าน จำนวน 26 คน ร้อยละ 32.50 และมีพัฒนาการไมส่ มวยั มากกว่ามากกวา่ 1 ด้าน จำนวน 11 คน ร้อยละ 13.75 ซึ่งมี การศึกษาผลการใช้สื่ออิเล็กทรอนิกส์ของเด็กวัย 2-5 ปี มีผลกระทบต่อพัฒนาการ ในแต่ละด้าน คือ ด้านการเข้าใจ ภาษามากที่สดุ (ร้อยละ 22.9) ด้านการช่วยเหลอื ตนเองและสังคม (ร้อยละ 10.5) ด้านการเข้าใจภาษา (ร้อยละ 9.5) ด้านกล้ามเนื้อมัดเล็กและสติปัญญา (ร้อยละ 6.7) และด้านการเคลื่อนไหว (ร้อยละ3.8) ตามลำดับ (Chumprasert, Wiroonpanich, & Wattanasit, 2019) วารสารวชิ าการสุขภาพภาคเหนือ ปีท่ี 8 ฉบับที่ 2 เดือน กรกฎาคม – ธนั วาคม 2564 Journal of Health Sciences Scholarship July - December 2021, Vol.8 No.2

251 วารสารวิชาการสุขภาพภาคเหนือ (Journal of Health Sciences Scholarship) ผา่ นการรบั รองคณุ ภาพของ TCI และอยู่ในฐานข้อมลู TCI กลุ่มท่ี 2 (จนถงึ 31 ธันวาคม 2567) 2. รปู แบบการดูแลเพอ่ื การสง่ เสรมิ การเจริญเติบโตและพัฒนาการเด็ก มี 4 องคป์ ระกอบ 2.1 นโยบายการบริหารศูนย์เดก็ ตอ้ งชัดเจน ในการถ่ายทอด กำกับ ขับเคลอื่ นตวั ชี้วัดการประกัน คุณภาพตามมาตรฐานสถานพัฒนาเด็กปฐมวัยแห่งชาติ มกี ารทำงานระหวา่ งคณะกรรมการบรหิ ารศูนย์เดก็ อาจารย์ พยาบาลเด็ก ครูผ้ดู ูแลเด็ก รว่ มกับผู้ปกครอง ซงึ่ สอดคล้องกับการศึกษาของ Jerajaturapornkul, Kosanpipat, & Srisurak, (2018) กล่าววา่ การบรหิ ารจัดการศูนย์เด็ก ควรมกี ารบรหิ ารงานให้เป็นระบบและชดั เจน สภาพแวดล้อม เออ้ื ต่อการจดั กจิ กรรมการเรยี นรู้ และมีกระบวนการเรยี นรู้เพ่ือส่งเสริมพัฒนาการ ส่งเสริมใหเ้ ด็กทกุ คนได้รบั การฝึก สขุ นสิ ัยในการดแู ลสุขภาพ และการปอ้ งกนั อุบัตเิ หตุท่อี าจจะเกิดขึน้ กบั ตนเองและผู้อ่นื อยา่ งสมำ่ เสมอ 2.2 การพัฒนาศักยภาพของบุคลากรศูนย์เด็ก ในประเด็นการดูแลสุขภาพเด็ก ครูผู้ดูแลเด็กต้อง ไดร้ ับการพฒั นาต่อเนื่องระหว่างประจำการ อย่างนอ้ ยปีละ 20 ชว่ั โมง ตามเกณฑข์ องครผู ูด้ ูแลเดก็ ซ่ึงสอดคล้องกับ การศึกษาของ Pumpoo, (2019) กล่าวว่าศูนย์เด็กที่ทำให้เด็กเกิดคุณลักษณะระดับดี ควรพัฒนาด้านการบริหาร ผบู้ รหิ ารควรจดั ทำแผนงานและดำเนนิ งานอยา่ งเป็นระบบ กำหนดคุณสมบัตแิ ละอตั ราส่วนของผู้ดแู ลเด็กอย่างชดั เจน 2.3 ระบบการจดั การขอ้ มูล ต้องมฐี านข้อมูลเกยี่ วกบั ขอ้ มูลสำคัญตามเกณฑ์มาตรฐานสถานพัฒนา เด็กปฐมวัยแหง่ ชาติ ให้ผู้ที่เกีย่ วข้องได้ทราบถึงข้อมูล ปญั หา และหาแนวทางการตัดสินใจร่วมกันในการจัดการข้อมูล ซึ่งสอดคล้องกับการศึกษาการพัฒนารปู แบบการบริหารจัดการสขุ ภาพ โดยศึกษาตน้ แบบการใช้แอปพลิเคชันคุณลูก ในคลินกิ สขุ ภาพเดก็ ดีกับผู้ปกครองและผดู้ ูแลเด็กของ Aremit et al. (2020) กลา่ ววา่ ผูป้ กครองและครูผู้ดูแลเด็กมี ระดบั ความรอบรดู้ ้านสุขภาพดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติทุกด้าน โดยผปู้ กครองสามารถประเมินการเจริญเติบโต พฒั นาการ และการไดร้ บั ภูมคิ ้มุ กนั ของเด็กได้สอดคลอ้ งกับท่ีแพทย์และบคุ ลากรทางสาธารณสขุ ประเมิน และมคี วาม สอดคล้องมากกว่าผู้ปกครองที่ใช้สมุดบันทึกสุขภาพแม่และเด็กประเมินเกือบทุกด้าน มีข้อดีที่ใช้งานง่าย พกพา สะดวก ข้อมูลทันสมัย สามารถคดั ลอกขอ้ มูลเพอ่ื เกบ็ สำรองขอ้ มลู ไวใ้ ชไ้ ด้ 2.4 การมีส่วนร่วมของผู้ปกครองมีความสำคัญในการสง่ เสรมิ การเจริญเติบโตและพัฒนาการเด็ก ซ่งึ ตอ้ งมสี ่วนร่วมในการดูแลสขุ ภาพเด็กตัง้ แต่เด็กแรกเข้า ขณะรบั บรกิ าร จนสำเรจ็ การบรกิ ารทศี่ ูนย์เด็ก สอดคล้อง กับหลกั การจดั การศึกษาปฐมวัย ที่กระตุ้นใหช้ มุ ชนให้มสี ่วนร่วมในการพัฒนาความพร้อมของเด็กก่อนเข้าเรียน โดย ได้รับความร่วมมือระหว่างองค์กรกับชุมชนในการร่วมกนั วางแผน ดำเนินงานให้บรรลุเปา้ หมายในการพัฒนาความ พร้อมสำหรบั เดก็ อยา่ งทว่ั ถงึ และใหก้ ารบริหารศนู ยพ์ ัฒนาเดก็ เลก็ อยา่ งเหมาะสมและมีคณุ ภาพ (Nisarojh, 2018) ขอ้ เสนอแนะในการนำผลการศึกษาไปใช้ 1. สามารถนำรูปแบบการดแู ลเพือ่ การส่งเสริมการเจรญิ เตบิ โตและพฒั นาการเด็กไปใช้ตามมาตรฐานสถานศกึ ษา เดก็ ปฐมวยั แห่งชาติ 2562 ในศูนยพ์ ัฒนาเดก็ กอ่ นวยั เรยี น วิทยาลยั พยาบาลบรมราชชนนี นครลำปางอย่างเป็นรปู ธรรม 2. การศึกษานอ้ี ยู่ในชุมชนเมือง ควรขยายผลการศึกษาในชมุ ชนบริบทอื่น เชน่ ชุมชนกง่ึ เมือง ชุมชนชนบท เพื่อเกิดการสรา้ งเครอื ข่ายต่าง ๆ ภายในชมุ ชน รวมทัง้ ทำให้เกิดการพัฒนาและความย่ังยืนของรปู แบบการดูแลเพ่ือ การส่งเสรมิ การเจริญเตบิ โตและพฒั นาการเด็ก วารสารวิชาการสุขภาพภาคเหนอื ปีท่ี 8 ฉบับที่ 2 เดอื น กรกฎาคม – ธนั วาคม 2564 Journal of Health Sciences Scholarship July - December 2021, Vol.8 No.2

252 วารสารวชิ าการสุขภาพภาคเหนอื (Journal of Health Sciences Scholarship) ผ่านการรบั รองคณุ ภาพของ TCI และอยู่ในฐานขอ้ มูล TCI กลมุ่ ที่ 2 (จนถงึ 31 ธันวาคม 2567) ขอ้ เสนอแนะในการทำวิจัยคร้ังต่อไป 1. สถาบันการศึกษาที่เกี่ยวข้องการดูแลเด็กก่อนวัยเรียน สามารถนำรูปแบบการดูแลเพื่อส่งเสริมการ เจริญเตบิ โตและพัฒนาการเด็กในศนู ยพ์ ัฒนาเด็กก่อนวยั เรยี นไปประยกุ ต์ใช้ในการจดั การศึกษาได้ 2. การพฒั นาเชงิ นโยบายของหน่วยงานทเ่ี ก่ียวข้อง สามารถนำรูปแบบการดูแลเพื่อส่งเสริมการเจริญเติบโต และพัฒนาการเด็กในศูนย์เดก็ ไปกำหนดเป็นมาตรฐานแนวทางปฏิบัติของศูนย์พัฒนาเด็กก่อนวัยเรียน เพื่อให้ครู ผู้ดแู ลเดก็ และผู้ปกครองมสี ่วนรว่ มในการดแู ลเพอ่ื สง่ เสรมิ การเจริญเตบิ โตและพฒั นาการเดก็ อยา่ งมคี ุณภาพ เอกสารอ้างอิง Aremit, R., Saengnipanthkul, S., Lumbiganon, P., Sutra, S., & Sripanidkulchai, K. (2020). Implementation of KhunLook Application: a Model for Health Supervision at Well Child Clinic. Nonthaburi: Health Systems Research Institute (HSRI). (in Thai) Chumprasert, T., Wiroonpanich, W., & Wattanasit, P. (2019). Relationships between the use of electronic media and the development of children Aged 2-5 Years in Public Child Development Centers in Songkhla Province. The Southern College Network Journal of Nursing and Public Health, 6(2), 91-104. (in Thai) Jerajaturapornkul, P., Kosanpipat, S., & Srisurak, C. (2018). Guidelines for education development in early childhood level of Child Development Center attach to Chiang Dao sub-district administration organization to the standards of The National Child Care Center. Phikanate Journal, 14(2), 17-29. (in Thai) Ministry of Public Health. (2020). Developmental Surveillance and Promotion Manual (DPSM). Nonthaburi: WVO officer of Printing Mill Press. (in Thai) National standard for early childhood development centers. (2019). National Standard for Early Childhood Care, Development and Education Thailand. Bangkok: National Early Childhood Development Board. (in Thai) Nisarojh, C. (2018). The satisfaction of the children guardians towards the early childhood center administration. Journal of Roi Kaensarn Academi, 3(1), 14-26. (in Thai) Preschool Development Center at Boromarajonani College of Nursing, Lampang. (2020). Child development and growth assessment report. Lampang: Boromarajonani College of Nursing, Lampang. (in Thai) Pumpoo, P. (2019). Operation educational for early childhood in Visnupat Child Development Center. Online Journal of Education, 14(2), 1-11. (in Thai) Prommul, J., Klerlhee, T., Perngyai, C., & Suwanwwaiphatthana, W. (2018). Nutritional status of pre-school children with participation of families and communities in muang Songkhla. Journal of the Southern College of Nursing and Public Health Network, 5(3), 169-185. (in Thai) Tapruk, S., Mukdakaseam, P., Seubnuch, J., & Jaturapornpoem, J. (2017). The study of caregivers and community participation about childcare factors to promotion of child growth and development on the Regional Health Promotion Centers 4 and 5. Regional Health Promotion Center 9 Journal, 11(25), 21-42. (in Thai) วารสารวชิ าการสุขภาพภาคเหนอื ปีท่ี 8 ฉบับที่ 2 เดือน กรกฎาคม – ธันวาคม 2564 Journal of Health Sciences Scholarship July - December 2021, Vol.8 No.2

วารสารวิชาการสขุ ภาพภาคเหนอื (Journal of Health Sciences Scholarship ) ผา่ นการรบั รองคณุ ภาพของ TCI และอย่ใู นฐานข้อมลู TCI กลุ่มที่ 2 (จนถงึ 31 ธันวาคม 2567) คำแนะนำการส่งตน้ ฉบบั เพอื่ พจิ ารณาตีพมิ พ์ในวารสารวิชาการสุขภาพภาคเหนือ วารสารวิชาการสุขภาพภาคเหนือ หรือ Journal of Health Science Scholarship (JOHSS) เป็นวารสาร ทเี่ ป็นส่ือกลางในการนำเสนอผลงานทางวิชาการและงานวิจัย เพ่ือสนับสนุนและยกระดับขีดความสามารถในการผลิต และสรา้ งองค์ความรดู้ ้านการพยาบาล ด้านการแพทย์ และดา้ นการสาธารณสุข เปน็ วารสารรายหกเดอื นหรอื คร่ึงปี กำหนดการออกวารสาร ฉบบั ท่ี 1 (มกราคม-มิถุนายน) และฉบบั ที่ 2 (กรกฎาคม-ธันวาคม) เรื่องที่ส่งเพื่อพิจารณาตีพิมพ์ต้องเป็นงานวิชาการด้านการพยาบาล ด้านการแพทย์ และด้านสาธารณสุข รับ บทความประเภท บทความวิจัย (Research article) บทความวิชาการ (Academic article) บทความปริทัศน์ (Review article) บทความท่ีเสนอเพ่ือพิจารณาตีพิมพ์ จะได้รับการประเมินแบบไม่เปดิ เผยตัวตนสองทาง (double-blind review) โดยผู้ทรงคุณ วุฒิ อย่างน้อย 2 ท่าน บรรณ าธิการจะพิจารณ าข้อเสนอแนะในการปรับแก้ก่อน ทผี่ เู้ ขยี นจะได้รบั แจ้งขอ้ เสนอแนะดงั กลา่ วผลการพิจารณาจากกองบรรณาธิการถือเปน็ สิน้ สดุ บทความต้องไม่เคยตีพิมพ์เผยแพร่ท่ีใดมาก่อนและต้องไม่อยู่ระหว่างการเสนอเพ่ือพิจารณาตีพิมพ์ในวารสาร ฉบบั อนื่ ประเภทของบทความทรี่ ับพิจารณาเพื่อเผยแพร่ 1. บทความวิจัย (Research article) คือ รายงานผลการศึกษา ค้นคว้า วิจัย หรือ การพัฒนาอย่างเป็น ระบบ ควรประกอบดว้ ย 1.1 ชอ่ื เรอ่ื ง ท้งั ภาษาไทยและภาษาอังกฤษ 1.2 ชอ่ื ผเู้ ขยี นพร้อมชื่อหนว่ ยงานทส่ี ังกดั ทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ กรณมี ผี ู้รว่ มวจิ ัยหลายคน ให้ระบุผู้รับผิดชอบบทความ (correspond-ing author) พร้อมหมายเลขโทรศัพท์เคล่ือนที่และ email address พร้อมทงั้ ช่ือภาษาไทยและภาษาองั กฤษของผู้ร่วมวจิ ัยทุกคนในบทความ 1.3 บทคัดย่อ ทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ โดยต้องระบุถึงแบบแผนการวจิ ยั วตั ถุประสงค์ ประชากรและตัวอย่าง เครื่องมือวิจัย การเก็บรวบรวมข้อมูล การวิเคราะห์ข้อมูล และผลการวิจัย ความยาวไม่เกิน 250 คำ 1.4 คำสำคัญ ท้งั ภาษาไทยและภาษาองั กฤษ 1.5 บทนำ (ที่แสดงถงึ ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหาหรือภมู หิ ลงั ของงานทศี่ ึกษา) 1.6 วัตถุประสงคข์ องการศึกษา คำถามการวจิ ัย หรอื สมมติฐานการวิจัย (ถ้ามี) 1.7 ขอบเขตการศึกษา ควรระบุให้ครบท้ัง 4 ด้าน ได้แก่ ด้านเนื้อหาหรือตัวแปร ด้านประชากรและ กลุม่ ตวั อยา่ ง ดา้ นพนื้ ท่แี ละดา้ นระยะเวลา 1.8 นิยามศัพท์/กรอบแนวคดิ (ถา้ มี) 1.9 ระเบยี บวิธีวิจัย หรอื วิธีดำเนนิ การวิจัย (Methods) ให้บอกรายละเอียดของสิ่งที่นำมาศกึ ษา เร่ิมด้วยรูปแบบแผนการศึกษา (study design) เซ่น descriptive หรือ quasi-experiment แล้วระบุประชากรและ กลุ่มตัวอย่าง ขนาดกลุ่มตัวอย่าง การได้มาซ่ึงกลุ่มตัวอย่าง เซ่น การสุ่มตัวอย่างแบบง่ายหรือแบบหลายข้ันตอน รวมถึงวิธีหรอื มาตรการที่ใชศ้ ึกษา (interventions) เคร่ืองมอื ทใี่ ช้ การตรวจสอบคณุ ภาพเครื่องมอื การทดสอบความ

วารสารวิชาการสขุ ภาพภาคเหนือ (Journal of Health Sciences Scholarship ) ผ่านการรบั รองคณุ ภาพของ TCI และอยู่ในฐานข้อมลู TCI กลมุ่ ที่ 2 (จนถงึ 31 ธันวาคม 2567) น่าเช่ือถอื วธิ ีการเกบ็ ข้อมูล ระยะเวลาที่ใช้ในการเกบ็ ขอ้ มูล วิธวี ิเคราะห์ข้อมลู สถิตทิ ่ใี ช้ ซึง่ อาจเป็นวธิ ีการเชิงคุณภาพ หรือวิธีการเชิงปริมาณขึ้นอยู่กับประเภทของการวิจัย การพิทักษ์สิทธิ์กลุ่มตัวอย่างซึ่งการวิจัยที่ตีพิมพ์ใน วารสารวิชาการสุขภาพภาคเหนือต้องผ่านการพิจารณาจากคณะกรรมการการวิจัยในมนุษย์ (Ethical committee approval) โปรดระบุว่าผ่านการพิจารณาจากคณะกรรมการชุดใดบ้างและเมื่อไร และให้ระบุเลขท่ีที่ได้รับการอนุมัติ จากคณะกรรมการวิจยั ดังกล่าว 1.10 ผลการศกึ ษา แสดงผลของการวจิ ัย และขอ้ มลู ตา่ งๆ ทไ่ี ดจ้ ากการศกึ ษาวจิ ยั นั้นๆ อาจมภี าพ ตาราง และแผนภูมปิ ระกอบให้ชดั เจน เขา้ ใจไดง้ ่าย ไมค่ วรเสนอตารางเป็นภาพถ่าย 1.11 การอภิปรายผล รวมถึงการให้ขอ้ เสนอแนะบนพ้ืนฐานของผลงานวจิ ยั 1.12 กิตติกรรมประกาศ (Acknowledgement) (ถา้ มี) มีย่อหนา้ เดียวเป็นแจง้ ให้ทราบวา่ มกี าร ช่วยเหลือหรอื มผี ู้สนับสนุนทนุ การวิจัยท่สี ำคัญจากทใี่ ดบ้าง 1.13 เอกสารอา้ งอิง (Reference) คอื รายการเอกสารอา้ งอิง ต้องเปน็ ภาษาองั กฤษทั้งหมด หาก เอกสารอ้างอิงมีต้นฉบับเป็นภาษาไทย ผู้เขียนต้องแปลรายการเอกสารอ้างอิงนั้นเป็นอังกฤษ และเพิ่ม “(in Thai)” ท้ายรายการอ้างอิงน้ันๆ ด้วย (รายละเอียดวิธีการอ้างอิงให้ดูในหัวข้อการเขียนอ้างอิง) การอ้างอิงเอกสารให้ใช้ระบบ APA style โดยทำเป็นวงเล็บวางไว้หลังข้อความหรือหลังช่ือบุคคลเจ้าของข้อความท่ีอ้างถึง ทุกรายการให้เขียนเป็น ภาษาอังกฤษ (รายละเอียดในหัวข้อการเขียนเอกสารอ้างอิง) การเรียงลำาดับรายการเอกสารอ้างอิงท้ายเร่ือง ให้ เรยี งลำดบั ตามตัวอักษร A------->Z 2. บทความวิชาการ (Academic articles) คือ งานเขียนซ่ึงเป็นเร่ืองท่ีน่าสนใจ เป็นความรู้ใหม่ กล่าวถึง ความเป็นมาของปัญหา วัตถุประสงค์ แนวทางการแก้ปัญหา มีการใช้แนวคิดทฤษฎี ผลงานวิจัยจากแหล่งข้อมูล เช่น หนังสือวารสารวชิ าการ อนิ เทอร์เนต็ ประกอบการวิเคราะห์ วิจารณ์ เสนอแนวทางการแกไ้ ข ควรประกอบด้วย 2.1 ช่อื เรื่อง ทัง้ ภาษาไทยและภาษาอังกฤษ 2.2 ชือ่ ผ้เู ขยี นพรอ้ มชอ่ื หนว่ ยงานที่สังกดั ทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ กรณมี ผี ูร้ ่วมวจิ ัยหลายคน ให้ระบุผู้รับผิดชอบบทความ (correspond-ing author) พร้อมหมายเลขโทรศัพท์เคล่ือนท่ีและ email address พรอ้ มทงั้ ช่ือภาษาไทยและภาษาองั กฤษของผ้รู ว่ มวิจัยทุกคนในบทความ 2.3 บทคดั ย่อ ทง้ั ภาษาไทยและภาษาองั กฤษ โดยตอ้ งระบถุ งึ วัตถปุ ระสงค์ หัวสำคัญท่ีนำเสนอ สรุป และข้อเสนอแนะ โดยเน้ือหาในบทคดั ย่อความยาวไมเ่ กิน 250 คำ 2.4 คำสำคญั ทัง้ ภาษาไทยและภาษาอังกฤษ 2.5 บทนำ (ท่แี สดงเหตุผลหรอื ทมี่ าของประเด็นที่ต้องการอธิบายหรอื วเิ คราะห์) 2.6 เน้อื หาของบทความ จะเป็นการอธิบายหรอื วิเคราะหป์ ระเด็นตามหลักวิชาการ โดยมีการสำรวจ เอกสารหรืองานวิจัยเพื่อสนับสนุนจนสามารถสรุปผลการวิเคราะห์ในประเด็นน้ันได้ อาจเป็นการนำความรู้จากแหล่ง ตา่ งๆ มาประมวลรอ้ ยเรียงเพ่ือวิเคราะหอ์ ย่างเป็นระบบ โดยผู้เขียนสามารถแสดงทัศนะทางวิชาการของตนเองไว้อยา่ ง ชดั เจนดว้ ย ส่วนสุดทา้ ยจะเปน็ สว่ นสรุปและขอ้ เสนอแนะ มกี ารเขยี นเอกสารอา้ งอิงที่ครบถว้ นสมบูรณ์ 2.7 References คือ รายการเอกสารอา้ งอิง ต้องเปน็ ภาษาองั กฤษทง้ั หมด หากเอกสารอ้างอิงมี ตน้ ฉบับเป็นภาษาไทย ผูเ้ ขียนต้องแปลรายการเอกสารอ้างอิงนั้นเป็นอังกฤษ และเพ่ิม “(in Thai)” ทา้ ยรายการอ้างอิง น้นั ๆ ด้วย (รายละเอยี ดวิธีการอา้ งองิ ใหด้ ูในหัวขอ้ การเขยี นอา้ งอิง)

วารสารวิชาการสขุ ภาพภาคเหนือ (Journal of Health Sciences Scholarship ) ผ่านการรบั รองคณุ ภาพของ TCI และอยู่ในฐานขอ้ มูล TCI กลุม่ ที่ 2 (จนถงึ 31 ธันวาคม 2567) 3. บทความปริทัศน์ (Review Article) คือ บทความท่ีมีการผสมผสานแนวคิด และผลการวิจัยหลายๆ งานวจิ ยั โดยผเู้ ขียนจะสังเคราะหแ์ นวคิดเหล่าน้ี ตลอดจนสังเคราะห์ผลการวิจัยจากงานวิจยั ตา่ งๆ เพื่อประมวลเปน็ ข้อ โต้แย้งในเร่ืองใดเรื่องหนึ่ง โดยวัตถุประสงคข์ องการเขียนบทความปรทิ ัศน์ คือ เป็นการสรุป วิเคราะห์ และสังเคราะห์ ความรู้ทั้งทางกว้างและทางลึกอย่างทันสมัยจากผลงานวจิ ัยอืน่ ๆ และ/หรือผลงานวิชาการอ่ืนๆจนถึงปัจจุบัน เพื่อเป็น การทบทวนการก้าวหน้าทางวชิ าการของเรือ่ งน้ันๆ โดยให้ข้อวิพากษ์ท่ีชี้ให้เห็นแนวโน้มที่ควรศึกษาและพัฒนาต่อไป ควรประกอบด้วย 3.1 ชอ่ื เรือ่ ง ทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ 3.2 ชื่อผู้เขียนพร้อมชื่อสังกัด ท้ังภาษาไทยและภาษาอังกฤษ และขอให้ระบุผู้รับผิดชอบบทความ (corresponding author) พร้อมหมายเลขโทรศพั ทเ์ คล่ือนทแ่ี ละ email address 3.3 บทคดั ย่อ ท้งั ภาษาไทยและภาษาอังกฤษ 3.4 คำสำคัญทง้ั ภาษาไทยและภาษาองั กฤษ 3.5 บทนำเพ่ือกล่าวถงึ ความน่าสนใจของเร่อื งทน่ี ำเสนอก่อนเข้าสเู่ น้อื หาในแต่ละประเดน็ 3.6เน้ือหาของบทความจะนำเสนอในแต่ละประเด็นและต้องมีบทสรุปเร่ืองท่ีเสนอ พร้อม ข้อเสนอแนะจากผู้เขียนเก่ียวกับเร่ืองดังกล่าวสำหรับให้ผู้อ่านได้พิจารณาประเด็นท่ีน่าสนใจต่อไป ผู้เขียนควร ตรวจสอบเน้ือหาท่เี ก่ียวขอ้ งกบั บทความท่ีนำเสนออยา่ งละเอียด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเนื้อหาท่ีใหมท่ ่ีสดุ ข้อมลู ท่ีนำเสนอ จะต้องไม่จำเพาะเจาะจงเฉพาะผู้อ่านที่อยู่ในสาขาของบทความเท่าน้ัน แต่ต้องนำเสนอข้อมูลท่ีซ่ึงผู้อ่านในสาขาอื่น สามารถเข้าใจได้ 3.7 บทสรุปหรอื วจิ ารณ์ 3.8 References คือ รายการเอกสารอ้างอิง ต้องเป็นภาษาอังกฤษทั้งหมด หากเอกสารอ้างอิงมี ตน้ ฉบับเป็นภาษาไทย ผเู้ ขียนตอ้ งแปลรายการเอกสารอา้ งองิ นั้นเป็นอังกฤษ และเพิ่ม “(in Thai)” ท้ายรายการอ้างอิง นัน้ ๆ ด้วย (รายละเอยี ดวิธกี ารอ้างองิ ให้ดูในหัวข้อการเขียนอ้างอิง) ท้ังบทความวิจัย (Research Article) บทความวิชาการ (Journal Article) บทความปริทัศน์ (Review Article) และบทวิจารณ์บทความ (Article Review) ผู้นิพนธ์กรุณาแนบหนังสือขอเสนอบทความในวารสารวิชาการ สขุ ภาพภาคเหนือ ซึ่งอยู่ด้านหลังสดุ ของเอกสารชุดนี้ ทั้งนี้ความยาวของเร่ืองไม่ควรเกิน 20 หนา้ (รวมเอกสารอ้างอิง) ขนาดกระดาษ A4 (รูปแบบอกั ษร TH SarabunPSK ขนาด 16) การเตรยี มบทความตน้ ฉบับ การรับบทความต้นฉบับ ระบบจะรับไฟล์ MS Words เท่านั้น และต้องไม่มี file protection เน่ืองจาก reviewer อาจจะใหค้ วามเห็นโดยใช้ Track Changes หรือ New Comment 1. ช่ือเรือ่ ง (title) ให้มีท้ังภาษาไทยและภาษาอังกฤษ ต้องกะทัดรัดและสอื่ เป้าหมายหลักของการศกึ ษา ไม่ใช้ คำยอ่ ความยาวไมเ่ กิน 100 ตัวอักษร รวมช่องไฟ ถ้าชื่อยาวมาก ให้ตดั เปน็ ซื่อรอง (subtitle) 2. ชื่อผู้เขียน (author and co-author) ให้มีทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ ใช้ซ่ือเต็ม ไม่ใช้คำย่อ ไม่ต้อง ระบุ ตำแหน่งและคำนำหนา้ ซ่อื 3.ชื่อสังกัด/สถานท่ีปฏิบัติงาน (affiliation) ให้มีท้ังภาษาไทยและภาษาอังกฤษ ใช้ช่ือหน่วยงานที่ผู้เขียน ปฏิบัติงานอยใู่ นปัจจุบัน ท้ังนี้ในกรณีมีมากกว่าหน่ึงสังกดั ขอให้ระบุมาเพียงสังกัดเดียว เมื่อมีผู้เขียนหลายคน และอยู่ คนละสงั กัดให้ใช้สัญลักษณ์ต่อไปนีต้ ามลำดบั เพ่ือแยกสังกัด *, ** โดยใหร้ ะบุเปน็ เชงิ อรรถในหนา้ นนั้ ๆ

วารสารวิชาการสขุ ภาพภาคเหนอื (Journal of Health Sciences Scholarship ) ผา่ นการรับรองคณุ ภาพของ TCI และอยใู่ นฐานข้อมลู TCI กลุ่มที่ 2 (จนถงึ 31 ธันวาคม 2567) 4. บทคัดย่อ (abstract) ให้มีทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ เป็นเนื้อความย่อตามลำดับโครงสร้างของ บทความ ได้แก่ ความเป็นมาและเหตุผล ระเบียบวิธีศึกษา ผลการศึกษาและข้อเสนอแนะ บทคัดย่อภาษาไทยไม่ควร เกิน 1 หน้ากระดาษ และภาษาอังกฤษ ไม่ควรเกิน 1 หน้ากระดาษ เช่นเดียวกัน ใช้ภาษารัดกุม เป็นประโยคสมบูรณ์ มคี วามหมายในตวั เองโดยไมต่ ้องหาความหมายตอ่ ไม่ควรมีคำยอ่ ในภาษาอังกฤษต้องเป็นประโยคอดตี 5.คำสำคญั (keywords) ใหม้ ที งั้ ภาษาไทยและภาษาอังกฤษวางไวท้ ้ายบทคัดย่อ และ Abstract 6. บทนำ (Introduction) เป็นการแสดงถึงความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา ภูมิหลังและเหตุผล (background and rationale) เป็นส่วนของบทความที่บอกเหตุผลที่นำไปสู่การศึกษา ทบทวนวรรณกรรมท่ีเกี่ยวกับ จุดมุ่งหมายของการศึกษา เป็นส่วนที่อธิบายให้ผู้อ่านทราบถึงปัญหา ลักษณะและขนาดของปัญหาที่นำไปสู่ความ จำเป็นในการศึกษาวิจัยให้ได้ผลเพื่อแก้ปัญหาหรือตอบคำถามท่ีต้ังไว้ หากมีทฤษฎีท่ีจำเป็นท่ีต้องใช้ในการศึกษาอาจ วางพ้นื ฐานไว้ในส่วนนี้ 7. วตั ถุประสงค์ของการศึกษา คำถามการวิจัย หรอื สมมติฐานการวิจยั (ถา้ มี) 8. ขอบเขตการศึกษา ควรระบุให้ครบท้ัง 4 ด้าน ได้แก่ ด้านเน้ือหาหรือตัวแปร ด้านประชากรและกลุ่ม ตวั อยา่ ง ดา้ นพ้นื ท่แี ละด้านระยะเวลา 9. นยิ ามศพั ท/์ กรอบแนวคดิ (ถ้ามี) 10. ระเบียบวิธีวิจัย หรือ วิธีดำเนินการวิจัย (Methods) ให้บอกรายละเอียดของสิ่งท่ีนำมาศึกษา เร่ิมด้วย รูปแบบแผนการศึกษา (study design) เซ่น descriptive หรือ quasi-experiment แล้วระบุประชากรและกลุ่ม ตัวอย่าง ขนาดกลุ่มตัวอย่าง การได้มาซึ่งกลุ่มตัวอย่าง เซ่น การสุ่มตัวอย่างแบบง่ายหรือแบบหลายขั้นตอน รวมถึง วิธีหรือมาตรการท่ีใช้ศึกษา (interventions) เครื่องมือท่ีใช้ การตรวจสอบคุณภาพเครื่องมือ การทดสอบความ น่าเชื่อถือ วธิ ีการเกบ็ ข้อมูล ระยะเวลาท่ีใชใ้ นการเก็บข้อมลู วิธีวิเคราะหข์ ้อมลู สถิตทิ ใ่ี ช้ ซงึ่ อาจเป็นวธิ ีการเชิงคณุ ภาพ หรือวิธีการเชิงปริมาณข้ึนอยู่กับประเภทของการวิจัย การพิทักษ์สิทธ์ิกลุ่มตัวอย่างซ่ึงการวิจัยท่ีตีพิมพ์ใน วารสารวิชาการสุขภาพภาคเหนือต้องผ่านการพิจารณาจากคณะกรรมการการวิจัยในมนุษย์ (Ethical committee approval) โปรดระบุว่าผ่านการพิจารณาจากคณะกรรมการชุดใดบ้างและเม่ือไร และให้ระบุเลขท่ีท่ีได้รับการอนุมัติ จากคณะกรรมการวจิ ยั ดังกล่าว 11 ผลการศึกษา แสดงผลของการวิจัย และข้อมูลต่างๆ ที่ได้จากการศึกษาวิจัยน้ันๆ อาจมีภาพ ตาราง และ แผนภูมปิ ระกอบให้ชัดเจน เข้าใจไดง้ ่าย ไมค่ วรเสนอตารางเปน็ ภาพถ่าย 11 การอภปิ รายผล รวมถงึ การใหข้ ้อเสนอแนะบนพื้นฐานของผลงานวิจัย 12 กิตติกรรมประกาศ (Acknowledgement) (ถ้าม)ี มียอ่ หน้าเดยี วเป็นแจ้งใหท้ ราบว่ามีการชว่ ยเหลือหรือมี ผสู้ นับสนุนทุนการวจิ ัยท่ีสำคญั จากทีใ่ ดบา้ ง 13. เอกสารอ้างอิง (Reference) คือ รายการเอกสารอ้างอิง ต้องเป็นภาษาอังกฤษท้ังหมด หาก เอกสารอา้ งอิงมตี น้ ฉบบั เปน็ ภาษาไทย ผูเ้ ขียนตอ้ งแปลรายการเอกสารอ้างองิ นั้นเป็นองั กฤษ และเพิ่ม “(in Thai)” ท้ายรายการอ้างอิงน้ันๆ ด้วย (รายละเอียดวิธีการอ้างอิงให้ดูในหัวข้อการเขียนอ้างอิง) การอ้างอิงเอกสารให้ใช้ระบบ APA style โดยทำเป็นวงเลบ็ วางไวห้ ลงั ข้อความหรือหลังชื่อบุคคลเจ้าของข้อความทีอ่ ้างถงึ การเขยี นรายการอ้างอิง ทุกรายการให้เขียนเป็นภาษาอังกฤษ (รายละเอียดในหัวข้อการเขียนเอกสารอ้างอิง) การเรียงลำาดับรายการ เอกสารอา้ งอิงท้ายเร่ือง ใหเ้ รยี งลำดบั ตามตัวอกั ษร A------->Z 14. การส่งต้นฉบับพร้อมหนังสือขอเสนอบทความในวารสารวิชาการสุขภาพภาคเหนือ โดยการเสนอ บทความผ่านระบบการส่งบทความแบบออนไลน์หรือระบบ Online Journal System (OJS) ที่เป็น web site ที่

วารสารวชิ าการสขุ ภาพภาคเหนือ (Journal of Health Sciences Scholarship ) ผ่านการรับรองคณุ ภาพของ TCI และอยู่ในฐานขอ้ มลู TCI กลุ่มท่ี 2 (จนถงึ 31 ธันวาคม 2567) วารสารได้กำหนดไว้ให้ทาง https://he01.tci-thaijo.org/index.php/johss ซ่ึงเม่ือท่านเข้าสู่ URL แล้วจะมี แบบฟอร์มให้ดาวนโ์ หลดเอกสารและคำแนะนำการส่งบทความ Submission การเขียนเอกสารอ้างองิ การเขียนเอกสารอ้างอิงให้ใช้การอ้างอิงระบบ APA Style ให้เรียงลำดับตามตัวอักษร มีรายละเอียดและ ตัวอย่างของเอกสารอา้ งองิ ดังน้ี หนังสือ ชื่อผแู้ ต่ง. (ปีทพี่ ิมพ์). ชอื่ เรอ่ื ง ครงั้ ท่พี ิมพ์. สถานที่พมิ พ์: สำนักพิมพ์ Davis, Keith. (1967). Human Relation at Work: The Dynamic of Organization Behavior. New York: McGraw-Hill. บทความในวารสาร ชื่อผูเ้ ขยี น. (ปที ีพ่ มิ พ)์ . ช่ือบทความ. ชื่อวารสาร. ปีท่ี (เดอื น): เลขหนา้ . Eiamsumang, P., Srisuriyavait, R., & Homsin, P. (2013). Risk factors of unintended repeat pregnancy among adolescents. The public health journal of Burapha University. 8(1), 55-67. (in Thai). Egloff, G. & Fitzpatrick, A. (1997). Vocationally Oriented Language Learning. Learning Teaching Journal. 30(July): 226: 242. เว็บไซต์ Lynch, T. (1996). DS9 trials and tribble-actions review. [Online], Available:http://www.bradley. edu/campusorg/psiphi.html. (1997, 8 October) ComputerCrime andIntellectual PropertySection(CCIPS). (2003). HowtoReport Internet-RelatedCrime [Online], Available: http://www.cybercrime.gov/reporting.htm. (2004, 17January) จากแหลง่ อน่ื ๆ Agrawal, A. (2008, March 5–6). The role of local institutions in adaptation to climate change. Paper presented at the Social Dimentions of Climate Change, Social Development Department, The World Bank, Washington, DC. Central Statistics Office of Rebublic of Botswana. (2008). Gross domestic product per capita 06/01/1994 to 06/01/2008 [Statistics]. Available from CEIC Data database. Supakorndej, S. (2003). The process of recycling bank on Ban Thai Samakee community in Ban Pong, Ratchaburi. Unpublished Master’s thesis, Mahidol University. Wilfley, D. E. (1989). Interpersonal analysis of bulimia. Doctoral dissertation, University of Missouri, Columbia.

วารสารวิชาการสขุ ภาพภาคเหนอื (Journal of Health Sciences Scholarship ) ผา่ นการรบั รองคณุ ภาพของ TCI และอยใู่ นฐานข้อมูล TCI กลุ่มที่ 2 (จนถงึ 31 ธันวาคม 2567) ตัวอย่างการเขียนเอกสารอ้างอิง (เนื่องจากต้องทำให้วารสารเป็นมาตรฐาน ดังน้ัน Reference หากเป็น ภาษาไทย: ผู้เขียนบทความต้องเปลี่ยน Reference ภาษาไทยให้เป็นภาษาอังกฤษด้วย แล้ววงเล็บข้างหลังว่า (in Thai). และให้นำชอ่ื ผูแ้ ตง่ หรือหนว่ ยงานที่อ้างอิงทท่ี ่านทำเป็นภาษาอังกฤษ ไปใส่อ้างอิงในบทความด้วย) ปะราสี อเนก. (2554). องค์ประกอบทางการตลาดที่มีอิทธิพลต่อการรบั รคู้ ุณค่าในการใช้บริการสปาของนักท่องเท่ยี ว ต่างชาติในจงั หวัด เชียงใหม่. วารสารวิทยาการจัดการ. 28(2), 64-72. ใหเ้ ขียนเปน็ Anek. P. (2011). The Marketing Component Influence to the Value Perception in Using Spa Service of Foreigner Tourist in Chiangmai Province. Journal of management sciences. 28(2), 64-72. (in Thai). Ebel, R. L., & Frisbie, D. A. (1986). Essentials of Educational Measurement (4th ed.). New Jersey: Prentice-Hall. Nunnally, J. (1978). Psychometric theory. New York: MacGraw-Hill. Radermacher, H., Feldman, S., & Bird, S. (2010). Food security in older Australians from different cultural backgrounds. Journal of Nutrition, Education and Behavior. 42(5), 328-336. ขอ้ ควรระวังการจดั เตรียมบทความ • ชื่อผู้แต่ง ไม่ใส่ตำแหน่งทางวิชาการ ยศ ตำแหน่งทหาร สถานภาพทางการศึกษา หรือ คำนำหน้าช่ือ หรือ ท้ายชอื่ เชน่ นาย, นาง, นางสาว, ผศ.ดร., PhD, ร.ต.ต., พ.ต.ท. • ไมร่ ะบสุ ถานภาพผแู้ ต่ง เช่น อาจารยท์ ี่ปรกึ ษาวิทยานพิ นธ์, ผศ.ดร. เป็นตน้ สถานทต่ี ดิ ต่อ กองบรรณาธิการวารสารวิชาการสขุ ภาพภาคเหนอื กลุ่มวจิ ยั และบริการวชิ าการ วทิ ยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี นครลำปาง 268 ถนนป่าขาม ตำบลหวั เวียง อำเภอเมอื ง จังหวัดลำปาง 52000 โทรศัพท์ 054-226254 ตอ่ 141 โทรสาร 054-225-020 email: [email protected] http://www.tci-thaijo.org/index.php/johss

หนงั สือขอเสนอบทความในวารสารวชิ าการสขุ ภาพภาคเหนือ (Journal of Health Sciences Scholarship) วันท.ี่ ............................................................. ผ้นู พิ นธ์ ช่ือ......................................................................นามสกุล.......................................................... (ภาษาไทย) ชือ่ ......................................................................นามสกุล…...................................................(ภาษาอังกฤษ) ตาแหน่ง………………………………………..………………หนว่ ยงาน……………………………………………..………………………..…. ที่อยทู่ ่ตี ดิ ตอ่ …………………………………………………………………………………………………………………………………………… ประสงค์ขอตีพมิ พ์  บทความวิจยั  บทความวิชาการ  บทวจิ ารณ์หนงั สือ  บทความปรทิ รรศน์ เรือ่ ง (ภาษาไทย).................................................................................................................................................... ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… (ภาษาองั กฤษ)............................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................................... ในวารสารวิชาการสุขภาพภาคเหนือ ซ่งึ ดาเนนิ การโดยวิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี นครลาปาง โดยบทความนี้ ขา้ พเจา้ ได้นพิ นธ์ข้นึ เพื่อ  เผยแพรผ่ ลงานวชิ าการ สาเร็จการศึกษาระดับ...............................................สาขา................................... จาก............................................................................................................................................................................. ช่ืออาจารย์ท่ีปรกึ ษาวทิ ยานิพนธ/การศึกษาอิสระ ……………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. (หากเป็นบทความวิจัยจากวิทยานิพนธ์/การศึกษาอิสระ ผู้นิพนธ์ต้องผ่านการพิจารณาจากจากอาจารย์ท่ีปรึกษาว่าได้ ตรวจสอบบทความ มีความถูกตอ้ งตามหลักวิชาการ และยนิ ดใี หต้ ีพิมพใ์ นวารสารวิชาการสขุ ภาพภาคเหนอื ได้)  อื่นๆ (ระบ)ุ ........................................................................................................................................... ผลงานนี้ยังไม่เคยลงตีพิมพ์ในวารสารใดมาก่อน และจะไม่นาส่งไปเพ่ือพิจารณาลงตีพิมพ์ในวารสารอื่นๆ อกี นับจากวนั ท่ีขา้ พเจา้ ไดส้ ง่ ผลงานตน้ ฉบบั น้มี ายังกองบรรณาธิการวารสาร ข้าพเจ้าขอรับผิดชอบเก่ยี วกบั เนือ้ หาท่ี ปรากฏในบทความนี้ กรณีมีการฟ้องร้องเร่ืองการละเมิดลิขสิทธิ์เก่ียวกับข้อความส่วนใดส่วนหนึ่งท่ีปรากฎใน บทความให้เป็นความรับผิดชอบของข้าพเจ้าและผู้เขียนร่วมแต่เพียงฝา่ ยเดียว พร้อมน้ีข้าพเจ้าได้สง่ เอกสารตา่ ง ๆ ใหก้ องบรรณาธิการวารสารดังตอ่ ไปนี้ (ใบขอเสนอบทความ/สาเนาใบรบั รองจริยธรรม ส่งเป็น Pdf แนบเขา้ มาในระบบ)  กรอกข้อมูลรายละเอียดแบบฟอรม์ เสนอผลงานลงตีพมิ พ์ในวารสารฯ  สาเนาใบรบั รองจากคณะกรรมการพจิ ารณาการวิจัยในมนษุ ย์ เมื่อกองบรรณาธิการของวารสารพจิ ารณาแล้ว มมี ติใหแ้ กไ้ ขปรบั ปรุงบทความ ข้าพเจา้ มีความยนิ ดรี ับไป แกไ้ ขตามมตดิ ังกลา่ วนน้ั ทัง้ นข้ี ้าพเจา้ ไดช้ าระคา่ ธรรมเนียมขอตพี มิ พ์บทความลงในวารสารตามอตั ราทไี่ ด้กาหนดไว้ ลงชือ่ ............................................................ (.................................................................) ผู้นิพนธบ์ ทความ

ใบชาระคา่ ตีพมิ พ์บทความ วารสารวชิ าการสุขภาพภาคเหนอื (Journal of Health Sciences Scholarship) ประเภท บุคคล หนว่ ยงาน ออกใบเสรจ็ ในนาม ..................................................................................................................................... ช่อื -สกลุ ..................................................................................................................................... ท่อี ยูใ่ นการจัดส่งเอกสาร ................................................................ บา้ นเลขท.ี่ ................ ถนน...................... หมูท่ ่.ี ........... ตาบล / แขวง ............................. อาเภอ/เขต .........................................จังหวดั ............................ รหสั ไปรษณยี .์ ................................... เบอร์โทรศัพท์ ............................ e-mail address ……………..……………… ประเภทการตพี ิมพ์ บทความทจ่ี ะใชป้ ระกอบการขอกาหนดตาแหนง่ ทางวิชาการ ผู้ทรงคุณวฒุ ิ 3 ทา่ น อัตรา 4,000 บาท บทความท่ไี มใ่ ช้ประกอบการขอกาหนดตาแหน่งทางวชิ าการ ผทู้ รงคุณวฒุ ิ 2 ท่าน อัตรา 3,000 บาท ช่ือบทความ ............................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................................... ชอ่ื ผนู้ พิ นธ์หลัก ...................................................................................................................................................... ชอ่ งทางชาระเงิน เงนิ สด โอนผ่านธนาคาร/เช็ค/ต๋วั แลกเงนิ ส่ังจา่ ยในนาม “วทิ ยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี นครลาปาง” (วทิ ยาลยั พยาบาลบรมราชชนนี นครลาปาง ธนาคารกรุงไทย เลขท่ีบญั ชี 536-1-11771-4) ลงนามผสู้ มัคร ....................................................... (.....................................................) วันที.่ ........เดอื น.....................พ.ศ............ หมายเหตุ 1) หากท่านชาระเงนิ แล้ว ใหส้ ง่ หลักฐานมายัง e-mail: [email protected] หรือ [email protected] 2) ส่งหลักฐานการชาระเงินฉบับจรงิ มายังท่อี ยู่ บรรณาธิการวารสารวิชาการสุขภาพภาคเหนอื วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี นครลาปาง 268 ถ.ปา่ ขาม ต.หวั เวียง อ.เมอื ง จ.ลาปาง 52000 โทร. 081-9523096, 086-6587778




Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook