Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore 17026-5889-PB

17026-5889-PB

Published by Sucheera Panyasai, 2021-12-25 03:49:02

Description: 17026-5889-PB

Keywords: วารสารวิชาการสุขภาพภาคเหนือ

Search

Read the Text Version

93 วารสารวชิ าการสขุ ภาพภาคเหนอื (Journal of Health Sciences Scholarship) ผา่ นการรบั รองคณุ ภาพของ TCI และอยู่ในฐานขอ้ มลู TCI กลมุ่ ที่ 2 (จนถึง 31 ธนั วาคม 2567) โดยพัฒนาการใช้โปรแกรมการปรับเปล่ยี นพฤติกรรมสขุ ภาพ ของดารณี ทองสมั ฤทธ์ิ และคณะ (Thongsumrit et al., 2017) ร่วมกับการใชก้ ระบวนการกลุ่ม โดยใชก้ ระบวนการ 4 กระบวนการในการจัดกิจกรรม เพื่อปรับเปล่ียน พฤติกรรมโดยจัดกิจกรรม จานวน 4 คร้ัง ระยะเวลา 12 สัปดาห์ วัดผลหลังทากิจกรรมในสัปดาห์ที่ 12 โดยมี กระบวนการปรับเปลีย่ นพฤตกิ รรม ดังน้ี สัปดาหท์ ่ี 1 : กระบวนการที่ 1 เพม่ิ ศกั ยภาพการดูแลสขุ ภาพตนเองแก่ผู้ป่วยโรคเบาหวาน ประเมินสุขภาพเบ้ืองต้น ประกอบด้วย ช่ังน้าหนัก วัดรอบเอว ประเมินค่าดัชนีมวลกาย เจาะน้าตาลในเลือดจาก ปลายน้ิว(DTX) ประเมินความรู้ และพฤติกรรมการดูแลสุขภาพของตนเอง ก่อนเข้าร่วมโปรแกรม และการให้ ความรู้เพิ่มการรับรู้ ประกอบดว้ ย 1. ให้ความรู้เร่ืองโรคเบาหวาน การดูแลสุขภาพตนเองของผู้ป่วย 2. โภชนาการ อาหารที่เหมาะกับโรค 3. เรื่องสุขภาพจิตการจัดการความเครียด 4. การออกกาลังกายที่เหมาะสมกับโรคและวิถี ชีวิต 5. กจิ กรรมสนทนากลุม่ วเิ คราะหต์ นเอง หาวิธแี กไ้ ขปญั หาดว้ ยตนเอง และเลือกวิธีการปรับเปล่ียนพฤติกรรม สุขภาพด้วยตนเอง ในชว่ ง 3 สัปดาห์ใหผ้ ู้ป่วยบันทึกอาหารทีร่ บั ประทาน 3 มือ้ ต่อวัน และบนั ทกึ การออกกาลังกาย หรอื ออกแรง ระยะเวลาทปี่ ฏิบัตใิ น 1 วนั สัปดาห์ที่ 4 : กระบวนการที่ 2 สร้างการรับรู้ผลกระทบจากภาวะแทรกซ้อนของโรคเบาหวาน ให้ชมวีดี ทัศน์ตัวแบบด้านลบท่ีเป็นโรคเบาหวาน อาการแทรกซ้อนและความรุนแรงจากการควบคุมระดับน้าตาลในเลือด ไม่ได้ ติดตามการดูแลสุขภาพตนเอง วิธีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพในระยะเวลา 3 สัปดาห์ที่ผ่านมา รายบคุ คล สัปดาหท์ ่ี 8 : กระบวนการท่ี 3 การเสนอตวั แบบดแู ลสุขภาพ ประเมินสุขภาพเบ้ืองต้น ประกอบด้วย ชั่งน้าหนัก วัดรอบเอว ประเมินค่าดัชนีมวลกาย เจาะน้าตาลในเลือดจาก ปลายน้ิว(DTX) การสนทนากลุ่ม แบ่งเป็น 2 กลุ่มๆละ 15 คน เสนอให้ผู้ป่วยเบาหวานที่มีค่าระดับน้าตาลในเลือด ลดลง เป็นตวั แบบด้านบวกเล่าประสบการณ์เก่ยี วกับความสาเร็จในการปฏิบตั ิตวั ได้ดีและวธิ ีปรับเปล่ยี นพฤติกรรม สุขภาพตามวิถีชีวิต และให้สมาชิกกลุ่มวิเคราะห์ปัญหาและอุปสรรคในการปรับเปล่ียนพฤติกรรมตนเองที่มีผลต่อ การควบคุมระดบั น้าตาลในเลือด สปั ดาหท์ ่ี 12 : กระบวนการที่ 4 ประเมินภาวะสุขภาพ ความรแู้ ละพฤติกรรมสุขภาพหลงั ใชโ้ ปรแกรมครบ 12 สัปดาห์ โดยประเมินภาวะสุขภาพ ตรวจระดับน้าตาลในเลือดจากปลายนิ้ว(DTX) ชั่งน้าหนัก วัดรอบเอว ประเมินความรู้และพฤติกรรมสุขภาพโดยใช้แบบสอบถาม กิจกรรมสนทนากลุ่ม 30 คน โดยสรุปภาวะสุขภาพ รายบุคคล วเิ คราะหค์ วามรู้ และประโยชน์ที่ไดจ้ ากการใชโ้ ปรแกรมการปรบั เปลีย่ นพฤติกรรมสุขภาพ และการดแู ล สุขภาพตนเองท่ีบ้านอยา่ งต่อเนื่อง เพื่อควบคุมระดับน้าตาลในเลอื ดใหอ้ ย่ใู นเกณฑ์ปกติ 2. เคร่อื งมือท่ีใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ประกอบดว้ ย 2.1 แบบสอบถามความร้แู ละพฤติกรรมการปรบั เปล่ียนพฤติกรรมสขุ ภาพในกลุ่มผู้ป่วยโรคเบาหวาน แบบสอบถามความรู้และพฤติกรรมการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพในกลุ่มผู้ป่วยโรคเบาหวาน แบ่งออกเป็น 3 สว่ น ดงั นี้ วารสารวิชาการสุขภาพภาคเหนือ ปที ี่ 8 ฉบบั ท่ี 2 เดอื น กรกฎาคม – ธนั วาคม 2564 Journal of Health Sciences Scholarship July - December 2021, Vol.8 No.2

94 วารสารวิชาการสขุ ภาพภาคเหนือ (Journal of Health Sciences Scholarship) ผ่านการรับรองคุณภาพของ TCI และอยใู่ นฐานข้อมูล TCI กลุม่ ท่ี 2 (จนถึง 31 ธันวาคม 2567) ส่วนที่ 1 ข้อมูลทั่วไป ประกอบด้วย ข้อมูลเกี่ยวกับ อายุ เพศ การศึกษา สถานภาพสมรส อาชีพ และ ประวตั ิการรกั ษา จานวน 10 ขอ้ ลกั ษณะคาถามเปน็ แบบเลอื กตอบและแบบเติมคา สว่ นท่ี 2 ความรูเ้ กีย่ วกบั โรคเบาหวาน จานวนท้ังหมด 15 ขอ้ แบ่งออกเปน็ ขอ้ คาถามทางบวก จานวน 11 ข้อ และข้อคาถามทางลบ จานวน 4 ขอ้ มีลักษณะคาตอบให้เลอื กตอบ ใช่ ไม่แนใ่ จ หรอื ไมใ่ ช่ เกณฑ์การใหค้ ะแนนขอ้ คาถามทางบวก คือ ใช่ เทา่ กบั 1 คะแนน ไม่ใช่ เทา่ กบั 0 คะแนน เกณฑ์การใหค้ ะแนนข้อคาถามทางลบ คอื ใช่ เทา่ กบั 0 คะแนน ไมใ่ ช่ เท่ากบั 1 คะแนน เกณฑ์การแปลผลคะแนน ใช้การพิจารณาแบ่งระดับคะแนนอิงเกณฑ์ โดยประยุกต์จากหลักเกณฑ์ของ Bloom (1971) มีเกณฑ์แบ่งคะแนนออกเป็น 3 ระดบั ดังนี้ ความรูอ้ ย่ใู นระดับสูง ไดค้ ะแนนตัง้ แต่รอ้ ยละ 80 ขนึ้ ไป (ชว่ งคะแนน 12 – 15 คะแนน) ความรู้อยู่ในระดบั ปานกลาง ไดค้ ะแนนตงั้ แต่ร้อยละ 60 – 79.99 (ชว่ งคะแนน 10 – 11 คะแนน) ความรู้อยใู่ นระดบั ตา่ ไดค้ ะแนนตา่ กวา่ รอ้ ยละ 60 (ช่วงคะแนน 0 - 9 คะแนน) สว่ นท่ี 3 พฤตกิ รรมการดแู ลสขุ ภาพของตนเองในผปู้ ว่ ยเบาหวาน แบ่งออกเปน็ ด้านต่างๆ ดงั น้ี ด้านการบริโภค จานวนทั้งหมด 16 ข้อ แบ่งออกเป็นข้อคาถามทางบวก จานวน 5 ข้อ และข้อคาถาม ทางลบ จานวน 11 ข้อ ลักษณะคาตอบให้เลือกตอบ ปฏิบัติเป็นประจา บ่อยคร้ัง บางคร้ัง นานๆครั้ง และไม่เคย ปฏบิ ัติ ดา้ นออกกาลงั กาย จานวนท้งั หมด 6 ข้อ แบง่ ออกเป็นข้อคาถามทางบวก จานวน 6 ข้อ ดา้ นการจัดการความเครียด จานวนทั้งหมด 6 ข้อ แบ่งออกเป็นข้อคาถามทางบวก จานวน 4 ข้อ คาถาม ทางลบ จานวน 2 ข้อ เกณฑก์ ารให้คะแนนข้อคาถามทางบวก คอื ปฏิบตั ิเป็นประจา เทา่ กบั 4 คะแนน ปฏบิ ัตบิ อ่ ยคร้ัง เทา่ กบั 3 คะแนน ปฏิบัติบางคร้ัง เท่ากับ 2 คะแนน ปฏิบตั ินานๆคร้ัง เท่ากับ 1 คะแนน ไมเ่ คยปฏิบัติ เท่ากบั 0 คะแนน เกณฑก์ ารใหค้ ะแนนขอ้ คาถามทางลบ คือ ปฏิบัติเปน็ ประจา เทา่ กบั 0 คะแนน ปฏบิ ตั บิ อ่ ยครง้ั เท่ากบั 1 คะแนน วารสารวิชาการสขุ ภาพภาคเหนือ ปีที่ 8 ฉบบั ท่ี 2 เดอื น กรกฎาคม – ธันวาคม 2564 Journal of Health Sciences Scholarship July - December 2021, Vol.8 No.2

95 วารสารวชิ าการสขุ ภาพภาคเหนอื (Journal of Health Sciences Scholarship) ผา่ นการรบั รองคณุ ภาพของ TCI และอยู่ในฐานขอ้ มลู TCI กลมุ่ ที่ 2 (จนถึง 31 ธันวาคม 2567) ปฏบิ ตั บิ างครงั้ เท่ากบั 2 คะแนน ปฏบิ ตั ินานๆครง้ั เทา่ กบั 3 คะแนน ไมเ่ คยปฏิบตั ิ เท่ากับ 4 คะแนน เกณฑ์การแปลผลคะแนน ใช้การพิจารณาแบ่งระดับคะแนนอิงเกณฑ์ โดยประยุกต์จากหลักเกณฑ์ของ Bloom (1971) มีเกณฑแ์ บง่ คะแนนออกเปน็ 3 ระดับ ดงั นี้ พฤติกรรมสขุ ภาพอย่ใู นระดับสงู ได้คะแนนต้ังแต่ร้อยละ 80 ขึ้นไป (ช่วงคะแนน 90-112 คะแนน) พฤติกรรมสขุ ภาพอยใู่ นระดบั ปานกลาง ได้คะแนนตั้งแตร่ ้อยละ 60 – 79.99 (ช่วงคะแนน 68 - 89 คะแนน) พฤตกิ รรมสขุ ภาพอยูใ่ นระดับตา่ ไดค้ ะแนนต่ากว่ารอ้ ยละ 60 (ช่วงคะแนน 0 - 67 คะแนน) 2.2 แบบบันทึกผลการตรวจระดับน้าตาลในเลือด ก่อนและหลังเข้าร่วมโปรแกรมปรับเปล่ียนพฤติกรรม สุขภาพ ค่าระดบั น้าตาลในเลือดกลมุ่ ปว่ ยโรคเบาหวาน แบง่ ออกเปน็ 4 ระดบั ดังน้ี กล่มุ ป่วยระดบั ปกติ ≤ 125 mg/dL กลุ่มป่วยระดบั 1 126 – 154 mg/dL กลมุ่ ป่วยระดับ 2 155 – 182 mg/dL กลุ่มป่วยระดบั 3 ≥ 183 mg/dL การตรวจสอบคุณภาพเครอ่ื งมือ การตรวจความตรงเชิงเนื้อหา (content validity) ผู้วิจัยได้นาเสนอแบบสอบถามฉบับร่างให้ผู้ทรงคุณวุฒิ จานวน 3 ท่าน ได้แก่ นายแพทย์ผู้อานวยการโรงพยาบาล พยาบาลวิชาชพี หัวหน้างานกลุ่มผู้ป่วยโรคไม่ตดิ ต่อ และ อาจารย์วิทยาลัยพยาบาล ตรวจสอบความสอดคลอ้ งและความตรงของเนื้อหา ผลการคานวณค่าความตรงตามเนอ้ื หา (content validity index, CVI) จานวนข้อคาถาม 53 ข้อ ได้ค่าความตรงตามเน้ือหา Content Validity Index, CVI เทา่ กับ 0.97 การตรวจสอบความเท่ียง (reliability) ผู้วิจัยได้นาแบบสอบถามไปหาความเช่ือมั่น โดยนาแบบสอบถามที่ ปรับปรุงแล้วไปทดสอบ (try-out) กับกลุ่มที่มีลักษณะใกล้เคียงกับกลุ่มตัวอย่างท่ีจะศึกษาในพน้ื ท่ีใกล้เคียงกับ ตาบล สมัย อาเภอสบปราบ จังหวัดลาปาง คือเขตตาบลนายาง อาเภอสบปราบ จังหวัดลาปาง จานวน 30 คน และหาค่า ความเชื่อม่ัน (reliability) โดยหาสัมประสิทธ์ิอัลฟ่าของครอนบัค (Cronbach‘s alpha coefficient) ได้ค่าความ เชอื่ ม่นั เท่ากับ 0.81 การเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู ผู้วิจัยเก็บข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามความรู้และพฤติกรรมการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพในกลุ่มผู้ป่วย โรคเบาหวาน โดยดาเนินการดังนี้ 1. ช้แี จงวัตถุประสงค์ของการศกึ ษา พร้อมทง้ั ขอความรว่ มมอื ในการศึกษา วารสารวิชาการสุขภาพภาคเหนือ ปีที่ 8 ฉบับที่ 2 เดือน กรกฎาคม – ธันวาคม 2564 Journal of Health Sciences Scholarship July - December 2021, Vol.8 No.2

96 วารสารวชิ าการสุขภาพภาคเหนอื (Journal of Health Sciences Scholarship) ผ่านการรับรองคณุ ภาพของ TCI และอยใู่ นฐานข้อมลู TCI กลุ่มที่ 2 (จนถงึ 31 ธันวาคม 2567) 2. ตรวจสอบความถูกต้องครบถ้วนของข้อมูลและนาไปวิเคราะห์ทางสถิติโดยใช้โปรแกรม คอมพวิ เตอร์สาเรจ็ รปู การวเิ คราะหข์ อ้ มูล 1. ขอ้ มูลทวั่ ไป ข้อมูลความรูเ้ ก่ยี วกับโรคเบาหวานและพฤตกิ รรมการดูแลสขุ ภาพ วเิ คราะหส์ ถิติ ดว้ ยความถ่ี ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน 2. การเปรยี บเทียบความรเู้ กี่ยวกบั โรคเบาหวานและพฤติกรรมการดูแลสุขภาพ และระดบั นา้ ตาล ในเลอื ด (FBS) ของกลุ่มทดลอง ระหวา่ งกอ่ นและหลงั การทดลอง วิเคราะห์ดว้ ยสถติ ิ paired t – test 3. การเปรยี บเทียบความร้เู ก่ียวกับโรคเบาหวานและพฤติกรรมการดูแลสุขภาพ และระดบั น้าตาล ในเลือด (FBS) ของกลมุ่ ทดลองและกลมุ่ ควบคุม หลังการทดลอง วิเคราะหด์ ้วยสถิติ independent t – test การพิทกั ษ์สทิ ธก์ิ ล่มุ ตวั อยา่ งและจรยิ ธรรมการวิจัย 1. ผ้วู ิจยั คัดเลอื กกลุม่ ตวั อยา่ งตามข้นั ตอน การคัดเลือก ชีแ้ จงวัตถปุ ระสงคก์ ารวจิ ยั แจง้ การพิทักษ์สทิ ธิ์ กลุ่มตัวอย่าง โดยแจ้งให้กลุ่มตัวอย่างรู้ว่า โครงการวิจัยน้ีได้ผ่านการพิจารณารับรองจากคณะกรรมการจริยธรรม การวิจัยในมนุษย์ วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี จังหวัดลาปางแล้ว รหัสโครงการ 078/2563 เมื่อเดือน พฤษภาคม 2563 โดยแจ้งให้กลุ่มตัวอย่างทราบ วัตถุประสงค์ของการวิจัย ประโยชน์ที่จะเกิดขึ้นจากการวิจัย มี สิทธิ์ท่ีจะบอกเลิกการเข้าร่วมการวิจัยเมื่อใดก็ได้ รวมถึงการเก็บข้อมูลเป็นความลับและจะเปิดเผยได้เฉพาะใน รปู การสรุปผล 2. หากยนิ ดีเข้ารว่ มงานวจิ ัยผู้วิจยั ใหก้ ล่มุ ตวั อย่างลงนามในใบยนิ ยอมเขา้ รว่ มการวิจัย ผูว้ ิจัยถามข้อมูล ทัว่ ไป และเกบ็ ขอ้ มลู ระดับนา้ ตาลกอ่ นการทดลอง ผลการวจิ ัย ตารางท่ี 1 จานวนและรอ้ ยละข้อมลู ทัว่ ไปของกลุ่มตัวอยา่ ง จาแนกตามอายุ เพศ การศกึ ษา สถานภาพ (n = 60) ลกั ษณะกลมุ่ ตัวอย่าง กลมุ่ ทดลอง (n = 30) กลุ่มควบคุม (n = 30) p-value จานวน ร้อยละ จานวน รอ้ ยละ .000 อายุ 41 – 50 ปี 1 3.3 13 43.33 .79 51 – 60 ปี 61 ปีขึ้นไป 13 43.3 17 56.67 เพศ 16 53.4 0 0.0 หญงิ ชาย 19 63.3 20 66.7 11 36.7 10 33.3 วารสารวชิ าการสุขภาพภาคเหนือ ปที ่ี 8 ฉบบั ท่ี 2 เดือน กรกฎาคม – ธนั วาคม 2564 Journal of Health Sciences Scholarship July - December 2021, Vol.8 No.2

97 วารสารวชิ าการสขุ ภาพภาคเหนอื (Journal of Health Sciences Scholarship) ผา่ นการรับรองคุณภาพของ TCI และอย่ใู นฐานข้อมลู TCI กลมุ่ ท่ี 2 (จนถงึ 31 ธนั วาคม 2567) ตารางที่ 1 จานวนและรอ้ ยละข้อมูลท่ัวไปของกลุม่ ตวั อย่าง จาแนกตามอายุ เพศ การศึกษาสถานภาพ (n = 60) (ต่อ) ลักษณะกลมุ่ ตวั อยา่ ง กลุ่มทดลอง (n = 30) กลมุ่ ควบคมุ (n = 30) p-value จานวน ร้อยละ จานวน ร้อยละ .01 .65 ระดบั การศึกษา 22 73.30 8 26.70 .69 ประถมศกึ ษา 29 96.60 1 3.3 0 .63 มธั ยมศกึ ษา 1 3.30 25 83.30 1.0 3 10.00 สถานภาพสมรส 1 3.30 .01 โสด 0 0.00 26 86.70 3 10.00 สมรส 27 90.00 1 3.30 0 0.00 หยา่ รา้ ง 0 0.00 7 23.30 หม้าย 3 10.00 15 50.00 8 26.70 อาชพี 0 0.00 เกษตรกรรม 27 90.00 4 13.30 7 23.30 รับจา้ ง 1 3.30 16 53.30 3 10.00 อาชพี อิสระ 1 3.30 2 6.70 ไมไ่ ดท้ างาน 1 3.30 11 36.70 5 16.70 มญี าติสายตรงเป็นเบาหวาน ไมม่ ี 9 30.00 พอ่ แม่ 8 26.70 พี่น้อง 13 43.30 ระดับน้าตาลในเลอื ด 70 – 99 mg/dL 1 3.30 100 – 125 mg/dL 3 10.00 126 – 139 mg/dL 6 20.00 140 – 180 mg/dL 17 56.70 >180 mg/dL 3 10.00 ระยะเวลาในการป่วยโรคเบาหวาน <1ปี 2 6.70 1 – 3 ปี 2 6.70 3 – 5 ปี 5 16.70 วารสารวชิ าการสขุ ภาพภาคเหนือ ปีท่ี 8 ฉบับท่ี 2 เดือน กรกฎาคม – ธันวาคม 2564 Journal of Health Sciences Scholarship July - December 2021, Vol.8 No.2

98 วารสารวชิ าการสขุ ภาพภาคเหนือ (Journal of Health Sciences Scholarship) ผ่านการรับรองคุณภาพของ TCI และอยใู่ นฐานขอ้ มลู TCI กล่มุ ที่ 2 (จนถึง 31 ธันวาคม 2567) ตารางท่ี 1 จานวนและร้อยละขอ้ มูลท่ัวไปของกลุ่มตวั อยา่ ง จาแนกตามอายุ เพศ การศึกษาสถานภาพ (n = 60) (ตอ่ ) ลักษณะกลมุ่ ตัวอย่าง กลมุ่ ทดลอง (n = 30) กลุ่มควบคุม (n = 30) p-value จานวน รอ้ ยละ จานวน ร้อยละ .01 5 – 10 ปี .69 >10 ปี 14 46.7 8 26.7 วธิ กี ารรักษาในปัจจุบนั 7 23.3 3 10.0 ยาเมด็ ยาฉดี 30 100.0 22 73.3 อนื่ ๆ 0 0.0 6 20.0 มภี าวะแทรกซ้อน 0 0.0 2 6.7 ไม่มี จอประสาทตาเสอื่ ม 23 90.0 22 73.3 ความดันโลหติ สงู 1 3.3 2 6.7 จอประสาทตาเส่อื ม 4 13.3 5 16.7 อน่ื ๆ 0 0.0 2 6.7 2 6.7 0 0.0 *P<.05 ตารางที่ 2 เปรียบเทียบค่าเฉลยี่ คะแนนความร้เู ก่ียวกับโรคเบาหวาน พฤติกรรมการดูแลสขุ ภาพสุขภาพและระดับ น้าตาลในเลือดกอ่ นทดลองและหลงั ทดลองของ กลุ่มทดลอง ( n = 30 ) ผลลพั ธ์การทดลอง กอ่ นทดลอง หลงั ทดลอง t p-value ความรูเ้ กี่ยวกับโรคเบาหวาน Mean S.D. Mean S.D. .000* พฤติกรรมการดแู ลสขุ ภาพ 11.53 1.14 13.07 1.70 -4.84 .007* .003* ระดับน้าตาลในเลอื ด 76.20 8.96 82.20 8.56 -2.92 FBS (mg/dL) *P<.05 154.60 21.26 139.60 17.54 3.28 วารสารวชิ าการสขุ ภาพภาคเหนือ ปีที่ 8 ฉบบั ที่ 2 เดือน กรกฎาคม – ธันวาคม 2564 Journal of Health Sciences Scholarship July - December 2021, Vol.8 No.2

99 วารสารวชิ าการสุขภาพภาคเหนอื (Journal of Health Sciences Scholarship) ผา่ นการรับรองคณุ ภาพของ TCI และอยู่ในฐานข้อมูล TCI กลุ่มท่ี 2 (จนถงึ 31 ธันวาคม 2567) จากตารางที่ 2 ผู้ป่วยเบาหวานกลุ่มทดลอง ก่อนและหลังการทดลอง พบว่ามีค่าเฉลี่ยคะแนนความรู้ เกี่ยวกับโรคเบาหวาน พฤติกรรมการดูแลสุขภาพตนเองสูงกว่าก่อนทดลองอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติ (p < .05) และกล่มุ ทดลองมีค่าเฉลีย่ ระดบั นา้ ตาลในเลอื ดน้อยกว่ากอ่ นทดลองอย่างมนี ัยสาคัญทางสถิติ (p < .05) ตารางที่ 3 เปรียบเทียบค่าเฉลยี่ คะแนนความรูเ้ ก่ียวกับโรคเบาหวาน พฤตกิ รรมการดแู ลสุขภาพสขุ ภาพและระดับ น้าตาลในเลือดระหว่างกลุม่ ทดลองและกลุ่มควบคุม (n = 60 ) ผลลพั ธก์ ารทดลอง กลมุ่ ทดลอง กลุ่มควบคมุ t p-value Mean S.D. Mean S.D. ความรู้เกี่ยวกับโรคเบาหวาน 13.07 1.70 12.07 1.39 2.50 .015* พฤตกิ รรมการดูแลสขุ ภาพ 82.20 8.56 75.30 11.56 2.63 .011* ระดับนา้ ตาลในเลือด FBS (mg/dL) 139.60 17.54 160.73 12.77 -5.34 .000* *P<.05 จากตารางท่ี 3 ผ้ปู ่วยเบาหวานกลุ่มทดลองและกล่มุ ควบคุม หลังการทดลอง พบวา่ กลุม่ ทดลองมคี า่ เฉลย่ี คะแนนความรู้เก่ียวกบั โรคเบาหวาน พฤติกรรมการดูแลสขุ ภาพตนเองสูงกวา่ กลุ่มควบคมุ อยา่ งมนี ยั สาคญั ทางสถิติ (p < .05) และกลมุ่ ทดลองมีคา่ เฉลี่ยระดับนา้ ตาลในเลอื ดน้อยกว่ากลุ่มควบคมุ อยา่ งมีนัยสาคญั ทางสถิติ (p < .05) อภปิ รายผล การวิจัยครั้งนี้ ผู้วิจยั อภปิ รายผลการวจิ ยั ตามสมมติฐานการวจิ ยั ดงั น้ี 1. ผลการวิจัยพบว่าหลังการทดลอง กลมุ่ ทดลองมีระดบั ความรเู้ ก่ยี วกบั โรคเบาหวานและพฤติกรรมการ ดูแลสุขภาพตนเอง สูงกว่าก่อนทดลองอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติ ซ่ึงเป็นไปตามสมมติฐานการวิจัย ทั้งนี้เนื่องจาก กอ่ นการทดลอง กลมุ่ ทดลองยงั ไม่ได้รบั โปรแกรมการปรับเปล่ียนพฤตกิ รรมสุขภาพ ทาใหม้ ีคา่ เฉล่ียความรู้เก่ียวกับ โรคเบาหวานและพฤติกรรมการดูแลสุขภาพ อยู่ในระดับปานกลาง ส่งผลให้ผู้ป่วยโรคเบาหวานควบคุมระดับ น้าตาลในเลือด (FBS) ไม่ได้ ซ่ึงเม่ือผู้วิจัยได้จัดกิจกรรมต่างๆ ท้ัง 4 กิจกรรม ภายในระยะเวลา 12 สัปดาห์ ทาให้ กลุ่มผู้ป่วยเบาหวานมีค่าเฉลี่ยคะแนนความรู้เก่ียวกับโรคเบาหวานและพฤติกรรมการดูแลสุขภาพสูงกว่าก่อน ทดลอง โดยผลการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจากกลุ่มผู้ป่วยได้รับโปรแกรมการปรับเปล่ียนพฤติกรรม สุขภาพ โดยใชก้ ารเพ่ิมศักยภาพการดูแลสุขภาพตนเอง ให้ความรู้เรื่องโรคเบาหวาน โภชนาการอาหารที่เหมาะกบั โรค สุขภาพจิตการจัดการความเครียด และการออกกาลังกาย การใช้คู่มือดูแลตนเองของผู้ป่วยเบาหวาน การ บันทึกติดตามพฤติกรรมสุขภาพด้วยตนเอง นัดประเมินผลสุขภาพเบ้ืองต้นจากค่าระดับน้าตาลในเลือด (FBS) ใน วารสารวชิ าการสขุ ภาพภาคเหนือ ปที ่ี 8 ฉบับท่ี 2 เดอื น กรกฎาคม – ธนั วาคม 2564 Journal of Health Sciences Scholarship July - December 2021, Vol.8 No.2

100 วารสารวชิ าการสขุ ภาพภาคเหนือ (Journal of Health Sciences Scholarship) ผา่ นการรบั รองคณุ ภาพของ TCI และอยใู่ นฐานข้อมลู TCI กลมุ่ ที่ 2 (จนถงึ 31 ธนั วาคม 2567) สัปดาห์ท่ี 6 และ 12 จึงทาให้ผู้ป่วยเกิดการพัฒนาความรู้เกี่ยวกับโรคเบาหวานมากขึ้น และมีการปรับเปล่ียน พฤติกรรมสุขภาพ ลดรับประทานอาหารประเภททอด ผัด ลดรับประทานขนมหวานและผลไม้ท่ีมีรสหวาน ประกอบอาหารรับประทานเอง เลิกด่ืมกาแฟสาเร็จรูปได้ ซ่ึงผลการวิจัยคร้ังน้ีสอดคล้องกับการศึกษาของดารณี ทองสัมฤทธ์ และคณะ (Thongsumrit et al., 2017) ที่ศึกษาผลของการใช้โปรแกรมการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม สขุ ภาพต่อความสามารถในการดแู ลตนเองของกลมุ่ เสย่ี งโรคเบาหวาน พบวา่ หลังการทดลอง กลมุ่ ทดลองมคี ่าเฉล่ีย คะแนนความคาดหวังในผลลัพธข์ องการปฏิบัติตวั ในการดแู ลตนเอง มากกว่าก่อนทดลองอยา่ งมนี ยั สาคัญทางสถติ ิ สาหรับผลการวจิ ัยพบวา่ หลังการทดลอง กลุม่ ทดลองมคี ่าเฉล่ยี ระดับนา้ ตาลในเลอื ด ลดลงจากก่อน การทดลองอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติ ซ่ึงเปน็ ไปตามสมมติฐานการวิจัย ทั้งนี้เนื่องจากก่อนการทดลอง กลุ่มทดลอง ยังไม่ได้รับโปรแกรมการปรับเปลี่ยนพฤตกิ รรมสุขภาพ ทาให้มีกลุ่มผู้ป่วยอยู่ในกลุ่มสีส้ม มีค่าเฉล่ียระดับน้าตาลใน เลือด (FBS) 155 – 182 mg/dL มากที่สุด ร้อยละ 53.3 ซ่ึงเม่ือผู้วิจัยไดจ้ ัดกิจกรรมเพ่ิมศักยภาพการดแู ลสุขภาพ ตนเอง โดยให้ความรู้คาแนะนาเก่ียวกับโรคเบาหวาน วิธีการปฏิบัติตัวที่ถูกต้องทั้งด้านการรับประทานอาหารที่ เหมาะกับโรค การออกกาลังกายสาหรบั ผู้ป่วยโรคเบาหวาน สุขภาพจิตท่ีดแี ละการจดั การความเครียด ทาให้ผู้ป่วย เบาหวานมีค่าเฉลี่ยระดับน้าตาลในเลือด (FBS) ลดลงกว่าก่อนทดลอง ซ่ึงผลการวิจัยคร้ังนี้สอดคล้องกับการศึกษา จันทรา สุวรรณอยู่ศิริ รัชนก จันทร์เพ็ญ (Suwunsusiri et al., 2019) ที่ศึกษาผลของโปรแกรมส่งเสริมสุขภาพ ผู้ป่วยเบาหวานชนิดไม่พ่ึงอินซูลิน ในคลินิกเบาหวาน พบว่า ค่าเฉล่ียน้าตาลในเลือดของกลุ่มตัวอย่างหลังเข้าร่วม โปรแกรมส่งเสริมสุขภาพมีค่าลดลงเม่ือเปรียบเทียบกับก่อนเข้าร่วมโปรแกรมส่งเสริมสุขภาพ อย่างมีนัยสาคัญทาง สถติ ิ (p < .05) 2. ผลการวจิ ัยพบวา่ หลังการทดลอง กลุ่มทดลองมคี วามรเู้ กย่ี วกับโรคเบาหวานและพฤตกิ รรมการดูแล สุขภาพตนเอง สูงกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติ ซ่ึงเป็นไปตามสมมติฐานการวิจัย ท้ังน้ีเนื่องจากกลุ่ม ทดลองไดร้ ับโปรแกรมการปรบั เปลยี่ นพฤตกิ รรมสขุ ภาพ ไดค้ วามรู้เก่ียวกับการดแู ลสขุ ภาพตนเองด้านอาหาร ออก กาลงั กายและการจัดการความเครยี ด ไดเ้ ข้ารว่ มการสนทนากลุ่มจานวน 3 ครั้ง ภายในระยะเวลา 12 สปั ดาห์ และ ให้กลุ่มทดลองเลือกวิธกี ารปรับเปลี่ยนพฤตกิ รรมตนเองอย่างน้อยคนละ 1 วธิ ี ท่ีสามารถปรับเปล่ียนได้จริงจากวิถี ชีวิต และสนทนากลุ่มแลกเปลี่ยนหลังปรับเปลี่ยนตนเองครบ 1 เดือน ทาให้เกิดการกระตุ้นให้มีการดูแลสุขภาพ ตนเองให้ถูกต้อง ส่งผลให้กลุ่มทดลองนาไปปรับใช้ให้เหมาะกับวิถีชีวิตของตนเองและปฏิบัติได้จริง ซึ่งผลการวจิ ัย ครั้งนี้สอดคล้องกับการศึกษาของจันทรา สุวรรณอยู่ศิริ รัชนก จันทร์เพ็ญ (Suwunsusiri et al.,2019) ท่ีศึกษาผล ของโปรแกรมส่งเสริมสุขภาพผู้ป่วยเบาหวานชนิดไม่พึ่งอินซูลิน ในคลินิกเบาหวาน พบว่า กลุ่มตัวอย่างภายหลัง การเข้าร่วมโปรแกรมสง่ เสริมสุขภาพมีคา่ คะแนนเฉล่ียความรู้เก่ยี วกับโรคเบาหวาน และค่าเฉลย่ี คะแนนพฤตกิ รรม สง่ เสรมิ สขุ ภาพเพิ่มขึน้ อยา่ งมนี ัยสาคญั ทางสถิติ สาหรับผลการวิจยั พบวา่ หลงั การทดลอง กลมุ่ ทดลองมคี า่ เฉลย่ี ระดบั นา้ ตาลในเลือด น้อยกวา่ กลมุ่ ควบคุมอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติ ซึ่งเป็นไปตามสมมติฐานการวิจัย ทั้งนี้เนื่องจากการจัดโปรแกรม มีการสนทนา กลุ่ม เสนอตัวแบบด้านบวกเล่าประสบการณ์เกี่ยวกับความสาเร็จในการปฏิบัติตัวได้ดี เล่าถึงผลดีของการ วารสารวชิ าการสุขภาพภาคเหนือ ปที ่ี 8 ฉบบั ท่ี 2 เดือน กรกฎาคม – ธันวาคม 2564 Journal of Health Sciences Scholarship July - December 2021, Vol.8 No.2

101 วารสารวชิ าการสุขภาพภาคเหนือ (Journal of Health Sciences Scholarship) ผ่านการรบั รองคณุ ภาพของ TCI และอยใู่ นฐานข้อมูล TCI กล่มุ ท่ี 2 (จนถงึ 31 ธนั วาคม 2567) ปรับเปล่ียนพฤติกรรมสุขภาพ และให้ชมวีดิทัศน์ตัวแบบด้านลบท่ีเป็นโรคเบาหวานที่มีภาวะแทรกซ้อนจากการ ควบคุมระดับน้าตาลในเลือดไม่ได้ เช่นโรคไตวาย จอประสาทตาเส่ือม เท้าเป็นแผลเร้ือรัง ทาให้กลุ่มทดลองมีการ จัดการตนเอง โดยมีวินัยในการรับประทานอาหารและยาท่ีถูกต้อง เพื่อให้ตนเองสามารถควบคุมระดับน้าตาลใน เลือดได้ ไมใ่ หเ้ กิดภาวะแทรกซ้อน ข้อเสนอแนะในการนาผลการศกึ ษาไปใช้ 1. ควรมีการใช้แนวทางการเพมิ่ ศกั ยภาพการดูแลตนเองในการปรบั เปลย่ี นพฤตกิ รรมอยา่ งตอ่ เนอ่ื ง 2. การใชโ้ ปรแกรมทก่ี ลุ่มผปู้ ว่ ยเปน็ ผสู้ ูงอายุควรมีบคุ คลในครอบครวั เข้ามามีสว่ นรว่ มในการดแู ล 3. ควรจดั กจิ กรรมโดยใช้โปรแกรมนใี้ นกลมุ่ ผ้ปู ่วยกลมุ่ อน่ื เช่น โรคความดันโลหติ สูง ข้อเสนอแนะในการวิจัยคร้งั ตอ่ ไป ศึกษาความตอ่ เนื่องของโปรแกรม การติดตามผลอย่างต่อเนื่องในระยะยาว ในการนาไปปฏิบัตใิ นชวี ติ ประจาวนั เกี่ยวกับการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการดูแลตนเองในการปอ้ งกันภาวะแทรกซ้อนจากโรคเบาหวานในระยะ ยาวได้ และเพื่อยืนยันประสทิ ธผิ ลของโปรแกรมการปรบั เปล่ยี นพฤตกิ รรมสุขภาพ กติ ติกรรมประกาศ ขอขอบคุณผู้ป่วยโรคเบาหวานตาบลสมัยทุกท่านที่ให้ความร่วมมือในการตอบแบบสอบถาม และเข้าร่วม โปรแกรมปรับเปล่ียนพฤติกรรมสุขภาพ และขอขอบคุณคณะบุคคลากรสาธารณสุขโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพ ตาบลบา้ นจัวเหนือ ทช่ี ว่ ยสนบั สนนุ อานวยความสะดวก และดาเนินการจนทาใหง้ านวิจยั นีส้ าเรจ็ ลุลว่ งด้วยดี ผู้วิจัยหวังว่า งานวิจัยฉบับน้ีจะมีประโยชน์สาหรับใช้พัฒนากระบวนการดูแลผู้ป่วยให้เหมาะสมกับบริบท ในแต่ละพ้ืนที่ตอ่ ไป สาหรับข้อบกพร่องผิดพลาดต่างๆ ผู้วจิ ัยยินดนี ้อมรับไปพิจารณาปรับแก้ไข เพื่อเปน็ ประโยชน์ ตอ่ การพฒั นางานวิจยั ตอ่ ไป เอกสารอา้ งองิ Boonpradit A.., et al. (2015). The Effects of Self-Efficacy Enhancement Program on Health Behaviors Among Patients with Diabetes in Nong-Done Disyrict, Saraburi Province. Journal of phrapokklao nursing college. 27(1). 72-82. Division of Non Communicable Disease. (2018). World Diabetes Day 2018. Retrieved from: http://www.thaincd.com/2016/news/announcement- detail.php?id=13256&gid=16 (2020, 20 May). Health Data Center. (2020). Incidence rates of diabetes. Retrieved from: https://lpg.hdc.moph.go.th/hdc/reports/.php.ecefebce0001.(2020, 01 May). วารสารวิชาการสุขภาพภาคเหนือ ปที ี่ 8 ฉบบั ท่ี 2 เดอื น กรกฎาคม – ธันวาคม 2564 Journal of Health Sciences Scholarship July - December 2021, Vol.8 No.2

102 วารสารวชิ าการสุขภาพภาคเหนือ (Journal of Health Sciences Scholarship) ผ่านการรับรองคณุ ภาพของ TCI และอยใู่ นฐานขอ้ มลู TCI กล่มุ ท่ี 2 (จนถึง 31 ธันวาคม 2567) Kongpunt P. (2016). Effects of Health Education Programs based on Protection Motivation Theory and Social Support on Behaviors to Prevent Complications from Kidney Disease among Type 2 Diabetic Patients. Journal of phrapokklao nursing college. 27(1).28-42. Nakkling Y., et al. (2017). Effect of Self–Efficacy Enhancement Program on Health Behaviors among Older Adults with Uncontrolled Hypertension. Apheit international journal 6(1): 27-35. Policy development and risk communication. (2019). World Diabetes Day 2019. Division of non- communicable diseases, Department of disease control. Retrieved from: https://ddc.moph.go.th/odpc6/news.php?news=10238&deptcode= (2020, 20 May). Public Health System Development. (2016). World Diabetes Day 2017. [online] Available from: http://thaincd.com/document/file/info/non-communicable-disease (2020, 20 May). Suwunsusiri J., et al. (2019). The Result of Health Promoting Program for Diabetes Patients without Insulin at Damnoensaduak Hospital. Hua Hin sook jai klai kangwon journal. 4(1).35-50. Thongsumrit D., et al. (2017). Effects of Health Behavior Modifying Program on Ability of Self- care among Risk Group of Diabetes Mellitus in Ratchaburi. Journal of phrapokklao nursing college. 28(1), 26-35. วารสารวิชาการสขุ ภาพภาคเหนือ ปที ่ี 8 ฉบบั ที่ 2 เดอื น กรกฎาคม – ธันวาคม 2564 Journal of Health Sciences Scholarship July - December 2021, Vol.8 No.2

103 วารสารวชิ าการสุขภาพภาคเหนือ (Journal of Health Sciences Scholarship) ผา่ นการรับรองคุณภาพของ TCI และอย่ใู นฐานขอ้ มลู TCI กลมุ่ ที่ 2 (จนถงึ 31 ธนั วาคม 2567) Effect of Health Behavior Modification Program Among Risk Groupsof hypertension in Bannayang Health Promoting Hospital Nayang Subdistrict Sopprap District LampangProvince Kalaya Tawong*, Matinee Srisawat** (Received June 15, 2021,Revised: September 15, 2021, Accepted: October 9, 2021) Abstract This study was a quasi- experimental study with single- group measurement before and after the experiment. The purpose was to study the effect of the hypertension behavior modification program on knowledge and health-care behaviors in high-risk groups of hypertensive disease. Participants were 35- year- old patients with high blood pressure levels of more than 130/85- 139/89 at Ban Na Yang Health Promoting Hospital in Sopprap District, Lampang Province. Power analysis was used to calculate the sample size, with the effect size was set at 0 .6 at a moderate level. The significance level was 0.05 and the statistical power analysis with open table was 0.8. The sample size of 24 people was chosen to be at least 20% incomplete, with 30 people recruited through purposive sampling. Research tools consisted of two parts: 1) the experimental tool, which included a program for changing health behaviors in high blood pressure group, and 2) the collected tool, which included a knowledge questionnaire. The statistics were used in the data analysis: Descriptive statistics and Paired t- test. As a result, the sample group had average knowledge scores and self- care behaviors for hypertension after joining the program, compared to higher levels before joining the program. Furthermore, the participants’ food consumption had a statistically significant lower salinity level than before entering the program, with p< .001. This can be used to adjust health behaviors in at-risk patients in order to reduce the risk of high blood pressure. Keywords: Health behavior modification program; Risk groups; Hypertension * Registered Nurse, Professional Level, Bannayang, Sub-district health promoting hospitals,Lampang ** Public HealthTechnical Officer, PractitionerLevel, Bannayang, Sub-district healthpromoting hospitals, Lampang วารสารวชิ าการสขุ ภาพภาคเหนือ ปที ่ี 8 ฉบับท่ี 2 เดอื น กรกฎาคม – ธันวาคม 2564 Journal of Health Sciences Scholarship July - December 2021, Vol.8 No.2

104 วารสารวชิ าการสุขภาพภาคเหนือ (Journal of Health Sciences Scholarship) ผ่านการรบั รองคณุ ภาพของ TCI และอยู่ในฐานข้อมูล TCI กลุม่ ที่ 2 (จนถึง 31 ธันวาคม 2567) ผลของโปรแกรมการปรบั เปล่ียนพฤติกรรมสุขภาพของกล่มุ เสี่ยงโรคความดนั โลหิตสงู ใน โรงพยาบาลส่งเสริมสขุ ภาพตาบลบ้านนายาง ตาบลนายาง อาเภอสบปราบ จังหวัดลาปาง กลั ยา ถาวงค์*, เมธินี ศรีสวสั ดิ์** (วันรบั บทความ : 15 มิถุนายน 2564, วันแก้ไขบทความ : 15 กันยายน 2564,วันตอบรบั บทความ : 9 ตุลาคม 2564) บทคัดย่อ การศึกษาคร้ังนีเ้ ปน็ วจิ ัยกึ่งทดลองแบบกลุ่มเดยี ววัดก่อนและหลังการทดลอง มีวัตถุประสงค์เพ่ือศึกษา ผล ของโปรแกรมการปรับเปล่ียนพฤติกรรมสุขภาพของกลุ่มเสี่ยงโรคความดันโลหิตสูงต่อความร้แู ละพฤตกิ รร มการ ดแู ลสขุ ภาพ กลุม่ ตวั อยา่ งคือ ประชาชนทีม่ อี ายุ 35 ปขี น้ึ ไป ทมี่ รี ะดบั คา่ ความดนั โลหิต ≥ 130/85- 139/89 ใน พ้ืนท่ีของโรงพยาบาลส่งเสริมสขุ ภาพตาบลบา้ นนายาง อาเภอสบปราบ จงั หวัดลาปาง โดยขนาดกลุม่ ตัวอย่าง คานวณจาก power analysis กาหนดคา่ effect size ระดับปานกลางซงึ่ เป็นทย่ี อมรับได้ในการศึกษาทา งการ พยาบาลเทา่ กบั 0.6 ระดับนยั สาคญั เท่ากับ 0.05 และค่าอานาจการทดสอบทางสถิติ (power analysis) เท่ากบั 0.8 เปดิ ตารางได้ ขนาดกลุม่ ตวั อย่าง 24 คน คานวณเพอื่ ปอ้ งกันขอ้ มูลไม่ครบถ้วนร้อยละ 20 ไดก้ ลมุ่ ตัวอย่าง จานวน 30 คน เลือกกลุม่ ตวั อย่างแบบเฉพาะเจาะจง เครอ่ื งมือวจิ ัย แบง่ เป็น 2 ส่วน ได้แก่ ส่วนท่ี 1 เครื่องมอื ใน การทดลอง ได้แก่ โปรแกรมปรับเปล่ียนพฤติกรรมสุขภาพในกลุ่มเสี่ยงโรคความดันโลหิตสงู และ ส่วนท่ี 2 เครื่องมือในการรวบรวมข้อมูล ประกอบด้วย แบบสอบถามความรู้ พฤตกิ รรมการดูแลสขุ ภาพของตนเองเกี่ยวกับ โรคความดนั โลหติ สูง และแบบวัดระดับการบริโภคความเค็มในอาหาร ผวู้ ิจยั ได้พัฒนามาจากแนวความคิด เร่อื ง ความรอบรทู้ างสุขภาพ (Health literacy) ใชเ้ วลาในการจดั กจิ กรรมทงั้ หมด 12 สัปดาห์ สถิติทีใ่ ช้ในการวเิ คราะห์ ข้อมลู ไดแ้ ก่ สถิตเิ ชิงพรรณนา และ Paired t- test ผลการศึกษาพบว่า หลังเข้ารว่ มโปรแกรม กลุ่มตัวอย่างมีคะแนนเฉลีย่ ความรู้ และพฤตกิ รรมการดูแลตนเอง เกี่ยวกบั โรคความดนั โลหิตสูง สงู กว่าก่อนเข้ารว่ มโปรแกรม และมรี ะดบั ความเคม็ ในการบรโิ ภคอาหารตา่ กว่าก่อน เขา้ โปรแกรม อยา่ งมีนยั สาคัญทางสถติ ิ (P <.001) ขอ้ สรปุ โปรแกรมฯ นีส้ ามารถนาไปใช้สาหรบั การปรบั พฤติกรรมสุขภาพในผูป้ ่วยกลุ่มเส่ยี งเพอื่ ให้เกิดผลในการ ลดความเสี่ยงตอ่ การเกดิ โรคความดันโลหติ สงู ได้ ความสาคญั : โปรแกรมการปรบั เปลี่ยนพฤตกิ รรมสขุ ภาพ; กลุ่มเสี่ยง; โรคความดันโลหติ สงู * พยาบาลวชิ าชพี ชานาญการ โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตาบลบา้ นนายาง จังหวดั ลาปาง ** นกั วิชาการสาธารณสุขปฏิบัติการ โรงพยาบาลสง่ เสรมิ สุขภาพตาบลบ้านนายาง จงั หวัดลาปาง วารสารวิชาการสุขภาพภาคเหนือ ปที ่ี 8 ฉบบั ที่ 2 เดอื น กรกฎาคม – ธนั วาคม 2564 Journal of Health Sciences Scholarship July - December 2021, Vol.8 No.2

105 วารสารวชิ าการสขุ ภาพภาคเหนอื (Journal of Health Sciences Scholarship) ผ่านการรบั รองคุณภาพของ TCI และอยใู่ นฐานข้อมูล TCI กลุ่มท่ี 2 (จนถึง 31 ธันวาคม 2567) บทนา โรคความดันโลหิตสูงเปน็ ปัญหาสุขภาพที่สาคัญของประชากรทั่วโลก ประชากรท่ัวโลกเสียชีวิตจาก ภาวะแทรกซ้อนของโรคความดนั โลหิตสูงถึง 7.5 ล้านคน และมผี ู้ปว่ ยโรคความดันโลหิตหิตสูงเกอื บ 1 พันลา้ นคน ท่วั โลก คาดวา่ ในปี 2568 ความชกุ ของผปู้ ว่ ยจะเพิ่มขนึ้ เป็น 1.56 พนั ลา้ นคน สาหรับสถานการณ์ในประเทศไทย โรคความดันโลหิตสูงยังคงเป็นปัญหาสุขภาพท่ีสาคัญเช่นกัน เห็นได้จากความชุกของโรคความดันโลหิตสูงใน ประชากรอายุ 15 ปีข้นึ ไปเพ่ิมขน้ึ จาก 10 ล้านคน ในปี 2552 เป็น 13 ล้านคนในปี 2557 และเกือบครึง่ หนึ่งไม่ ทราบว่าตนเองปว่ ยด้วยโรคน้ี จานวนผ้ปู ่วยดว้ ยโรคความดันโลหิตสูงมีแนวโน้มเพ่ิมข้ึนจากเกือบ 4 ลา้ นคนในปี 2556 เปน็ เกอื บ6 ลา้ นคนในปี 2561 จานวนผเู้ สียชวี ิตจากภาวะแทรกซ้อนของโรคความดนั โลหิตสูงมีแน วโน้ม เพมิ่ ข้นึ เชน่ เดียวกับจานวนผู้ป่วยจาก 5,186 คนในปี 2556 เป็น 8,525 คน ในปี 2560 ปี 2557 มกี ารประเมิน ค่าใช้จา่ ยในการรกั ษาพยาบาล พบว่าประเทศไทยต้องเสยี คา่ ใช้จ่ายในการรกั ษาผู้ปว่ ยโรคความดันโลหิตสงู เกือบ 80,000 ลา้ นบาทตอ่ ปีตอ่ จานวนผู้ป่วยประมาณการ 10 ล้านคน (Punmung, N., Yulertlob,A.,Landti,S.,2019) โรคความดันโลหติ สูงถือเป็น “ฆาตกรเงียบ” เนื่องจากไมม่ ีอาการแสดง จนทาให้หลายคนตอ้ งเสียชีวิต จากโรคนแี้ ละในบางคร้งั ผู้ปว่ ยมักไปตรวจพบทีโ่ รงพยาบาลจากการมารักษาโรคอน่ื ๆ ซ่งึ หากมีภาวะความดันโลหิต สงู เป็นระยะเวลานานแล้วไม่ไดร้ ับการรกั ษา จะแสดงอาการปวดศีรษะ ใจสั่น ตาพร่ามัว ออ่ นเพลยี วิงเวยี น สับสน หายใจลาบาก หวั ใจเตน้ ผิดปกตหิ ากมภี าวะความดันโลหิตสูงแลว้ ไมส่ ามารถควบคุมระดับความดนั โลหิตได้เป็น เวลานาน จะสง่ ผลใหเ้ กดิ ภาวะแทรกซ้อนทส่ี าคญั ได้แก่ หลอดเลอื ดแดงในตาเสื่อม อาจทาใหม้ เี ลือดออกที่จ อตา ทาให้ประสาทตาเส่อื ม ตามวั หรอื ตาบอดได้ โรคหลอดเลอื ดหัวใจ เกิดจากหวั ใจทางานหนกั ขึน้ ทาให้ผนงั หัวใจหนา ตวั และถา้ ไมไ่ ดร้ บั การรกั ษาจะทาให้เกดิ หัวใจโต และหวั ใจวายในที่สดุ โรคหลอดเลือดสมอง เกิดภาวะหลอดเลือด ใน สมองตีบ ตนั หรอื แตก ทาใหเ้ ปน็ อัมพฤกษ์ อัมพาต โรคไตเร้อื รงั เนื่องจากเลือดไปเลย้ี งไตไม่เพยี งพอ ทาให้เกิด ไตวาย ไดอ้ าจรนุ แรงถงึ ขนั้ ทาให้เสยี ชีวติ ได้ ซ่ึงโรคความดันโลหติ สูง มสี าเหตสุ าคัญมาจากพฤติกรรมสขุ ภา พที่ไม่ เหมาะสม ไดแ้ ก่ การรบั ประทานอาหารท่มี ี ปรมิ าณโซเดยี มสูง (เชน่ ปลารา้ บะหม่กี ่ึงสาเรจ็ รูป และเคร่ืองดื่มเกลือ แร่ เป็นตน้ ) การสบู บุหรี่ การขาดออกกาลังกาย การมีกจิ กรรมทางกายไม่เพียงพอ การมีภาวะอ้วน การมีภาวะ เครยี ดสะสม การด่มื เคร่อื งดม่ื แอลกอฮอล์ ประกอบกับ อายุท่มี ากขนึ้ รวมถึงการมี พอ่ แม่ หรือญาตพิ ีน่ ้องสายตรง เปน็ โรคความดนั โลหติ สงู ปจั จัยเหล่านลี้ ว้ นส่งผลใหม้ ีโอกาส ต่อการเกิดโรคน้มี ากขึน้ (Punmung, N., Yulertlob, A., Landti, S. ,2019) จงั หวัดลาปาง มีผปู้ ว่ ยโรคความดนั โลหติ สูง ปี 2562 ทั้งหมด 117,763 คน ผปู้ ว่ ยโรคความดนั โลหติ สูงราย ใหม่ 1,537 คน อัตราป่วย 1,305.16 ต่อแสนประชากร ในอาเภอสบปราบมผี ู้ปว่ ยโรคความดนั โลหติ สูง 4,804 คน ผู้ปว่ ยโรคความดนั โลหิตสูงรายใหม่ 433 คน อตั ราปว่ ย 1593.73 ตอ่ แสนประชากร ในตาบลนายางมผี ู้ปว่ ยโรค ความดนั โลหติ สงู 515 คน ผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงรายใหม่ 61 คน อัตราป่วย 1329.85 ต่อแสนประชากร ในปี 2562 โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตาบลบ้านนายาง มีผู้ป่วยความดันโลหิตสงู ท่ีขน้ึ ทะเบยี นในเขตพ้ืนที่ รบั ผิดชอบท้งั หมด จานวน 502 คน และมารบั การรกั ษาในสถานบริการ จานวน 333 ราย คิดเป็นรอ้ ยละ 66.33 มี วารสารวชิ าการสขุ ภาพภาคเหนือ ปีที่ 8 ฉบับท่ี 2 เดอื น กรกฎาคม – ธันวาคม 2564 Journal of Health Sciences Scholarship July - December 2021, Vol.8 No.2

106 วารสารวิชาการสุขภาพภาคเหนอื (Journal of Health Sciences Scholarship) ผ่านการรับรองคุณภาพของ TCI และอย่ใู นฐานขอ้ มลู TCI กลมุ่ ท่ี 2 (จนถงึ 31 ธันวาคม 2567) ประชากรอายุ 35 ปีขึ้นไปท่ีไดร้ บั การคัดโรคความดันโลหิตทั้งหมดจานวน 1,055 คน คดิ เป็นรอ้ ยละ 97.32 เป็น กล่มุ เส่ียงโรคความดนั โลหิตสงู จานวน 72 คน คิดเป็นรอ้ ยละ 6.92 มีอัตราความดันโลหติ สูงรายใหมจ่ ากกลุ่มเสยี่ งความ ดนั โลหิตสูง จานวน7 ราย คิดเป็นร้อยละ 4.61 อีกท้งั โรคความดันโลหิตสูงยังปญั หาดา้ นสุขภาพในตาบลบ้านนา ยาง 5 อนั ดบั แรก ต่อเน่ืองกันหลายปี (Health Data Center, Ministry of Public Health, 2019) ดงั นน้ั ผวู้ จิ ยั ได้เลง็ เห็นถึงปญั หาของโรคความดันโลหิตสูงที่มาจากการมีพฤติกรรมสุขภาพที่ไม่ถูกต้องจึงมี ความสนใจทจี่ ะศึกษาประสิทธิผลของโปรแกรมการปรับเปลย่ี นพฤตกิ รรมของกลุ่มเส่ยี งโรคความดันโลหิตสูงใน โรงพยาบาลส่งเสริมสขุ ภาพตาบลโดยออกแบบโปรแกรมตามแนวคดิ ความรอบรูด้ า้ นสุขภาพ (Health Literacy) เพือ่ สง่ เสริมให้กลุ่มเสี่ยงโรคความดนั โลหิตสูงมีการรับรู้ในความสามารถของตนเอง และเกิดความมั่นใจใน การ ปฏบิ ัติพฤติกรรมดา้ นการควบคุมอาหาร การออกกาลงั กาย จนทาใหส้ ามารถควบคมุ ระดับความดนั โลหิตได้ และ อาจส่งผลใหส้ ามารถปอ้ งกนั หรือชะลอการเกดิ ภาวะแทรกซอ้ นจากโรคความดันโลหติ สูง วตั ถปุ ระสงค์ เพอ่ื ศึกษาผลของโปรแกรมการปรับเปลีย่ นสุขภาพที่ส่งผลต่อความรู้และพฤติกรรมการดูแลตนเองของ กลมุ่ เสย่ี งโรคความดันโลหิตสูง ในเรอื่ ง 1. เปรียบเทียบคะแนนความรู้เร่ืองโรคความดันโลหิตสูง ก่อนและหลังการเข้าร่วมโปรแกรมการ ปรับเปล่ียนพฤตกิ กรมสขุ ภาพ 2. เปรียบเทียบคะแนนพฤตกิ รรมการดแู ลตนเองของกลุ่มเสีย่ งโรคความดันโลหติ สงู ก่อนและหลงั การเข้า รว่ มโปรแกรมการปรบั เปลี่ยนพฤติกกรมสขุ ภาพ 3. เปรียบเทยี บระดับความเคม็ ในอาหารของกลุ่มเส่ียงโรคความดันโลหิตสูง กอ่ นและหลงั การเข้าร่วม โปรแกรมการปรับเปล่ยี นพฤตกิ กรมสุขภาพ สมมติฐานการวิจยั 1. ภายหลงั เข้ารว่ มโปรแกรมการปรับเปลีย่ นพฤติกกรมสุขภาพ กลุ่มเสีย่ งโรคความดนั โลหิตสูงมีควา มรู้ เรอื่ งโรคความดันโลหติ สูง ดกี วา่ กอ่ นเขา้ ร่วมโปรแกรมการปรับเปลยี่ นพฤติกกรมสขุ ภาพ 2. ภายหลังเข้าร่วมโปรแกรมการปรับเปล่ียนพฤติกกรมสุขภาพ กลุ่มเส่ียงโรคความ ดันโลหิตสูงมี พฤติกรรมการดแู ลสุขภาพของตนเอง ดกี ว่าก่อนเข้ารว่ มโปรแกรมการปรบั เปล่ยี นพฤติกรรมสุขภาพ 3. ภายหลังเขา้ รว่ มโปรแกรมการปรบั เปลยี่ นพฤตกิ กรมสุขภาพ กลมุ่ เสย่ี งโรคความดัน โลหติ สูงมีร ะดับ ความเค็มในอาหารนอ้ ยกวา่ ก่อนเขา้ ร่วมโปรแกรมการปรับเปลีย่ นพฤตกิ รรมสุขภาพ วารสารวิชาการสุขภาพภาคเหนือ ปที ่ี 8 ฉบบั ที่ 2 เดอื น กรกฎาคม – ธันวาคม 2564 Journal of Health Sciences Scholarship July - December 2021, Vol.8 No.2

107 วารสารวิชาการสุขภาพภาคเหนอื (Journal of Health Sciences Scholarship) ผา่ นการรับรองคณุ ภาพของ TCI และอยูใ่ นฐานขอ้ มูล TCI กลมุ่ ที่ 2 (จนถึง 31 ธนั วาคม 2567) นยิ ามศพั ท์เฉพาะ โปรแกรมการปรับเปล่ยี นพฤติกรรมสขุ ภาพในกลมุ่ เส่ียงโรคความดนั โลหิตสงู หมายถงึ กจิ กรรมท่ีจัด กระทาเพ่ือสง่ เสรมิ ให้เกดิ ความรู้และนาสู่การปรับเปล่ยี นพฤตกิ รรมสุขภาพของกล่มุ เสี่ยงความดนั โลหิตสูงท่ีผู้วิจัย สรา้ งข้นึ โดยการประยุกต์ใช้แนวคิดเร่ืองความรอบรู้ด้านสขุ ภาพ (Health Literacy) ซึ่งประกอบด้วย 6 กจิ กกรม ดังน้ี 1) การเข้าถงึ ข้อมลู สุขภาพและบริการสุขภาพ (access) 2) ความรคู้ วามเขา้ ใจ (cognitive) 3) ทกั ษะการ สอ่ื สาร (communication skill) 4) การตัดสินใจ (decision skill) 5) การจดั การตนเอง (self-management) 6) การรู้เท่าทันสอื่ (media-literacy) จากนัน้ ติดตามผลของการเขา้ รว่ มโปรแกรมฯ 2 ดา้ นคือ ความรู้เร่ืองโรคความดันโลหิตสูง หมายถึง ข้อมูลเกี่ยวกับความเข้าใจในเรื่องโรคความดันโลหิตสงู ผ้วู ิจยั พฒั นาแบบประเมินมาจากการทบทวนวรรณกรรม พฤตกิ รรมการดูแลสขุ ภาพตนเองของกลมุ่ เสยี่ งโรคความดันโลหิตสูง หมายถึง การปฏบิ ัติตวั ใน การ ปอ้ งกนั ตนเองให้พ้นจากความเสยี่ งท่จี ะป่วยเป็นโรคความดันโลหิตสูง ทีผ่ ูว้ ิจัยพัฒนาแบบประเมนิ มาจากการ ทบทวนวรรณกรรม ประกอบด้วย พฤติกกรมการบริโภคอาหาร พฤตกิ กรมการออกกาลงั กาย กลมุ่ เส่ียงโรคความดนั โลหิตสงู หมายถึง ประชากรทม่ี อี ายุ 35 ปีข้ึนไป อาศยั อยู่ในพนื้ ท่ที ีอ่ ยู่ในเขตความ รบั ผดิ ชอบของโรงพยาบาลส่งเสรมิ สุขภาพตาบล บ้านนายาง ตาบลนายาง อาเภอสบปราบ จังหวัดลาปาง และมี ระดบั ค่าความดนั โลหติ สูงกวา่ หรือเทา่ กบั 130/85- 139/89 มลิ ลิเมตรปรอท 2 ครั้งติดตอ่ กนั ตรวจวัดความเค็มในอาหาร หมายถงึ การตรวจหาค่าความเค็มในอาหารของผทู้ ี่มีภาวะส่ียงสงู ต่อการ ป่วยด้วยโรคความดนั โลหติ สูงท่เี ข้าร่วมกิจกกรมโปรแกรมปรับเปล่ียนพฤติกรรมสุขภาพ ดว้ ยเคร่ืองตรวจความเค็ม (Salt meter) โดยจะทาการสุ่มตรวจอาหาร 1 มื้อ ทงั้ หมด 3 ครัง้ (กอ่ นเขา้ รว่ มโปรแกรม ระหว่างการเข้าร่วม โปรแกรม หลังเข้าร่วมโปรแกรม) กรอบแนวคดิ ในการวจิ ยั ตวั แปรตาม ตัวแปรตน้ 1.ความรู้ 1. โปรแกรมการปรบั เปลยี่ นพฤติกรรม -โรคความดันโลหิตสงู โดยกาหนดกิจกรรม 2.พฤติกรรมการดูแลสขุ ภาพของ กล่มุ เส่ยี งโรคความดนั โลหิตสงู 1.1 การเขา้ ถงึ ข้อมูลสุขภาพ -พฤติกรรมการบริโภคอาหาร และบริการสขุ ภาพ (access) -พฤติกรรมการออกกาลงั กาย 3.ระดบั ความดนั โลหติ 1.2. ความรคู้ วามเข้าใจ (cognitive) 1.3. ทกั ษะการสอื่ สาร ภาพท่ี 1 กรอบแนวคิดในการวจิ ัย (communication skill) 1.4. การตัดสนิ ใจ (decision skill) 1.5. การจดั การตนเอง (self- management) 1.6. การรู้เทา่ ทันสื่อ (media-literacy) 2. การเยีย่ มบ้าน 3. ตรวจวัดความเค็มในอาหาร วารสารวิชาการสุขภาพภาคเหนือ ปีที่ 8 ฉบบั ท่ี 2 เดือน กรกฎาคม – ธนั วาคม 2564 Journal of Health Sciences Scholarship July - December 2021, Vol.8 No.2

108 วารสารวชิ าการสขุ ภาพภาคเหนือ (Journal of Health Sciences Scholarship) ผ่านการรับรองคุณภาพของ TCI และอยู่ในฐานขอ้ มลู TCI กล่มุ ที่ 2 (จนถงึ 31 ธนั วาคม 2567) วธิ ดี าเนนิ การวจิ ยั การวิจยั ในครั้งนี้เป็นการวิจยั แบบก่ึงทดลอง (quasi-experimental research) โดยใช้แบบแผนการวิจัย กลุ่มเดียววดั กอ่ นและหลังการทดลอง ( one group pretest posttest design) ประชากรและกลุม่ ตัวอย่าง ประชากรทใ่ี ช้ในการศึกษาคร้ังน้ี คอื ประชากรที่มีอายุ 35 ปขี ึ้นไป อาศัยอยูใ่ นพื้นท่ีทอี่ ยู่ในเขตควา ม รบั ผิดชอบของโรงพยาบาลส่งเสรมิ สุขภาพตาบลบ้านนายาง ตาบลนายาง อาเภอสบปราบ จงั หวัดลาปางไดร้ บั การ ตรวจคัดกรองสุขภาพประจาปีงบประมาณ 2563 โดยเป็นผู้ที่มีระดับค่าความดันโลหิตมากกว่าหรือเท่ากบั 130/85- 139/89 มลิ ลเิ มตรปรอท วัด 2 ครั้งติดตอ่ กนั มีจานวนท้ังหมด 72 คน กลมุ่ ตัวอยา่ ง คือ ประชากรท่มี อี ายุ 35 ปขี ้นึ ไป โดยเปน็ ผู้ท่มี รี ะดบั ค่าความดนั โลหิตมากกวา่ หรือเท่า กับ 130/85- 139/89 มิลลเิ มตรปรอท วดั 2 ครั้งตดิ ตอ่ กัน โดยกาหนดขนาดของกลมุ่ ตวั อยา่ งจาก power analysis โดยคานวณค่า effect sizeจากการศึกษาของยภุ าพร นาคกล้ิง (2560) ท่ีศึกษาผลของการประยุกต ทฤษฎี ความสามารถตนเองตอ่ พฤติกรรมการควบคุมอาหารการออกกาลังกายและระดับความดันโลหติ ของผ้สู ูงอายุโรค ความดันโลหิตสูงจากสูตรของกลาส (Glass, 1976) ไดค้ า่ effect size เท่ากบั 0.65 ระดับนัยสาคัญ เท่ากบั 0.05 และค่าอานาจการทดสอบทางสถติ ิ (power analysis) เทา่ กับ 0.8 เปดิ ตารางไดข้ นาดกลุ่มตัวอยา่ ง 30 ราย เลือก กลุม่ ตัวอย่างแบบเจาะจง โดยมีเกณฑค์ ดั เข้าคดั ออกของกลุ่มตัวอยา่ ง ดงั น้ี เกณฑ์คดั เขา้ ของกลุ่มตัวอย่าง (inclusion criteria) 1. เป็นกลมุ่ เส่ยี งโรคความดันโลหติ สงู มอี ายุ 35 ปีข้นึ ไป ทัง้ เพศหญิงและชาย 2. ระดบั ค่าความดนั โลหิตมากกว่าหรอื เทา่ กับ 130/85- 139/89 มิลลเิ มตรปรอทวดั 2 คร้ังติดต่อกัน 3. ไม่มปี ระวตั เิ จ็บป่วยรุนแรงในรอบปีที่ผา่ นมา 4. สามารถสื่อสารดว้ ยภาษาไทย อา่ นออกและเขยี นได้ 5. สมคั รใจเข้าร่วมกจิ กรรมและให้ความรว่ มมือในการวจิ ยั เกณฑ์คัดออกของกลุ่มตัวอย่าง (exclusion criteria) 1. กลุ่มเสีย่ งโรคความดันโลหิตสูงทม่ี ภี าวะแทรกซ้อน หรอื มีประวตั เิ ป็นโรคหัวใจ 2. ไม่สะดวกเขา้ รว่ มกจิ กรรมตามแผนการจัดกจิ กรรม 3. เป็นผ้ทู ไี่ มส่ ามารถเดนิ ทางหรือปรบั เปลย่ี นพฤตกิ รรมสุขภาพไดด้ ้วยตัวเอง วธิ ีดาเนนิ การวิจัย การเก็บรวบรวมข้อมลู ดาเนินการดงั ตอ่ ไปนี้ 1. ข้นั เตรยี มการ 1.) รวบรวมข้อมูลของกลมุ่ เสีย่ งโรคความดันโลหติ สูง 2.) ช้ีแจงวัตถุประสงค์ของการทาวจิ ยั ใหผ้ ้เู ขา้ รว่ มวจิ ัยทราบ 2. ขนั้ กอ่ นการทดลอง เก็บข้อมลู ทดลองครั้งที่ 1 ดว้ ยแบบสอบถามก่อนการทดลองในกลุ่มผู้เขา้ ร่วมโปรแกรมปรับเปล่ียนพฤติกรร ม สุขภาพ จานวน 30 คน โดยใช้แบบสอบถาม ดงั น้ี วารสารวชิ าการสุขภาพภาคเหนือ ปีท่ี 8 ฉบบั ท่ี 2 เดอื น กรกฎาคม – ธนั วาคม 2564 Journal of Health Sciences Scholarship July - December 2021, Vol.8 No.2

109 วารสารวิชาการสุขภาพภาคเหนือ (Journal of Health Sciences Scholarship) ผา่ นการรับรองคุณภาพของ TCI และอยู่ในฐานขอ้ มูล TCI กลมุ่ ท่ี 2 (จนถงึ 31 ธันวาคม 2567) 1.) สว่ นที่ 1 แบบสอบถามขอ้ มูลท่ัวไป ได้แก่ เพศ อายุ นา้ หนัก สว่ นสูง สถานภาพการ สมรส ระดับการศกึ ษา อาชีพ รายได้ ระดบั ความดันโลหติ 2.) สว่ นท่ี 2 แบบสอบถามความรเู้ กย่ี วกับโรคความดันโลหติ 3.) ส่วนท่ี 3 แบบสอบถามพฤติกรรมการดูแลสขุ ภาพของตนเองในกลุ่มสี่ยงโรคควา มดัน โลหติ สูง ได้แก่ ด้านการบรโิ ภคอาหาร ด้านออกกาลังกาย 4.) สว่ นท่ี 4 ผลการวัดระดบั ความเค็มในการบรโิ ภคอาหารดว้ ยการตรวจวดั ระดับควา ม เค็มด้วยเคร่อื งตรวจความเคม็ (salt meter) 3. ขัน้ ทดลอง 1.) กล่มุ ผ้เู ขา้ ร่วมโปรแกรมปรับเปลีย่ นพฤติกรรมสขุ ภาพไดร้ ับปรบั เปลยี่ นพฤติกรรมสุขภาพ ระยะเวลา 12 สัปดาห์ ประกอบดว้ ย 6 กิจกกรมดังนี้ ก. กิจกรรมท่ี 1 การเข้าถงึ ขอ้ มลู สขุ ภาพและบริการสขุ ภาพ (access) (สัปดาหท์ ี่ 2) ข. กจิ กรรมที่ 2 ความรูค้ วามเขา้ ใจ (cognitive) (สปั ดาห์ท่ี 3) ค. กิจกรรมที่ 3 ทกั ษะการสือ่ สาร (communication skill) (สัปดาหท์ ่ี 4) ง. กิจกรรมที่ 4 การตดั สนิ ใจ (decision skill) (สปั ดาหท์ ี่ 5-6) จ. กจิ กรรมท่ี 5 การจัดการตนเอง (self-management) (สัปดาห์ท่ี 7-10) ฉ. กจิ กรรมท่ี 6 การรู้เทา่ ทนั ส่อื (media-literacy) (สัปดาหท์ ่ี 11) 4. ข้ันหลังการทดลอง เกบ็ ข้อมูลหลังการทดลอง ครงั้ ท่ี 2 ดว้ ยแบบสอบถามหลงั การทดลองในกลุ่มผู้เข้าร่วมโปรแกร ม ปรบั เปล่ยี นพฤตกิ รรมสุขภาพ จานวน 30 คน โดยใชแ้ บบสอบถามดงั น้ี 1.) ส่วนที่ 1 แบบสอบถามขอ้ มลู ทวั่ ไป ไดแ้ ก่ เพศ อายุ น้าหนัก สว่ นสงู สถานภาพการสมรส ระดบั การศกึ ษา อาชพี รายได้ ระดับความดนั โลหิต 2.) ส่วนท่ี 2 แบบสอบถามความรู้เกี่ยวกบั โรคความดนั โลหิต 3.) ส่วนท่ี 3 แบบสอบถามพฤติกรรมการดูแลสุขภาพของตนเองในกลุ่มสี่ยงโรคความดันโลหิตสูง ไดแ้ ก่ ดา้ นการบริโภคอาหาร ดา้ นออกกาลังกาย 4.) สว่ นท่ี 4 ผลการวดั ระดบั ความเค็มในการบริโภคอาหารด้วยการตรวจวัดระดับความเค็มด้วย เคร่ืองตรวจความเค็ม (salt meter) เครอ่ื งมือทใ่ี ชใ้ นการวจิ ัย แบบสอบถามนแ้ี บง่ ออกเป็น 4 สว่ น สว่ นท่ี 1 แบบสอบถามขอ้ มลู ทวั่ ไป ได้แก่ เพศ อายุ น้าหนกั ส่วนสูง สถานภาพการสมรส ระดับ การศกึ ษา อาชีพ รายได้ ระดับความดนั โลหติ วารสารวิชาการสขุ ภาพภาคเหนอื ปที ่ี 8 ฉบับที่ 2 เดือน กรกฎาคม – ธันวาคม 2564 Journal of Health Sciences Scholarship July - December 2021, Vol.8 No.2

110 วารสารวชิ าการสุขภาพภาคเหนือ (Journal of Health Sciences Scholarship) ผ่านการรับรองคุณภาพของ TCI และอยู่ในฐานขอ้ มลู TCI กลุม่ ท่ี 2 (จนถงึ 31 ธันวาคม 2567) ส่วนที่ 2 แบบวัดความรู้เก่ียวกับโรคความดันโลหติ สูง ที่ผู้วิจัยพัฒนาแบบวัดมาจาก การคิด คาถามในแบบสอบถาม และนาแบบสอบถามไปตรวจสอบคุณภาพของเครื่องมือและตรวจสอบความตรง (validity) โดยพจิ ารณาความถูกต้องตามเนื้อหา และความเหมาะสม ของภาษาจากผู้ทรงคุณวุฒิ 3 ทา่ น จากนน้ั นาแบบสอบไปถามไปทดลองใช้กับกลุ่มกลุ่มเส่ียงโรคความดันโลหิตสูง ในพ้นื ท่ีอื่นที่มีลักษณะและบริบทพื้นที่ ใกล้เคยี ง จานวนทงั้ หมด 15 ขอ้ แบง่ ออกเป็นขอ้ คาถาม ทางบวก จานวน 12 ข้อ และข้อคาถามทางลบ จานวน 3 ข้อ มีลักษณะคาตอบใหเ้ ลอื กตอบถูกหรือผิด โดยมีเกณฑ์การใหค้ ะแนนขอ้ คาถามดงั น้ี เกณฑ์การให้คะแนนข้อคาถามทางลบ ขอ้ คาถามทางบวก ไดแ้ กข่ ้อ 1,2,3,5,6,8,9,11,12,13,14,15 คอื ตอบถูก เทา่ กบั 1 คะแนน ตอบผิด เท่ากบั 0 คะแนน เกณฑก์ ารใหค้ ะแนนขอ้ คาถามทางลบ ได้แก่ข้อ 4,7,10 คอื ตอบถูก เทา่ กับ 0 คะแนน ตอบผิด เท่ากับ 1 คะแนน สว่ นที่ 3 พฤตกิ รรมการดูแลสขุ ภาพของตนเองในกลุ่มสี่ยงโรคความดนั โลหิตสูง ทผี่ ูว้ ิจยั พัฒนา แบบวัดมาจาก การคิดคาถามในแบบสอบถาม และนาแบบสอบถามไปตรวจสอบคุณภาพของเค ร่ืองมือและ ตรวจสอบความตรง (validity) โดยพิจารณาความถูกต้องตามเน้ือหา และความเหมาะสม ของภาษาจาก ผู้ทรงคณุ วฒุ ิ 3 ทา่ น จากนนั้ นาแบบสอบไปถามไปทดลองใช้กับกลุ่มกลมุ่ เสยี่ งโรคความดนั โลหิตสูง ในพื้นทอี่ ่ืนท่ีมี ลักษณะและบรบิ ทพ้ืนท่ีใกล้เคียง ข้อลกั ษณะคาตอบให้เลือกตอบ ปฏบิ ัตเิ ปน็ ประจา บ่อยคร้งั บางครง้ั นานๆครั้ง และไมเ่ คย ปฏิบตั ิ แบ่งออกเป็นด้านตา่ งๆ ดงั น้ี ดา้ นการบริโภคอาหาร จานวนทง้ั หมด 5 ขอ้ แบง่ ออกเป็นข้อคาถามทางบวกจานวน 1 ข้อ และข้อ คาถามทางลบ จานวน 4 ขอ้ ด้านออกกาลงั กาย จานวนทัง้ หมด 5 ขอ้ แบ่งออกเป็นขอ้ คาถามทางบวก จานวน 5 ข้อ โดยมเี กณฑ์การให้คะแนนข้อคาถามดงั น้ี เกณฑ์การใหค้ ะแนนขอ้ คาถามทางบวก (5,6,7,8,9,10) คือ ปฏบิ ัตเิ ป็นประจา เท่ากับ 4 คะแนน ปฏิบัตบิ ่อยครงั้ เทา่ กบั 3 คะแนน ปฏบิ ัติบางครงั้ เทา่ กบั 2 คะแนน ปฏิบตั ินานๆคร้งั เท่ากบั 1 คะแนน ไม่เคยปฏิบัติ เท่ากับ 0 คะแนน วารสารวิชาการสขุ ภาพภาคเหนอื ปที ่ี 8 ฉบับที่ 2 เดือน กรกฎาคม – ธันวาคม 2564 Journal of Health Sciences Scholarship July - December 2021, Vol.8 No.2

111 วารสารวชิ าการสขุ ภาพภาคเหนอื (Journal of Health Sciences Scholarship) ผ่านการรบั รองคุณภาพของ TCI และอยูใ่ นฐานข้อมลู TCI กลุม่ ที่ 2 (จนถงึ 31 ธันวาคม 2567) เกณฑก์ ารใหค้ ะแนนข้อคาถามทางลบ (1,2,3,4) คอื ปฏบิ ตั ิเป็นประจา เท่ากบั 0 คะแนน ปฏิบตั บิ อ่ ยคร้ัง เท่ากับ 1 คะแนน ปฏบิ ตั บิ างคร้ัง เทา่ กบั 2 คะแนน ปฏิบตั นิ านๆครั้ง เท่ากบั 3 คะแนน ไม่เคยปฏบิ ตั ิ เทา่ กับ 4 คะแนน ส่วนท่ี 4 ผลการวัดระดับความเค็มในการบริโภคอาหารด้วยการตรวจวัดระดับความเค็มด้วย เคร่อื งตรวจความเคม็ (salt meter) 2. โปรแกรมการปรับเปลยี่ นพฤติกรรมสขุ ภาพในกลุ่มเสีย่ งโรคความดันโลหติ สงู ซง่ึ ผ้วู ิจัยได้พัฒนามาจาก แนวความคดิ เรอ่ื งความรอบรู้ทางสขุ ภาพ (Health literacy) ซ่งึ ประกอบดว้ ย 6 กิจกกรม ได้แก่ 1) การเข้าถึง ข้อมูลสุขภาพและบริการ สุขภา พ (access) 2) ความรู้ความเข้า ใจ (cognitive) 3) ทักษะการสื่อ สา ร (communication skill) 4) การตัดสินใจ (decision skill) 5) การจัดการตนเอง (self-management) 6) การร้เู ทา่ ทันสอื่ (media-literacy) การตรวจสอบคุณภาพเครอ่ื งมือ การตรวจสอบความตรงเนื้อหา (content validity) แบบสอบถามความรู้เร่ืองโรคความดันโลหิตสูง และแบบสอบถามพฤตกิ รรมการบริโภคอาหาร และพฤติกรรมการออกกาลังกาย มกี ารตรวจสอบคุณภา พของ เครอื่ งมอื และตรวจสอบความตรง (validity) โดยพจิ ารณาความถกู ต้องตามเนื้อหา และความเหมาะสม ของภาษา จากผทู้ รงคุณวุฒิ 3 ทา่ น ประกอบด้วยผู้ทรงคณุ วฒุ ิดา้ นการวิจัย1 ท่านแพทย์ผู้มปี ระสบการณด์ ้านการดแู ลผู้ป่วย ความดนั โลหิตสูง 1 ทา่ น และนักวชิ าการสาธารณสขุ ชานาญการ 1 ทา่ น ไดค้ า่ ความตรงตามเนือ้ หา Content Validity Index, CVI เท่ากบั 0.97 การตรวจสอบความเช่อื มนั่ (reliability)โดยนาแบบสอบถามไปทดลองใช้ (try out) กบั กล่มุ เสย่ี งโรค ความดนั โลหิตสูง ในพื้นท่อี ืน่ ที่มลี กั ษณะและบริบทพ้ืนที่ใกลเ้ คียงกับ ตาบลนายาง อาเภอสบปราบ จงั หวดั ลาปาง จานวน 30 ได้ค่าความเช่ือม่นั สัมประสทิ ธ์แิ อลฟาของครอนบาค (alpha) เทา่ กบั 0.82 การวิเคราะห์ข้อมลู 1. ข้อมลู ทว่ั ไป ไดแ้ ก่ เพศ อายุ น้าหนกั ส่วนสูง สถานภาพการสมรส ระดับการศึกษา อาชีพ รายได้ ระดับความดันโลหิต วิเคราะห์โดยใช้การแจกแจง ความถี่ โดยนาเสนอในรปู ของตารางแสดงจานวนร้อยละ ค่าเฉลี่ย และสว่ นเบีย่ งเบนมาตรฐาน 2. วเิ คราะห์หาความแตกตา่ งของความรู้ และพฤติกรรมการดูแลตน เอง ก่อนและหลังการทดล อง ด้วยสถติ ิ dependent t-test วารสารวชิ าการสุขภาพภาคเหนอื ปีท่ี 8 ฉบบั ที่ 2 เดอื น กรกฎาคม – ธนั วาคม 2564 Journal of Health Sciences Scholarship July - December 2021, Vol.8 No.2

112 วารสารวชิ าการสขุ ภาพภาคเหนอื (Journal of Health Sciences Scholarship) ผา่ นการรับรองคุณภาพของ TCI และอยูใ่ นฐานข้อมลู TCI กลุ่มที่ 2 (จนถึง 31 ธนั วาคม 2567) 3. ผลการวดั ระดับความเค็มในการบรโิ ภคอาหารด้วยการตรวจวดั ระดับความเค็มด้ วยเคร่ืองตรวจ ควา ม เคม็ (salt meter) และคา่ ระดบั ความดันโลหิตวิเคราะหโ์ ดยใช้การแจกแจง ความถี่ โดยนาเสนอในรปู ของตาราง แสดงจานวนรอ้ ยละ ค่าเฉลีย่ 4. ระดับความมีนยั สาคญั ทางสถิตทิ ีร่ ะดับ 0.05 การพิทกั ษ์สิทธกิ์ ล่มุ ตวั อย่างและจริยธรรมการวิจัย ผวู้ จิ ยั คัดเลอื กกลุม่ ตัวอยา่ งตามขัน้ ตอนการคัดเลือก ช้แี จงวัตถปุ ระสงค์การวิจัย แจ้งการพิทักษส์ ิทธิ์กลุ่ม ตวั อยา่ ง โดยแจง้ ให้กลุม่ ตวั อยา่ งรู้วา่ โครงการวิจัยน้ีไดผ้ ่านการพจิ ารณารับรองจากคณะกรรมการจริยธรร มการ วจิ ัยในมนษุ ย์ วทิ ยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี จงั หวดั ลาปางแลว้ (เลขท่ีโครงการวจิ ัย หมายเลข 080/2563) กอ่ น เก็บข้อมลู โดยแจง้ ใหก้ ลมุ่ ตัวอย่างทราบ วตั ถุประสงค์ของการวจิ ยั ประโยชนท์ ่จี ะเกิดข้นึ จากการวิจยั สทิ ธท์ิ ี่จะบอก เลกิ การเข้ารว่ มการวิจยั เมื่อใดกไ็ ด้ รวมถงึ การเกบ็ ขอ้ มลู เปน็ ความลบั และจะเปดิ เผยได้เฉพาะในรปู การสรปุ ผล หากยนิ ดเี ขา้ ร่วมงานวิจัยผวู้ ิจัยให้กลมุ่ ตัวอยา่ งลงนามในใบยินยอมเขา้ ร่วมการวจิ ัย ผวู้ ิจัยถามข้อมูลทวั่ ไป และเกบ็ ขอ้ มูลระดับน้าตาลก่อนการทดลอง ผลการวิจัย 1. ขอ้ มลู ทัว่ ไปของกล่มุ ตัวอยา่ ง ผู้เขา้ รว่ มโปรแกรมส่วนเปน็ เพศชาย คิดเป็นร้อยละ 23.30 เพศหญิง คิดเป็นร้อยละ 76.70 สว่ นใหญ่ อายุอยู่ในชว่ ง 50-59 ปี คดิ เปน็ ร้อยละ 50.00 มนี า้ หนกั อยใู่ นชว่ ง 50-59 กิโลกรัม คิดเป็นรอ้ ยละ 40.00 มีส่วนสูง อยใู่ นช่วง 150-159 เซนติเมตร คิดเป็นรอ้ ยละ 70.00 มสี ถานภาพการสมรสคู่ คิดเป็นร้อยละ 73.30 มรี ะดับ การศึกษาอยู่ในช่วงประถมศึกษา คดิ เปน็ รอ้ ยละ 46.70 ประกอบอาชพี ทาไร้ ทานา ทาสวน คิดเปน็ รอ้ ยละ 76.70 มรี ายไดต้ ่อเดอื นอยู่ในชว่ ง 5,000-10,000 บาท คดิ เปน็ รอ้ ยละ 73.40 มีค่าระดบั ความดนั โลหติ คา่ ตัวบนอยู่ในชว่ ง 130-139 มลิ ลิเมตรปรอท คดิ เป็นร้อยละ 100.00 ค่าตัวลา่ งอยู่ในช่วงน้อยกว่า 85 มิลลเิ มตรปรอทและชว่ ง 85-89 มลิ ลเิ มตรปรอท คดิ เป็นรอ้ ยละ 43.30 2.ความรู้เรือ่ งโรคความดันโลหิตสงู พฤตกิ รรมการดูแลสุขภาพตนเอง ผลการวัดระดับความเค็มในการ บรโิ ภคอาหารดว้ ยการตรวจวัดระดบั ความเคม็ ดว้ ยเครื่องตรวจความเค็ม (salt meter) และคา่ ระดบั ความดัน โลหิตของกลุม่ เสยี่ งโรคความดนั โลหิตของกลุ่มที่เขา้ ร่วมโปรแกรมปรบั เปลย่ี นสขุ ภาพ วารสารวชิ าการสุขภาพภาคเหนอื ปที ่ี 8 ฉบบั ท่ี 2 เดือน กรกฎาคม – ธันวาคม 2564 Journal of Health Sciences Scholarship July - December 2021, Vol.8 No.2

113 วารสารวิชาการสุขภาพภาคเหนือ (Journal of Health Sciences Scholarship) ผา่ นการรบั รองคุณภาพของ TCI และอย่ใู นฐานขอ้ มลู TCI กล่มุ ท่ี 2 (จนถงึ 31 ธนั วาคม 2567) ตารางท่ี 1 แสดงจานวนและร้อยละของระดบั ความรูเ้ ร่ืองโรคความดันโลหติ สูง ความรเู้ รอื่ งโรคความดัน โลหติ พฤติกรรมการดแู ลสขุ ภาพตนเอง ผลการวัดระดับความเคม็ ในการบรโิ ภคอาหารดว้ ยการตรวจวดั ระดับความ เคม็ ด้วยเคร่อื งตรวจความเคม็ (salt meter) และค่าระดับความดนั โลหติ ของกลุ่มเสย่ี งโรคความดนั โลหติ ก่อนและ หลงั ไดร้ ับโปรแกรมปรบั เปล่ยี นพฤตกิ รรมสุขภาพ (n = 30) ระดับ ก่อนเขา้ รว่ มโปรแกรม หลงั เขา้ รว่ มโปรแกรม p-value จานวน ร้อยละ จานวน ร้อยละ ความรู้ มีความรูอ้ ยู่ในระดับดี 12 40.00 30.00 100.00 มคี วามรู้อยใู่ นระดบั ปานกลาง มคี วามรอู้ ยู่ในระดับต่า 9 30.00 0 0.00 0.028* พฤติกรรมการดูแลสุขภาพของตนเอง 9 30.00 0 0.00 พฤติกรรมสุขภาพอยู่ในระดบั ดี พฤตกิ รรมสขุ ภาพอยู่ในระดับปานกลาง 26 86.70 28 93.34 พฤตกิ รรมสขุ ภาพอยู่ในระดับตา่ 0 0.00 1 3.33 0.010* ผลการวัดความเคม็ ในการบริโภคอาหาร 4 13.30 1 3.33 ผา่ น 6 20.00 25 83.30 0.007* ไมผ่ ่าน 24 80.00 5 16.70 คา่ ความดันโลหติ ค่าตวั บน 0 0.00 17 56.70 น้อยกวา่ 130 มลิ ลเิ มตรปรอท 30 100.00 13 43.30 0.001* 130-139 มิลลเิ มตรปรอท 0 0.00 0 0.00 มากกว่า 139 มลิ ลเิ มตรปรอท ค่าตัวลา่ ง 13 43.30 29 96.70 น้อยกว่า 85 มิลลเิ มตรปรอท 13 43.30 0 0.00 0.001* 85-89 มลิ ลิเมตรปรอท 4 13.30 1 3.30 มากกวา่ 89 มิลลเิ มตรปรอท * P < .05 จากตารางที่ 1 ระดับความรขู้ องผู้ท่ีเข้ารว่ มโปรแกรมปรับเปลี่ยนพฤติกรรมกอ่ นและหลังไดร้ บั โปรแกร ม สุขศกึ ษา พบว่า ก่อนการเข้าร่วมโปรแกรม ผู้เข้าร่วมโปรแกรมฯ มีคะแนนเฉลย่ี 12.75คะแนน มีคะแนนต่าสดุ 3 วารสารวชิ าการสขุ ภาพภาคเหนอื ปีที่ 8 ฉบับที่ 2 เดอื น กรกฎาคม – ธนั วาคม 2564 Journal of Health Sciences Scholarship July - December 2021, Vol.8 No.2

114 วารสารวชิ าการสขุ ภาพภาคเหนือ (Journal of Health Sciences Scholarship) ผา่ นการรับรองคุณภาพของ TCI และอย่ใู นฐานขอ้ มูล TCI กลมุ่ ที่ 2 (จนถงึ 31 ธันวาคม 2567) คะแนน และคะแนนสงู สุด 15 คะแนน โดยมคี วามรอู้ ย่ใู นระดับดี จานวน 12 คน คิดเป็นร้อนละ 40.00 หลังเข้า รว่ มโปรแกรม ผูเ้ ขา้ รว่ มโปรแกรมฯมี คะแนนเฉลีย่ 13.85 คะแนน มีคะแนนตา่ สุด 12 คะแนน และคะแนนสูงสุด 15 คะแนน มคี วามรูอ้ ยู่ในระดบั ดี จานวน 30 คน คิดเปน็ รอ้ ยละ 100 ระดับพฤตกิ รรมการดแู ลสุขภาพตนเองของผ้ทู ่ีเข้ารว่ มโปรแกรมปรับเปลี่ยนพฤตกิ รรมก่อนและหลังได้รับ โปรแกรมสุขศึกษา พบว่า ก่อนการเข้ารว่ มโปรแกรม ผูเ้ ขา้ รว่ มโปรแกรมฯ มรี ะดบั พฤติกรรมการดูแลสุขภา พ ตนเอง คะแนนเฉล่ยี 28.47 คะแนน มคี ะแนนตา่ สดุ 10 คะแนน และคะแนนสงู สดุ 32 คะแนน โดยมีพฤตกิ รรม สขุ ภาพอยู่ในระดบั ดี จานวน 26 คน คิดเปน็ รอ้ ยละ 86.70 หลังเขา้ ร่วมโปรแกรม ผ้เู ขา้ ร่วมโปรแกรมฯ มรี ะดับ พฤตกิ รรมการดูแลสุขภาพตนเอง คะแนนเฉลีย่ 35.28 คะแนน มีคะแนนตา่ สดุ 13 คะแนน และคะแนนสงู สดุ 37 คะแนน โดยมีพฤติกรรมสขุ ภาพอยูใ่ นระดับดี จานวน 28 คน คดิ เป็นร้อยละ 93.34 ผลการวัดระดบั ความเค็มในการบริโภคอาหารด้วยการตรวจวัดระดับความเคม็ ดว้ ยเคร่ืองตรวจความเค็ม (Salt meter) ของผ้ทู ่เี ขา้ รว่ มโปรแกรมปรับเปลี่ยนพฤติกรรมก่อนและหลังได้รับโปรแกรมสุขศึกษา พบว่า ก่อน การเข้าร่วมโปรแกรม อาหารทผี่ ู้เข้าร่วมโปรแกรมสว่ นใหญ่ ไม่ผา่ นระดับความเค็ม คดิ เป็นร้อยละ 80.00 ค่าเฉล่ีย ผลการวัดระดบั อยู่ที่ เค็มมากระดบั 2 ค่าในการวดั จะอย่ทู ่ี 1.10 - 1.29 % คดิ เป็นร้อยละ 73.75 หลังเขา้ ร่วม โปรแกรมอาหารที่ผู้เข้ารว่ มโปรแกรมส่วนใหญ่ ผ่านระดบั ความเค็ม คดิ เป็นรอ้ นละ 83.30 คา่ เฉลี่ยผลการ วัด ระดบั อยู่ท่ี เคม็ มากระดบั 1 คา่ ในการวดั จะอย่ทู ่ี 0.90 - 1.09 % คิดเป็นร้อยละ 83.30 ผลการเปรยี บเทียบค่าระดับความดนั โลหิต ของผทู้ ี่เขา้ รว่ มโปรแกรมปรับเปลีย่ นพฤติกรรมก่อนและหลัง ได้รับโปรแกรมสุขศึกษา พบว่า ก่อนการเข้าร่วมโปรแกรม ค่าระดับความดันโลหิตของผู้ที่เข้าร่วมโปรแกรม ปรบั เปลย่ี นพฤติกรรมส่วนใหญ่ ค่าตวั บนอยู่ในช่วง 130-139 มลิ ลิเมตรปรอท คดิ เปน็ ร้อยละ 100 คา่ ตัวล่างอยู่ ในช่วง 85-89 มิลลเิ มตรปรอท คดิ เป็นร้อยละ 43.30 หลงั การเขา้ รว่ มโปรแกรม คา่ ระดบั ความดันโลหติ ของผทู้ ่ีเข้า ร่วมโปรแกรมปรับเปลีย่ นพฤติกรรมส่วนใหญ่ ค่าตวั บนอย่ใู นช่วงน้อยกวา่ 130 มลิ ลเิ มตรปรอท คดิ เป็นร้อยละ 56.70 ค่าตวั ลา่ งอยใู่ นชว่ งน้อยกว่า 85 มิลลิเมตรปรอท คิดเป็นร้อยละ 96.70 3.ผลการเปรียบเทียบคะแนนความรู้เร่ืองโรคความดันโลหิตสูง คะแนนพฤติกรรมการดูแลสุขภาพ ตนเอง ผลการวัดระดับความเคม็ ในการบริโภคอาหารดว้ ยการตรวจวัดระดับความเค็มดว้ ยเคร่ืองตรวจความ เค็ม (Salt meter) และค่าระดับความดันโลหิตของกลมุ่ เสี่ยงโรคความดันโลหิตของกลุ่มที่เขา้ ร่วมโปรแกรม ปรับเปล่ยี นสขุ ภาพ วารสารวิชาการสขุ ภาพภาคเหนือ ปที ่ี 8 ฉบับที่ 2 เดือน กรกฎาคม – ธันวาคม 2564 Journal of Health Sciences Scholarship July - December 2021, Vol.8 No.2

115 วารสารวิชาการสุขภาพภาคเหนือ (Journal of Health Sciences Scholarship) ผา่ นการรับรองคณุ ภาพของ TCI และอย่ใู นฐานขอ้ มลู TCI กลุ่มท่ี 2 (จนถึง 31 ธันวาคม 2567) ตารางที่ 2 แสดงการเปรยี บเทยี บผลการวัดคะแนนความรเู้ ร่อื งโรคความดันโลหิตสงู คะแนนพฤติกรรม การดูแลสุขภาพตนเอง ผลการวดั ระดับความเค็มในการบริโภคอาหารด้วยการตรวจวดั ระดับความเค็มดว้ ย เคร่ืองตรวจความเค็ม (salt meter) และค่าระดับความดันโลหติ ของกลุ่มเสยี่ งโรคความดนั โลหติ ของกลุ่มที่เข้าร่วม โปรแกรมปรับเปล่ียนสขุ ภาพกอ่ นและหลงั ไดร้ บั โปรแกรมการปรับเปล่ียนสุขภาพ (n = 30) ผลการเปรยี บเทียบ กอ่ น หลัง t p-value Mean SD. Mean SD ความรู้ 11.77 4.09 19.23 0.89 3.74 .000* พฤตกิ รรมการดูแลสุขภาพตนเอง 28.83 4.04 34.07 3.84 4.48 .004* ผลการวดั ความเค็มในการบริโภค 1.27 3.74 1.07 2.68 -2.16 .001* อาหาร * P < .05 จากตารางที่ 3 ผลการวเิ คราะห์เปรยี บเทียบการเปลย่ี นแปลงในเรื่องของความรโู้ รค ความดนั โลหิตสงู ของ กลมุ่ ผเู้ ข้าร่วมโปรแกรมฯ ก่อนรว่ มกิจกรรมและหลังร่วมกิจกรรม พบว่า ก่อนเขา้ รว่ มโปรแกรมการปรับเปลี่ยน พฤตกิ รรมสขุ ภาพ มคี ะแนนความรู้เฉลีย่ 11.77 คา่ เบย่ี งเบนมาตรฐาน เท่ากับ 4.09 และภายหลังได้ มคี ะแนน ความร้เู ฉลี่ยเพ่ิมขึ้น 19.23 ค่าเบยี่ งเบน มาตรฐานเทา่ กับ 0.89 ซง่ึ ภายหลังเขา้ ร่วมโปรแกรมการปรับเปลี่ยน พฤตกิ รรมสุขภาพ ค่าคะแนนเฉลี่ยความรู้ สูงกว่าก่อนเขา้ ร่วมโปรแกรมการปรับเปลี่ยนพฤตกิ รรมสขุ ภาพ ผลการวิเคราะหเ์ ปรยี บเทียบการเปล่ียนแปลงในเรอื่ งของพฤตกิ รรมการดแู ลสุขภาพของตนเอง ของกลุ่ม ผู้เข้าร่วมโปรแกรมการปรับเปลี่ยนสุขภาพ พบวา่ ก่อนเข้ารว่ มโปรแกรมการปรับเปลย่ี นพฤติกรรมสุขภาพ มี คะแนนพฤตกิ รรมการดูแลสุขภาพตนเอง เฉล่ีย 28.83 คา่ เบยี่ งเบนมาตรฐานเท่ากับ 4.04 และภายหลังเข้าร่วม โปรแกรมการปรับเปลย่ี นพฤติกรรมสุขภาพ มีคะแนนพฤติกรรมการดแู ลสุขภาพตนเอง เฉลีย่ เพิม่ ขึน้ 34.07 ค่า เบยี่ งเบนมาตรฐานเท่ากับ 3.84 ซงึ่ ภายหลงั เข้ารว่ มโปรแกรมการปรับเปลีย่ นพฤติกรรมสุขภาพ คา่ คะแนนเฉลี่ย ของพฤติกรรมการดแู ลสขุ ภาพของตนเอง สูงกว่าก่อนเขา้ รว่ มโปรแกรมการปรบั เปลย่ี นพฤตกิ รรมสุขภาพ ผลการวเิ คราะห์เปรียบเทยี บความแตกต่างของผลการวัดความเค็มในการบริโภคอาหารก่อนเข้า ร่วม โปรแกรมฯ พบว่า ระดับความเคม็ เฉล่ีย 1.27 ค่าเบ่ยี งเบนมาตรฐานเทา่ กับ 3.74 และภายหลงั เข้ารว่ มโปรแกร ม การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพ มีระดับความเค็มเฉล่ียลดลง 1.07 ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 2.68 ซึ่งภายหลังเข้ารว่ มโปรแกรมการปรับเปล่ียนพฤติกรรมสุขภาพ การบริโภคความเค็มลดลงกว่าก่อนเข้ารว่ ม โปรแกรมการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสขุ ภาพ อย่างมีนยั สาคญั ทางสถติ ิ (p < 0.05) ผลการวิเคราะห์เปรียบเทียบความแตกตา่ งของคา่ เฉล่ยี ความดนั โลหติ พบว่า คา่ ความดันโลหติ ตวั บนก่อน เข้ารว่ มโปรแกรมการปรบั เปลย่ี นพฤติกรรมสุขภาพเฉลยี่ 135.10 ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานเทา่ กับ 4.57 ภายหลงั เขา้ ร่วมโปรแกรมการปรับเปล่ยี นพฤตกิ รรมสุขภาพ คา่ ความดนั โลหติ ตวั บนเฉล่ียลดลง 125.87 คา่ เบ่ยี งเบนมาตรฐาน เท่ากบั 4.42 และค่าความดันโลหิตตัวล่างก่อนเข้ารว่ มโปรแกรมการปรบั เปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพเฉล่ยี 83.27 ค่า เบีย่ งเบนมาตรฐานเทา่ กบั 2.83 ภายหลงั เข้าร่วมโปรแกรมการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพค่าความดนั โลหิตตัว วารสารวชิ าการสขุ ภาพภาคเหนอื ปที ี่ 8 ฉบับที่ 2 เดือน กรกฎาคม – ธันวาคม 2564 Journal of Health Sciences Scholarship July - December 2021, Vol.8 No.2

116 วารสารวชิ าการสขุ ภาพภาคเหนือ (Journal of Health Sciences Scholarship) ผ่านการรับรองคณุ ภาพของ TCI และอย่ใู นฐานขอ้ มลู TCI กลุ่มที่ 2 (จนถึง 31 ธันวาคม 2567) บนเฉล่ยี ลดลง 76.00 ค่าเบ่ียงเบนมาตรฐานเท่ากบั 3.85 ซ่งึ ภายหลงั เข้ารว่ มโปรแกรมการปรับเปลี่ยนพฤติกรร ม สขุ ภาพ ค่าความดันโลหติ ตวั บนและตัวลา่ งดีกว่าก่อนเข้ารว่ มโปรแกรมการปรบั เปล่ียนพฤติกรรมสุขภาพ อภปิ รายผล การอภิปรายผลการวจิ ยั ตามสมมตุ ฐิ านของการวิจัย และผลการวิเคราะห์ข้อมูลดงั รายละเอยี ดไปนี้ สมมติฐานขอ้ ท่ี 1 ภายหลงั เขา้ รว่ มโปรแกรมการปรบั เปลยี่ นพฤติกกรมสขุ ภาพ กลุ่มเส่ียงโรคควา มดัน โลหิตสูงมีความรู้เรื่องโรคความดันโลหิตสูง ดีกว่าก่อนเข้ารว่ มโปรแกรมการปรับเปล่ียน พฤติกกรมสุขภาพ ผลการวจิ ัยพบวา่ ภายหลังการเข้าร่วมโปรแกรมการปรับเปล่ยี นพฤตกิ รรมสุขภาพ กลมุ่ เส่ียงความดันโลหติ สงู ที่เข้า รว่ มโปรแกรม มีคา่ คะแนนเฉลย่ี ความรูโ้ รคความดันโลหิต เท่ากับ 19.23 ซึง่ สูงกวา่ กอ่ นเข้าร่วมโปรแกรม ที่มีค่า คะแนนเฉลีย่ ความรู้โรคความดันโลหติ เท่ากบั 11.77 เป็นเพราะว่าผ้ทู ีเ่ ขา้ ร่วมโปรแกรมปรบั เปลี่ยนพฤติกรรมสขุ ภาพ ได้รับการปรับเปลี่ยนความรู้ในเร่อื งของโรคความ ดันโลหติ โดยเขา้ รว่ มโปรแกรมปรับเปล่ยี นพฤตกิ รรมสขุ ภาพในกลุ่มผเู้ สย่ี งโรคโรคความดนั โลหิตสูง โดยมกี ิจกรรม การการบรรยายประกอบการนาเสนอรูปแบบ power point. ในเร่อื งของโรคความดนั โลหติ แบง่ กล่มุ และร่วม อภปิ รายกลุ่ม แลกเปลี่ยนเรยี นโดยมเี จ้าหนา้ ท่คี อยช่วยเหลือให้คาปรึกษา แนะนา ให้กาลังใจ ชมเชย ทกุ กจิ กรรม จากกจิ กรรมดงั กล่าวสง่ ผลให้ภายหลังเขา้ ร่วมโปรแกรมการปรับเปลี่ยนพฤตกิ กรมสุขภาพ กลุ่มเส่ยี งโรคความดัน โลหิตสงู มคี วามรูเ้ ร่อื งโรคความดันโลหิตสูง ดีกว่าก่อนเข้าร่วมโปรแกรมการปรับเปล่ียน พฤติกกร มสุข ภา พ ซงึ่ สอดคลอ้ งกบั การศกึ ษาของประหยัด ชอ่ ไม้ และ อารยา ปรานประวิตร (Chormai, et al.,2015) ไดศ้ ึกษาผล ของโปรแกรมสร้างเสริมสุขภาพในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพของกลุม่ เส่ียงโรคความดันโลหิตสูงใน โรงพยาบาลสง่ เสริมสขุ ภาพตาบลบา้ นเขาดิน อาเภอเขาพนมจังหวดั กระบี โดยการประยุกต์แนวคิดด้านการรับรู้ ความสามารถของตนเองการกากบั ตนเอง และการดแู ลตนเอง (3 Self) เพื่อปรบั เปลี่ยนพฤติกรรมสขุ ภาพของกลุ่ม เสย่ี งโรคความดนั โลหิตสูง ผลการวิจยั พบว่าผลการวจิ ัยพบว่า ภายหลังการทดลองกลมุ่ ทดลองมีคะแนน เฉลี่ย ความร้เู กย่ี วกับโรคความดนั โลหิตสูงเพ่ิมข้นึ มากกว่าก่อนการทดลองอย่างมนี ัยสาคัญทางสถติ ิ (p-value <.05) สอดคล้องกบั การศึกษาของกนกกาญ ทปี านุเคราะห์ (Thipanukroh, K.,2018) ได้ศกึ ษา ผลของโปรแกรมการ ดูแลสุขภาพตนเองของผู้ป่วยความดันโลหิตสูงโรงพยาบาลรตั ภูมิ จังหวัดสงขลา โดยมีกิจกรรมกิจกรรมท่ี ดาเนนิ การกบั ผปู้ ่วยความดนั โลหิตสูงที่มารับบรกิ ารท่ีคลินิกความดนั โลหิตสูง.เพื่อให้ผู้ป่วยสามารถคุมระดับควา ม ดันโลหิตได้ประกอบด้วย กิจกรรม empowerment โดยเจ้าหน้าท่แี ละ role model กิจกรรมให้ความรู้โดย ทีมสหวชิ าชีพ และกิจกรรมติดตามเย่ียมบ้าน/โทรศัพท์ติดตามหรอื ไลน์กลุ่มวิจัย ผลการศกึ ษาพบวา่ คะแนนความรู้ เรอื่ งโรคความดนั โลหติ สงู ของกลุ่มตวั อย่างกอ่ นและหลงั แตกต่างกนั อย่างมีนัยสาคัญทางสถติ ิ (P<.05) สอดคล้อง กบั การศกึ ษาของ ภสั สรา พิชญพงศ์โสภณ และจุฬาภรณ์ โสตะ (Phichayapongsopon et al.,2018.) ได้ศกึ ษา ประสิทธิผลของโปรแกรมสุขศึกษาเพ่ือการปรับเปล่ยี นพฤติกรรมสุขภาพ ของประชากรกลุ่มเสี่ยงโรคควา มดัน โลหติ สงู ในเขตอาเภอเมอื งจังหวัดนครราชสีมาซ่งึ กิจกรรมประกอบไปด้วยกิจกรร มการ บรร ยาย สื่อวีดีทัศน์ การเสนอตัวแบบการจัดกิจกรรมกลุ่ม การจาลองสถานการณ์ การสาธิตและฝึกปฏิบัติเกบ็ รวบรวมข้อมลู โดยใช้ แบบสอบถามและวดั ระดบั ความดนั โลหิต ผลการวจิ ยั พบวา่ ภายหลงั การทดลอง กลมุ่ ทดลองมีคะแนนเฉลีย่ ดา้ นความรู้ เรอ่ื งความดันโลหิตสูง การรับรโู้ อกาสเสย่ี งในการเกิดโรคความดันโลหติ สงู การคาดหวังในตนเองตอ่ การปฏิบัติตน วารสารวิชาการสขุ ภาพภาคเหนือ ปีท่ี 8 ฉบบั ท่ี 2 เดอื น กรกฎาคม – ธันวาคม 2564 Journal of Health Sciences Scholarship July - December 2021, Vol.8 No.2

117 วารสารวิชาการสขุ ภาพภาคเหนอื (Journal of Health Sciences Scholarship) ผ่านการรับรองคณุ ภาพของ TCI และอย่ใู นฐานขอ้ มูล TCI กลมุ่ ที่ 2 (จนถึง 31 ธนั วาคม 2567) เพื่อป้องกันการเกดิ โรคความดันโลหิตสงู การรบั รู้อุปสรรคในการปฏบิ ัติตนเพอ่ื ป้องกันการเกิดโรคความดนั โลหิต สูงและความตัง้ ใจในการปฏิบัตติ นเพ่อื ปอ้ งกนั การเกิดโรคความดันโลหิตสงู สูงกว่าก่อนการทดลอง และสงู กวา่ กลุ่ม เปรียบเทียบ อย่างมีนัยสาคัญทางสถิติ (p-value <0.001) และสอดคล้องกับการวิจัยของพิเชษฐ์ หอสูติสิมา (Hosutisima, P.,2019.) ได้ศกึ ษาผลของโปรแกรมสุขศึกษาในการป้องกนั โรคความดันโลหิตสูงกลุ่มเส่ียงตา บล จระเข้หิน อาเภอครบุรีจังหวัดนครราชสีมา พ.ศ. 2560ได้นาทฤษฎีแรงจูงใจเพื่อป้องกันโรค (Protection motivation theory) มาประยุกต์ใช้ในการศกึ ษาพฤตกิ รรมการรับประทานอาหารและการออกกาลงั กา ยเพื่อ เปรียบเทียบผลของโปรแกรมสุขศึกษาในการป้องกันโรคความดันโลหิตสูงผลการวิจัยพบวา่ ภายหลังการทดลอง กลุ่มทดลองมคี า่ เฉลยี่ ของคะแนนความร้เู ก่ยี วกับโรคความดันโลหิตสงู การรับรคู้ วามรนุ แรงของโรค การรับรู้โอกาส เสี่ยงของการเกดิ โรค การรบั รู้ความสามารถของตนเองต่อการมีพฤติกรรมการป้องกนั โรคการรับรคู้ วามสามารถใน การตอบสนอง และพฤตกิ รรมการป้องกนั โรคความดนั โลหิตสงู สูงกวา่ ก่อนการทดลองและสงู กวา่ กลมุ่ เปรยี บเทียบ สมมตฐิ านข้อท่ี 2 ภายหลังเข้าร่วมโปรแกรมการปรับเปลยี่ นพฤติกกรมสุขภาพ กลุม่ เสย่ี งโรคควา มดัน โลหิตสูงมีคะแนนพฤตกิ รรมการดูแลสขุ ภาพตนเองดีกว่าก่อนเข้าร่วมโปรแกรมการปรบั เปลี่ยนพฤติกกรมสุขภา พ ผลการวิจยั พบว่า ภายหลังการเขา้ ร่วมโปรแกรมการปรับเปล่ียนสุขภาพ กลุ่มเส่ียงความดันโลหิตสงู ที่เข้า ร่วม โปรแกรม มีค่าคะแนนพฤตกิ รรมการดแู ลสุขภาพตนเองเท่ากบั 34.07 ซ่ึงสูงกว่าก่อนเขา้ รว่ มโปรแกรมที่มีค่าค่า คะแนนพฤตกิ รรมการดูแลสขุ ภาพตนเอง เท่ากบั 28.83 เป็นเพราะวา่ ทีเ่ ข้ารว่ มโปรแกรมปรับเปลีย่ นพฤติกรร ม สุขภาพ ไดร้ ับการปรับเปล่ียนพฤติกรรมสขุ ภาพดแู ลสุขภาพทงั้ ทางด้านการบริโภคอาหาร และการออกกาลงั กาย โดยมีกจิ กรรม ปฏบิ ัติวเิ คราะห์คน้ หาความเส่ยี งด้วยตนเองเก่ียวกับพฤติกรรมเสี่ยงด้านการบรโิ ภคอาหาร เพ่ือ นามาวางแผนกาหนดเป้าหมายในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม การฟังบุคคลต้นแบบบอกเล่าประสบการณ์เพื่อสร้าง แรงบันดาลใจ การชมวดี ีทศั น์เรื่องโรคแทรกซ้อนจากโรคความดันโลหิตสูง เพือ่ กระตุ้ นให้กลุ่มเสีย่ งตระหนังถึง ความน่ากลัวของโรคความดันโลหิต บรรยายประกอบการนาเสนอรูปแบบ power point ในการปรับเปลย่ี น พฤติกรรมสขุ ภาพให้เป็นไปตามแนวคิดความรอบรู้ด้านสุขภาพ (Health Literacy) แบ่งกลมุ่ และรว่ มอภิปราย กลุ่ม แลกเปลี่ยนเรียนรู้ตัวแบบด้านบวกจากสมาชิกในกลุ่มและตัวแบบกรณีศึกษา ติดตามและประเมิน ความก้าวหน้าการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพ โดยการวิเคราะห์ ปัญหาอุปสรรคที่เป็ นสาเหตุไม่ประสบ ความสาเรจ็ ตามเป้าหมาย โดยมีเจ้าหนา้ ท่ีคอยชว่ ยเหลือใหค้ าปรกึ ษา แนะนา ให้กาลังใจ ชมเชย ทกุ กจิ กรรม จากกิจกรรม ดังกลา่ ว สง่ ผลให้ภายหลงั คะแนนพฤตกิ รรมการดูแลสุขภาพตนเองดกี ว่าก่อนเข้าร่วมโปรแกรมทีม่ ีค่าค่าคะแนนพฤติกรรมการ ดูแล สุขภาพตนเองซึ่งสอดคล้อง กบั การศึกษาของจันทร์จริ า สีสว่าง และปุลวชิ ช์ ทองแตง (Sriswan et al.,2019) ได้ ศกึ ษาผลของโปรแกรมสนบั สนนุ การจดั การตนเองในผู้สูงอายโุ รคความดนั โลหิตสูงซงึ่ ได้มกี ารนาแนวคิดของลอริกและฮอลแมน บคุ คลสามารถจดั การตนเองเพ่อื ใหส้ ามารถควบคุมโรคและอาการท่ีเกิดขนึ้ ได้ด้วยกระบวนการฝึกทกั ษะคิดแก้ไข ปญั หา วางแผนจดั การปจั จยั ต่างๆ ท่เี ก่ียวข้องกับอาการเจบ็ ปว่ ย จนสามารถปฏิบตั ิกิจกรรมในการจัดการตนเองได้ อย่างต่อเนือ่ งและสม่าเสมอ สามารถปรับใช้ในการดารงชีวิตประจาวันได้อยา่ งเหมาะสม รว่ มกับแนวคดิ การดูแล ตนเองของโอเร็ม ทอี่ ธิบายวา่ การดูแลตนเองเป็นการปฏิบตั ิกจิ กรรมที่บุคคลริเริ่มและกระทาเพือ่ ให้เกดิ ประโยชน์ วารสารวชิ าการสขุ ภาพภาคเหนือ ปีท่ี 8 ฉบับท่ี 2 เดือน กรกฎาคม – ธันวาคม 2564 Journal of Health Sciences Scholarship July - December 2021, Vol.8 No.2

118 วารสารวชิ าการสขุ ภาพภาคเหนอื (Journal of Health Sciences Scholarship) ผา่ นการรบั รองคณุ ภาพของ TCI และอยู่ในฐานข้อมูล TCI กลมุ่ ท่ี 2 (จนถึง 31 ธนั วาคม 2567) แกต่ นเอง ในการดารงไว้ซง่ึ ชวี ิต สุขภาพและความเป็นอยูอ่ ันดผี ลการวจิ ยั พบวา่ หลงั สิ้นสดุ โปรแกรมสนบั สนนุ การ จดั การตนเองกลุ่มทดลองมีค่าเฉล่ียพฤติกรรมการดแู ลตนเองด้านการรับประทานอาหารและเครื่องด่ืม การออก กาลงั กายการรบั ประทานยาและการมาตรวจตามนัดและการผอ่ นคลายความเครียดสูงกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมี นัยสาคัญทางสถิติและมีค่าเฉลี่ยความดันโลหิตต่ากว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสาคัญทางสถิต สอ ดคล้องกับ การศกึ ษาของยุภาพร นาคกลง้ิ และปราณี ทัดศรี (Nakkling et al.,2017)ได้ศกึ ษาผลของโปรแกรมการสร้างเสริม การรับร้คู วามสามารถตนเองตอ่ พฤติกรรมสขุ ภาพของผู้สูงอายโุ รคความดันโลหติ สงู ท่ีควบคุมระดบั ความดนั โลหิต ไมไ่ ด้ โดยกาหนดกิจกรรม ไดแ้ ก่ การใหค้ วามร้แู ละจัดประสบการณ์ตรงการใชต้ ัวแบบการพดู จูงใจ การใหก้ าลงั ใจ การชมเชย การกระตุ้นเตอื น และการประเมินการเปล่ียนแปลงสภาวะทางสรรี ะวิทยาผลการวจิ ยั พบว่า หลังการ ทดลองกลุ่มทดลองมีคา่ คะแนนเฉลยี่ พฤติกรรมการควบคมุ อาหาร การออกกาลังกาย และการรับปร ะทา น ยา สูงกวา่ ก่อนการทดลอง อย่างมีนยั สาคญั ทางสถติ ิ (p=.000) และมีจานวนสมาชกิ ท่สี ามารถควบคุมความดนั โลหิต ให้อยู่ในเกณฑ์ท่ียอมรับได้มากกว่าก่อนการทดลอง อย่างมีนัยสาคัญทางสถิติ (p=.000 ) และสอดคล้องกับ การศึกษาของไชยยา จกั รสงิ โต (Jugsingto, C.,2017)ได้ศกึ ษาประสิทธิผลของโปรแกรมปรับเปล่ียนพฤติกรร ม สุขภาพในกลุม่ ผ้ทู ่มี ีภาวะเสี่ยงสงู ตอ่ การป่วยดว้ ยโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสงู และโรคอว้ น โดยการปรับเปลย่ี น พฤตกิ รรมสุขภาพโดยใช้หลัก 3 อ. ได้แก่ อาหาร ออกกาลังกาย และอารมณ์ ผลการวจิ ยั พบว่า ภายหลังการ ทดลองกลุ่มทดลองมีคะแนนเฉลยี่ พฤติกรรมสุขภาพด้านการบริโภคอาหารการออกกาลังกาย และการจัดการ อารมณ์ดีกว่ากอ่ นการทดลองและดกี ว่ากลมุ่ เปรยี บเทยี บ อย่างมนี ัยสาคญั ทางสถติ ทิ ่รี ะดบั 0.05 ขอ้ เสนอแนะในการนาผลการศึกษาไปใช้ 1. จากผลการวจิ ยั พบวา่ โปรแกรมปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพในกลุม่ เสีย่ ง โรคความดันโลหิตสงู ในเร่อื ง ของการปรบั เปล่ียนพฤติกรรมการดูแลสขุ ภาพของตนเอง (ด้านการบรโิ ภคอาหาร และดา้ นการออกกาลังกาย) ควรนาไปประยุกต์ใชเ้ ปน็ แนวทางในการจดั กจิ กรรมปรบั เปลี่ยนพฤติกรรมในพ้ืนท่ีต่อไป 2. จากการศกึ ษาวิจยั พบวา่ การรับฟังปญั หาอุปสรรคท่ีเกิดข้ึนขณะการจัดการดูแลตนเอง ใชว้ ิธกี ารโดย การแบง่ กลุม่ สนทนาอภปิ รายกลุ่มน้ัน บางรายรว่ มแสดงความคิดเหน็ คอ่ นขา้ งน้อย อาจส่งผลให้กลุม่ เสีย่ งยังไม่มี ความไว้ใจและเชอื่ มั่นในส่ิงผวู้ ิจยั แนะนาได้ เพื่อให้เกดิ ความรว่ มมอื และชว่ ยให้เกิดการเปลีย่ นแปลงพฤติกรรมท่ีดี ตอ่ ไป ควรมีการติดตามเยี่ยมบ้านรายบุคคลให้บอ่ ยขนึ้ เพ่อื สร้างสัมพันธภาพท่ีดี ระหว่างผวู้ ิจยั กบั กลุ่มเส่ียง และทา ให้ผู้วิจัยไดเ้ หน็ ชวี ิตความเปน็ อยู่ที่แทจ้ ริงของกลมุ่ เสย่ี ง วารสารวิชาการสุขภาพภาคเหนอื ปีท่ี 8 ฉบับท่ี 2 เดือน กรกฎาคม – ธนั วาคม 2564 Journal of Health Sciences Scholarship July - December 2021, Vol.8 No.2

119 วารสารวิชาการสขุ ภาพภาคเหนือ (Journal of Health Sciences Scholarship) ผ่านการรบั รองคณุ ภาพของ TCI และอย่ใู นฐานข้อมูล TCI กลุ่มที่ 2 (จนถงึ 31 ธันวาคม 2567) ข้อเสนอแนะในการศกึ ษาครง้ั ต่อไป ควรมีการศึกษาการติดตามประเมินผลของโปรแกรมในร ะยะยาวอย่างต่อเนื่องเพื่อติดตา มกา ร เปล่ียนแปลงพฤติกรรมสุขภาพของกลุ่มเสยี่ ง เพอื่ เป็นแนวทางในการพัฒนาพฤติกรรมสุขภาพในกลุ่มผู้ท่ีมีภาวะ เสย่ี งสูงต่อการป่วยความดนั โลหิตสูง เอกสารอา้ งอิง Chormai, P.,Panpawit, A. (2015). Effect of Health Promotion Program for Promoting Health Behavior Change in Groups at High Risk of High Blood Pressure at Bankhaodin Health Promotion Hospital, Khaopanom District, Krabi Provinc. The journal of graduate school, pitchayatat, ubon ratchathani rajabhat university (Humanities and Social Sciences). 10(1): 15-24. Health Data Center, Ministry of Public Health. (2020). The statistics of hypertension in Ban Na Yang sub-district top 5. Retrieved from https://hdcservice.moph.go.th/hdc/reports, (2020, 2 April). (in Thai). Hosutisima, P. (2019). The Effectiveness of Health Education Program on Hypertension Prevention Among High Risk Groups in Jorrakeahin Sub district Khonburi District Nakhonratchasima Province. Thai health science journals. 25(2): 56-66 Jugsingto, C. (2017). Effectiveness Of Health Behavior Modification Program In High Risk Group for Diabetes Hypertansion and Obesity. Rajabhat rajanagarindra university. 86-104. Nakkling, Y., Tudsr, P. (2017). Effect of Self–Efficacy Enhancement Program on Health Behaviors among Older Adults with Uncontrolled Hypertension. Association of private higher education institutions of thailand under the patronage of her royai highness princess mahachakri sirnddhorn. 6(1): 27-35. Phichayapongsopon, P., Sota, C. (2018). The Effectiveness of Health Education Program for Health Behavior among Pre-Hypertension, Muang District, Nakornratchasima Province. Thailand journal of health promotion and environmental health. 36(3): 56-69. Punmung, N., Yulertlob, A., Landti, S. (2019). World Hypertension day 2019. Nonthaburi: Division of Non Communicable Diseases. Sriswan, J., Tongtang, P. (2019). Effects of Self-Management Support Programs in Elderly Diseases high blood pressure. Ramathibodi nursing journal. 20(2): 179-192. (in Thai) Thipanukroh, K. (2018). Effects of self-care programs for hypertensive patients Rattaphum Hospital Province Songkhla.Retrieved from https://www.skho.moph.go.th,(2020,2 April).(inThai). วารสารวชิ าการสุขภาพภาคเหนือ ปที ่ี 8 ฉบบั ที่ 2 เดอื น กรกฎาคม – ธันวาคม 2564 Journal of Health Sciences Scholarship July - December 2021, Vol.8 No.2

120 วารสารวิชาการสขุ ภาพภาคเหนือ (Journal of Health Sciences Scholarship) ผ่านการรบั รองคณุ ภาพของ TCI และอย่ใู นฐานขอ้ มลู TCI กลมุ่ ท่ี 2 (จนถึง 31 ธันวาคม 2567) Associated Factors with Knowledge and Behaviors of Self-Prevention in Stroke Risk Group, Sala Sub-district, Koh Kha District Lampang Province Nathakrid Thammakawinwong*, Eakasit Chaipin**, Payom Thin-uan***, Premkait Wongpimkham****, Pornpairin Sangjaem*****, Montira Meunpirom*****, Thitiwan Wanalainiwet***** Received June 1, 2021, Revised: July 29, 2021, Accepted: October 15, 2021) Abstract This cross- sectional survey aimed to study 1) Health belief, knowledge and health behaviors affected self stroke prevention 2) Associated factors between personal data, health belief and knowledge affected self stroke prevention and 3) Associated between knowledge and behaviors affected self stroke prevention. The sample consisted of 248 people aged 30- 59 years living in Sala Subdistrict, Ko Kha District, Lampang Province, using multistage sampling. Research tool used was 4 part questionnaires with consisted of personal data, health beliefs, behaviors and knowledge of self- protection againt stroke. Data were analyzed by descriptive statistics and the chi-square test. The results showed most of the sample size had perceptions of health beliefs as a whole of 218 people (87.90%) especially perception of the severity of the disease had the highest perception (95.16%). Self- defense behaviors at a moderate level, and knowledge of self-protection against most diseases was at a moderate level. Personal factors including age, income, congenital disease, and family illness history were associated with knowledge level of self- stroke prevention at a statistically significant level 0. 05, Health belief factor was associated with the knowledge level of self- stroke prevention about perceived severity of disease, benefit and barrier at a statistically significant level 0.05. The knowledge factor of self- stroke prevention was associated with self- stroke preventive behaviors such as food, beverage and alcohol consumption at a statistical significance level 0.05. Keyword: Health belief; Behaviors affected self of stroke prevention; Knowledge affected self of stroke prevention * Asst, prof, Faculty of Science, Lampang Rajabhat University. ** Instructor, Faculty of Science, Lampang Rajabhat University. *** Instructor, Faculty of Boromarajjanani College of Nursing, Nakorn Lampang ****Directot, Bansaladonglan Tambon Health Promoting Hospital , Lampang ***** Graduate, Faculty of Science, Lampang Rajabhat University. วารสารวิชาการสขุ ภาพภาคเหนอื ปที ่ี 8 ฉบบั ท่ี 2 เดือน มกราคม – มถิ นุ ายน 2564 Journal of Health Sciences Scholarship January-June 2021, Vol.8 No.2

121 วารสารวชิ าการสุขภาพภาคเหนอื (Journal of Health Sciences Scholarship) ผ่านการรับรองคุณภาพของ TCI และอยใู่ นฐานขอ้ มูล TCI กลุ่มท่ี 2 (จนถึง 31 ธันวาคม 2567) ปัจจยั ท่สี มั พันธ์กบั ความร้แู ละพฤติกรรมในการปอ้ งกันตนเองจากโรคหลอดเลือดสมองของกลมุ่ เสี่ยง ตาบลศาลา อาเภอเกาะคา จงั หวดั ลาปาง ณฐั กฤษฏ์ ธรรมกวนิ วงค์*, เอกสิทธิ์ ไชยปนิ ** พยอม ถ่ินอว่ น***, เปรมเกยี รติ วงศพ์ ิมพ์คา**** พรไพลิน แสงแจม่ *****, มณฑริ า หม่นื ภริ มย์*****, ฐติ ิวลั ย์ วนาลยั นเิ วทน์***** วันรับบทความ : 1 มิถุนายน 2564, วันแกไ้ ขบทความ : 29 กรกฏาคม 2564, วันตอบรบั บทความ : 15 ตลุ าคม 2564) บทคดั ยอ่ การวจิ ยั เชิงสารวจแบบภาคตัดขวาง มีวัตถุประสงค์เพื่อศกึ ษา 1) ความเชือ่ ด้านสุขภาพ ความรแู้ ละ พฤติกรรมในการปอ้ งกันตนเองจากโรคหลอดเลือดสมองสมอง 2) ความสัมพันธ์ระหว่างปจั จัยส่วนบุคคล ความ เชือ่ สขุ ภาพ กับความรู้ในการป้องกนั ตนเองจากโรคหลอดเลือดสมองสมอง 3) ความสมั พนั ธ์ของควา มรู้กับ พฤตกิ รรมในการปอ้ งกันตนเองจากโรคหลอดเลอื ดสมอง กลุม่ ตัวอย่างไดแ้ ก่ ผมู้ อี ายุ 30 – 59 ปี ทอี่ าศยั อยู่ใน ชุมชน ตาบลศาลา อาเภอเกาะคา จงั หวัดลาปาง จานวน 248 คน สุ่มตวั อยา่ งแบบหลายขั้นตอน เคร่ืองมือท่ี ใช้เปน็ แบบสอบถามความเช่ือดา้ นสขุ ภาพ,พฤติกรรมและความรใู้ นการป้องกันตนเองจากโรคหลอดเลือดสมอง สมอง วเิ คราะหข์ อ้ มูลโดยใชส้ ถติ เิ ชงิ พรรณนา และการทดสอบไค-สแควร์ ผลการวจิ ยั พบว่า กลุม่ ตัวอย่างสว่ นใหญม่ กี ารรบั รคู้ วามเช่อื สขุ ภาพภาพรวม จานวน 218 คน คดิ เปน็ รอ้ ยละ 87.90 โดยด้านการรับรู้ความรนุ แรงของโรคมีการรบั รู้สูงสุด (ร้อยละ 95.16) และพฤติกรรมในการ ป้องกันตนเองภาพรวมอยู่ในระดับปานกลาง, ความร้ใู นการปอ้ งกันตนเองจากโรคส่วนใหญ่อยู่ในระดับสูง ปจั จยั สว่ นบุคคลได้แก่ อายุ รายได้เฉล่ีย โรคประจาตัว และประวัติการเจ็บปว่ ยของสมาชิกในครอบครัวมี ความสัมพนั ธ์กับระดับความรู้ในการป้องกันตนเองจากโรคหลอดเลือดสมองอยา่ งมนี ัยสาคัญทางสถิติท่ีระดบั 0.05, ปัจจยั ความเชื่อสุขภาพมีความสัมพันธก์ ับความรใู้ นการป้องกันตนเองอยา่ งมีนัยสาคญั ทางสถิติท่ีระดับ 0.05 ในดา้ นการรับรู้ความรุนแรงของโรค, ดา้ นการรับรู้ประโยชน์และด้านการรับรู้ต่ออปุ สรรค สว่ นปัจจัยด้าน ความรใู้ นการปอ้ งกันตนเองมคี วามสมั พันธก์ ับพฤติกรรมในการป้องกนั ตนเองอย่างมีนัยสาคัญทางสถติ ิทีร่ ะดบั 0.05 ในดา้ นอาหารและเครอื่ งดืม่ และการด่ืมเคร่ืองดมื่ แอลกอฮอล์ คาสาคญั : ความเชือ่ ด้านสุขภาพ; พฤติกรรมในการปอ้ งกนั ตนเองจากโรคหลอดเลอื ดสมอง; ความรูใ้ นการปอ้ งกันตนเองจากโรคหลอดเลอื ดสมอง * ผชู้ ่วยศาสตราจารย์ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ราชภฎั ลาปาง ** อาจารย์ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภฎั ลาปาง *** อาจารย์ คณะพยาบาลศาสตร์ วทิ ยาลยั พยาบาลบรมราชชนนีนครลาปาง ****ผอู้ านวยการโรงพยาบาลสง่ เสริมสุขภาพประจาตาบลบา้ นศาลาดงลาน ลาปาง *****บัณฑติ สาธารณสขุ ศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลยั ราชภัฎลาปาง วารสารวชิ าการสขุ ภาพภาคเหนือ ปที ่ี 8 ฉบบั ท่ี 2 เดอื น มกราคม – มถิ นุ ายน 2564 Journal of Health Sciences Scholarship January-June 2021, Vol.8 No.2

122 วารสารวชิ าการสุขภาพภาคเหนือ (Journal of Health Sciences Scholarship) ผา่ นการรับรองคุณภาพของ TCI และอยู่ในฐานขอ้ มูล TCI กลุ่มท่ี 2 (จนถึง 31 ธันวาคม 2567) บทนา กลุ่มโรคไมต่ ิดต่อ (Noncommunicable diseases; NCDs) ยังคงเป็นปญั หาสุขภาพอนั ดับหน่ึงของ โลก ท้ังในมิติของจานวนการเสียชีวิตและภาระโรคโดยรวม โดยประเทศไทย มอี ัตราการเสยี ชวี ิตจากกลุ่มโรค ไม่ติดต่อต่าสุดเมื่อเทียบในกลุ่มประเทศภูมิภาคเอเชยี ใต้-ตะวันออก (SEARO) (Epidemiology Division, Ministry of Public Health, 2016) จากขอ้ มลู ปีพ.ศ.2559 โรคไมต่ ิดตอ่ ยังคงเปน็ ปญั หาสุขภาพอันดับหน่ึง ของประชาชนไทยท้ังในแง่ภาระโรคและอัตราการเสียชีวติ อตั ราการเสียชีวิตก่อนวยั อันควร (30-69 ปี) จากโรค ไมต่ ดิ ต่อทส่ี าคญั ประกอบด้วย โรคหลอดเลือดสมอง, โรคหัวใจขาดเลอื ด, โรคเบาหวาน,ภาวะความดนั โลหิต สูง และโรคทางเดนิ หายใจอดุ กนั้ เรื้อรัง ซึง่ สาเหตสุ ว่ นใหญ่มาจากพฤตกิ รรมเสยี่ งของการใช้ชวี ติ ของประชาชน ไมว่ ่า อาหาร การออกกาลังกาย และภาวะเครยี ด (BehavioralHealthCare CenterHealthEducationDivision,2013) และมีแนวโนม้ เพม่ิ ข้ึนต้งั แต่ปพี .ศ. 2557 ถึงปีพ.ศ. 2559 หลังจากนน้ั มีแนวโน้มลดลงเล็กน้อยและคงท่ีในปี พ.ศ. 2561 โดยโรคหลอดเลือดสมองมีอตั ราการเสียชวี ิตกอ่ นวัยอันควรสูงท่ีสุดเท่ากับ 44.3 รายต่อประชากร แสนคน และอตั ราการเสยี ชีวติ ก่อนวยั อนั ควรด้วยโรคหลอดเลอื ดสมองในผชู้ ายสงู กว่าเพศหญงิ (Department of Disease Control, 2016) จากสถานการณ์ดังกล่าว แสดงให้เห็นว่าโรคหลอดเลือดสมองเป็นภยั ที่ กาลังคุกคามประชาชน โดยเฉพาะกลุ่มเสย่ี ง เป็นโรคทสี่ ามารถเกิดได้กับประชาชนทุกกลุ่มวัย ผูท้ ี่ปว่ ยจากโรคน้ีจะได้รบั ผลกระทบทั้ง ทางดา้ นร่างกาย จิตใจ และสงั คม ผูป้ ว่ ยบางรายเกิดความพกิ าร การมุ่งเน้นให้ประชาชนทงั้ กลุ่มสุขภาพดี กลุ่ม เส่ียง และกลุ่มป่วยปรับเปลี่ยนพฤติกรรม เพื่อลดความเส่ียงต่อการเกิดโรค การท่ีกลุ่มเสี่ยงโรคเรอ้ื รงั จะ สามารถปรับเปลี่ยนพฤติกรรมทีดีได้น้ันต้องมีควา มรู้ มีความเช่ือในการป้องกันตนเองอย่า งถูกต้ อง (Klinsakorn, C, 2020) แนวคิดแบบแผนความเช่ือด้านสขุ ภาพ (Health Belief Model) ของ Backer, 1974) ไดก้ ล่าวถึงพฤติกรรมสขุ ภาพดีและหลีกเลี่ยงการเปน็ โรคได้นนั้ เชื่อวา่ ขน้ึ อยูก่ บั การรับรู้ดา้ นสุขภาพ 4 ด้าน คือ การรับรู้โอกาสเสยี่ งตอ่ การเกดิ โรค,การรับร้คู วามรุนแรงของโรค,การรับรู้ประโยชน์ในการปอ้ งกันโรค และ การรับรู้อปุ สรรคในการป้องกันโรค สถิติโรคหลอดเลอื ดสมองขอ้ มูล 3 ปยี ้อนหลงั เขตสุขภาพที่ 1 จังหวัดลาปาง ปี 2561 พบวา่ จานวน การป่วยด้วยโรคหลอดเลือดสมอง กลุม่ อายนุ อ้ ยกว่า 15 ปี มีจานวน 21 คน, กลุม่ อายุ 15-39 ปจี านวน 268 คน, กลุ่มอายุ 40-49 ปี มีจานวน 490 คน กล่มุ อายุ 50-59 ปี มีจานวน 1,536 คน ในปี 2562 กลมุ่ อายนุ ้อย กว่า 15 ปี มจี านวน 19 คน กลมุ่ อายุ 15-39 ปี มีจานวน 254 คน กลมุ่ อายุ 40-49 ปี มีจานวน 463 คน กลุม่ อายุ 50-59 ปี มีจานวน 1,453 คน และกลุ่มอายุ 60 ปขี น้ึ ไป มจี านวน 5,858 คน รวมทั้งหมด 8,047 คน, ใน ปี 2563 กลุม่ อายุน้อยกวา่ 15 ปี จานวน 21 คน กลมุ่ อายุ 15-39 ปี, จานวน 261 คน กลมุ่ อายุ 40-49 ปี จานวน 498 คน กลุม่ อายุ 50-59 ปี จานวน 1,476 คน แมแ้ นวโน้มการปว่ ยเปน็ โรคหลอดเลือดสมองลดลง แตใ่ นปี 2563 กลบั มอี ัตราการปว่ ยเปน็ โรคหลอดเลือดสมองเพ่ิมข้ึนจากปี2562 และอาเภอเกาะคาเป็นอกี หนึ่ง อาเภอที่พบว่า เป็นกลุม่ ทปี่ ่วยส่วนใหญ่มีโรคประจาตัว ไดแ้ ก่ โรคเบาหวาน ความดนั โลหิตสูง และผปู้ ว่ ยโรค วารสารวิชาการสุขภาพภาคเหนือ ปที ่ี 8 ฉบับท่ี 2 เดือน มกราคม – มถิ นุ ายน 2564 Journal of Health Sciences Scholarship January-June 2021, Vol.8 No.2

123 วารสารวิชาการสุขภาพภาคเหนือ (Journal of Health Sciences Scholarship) ผา่ นการรับรองคุณภาพของ TCI และอยูใ่ นฐานขอ้ มลู TCI กลุม่ ที่ 2 (จนถึง 31 ธนั วาคม 2567) หลอดเลือดสมองจานวน 45 ราย ซ่ึงมจี านวนผ้ปู ่วยโรคเบาหวานและความดนั โลหิตสงู ในเขตรับผิดชอบของ โรงพยาบาลสง่ เสรมิ สุขภาพตาบลบ้านศาลาดงลาน ทงั้ 4 หมู่บา้ น ดงั นี้ หมูท่ ่ี 1 จานวน 56 คน เป็นเพศชาย 22 คน เพศหญิง 34 คน หมู่ท่ี 6 จานวน 29 คนเปน็ เพศชาย 15 คน เพศหญงิ 14 คน หมู่ท่ี 8 จานวน 37 คน เป็นเพศชาย 20 คน เพศหญงิ 14 คน หมู่ท่ี 9 จานวน 23 คน เปน็ เพศชาย 8 คน เพศหญงิ 15 คน ซ่ึงทัง้ หมด มีความเส่ยี งตอ่ การเกดิ โรคหลอดเลอื ดสมอง (Lampang Provincial Health Office, 2021) ดง้ั นั้นผู้วจิ ยั จงึ ได้เห็นความสาคญั ของความรแู้ ละพฤติกรรมในการป้องกนั ตนเองจากโรคหลอดเลือด สมอง ในประชาชนบา้ นศาลาดงลาน ตาบลศาลา อาเภอเกาะคา จังหวัดลาปาง จึงสนใจศึกษาปัจจัยที่สมั พันธ์ กบั ความรู้และพฤติกรรมในการปอ้ งกนั ตนเองจากโรคหลอดเลอื ดสมองของกล่มุ เส่ียง ตาบลศาลา อาเภอเกาะ คา จังหวดั ลาปาง เพอื่ นาขอ้ มูลที่ได้จากการศึกษาวิจัยดา้ นมาส่งเสริมสุขภาพกลุ่มที่เสี่ยงต่อโรคหลอดเลือด สมองเพือ่ ลดภาระการดูแลและลดการเกิดภาวะทุพลภาพในอนาคต วตั ถปุ ระสงค์ 1. เพื่อศกึ ษาความเช่ือดา้ นสขุ ภาพ ความรแู้ ละพฤตกิ รรมในการป้องกนั ตนเองจากโรคหลอดเลอื ดสมอง 2. เพอื่ หาความสัมพนั ธข์ องขอ้ มลู ส่วนบคุ คล ความเช่อื สุขภาพ กบั ความรู้ในการปอ้ งกันตนเองจากโรค หลอดเลือดสมองสมอง 3. เพื่อหาความสัมพนั ธ์ความร้ใู นป้องกันตนเองจากโรคหลอดเลอื ดสมอง กับ พฤตกิ รรมในการปอ้ งกัน ตนเองจากโรคหลอดเลอื ดสมองสมอง ขอบเขตการวจิ ัย ประชากรท่ศี ึกษา ประชาชนทมี่ อี ายุ 30-59 ปที ี่อาศยั อยู่ในชุมชน ตาบลศาลา อาเภอเกาะคา จังหวัด ลาปาง จานวน 690 คน ขอบเขตดา้ นเนอ้ื หา เนื้อหาท่ีใชใ้ นการศึกษาในครั้งนี้ ตวั แปรตน้ ประกอบด้วย ข้อมลู สว่ นบคุ คล (อายุ,เพศ, ดชั นีมวลกาย ระดบั การศึกษา, อาชีพ, รายได้ ,โรคประจาตวั , ประวตั กิ ารเจ็บป่วยคนในครอบครวั ) ปัจจยั ความเชอ่ื สุขภาพ (การรบั รู้โอกาสเสี่ยงต่อการเกิดโรค,การรบั รคู้ วามรุนแรงของโรค,การรบั รูป้ ระโยชนใ์ นการป้องกนั โรค และการ รับรู้ตอ่ อุปสรรคในการปอ้ งกนั และรักษาโรค) ตัวแปรตาม ประกอบดว้ ย ความรู้และพฤตกิ รรมในการป้องกัน ตนเองจากโรคหลอดเลอื ดสมอง ขอบเขตดา้ นเวลา เริม่ ดาเนินการวิจยั ต้งั แตเ่ ดอื น กมุ ภาพันธ์ พ.ศ. 2564 วารสารวชิ าการสขุ ภาพภาคเหนอื ปที ี่ 8 ฉบับที่ 2 เดือน มกราคม – มถิ นุ ายน 2564 Journal of Health Sciences Scholarship January-June 2021, Vol.8 No.2

124 วารสารวชิ าการสขุ ภาพภาคเหนอื (Journal of Health Sciences Scholarship) ผ่านการรับรองคณุ ภาพของ TCI และอยู่ในฐานข้อมูล TCI กลมุ่ ท่ี 2 (จนถงึ 31 ธนั วาคม 2567) นิยามศพั ท์เฉพาะ ความเชอ่ื ดา้ นสุขภาพ หมายถงึ การรับรู้โอกาสเสีย่ งตอ่ การเกิดโรค,การรับรู้ความรนุ แรงของโรค,การ รับรูป้ ระโยชน์ในการปอ้ งกันโรค และการรับร้ตู ่ออปุ สรรคในการป้องกันและรักษาโรคหลอดเลือดสมอง ความรู้ในการปอ้ งกันตนเองจากโรคหลอดเลือดสมอง หมายถงึ การท่บี ุคคลแสวงหาวิธีการปฏิบัติ เพ่ือปอ้ งกันไม่ใหเ้ กดิ โรคหลอดเลือดสมอง โดยการปฏบิ ตั ิน้นั ตอ้ งเปน็ การกระทาท่ีดมี ปี ระโยชน์และเหมาะสมที่ จะทาใหไ้ มเ่ ปน็ โรคน้ัน พฤติกรรมในการป้องกันตนเองจากโรคหลอดเลอื ดสมอง หมายถงึ การปฏบิ ตั ิ การแสดงออกเพื่อ การปอ้ งกนั ตนเองที่จะเกดิ อนั ตรายตอ่ โรคหลอดเลอื ดสมอง กรอบแนวคิดการในวิจัย กรอบแนวคดิ ในการศึกษาคร้งั นี้ ผู้วิจัยประยุกตแ์ นวคิดจากแบบแผนควา มเชื่อด้า นสุขภา พ ข อ ง เบคเกอร์ (Becker,1974) ซึ่งเชอ่ื ว่าความเชื่อดา้ นสขุ ภาพสมั พนั ธก์ บั ความรูแ้ ละพฤติกรรมในการปอ้ งกันตนเอง จากโรคหลอดเลือดสมอง ปัจจยั ต่างๆประกอบดว้ ย ปจั จัยสว่ นบุคคล (demographic variable) (อายุ,เพศ, ดัชนมี วลกาย ระดบั การศกึ ษา, อาชพี , รายได้ ,โรคประจาตัว, ประวตั กิ ารเจบ็ ปว่ ยคนในครอบครัว) ปจั จัยความ เชอื่ ดา้ นสุขภาพได้แก่ ปจั จยั การรับรู้โอกาสเสยี่ งตอ่ การเกิดโรค, ปจั จยั การรับรู้ความรุนแรงของโรค ปัจจัยการ รบั ร้ปู ระโยชนใ์ นการป้องกันโรค และปัจจยั การรบั รู้ต่ออปุ สรรคในการปอ้ งการโรค จะสมั พันธก์ บั ความรู้ใน ป้องกันตนเองจากโรคหลอดเลือดสมอง และมีอิทธพิ ลตอ่ พฤตกิ รรมในป้องกันตนเองจากโรคหลอดเลือดสมอง ดงั แผนภาพท่ี 1 ตวั แปรตน้ ตวั แปรตาม ขอ้ มูลส่วนบคุ คล ความรใู้ นปอ้ งกนั ตนเองจาก อายุ โรคหลอดเลอื ดสมอง เพศ ดัชนมี วลกาย พฤติกรรมในป้องกันตนเองจากโรค ระดับการศกึ ษา หลอดเลือดสมอง อาชพี รายได้เฉลี่ย ภาพที่ 1 กรอบแนวคดิ การในวจิ ยั โรคประจาตวั ประวัตกิ ารเจ็บปว่ ยในครอบครัว ปัจจยั ด้านความเช่อื สขุ ภาพ - การรบั รโู้ อกาสเสี่ยงต่อการเกดิ โรค - การรบั รคู้ วามรนุ แรงของโรค - การรับรปู้ ระโยชน์ในการปอ้ งกันโรค - การรบั รู้ตอ่ อุปสรรคในการปอ้ งการโรค วารสารวชิ าการสุขภาพภาคเหนือ ปีท่ี 8 ฉบับที่ 2 เดือน มกราคม – มถิ ุนายน 2564 Journal of Health Sciences Scholarship January-June 2021, Vol.8 No.2

125 วารสารวิชาการสุขภาพภาคเหนือ (Journal of Health Sciences Scholarship) ผา่ นการรบั รองคุณภาพของ TCI และอยใู่ นฐานขอ้ มูล TCI กลมุ่ ที่ 2 (จนถึง 31 ธันวาคม 2567) วิธกี ารดาเนินวิจยั การวจิ ัยครง้ั นี้เป็นการศกึ ษาเชงิ สารวจแบบภาคตัดขวาง (cross-sectional survey study) ประชากร คือ ผู้มีอายุ 30 – 59 ปี เพศชายและหญิงที่อาศัยในชุมชน ตาบลศาลา อาเภอเกาะคา จังหวัดลาปาง จานวน 690 คน กลุม่ ตัวอย่าง ใชก้ ารสุ่มตัวอย่างแบบหลายขั้นตอน (multi stage random sampling) โดยขัน้ ท1่ี ใช้ การสุมแบบกลุ่ม (cluster random sampling) จากจานวน 2หมู่บ้าน ข้ันที่2 ใช้สุมอย่างง่าย(Simple random sampling) จากประชาชนใน2หมูบ่ ้าน จนไดค้ รบถว้ นตามจานวนที่คานวณได้ โดยมีเกณฑค์ ัดเข้า (Inclusion criteria) คอื ประชาชนที่สามารถสื่อสารภาษาไทยไดเ้ ป็นอยา่ งดี และยนิ ยอมเข้าร่วมการ วิจัย คานวณกลุ่มตัวอย่าง โดยใช้สูตรของเครซ่ีและมอร์แกน (Krejcie and Morgan, 1970) ได้ขนาดกลมุ่ ตัวอย่างจานวน 248 คน ตามสตู รคานวณดงั นี้ n = 2Np ( 1 –p ) e 2 (N-1)+ 2p (1- p) เม่ือ n = ขนาดตัวอยา่ ง N = ขนาดของประชากร (N =690) e = ระดบั ความคลาดเคลือ่ นของการสุ่มตวั อย่างท่ียอมรับได้ (e =0.05) 2= ค่าไคสแควรท์ ่ี df เทา่ กับ 1 และระดับความเชอ่ื ม่ัน 95% (2=3.841) p = สัดส่วนของลักษณะท่ีสนใจในประชากร (p =0.5) เครื่องมือที่ใชใ้ นการวิจยั เป็นแบบสอบถาม ความเช่ือดา้ นสุขภาพท่สี ัมพันธก์ ับความรู้และพฤตกิ รรมในการป้องกนั ตนเองจาก โรคหลอดเลือดสมอง ประกอบดว้ ย 4 ส่วน คอื สว่ นท่ี 1 ข้อมูลสว่ นบคุ คล (10 ขอ้ ) ส่วนท่ี 2 ความเชือ่ ด้าน สุขภาพ สอบถามความเชื่อดา้ นสุขภาพ รบั ร้/ู ไม่รบั รู้ (12 ขอ้ ), ส่วนท่ี 3 พฤติกรรมในการป้องกันตนเองจาก โรคหลอดเลอื ดสมอง เป็นแบบมาตราส่วนประมาณค่า (rating scale) 3 ระดับ ปฏบิ ตั เิ ป็นประจา(คะแนน3 ), ปฏิบัตเิ ป็นบางคร้ัง(คะแนน2)ง,ไม่ปฏบิ ัติเลย (คะแนน1) จานวน15 ข้อ โดยมีเกณฑแ์ บง่ คะแนนออกเป็น 3 ระดบั คอื พฤตกิ รรมการปอ้ งกันตนเองระดับสูง,พฤติกรรมการปอ้ งกันตนเองระดับปานกลาง,พฤติกรร มการ ป้องกนั ตนเองระดับต่า (Best, John W., 1981), สว่ นท่ี4 ความรู้ในการปอ้ งกันตนเองจากโรคหลอดเลือด สมอง มี 2 ตวั เลือกตอบ ใช่ กบั ไม่ใช่ (15 ข้อ) โดยมเี กณฑแ์ บ่งคะแนนออกเปน็ 3 ระดับ คือ ความรูร้ ะดบั สูง, ความรรู้ ะดับปานกลาง, ความรูร้ ะดบั ต่า (Best, John W., 1981) วารสารวชิ าการสขุ ภาพภาคเหนอื ปที ี่ 8 ฉบบั ท่ี 2 เดือน มกราคม – มถิ นุ ายน 2564 Journal of Health Sciences Scholarship January-June 2021, Vol.8 No.2

126 วารสารวิชาการสุขภาพภาคเหนอื (Journal of Health Sciences Scholarship) ผ่านการรับรองคณุ ภาพของ TCI และอยใู่ นฐานข้อมลู TCI กลุ่มท่ี 2 (จนถงึ 31 ธนั วาคม 2567) การตรวจสอบคุณภาพเครอ่ื งมือ เคร่ืองมือการวจิ ยั เมื่อสร้างเสร็จแล้วไดน้ าไปให้ ผู้เช่ียวชาญตรวจสอบคุณภาพเครื่องมือในดา้ นความ ตรงตามเนือ้ หา ความถูกตอ้ ง ความครบถ้วนตามหลกั วิชาการ ได้คา่ ดัชนคี วามสอดคล้องระหว่างข้อคาถา มกับ วัตถุประสงค์ IOC (Item-Objective Congruence) เท่ากับ 0.84 แล้วจึงนาไปทดลองใช้ (try out) กับ ประชาชนท่ีมลี กั ษณะคล้ายคลึงกับกลมุ่ ตัวอย่างในการวจิ ัยน้ี จานวน 30 คน จงึ ตรวจสอบความเช่ือม่ันของ เครื่องมือวจิ ัย (reliability) ดว้ ย Cronbach’s alpha coefficient พบว่าส่วนท่ี 2 ความเชื่อด้านสุขภา พโรค หลอดเลือดสมอง ไดค้ ่าความเช่อื ม่นั 0.78 สว่ นท่ี 3 พฤตกิ รรมในการป้องกันตนเองจากโรคหลอดเลอื ดสมอง ได้ค่าความเช่อื ม่ัน 0.81 และสว่ นที่ 4 ความรใู้ นการปอ้ งกนั ตนเองจากโรคหลอดเลอื ดสมอง นาข้อมูลท่ไี ดม้ าค่า ความเช่อื ม่นั แบบ KR-21 และได้ค่าความเชอ่ื มั่นเท่ากบั 0.71 (Kuder,Richardson,1937) การวิเคราะห์ข้อมูล 1. ขอ้ มลู ท่ัวไปใช้สถติ พิ รรณนาไดแ้ ก่ ความถี่ (frequency) ร้อยละ (percentage) ค่าเฉล่ีย mean และ ส่วนเบีย่ งเบนมาตรฐาน (standard deviation: S.D.) 2. การวเิ คราะหค์ วามสัมพนั ธ์ของข้อมูลสว่ นบุคคล และปจั จัยความเชือ่ สขุ ภาพ ที่มีความสมั พนั ธต์ อ่ ความร้แู ละพฤตกิ รรมในการปอ้ งกนั ตนเองจากโรคหลอดเลือดสมอง และความสมั พันธ์ระหว่าง ความร้โู รค หลอดเลือดสมองสมอง กับพฤตกิ รรมในการป้องกนั ตนเอง ใช้สถิติ chi-square test. การพทิ ักษ์สิทธิก์ ลมุ่ ตัวอย่างและจรยิ ธรรม ผูว้ จิ ยั ดาเนินการเกบ็ ข้อมูลหลังไดร้ ับเอกสารรบั รองโครงการวจิ ัยจากคณะกรรมการจริยธรรมการวิจัย เกย่ี วกบั มนุษย์ วทิ ยาลยั พยาบาลราชชนนี นครลาปาง เลขทโ่ี ครงการ 017/2564 ผวู้ ิจัยทาการพิทักษส์ ิทธ์กิ ลุ่ม ตวั อย่างตลอดการวิจยั โดยชีแ้ จงสิทธใิ นการเขา้ ร่วมหรือปฏิเสธการเขา้ ร่วมโครงการวจิ ัยคร้งั น้ี การปกปิ ด ความลบั ของกลุม่ ตัวอย่าง การเผยแพรข่ อ้ มูลการนาเสนอในภาพรวม และให้สทิ ธกิ ลุ่มตัวอย่างในการถอน ตัว จากการวิจัยได้ในทกุ ช่วงเวลาของการวิจัย และใหก้ ลมุ่ ตวั อย่างลงนามในเอกสารแสดงความยนิ ยอมการ เข้า ร่วมการวิจัยทกุ คน ผลการวิจยั ผลการศึกษาความเชื่อดา้ นสุขภาพที่สัมพนั ธก์ ับความรู้และพฤติกรรมในการป้องกนั ตนเองจา กโรค หลอดเลอื ดสมอง รายละเอยี ดดงั นี้ ขอ้ มลู ทั่วไป กลุ่มตัวอย่างพบว่า ส่วนใหญม่ ีอายุอยรู่ ะหว่าง 50-59 ปี 37.1% (จานวน 92 คน) รองลงมาอายุ ระหวา่ ง 30 – 39 ปี 34.7% (จานวน 86 คน) และ อายุระหวา่ ง 40 – 49 ปี 28.2% (จานวน 70 คน) เป็นเพศ ชายและเพศหญิงเท่ากัน (ชายจานวน 124 คน และหญงิ จานวน 124 คน) มีค่าดัชนมี วลกายส่วนใหญ่อยู่ใน ระดับปกติ 62.6% (จานวน 155 คน) รองลงมาน้าหนักเกนิ (>25.0 kg/m2) 31.8 % (จานวน 79 คน) และ วารสารวชิ าการสุขภาพภาคเหนอื ปีท่ี 8 ฉบบั ที่ 2 เดือน มกราคม – มถิ นุ ายน 2564 Journal of Health Sciences Scholarship January-June 2021, Vol.8 No.2

127 วารสารวชิ าการสุขภาพภาคเหนือ (Journal of Health Sciences Scholarship) ผา่ นการรับรองคณุ ภาพของ TCI และอย่ใู นฐานขอ้ มลู TCI กลมุ่ ที่ 2 (จนถงึ 31 ธันวาคม 2567) นา้ หนกั ตา่ กวา่ เกณฑ์ (<18.5 kg/m2) (จานวน 14 คน) การศกึ ษาส่วนใหญ่ ต่ากวา่ ปรญิ ญาตรี 72.6 (จานวน 180 คน) และส่วนใหญ่ยังคงประกอบอาชีพ 69.4% (จานวน 172 คน) ส่วนใหญ่รายไดเ้ ฉล่ยี นอ้ ยกว่า 10,000 บาท 60.88% (จานวน 151 คน) มโี รคประจาตวั และไมม่ ีโรคประจาตวั กลุ่มละเทา่ ๆ กนั 50 % และมีประวัติ การเจ็บปว่ ยของคนในครอบครัว 57.26 % (จานวน 142 คน) ความเชอ่ื ด้านสขุ ภาพ ความรู้ และพฤติกรรมในการปอ้ งกนั ตนเองจากโรคหลอดเลอื ดสมองความ เชื่อด้านสขุ ภาพ ผลการศึกษาความเชื่อด้านสุขภาพ พบว่า สว่ นใหญ่มีการรับรู้ความเช่ือด้านสุขภาพในการป้องกัน ตนเองจากโรคหลอดเลือดสมองภาพรวม จานวน 218 คน คดิ เปน็ รอ้ ยละ 87.90 เมอ่ื พิจารณาเปน็ รายด้าน พบว่า การรับรู้ความรนุ แรงของโรคมีการรบั รสู้ งู สุด(ร้อยละ 95.16) และด้านการรบั รู้โอกาสการเกดิ โรค มีการ รบั รู้น้อยท่ีสุด (ร้อยละ 82.26) ดงั ตารางที่ 1 ตารางท่ี 1 ความเช่ือด้านสุขภาพ ในการป้องกนั ตนเองจากโรคหลอดเลอื ดสมอง (n=248) ความเชือ่ ด้านสุขภาพ รับรู้ ไม่รับรู้ ในการปอ้ งกันตนเองจากโรคหลอดเลือดสมอง จานวน ร้อยละ จานวน ร้อยละ 1.ดา้ นการรับรโู้ อกาสเส่ยี งต่อการเกิดโรค 204 82.26 44 17.74 12 4.84 2.ดา้ นการรบั รคู้ วามรนุ แรงของโรค 236 95.16 35 14.12 30 12.10 3.ดา้ นการรบั รู้ประโยชน์ในการปอ้ งกันโรค 213 85.88 30 12.10 4.ดา้ นการรับรตู้ อ่ อุปสรรคในการปอ้ งกนั และรักษาโรค 218 87.90 ภาพรวม 218 87.90 พฤติกรรมในการปอ้ งกันตนเองจากโรคหลอดเลือดสมอง พฤตกิ รรมในการป้องกนั ตนเองจากโรคหลอดเลือดสมอง พบว่า ภาพรวมพฤติกรรมในการป้องกัน ตนเองอยู่ในระดบั ปานกลาง (Mean=2.0 ,S.D=0.66)เมอื่ พจิ าณารายด้าน พบว่า พฤตกิ รรม ด้านการคลาย เครยี ดอยู่ในระดบั สงู (Mean=2.52,S.D=0.76), นอกนน้ั อยใู่ นระดับปานกลางได้แก่ดา้ นอาหารและเครื่องด่ืม (Mean=2.23,S.D=0.60), ดา้ นการออกกาลงั กาย (Mean=2.16,S.D=0.59), ดา้ นการดื่มเคร่ืองด่ืมแอลกอฮอล์ (Mean=1.58,S.D=0.76), ด้านการสูบบุหร่ี (Mean= 1 .5 4 ,S.D= 0 .6 8 ) และด้า น กา ร ป้องกัน โ ร ค (Mean=1.97,S.D=0.57) ดังตารางที่ 2 วารสารวิชาการสขุ ภาพภาคเหนือ ปที ี่ 8 ฉบบั ที่ 2 เดอื น มกราคม – มถิ ุนายน 2564 Journal of Health Sciences Scholarship January-June 2021, Vol.8 No.2

128 วารสารวิชาการสุขภาพภาคเหนือ (Journal of Health Sciences Scholarship) ผา่ นการรับรองคุณภาพของ TCI และอยู่ในฐานขอ้ มลู TCI กลุ่มที่ 2 (จนถึง 31 ธันวาคม 2567) ตารางที่ 2 พฤตกิ รรมในการปอ้ งกนั ตนเองจากโรคหลอดเลอื ดสมอง (n=248) พฤติกรรมในการป้องกนั ตนเองจากโรคหลอดเลอื ดสมอง ระดับการปฏิบัติปอ้ งกันตนเอง 1.ด้านอาหารและเครื่องดม่ื Mean S.D. การแปลผล 2.ดา้ นการออกกาลงั กาย 2.23 0.60 ปานกลาง 3.ดา้ นการคลายเครียด 2.16 0.59 ปานกลาง 4.ด้านการดื่มเครื่องดม่ื แอลกอฮอล์ 2.52 0.76 สูง 5.ด้านการสบู บุหร่ี 1.58 0.76 ปานกลาง 6.ดา้ นการป้องกนั โรค 1.54 0.68 ปานกลาง 1.97 0.57 ปานกลาง ภาพรวม 2.00 0.66 ปานกลาง ความรูใ้ นการป้องกันตนเองจากโรคหลอดเลือดสมอง มีคา่ คะแนนของระดับความรู้ในการป้องกัน ตนเองจากโรคหลอดเลือดสมอง พบว่า คะแนนเฉลย่ี รวมของระดบั ความรู้ในการป้องกันตนเองจากโรคหลอด เลือดสมอง กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่มี ควา มรู้ใน การป้องกัน ตน เองจากโรคหลอดเลือดสมองร ะ ดับสูง (Mean=9.78, S.D=4.98) โดยส่วนใหญร่ ะดบั คะแนนความรู้อยู่ในระดับสูง จานวน 130 คน คิดเป็นรอ้ ยละ 52.4 ดัง ตารางที่ 3 ตารางที่ 3 ระดับความรู้ ในการปอ้ งกันตนเองจากโรคหลอดเลือดสมอง (n=248) ระดับคะแนนความรู้ จานวน ร้อยละ Mean S.D. ระดบั คะแนนความรู้สูง (คะแนน11-15) 130 52.40 9.78 4.98 ระดบั คะแนนความรู้ปานกลาง(คะแนน6-10) 64 25.80 ระดับคะแนนความรู้ตา่ (คะแนน0-15) 54 21.80 ความสมั พันธ์ระหวา่ งปัจจยั สว่ นบคุ คล กบั ความร้ใู นการปอ้ งกนั การจากเกิดโรคหลอดเลือดสมอง ความสมั พนั ธ์ระหวา่ งปัจจัยส่วนบุคคลกับความรใู้ นการป้องกันตนเองจากโรคหลอดเลือดสมองของ กลมุ่ ตวั อยา่ ง พบว่า มคี วามสมั พันธ์กับปจั จยั อายุ (p-value=0.004, =15.420), รายได้เฉลยี่ (p-value= 0.030, 2=7.037), การมโี รคประจาตวั (p-value=0.004,2=10.998), และประวตั ิการเจ็บป่วยในครอบครัว(p-value=0.002, 2=36.558) ส่วนปัจจัย เพศ, ดชั นีมวลกาย, การศกึ ษาและอาชพี ไมม่ ีความสัมพันธ์กับความรู้ในการเกิดโรค หลอดเลอื ดสมอง ดงั ตารางท่ี 4 วารสารวิชาการสุขภาพภาคเหนือ ปีที่ 8 ฉบบั ท่ี 2 เดือน มกราคม – มถิ ุนายน 2564 Journal of Health Sciences Scholarship January-June 2021, Vol.8 No.2

129 วารสารวิชาการสขุ ภาพภาคเหนือ (Journal of Health Sciences Scholarship) ผา่ นการรับรองคณุ ภาพของ TCI และอย่ใู นฐานขอ้ มลู TCI กลุ่มที่ 2 (จนถงึ 31 ธนั วาคม 2567) ตารางที่ 4 ปจั จัยส่วนบคุ คลท่ีสมั พันธก์ บั ความรใู้ นการป้องกันตนเองจากโรคหลอดเลือดสมอง (n=248) ระดบั ความรใู้ นการปอ้ งกนั ตนเองจากโรค ปัจจยั ส่วนบุคคล หลอดเลอื ดสมอง 2 p-value 15.420 0.004* ต่า n(%) กลาง n(%) สงู n(%) 3.022 0.221 3.788 0.435 1.อายุ 2.393 0.955 0.302 30 – 39 ปี 14(16.3%) 32(37.2%) 40(46.5%) 7.037 0.620 10.998 0.030* 40 – 49 ปี 23(32.9%) 9(12.9%) 38(54.3%) 36.558 0.004* 0.002* 50 – 59 ปี 17(18.5%) 23(25%) 52(56.5%) 2.เพศ ชาย 17(25.8%) 33(26.6%) 59(47.6%) หญงิ 22(18.5%) 25(25%) 71(56.5%) ต่าn(%) กลางn(%) สูงn(%) 3.คา่ ดัชนมี วลกาย) ผอม(<18.5 kg/m2) 3(21.40%) 3(21.40%) 8(57.1%) ปกติ(18.51 - 24.99 kg/m2) 33(21.30%) 35(22.60%) 87(56.1%) น้าหนกั เกิน(>25.0 kg/m2) 18(22.80%) 26(32.90%) 35(44.3%) 4.ระดับการศกึ ษา ปรญิ ญาตร/ี หรอื เทยี บเท่า 15(22.10%) 22(32.40%) 31(45.60%) ตา่ กวา่ ปริญญาตรี 39(21.70%) 42(23.30%) 99(55.00%) 5.อาชีพ วา่ งงาน 17(18.40%) 19(25.00%) 43(46.6%) ประกอบอาชพี 40(23.30%) 45(26.20%) 87(50.60%) 6.รายได้เฉลย่ี นอ้ ยกว่า 10,000 บาท 34(22.50%) 47(31.10%) 70(46.40%) มากกว่าหรอื เทา่ กบั 10,000 บาท 20(20.60%) 17(17.50%) 60(61.90%) 7.โรคประจาตวั มีโรคประจาตวั 21(16.90%) 43(34.70%) 60(48.40%) ไม่มีโรคประจาตวั 33(26.60%) 21(16.90%) 70(56.50%) 8.ประวตั ิการเจ็บปว่ ยของคนใน ครอบครัว มปี ระวตั ิการเจบ็ ป่วย 24(16.90%) 48(33.80%) 70(49.30%) ไม่มีประวัติการเจ็บปว่ ย 30(28.30%) 16(15.10%) 60(56.60%) * p-value <.05 วารสารวชิ าการสขุ ภาพภาคเหนอื ปีท่ี 8 ฉบบั ที่ 2 เดือน มกราคม – มถิ นุ ายน 2564 Journal of Health Sciences Scholarship January-June 2021, Vol.8 No.2

130 วารสารวิชาการสขุ ภาพภาคเหนือ (Journal of Health Sciences Scholarship) ผ่านการรบั รองคณุ ภาพของ TCI และอยใู่ นฐานขอ้ มลู TCI กล่มุ ที่ 2 (จนถึง 31 ธนั วาคม 2567) ความสัมพันธ์ระหว่างปจั จยั ความเช่อื สขุ ภาพ กับระดบั ความรใู้ นการเกดิ โรคหลอดเลือดสมอง ปัจจัยความเชื่อสขุ ภาพท่ีมีความสัมพนั ธก์ ับระดับความรใู้ นการเกดิ โรคหลอดเลือดสมอง อย่างมีนยั สาคญั ทาง สถิติ ไดแ้ ก่ รวมความเชื่อสุขภาพ (p-value=0.022, 2= 7.677), ดา้ นการรบั รูค้ วามรุนแรงของโรคหลอดเลือดสมอง (p-value=0.007, 2= 9.827), ดา้ นการรับรู้ประโยชน์ในการป้องกันโรค (p-value=0.000), 2= 17.630), ดา้ นการ รับรูต้ อ่ อปุ สรรคในการป้องกันและรักษาโรคหลอดเลอื ดสมอง (P-value=0.042, 2= 6.344) สว่ นทไี่ ม่มคี วามสัมพันธ์ ได้แก่ ด้านการรบั รู้โอกาสการเกิดโรคหลอดเลือด (p-value=0.105, 2= 4.504) ดังตารางท่ี 5 ตารางที่ 5 ความสมั พันธ์ระหว่างปัจจยั ความเช่ือด้านสุขภาพกับความรู้ในการป้องกันตนเองจากโรคหลอด เลอื ดสมอง (n=248) ปจั จัยความเชอ่ื ดา้ นสขุ ภาพ ระดบั ความรู้ในการป้องกนั ตนเองจากโรค 2 Sig 1. การรบั รู้โอกาสการเกดิ โรค หลอดเลือดสมอง รบั รู้ ไม่รบั รู้ ตา่ กลาง สูง 2. การรบั รคู้ วามรนุ แรงของโรค 43(21.10%) 48(23.50%) 113(55.40%) 4.504 0.105 รับรู้ 11(25.00%) 16(36.40%) 17(38.60%) ไม่รับรู้ 9.827 0.007* 3. การรบั รปู้ ระโยชน์ในการปอ้ งกนั โรค 49(20.80%) 58(24.46%) 129(54.70%) รับรู้ 5(41.70%) 6(50.00%) 1(8.30%) ไมร่ บั รู้ 0.000** 4. การรบั รู้ต่ออปุ สรรคในการปอ้ งกัน 48(22.50%) 45(21.10%) 120(56.30%) 17.630 และรกั ษาโรคหลอดเลอื ดสมอง 6(17.10%) 19(54.30%) 10(28.60%) รับรู้ 6.344 0.042* ไมร่ ับรู้ รวมความเช่อื ด้านสขุ ภาพ 44(20.20%) 53(24.30%) 121(55.50%) รบั รู้ 11(36.70%) 10(33.30%) 9(30%) ไมร่ บั รู้ 7.677 0.022* * * p-value <.050, ** p-value <.000 46(21.10%) 51(23.40%) 121(55.00%) 8(26.60%) 13(43.40%) 9(30.00%) วารสารวชิ าการสขุ ภาพภาคเหนอื ปีที่ 8 ฉบับท่ี 2 เดือน มกราคม – มถิ ุนายน 2564 Journal of Health Sciences Scholarship January-June 2021, Vol.8 No.2

131 วารสารวิชาการสุขภาพภาคเหนอื (Journal of Health Sciences Scholarship) ผา่ นการรับรองคุณภาพของ TCI และอยู่ในฐานข้อมลู TCI กล่มุ ท่ี 2 (จนถงึ 31 ธันวาคม 2567) ความสัมพนั ธร์ ะหวา่ งพฤตกิ รรมกับความรู้ในการป้องกนั ตนเองจากโรคหลอดเลือดสมอง ความสัมพันธร์ ะหว่างพฤติกรรมกับความรูใ้ นการปอ้ งกนั ตนเองจากโรคหลอดเลือดสมอง อยา่ งมี นัยสาคัญทางสถิติ ได้แก่ ด้านอาหารและเครื่องด่มื (p-value=0.030), 2= 10.722), ,ดา้ นการดม่ื เครื่องดื่ม แอลกอฮอล์ (p-value=0.021), , 2= 11.510), สว่ นพฤติกรรมด้านการออกกาลังกาย,ด้านการคลายเครียด, ด้านการสูบบุหร่ี และด้านการปอ้ งกนั โรค พบวา่ ไมม่ คี วามสมั พนั ธก์ บั ความรูใ้ นการป้องกนั ตนเอง ดังตารางท่ี 6 ตารางที่ 6 ความสมั พนั ธ์ระหว่างความรู้การป้องกนั โรคหลอดเลือดสมองกับพฤตกิ รรมในการปอ้ งกันตนเอง ระดับความรู้ในการปอ้ งกนั ตนเอง พฤตกิ รรมการปอ้ งกนั ตนเอง 2 p-value ต่า ปานกลาง สูง 0.030* 1.พฤติกรรมด้านอาหารและเครื่องดม่ื 23(46.20%) 24(44.40%) 10.722 0.919 ตา่ 7(13.00%) 44(68.80%) 18(28.10%) 0.122 กลาง 2(3.10%) 79(60.80%) 37(28.50%) 0.021* สูง 14(10.80%) 3(21.60%) 10(62.50%) .936 0.495 8(18.20%) 20(54.10%) 0.576 2. พฤติกรรมด้านการออกกาลงั กาย 10(26.30%) 23(52.30%) ต่า 3(24.30%) 1(33.30%) 1(33.30%) 7.273 0.103 กลาง 13(29.50%) 5(20.00%) 10(40.00%) สูง 12(31.60%) 19(22.10%) 53(61.60%) 45(31.3%) 74(51.40%) 11.510 3. พฤติกรรมด้านการคลายเครียด 15(29.40%) 29(56.90%) ตา่ 1(33.30%) 4(9.50%) 24(57.10%) กลาง 10(40.00%) 29(32.20%) 44(48.90%) 3.388 สงู 14(16.30%) 15(20.50%) 42(57.50%) 6(21.40%) 15(53.60%) 4. ด้านการด่ืมเครือ่ งด่ืมแอลกอฮอล์ 4(30.80%) 5(38.50%) 2.891 ต่า 25(17.40%) กลาง 7(13.70%) สงู 14(33.30%) 5. พฤติกรรมดา้ นการสบู บุหรี่ ต่า 17(18.9%) กลาง 16(21.9%) สงู 7(25.00%) 6. พฤตกิ รรมดา้ นการป้องกนั โรค ตา่ 4(30.80%) กลาง 12(18.20%) 14 (21.2%) 40(60.60%) สูง 15(25.90%) 11(19.00%) 32(55.20%) พฤติกรรม 1(1.90%) 40(74.10%) 13(24.10%) 7.714 ตา่ 1(1.60%) 59(92.20%) 4(6.30%) กลาง 2(1.59%) 103(79.2%) 25(19.20%) สงู * p-value <.050, ** p-value <.000 วารสารวชิ าการสุขภาพภาคเหนอื ปที ่ี 8 ฉบบั ที่ 2 เดอื น มกราคม – มถิ นุ ายน 2564 Journal of Health Sciences Scholarship January-June 2021, Vol.8 No.2

132 วารสารวชิ าการสขุ ภาพภาคเหนอื (Journal of Health Sciences Scholarship) ผา่ นการรับรองคณุ ภาพของ TCI และอยูใ่ นฐานขอ้ มลู TCI กลุ่มท่ี 2 (จนถงึ 31 ธนั วาคม 2567) อภปิ รายผล ความสมั พันธร์ ะหวา่ งข้อมลู ส่วนบุคคล กับความร้ใู นการเกิดโรคหลอดเลือดสมอง ผลการวจิ ยั พบวา่ อายุ, รายไดเ้ ฉลีย่ ,การมีโรคประจาตัวและประวัตกิ ารเจ็บป่วยในครอบครัวมคี วามสัมพันธ์กบั ความรใู้ น การ ป้องกันตนเองจากโรคหลอดเลอื ดสมองอย่างมนี ยั สาคญั ทางสถิติ เนอ่ื งเป็นวัยกอ่ นสงู อายุที่มีความเสีย่ งต่อการ เกดิ โรคหลอดเลือดสมอง โดยเฉพาะโรคหลอดเลือดสมองชนิดเลอื ดออกในสมอง (hemorrhagic stroke) ชนดิ มเี ลอื ดออกในเนือ้ สมอง (intracerebral hemorrhage) พบประมาณร้อยละ 10 แต่มคี วามรนุ แรงค่อนข้างมาก และการพยากรณ์โรคแย่ (poor prognosis) พบมากในกลมุ่ อายุ 50 – 60 ปี ลักษณะพยาธสิ ภาพมีการแตก ของหลอดเลือดในสมอง ทาใหม้ ีเลอื ดออกในเนื้อสมองทาให้เน้อื สมองตายจากการขาดเลอื ด (Prapaananchai,2014) รวมทงั้ ประชาชนที่มรี ายไดเ้ ฉลี่ยมากกวา่ หรอื เท่ากับ 10,000 บาท เนือ่ งจากประชาชนที่มรี ายได้ต่อเดือนท่ี มากกว่าคนอ่ืนทาให้มีกาลังทรัพยท์ ี่จะใช้จา่ ย ทาให้การรับรู้ข่าวสารและเข้าถึงช่องทางส่ือสารต่างๆ เชน่ คอมพิวเตอร์ โทรทัศน์ และส่ือออนไลน์เกยี่ วกับการเกิดโรคหลอดเลือดสมองมากกวา่ ผู้ท่ีรายได้นอ้ ยกวา่ (Lahklum,2017) การมีโรคประจาตัว จงึ เปน็ ปัจจยั เส่ียงทน่ี าไปสู่การเกิดโรคหลอดเลือดสมอง ซ่ึงสอดคล้อง กบั การศึกษาวิจยั เร่ืองระดบั การรบั รู้อาการเตือนของโรคหลอดเลือดสมองในผู้ป่วยโรคความดนั โลหิตสูง ท่ี พบว่า ผู้ป่วยโรคความดัน โลหิตสูงรับรู้อาการ เตือน ของโร คหลอดหลอดสมองโดยร วมอยู่ร ะ ดับ ดี (Reunsungnern, 2017) ซึ่งผปู้ ่วยโรคความดนั โลหิตสูงนัน้ อาจเกิดความตระหนัก และรับรู้ว่า ตนเองน้ันมี ความเสยี่ งตอ่ การเกิดโรคหลอดเลอื ดสมองมากกวา่ คนปกตทิ ั่วไป และพบวา่ ผูท้ ี่มีโรคประจาตวั ส่วนมากจะมา พบแพทย์เพื่อรับการรักษาต่อเน่ือง ทาให้มีโอกาสได้รบั ความรู้เกยี่ วกบั การปฏิบตั ิตัว เพ่ือการควบคุมโรค ประจาตัวอยเู่ ป็นประจา ทาใหม้ ีความร้ใู นการป้องกันโรคประจาตัว เช่น โรคความดนั โลหติ สูง จึงเปน็ ปจั จยั ท่ี ทาให้ผปู้ ่วยมีความรูใ้ นการป้องกันตนเองจากการเกดิ โรคหลอดเลือดสมอง (Chuaybudda, 2015) ในส่วน ความรใู้ นการเกิดโรคหลอดเลอื ดสมอง สมั พันธ์กับประวตั กิ ารเจ็บป่วยในครอบครวั อาจเนื่องจาก ครอบครวั ที่ มีประวัตกิ ารเจบ็ ป่วยด้วยโรคเรื้อรัง อาทเิ ชน่ ความดนั โลหิตสงู , โรคเบาหวาน, โรคหลอดเลือดหวั ใจ จะไดร้ ับ ความรู้จากแพทยผ์ ้รู ักษาอย่างตอ่ เน่ืองอยา่ งต่อเน่ืองในเรือ่ งการดแู ลตนเอง การป้องกันตัวเอง ตลอดจนการ สง่ เสรมิ สขุ ภาพ สอดคล้องผลการวิจัย ท่ีผลการวิจยั พบว่า ความรู้ ทศั นคติ และพฤตกิ รรมเสี่ยงต่อการเกิดโรค หลอดเลอื ดสมอง ของผูป้ ่วยโรคความดันโลหติ สงู มีอายุระหวา่ ง 31-96 ปี มีรายไดต้ อ่ เดอื นน้อยกวา่ 5,000 บาท มปี ระวตั ิญาตสิ ายตรง เจบ็ ป่วยด้วยโรคความดนั โลหิตสูง, โรคเบาหวาน, โรคหลอดเลือดหัวใจ และโรค หลอดเลอื ดสมอง (Kompilo, 2016) ปัจจยั ดา้ นความเช่ือด้านสุขภาพ มคี วามสัมพันธ์อยา่ งมนี ัยสาคญั ทางสถิติกับความรู้ในการป้องกัน ตนเองจากโรคหลอดเลือดสมองทั้งภาพรวมและรายด้าน ประกอบด้วย การรบั รู้ความรนุ แรงของโรคหลอด เลือดสมอง, การรบั รู้ประโยชน์ในการป้องกนั โรค และการรบั รูต้ อ่ อปุ สรรคในการปอ้ งกันและรักษาโรคหลอด เลือดสมอง (Becker, 1974), (Lahkum S.,2017) ทง้ั น้อี าจมาจาก ประชาชนในพ้นื ทีม่ ีการรับรูแ้ ละมีควา มรู้ เรื่องโรคหลอดเลือดสมอง และมีตวั อยา่ งของคนในหมู่บา้ นเจ็บป่วยและมีอาการรุนแรง (Saikamthon, 2016) วารสารวิชาการสขุ ภาพภาคเหนือ ปีที่ 8 ฉบับที่ 2 เดือน มกราคม – มถิ นุ ายน 2564 Journal of Health Sciences Scholarship January-June 2021, Vol.8 No.2

133 วารสารวชิ าการสขุ ภาพภาคเหนอื (Journal of Health Sciences Scholarship) ผา่ นการรับรองคุณภาพของ TCI และอยใู่ นฐานข้อมูล TCI กลมุ่ ท่ี 2 (จนถึง 31 ธนั วาคม 2567) ทาให้เกดิ ความตระหนกั มีความเชื่อในการท่จี ะป้องกนั ตนเอง การรบั ร้โู อกาสเส่ียงของโรคหลอดเลือดสมอง รับรู้ความรุนแรง รับรู้โทษและประโยชนท์ ่ีได้รับจงึ คิดส่งเสรมิ สุขภาพของตนเองและคนในครอบครัวเพื่อ ป้องกันไม่ให้เป็นโรคดังกล่าว (Boonyanuch,2020) สอดคลอ้ งกับงานวจิ ยั ที่ทดลองกลุ่มได้รบั โปรแกรมความ เช่อื ด้านสขุ ภาพ มคี ่าเฉลยี่ คะแนนความรู้ พฤติกรรมการปอ้ งกนั โรคหลอดเลือดสมอง สงู กวา่ ก่อนทดลองและมี คา่ เฉลีย่ ระดับความดันโลหติ หลงั ทดลองต่ากว่าก่อนทดลองอยา่ งมีนยั สาคัญทางสถิติ (Hiraked, 2021) ความรู้ในการปอ้ งกนั ตนเองจากโรคหลอดเลือดสมอง มีความสมั พนั ธ์กับพฤตกิ รรมด้านอาหา รและ เคร่ืองด่ืมอย่างมีนัยสาคัญทางสถติ ิ อาจเนือ่ งมาจากการบริโภคอาหาร,ขนมกรุปกรอบและเครอ่ื งด่ืมบาง ประเภทมีส่วนผสมของเกลือโซเดียมมากและอาหารท่ีมีไขมันอิ่มตัวสูงทาให้มีคอเลสเตอรอล ซึ่งเป็น องคป์ ระกอบหลักในการเกิดโรคหลอดเลือดแข็งสะสมที่ผนังของหลอดเลอื ด ดงั นน้ั การบรโิ ภคอาหาร และ เครอ่ื งดม่ื ท่ไี ม่เหมาะสมกจ็ ะทาให้เส่ียงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดสมอง (Puttawong,2014) , ความรใู้ นการ ปอ้ งกันตนเองจากโรคหลอดเลือดสมอง มคี วามสมั พันธ์กับพฤติกรรมการด่ืมเคร่ืองด่ืมแอลกอฮอล์อย่างมี นยั สาคัญทางสถิติ อาจเน่ืองจากการดม่ื เคร่อื งดมื่ แอลกอฮอล์เปน็ วถิ ึชีวิติของชาวบา้ นทนี่ ิยมด่ืมเปน็ ประจาหลัง การทางานการเกษตรและการดื่มทาใหข้ าดสติ ขาดความรู้ ในการป้องกันตนเองจากโรคหลอดเลือดสมอง จงึ ทาให้เป็นปัจจัยเสยี่ งทกี่ ่อให้เกดิ โรคหลอดเลือดสมอง (Thammakawinwong,2020) นอกจากนนั้ พฤติกรรม ด้านอื่นๆ เช่น การออกกาลังกาย,ความเครียด,การสูบบุหรี่ และพฤติกรรมการป้องกันโรคอื่นๆ ไม่มี ความสมั พันธ์กับความรใู้ นการป้องกนั ตนเองจากโรคหลอดเลอื ดสมอง ข้อเสนอแนะการนาวิจยั ไปใช้ ผลการวิจัยปัจจยั ท่ีสัมพนั ธก์ ับความรู้และพฤติกรรมในการปอ้ งกันตนเองจากโรคหลอดเลือดสมอง ควร ส่งเสรมิ ความรู้เกี่ยวกบั พฤตกิ รรมการบริโภคอาหารและเครือ่ งด่ืมแอลกอฮอล์ ใหก้ ับประชาชนอายุตัง้ แต่ 39ปี ข้นึ ไป และประชาชนกลุ่มเส่ียงที่เปน็ โรคไม่ติดต่อเร้ือรังในทุกหมู่บ้าน ได้การรบั รู้ มคี วามรู้ และเกดิ ควา ม ตระหนักในการดูแลตนเอง สถานบรกิ ารสาธารณสขุ ในทกุ ระดับ โดยเฉพาะโรงพยาบาลส่งเสรมิ สุขภาพประจา ตาบลทใี่ กล้ชิดกบั ประชาชน ควรนาผลการวจิ ัยไปประยุกตใ์ ช้การสรา้ งเสริมสุขภาพของประชาชนให้มสี ุขภาพ ดยี ่งิ ขึน้ กติ ติกรรมประกาศ การวิจยั สาเร็จสมบรู ณเ์ พราะไดร้ ับความร่วมจากโรงพยาบาลส่งเสริมสขุ ภาพตาบลบ้านศาลาดงลาน สานักงานสาธารณสุขอาเภอเกาะคา จังหวัดลาปาง, สาขาวิชาสาธารณสุขชุมชน คณะวิทยาศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยราชภัฎลาปาง ตลอดจน พ.ญ.สทุ ธนิ์ ภา วงศส์ ่วย ทกี่ รณุ าใหค้ าปรกึ ษาแนะนา วารสารวชิ าการสขุ ภาพภาคเหนอื ปที ี่ 8 ฉบับที่ 2 เดือน มกราคม – มถิ นุ ายน 2564 Journal of Health Sciences Scholarship January-June 2021, Vol.8 No.2

134 วารสารวชิ าการสขุ ภาพภาคเหนอื (Journal of Health Sciences Scholarship) ผา่ นการรับรองคุณภาพของ TCI และอยูใ่ นฐานขอ้ มลู TCI กลุ่มที่ 2 (จนถึง 31 ธันวาคม 2567) เอกสารอา้ งอิง Becker, M. H. (1974). The Health Belief Model and sick role behavior. In M. H. Becker(Ed.), The health belief model and personal health behavior (pp. 82-92).Thorofare, NJ: Charles B.Slack. Behavioral Health Care Center Health Education Division (2013). Sweet and Salty Dietary Behavior Books Sweet Salty, 1 (1), 1-3. Best, John W. (1981). Research in Education, 4 th ed. New Jersey : Prentice – Hall Inc., p. 182. Boonyanuch, B. (2020). Perception of Stroke in Hypertensive Patients Makhamlom Sub-District, Suphan Buri Province. 13 (January - June 2020): 93. Chuaybudda, S. (2015). Study of factors affecting the risk of cardiovascular disease. Of people aged 35 years and over, Nong Bua Subdistrict, Ban Fang District, Khon Kaen Province. Journal of community health development, 3 (October - December 2015): 549. Department of Disease Control. (2016). Situation Report of NCDs, Diabetes and Hypertension. And associated risk factors. Nonthaburi: Division of NCDs. Department of Disease Control. Epidemiology Division, Department of Disease Control, Ministry of Public Health ( 2016) . Surveillance system, 5 groups, disease, 5 dimensions. Nonthaburi: Division of Epidemiology. Department of Disease Control. Hirungerd S., Vutiso P., Srimongkol M. (2021). The Effect of Health Belief Model Program on Knowledge , Stroke Prevention Behavior and Blood Pressure Levels in Hypertensive Patients The Responsibility Area of Kaeng Khro Hospital, Chaiyaphum Provinc. Journal of the royal thai army nurses.2021;22(1): 478-487. Klinsakorn, C., Saetan,S.(2020). Factors Related to Self-Protective Behavior of Stroke with Controlled Hypertention Patients Who Live in Danchang District, Suphanburi Province. Journal of council of community public health 2020; 2(2), 62-77. Kompilo, N. (2016). Knowledge, attitude and risk behaviors of stroke among people with hypertension in maeta hospital, maeta district, lampang province. 2559. Krejcie, R. V., and Morgan, D. W. (1970). Determining Sample Size for ResearchActivi- tiesEducational and Psychological Mea- surement. 30, 607 – 610. Kuder, Frederic G. and M.W. Richardson. (1937). The Theory of the Estimation of Test Reliability, Psychometrika. 2(September 1937), 151-160. Lahkum, S. (2017). Relationship between Health Belief perception and stroke prevention behavior in highrisk patient inNuea Mueang Sub District, Mueang District, Roi Et Province. วารสารวิชาการสขุ ภาพภาคเหนือ ปีท่ี 8 ฉบับท่ี 2 เดือน มกราคม – มถิ นุ ายน 2564 Journal of Health Sciences Scholarship January-June 2021, Vol.8 No.2

135 วารสารวิชาการสุขภาพภาคเหนือ (Journal of Health Sciences Scholarship) ผา่ นการรับรองคณุ ภาพของ TCI และอยู่ในฐานข้อมลู TCI กล่มุ ท่ี 2 (จนถงึ 31 ธนั วาคม 2567) Lampang Provincial Health Office. (2021). Annual Report 2021. Lampang Provincial Health Office Mueang District, Lamphun Province. (in Thai) Prapaananchai P., Mungtaweepongsa S. (2014). Ischemic brain syndrome: Stroke Syndrome. Thai journal of neurology, 30(4), 24-34. Puttawong W., Kittipichai V., Silawan T., Mensawangsab C., (2014). Risk Factors and Cerebrovascular Disease among Hypertensive Patients Payao Provine. Journal of public health. 44(1), 30-45. Reunsungnern, S. (2017). The level of awareness of the warning symptoms of cerebrovascular disease in hypertensive patients Bo Thong Sub-District Health Promoting Hospital, Pak Chong District, Nakhon Ratchasima Province, Srinagarind medical journal, faculty of medicine, khon kaen university, 32 (September - October 2017): 489. Saikamthon, S. (2016). Effects of risk factors for cerebrovascular disease, Health District 1, Office of Disease Prevention and Control 1, Chiang Mai and Bureau of Epidemiology, Department of Disease Control, Ministry of Public Health. Lanna public health journal, 12 (July - December 2016): 52. Thammakawinwong N. Creating Policy Participation of Health Behavior for Reduce Cancer, Hypertension and Cardiovascular Disease in Maelan Subdistrict, Li District, Lamphun Province. Journalof the royal thai army nurses.2020;21(2): 111-117. วารสารวชิ าการสุขภาพภาคเหนอื ปที ี่ 8 ฉบบั ท่ี 2 เดือน มกราคม – มถิ ุนายน 2564 Journal of Health Sciences Scholarship January-June 2021, Vol.8 No.2

136 วารสารวิชาการสขุ ภาพภาคเหนอื (Journal of Health Sciences Scholarship) ผ่านการรับรองคณุ ภาพของ TCI และอย่ใู นฐานขอ้ มลู TCI กลุ่มท่ี 2 (จนถงึ 31 ธนั วาคม 2567) Prevalence and factors associated with fall risk among elderly people in Lampang Chanin Prakongyot , Supisara Pholprasittito** (Received: June 3, 2021, Revised: July 9, 2021, Accepted: July 12, 2021) Abstract Fall is a common problem among the elders, affecting the quality of life and the economy. This study aimed to investigate the prevalence and factors associated with fall risk among elderly people in Lampang Province. Fall risk was accessed by Timed up and go test according to the Thai Elderly Fall Screening Guideline. This study is a cross-sectional study of 3,600 elderly people in Lampang Province between October 2019 and September 2020. Data were collected from the electronic medical record. The prevalence of fall risk was evaluated using descriptive statistics. The factors associated with fall risk were analyzed using fisher exact test and multiple logistic regression. The prevalence of fall risk was found to be 3.50 percent. Females were more 1.86 times likely to have a fall risk (ORadj=1.86, 95% CI 1.13 – 3.03), compared to males. Osteoarthritis risk was more 80.16 times likely to have a fall risk (ORadj=80.16, 95% CI 50.11 - 128.23), compared to those who were without osteoarthritis risk. And the home-bound elderly performed the activities of daily living (ADL) were more 12.96 times likely to have a fall risk (ORadj= 12.96, 95% CI 4.16 - 40.32), compared to the social-bound elderly. Public health personnel should provide established strategies to take care and prevent fall among elderly people who have fall risk, especially in females, risk of osteoarthritis and the ADL of home-bound. Keywords: Fall risk; Factors; Elderly  Medicine Doctor, Professional Level, Social Medicine Department, Lampang Hospital. ** Pharmacist, Professional Level, Pharmaceutical Department, Lampang Hospital. วารสารวิชาการสุขภาพภาคเหนอื ปที ่ี 8 ฉบับที่ 2 เดือน กรกฎาคม – ธันวาคม 2564 Journal of Health Sciences Scholarship July - December 2021, Vol.8 No.2

137 วารสารวชิ าการสขุ ภาพภาคเหนอื (Journal of Health Sciences Scholarship) ผ่านการรบั รองคุณภาพของ TCI และอย่ใู นฐานข้อมูล TCI กลุม่ ที่ 2 (จนถึง 31 ธันวาคม 2567) ความชกุ และปจั จัยทมี่ ีผลต่อภาวะเสีย่ งหกลม้ ในผู้สงู อายุจังหวัดลาปาง ชนินท์ ประคองยศ,ศุภสิ รา ผลประสิทธิโต** (วนั รบั บทความ:3 มิถนุ ายน 2564, วนั แก้ไขบทความ: 9 กรกฎาคม 2564, วันตอบรบั บทความ: 9 กรกฎาคม 2564) บทคดั ยอ่ การหกลม้ เปน็ ปัญหาทพ่ี บบ่อยในผู้สงู อายุ ส่งผลต่อคุณภาพชวี ิต และเศรษฐกิจ การวจิ ยั น้จี งึ ศกึ ษาความ ชุกและปัจจัยที่มีผลตอ่ ภาวะเสีย่ งหกล้มในผู้สูงอายุจังหวดั ลาปาง โดยทดสอบดว้ ยวิธี Timed up and go test ตามแนวทางการคัดกรองภาวะหกล้มในผู้สูงอายุของประเทศไทย การศึกษานเี้ ปน็ Cross-sectional study ใน ผสู้ ูงอายุจงั หวดั ลาปาง เดือนตุลาคม พ.ศ.2562 ถึงกนั ยายน 2563 จานวน 3,600 คน จากฐานข้อมูลอิเลก็ ทรอนกิ ส์ ทางการแพทย์ วเิ คราะห์ความชกุ โดยใช้สถิติเชงิ พรรณนาและปจั จยั ทีม่ ีผลตอ่ ภาวะเสยี่ งหกล้มในผู้สูงอายุโดย ใช้ fisher exact test และ multiple logistic regression ผลการศกึ ษา พบว่า ความชกุ ของภาวะเสี่ยงหกล้มเทา่ กับ ร้อยละ 3.50 เพศหญิงพบภาวะเสยี่ งหกล้ม 1.86 เท่า (ORadj=1.86, 95% CI 1.13 – 3.03) เมือ่ เทียบกับเพศชาย ภาวะเสี่ยงขอ้ เขา่ เส่ือมมีภาวะเส่ยี งหกล้ม 80.16 เทา่ (ORadj=80.16, 95% CI 50.11 – 128.23) เม่ือเทีย บกับผู้ท่ีไม่มีภา วะเสี่ย ง ข้อเข่า เ ส่ือม และ ผู้ท่ีความสามารถในการดาเนนิ ชีวิตประจาวันเป็นกลุ่มติดบ้านพบภาวะเสย่ี งหกล้ม 12.96 เท่า (ORadj=12.96, 95% CI 4.16- 40.32) เมื่อเทียบกับความสามารถในการดาเนนิ ชวี ิตประจาวันเป็นกลุ่มติดสงั คม บุคลากรทาง สาธารณสุขควรมีมาตรการในการดูแล และป้องกัน ผู้สงู อายุที่ได้รับกา รคัดกร องพบภา วะเสี่ยงหกล้ม โดยเฉพาะเพศหญิง มภี าวะเส่ียงขอ้ เข่าเส่ือม และความสามารถในการดาเนนิ ชีวติ ประจาวันเปน็ กลุ่มตดิ บ้าน คาสาคญั : ภาวะเส่ียงหกล้ม; ปจั จยั ; ผ้สู งู อายุ นายแพทยช์ านาญการ กลมุ่ งานเวชกรรมสังคม โรงพยาบาลลาปาง ** เภสชั กรชานาญการ กลุ่มงานเภสชั กรรม โรงพยาบาลลาปาง วารสารวชิ าการสขุ ภาพภาคเหนือ ปีท่ี 8 ฉบบั ท่ี 2 เดอื น กรกฎาคม – ธันวาคม 2564 Journal of Health Sciences Scholarship July - December 2021, Vol.8 No.2

138 วารสารวชิ าการสขุ ภาพภาคเหนอื (Journal of Health Sciences Scholarship) ผ่านการรับรองคุณภาพของ TCI และอยู่ในฐานขอ้ มลู TCI กลุ่มท่ี 2 (จนถึง 31 ธนั วาคม 2567) บทนา ในปจั จุบนั ทว่ั โลกพบสัดสว่ นประชากรผสู้ ูงอายุมจี านวนมากขึ้น ประเทศไทยถือเป็นประเทศหน่ึงที่เข้าสู่ สังคมผู้สูงอายุ (aging society) มีผู้ท่ีอายุ 60 ปีข้ึนไปอยู่ท่ีร้อยละ 18.58 ของประชากร (Institute for Population and Social Research Mahidol University Thailand, 2021) และในปี พ.ศ.2562 จังหวดั ลาปาง มปี ระชากรสูงอายุถงึ รอ้ ยละ 23.61 ถือเปน็ สังคมผูส้ ูงอายโุ ดยสมบูรณ์ (Aged Society) (Lampang provincial statistical office, 2021) จากอายทุ ี่มากข้นึ ทาให้มีการเส่ือมสภาพของการทางานและอวัยวะต่างๆในรา่ งกาย ผสู้ งู อายุจึงอาจมีกลมุ่ อาการที่พบได้บอ่ ย (geriatric syndromes) เชน่ ภาวะข้อเข่าเสื่อม ภาวะสมองเส่ือม ภาวะ ซมึ เศรา้ ภาวะหกล้ม เกดิ ขนึ้ ได้ (Assantachai, 2011) การหกลม้ เป็นปญั หาที่สาคญั และสัมพันธก์ บั ปัจจยั หลายดา้ นในผู้สูงอายุ โดยปัจจัยด้านบุคคล ไดแ้ ก่ อายุ เพศ ระดับการศกึ ษา ปจั จัยด้านสุขภาพ ไดแ้ ก่ ภาวะความดนั โลหติ ตา่ โรคเรือ้ รงั ต่างๆ การออกกาลงั กายนอ้ ย และ การเพิ่มข้นึ ของดชั นีมวลกาย ปัจจยั ภายใน ได้แก่ การลดลงของอารมณ์การรบั รู้ การมองเห็นทีไ่ ม่ชัดเจน รวมถึง การทรงตัวท่ีไม่ดี ปจั จยั ดา้ นส่ิงแวดล้อม ไดแ้ ก่ การจดั บ้านที่ไมเ่ หมาะสม การขาดปฎิสมั พันธก์ ับสังคม และการ ได้รบั การดูแลจากชุมชน (World Health Organization, 2015) ในเขตชุมชนผ้ทู ี่มีอายุมากกว่า 65 ปี และอายุ มากกว่า 85 ปี มีโอกาสหกลม้ อยา่ งน้อยหนงึ่ คร้ังตอ่ ปี ร้อยละ 30 และรอ้ ยละ 50 ตามลาดับ การหกลม้ ในผูท้ ี่อายุ มากน้ัน ทาใหเ้ กดิ การบาดเจบ็ ต้ังแต่บาดแผลฟกชา้ กระดกู หัก จนถงึ เสยี ชีวิตถงึ ร้อยละ 23-40 ซงึ่ ส่งผลต่อการ สูญเสียความสามารถในการเดนิ คุณภาพชวี ิต และกระทบตอ่ เศรษฐกิจ (Limpawattana, Sutra, Thavompitak, Chindaprasirt, & Mairieng, 2012; World Health Organization, 2015) จากผลกระทบดังกล่าวทาให้มกี ารค้นหาผ้สู ูงอายุทม่ี ภี าวะเส่ยี งต่อการหกล้มมากขน้ึ ต้ังแต่มปี ระวตั กิ ารหก ล้ม จนถงึ การทดสอบความสามารถในการทรงตวั ได้แก่ การลุกนั่งจากเกา้ อ้ีและการลุกเดนิ (timed up and go test) การลุกนง่ั จากเกา้ อี้ 30 วินาที (30 second chair stand test) และการทรงตัว 4 แบบ (4 stage balance test) (Phelan, Mahoney, Voit, & Stevens, 2015) ในจงั หวดั พทั ลุง และจงั หวัดเชยี งรายพบความชกุ ของภาวะ เสีย่ งหกลม้ เท่ากับร้อยละ 23.7 และ 12.6 ตามลาดบั (Noopud, Phrom-On, Woradet, & Chaimay, 2020; Trongsakul & Vimolratana, 2018) โดยการทดสอบความสามารถในการทรงตัวด้วยวธิ ี Timed up and go test ตามแนวทางการคัดกรองภาวะหกล้มในผู้สูงอายุของประเทศไทย (Department of Medical Services Ministry of Public Health) ซ่ึงพบความแตกต่างกนั ของความชกุ รวมถึงยังมีข้อมูลน้อยในจังหวัดลา ปา ง การวจิ ยั นจี้ ึงศกึ ษาความชกุ และปจั จยั ที่มผี ลต่อภาวะเสี่ยงหกล้มในผู้สงู อายุจงั หวัดลาปาง เพ่ือนาข้อมูลไป ใช้ใน การปอ้ งกันภาวะหกลม้ ในผูส้ งู อายจุ ังหวัดลาปางที่ไดร้ บั การคัดกรองภาวะเสี่ยงหกล้มและมีความเสีย่ ง กลมุ่ ใดควร ไดร้ ับการดแู ลจากบุคลากรทางสาธาณสุขเป็นพเิ ศษ วตั ถปุ ระสงค์ เพอื่ ศกึ ษาความชกุ และปัจจยั ที่มผี ลต่อภาวะเสี่ยงหกล้มในผ้สู ูงอายจุ ังหวัดลาปาง วารสารวิชาการสุขภาพภาคเหนือ ปที ี่ 8 ฉบับที่ 2 เดือน กรกฎาคม – ธนั วาคม 2564 Journal of Health Sciences Scholarship July - December 2021, Vol.8 No.2

139 วารสารวิชาการสุขภาพภาคเหนือ (Journal of Health Sciences Scholarship) ผ่านการรบั รองคุณภาพของ TCI และอยูใ่ นฐานขอ้ มูล TCI กลุ่มที่ 2 (จนถงึ 31 ธนั วาคม 2567) ขอบเขตงานวิจยั การศกึ ษานีม้ ขี อบเขต 4 ด้าน คอื 1) ด้านเนื้อหา มุง่ ศึกษาถงึ ความชกุ และปัจจยั ท่มี ผี ลตอ่ ภาวะเสีย่ งหกล้ม ประกอบด้วย เพศ อายุ ระดับความดันโลหติ ระดับนา้ ตาลหลังอดอาหาร ภาวะเส่ยี งสมองเสอ่ื ม ภาวะเสย่ี งซึมเศร้า ภาวะเส่ยี งขอ้ เขา่ เส่อื ม ความสามารถในการดาเนินชวี ิตประจาวนั และดัชนีมวลกาย 2) ดา้ นประชากร คอื ผู้สูงอายุ ท้งั หมดจานวน 3,600 คน 3) ดา้ นพ้ืนที่ คอื เขตอาเภอเมอื งลาปาง จงั หวัดลาปาง 4) ด้านระยะเวลาท่ศี กึ ษา ตัง้ แต่ เดือนตลุ าคม พ.ศ.2562 ถึง กันยายน พ.ศ.2563 วิธีดาเนินการวจิ ัย รปู แบบการศึกษาเป็นแบบภาคตัดขวาง (cross-sectional study) ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง ประชากร คือ ผูท้ ่มี ีอายุ 60 ปขี ้ึนไป ในเขตอาเภอเมืองลาปาง จังหวัดลาปาง ตัง้ แต่เดือนตุลาคม พ.ศ.2562 ถึง กนั ยายน พ.ศ.2563 ทั้งหมดจานวน 47,598 คน ทมี่ ีข้อมูลการคัดกรองภาวะเสี่ยงหกลม้ ระดับความดนั โลหิต ระดบั นา้ ตาล หลงั อดอาหาร ภาวะเส่ียงสมองเสื่อม ภาวะเสี่ยงซึมเศร้า ภาวะเส่ียงข้อเข่าเส่ือม ความสามารถใน การ ดาเนินชีวิตประจาวัน และดัชนีมวลกายครบถ้วน จ ะถูกนา เข้าสู่การวิจัย (inclusion criteria) และผู้ท่ีมี ความสามารถในการดาเนินชวี ติ ประจาอยู่ในกลมุ่ ติดเตยี งจะถูกนาออกจากการวิจยั (exclusion criteria) กลุ่มตัวอย่าง ได้จากฐานข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ทางการแพทย์ (electronic medical record) ของ โรงพยาบาลลาปาง โดยไดร้ บั อนญุ าตเขา้ ถงึ ข้อมูลจากคณะกรรมการจริยธรรมโรงพยาบาลลาปาง จากการทบทวน วรรณกรรมพบภาวะเสย่ี งหกล้มรอ้ ยละ 23.72 สดั สว่ นกลุ่มที่มีภาวะเส่ียงหกล้มต่อกลุ่มทีไ่ ม่มีภาวะเสี่ยงหกล้ม เท่ากับ 0.72 และ 0.65 ตามลาดับ (Noopud et al., 2020) กาหนดค่า alpha error เท่ากับ 0.05 และ statistical power เท่ากบั รอ้ ยละ 90 คานวณตามสตู ร two-sample comparison of proportions ดังภาพท่ี 1 ได้ขนาดตวั อย่างไมน่ อ้ ยกว่า 3,030 คน การวจิ ยั นีจ้ ึงทาการศกึ ษาในกลมุ่ ผู้สูงอายจุ านวน 3,600 คน โดยทาการสมุ่ อย่างงา่ ย (simple random sampling) ด้วยโปรแกรมสาเรจ็ รูป ภาพท่ี 1 two-sample comparison of proportions วารสารวิชาการสุขภาพภาคเหนอื ปีท่ี 8 ฉบบั ท่ี 2 เดือน กรกฎาคม – ธันวาคม 2564 Journal of Health Sciences Scholarship July - December 2021, Vol.8 No.2

140 วารสารวิชาการสุขภาพภาคเหนอื (Journal of Health Sciences Scholarship) ผ่านการรับรองคณุ ภาพของ TCI และอยใู่ นฐานข้อมลู TCI กลุ่มที่ 2 (จนถึง 31 ธันวาคม 2567) เครือ่ งมอื ท่ีใช้ในการวจิ ัย แบบบันทึกข้อมลู ทใ่ี ชใ้ นการศึกษาประกอบด้วย 1) ข้อมลู ดา้ นผปู้ ว่ ย ไดแ้ ก่ เพศ อายุ 2) ขอ้ มลู ด้านการคัด กรอง ไดแ้ ก่ ภาวะเสย่ี งหกลม้ ระดบั ความดนั โลหิต ระดับนา้ ตาลหลังอดอาหาร ภาวะเสีย่ งสมองเสื่อม ภาวะเสี่ยง ซึมเศร้า ภาวะเสยี่ งขอ้ เข่าเสือ่ ม ความสามารถในการดาเนนิ ชวี ติ ประจาวัน และดชั นีมวลกาย การคัดกรองดงั กล่าว ประเมินโดยอาสาสมัครสาธารณสุขประจาหมูบ่ า้ น นกั วิชาการสาธารณสขุ และพยาบาลทดี่ ูแลผ้สู ูงอายตุ า มพ้ืนที่ และนาข้อมูลมาลงในฐานขอ้ มูลอิเลก็ ทรอนิกส์ทางการแพทย์ เคร่ืองมอื ทใ่ี ชใ้ นการคัดกรองดงั กล่าวอ้างอิงมาจาก คู่มอื การคดั กรอง/ประเมินผู้สงู อายุ ของกรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข ปี พ.ศ.2558 (Department of Medical Services Ministry of Public Health) การคัดกรองภาวะเสี่ยงหกลม้ เครื่องมอื ท่ีใชค้ อื การทดสอบ timed up and go โดยใหผ้ ู้สูงอายนุ ัง่ เก้าอ้ีที่ มที ีพ่ ักแขนลกุ เดนิ เปน็ เส้นตรงจากเก้าอ้ีเป็นระยะทาง 3 เมตรและเดนิ กลับมานั่งบนเก้าอีต้ ัวเดิม ถ้าใชเ้ วลาน้อย กวา่ 12 วนิ าที แปลผลว่าไมม่ ีภาวะเสี่ยงหกล้ม ถา้ ใชเ้ วลามากกวา่ หรอื เทา่ กับ 12 วินาที ถอื ว่ามภี าวะเสยี่ งหกล้ม (Bischoff et al., 2003) การคดั กรองระดับความดนั โลหิตหมายถึงผู้ท่ไี ดร้ ับการวดั ความดนั โลหิตแบง่ ระดบั ความดนั โลหิตเปน็ 3 กลมุ่ ได้แก่ กลุม่ ที่ 1 ปกติ ค่าความดนั โลหิตขณะหัวใจบบี ตัว (systolic blood pressure) อยใู่ นชว่ ง 91 ถงึ 129 มิลลิเมตรปรอท (mmHg) และ ค่าความดนั โลหิตขณะหัวใจคลายตวั (diastolic blood pressure) อยู่ในช่วง 61 ถึง 84 มิลลิเมตรปรอท กลุ่มที่ 2 มคี วามเสย่ี ง คา่ ความดันโลหติ ขณะหัวใจบีบตัว อยู่ในช่วง 130 ถึง 139 มลิ ลิเมตรปรอท หรือ คา่ ความดันโลหติ ขณะหัวใจคลายตัว อยู่ในชว่ ง 85 ถึง 89 มิลลเิ มตรปรอท กล่มุ ท่ี 3 สงสัยป่วย ค่าความดนั โลหิตขณะหัวใจบีบตวั ≥ 140 มลิ ลิเมตรปรอท หรือ คา่ ความดัน โลหติ ขณะหวั ใจคลายตวั ≥ 90 มิลลเิ มตรปรอท การคัดกรองระดบั นา้ ตาลหลงั อดอาหาร หมายถึง ผู้ที่ไดร้ บั การตรวจระดับนา้ ตาลในเลือดหลังอดอาหาร 8 ชั่วโมง และแบง่ ผลระดับนา้ ตาลหลงั อดอาหารเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่ กล่มุ ท่ี 1 ปกติ ระดบั น้าตาลหลังอดอาหารอยใู่ นช่วง 70 ถงึ 100 มลิ ลกิ รัมเปอรเ์ ซน็ (mg%) กลมุ่ ที่ 2 มคี วามเสี่ยง ระดบั นา้ ตาลหลังอดอาหารอยใู่ นชว่ ง 101 ถึง 125 มลิ ลิกรัมเปอรเ์ ซ็น กลุ่มที่ 3 สงสยั ป่วย ระดับนา้ ตาลหลังอดอาหาร > 125 มลิ ลิกรมั เปอร์เซ็น การคัดกรองภาวะเสี่ยงสมองเส่ือม เครอ่ื งมือท่ใี ชใ้ นการทดสอบ คือ Abbreviated Mental Test (AMT) กาหนดให้ < 8 คะแนน แปลผลวา่ มภี าวะเสยี่ งสมองเสื่อม และ 8 – 10 คะแนน แปลผลว่า ไมม่ ีภาวะเส่ียงสมอง เสื่อม (department of medical services ministry of public health) การคดั กรองภาวะเสย่ี งซึมเศร้า เครอื่ งมอื ทใ่ี ช้ในการทดสอบ คือ การถาม 2 คาถาม (2Q) ได้แก่ “ใน 2 สปั ดาหท์ ผี่ ่านมารวมวนั น้ีท่านร้สู ึก หดหู่ เศรา้ หรอื ท้อแท้ สิน้ หวัง หรอื ไม่” และ “ใน 2 สัปดาห์ทผ่ี า่ นมา รวมวันนท้ี า่ นรสู้ กึ เบือ่ ทาอะไรไมเ่ พลิดเพลนิ หรอื ไม่” กาหนดให้ 1 – 2 คะแนน แปลผลว่ามีภาวะเสี่ ยง วารสารวิชาการสขุ ภาพภาคเหนอื ปีที่ 8 ฉบบั ที่ 2 เดอื น กรกฎาคม – ธันวาคม 2564 Journal of Health Sciences Scholarship July - December 2021, Vol.8 No.2

141 วารสารวชิ าการสขุ ภาพภาคเหนอื (Journal of Health Sciences Scholarship) ผ่านการรับรองคุณภาพของ TCI และอยู่ในฐานขอ้ มลู TCI กลุ่มท่ี 2 (จนถงึ 31 ธันวาคม 2567) ซึมเศร้า และ 0 คะแนน แปลผลวา่ ไม่มีภาวะเส่ียงซึมเศร้า (department of medical services ministry of public health) การคดั กรองภาวะเสีย่ งข้อเข่าเสือ่ ม เคร่อื งมือทใี่ ช้ คอื การคัดกรองโรคขอ้ เข่าเสื่อมทางคลนิ กิ โดยการถาม อาการปวดขอ้ เข่า ถ้ามอี าการปวดข้อเขา่ ใหถ้ ามคาถามต่อ 5 คาถาม ได้แก่ “ข้อเขา่ ฝืดตงึ หลังตื่นนอนตอนเช้าน้อย กวา่ 30 นาที (stiffness)” “เสยี งดังกรอบแกรบในข้อเขา่ ขณะเคลื่อนไหว (crepitus)” “กดเจ็บทก่ี ระดูกข้อเข่า (bony tenderness)” “ขอ้ ใหญ่ผิดรูป (bony enlargement)” “ไม่พบข้ออุ่น (no palpable warmth )” ถ้ามีอาการปวดข้อเขา่ รว่ มกบั พบอยา่ งน้อย 2 ใน 5 คาถาม แปลผลว่ามภี าวะเสีย่ งขอ้ เขา่ เสอ่ื ม ถา้ ไมม่ ีอาการปวด ข้อเข่า หรือมีอาการปวดข้อเข่าแต่พบคาถามไม่ถึง 2 ใน 5 คาถาม แปลผลว่า ไม่มีภาวะเส่ียงข้อเข่าเส่ือม (Department of medical services ministry of public health) การคดั กรองความสามารถในการดาเนนิ ชีวิตประจาวนั เครือ่ งมือท่ีใชใ้ นการทดสอบ คือ activity of daily living คะแนนเต็ม 20 คะแนน แปลผล 12 – 20 คะแนน หมายถึงกลมุ่ ติดสังคม, 5 – 11 คะแนน หมายถึงกล่มุ ติด บา้ น และ 0 – 4 คะแนน หมายถงึ กลมุ่ ติดเตียง (department of medical servicesministryof public health) ดัชนมี วลกาย (body mass index) หมายถงึ น้าหนัก (กโิ ลกรัม)/ส่วนสูง2 (เมตร) การเกบ็ ข้อมลู 1. ผู้วิจัยทาเรื่องขออนุญาตทาวิจัยในโรงพยาบาล และขอจริยธรรมจากคณะกรรมการวจิ ัยในมนษุ ย์ โรงพยาบาลลาปาง 2. ผู้วจิ ยั ติดตอ่ ขอข้อมูลจากศนู ย์ข้อมูลโรงพยาบาลลาปาง ไดแ้ ก่ ข้อมลู ผสู้ งู อายุท่ีมีชอ่ื ในเขตอาเภอเมือง ลาปาง จงั หวดั ลาปาง ตั้งแตเ่ ดอื น ตุลาคม พ.ศ.2562 ถึง กนั ยายน พ.ศ.2563 รวมถงึ ข้อมลู เพศ อายุ ดชั นีมวล กาย การคัดกรองภาวะเสี่ยงหกล้ม การคัดกรองระดบั ความดันโลหติ การคัดกรองระดับน้าตาลหลังอดอา หา ร การคดั กรองภาวะเสยี่ งสมองเสื่อม การคัดกรองภาวะเส่ียงซึมเศรา้ การคดั กรองภาวะเสี่ยงข้อเข่าเส่ือม และการคัดกรอง ความสามารถในการดาเนินชวี ติ ประจาวนั 3. ผวู้ จิ ัยตรวจสอบความครบถว้ นของข้อมูลตาม inclusion criteria และ exclusion criteria 4. ผ้วู จิ ยั วเิ คราะหข์ ้อมลู ทางสถิตโิ ดยใชโ้ ปรแกรมสาเร็จรปู และเขียนรายงานการวจิ ัย การวเิ คราะหข์ อ้ มูล การศกึ ษาน้ใี ชส้ ถิตเิ ชิงพรรณนาในการวเิ คราะห์ความชุกของภาวะเส่ยี งหกล้มแสดงผลในรปู ร้อยละ และ หาความสัมพันธร์ ะหวา่ งปจั จัยตอ่ ภาวะเสยี่ งหกล้มโดยใช้ fisher exact test และ multiple logistic regression การพทิ กั ษส์ ิทธกิ์ ลุ่มตวั อยา่ งและจรยิ ธรรมการวิจัย การศึกษาน้ไี ด้รบั การอนุมัติจากคณะอนุกรรมการจริยธรรมการวจิ ัยเก่ียวกบั มนุษย์ โรงพยาบาลลาปาง จงั หวดั ลาปาง เลขท่ี 65/64 รบั รองวนั ท่ี 24 พฤษภาคม พ.ศ.2564 – 23 พฤษภาคม พ.ศ.2565 วารสารวชิ าการสขุ ภาพภาคเหนือ ปีท่ี 8 ฉบับท่ี 2 เดือน กรกฎาคม – ธนั วาคม 2564 Journal of Health Sciences Scholarship July - December 2021, Vol.8 No.2

142 วารสารวชิ าการสขุ ภาพภาคเหนอื (Journal of Health Sciences Scholarship) ผา่ นการรับรองคุณภาพของ TCI และอยใู่ นฐานข้อมลู TCI กลุม่ ที่ 2 (จนถึง 31 ธันวาคม 2567) ผลการวิจัย กลุ่มตวั อยา่ งผูส้ งู อายุท่ีศึกษาท้ังหมด 3,600 คน เปน็ เพศหญงิ 1,918 คน (ร้อยละ 53.28) สว่ นใหญ่อายุ อยใู่ นช่วง 60 – 69 ปี จานวน 2,409 คน (ร้อยละ 66.92) มนี า้ หนกั สมสว่ น (ดัชนมี วลกายอยู่ในช่วง 18.5 – 22.9 กิโลกรมั /เมตร2) 1,633 คน (ร้อยละ 45.36) คดั กรองพบภาวะเสย่ี งสมองเสอ่ื ม ภาวะเสีย่ งซมึ เศรา้ และภาวะเส่ียง ข้อเข่าเส่ือม เท่ากับ 28 คน (ร้อยละ 0.78), 6 คน (ร้อยละ 0.17) และ 197 คน (ร้อยละ 5.47) ตามลาดับ ความสามารถในการดาเนินชวี ิตประจาวนั เกือบท้ังหมดเปน็ กลุ่มติดสังคม 3,566 คน (รอ้ ยละ 99.06) คัดกรอง ระดับความดันโลหติ และระดับน้าตาลหลังอดอาหารส่วนใหญ่อย่ใู นระดบั ปกติ เทา่ กบั 2,850 คน (รอ้ ยละ 79.17) และ 3,353 คน (ร้อยละ 93.14) ตามลาดบั ตารางที่ 1 ลกั ษณะทว่ั ไปของผ้สู ูงอายุที่มีภาวะเสี่ยงหกล้ม ปจั จัย จานวน มภี าวะเส่ยี งหกลม้ ไมม่ ีภาวะเสย่ี งหกลม้ P-value จานวนทั้งหมด (รอ้ ยละ) (รอ้ ยละ) (รอ้ ยละ) < 0.001* 0.001* 3,600 (100.00) 126 (3.50) 3,474 (96.50) 0.011* เพศ 1,649 (98.04) < 0.001* 1,825 (95.15) ชาย 1,682 (46.72) 33 (1.96) 0.001* 2,339 (97.09) หญิง 1,918 (53.28) 93 (4.85) 781 (96.30) 354 (93.16) อายุ (ป)ี 425 (94.87) 60 - 69 2,409 (66.92) 70 (2.91) 1,566 (95.90) 711 (97.66) 70 - 79 811 (22.53) 30 (3.70) 772 (97.60) ≥ 80 380 (10.56) 26 (6.84) 3,460 (96.86) 14 (50.00) ดชั นีมวลกาย (กโิ ลกรัม/เมตร2) 3,471 (96.58) 3 (50.00) < 18.5 448 (12.44) 23 (5.13) 18.5 - 22.9 1,633 (45.36) 67 (4.10) 23.0 - 24.9 728 (20.22) 17 (2.34) ≥ 25.0 791 (21.97) 19 (2.40) ภาวะเสย่ี งสมองเสื่อม ไม่มี 3,572 (99.22) 112 (3.14) มี 28 (0.78) 14 (50.00) ไม่มี 3,594 (99.83) 123 (3.42) มี 6 (0.17) 3 (50.00) วารสารวชิ าการสขุ ภาพภาคเหนอื ปที ่ี 8 ฉบับท่ี 2 เดอื น กรกฎาคม – ธันวาคม 2564 Journal of Health Sciences Scholarship July - December 2021, Vol.8 No.2


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook