พืชท่ีมีท่อลำเลียงมีเน้ือเยื่อต่ำงๆ ที่ประกอบ Page |1 ขึ้นเป็นอวัยวะ (organ) และหลำยๆ อวัยวะประกอบ กันเป็นพืชท้ังต้น เน้ือเย่ือได้จำกกำรแบ่งของเน้ือเย่ือ เป็นเนอื้ เย่ือที่พบมำกทีส่ ุดในพืช ไดแ้ กเ่ น้อื เย่ือ เจรญิ เพิม่ จำนวนและแต่ละเซลล์มีกำรเปลย่ี นแปลงใน บรเิ วณคอร์เทก พิธ ใบ เนื้อของผล รำกท่สี ะสมอำหำร ด้ำนโครงสร้ำง รูปร่ำงเพ่ือให้เหมำะสมกับหน้ำที่ ซ่ึง ประกอบด้วยเซลล์พำเรนไคมำ คอเลนไคมำ และสเคอ เรียกว่ำเกิด differentiation เซลล์ท่ีได้น้ี จะมีหน้ำที่ เ ร น ไ ค ม ำ ห น้ ำ ที่ ขึ้ น กั บ ช นิ ด ข อ ง เ ซ ล ล์ ท่ี เ ป็ น เฉพำะหรือ specialized cell องค์ประกอบ ประกอบด้วยไซเลมและโฟลเอม ทำหน้ำท่ี ระบบของเนอ้ื เยอื่ ทนี่ ิยมมำกท่ีสดุ คือระบบของ Sachs ลำเลยี งน้ำและอำหำรไปยังสว่ นต่ำงๆ ของพชื (Sachs’ classification) แบง่ ออกเป็น 3 ระบบ ดงั นี้ ระบบเนือ้ เยื่อ เนือ้ เย่ือ ชนิดของเซลล์ในพชื ดอก 1. ระบบเน้ือเยือ่ ผิว (Dermal system) 2. ระบบเนื้อเยื่อพนื้ ฐำน (ground system) ระบบ Tissue Cell Types 3. ระบบเนอ้ื เย่อื ลำเลียง (Vascular system) เนื้อเยื่อ เป็นเน้ือเยื่อที่อยู่นอกสุด ได้แก่อิพิเดอร์มิส Parenchyma หน้ำที่ป้องกันอันตรำยให้เนื้อเยือ่ ที่อยู่ด้ำนใน เม่ือพืชมี อำยุมำกขึ้น เกิดกำรเจริญเติบโตข้ันท่ีสองจะพบ tissue Parenchyma cells periderm ซึ่งประกอบด้วยเซลล์หลำยชนิดมำทำ หนำ้ ทแ่ี ทนอพิ เิ ดอรม์ ิสซ่ึงจะหลดุ สลำยไป Ground Collenchyma Collenchyma cells tissue tissue Sclerenchyma cells Sclerenchyma (Sclerieds or fibers) tissue Tracheids Vessels Xylem Xylem Parenchyma cells Vascular Fibers (sclerenchyma tissue cells) Seive tube member Companion cells Phloem Phloem Parenchyma cells Fibers (sclerenchyma cells) Epidermal cells Epidermis Guard cells Dermal Trichomes tissue Cork cells Periderm Cork cambium cells Cork parenchyma cells เอกสารประกอบการเรยี นการสอน วิชาชวี วิทยาเพ่ิมเติม2 (ว 32242) ชัน้ มัธยมศกึ ษาปีท่ี 5 ครูผูส้ อน นางสมฤทยั แจ้งสว่าง ตาแหน่ง ครู วทิ ยฐานะ ครูชานาญการ โรงเรียนศรีสุขวทิ ยา
เน้ือเย่ือ คือกลุ่มเซลล์ท่ีมำทำหน้ำท่ีร่วมกัน Page |2 พืชเป็นสิ่งมีชีวิตท่ีมีโครงสร้ำงซับซ้อนประกอบด้วย เนอ้ื เยอ่ื หลำยชนิดอย่ตู ำมส่วนตำ่ งๆ ของพชื ซึง่ จำแนก ลักษณะของเน้ือเยื่อเจรญิ ตำมลกั ษณะกำรแบง่ ตัวได้ 2 ประเภท คอื เ นื้ อ เ ยื่ อ เ จ ริ ญ (Meristematic tissues) กำรแยกประเภทของเน้ือเย่ือเจริญแบ่งได้ หมำยถึงกลุ่มของเซลล์ท่ีมีความสามารถแบ่งตัวแบบ หลำยแบบตำมเกณฑท์ ่ีใช้ในกำรจำแนก ไดแ้ ก่ จาแนกตามตาแหน่งท่ีอยู่ 3 ชนดิ ดังนี้ mitosis ให้เซลล์ใหม่อยู่ตลอดเวลำ มักอยู่เป็นกลุ่ม 1. เนอื้ เยือ่ เจรญิ ส่วนปลาย (apical meristem) คอื เล็กๆ มีลักษณะท่ีสำคัญและแตกต่ำงจำกเนื้อเย่ือถำวร เน้ือเย่ือที่อยู่บริเวณปลำยยอด (shoot tip ) หรือ ดงั น้ี ปลำยรำก (root tip) ของพืช เม่ือมีกำรแบ่งตัว ลกั ษณะของเนื้อเยื่อเจรญิ เพ่ิมจำนวนเซลล์จะทำให้รำกและลำต้นยืดยำว เซลลม์ ีขนำดเลก็ ออก ผนงั เซลลบ์ ำง มนี วิ เคลียสขนำดใหญ่ vacuoles ไมม่ ี หรือ มีขนำดเลก็ ไม่มี intercellular spaces ตาแหน่งที่พบ Meristematic tissues พบในส่วนใกล้กับปลำยยอดปลำยรำก เรียกว่ำ apical meristems บริเวณตำยอด ตำกิ่งของลำตน้ พบอยู่ระหว่ำง xylem กับ phloem (ในพืช ใบเล้ียงคู่) เรยี ก vascular cambium อยู่ใต้ epidermis ของลำต้นพืชใบเล้ียงคู่ เรียกวำ่ cork cambium อยู่ถัดจำก endodermis ของรำก เรียก pericycle ซึ่งจะแบ่งตวั ให้ Lateral roots เอกสารประกอบการเรยี นการสอน วิชาชวี วิทยาเพมิ่ เตมิ 2 (ว 32242) ช้ันมธั ยมศกึ ษาปที ี่ 5 ครูผ้สู อน นางสมฤทัย แจ้งสว่าง ตาแหนง่ ครู วิทยฐานะ ครูชานาญการ โรงเรียนศรีสขุ วทิ ยา
Page |3 2. เนื้อเย่ือเจริญด้านข้าง (lateral meristem หรือ axillary meristem) คือเนื้อเย่ือเจริญท่ีแบ่งตัว ออกด้ำนข้ำงของลำต้นหรือรำก เมื่อแบ่งตัวแล้ว จะทำให้ ลำต้น รำก ขยำยขนำดออกทำงด้ำน ข้ำงหรือมีขนำดใหญ่ข้ึน บำงคนอำจเรียกเน้ือเยือ่ เ จ ริ ญ ด้ ำ น ข้ ำ ง นี้ อี ก อ ย่ ำ ง ว่ ำ แ ค ม เ บี ย ม (cambium) แบง่ เปน็ 2 ชนดิ คือ 2.1. vascular cambium เ ป็ น Cambium ที่ เกิดข้ึนในกลุ่มทอ่ ลำเลียง 2.2. cork cambium เป็น Cambium ท่ีเกิดใน ชั้น cortex หรือชั้น stele เพ่ือสร้ำงช้ัน cork และ phlloderm เนื้อเยือ่ เจริญดา้ นขา้ งชนิด cork cambium 3. เน้ือเย่ือเจริญเหนือข้อ (intercalary meristem) คือเน้ือเย่ือที่อยู่บริเวณเหนือข้อ หรือโคนของ ปล้องในพืชใบเลี้ยงเดี่ยว เช่น อ้อย ไผ่ ข้ำวโพด หรือหญ้ำ เป็นต้น เม่ือมีกำรแบ่งตัวจะช่วยให้ ปล้องยำวขึ้น นอกจำกน้ี intercalary meristem ยังพบตำมก้ำนช่อดอกของพืชบำงชนิด เช่น พวก ว่ำนส่ีทิศ ดอก พลับพลึง ซ่ึง เ ป็ น ก้ ำ น ช่ อ ด อ ก ที่ แ ท ง ขึ้ น ม ำ จ ำ ก ดิ น โดยตรง เน้ือเย่ือเจรญิ เหนอื ข้อ เอกสารประกอบการเรยี นการสอน วิชาชวี วิทยาเพม่ิ เตมิ 2 (ว 32242) ช้นั มธั ยมศกึ ษาปที ่ี 5 ครูผสู้ อน นางสมฤทัย แจง้ สว่าง ตาแหนง่ ครู วทิ ยฐานะ ครูชานาญการ โรงเรียนศรสี ขุ วิทยา
Page |4 เน้อื เยอื่ เจรญิ สว่ นปลาย เนือ้ เยอื่ เจรญิ ดา้ นข้าง ชนดิ Vascular cambium เอกสารประกอบการเรยี นการสอน วิชาชวี วิทยาเพิ่มเตมิ 2 (ว 32242) ชนั้ มัธยมศกึ ษาปที ่ี 5 ครูผสู้ อน นางสมฤทัย แจ้งสวา่ ง ตาแหน่ง ครู วิทยฐานะ ครูชานาญการ โรงเรยี นศรีสุขวทิ ยา
จาแนกตามการเกิดและการเจริญเติบโต Page |5 แบ่งเปน็ 3 ชนิด ดังนี้ 3.1. Vascular cambium เป็นเน้ือเยื่อเจริญท่ี อยู่ระหว่ำง xylem และ phloem ทำหน้ำท่ี 1. Promeristem เป็นเนื้อเยื่อเจริญท่ีเกิดขึ้นใหม่ มี สร้ำง secondary xylem และ secondary phloem กำรแบ่งตัวอย่ำงรวดเร็ว เซลล์มีรูปร่ำงและ 3.2. Cork cambium ห รื อ phellogen เ ป็ น ลักษณะใกล้เคียงกันและขนำดเท่ำกันหมด พบ เน้ือเย่ือเจริญท่ีเกิดใกล้ๆ กับ epidermis ใน บริเวณ คอร์เทกของลำต้น แบ่งตัวให้ บริเวณปลำยรำก ปลำยยอด ปลำยก่ิง และตำของ cork และ phelloderm กำรเจริญของพืชที่ ไ ด้ จ ำ ก ก ำ ร แ บ่ ง เ ซ ล ล์ ข อ ง secondary พืช เมื่อแบ่งตัวช่วยให้ส่วนต่ำงๆ ของพืชยืดยำว meristem นี้ จดั วำ่ เปน็ กำรเจรญิ เตบิ โตข้ันท่ี สอง (secondary growth) ซ่ึงจะทำให้พืช และสูงข้ึน เซลล์ใหม่ท่ีเกิดขึ้นจะเปลี่ยนสภำพเป็น ขยำยขนำดให้อว้ นข้ึน เนื้อเยื่อเจริญขั้นแรก และกำรเจริญเติบโตในข้ันน้ี หมำยถึง เนื้อเย่ือท่ีไม่มีควำมสำมำรถในกำร แบ่งตัว มีกำรเปลี่ยนแปลงรูปร่ำง ขนำด เพ่ือไปทำ จัดว่ำเป็นกำรเจริญเติบโตขั้นแรก (primary หน้ำที่เฉพำะอย่ำง (Specialize cells) ถ้ำเนื้อเยื่อ ประกอบด้วยกลุ่มเซลล์เพียงชนิดเดียว จะเรียกว่ำ growth) Simple permanent tissues เ ช่ น epidermis, parenchyma, collenchyma และ sclerenchyma 2. Primary meristem เ ป็ น เ น้ื อ เ ย่ื อ เ จ ริ ญ ที่ ถ้ำเน้ือเยื่อประกอบด้วยกลุ่มเซลล์หลำยชนิด จะ เ รี ย ก ว่ ำ Complex permanent tissues ไ ด้ แ ก่ ประกอบด้วยเซลล์ซ่ึงได้จำกกำรแบ่งตัวของ xylem และ phloem promeristem พบในส่วนท่ีต่ำลงมำจำกยอดลง เป็นเนื้อเย่ือพ้ืนที่พบมำกท่ีสุดในพืช ตำมส่วน ต่ำงๆ โดยเฉพำะส่วนท่ีอ่อนนุ่ม เช่น บริเวณคอร์เทก มำ เนื่อเยื่อเจริญชนิดนี้ยังคงแบ่งตัวต่อไปอีก พิธ เน้ือผลไม้ พำเรนไคมำเป็นเซลล์ท่ีมีชีวิต ขนำด ค่อนข้ำงใหญ่ มีรูปร่ำงหลำยแบบ เช่น รูปกลม รี Primary meristem มี 3 ชนิด ได้แก่ ทรงกระบอก หรือรูปร่ำงไม่แน่นอน ภำยในเซลล์อำจ พบหรือไม่พบนิวเคลียส ผนังเซลล์บำงเป็นผนังเซลล์ 2.1. Protoderm พบอยู่ชั้นนอกสุดเรียงเป็นแถว ชั้นแรก (primary wall) มกั พบ central vacuoles ขนำดใหญ่ และมี intercellular spaces เดียว แบ่งตัวเพียงด้ำนเดียวและพัฒนำไป เป็น อิพเิ ดอร์มสิ 2.2. Procombium แ บ่ ง ตั ว แ ล ะ พั ฒ น ำ เ ป็ น เนื้อเยื่อลำเลียงขั้นแรก คือ primary xylem และ primary phloem นอกจำกนี้อำจ เปล่ียนสภำพไปเป็นเน้ือเยื่อท่ีให้กำเนิดรำก แขนง หรือเพรไิ ซเคลิ 2.3. Ground meristem แบ่งตัวและเจริญเป็น เนอ้ื เยอ่ื พื้น ได้แก่เน้ือเยื่อบริเวณคอร์เทก พธิ เนื้อเย่ือถำวรที่ได้จำก primary meristem จ ะ เ รี ย ก เ น้ื อ เ ย่ื อ เ ห ล่ ำ น้ี ว่ ำ primary pemanent tissues เ ช่ น epidermis parenchyma collenchyma sclerenchyma pith endodermis 3. Secondary meristem ไ ด้ แ ก่ vascular cambium และ cork cambium เป็นเน้ือเยื่อ เจริญซ่ึงส่วนใหญ่พบทั้งในรำกและลำต้นของพืช ใบเล้ียงคู่ แบ่งตัวและเจริญเปล่ียนแปลงไปเป็น เน้ือเย่ือถำวร ท่ีเรียกว่ำ secondary permanent tissues เอกสารประกอบการเรยี นการสอน วิชาชวี วิทยาเพม่ิ เติม2 (ว 32242) ชัน้ มัธยมศกึ ษาปีท่ี 5 ครูผูส้ อน นางสมฤทยั แจ้งสวา่ ง ตาแหนง่ ครู วทิ ยฐานะ ครูชานาญการ โรงเรียนศรสี ุขวิทยา
หนา้ ท่ี Page |6 สังเคราะห์ด้วยแสง เนื่องจำกมี chloroplast ภำยในเซลล์ เรียกพำเรนไคมำชนิดน้ีว่ำ รูปร่ำงรี ยำว เซลล์มีผนังหนำไม่สม่ำเสมอ chlorenchyma เ ช่ น palisade แ ล ะ จัดเป็นผนังเซลล์ชั้นแรก เป็นเนื้อเยื่อที่สร้ำงควำม spongy mesophyll ซึ่งพบในใบพืช เซลล์ท่ี แข็งแรงให้กับพืช เม่ือมีกำรเจริญเติบโตเต็มท่ีก็ยังเป็น เป็นส่วนประกอบของช้ันคอร์เทกของ ลำต้น เน้ือเยื่อที่มีชีวิต พบโดยท่ัวไปในส่วนของพืช เช่น เซลลส์ ำหรำ่ ยหำงกระรอก stems petioles (stalk) laminae roots เม่ือ cross- สะสมอาหาร ได้แก่เซลล์ที่เป็นส่วนประกอบ section ส่วนของลำต้น มักพบ collenchyma อยู่ติด ของ ลำต้นใต้ดิน รำกสะสมอำหำร หรือ กับ epidermis หรือถูกขั้นด้วย parenchyma 2-5 พำเรนไคมำในบริเวณคอร์เทกหรือพิธ โดย แถว นอกจำกนี้ยังพบบริเวณเส้นใบ ซึ่งเป็นเนื้อเย่ือ ภำยในจะบรรจุแป้ง โปรตีน น้ำมัน หรือ ลำเลยี ง พบบริเวณมุมหรือเหลีย่ มของลำต้น ผนังเซลล์ น้ำตำลไว้ เรียกเซลล์เหล่ำน้ีว่ำ reserved หนำทำหน้ำไม่พบ Intercellular air spaces หรือพบ parenchyma หรือ storage parenchyma น้อยมำก ส่วนประกอบภำยในเซลล์อำจพบ nucleus เกิด gaseous exchange และช่วยให้พืช chloroplasts บ้ำงแต่พบน้อยมำก เน่ืองจำกมีผนัง ลอยตัวบนน้าได้ ได้แก่พำเรนไคมำท่ีมี เซลล์ที่หนำ Collenchyma เช่ือว่ำ Collenchyma มี intercellular air spaces ม ำ ก เ รี ย ก ต้ น ก ำ เ นิ ด ม ำ จ ำ ก parenchyma จ ำ ก น้ั น aerenchyma differentiate โดยผนังเซลล์จะ เสริมให้มีควำม แข็งแรงมำกขึ้นโดยกำรสะสมของ cellulose และ Storage parenchyma pectin หนา้ ที่ เพิ่มควำมแข็งแรงให้ส่วนต่ำงๆ ของพืช เช่น ส่วนก้ำนใบ ส่วนลำต้น ผนังเซลล์ประกอบด้วย เซลลูโลส เพคติน (มีคุณสมบัติอุ้มน้ำได้ดี) และสำร อืน่ ๆ แต่ไม่มลี กิ นนิ ชนิดของ Collenchyma แบ่งตำมกำรสะสมของสำรต่ำงๆ ที่บริเวณผนังเซลล์ ไดด้ ังนี้ 1. Lamellar collenchyma ผนังเซลล์ด้ำนนอน หนำ (tangential walls) กวำ่ บริเวณอนื่ ๆ Aerenchyma เอกสารประกอบการเรียนการสอน วิชาชวี วิทยาเพิ่มเติม2 (ว 32242) ชนั้ มธั ยมศกึ ษาปีที่ 5 ครูผู้สอน นางสมฤทยั แจง้ สว่าง ตาแหน่ง ครู วทิ ยฐานะ ครูชานาญการ โรงเรียนศรีสุขวิทยา
2. Angular collenchyma เป็น collenchyma ท่ีมี Page |7 ผนังเซลล์หนำตำมมุมของเซลลต์ ลอดควำมยำว มักสลำยไปหลังจำกผนังเซลล์เจริญเต็มที่ เหลือเป็น 3. Lacunar หรือ tubular collenchyma ผนงั เซลล์ ชอ่ งว่ำงภำยในเซลล์ เรียกว่ำ Lumen Sclerenchyma ด้ำนที่ติดกับช่องว่ำงระหว่ำงเซลล์หนำกว่ำบริเวณ cells มักพบปะปนกับเซลล์ชนิดอ่ืนเพื่อทำ อื่นๆ ห น้ ำ ท่ี ใ ห้ ค ว ำ ม แ ข็ ง แ ร ง แ ก่ โ ค ร ง ส ร้ ำ ง ต่ ำ ง ๆ Sclerenchyma มักพบตำมลำต้น และในใบพบใน เม่ือเจริญเต็มท่ีจะไม่มีชีวิต มีผนังเซลล์ท่ีหนำ ส่วนของมัดท่อน้ำท่ออำหำร Sclerenchyma สร้ำง ควำมแขง็ แรงให้กับเมลด็ โดยเฉพำะสว่ นของเปลือกหุ้ม มำก คำว่ำ \"sclerenchyma\" มำจำกภำษำ Greek คอื เมล็ด จัดเป็นเนื้อเยื่อสำคัญที่สร้ำงควำมแข็งแรงให้กับ พชื \"scleros\" แปลวำ่ \"hard\" ซงึ่ ควำมแข็งแรงทว่ี ำ่ มำจำก Sclerenchyma สำมำรถแบ่งออกเป็น 2 ผนงั เซลล์ท่หี นำนัน่ เอง ชนิด โดยใช้ลกั ษณะรูปร่ำงทแ่ี ตกต่ำงกนั ดังน้ี 1. ไฟเบอร์ (fiber) ลักษณะเซลล์ยำว ปลำยเซลล์ ลักษณะเด่นของเซลล์น้ีคือ ผนังเซลล์ขั้นท่ี เรียว ผนังเซลล์หนำมำก พบอยู่รวมกันเป็นกลุ่ม ส อ ง ( secondary wall) ห น ำ ป ร ะ ก อ บ ด้ ว ย หรือเป็นมัด เช่น ในเนื้อไม้ (xylem fibres) ในท่อ ลำเลียงอำหำร (phloem fibres) ส่วนประกอบ cellulose และ/หรือ lignin โปรโตพลำสต์ ของท่อลำเลียงบริเวณใบ (vein) หรือเป็นเนื้อเยื่อ ที่ ใ ห้ ค ว ำ ม แ ข็ ง แ ร ง ใ น พื ช ใ บ เ ลี้ ย ง เ ด่ี ย ว มี 2. สเกลอรีด (sclereid หรือ stone cell) ท่ีเรียก ควำมสำคัญทำงเศรษฐกิจมำก เพรำะมีช้ันของ stone เนอื่ งจำกเซลลม์ ีควำมแข็งแรงเหมือนหนิ มี fibre หนำ มีควำมเหนียวมำก ให้ทำเชือกและส่ิง รูปร่ำงหลำยแบบ เช่น ลักษณะอ้วน ป้อม ทออื่นๆ เช่น ป่ำนลินิน ใยกัญชำ ป่ำนรำมี Fiber isodiametric, forked ลักษณะคล้ำยดำว หรือ มักพบอยู่รวมกันเป็นกระจุกๆ อำจพบในช้ัน แตกแขนงหลำยแบบ ถ้ำเปรียบเทียบกับ fibres cortex เรียก cortical fiber ใน xylem เรียก sclereids มักจะสั้นกว่ำ ป้อมกว่ำ อำจพบอยู่ xylem fiber ใน phloem เรียก phloem fiber รวมกลมุ่ กนั เปน็ มัด หรอื พบเซลล์เดี่ยวๆ หรอื รวม เป็นกลุ่มเล็กๆ ภำยใน parenchyma tissues เปลือกหุ้มเมล็ดของผลไม้บำงชนิด เช่น พุทรำ ตัวอย่ำงเช่น stone ของลูกแพร์ (pears: Pyrus เซลล์มักประกอบด้วยส่วนของผนังเซลล์ท้ังหมด communis) และสำลี่ stone cell ผนังเซลล์มักพบ pits ท่ีแตกแขนง มองเห็นได้ ทีม่ กั ถกู นำมำเปน็ ตัวอย่ำงศึกษำคือ stone cell ท่ี ชดั เจน เรียกว่ำ ramiform pits เป็นส่วนประกอบของกะลำมะพร้ำว เปลือกถั่ว เอกสารประกอบการเรียนการสอน วิชาชวี วทิ ยาเพิ่มเติม2 (ว 32242) ชัน้ มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 5 ครูผสู้ อน นางสมฤทัย แจ้งสวา่ ง ตาแหน่ง ครู วิทยฐานะ ครูชานาญการ โรงเรียนศรสี ุขวทิ ยา
Page |8 มำจำกภำษำกรกี epi หมำยถงึ upon ข้ำงบน อิพิเดอร์มิสของลำต้นพืชที่มีสี เช่น ชบำ ฤำษี ผสม จะมีรงควัตถุพวก anthocyanin อยู่ภำยใน พืช และ derma หมำยถึง skin ผวิ เปน็ เน้อื เยือ่ ชนั้ นอกสุด ใบเลี้ยงเด่ียวจะมีอิพิเดอร์มิสท่ีเปล่ียนแปลงไปรูปร่ำง คล้ำยถุงเรียงกัน เรียก bulliform cells ช่วยในกำร ของสว่ นต่ำงๆ ของพืช ประกอบดว้ ยเซลล์เรยี งตัวเพียง คล่ีหรือแผ่ขยำยของใบ พืชบำงชนิด เช่น กล้วยไม้ มีอิพิเดอร์มิสหลำยชั้น เรียกว่ำ velamen อิพิเดอร์มิส ชั้นเดียว มักไม่พบ intercellular spaces รูปร่ำงแบน ที่พบในรำกบำงเซลลจ์ ะเปลย่ี นแปลงไปเป็น root hair เพื่อช่วยเพิ่มพ้ืนที่ในกำรดูดน้ำและแร่ธำตุจำกดิน ยำว ผนังเซลล์บำง โดยส่วนใหญ่ผนังเซลล์ด้ำนนอกจะ บริเว ณลำต้น กิ่ง ใบ ก็สำมำรถพบ hair หรือ trichome ไดเ้ ชน่ กนั หนำกว่ำด้ำนใน และพบมีสำรคิวตินซึ่งเป็นสำรพวก ไขมันเคลือบอยู่ช้ันนอก ยกเว้นในรำกจะมี suberin เคลอื บ พชื ที่ขนึ้ อยู่ใน ท่ีแห้งแล้งมักมีคิวตินเคลือบหนำ เพื่อรักษำน้ำที่อยู่ ภำยใน โดยทั่วไป อิพิเดอร์มิสไม่มี chloroplast ยกเว้น guard cells Guard cells เ ป็ น epidermal cells ที่ เปลี่ยนแปลงไปมีรูปร่ำงคล้ำยเมล็ดถั่ว 2 เซลล์ประกบ กัน ภำยในมี chloroplasts สังเครำะห์แสงได้ เม่ือ guard cells เต่งเกิดช่อง (pore) เรียกโครงสร้ำง ทั้งหมดว่ำ Stoma ซึ่งจะเป็นส่วนที่ทำให้เกิดกำร เอกสารประกอบการเรยี นการสอน วชิ าชวี วทิ ยาเพิ่มเติม2 (ว 32242) ชน้ั มัธยมศกึ ษาปที ี่ 5 ครูผู้สอน นางสมฤทยั แจง้ สว่าง ตาแหนง่ ครู วทิ ยฐานะ ครูชานาญการ โรงเรียนศรีสขุ วทิ ยา
แลกเปล่ยี นกำ๊ ซ และกำรคำยน้ำของพืช พืช Page |9 ส่วนใหญ่จะพบ stoma บริเวณท้องใบ (lower เป็นเน้ือเยื่อถำวรเชิงเด่ียวท่ีพบในพืชท่ีมีกำร เจริญในขน้ั ที่ 2 ( secondary growth) ซ่งึ อำจเกดิ ใน epidermis) มำกกว่ำหลังใบ ส่วนในพืชน้ำมักพบ ช้ัน cortex ของลำต้นหรือในชั้น stele ของรำกก็ได้ โดยมีกระบวนกำรเกิดเริ่มจำก cork cambium ซึ่ง ด้ำนหลังใบมำกกว่ำท้องใบ นอกจำกน้ีบริเวณรอบๆ เป็น lateral meristem ที่อำจเกิดจำก pericycle cortex epidermis หรือ phloem ก็ได้แล้วแต่ stoma จะมี epidermal cells ท่มี รี ปู ร่ำงแตกตำ่ งจำก ชนิดของพืช cork cambium หรืออีกช่ือหน่ึงคือ phellogen จะทำกำรแบ่งเซลล์โดยแบง่ เซลล์ให้เซลล์ อิพิเดอร์มิสปกติ ซึ่งเรียกเซลล์นี้ว่ำ subsidiary cells ใหม่ทำงด้ำนนอกที่เรียกว่ำ cork หรืออีกช่ือคือ phellem และแบ่งให้กลุ่มเซลล์ทำงด้ำนในที่เรียกว่ำ พบอยูร่ อบๆ stomata เสมอ phelloderm cork หรอื phellem ซงึ่ เป็นเซลล์ ท่อี ยู่ทำงดำ้ นนอกจะมสี ำรพวก suberin มำสะสมทำ Bulliform cells เรียกอีกอย่ำงว่ำ moter ให้น้ำผ่ำนเข้ำมำไม่ได้ ส่งผลให้ในที่สดุ เซลล์ cork ก็ ตำย เม่ือมีกำรแบ่งตัวของ cork cambium มำก cell เป็นเซลล์ขนำดใหญ่ ผนังเซลล์บำง รูปร่ำงคล้ำย ข้ึนก็จะทำให้ชั้นของ cork มีมำกข้ึนเช่นกันและจะ ไปดันให้ส่วนของเซลล์ที่อยู่ถัดออกไปหลุดหำยไปด้วย ถุง พบอยู่ด้ำนหลังใบ (upper epidermis) อยู่ตลอด เ รี ย ก เ นื้ อ เ ยื่ อ cork, cork cambium แ ล ะ phelloderm ท้ัง 3 ชนิดรวมกันว่ำชน้ั periderm ควำมยำวของใบพชื ใบเลี้ยงเดย่ี ว ซ่ึงมกั พบประมำณ 3- 4 เซลล์ต่อกลุ่ม ภำยในบรรจุน้ำทำให้เซลล์เต่ง ใบพืช แผ่ขยำยออก แตถ่ ำ้ bulliform cells สูญเสียนำ้ เซลล์ จะลบี ลงเปน็ ผลทำใหใ้ บพชื ม้วนงอ หรอื เห่ียว เป็นเนื้อเย่ือท่ีอยู่ถัดออกมำจำกเนื้อเย่ือลำเลียงในรำก หรือเป็นเน้ือเยอื่ ช้ันในสดุ ของชนั้ cortex รูปร่ำงของ เซลล์คล้ำย parenchyma เซลล์เรียงตัวเพียงช้ัน เดียว ไมม่ ชี ่องวำ่ งระหว่ำงเซลล์ ผนงั เซลลจ์ ะหนำ 3 ด้ำน คือด้ำนข้ำงและด้ำนที่ติดกับชั้น stele โดยสำร ท่ีมำพอกน้ีเป็นสำรพวก lignin และ suberin กำร มีลักษณะผนังหนำ 3 ด้ำนนี้เป็นประโยชน์ในกำร ยับยั้งมิให้น้ำและเกลือแร่ที่ขนรำกดูดเข้ำมำลำเลียง ไปสู่ xylem รวดเรว็ เกนิ ไป เซลล์ของ endodermis บำงเซลล์มีลักษณะที่เป็นผนังบำงคือไม่มีกำรฉำบของ ของสำร lignin และ suberin เรียกเซลล์ที่มีลักษณะ เช่นนี้ว่ำ passage cell เพรำะเซลล์บริเวณนี้จะ เป็นช่องทำงให้น้ำผ่ำนเข้ำสู่ xylem ในชั้น stele น่ันเอง นอกจำกน้ี endodermis ยังมีแถบที่ เรยี กว่ำ casparian strip อย่ดู ้วยซ่ึงแถบ casparian strip จะช่วยในกำรป้องกันไม่ให้น้ำแพร่ผ่ำนระหว่ำง เซลล์ของ endodermis ดว้ ยกนั เอง เอกสารประกอบการเรยี นการสอน วชิ าชวี วทิ ยาเพิ่มเติม2 (ว 32242) ช้นั มธั ยมศกึ ษาปีที่ 5 ครูผู้สอน นางสมฤทัย แจ้งสว่าง ตาแหนง่ ครู วทิ ยฐานะ ครูชานาญการ โรงเรยี นศรสี ุขวิทยา
P a g e | 10 คือ เนื้อเยื่อที่ประกอบด้วยเซลล์หลำยๆ ชนิดมำทำ เรียบ มีส่วนที่เป็น Pitts ใช้ในกำรลำเลียงน้ำไปยัง หน้ำทร่ี ่วมกนั เซลล์ที่อยู่ข้ำงเคียง ซ่ึง Pits ที่พบโดยทั่วไปคือ bordered pits Xylem จัดเป็นเนื้อเยื่อท่ีทำหน้ำที่หลักใน 3. Xylem parenchyma เปน็ เซลล์ parenchyma ก ำ ร ล ำ เ ลี ย ง น้ ำ (water-conducting tissue) ใ น ที่มำรวมอยู่ในกลุ่มของไซเลม เป็นเซลล์ที่มีชีวิต vascular plants ป ร ะ ก อ บ ด้ ว ย tracheary ผนงั เซลลอ์ ำจหนำกวำ่ parenchyma ทั่วๆ ไป ทำ elements ได้แก่ Vessel member และ Tracheid หน้ำท่สี ะสมอำหำรพวกแปง้ นำ้ มนั ผลึก และอน่ื ๆ น อ ก จ ำ ก น้ั น ยั ง มี xylem fibres แ ล ะ xylem และทำหน้ำที่ลำเลียงน้ำ และแร่ธำตุในแนวด่ิง ถ้ำ parenchyma เพ่ือทำหน้ำที่ในกำรลำเลียงให้สมบูรณ์ ลำเลยี งในแนวรศั มีเรยี ก xylem ray ยิ่งข้ึน เซลล์ท่ีประกอบเป็น xylem มี secondary 4. xylem fiber เซลล์มีรปู รำ่ งยำวแบบ fiber ท่วั ไป cell walls ซ่ึงมักไม่มี protoplasts ในช่วงท่ีเซลล์ แตข่ นำดส้นั กวำ่ ผนงั หนำปลำยแหลม เป็นเซลล์ท่ี maturity และมักพบ Bordered pits เป็นส่วนท่ีทำ ไมม่ ีชวี ิตเมอื่ เจริญเตม็ ทใี่ ห้ควำมแข็งแรงแก่พชื หน้ำที่ในกำรำลำเลียง ส่วน vessels ลำเลียงน้ำผ่ำน ผนังเซลล์ชั้นท่ีสองของ vessel มีลวดลำยต่ำงๆ เช่น perforated ผ่ำนทำง end walls Spiral (helical) thickening เป็นเกลียวเวียนรอบ Xylem ประกอบดว้ ยเซลล์ 4 ชนดิ คอื Anular thickening เ ป็ น ว ง แ ห ว น Reticulate 1. Vessel member เป็นเซลล์ท่ีทำหน้ำท่ีลำเลียง thickening เป็นตำข่ำยสำนกัน Pitted thickening เปน็ รู (pit) น้ำในพืชกลุ่ม angiosperms ลักษณะเซลล์คล้ำย หลอด ปลำยตัด มีควำมแตกต่ำงจำก tracheids คือ ด้ำนปลำยเซลล์ (final walls) มีลักษณะเป็นรู พรุนคล้ำยแผ่นตะแกรง (perforated) เพ่ือให้น้ำ ผ่ำนได้ เมอื่ ตดั cross-section พบ vessels ขนำด เซลล์ใหญ่กว่ำ tracheids ทำให้มีควำมสำมำรถจุ น้ำได้มำก มีผนังเซลล์ข้ันที่สองหนำ (thick- walled) ซึ่งเกิดจำกกำรสะสมของเซลลูโลส และ ลิกนนิ ซ่งึ เปน็ องค์ประกอบของผนังเซลล์ข้นั ท่ีสอง ท ำ ใ ห้ เ กิ ด เ ป็ น ล ว ด ล ำ ย ต่ ำ ง ๆ เ ช่ น spiral thickening, anular thickening, reticulate thickening 2. Tracheid ทำหน้ำท่ีหลักในกำรลำเลียงน้ำ (water-conducting elements) ใ น พื ช gymnosperms และพืชท่ีไม่มีเมล็ด สำมำรถพบ ได้ในทั้งพืชกลุ่ม angiosperms เซลล์ของเทรคีต ยำว ปลำยแหลมปิดทั้งสองด้ำน ควำมยำวเฉล่ีย 1 mm เม่ือ cross-section เหมือนรูปส่ีเหลีย่ ม ผนัง เซลล์เป็น lignified secondary wall ผิวเซลล์ เอกสารประกอบการเรียนการสอน วิชาชวี วิทยาเพิ่มเตมิ 2 (ว 32242) ชัน้ มธั ยมศกึ ษาปีที่ 5 ครูผ้สู อน นางสมฤทัย แจ้งสวา่ ง ตาแหนง่ ครู วทิ ยฐานะ ครูชานาญการ โรงเรยี นศรีสุขวิทยา
P a g e | 11 Phloem มำจำกภำษกรีก phloios หมำยถึง เปลือกไม้ (bark) ทำหน้ำที่ลำเลียงสำรอินทรีย์ เช่น sucrose ไปยังส่วนต่ำงๆ ของพืช ทุกส่วนซ่ึงแตกต่ำง จำกกำรลำเลียงน้ำที่ลำเลียงจำกด้ำนล่ำงข้ึนสู่ด้ำนบน เพียงอย่ำงเดียวเท่ำน้ัน ประกอบ sieve element, companion cell, phloem fibres แ ล ะ phloem parenchyma Phloem ประกอบด้วยเซลล์ 4 ชนิดคอื 1. sieve tube member ต้ังชื่อตำมลักษณะของ ของเซลล์ท่ีด้ำนปลำย (end walls) จะเป็นรูพรุน (sieve plate) จะมีสว่ นของ cytoplasm เชือ่ มตอ่ กันได้ระหว่ำงเซลล์ใกล้เคียงกัน ซ่ึงจะทำให้ขนส่ง sugars, amino acids ท่ีได้จำกกร ะ บว น ก ำ ร สังเครำะห์ด้วยแสง จำกแหล่งที่สร้ำง (source) เช่น leaves ไปยังส่วนทร่ี ับ (sinks) เช่น รำก ดอก ผล ลำต้น และบริเวณท่ีมีกำรเจริญเติบโต Sieve tube member เป็นเซลล์ที่มีชีวิต ผนังเซลล์บำง เ มื่ อ เ จ ริ ญ เ ต็ ม ที่ จ ะ ไ ม่ มี nucleus แ ล ะ มี organelles อ่ืนน้อยมำก ภำยในบรรจุโปรตีนเปน็ จ ำ น ว น ม ำ ก แ ล ะ จ ะ ต้ อ ง ท ำ ง ำ น ร่ ว ม กั บ companion cells เสมอ 2. Companion cells จั ด เ ป็ น specialized parenchyma cells ท่ี พ บ อ ยู่ ร่ ว ม กั บ Si[eve tube เป็นเซลล์ขนำดเล็ก ผนังเซลล์บำง พบ นิวเคลียสอยู่ภำยใน จะเชื่อมต่อกับ Sieve tube โดยส่วนของ cytoplasm ย่ืนเข้ำไปเป็นช่องเล็กๆ ในเซลล์ของอีกฝ่ำย ทำหน้ำท่ีช่วยเหลือและ ควบคุมกำรทำงำนของ seive tube 3. Phloem fibres เซลลร์ ูปร่ำงเรียวยำวไปทำงด้ำน ปลำย มีผนังเซลล์หนำเช่นเดียวกับ fibres ท่ัวไป ทำหนำ้ ทส่ี ร้ำงควำมแข็งแรง 4. Phloem parenchyma เป็นเซลล์ท่ีมีชีวิต ผนัง เซลลบ์ ำง ทำหนำ้ ทเี่ กบ็ สะสมอำหำร เอกสารประกอบการเรียนการสอน วิชาชวี วิทยาเพมิ่ เติม2 (ว 32242) ชัน้ มธั ยมศกึ ษาปีที่ 5 ครูผสู้ อน นางสมฤทยั แจง้ สว่าง ตาแหน่ง ครู วิทยฐานะ ครูชานาญการ โรงเรียนศรสี ขุ วทิ ยา
P a g e | 12 หมายเหตุ ๑. กำรเจรญิ เตบิ โตของพืชที่เกดิ จำกกำรแบ่งตัวของ เนื้อเย่อื เจรญิ ไดเ้ นื้อเย่ือถำวรชุดแรก เรียกกำร เจริญเตบิ โตในชว่ งนว้ี ำ่ กำรเจรญิ เตบิ โตระยะแรก หรอื primary growth ๒. กำรเจริญเติบโตของพืชท่ีเกดิ จำกกำรแบง่ ตวั ของ primary meristem ได้เน้ือเย่อื ถำวรชุดที่สอง เรียก กำรเจรญิ เติบโตในช่วงนี้วำ่ กำรเจรญิ เติบโตระยะที่ สอง หรือ secondary growth ๓. จะเหน็ วำ่ ใน secondary growth มเี นื้อเย่อื xylem และ phloem เกิดขนึ้ อกี หนึ่งชุด จงึ เรียกเน้ือเย่ือ xylem และ phloem ท่ีเกดิ ก่อนวำ่ primary xylem และ primary phloem และเรียกเนื้อเย่ือ xylem และ phloem ที่เกิดชุดหลงั ว่ำ secondary xylem และ secondary phloem ๔. เรยี กเนอื้ เยอ่ื ชดุ ทปี่ ระกอบดว้ ย cork cambium, cork, phelloderm ว่ำ periderm เอกสารประกอบการเรยี นการสอน วิชาชวี วิทยาเพมิ่ เตมิ 2 (ว 32242) ชน้ั มธั ยมศกึ ษาปที ี่ 5 ครูผสู้ อน นางสมฤทยั แจง้ สวา่ ง ตาแหน่ง ครู วทิ ยฐานะ ครูชานาญการ โรงเรยี นศรีสุขวิทยา
P a g e | 13 เอกสารประกอบการเรียนการสอน วชิ าชวี วทิ ยาเพิ่มเตมิ 2 (ว 32242) ชั้นมัธยมศกึ ษาปีท่ี 5 ครูผสู้ อน นางสมฤทยั แจง้ สวา่ ง ตาแหน่ง ครู วิทยฐานะ ครูชานาญการ โรงเรียนศรีสขุ วิทยา
Search
Read the Text Version
- 1 - 13
Pages: