พืชท่ีมีท่อล้าเลียงมีเนือเยื่อต่างๆ ที่ประกอบ Page |9 ขึนเป็นอวัยวะ (organ) และหลายๆ อวัยวะประกอบ กันเป็นพืชทังต้น เนือเยื่อได้จากการแบ่งของเนือเยื่อ เป็นเนือเย่ือที่พบมากที่สุดในพืช ได้แก่ เจริญ เพิ่มจ้านวนและแต่ละเซลล์มีการเปล่ียนแปลงใน เนือเยื่อบริเวณคอร์เทก พิธ ใบ เนือของผล รากท่ี ด้านโครงสร้าง รูปร่างเพ่ือให้เหมาะสมกับหน้าท่ี ซึ่ง สะสมอาหาร ประกอบด้วยเซลล์พาเรนไคมา คอเลน เรียกว่าเกิด differentiation เซลล์ที่ได้นี จะมีหน้าที่ ไคมา และสเคอเรนไคมา หนา้ ที่ขึนกบั ชนิดของเซลล์ที่ เฉพาะหรอื specialized cell เปน็ องค์ประกอบ ประกอบด้วยไซเลมและโฟลเอม ท้าหน้าที่ ระบบของเนือเย่ือท่ีนิยมมากที่สุด คือระบบของ ล้าเลยี งน้าและอาหารไปยังสว่ นตา่ งๆ ของพชื Sachs (Sachs’ classification) แ บ่ ง อ อ ก เป็ น 3 ระบบ ดังนี ระบบเนอ้ื เย่ือ เนือ้ เย่ือ ชนดิ ของเซลล์ในพชื ดอก 1. ระบบเนอื เยื่อผิว (Dermal system) ระบบ Tissue Cell Types 2. ระบบเนอื เย่ือพนื ฐาน (ground system) เนือเยื่อ 3. ระบบเนอื เยื่อล้าเลียง (Vascular system) Parenchyma เป็นเนือเย่ือที่อยู่นอกสุด ได้แก่อิพิเดอร์มิส หน้าท่ีป้องกนั อันตรายให้เนือเยือ่ ท่ีอยู่ด้านใน เม่ือพืชมี tissue Parenchyma cells อายุมากขึน เกิดการเจริญเติบโตขันที่สองจะพบ periderm ซ่ึงประกอบด้วยเซลล์หลายชนิดมาท้า Ground Collenchyma Collenchyma cells หน้าท่ีแทนอพิ เิ ดอรม์ สิ ซ่งึ จะหลุดสลายไป tissue tissue Sclerenchyma cells Sclerenchyma (Sclerieds or fibers) tissue Tracheids Vessels Xylem Xylem Parenchyma cells Vascular Fibers (sclerenchyma tissue cells) Seive tube member Companion cells Phloem Phloem Parenchyma cells Fibers (sclerenchyma cells) Epidermal cells Epidermis Guard cells Dermal Trichomes tissue Cork cells Periderm Cork cambium cells Cork parenchyma cells เอกสารประกอบการเรียนการสอน วชิ าชวี วทิ ยาเพมิ่ เติม 3 ( ว 32243) ชั้นมธั ยมศกึ ษาปีท่ี 5 ครูผ้สู อน นางสมฤทัย มา่ นกลาง ตาแหนง่ ครชู านาญการ โรงเรียนศรีสุขวทิ ยา
เนือเย่ือ คือกลุ่มเซลล์ที่มาท้าหน้าที่ร่วมกัน P a g e | 10 พืชเป็นส่ิงมีชีวิตที่มีโครงสร้างซับซ้อนประกอบด้วย เนือเยอื่ หลายชนิดอย่ตู ามส่วนต่างๆ ของพืช ซ่ึงจ้าแนก ลกั ษณะของเนื้อเย่ือเจรญิ ตามลกั ษณะการแบ่งตัวได้ 2 ประเภท คอื เนื อ เย่ื อ เจ ริ ญ (Meristematic tissues) การแยกประเภทของเนือเย่ือเจริญแบ่งได้ หมายถึงกลุ่มของเซลล์ที่มีความสามารถแบ่งตัวแบบ หลายแบบตามเกณฑ์ท่ใี ชใ้ นการจ้าแนก ไดแ้ ก่ จาแนกตามตาแหนง่ ท่ีอยู่ 3 ชนดิ ดังนี mitosis ให้เซลล์ใหม่อยู่ตลอดเวลา มักอยู่เป็นกลุ่ม 1. เน้ือเยื่อเจริญส่วนปลาย (apical meristem) เล็กๆ มีลกั ษณะท่ีส้าคัญและแตกต่างจากเนือเย่ือถาวร คือเนือเย่ือท่ีอยู่บริเวณปลายยอด (shoot tip ) ดังนี หรือปลายราก (root tip) ของพืช เมื่อมีการ ลกั ษณะของเนอื้ เย่อื เจริญ แบ่งตัวเพิ่มจ้านวนเซลล์จะท้าให้รากและล้าต้นยืด เซลล์มีขนาดเล็ก ยาวออก ผนังเซลล์บาง มีนิวเคลียสขนาดใหญ่ vacuoles ไมม่ ี หรอื มขี นาดเลก็ ไมม่ ี intercellular spaces ตาแหน่งทพี่ บ Meristematic tissues พบในส่วนใกล้กับปลายยอดปลายราก เรียกว่า apical meristems บริเวณตายอด ตากง่ิ ของลา้ ตน้ พบอยู่ระหว่าง xylem กับ phloem (ในพืช ใบเลยี งคู)่ เรยี ก vascular cambium อยู่ใต้ epidermis ของล้าต้นพืชใบเลียงคู่ เรยี กวา่ cork cambium อยู่ถัดจาก endodermis ของราก เรียก pericycle ซง่ึ จะแบง่ ตวั ให้ Lateral roots เอกสารประกอบการเรียนการสอน วิชาชวี วิทยาเพ่มิ เติม 3 ( ว 32243) ชนั้ มธั ยมศกึ ษาปที ี่ 5 ครูผู้สอน นางสมฤทยั มา่ นกลาง ตาแหนง่ ครูชานาญการ โรงเรียนศรีสขุ วทิ ยา
P a g e | 11 2. เน้ือเย่ือเจริญด้านข้าง (lateral meristem หรือ axillary meristem) คือเนือเย่ือเจริญที่แบ่งตัว ออกด้านข้างของล้าต้นหรือราก เม่ือแบ่งตัวแล้ว จะท้าให้ ล้าต้น ราก ขยายขนาดออกทางด้าน ขา้ งหรือมีขนาดใหญ่ขึน บางคนอาจเรียกเนือเย่ือ เจ ริ ญ ด้ า น ข้ างนี อี ก อ ย่ า งว่ า แ ค ม เบี ย ม (cambium) แบง่ เปน็ 2 ชนดิ คือ 2.1. vascular cambium เป็ น Cambium ที่ เกิดขึนในกลุม่ ทอ่ ลา้ เลียง 2.2. cork cambium เป็น Cambium ที่เกิดใน ชัน cortex หรือชัน stele เพ่ือสร้างชัน cork และ phlloderm เนือ้ เยอื่ เจรญิ ดา้ นข้างชนดิ cork cambium 3. เน้ือเยื่อเจริญเหนือข้อ (intercalary meristem) คือเนือเยื่อที่อยู่บริเวณเหนือข้อ หรือโคนของ ปล้องในพืชใบเลียงเด่ียว เช่น อ้อย ไผ่ ข้าวโพด หรือหญ้า เป็นต้น เมื่อมีการแบ่งตัวจะช่วยให้ ปล้องยาวขึน นอกจากนี intercalary meristem ยังพบตามก้านช่อดอกของพืชบางชนิด เช่น พวก ว่านส่ีทิศ ดอก พลับพลึง ซึ่ง เป็ น ก้ า น ช่ อ ด อ ก ท่ี แ ท ง ขึ น ม า จ า ก ดิ น โดยตรง เนือ้ เยื่อเจรญิ เหนือข้อ เอกสารประกอบการเรียนการสอน วิชาชวี วทิ ยาเพิ่มเติม 3 ( ว 32243) ชัน้ มธั ยมศึกษาปีที่ 5 ครูผูส้ อน นางสมฤทยั ม่านกลาง ตาแหน่ง ครูชานาญการ โรงเรียนศรีสขุ วิทยา
P a g e | 12 เนอ้ื เยื่อเจริญสว่ นปลาย เนื้อเยื่อเจริญดา้ นข้าง ชนดิ Vascular cambium เอกสารประกอบการเรียนการสอน วิชาชวี วิทยาเพิ่มเติม 3 ( ว 32243) ชั้นมธั ยมศึกษาปที ี่ 5 ครูผ้สู อน นางสมฤทยั มา่ นกลาง ตาแหนง่ ครูชานาญการ โรงเรียนศรีสขุ วทิ ยา
จาแน กตามการเกิดและการเจริญ เติบโต P a g e | 13 แบ่งเป็น 3 ชนดิ ดังนี 3.1. Vascular cambium เป็นเนือเยื่อเจริญท่ี อยู่ระหว่าง xylem และ phloem ท้าหน้าท่ี 1. Promeristem เป็นเนือเยื่อเจริญที่เกิดขึนใหม่ มี สร้าง secondary xylem และ secondary phloem การแบ่งตัวอย่างรวดเร็ว เซลล์มีรูปร่างและ 3.2. Cork cambium ห รือ phellogen เป็ น ลักษณะใกล้เคียงกันและขนาดเท่ากันหมด พบ เนือเยื่อเจริญที่เกิดใกล้ๆ กับ epidermis ใน บริเวณ คอร์เทกของล้าต้น แบ่งตัวให้ บริเวณปลายราก ปลายยอด ปลายกิ่ง และตาของ cork และ phelloderm การเจริญของพืชท่ี ได้ จ า ก ก า ร แ บ่ ง เซ ล ล์ ข อ ง secondary พืช เมื่อแบ่งตัวช่วยให้ส่วนต่างๆ ของพืชยืดยาว meristem นี จดั วา่ เป็นการเจริญเติบโตขนั ท่ี สอง (secondary growth) ซึ่งจะท้าให้พืช และสูงขึน เซลล์ใหม่ที่เกิดขึนจะเปล่ียนสภาพเป็น ขยายขนาดใหอ้ ว้ นขนึ เนือเย่ือเจริญขันแรก และการเจริญเติบโตในขันนี หมายถึง เนือเย่ือที่ไม่มีความสามารถในการ แบ่งตัว มีการเปล่ียนแปลงรูปร่าง ขนาด เพื่อไปท้า จัดว่าเป็นการเจริญเติบโตขันแรก (primary หน้าที่เฉพาะอย่าง (Specialize cells) ถ้าเนือเย่ือ ประกอบด้วยกลุ่มเซลล์เพียงชนิดเดียว จะเรียกว่า growth) Simple permanent tissues เ ช่ น epidermis, parenchyma, collenchyma และ sclerenchyma 2. Primary meristem เป็ น เนื อ เย่ื อ เจ ริ ญ ที่ ถ้าเนือเย่ือประกอบด้วยกลุ่มเซลล์หลายชนิด จะ เรีย ก ว่ า Complex permanent tissues ได้ แ ก่ ประกอบด้วยเซลล์ซึ่งได้จากการแบ่งตัวของ xylem และ phloem promeristem พบในส่วนท่ีต้่าลงมาจากยอดลง เป็นเนือเยื่อพืนที่พบมากที่สุดในพืช ตามส่วน ต่างๆ โดยเฉพาะส่วนท่ีอ่อนนุ่ม เช่น บริเวณคอร์เทก มา เน่ือเย่ือเจริญชนิดนียังคงแบ่งตัวต่อไปอีก พิธ เนือผลไม้ พาเรนไคมาเป็นเซลล์ท่ีมีชีวิต ขนาด ค่อนข้างใหญ่ มีรูปร่างหลายแบบ เช่น รูปกลม รี Primary meristem มี 3 ชนดิ ได้แก่ ทรงกระบอก หรือรูปร่างไม่แน่นอน ภายในเซลล์อาจ พบหรือไม่พบนิวเคลียส ผนังเซลล์บางเป็นผนังเซลล์ 2.1. Protoderm พบอยู่ชันนอกสดุ เรียงเปน็ แถว ชั้ น แ ร ก ( primary wall) มั ก พ บ central vacuoles ขนาดใหญ่ และมี intercellular spaces เดียว แบ่งตัวเพียงด้านเดียวและพัฒนาไป เป็น อิพเิ ดอรม์ สิ 2.2. Procombium แ บ่ งตั วและพั ฒ น าเป็ น เนือเย่ือล้าเลียงขันแรก คือ primary xylem และ primary phloem นอกจากนีอาจ เปล่ียนสภาพไปเป็นเนือเย่ือที่ให้ก้าเนิดราก แขนง หรือเพรไิ ซเคลิ 2.3. Ground meristem แบ่งตัวและเจริญเป็น เนือเยื่อพืน ได้แก่เนือเย่ือบริเวณคอร์เทก พิธ เนือเยื่อถาวรท่ีได้จาก primary meristem จ ะ เรี ย ก เนื อ เย่ื อ เห ล่ า นี ว่ า primary pemanent tissues เ ช่ น epidermis parenchyma collenchyma sclerenchyma pith endodermis 3. Secondary meristem ไ ด้ แ ก่ vascular cambium และ cork cambium เป็นเนือเยื่อ เจริญซึ่งส่วนใหญ่พบทังในรากและล้าต้นของพืช ใบเลียงคู่ แบ่งตัวและเจริญเปล่ียนแปลงไปเป็น เนือเย่ือถาวร ท่ีเรียกว่า secondary permanent tissues เอกสารประกอบการเรยี นการสอน วิชาชวี วทิ ยาเพม่ิ เตมิ 3 ( ว 32243) ชัน้ มธั ยมศกึ ษาปีที่ 5 ครูผู้สอน นางสมฤทัย มา่ นกลาง ตาแหนง่ ครูชานาญการ โรงเรียนศรีสุขวิทยา
หน้าที่ P a g e | 14 สังเคราะห์ด้วยแสง เน่ืองจากมี chloroplast ภายในเซลล์ เรียกพาเรนไคมาชนิดนีว่า รูปร่างรี ยาว เซลล์มีผนังหนาไม่สม้่าเสมอ chlorenchyma เ ช่ น palisade แ ล ะ จัดเป็นผนังเซลล์ชันแรก เป็นเนือเย่ือท่ีสร้างความ spongy mesophyll ซึ่งพบในใบพืช เซลล์ที่ แข็งแรงให้กับพืช เม่ือมีการเจริญเติบโตเต็มที่ก็ยังเป็น เป็นส่วนประกอบของชันคอร์เทกของ ล้าต้น เนือเย่ือที่มีชีวิต พบโดยทั่วไปในส่วนของพืช เช่น เซลลส์ าหรา่ ยหางกระรอก stems petioles (stalk) laminae roots เมอ่ื cross- สะสมอาหาร ได้แก่เซลล์ท่ีเป็นส่วนประกอบ section ส่วนของล้าต้น มักพบ collenchyma อยู่ติด ของ ล้าต้นใต้ดิน รากสะสมอาหาร หรือ กับ epidermis หรือถูกขันด้วย parenchyma 2-5 พาเรนไคมาในบริเวณคอร์เทกหรือพิธ โดย แถว นอกจากนียังพบบริเวณเส้นใบ ซึ่งเป็นเนือเยื่อ ภายในจะบรรจุแป้ง โปรตีน น้ามัน หรือ ลา้ เลยี ง พบบริเวณมุมหรือเหลี่ยมของลา้ ตน้ ผนังเซลล์ น้าตาลไว้ เรียกเซลล์เหล่านีว่า reserved หนาท้าหน้าไม่พบ Intercellular air spaces หรือพบ parenchyma หรือ storage parenchyma น้อยมาก ส่วนประกอบภายในเซลล์อาจพบ nucleus เกิด gaseous exchange และช่วยให้พืช chloroplasts บ้างแต่พบน้อยมาก เนื่องจากมีผนัง ลอยตัวบนน้าได้ ได้แก่พ าเรนไคมาที่ มี เซลล์ท่ีหนา Collenchyma เช่ือว่า Collenchyma มี intercellular air spaces ม า ก เ รี ย ก ต้ น ก้ า เ นิ ด ม า จ า ก parenchyma จ า ก นั น aerenchyma differentiate โดยผนังเซลล์จะ เสริมให้มีความ แข็งแรงมากขึนโดยการสะสมของ cellulose และ Storage parenchyma pectin หนา้ ที่ เพิ่มความแข็งแรงให้ส่วนต่างๆ ของพืช เช่น ส่วนก้านใบ ส่วนล้าต้น ผนังเซลล์ประกอบด้วย เซลลูโลส เพคติน (มีคุณสมบัติอุ้มน้าได้ดี) และสาร อน่ื ๆ แตไ่ ม่มีลกิ นิน ชนดิ ของ Collenchyma แบ่งตามการสะสมของสารต่างๆ ท่ีบริเวณผนังเซลล์ ไดด้ ังนี 1. Lamellar collenchyma ผนังเซลล์ด้านนอน หนา (tangential walls) กว่าบริเวณอ่นื ๆ Aerenchyma เอกสารประกอบการเรยี นการสอน วชิ าชวี วิทยาเพ่ิมเติม 3 ( ว 32243) ชัน้ มธั ยมศกึ ษาปีที่ 5 ครูผสู้ อน นางสมฤทัย ม่านกลาง ตาแหน่ง ครูชานาญการ โรงเรียนศรีสุขวิทยา
2. Angular collenchyma เปน็ collenchyma ที่มี P a g e | 15 ผนังเซลลห์ นาตามมุมของเซลลต์ ลอดความยาว ช่ อ ง ว่ า ง ภ า ย ใ น เ ซ ล ล์ เ รี ย ก ว่ า Lumen 3. Lacunar ห รื อ tubular collenchyma ผ นั ง Sclerenchyma cells มักพบปะปนกับเซลล์ เซลล์ด้านที่ติดกับช่องว่างระหว่างเซลล์หนากว่า ชนิดอ่ืนเพื่อท้าหน้าท่ีให้ความแข็งแรงแก่โครงสร้าง บริเวณอืน่ ๆ ต่างๆ Sclerenchyma มักพบตามล้าต้น และในใบพบ ในส่วนของมัดท่อน้าท่ออาหาร Sclerenchyma สร้าง เมื่อเจริญเต็มที่จะไม่มีชีวิต มีผนังเซลล์ท่ีหนา ความแข็งแรงให้กับเมล็ดโดยเฉพาะส่วนของเปลือกหุ้ม เมล็ด จัดเป็นเนือเย่ือส้าคัญที่สร้างความแข็งแรงให้กับ มาก คา้ ว่า \"sclerenchyma\" มาจากภาษา Greek คือ พชื \"scleros\" แปลว่า \"hard\" ซึ่งความแข็งแรงท่ีว่ามา Sclerenchyma สามารถแบ่งออกเป็น 2 ชนดิ โดยใช้ลักษณะรูปร่างทแี่ ตกตา่ งกันดังนี จากผนงั เซลลท์ ่ีหนานัน่ เอง 1. ไฟเบอร์ (fiber) ลักษณะเซลล์ยาว ปลายเซลล์ ลักษณะเด่นของเซลล์นีคือ ผนังเซลล์ข้ันที่ เรียว ผนังเซลล์หนามาก พบอยู่รวมกันเป็นกลุ่ม หรอื เป็นมัด เช่น ในเนือไม้ (xylem fibres) ในท่อ ส อ ง (secondary wall) ห น า ป ร ะ ก อ บ ด้ ว ย ล้าเลียงอาหาร (phloem fibres) ส่วนประกอบ ของท่อล้าเลียงบริเวณใบ (vein) หรือเป็นเนือเย่ือ cellulose และ/หรือ lignin โปรโตพลาสต์ ท่ี ให้ ค ว าม แ ข็ งแ ร งใน พื ช ใบ เลี ย งเด่ี ย ว มี ความส้าคัญทางเศรษฐกิจมาก เพราะมีชันของ มักสลายไปหลังจากผนังเซลล์เจริญเต็มท่ี เหลือเป็น fibre หนา มีความเหนียวมาก ให้ท้าเชือกและส่ิง ทออื่นๆ เช่น ป่านลินิน ใยกัญชา ป่านรามี Fiber 2. สเกลอรีด (sclereid หรือ stone cell) ท่ีเรียก มักพบอยู่รวมกันเป็นกระจุกๆ อาจพบในชัน cortex เรียก cortical fiber ใน xylem เรียก stone เน่ืองจากเซลล์มีความแขง็ แรงเหมือนหนิ มี xylem fiber ใน phloem เรยี ก phloem fiber รูปร่างหลายแบบ เช่น ลักษณ ะอ้วน ป้อม เปลือกหุ้มเมล็ดของผลไม้บางชนิด เช่น พุทรา เซลล์มักประกอบด้วยส่วนของผนังเซลล์ทังหมด isodiametric, forked ลักษณะคล้ายดาว หรือ ผนังเซลล์มักพบ pits ที่แตกแขนง มองเห็นได้ ชดั เจน เรยี กว่า ramiform pits แตกแขนงหลายแบบ ถ้าเปรียบเทียบกับ fibres sclereids มักจะสันกว่า ป้อมกว่า อาจพบอยู่ รวมกล่มุ กนั เป็นมัด หรือ พบเซลล์เด่ยี วๆ หรอื รวม เป็นกลุ่มเล็กๆ ภายใน parenchyma tissues ตัวอย่างเช่น stone ของลูกแพร์ (pears: Pyrus communis) และสาล่ี stone cell ทมี่ ักถูกน้ามาเป็นตวั อย่างศึกษาคอื stone cell ท่ี เป็นส่วนประกอบของกะลามะพร้าว เปลือกถั่ว เอกสารประกอบการเรยี นการสอน วิชาชวี วิทยาเพมิ่ เติม 3 ( ว 32243) ชน้ั มธั ยมศกึ ษาปที ่ี 5 ครูผสู้ อน นางสมฤทยั มา่ นกลาง ตาแหนง่ ครูชานาญการ โรงเรียนศรีสุขวิทยา
P a g e | 16 ม าจ าก ภ าษ าก รีก epi ห ม าย ถึ ง upon อิพิเดอร์มิสของล้าต้นพืชท่ีมีสี เช่น ชบา ฤาษี ผสม จะมีรงควัตถุพวก anthocyanin อยู่ภายใน พืช ข้างบน และ derma หมายถึง skin ผิว เป็นเนือเย่ือ ใบเลียงเด่ียวจะมีอิพิเดอร์มิสที่เปลี่ยนแปลงไปรูปร่าง คล้ายถุงเรียงกัน เรียก bulliform cells ช่วยในการ ชันนอกสุดของส่วนต่างๆ ของพืช ประกอบด้วยเซลล์ คล่ีหรือแผ่ขยายของใบ พืชบางชนิด เช่น กล้วยไม้ มีอิพิเดอร์มิสหลายชัน เรียกว่า velamen อิพิเดอร์มิส เรียงตัวเพียงชนั เดียว มักไมพ่ บ intercellular spaces ทีพ่ บในรากบางเซลล์จะเปลีย่ นแปลงไปเป็น root hair เพื่อช่วยเพิ่มพืนที่ในการดูดน้าและแร่ธาตุจากดิน รูปร่างแบนยาว ผนังเซลล์บาง โดยส่วนใหญ่ผนังเซลล์ บ ริเวณ ล้าต้น กิ่ง ใบ ก็สาม ารถพ บ hair ห รือ trichome ไดเ้ ชน่ กนั ด้านนอกจะหนากว่าด้านใน และพบมสี ารคิวตนิ ซ่งึ เป็น สารพวกไขมันเคลือบอยู่ชันนอก ยกเว้นในรากจะมี suberin เคลอื บ พืชทขี่ นึ อยใู่ น ท่ีแห้งแล้งมักมีคิวตินเคลือบหนา เพื่อรักษาน้าท่ีอยู่ ภายใน โดยท่ัวไป อิพิเดอร์มิสไม่มี chloroplast ยกเวน้ guard cells Guard cells เ ป็ น epidermal cells ท่ี เปลี่ยนแปลงไปมีรูปร่างคล้ายเมล็ดถ่ัว 2 เซลล์ประกบ กัน ภายในมี chloroplasts สังเคราะห์แสงได้ เมื่อ guard cells เต่งเกิดช่อง (pore) เรียกโครงสร้าง ทังหมดว่า Stoma ซึ่งจะเป็นส่วนท่ีท้าให้เกิดการ เอกสารประกอบการเรยี นการสอน วิชาชวี วิทยาเพม่ิ เตมิ 3 ( ว 32243) ชน้ั มธั ยมศกึ ษาปที ี่ 5 ครูผ้สู อน นางสมฤทัย มา่ นกลาง ตาแหน่ง ครูชานาญการ โรงเรียนศรีสขุ วิทยา
แ ล ก เป ลี่ ย น ก๊ า ซ แ ล ะ ก า ร ค า ย น้ า ข อ ง พื ช P a g e | 17 พืชส่วนใหญ่จะพบ stoma บริเวณท้องใบ (lower epidermis) มากกว่าหลังใบ ส่วนในพืชน้ามักพบ เป็นเนือเย่ือถาวรเชิงเดี่ยวท่ีพบในพืชที่มีการ ด้านหลังใบมากกว่าท้องใบ นอกจากนีบริเวณรอบๆ เจริญในขันท่ี 2 ( secondary growth) ซ่ึงอาจเกิด stoma จะมี epidermal cells ท่ีมีรูปร่างแตกต่าง ในชนั cortex ของล้าต้นหรือในชัน stele ของรากก็ จาก อิพิเดอร์มิสปกติ ซ่ึงเรียกเซลล์นีว่า ได้ โดยมีกระบวนการเกิดเริ่มจาก cork cambium subsidiary cells พบอยรู่ อบๆ stomata เสมอ ซึ่ ง เป็ น lateral meristem ท่ี อ า จ เกิ ด จ า ก pericycle cortex epidermis หรือ phloem ก็ Bulliform cells เรียกอีกอย่างว่า moter ได้แล้วแต่ชนิดของพืช cork cambium หรืออีกช่ือ cell เป็นเซลล์ขนาดใหญ่ ผนังเซลล์บาง รูปร่างคล้าย หนึ่งคือ phellogen จะท้าการแบ่งเซลล์โดยแบ่ง ถุง พบอยู่ด้านหลังใบ (upper epidermis) อยู่ตลอด เซลล์ให้เซลล์ใหม่ทางด้านนอกท่ีเรียกว่า cork หรือ ความยาวของใบพืชใบเลียงเด่ียว ซึ่งมักพบประมาณ อีกชื่อคือ phellem และแบ่งให้กลุ่มเซลล์ทางด้าน 3-4 เซลล์ต่อกลุ่ม ภายในบรรจุน้าท้าให้เซลล์เต่ง ใบ ในท่ีเรียกว่า phelloderm cork หรือ phellem พืชแผ่ขยายออก แต่ถ้า bulliform cells สูญเสียน้า ซึ่งเป็นเซลล์ที่อยู่ทางด้านนอกจะมีสารพวก suberin เซลลจ์ ะลีบลงเปน็ ผลทา้ ให้ใบพืชมว้ นงอ หรอื เห่ียว มาสะสมท้าให้น้าผ่านเข้ามาไม่ได้ ส่งผลให้ในท่ีสุด เซลล์ cork ก็ตาย เมื่อมีการแบ่งตัวของ cork เป็นเนือเย่ือท่ีอยู่ถัดออกมาจากเนือเย่ือล้าเลียงในราก cambium มากขึนก็จะท้าให้ชันของ cork มีมาก หรือเป็นเนือเย่ือชนั ในสุดของชัน cortex รูปร่างของ ขึนเช่นกันและจะไปดันให้ส่วนของเซลล์ที่อยู่ถัด เซลล์คล้าย parenchyma เซลล์เรียงตัวเพียงชัน ออกไปหลุดหายไปด้วยเรียกเนือเยื่อ cork, cork เดยี ว ไม่มีช่องว่างระหวา่ งเซลล์ ผนังเซลล์จะหนา 3 cambium และ phelloderm ทัง 3 ชนิดรวมกัน ด้าน คือด้านข้างและด้านท่ีติดกับชนั stele โดยสาร วา่ ชนั periderm ที่มาพอกนีเป็นสารพวก lignin และ suberin การ มีลักษณะผนังหนา 3 ด้านนีเป็นประโยชน์ในการ ยับยังมิให้น้าและเกลือแร่ที่ขนรากดูดเข้ามาล้าเลียง ไป สู่ xylem ร ว ด เร็ ว เกิ น ไ ป เซ ล ล์ ข อ ง endodermis บางเซลล์มีลักษณะท่ีเป็นผนังบางคือ ไม่มีการฉาบของของสาร lignin และ suberin เรียก เซลล์ที่มีลักษณะเช่นนีว่า passage cell เพราะ เซลล์บริเวณนีจะเป็นช่องทางให้น้าผ่านเข้าสู่ xylem ในชัน stele นั่นเอง นอกจากนี endodermis ยัง มีแถบท่ีเรียกว่า casparian strip อยู่ด้วยซ่ึงแถบ casparian strip จะช่วยในการป้องกันไม่ให้น้าแพร่ ผ่านระหวา่ งเซลลข์ อง endodermis ดว้ ยกันเอง เอกสารประกอบการเรยี นการสอน วิชาชวี วิทยาเพิ่มเติม 3 ( ว 32243) ชนั้ มธั ยมศึกษาปีท่ี 5 ครูผ้สู อน นางสมฤทัย ม่านกลาง ตาแหน่ง ครูชานาญการ โรงเรยี นศรีสุขวทิ ยา
P a g e | 18 คือ เนือเยื่อที่ประกอบด้วยเซลล์หลายๆ ชนิดมาท้า เรียบ มีส่วนท่ีเป็น Pitts ใช้ในการล้าเลียงน้าไปยัง หน้าท่ีร่วมกัน เซลล์ท่ีอยู่ข้างเคียง ซึ่ง Pits ที่พบโดยทั่วไปคือ bordered pits Xylem จัดเป็นเนือเยื่อท่ีท้าหน้าท่ีหลักใน 3. Xylem parenchyma เป็นเซลล์ parenchyma ก า ร ล้ า เลี ย ง น้ า (water-conducting tissue) ใน ที่มารวมอยู่ในกลุ่มของไซเลม เป็นเซลล์ท่ีมีชีวิต vascular plants ป ร ะ ก อ บ ด้ ว ย tracheary ผนังเซลล์อาจหนากว่า parenchyma ทั่วๆ ไป elements ไ ด้ แ ก่ Vessel member แ ล ะ ท้าหน้าที่สะสมอาหารพวกแป้ง น้ามัน ผลึก และ Tracheid นอกจากนันยังมี xylem fibres และ อ่ืนๆ และท้าหน้าท่ีล้าเลียงน้า และแร่ธาตุใน xylem parenchyma เพ่ือท้าหน้าท่ีในการล้าเลียงให้ แนวดง่ิ ถ้าลา้ เลยี งในแนวรศั มเี รยี ก xylem ray สมบู รณ์ ยิ่งขึน เซล ล์ท่ี ป ระกอบ เป็ น xylem มี 4. xylem fiber เซลล์มีรปู ร่างยาวแบบ fiber ทั่วไป secondary cell walls ซ่ึ ง มั ก ไ ม่ มี protoplasts แต่ขนาดสันกว่า ผนังหนาปลายแหลม เป็นเซลล์ที่ ในช่วงท่ีเซลล์ maturity และมักพบ Bordered pits ไม่มีชวี ติ เมือ่ เจรญิ เตม็ ท่ีใหค้ วามแขง็ แรงแก่พชื เป็นส่วนท่ีท้าหน้าท่ีในการาล้าเลียง ส่วน vessels ผนังเซลล์ชันที่สองของ vessel มีลวดลายต่างๆ เช่น ล้าเลียงนา้ ผา่ น perforated ผา่ นทาง end walls Spiral (helical) thickening เป็นเกลียวเวียนรอบ Xylem ประกอบดว้ ยเซลล์ 4 ชนดิ คือ Anular thickening เป็ น ว ง แ ห ว น Reticulate 1. Vessel member เป็นเซลล์ท่ีท้าหน้าที่ล้าเลียง thickening เป็นตาข่ายสานกัน Pitted thickening เป็นรู (pit) น้าในพืชกลุ่ม angiosperms ลักษณะเซลล์คล้าย หลอด ปลายตัด มีความแตกต่างจาก tracheids คอื ดา้ นปลายเซลล์ (final walls) มีลักษณะเป็นรู พรุนคล้ายแผ่นตะแกรง (perforated) เพ่ือให้น้า ผ่ าน ได้ เมื่ อ ตั ด cross-section พ บ vessels ข น า ด เซ ล ล์ ให ญ่ ก ว่ า tracheids ท้ า ให้ มี ความสามารถจุน้าได้มาก มีผนังเซลล์ขันท่ีสอง หนา (thick-walled) ซ่ึงเกิดจากการสะสมของ เซลลูโลส และลิกนิน ซง่ึ เปน็ องค์ประกอบของผนัง เซลล์ขันที่สอง ท้าให้เกิดเป็นลวดลายต่างๆ เช่น spiral thickening, anular thickening, reticulate thickening 2. Tracheid ท้ าห น้ าท่ี ห ลักใน การล้าเลียงน้ า (water-conducting elements) ใ น พื ช gymnosperms และพืชที่ไม่มีเมล็ด สามารถพบ ได้ในทังพืชกลุ่ม angiosperms เซลล์ของเทรคีต ยาว ปลายแหลมปิดทงั สองด้าน ความยาวเฉลยี่ 1 mm เมื่อ cross-section เหมือนรูปสี่เหลี่ยม ผนัง เซลล์เป็น lignified secondary wall ผิวเซลล์ เอกสารประกอบการเรียนการสอน วชิ าชวี วทิ ยาเพิม่ เติม 3 ( ว 32243) ชน้ั มธั ยมศกึ ษาปที ่ี 5 ครูผสู้ อน นางสมฤทัย มา่ นกลาง ตาแหนง่ ครชู านาญการ โรงเรยี นศรีสขุ วทิ ยา
P a g e | 19 Phloem มาจากภาษกรีก phloios หมายถึง เปลือกไม้ (bark) ท้าหน้าที่ล้าเลียงสารอินทรีย์ เช่น sucrose ไปยังส่วนต่างๆ ของพืช ทุกส่วนซ่ึงแตกต่าง จากการล้าเลียงน้าที่ล้าเลียงจากด้านล่างขึนสู่ด้านบน เพียงอย่างเดียวเท่านัน ประกอบ sieve element, companion cell, phloem fibres แ ล ะ phloem parenchyma Phloem ประกอบด้วยเซลล์ 4 ชนดิ คือ 1. sieve tube member ตังช่ือตามลักษณะของ ของเซลล์ที่ด้านปลาย (end walls) จะเป็นรูพรุน (sieve plate) จ ะ มี ส่ ว น ข อ ง cytoplasm เชื่อมต่อกันได้ระหว่างเซลล์ใกล้เคียงกัน ซึ่งจะท้า ใ ห้ ข น ส่ ง sugars, amino acids ที่ ไ ด้ จ า ก กระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสง จากแหล่งท่ีสร้าง (source) เชน่ leaves ไปยังสว่ นท่ีรับ (sinks) เชน่ ราก ด อ ก ผ ล ล้ าต้ น แ ล ะบ ริเว ณ ท่ี มี ก าร เจริญเติบโต Sieve tube member เป็นเซลลท์ ี่มี ชีวิต ผนังเซลล์บาง เมื่อเจริญ เต็มที่จะไม่มี nucleus และมี organelles อ่ืนน้อยมาก ภายใน บรรจุโปรตีนเป็นจ้านวนมาก และจะต้องท้างาน ร่วมกบั companion cells เสมอ 2. Companion cells จั ด เ ป็ น specialized parenchyma cells ที่ พ บ อ ยู่ ร่ว ม กั บ Si[eve tube เป็นเซลล์ขนาดเล็ก ผนังเซลล์บาง พบ นิวเคลียสอยู่ภายใน จะเช่ือมต่อกับ Sieve tube โดยส่วนของ cytoplasm ย่ืนเข้าไปเป็นช่องเล็กๆ ในเซลล์ของอีกฝ่าย ท้าหน้าท่ีช่วยเหลือและ ควบคุมการทา้ งานของ seive tube 3. Phloem fibres เซลลร์ ปู รา่ งเรยี วยาวไปทางด้าน ปลาย มีผนังเซลล์หนาเช่นเดียวกับ fibres ท่ัวไป ท้าหน้าท่ีสร้างความแข็งแรง 4. Phloem parenchyma เป็นเซลล์ท่ีมีชีวิต ผนัง เซลล์บาง ทา้ หนา้ ท่ีเกบ็ สะสมอาหาร เอกสารประกอบการเรยี นการสอน วิชาชวี วทิ ยาเพม่ิ เติม 3 ( ว 32243) ชั้นมธั ยมศึกษาปีที่ 5 ครูผู้สอน นางสมฤทยั มา่ นกลาง ตาแหนง่ ครูชานาญการ โรงเรียนศรีสขุ วิทยา
P a g e | 20 หมายเหตุ ๑. การเจริญเตบิ โตของพืชทเ่ี กิดจากการแบ่งตวั ของ เนือเย่อื เจริญได้เนือเยื่อถาวรชุดแรก เรียกการ เจรญิ เติบโตในชว่ งนีว่า การเจรญิ เตบิ โตระยะแรก หรอื primary growth ๒. การเจรญิ เตบิ โตของพืชทเี่ กดิ จากการแบ่งตวั ของ primary meristem ได้เนือเยือ่ ถาวรชุดทสี่ อง เรียก การเจรญิ เตบิ โตในช่วงนวี า่ การเจรญิ เติบโตระยะที่ สอง หรอื secondary growth ๓. จะเหน็ วา่ ใน secondary growth มเี นือเยอื่ xylem และ phloem เกดิ ขนึ อีกหนง่ึ ชดุ จงึ เรียกเนือเย่ือ xylem และ phloem ที่เกดิ ก่อนวา่ primary xylem และ primary phloem และเรยี กเนือเย่ือ xylem และ phloem ทเี่ กดิ ชุดหลัง ว่า secondary xylem และ secondary phloem ๔. เรยี กเนอื เย่อื ชดุ ทป่ี ระกอบด้วย cork cambium, cork, phelloderm วา่ periderm เอกสารประกอบการเรยี นการสอน วิชาชวี วิทยาเพ่ิมเติม 3 ( ว 32243) ชัน้ มธั ยมศกึ ษาปีที่ 5 ครูผสู้ อน นางสมฤทัย ม่านกลาง ตาแหนง่ ครูชานาญการ โรงเรียนศรีสุขวิทยา
แบบฝึ กหดั ทบทวน P a g e | 21 เรอ่ื ง เนื้อเย่อื พืช การแยกประเภทของเนื้อเย่ือเจริญโดยจาแนก เนื้อเยอ่ื พชื แบง่ ตามความสามารถในการแบง่ ตวั ตามการเกิดและการเจริญเติบโต แบ่งเป็ น 3 ได้เป็น 2 ชนิดคือ ประเภท ซึ่งแต่ละประเภทมีลกั ษณะดงั นี้ ......................................................................... Promeristem ......................................................................... ................................................................. เนื้อเยอ่ื เจริญ (Meristematic tissues) ......................................................................... หมายถึงกลมุ่ ของเซลลท์ ี่มีความสามารถ เซลล์ใหม่ท่ีเกิดขึ้นจะเปลี่ยนสภาพเป็ น แบง่ ตวั แบบ เนื้อเย่ือ.......................................................... ......................................................................... และการเจริ ญ เติ บ โตในขั้นนี้ จัด ว่าเป็ น การแยกประเภทของเนื้อเยอื่ เจริญโดย ......................................................................... จาแนกตามตาแหน่งที่อยู่ได้เป็น 3 ชนิดคอื Primary meristem ......................................................................... เป็นเนื้อเยื่อเจริญท่ีประกอบด้วยเซลลซ์ ึ่ง ......................................................................... ไดจ้ ากการแบ่งตวั ของ ………………………… ......................................................................... เนื่อเยื่อเจริญชนิ ดนี้ยงั คงแบ่งตวั ต่อไป การแยกประเภทของเนื้อเยอ่ื เจริญโดย อีก ซ่ึง Primary meristem นี้ มี 3 ชนิด คือ จาแนกตามการเกิดและการเจริญเติบโต 1) Protoderm พฒั นาเป็น............................ แบง่ เป็น 3 ชนิดคือ 2) Procombium พฒั นาเป็น.......................... ......................................................................... ........................................................................ ......................................................................... 3) Ground meristem พฒั นาเป็น................. ......................................................................... ........................................................................ เนื้อเย่ือเจริญสว่ นปลาย (apical meristem) ........................................................................ พบไดใ้ นบริเวณใด Secondary meristem ......................................................................... ไดแ้ ก่ ........................................................ ......................................................................... ......................................................................... เป็ นเนื้ อเยื่อเจริญ ซ่ึงส่วนใหญ่ พบใน เนื้ อเย่ือเจริญด้านข้าง (lateral meristem หรือ ......................................................................... axillary meristem) เ รี ย ก ชื่ อ อี ก อ ย่ า ง ว่ า ......................................................................... ............................................ แบ่งเป็น 2 ชนิดคือ แบ่งตัวและเจริญเปลี่ยนแปลงไปเป็ น ......................................................................... เนื้อเย่อื ถาวร ที่เรียกว่า ......................................................................... ......................................................................... ......................................................................... เนื้ อเย่ือเจริญเหนื อข้อ (intercalary meristem) พบได้ในพชื ชนิดใดและมีประโยชน์อยา่ งไร ......................................................................... ......................................................................... เอกสารประกอบการเรยี นการสอน วิชาชวี วิทยาเพ่ิมเตมิ 3 ( ว 32243) ชั้นมธั ยมศกึ ษาปที ่ี 5 ครูผู้สอน นางสมฤทยั มา่ นกลาง ตาแหนง่ ครูชานาญการ โรงเรียนศรีสขุ วิทยา
P a g e | 22 จากชนิดและประเภทของเนื้อเย่ือเจริญ นักเรยี นสามารถเขียนเป็นแผนผงั สรปุ ไดด้ งั นี้ จาแนกตามตาแหน่งท่ีอยู่ จาแนกตามการเกิดและการเจริญเติบโต การแยกประเภทของเนื้อเย่ือเจริญโดยจาแนกตามการเกิดและการเจริญเติบโต ซึ่งแต่ละประเภทจะมีการ เปลี่ยนแปลงไปเป็นเนื้อเย่ือถาวร ซึ่งสรปุ ไดต้ ามแผนผงั ดงั ต่อไปนี้ ……………………………………………….. โปรเมอริสเตม เนื้อเย่อื เจริญขนั้ แรก ……………………………………………….. (Promeristem) (Primary meristem) ……………………………………………….. ……………………………………………….. เนื้อเย่ือเจริญขนั้ ท่ีสอง ……………………………………………….. (Secondary meristem) ……………………………………………….. ……………………………………………….. ……………………………………………….. ……………………………………………….. เอกสารประกอบการเรยี นการสอน วชิ าชวี วทิ ยาเพ่ิมเติม 3 ( ว 32243) ชนั้ มธั ยมศึกษาปที ี่ 5 ครูผ้สู อน นางสมฤทยั ม่านกลาง ตาแหนง่ ครูชานาญการ โรงเรยี นศรีสุขวิทยา
P a g e | 23 ให้นักเรยี นนาช่ือของเนื้อเยื่อพืชต่อไปนี้ ไปเติมลงในช่องวา่ งให้ครบถ้วนและถกู ต้อง Sclerenchyma / photosynthesis / passage cell / cuticle / epidermis / chloroplast cutin / xylem / chlorenchyma / tracheid / casparain strip / phloem / fiber / endodermis / companion cell 1. ………………………… เป็นเซลลท์ ม่ี ชี วี ติ ช่วยปกคลุมและป้องกนั อนั ตรายให้แก่เซลลท์ อ่ี ยู่ภายใน ผนงั เซลลห์ นา เพราะมสี าร ........................... มาเคลอื บ และเรยี กชนั้ ของเซลลท์ ม่ี สี ารมาเคลอื บน้วี า่ ................................................ 2. พาเรงคมิ าบางกลมุ่ สามารถทาหน้าทใ่ี นการ.........................................ได้ เน่อื งจากเซลลเ์ หลา่ น้ีม.ี ............................. และเรยี กกลุ่มเซลลพ์ าเรงคมิ าชนิดน้วี ่า ..................................................... 3. เน้อื เย่อื ทช่ี ว่ ยใหต้ น้ ไมไ้ ม่หกั โคน่ เวลาถูกลมพดั เพราะตน้ ไมส้ ามารถเอนหรอื ไหวตวั ได้ คอื เน้อื เย่อื ............................. 4. เน้อื เยอ่ื ทเ่ี ป็นลกั ษณะพเิ ศษของรากคอื .................................... ซง่ึ จะมสี ารมาพอกเกดิ เป็นแถบคาดรอบเซลล์ เรยี ก แถบน้ีวา่ .................................... ซง่ึ น้าไม่สามารถผา่ นไดแ้ ต่จะผา่ นเขา้ ทางเซลลท์ เ่ี รยี กวา่ .......................................... 5. เน้ือเย่ือถาวรเชิงซ้อนประกอบด้วยกลุ่มเซลล์ 2 กลุ่ม คือ ท่อลาเลียงน้าและแร่ธาตุ(................................) และท่อลาเลยี งอาหาร(.......................................) 6. ไซเลมและโฟลเอมเป็นเน้ือเย่อื ท่ปี ระกอบด้วยเซลล์หลายชนิด ซง่ึ เซลล์ทพ่ี บในเน้ือเย่อื ทงั้ สองคอื พาเรงคมิ าและ ...................................... แต่ในไซเลมจะมีกลุ่มเซลล์ท่ีเรียกว่าเวสเซลและ .................................. ส่วนโฟล เอม ประกอบดว้ ยซพี ทวิ บเ์ มมเบอรแ์ ละ......................................................... ให้นักเรยี นนาช่ือของเนื้อเยอื่ พชื ต่อไปนี้ ไปจบั ค่กู บั ภาพให้ถกู ต้องสมั พนั ธก์ นั สเคลอรีด เทรคีด ไฟเบอร์ พาเรงคิมา คอลเลงคมิ า เวสเซล (sclereid) (tracheid) (fiber) (parenchyma) (collenchyma) (vessel) เอกสารประกอบการเรยี นการสอน วิชาชวี วทิ ยาเพม่ิ เตมิ 3 ( ว 32243) ชน้ั มธั ยมศึกษาปีที่ 5 ครูผูส้ อน นางสมฤทยั มา่ นกลาง ตาแหนง่ ครชู านาญการ โรงเรยี นศรีสุขวิทยา
ให้นักเรียนตอบคาถามต่อไปนี้ให้ถกู ต้อง P a g e | 24 1. จงเปรยี บเทยี บลกั ษณะเน้อื เย่อื เจรญิ กบั เน้อื เยอ่ื ถาวรมา 13. เน้อื ไมบ้ รเิ วณใดทม่ี คี วามหนาคอ่ นขา้ งคงท่ี 2 ขอ้ ........................................................................................ ........................................................................................ 14. เน้อื เย่อื ถาวรเชงิ เดย่ี วชนิดใดพบมากทส่ี ดุ ในพชื ........................................................................................ ........................................................................................ 15. ผลสาลแ่ี ละฝรงั่ พบเน้อื เยอ่ื ชนิดใดมากทส่ี ดุ 2. โพรแคมเบยี มพฒั นาเป็นเน้อื เยอ่ื ถาวรชนดิ ใด ........................................................................................ ........................................................................................ 16. กา้ นใบของค่นื ช่าย จะพบเนอ้ื เยอ่ื ถาวรเชงิ เดย่ี วอะไร ........................................................................................ 3. ลกั ษณะทแ่ี ตกต่างกนั อยา่ งเดน่ ชดั ระหว่าง 17. epidermis ทม่ี คี ลอโพลาสต์ คอื เซลลใ์ ด และมหี น้าท่ี parenchyma กบั collenchyma คอื อะไร อย่างไร ........................................................................................ ........................................................................................ 18. ออ้ ยและชบามเี น้อื เย่อื เจรญิ ชนิดใดเหมอื นกนั ........................................................................................ ........................................................................................ 19. จงระบชุ ่อื เน้อื เยอ่ื ทย่ี งั มชี วี ติ ทส่ี ามารถพบในบรเิ วณ 4. casparian strip หมายถงึ อะไร cortex มา 1 ชนดิ ........................................................................................ ........................................................................................ 20. sieve tube มลี กั ษณะอยา่ งไรทช่ี ว่ ยใหเ้ กดิ การลาเลยี ง 5. ตน้ จามจรุ ที โ่ี รงเรยี นของเราลาเลยี งน้าและแร่ธาตุทาง อาหารไดด้ ี ไซเลมผ่านเซลลช์ นิดใดเป็นหลกั ........................................................................................ ........................................................................................ 21. เน้อื เยอ่ื ถาวรเชงิ เดย่ี วทผ่ี นงั เซลลม์ สี ารซเู บอรนิ มา พอกสามารถพบในเน้อื เย่อื ชนั้ ใด บอกมาหน่งึ ชนิด 6. ตน้ กุหลาบลาเลยี งน้าตาลทไ่ี ดจ้ ากการสงั เคราะหด์ ว้ ย ........................................................................................ แสงทางโฟลเอมผ่านทางเซลลช์ นดิ ใดเป็นหลกั 22. เซลลพ์ ชื ทม่ี ชี วี ติ แต่ไมม่ นี วิ เคลยี สคอื เซลลใ์ ด ........................................................................................ ........................................................................................ 23. จงบอกชอ่ื พชื ใบเลย้ี งเดย่ี วทม่ี กี ารเจรญิ เตบิ โตแบบ 7. xylem ray และ phloem ray ประกอบดว้ ยกลมุ่ เซลลช์ อ่ื ทุตยิ ภมู มิ าหน่ึงชนดิ อะไร ........................................................................................ ........................................................................................ 24. เราสามารถพบไฟเบอรใ์ นพชื ประเภทใด บอกมาหน่งึ ชนดิ 8. จงอธบิ ายความหมายของ sap wood ........................................................................................ ........................................................................................ 9. จงอธบิ ายความหมายของ hard wood ........................................................................................ ........................................................................................ 10. passage cell พบในเน้อื เยอ่ื ชนั้ ใด ........................................................................................ 11. pericycle พบบรเิ วณใด มหี น้าทอ่ี ะไร ........................................................................................ 12. annual ring เกดิ จากเน้อื เยอ่ื ประเภทใด ........................................................................................ เอกสารประกอบการเรยี นการสอน วิชาชวี วิทยาเพิม่ เตมิ 3 ( ว 32243) ชนั้ มธั ยมศึกษาปีท่ี 5 ครูผูส้ อน นางสมฤทยั ม่านกลาง ตาแหน่ง ครชู านาญการ โรงเรียนศรีสขุ วทิ ยา
Page |9 ราก คอื เม่อื นารากมาตดั ตามขวางในส่วนทเ่ี ป็นบรเิ วณเจรญิ เตม็ ท่ี อวยั วะหรอื สว่ นของพชื ทไ่ี มม่ ขี อ้ ปลอ้ ง ตา และใบ (zone of cell maturation) จะพบว่ารากประกอบด้วย สว่ นของพชื ทม่ี กี ารเจรญิ เตบิ โตลงสดู่ นิ ตามแรงดงึ ดดู เน้อื เย่อื ชนดิ ต่างๆคอื ของโลก (Poitive geotropism) เป็นเน้อื เยอ่ื ทอ่ี ยชู่ นั้ นอกสดุ ทาหน้าทป่ี ้องกนั อนั ตราย มกี าเนิดมาจากสว่ นปลายของเรดเิ คลิ (Radicle) ใหแ้ ก่เน้ือเย่อื ภายในราก บางชนิดมีการเปล่ยี นแปลงไป เป็นขนราก(root hair) เพ่อื ทาหน้าทด่ี ดู น้าและแร่ธาตุ ส่วน ของตน้ ออ่ นหรอื เอมบรโิ อซง่ึ เรยี กวา่ ไฮโพคอทลิ ใหญ่เอพิเดอรม์ สิ ในรากจะเรยี งตวั ชนั้ เดยี วแต่รากพชื บาง (Hypocotyl) ชนิดเช่น รากของกล้วยไม้เอพิเดอร์มิสจะมีหลายชัน้ นอกจากน้มี รี ากบางชนดิ ทม่ี ไิ ดก้ าเนดิ จากเรดเิ คลิ หรอื (multiple epidermis) เรยี กชอ่ื เฉพาะว่า velamen รากแขนง แต่เจรญิ มาจากสว่ นอน่ื ๆ ของ ลาตน้ อาทเิ ชน่ ใบ ขอ้ กง่ิ เรยี กรากชนดิ น้วี า่ รากพเิ ศษ เป็ นชัน้ ของเน้ือเย่ือท่ีอยู่ถัดจากเอพิเดอร์มิ (Adventitious root) รากพเิ ศษเหล่าน้เี จรญิ ขน้ึ มา สเขา้ มาจนถึงเน้ือเย่อื เอนโดเดอมสิ (endodermis) ดงั นัน้ เพอ่ื ทาหน้าทเ่ี ฉพาะอยา่ ง ชนั้ คอรเ์ ทกซ์ในรากจงึ ประกอบไปด้วยเน้ือเย่อื ชนิดต่างๆ หลายชนิดซง่ึ ไดแ้ ก่ parenchyma สว่ นใหญ่มหี น้าท่สี ะสม 1. คา้ จุนสว่ นต่างๆ ของพชื ใหท้ รงตวั อยไู่ ด้ (anchorage) อาหาร endodermis เป็ นเน้ือเย่ือชัน้ ในสุดของชัน้ คอร์ 2. ดดู และลาเลยี งน้า (absorption and transportation) เทกซ์ เซลล์เรียงตัวเพียงชัน้ เดียว และไม่มีช่องว่าง 3. หน้าทอ่ี น่ื ๆ ขน้ึ กบั ลกั ษณะของรากเชน่ สะสมอาหาร ระหว่างเซลล์ “ชนั้ คอรเ์ ทกซใ์ นรากจะกวา้ งกว่าในลาตน้ ” ยดึ เกาะ ใชใ้ นการหายใจเป็นตน้ สตลี เป็นชนั้ ของเน้ือเย่อื ทอ่ี ยู่ถดั จากเอนโดเดอร์มสิ เขา้ มา จนถึงใจกลางของราก(pith) ดังนั้นชัน้ สตีลของรากจึง เนื้อเยอ่ื บริเวณปลายราก เน้อื เยอ่ื บรเิ วณปลายรากแบง่ ประกอบไปดว้ ยเน้อื เยอ่ื ต่างๆหลายชนิดดว้ ยกนั ซง่ึ ไดแ้ ก่ ออกเป็น 3 บรเิ วณ (zone/region) คอื 1. Pericycle เ ป็ น เ น้ื อ เ ย่ื อ ท่ี อ ยู่ ถั ด จ า ก 1 บ ริ เว ณ เซ ล ล์ แ บ่ ง ตั ว (zone of cell division) เอนโดเดอร์มิสเข้ามา เซลล์มีขนาดเล็กผนังบาง บริเวณน้ีมีเน้ือเย่ือเจริญ(meristermatic tissue) ท่ีมี เรยี งชดิ ตดิ กนั ประมาณ 1-2 แถว มหี น้าทส่ี าคญั คอื การแบ่งเซลลแ์ บบไมโทซสี ตลอดเวลา สว่ นปลายของ เป็นจุดกาเนิดของรากแขนง(secondary root / lateral บรเิ วณน้ีบางส่วนจะเปล่ยี นเป็นหมวกราก(root cap) root) ซง่ึ ทาหน้าทป่ี ้องกนั อนั ตรายใหแ้ กป่ ลายราก 2 บ ริ เว ณ เซ ล ล์ ยื ด ตั ว (zone of cell elongation) บรเิ วณน้ีเป็นกลมุ่ เซลลท์ ไ่ี ดจ้ าก zone of cell division มกี ารยดื ยาวของเซลลข์ น้ึ 3 บริเวณเซลลเ์ จริญเตม็ ท่ี (zone of cell maturation) เป็ นบริเวณท่ีเซลล์มีการเจริญเติบโตเต็มท่ี มีการ เปล่ยี นแปลงรูปร่างไปเช่น เปล่ยี นแปลงไปเป็นขน ราก (root hair) เป็นตน้ เอกสารประกอบการเรยี นการสอน วชิ าชวี วิทยาเพ่ิมเติม 3 ( ว 32243) ชนั้ มธั ยมศึกษาปีท่ี 5 ครูผู้สอน นางสมฤทยั มา่ นกลาง ตาแหน่ง ครชู านาญการ โรงเรียนศรีสุขวทิ ยา
P a g e | 10 เอกสารประกอบการเรยี นการสอน วชิ าชวี วิทยาเพิม่ เติม 3 ( ว 32243) ช้ันมธั ยมศกึ ษาปีท่ี 5 ครูผู้สอน นางสมฤทยั มา่ นกลาง ตาแหนง่ ครชู านาญการ โรงเรยี นศรีสุขวิทยา
2. vascular bundle เป็ นกลุ่มของเน้ือเย่ือท่ีเรียกรวม P a g e | 11 ระหว่างส่วนของ xylem และ phloem วาสคูลาร์ บันเดิลในรากจะเรียงตัวมีลักษณะเป็ นแฉก(arch) 3. pith (พิธ) พิธคือเน้ือเย่ือส่วนท่ีอยู่ตรงกลางของราก โดยทร่ี ากพชื ใบเลย้ี งคู่จะพบ 4-6 แฉก และมชี ่อื เรยี ก ถ้าเป็นรากพชื ใบเล้ยี ง เด่ยี วตรงกลางจะเป็นเน้ือเย่อื เฉพาะต่างกนั ตามจานวนแฉกเช่น ถ้ามี 4 แฉกก็ พาเรนไคมา(parenchyma) แต่ถา้ เป็นรากพชื ใบเลย้ี ง เรยี กวา่ tetra arch เป็นต้น สว่ นพชื ใบเลย้ี งเดย่ี วนนั้ คสู่ ว่ นของพธิ จะเป็นไซเลม (xylem) จะมจี านวนแฉกมากมายเรยี กว่า polyarch รากพืชใบเลีย้ งค่ตู ดั ตามขวาง รากพชื ใบเลยี้ งเด่ียวตดั ตามขวาง เอกสารประกอบการเรยี นการสอน วชิ าชวี วทิ ยาเพิม่ เตมิ 3 ( ว 32243) ช้นั มธั ยมศึกษาปที ่ี 5 ครูผูส้ อน นางสมฤทัย มา่ นกลาง ตาแหนง่ ครชู านาญการ โรงเรยี นศรีสขุ วทิ ยา
P a g e | 12 จาแนกตามแหลง่ กาเนิด 2. รากเกาะ(climbing root) เป็นรากท่ีมกั แตกออก ตามขอ้ ของลาต้น ใช้เกาะตามหลกั หรอื เสาเพ่อื 1. primary root คอื รากทเ่ี กดิ จาก radicle อาจเรยี ก พยุงลาต้นให้ติดแน่นแลว้ ข้นึ ท่สี ูง เช่น รากของ อกี อยา่ งว่า รากแกว้ (tap root) ลกั ษณะรปู ร่างจะ ตน้ พลดู า่ ง เป็นตน้ ใหญ่และเรยี วลง 3. รากสังเคราะห์ด้วยแสง(Photosynthetic root) 2. secondary root เป็นรากท่ีเจริญมาจากเน้ือเย่ือ เป็นรากท่มี ีสเี ขยี วของคลอโรฟีลล์ ทาหน้าท่ใี น เพอริไซเคิล (pericycle)ของ primary root อาจ การสงั เคราะหด์ ว้ ยแสง เชน่ รากกลว้ ยไม้ เรยี กอกี อย่างหน่งึ วา่ รากแขนง(lateral root) 3. adventitious root เป็นรากท่ีมาจากส่วนอ่ืนๆท่ี ไม่ ได้ เกิ ด จ า ก radicle แ ล ะ pericycle ข อ ง primary root ตวั อย่างเช่น รากค้าจนุ (prop root) ในขา้ วโพด เป็นตน้ จาแนกตามรปู รา่ งลกั ษณะการแผก่ ระจายไปในดิน 1. ระบบรากแก้ว (Tap root system) ส่วนใหญ่จะ ประกอบด้วยรากแก้วและรากแขนงล้อมรอบ ขนาดของรากจะใหญ่และเรยี วลง พบในพชื ใบ เลย้ี งค่เู ป็นสว่ นใหญ่ 2. ระบบรากฝอย(Fibrous root system) เป็ นราก 4. รา ก ห าย ใจ (Respiratory root or Aerating เสน้ เลก็ ๆมากมาย ขนาดโตสม่าเสมอกนั แผ่ไป root) เป็นรากทช่ี ่วยในการหายใจเป็นพเิ ศษ ราก ทุกทศิ ทุกทางรอบอาณาเขต พบในพืชใบเล้ยี ง ชนิดน้ีแทนทจ่ี ะงอกลงไปในดนิ กลบั ชปู ลายขน้ึ มา เดย่ี วเป็นสว่ นใหญ่ เหนือพ้ืนดินหรือผิวน้า บางทีก็ลอยตามผิวน้า เชน่ รากแสม ลาพู ผกั กระเฉด เป็นตน้ 5. รากสะสมอาหาร (Storage root) เป็นรากท่ีทา หน้าทส่ี ะสมอาหารไว้ จาแนกตามรปู รา่ งและหน้าท่ี 6. รากกาฝาก(Parasitic root / Haustorium root) เป็นรากของพชื บางชนิดทป่ี ลายรากจะแทงลงไป 1. รากค้าจุน (Prop root) เป็นรากทแ่ี ตกออกมาจาก ถึงท่อ xylem , phloem ของลาต้นพืชท่ีไปอิง ขอ้ ของล้าต้น แล้วพุ่งทแยงลงไปในดินเพ่อื ช่วย อาศยั (host) เพ่อื แยง่ ดดู น้าและอาหาร เช่น ราก พยุงลาตน้ เอาไว้ ไม่ให้ลม้ ง่าย เช่น รากขา้ วโพด ของตน้ กาฝาก เป็นตน้ รากโกงกาง เป็นตน้ เอกสารประกอบการเรียนการสอน วชิ าชวี วิทยาเพ่มิ เตมิ 3 ( ว 32243) ชั้นมธั ยมศึกษาปที ี่ 5 ครูผ้สู อน นางสมฤทัย ม่านกลาง ตาแหน่ง ครูชานาญการ โรงเรียนศรีสขุ วทิ ยา
P a g e | 13 แบบฝึ กหดั ทบทวน เรื่อง โครงสร้างและหน้าท่ีของราก 1. ราก(root) คอื ............................................................................................................................................................ 2. หน้าทท่ี ส่ี าคญั ของราก คอื ........................................................................................................................................... 3. จงยกตวั อยา่ งหน้าทข่ี องรากพเิ ศษมา 2 หน้าท่ี พรอ้ มทงั้ ระบชุ นดิ ของพชื ดว้ ยหน้าทล่ี ะ 1 ชนดิ 1………………………………………….. ตวั อยา่ ง ............................................................ 2………………………………………….. ตวั อย่าง ............................................................ จากภาพแสดงบริเวณปลายรากพชื นักเรียนสามารถแบ่งเป็น 4 บริเวณอะไรบ้าง แต่ละบริเวณมีลกั ษณะอยา่ งไร บรเิ วณท่ี 4 =………………………………………………………………… ลกั ษณะ ................................................................................................... บรเิ วณท่ี 3 =………………………………………………………………… ลกั ษณะ ................................................................................................... บรเิ วณท่ี 2 =………………………………………………………………… ลกั ษณะ ................................................................................................... บรเิ วณท่ี 1 =………………………………………………………………… ลกั ษณะ ................................................................................................... ให้นักเรยี นเปรียบเทียบความแตกต่างระหวา่ งโครงสรา้ งของรากพืชใบเลีย้ งเดี่ยวและใบเลีย้ งคู่ ดงั นี้ โครงสรา้ ง / ประเดน็ เปรียบเทียบ รากพชื ใบเลยี้ งเดี่ยว รากพืชใบเลยี้ งคู่ 1. ชนิดของเน้อื เยอ่ื ในชนั้ คอรเ์ ทก็ ซ์ 2. ความกวา้ งของชนั้ คอรเ์ ทก็ ซ์ กวา้ ง แคบ กวา้ ง แคบ 3. ความชดั เจนของเอนโดเดอรม์ สิ ชดั เจน ไม่ชดั เจน ชดั เจน ไมช่ ดั เจน 4. ความกวา้ งของสตลี กวา้ ง แคบ กวา้ ง แคบ 5. ความชดั เจนของPericycle(เพอรไิ ซเคลิ ) ชดั เจน ไม่ชดั เจน ชดั เจน ไมช่ ดั เจน 6. ลกั ษณะการจดั เรยี งตวั ของมดั ทอ่ ลาเลยี ง ให้นักเรียนตอบคาถามต่อไปนี้ รากของพชื เรยี งจากชนั้ นอกสดุ แบ่งไดเ้ ป็น 3 ชนั้ คอื 1)............................................. 2).............................................. มเี น้อื เยอ่ื ชนั้ ในเรยี กว่า.................................. ซง่ึ จะเหน็ ชดั เจนในพชื ใบเลย้ี ง.......... 3).............................................. มเี น้อื เยอ่ื ชนั้ นอกทเ่ี รยี กว่า............................. ซง่ึ จะเหน็ ชดั เจนในพชื ใบเลย้ี ง.......... มดั ท่อน้าทอ่ ลาเลยี ง(vascular bundle) ประกอบดว้ ย..........................และ................... ไสก้ ลางหรอื ...............................................................ซง่ึ จะเหน็ ชดั เจนในพชื ใบเลย้ี ง............ เอกสารประกอบการเรียนการสอน วิชาชวี วทิ ยาเพิม่ เตมิ 3 ( ว 32243) ชั้นมธั ยมศกึ ษาปที ่ี 5 ครูผู้สอน นางสมฤทยั มา่ นกลาง ตาแหน่ง ครูชานาญการ โรงเรียนศรีสุขวทิ ยา
P a g e | 14 ให้นักเรยี นนาคาต่อไปนี้เติมลงในภาพให้ครบถ้วนและถกู ต้อง พรอ้ มทงั้ ระบายสีใหส้ วยงาม cortex / xylem / pith / epidermis / phloem / stele / endodermis / pericycle 1)………………………. 2. )………………………. 3. )………………………. .4)………………………. .5)………………………. 6.)………………………. 7.)……………………….. 8)………………………. ตอบคาถามต่อไปนี้ . 1. ภาพทน่ี กั เรยี นเหน็ น้คี อื ภาพของรากพชื ใบเลย้ี ง............................... นกั เรยี นมวี ธิ สี งั เกตอยา่ งไร .......................................................................................................................................................................... 2. โครงสรา้ งทจ่ี ะไม่พบในลาตน้ คอื หมายเลข ............... 3. โครงสรา้ งชนั้ ในสดุ ของคอรเ์ ทก็ ซ์ คอื หมายเลข ............... 4. โครงสรา้ งชนั้ นอกสดุ ของสตลี คอื หมายเลข ............... จากแผนภาพขา้ งล่างนี้ ให้นักเรียนตอบคาถามให้ถกู ตอ้ ง พรอ้ มทงั้ ระบายสีให้สวยงาม โดยกาหนดให้โครงสรา้ ง เดียวกนั ให้ใช้สีเดียวกนั หมายเลข 1 คอื ............... หมายเลข 2 คอื ............... หมายเลข 3 คอื ............... A เป็นภาพของ รากพชื ใบเลยี้ ง............ B เป็นภาพของ รากพชื ใบเลีย้ ง............. เอกสารประกอบการเรยี นการสอน วชิ าชวี วิทยาเพม่ิ เติม 3 ( ว 32243) ช้นั มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 5 ครูผูส้ อน นางสมฤทัย มา่ นกลาง ตาแหน่ง ครูชานาญการ โรงเรียนศรีสขุ วทิ ยา
: เจริญ ม าจ าก ต้ น อ่อน (Embryo) ส่วน เอพิ ค อลทิล Page |9 (Epicotyle) และ ส่วนไฮโพคอลทลิ (Hypocotyl) ลาต้นจะ แตกต่างจากรากตรงท่ี มีข้อ (node) ปล้อง (Internode) โครงสรา้ งของลาต้นจากปลายยอด แบง่ เป็น 4 สว่ น ยอด (Apical bud) 1. เน้อื เย่อื เจรญิ ปลายยอด (Apical meristem) 2. ใบเรมิ่ เกดิ (Leaf primordium) ในพชื ใบเล้ยี งเดย่ี วและใบเลย้ี งค่มู คี วามแตกต่าง 3. ใบออ่ น (Young leaf) กนั อย่างชัดเจน เน่ืองจากพืชใบเล้ียงเด่ียวมีเฉพาะการ 4. ลาตน้ ออ่ น (Young stem) เจริญขนั้ แรก (primary growth) ไม่มีการเจริญขนั้ ท่ีสอง (secondary growth) สว่ นพชื ใบเลย้ี งคมู่ กี ารเจรญิ ขนั้ ทส่ี อง เม่อื นาปลายยอดของพชื มาตดั ตามขวางบรเิ วณ เซลล์เจรญิ เต็มท่จี ะพบว่าโครงสรา้ งภายในประกอบด้วย เน้ื อ เย่ื อ เจ ริญ บ ริเว ณ ป ล า ย ย อ ด (apical เน้อื เยอ่ื ชนิดต่างๆตามแต่ชนดิ ของพชื โดยแบ่งไดด้ งั น้ี meristem) จะแบง่ เซลลแ์ บบไมโตซสิ ซง่ึ เซลลเ์ หล่าน้ีเจรญิ เป็ น primary meristem ป ร ะ ก อ บ ด้ ว ย protoderm procambium และ ground meristem เซลลจ์ ะยดื ขยายและ เจรญิ ต่อเป็นเน้ือเย่อื ถาวรปฐมภูมิ ประกอบด้วยบรเิ วณ ต่างๆ ดงั น้ี หน้าท่ีของลาต้น 1. เป็นแกนสาหรบั ชว่ ยพยุง (Supporting) กงิ่ กา้ น ใบ ดอก และใหใ้ บกางออกรบั แสงแดด เพอ่ื ประโยชน์ใน การสงั เคราะหแ์ สง 2. เป็นตวั กลางสาหรบั ลาเลยี ง (Conduction) น้า เกลอื แรธ่ าตุ อาหาร และสารเมแทบอไลตต์ ่างๆ สง่ ผา่ นไป ยงั สว่ นต่างๆ ของพชื 3. สรา้ งเน้อื เยอ่ื และสว่ นต่างๆของพชื ใหม่เชน่ ใบ ดอก ผล นอกจากน้ลี าตน้ อาจมหี น้าทพ่ี เิ ศษอน่ื ๆ อกี เช่น สะสมอาหาร สงั เคราะหแ์ สง สบื พนั ธุ์ เปลย่ี นเป็นมอื เกาะ ช่วยพยงุ ค้าจุนลาตน้ ตลอดทงั้ สรา้ งสารทตุ ยิ ภมู ติ ่างๆ ไดแ้ ก่ แทนนนิ น้ายาง เรซนิ ลาเทกซ์ เป็นตน้ บริเวณปลายยอดพืชสามารถแบ่งออกเป็ น บรเิ วณ(region/zone) ไดท้ งั้ หมด 3 บรเิ วณดว้ ยกนั คอื 1. บรเิ วณเซลลแ์ บง่ ตวั (region of cell division) 2. บรเิ วณเซลลย์ ดื ตวั (region of cell elongation) 3. บรเิ วณเซลลเ์ จรญิ เตม็ ท่ี (region of maturation) หรอื อาจแบง่ ได้ 4 บรเิ วณ ดงั น้ี เอกสารประกอบการเรยี นการสอน วิชาชวี วิทยาเพิ่มเตมิ 3 ( ว 32243) ชนั้ มธั ยมศึกษาปีที่ 5 ครูผูส้ อน นางสมฤทัย มา่ นกลาง ตาแหนง่ ครชู านาญการ โรงเรยี นศรีสุขวทิ ยา
เป็นเน้ือเย่อื ชนั้ นอกสุด เจรญิ มาจาก protoderm P a g e | 10 ผนังเซลล์ด้านนอกหนาเน่ืองจากมีคิวตินมาเคลอื บ และ ช่วยลดการสญู เสยี น้าทางลาต้นได้ บางเซลลเ์ ปลย่ี นแปลง หรือด้านท่ีติดกับ pith ระหว่าง xylem กับ เป็นขน trichome หรอื guard cell อิพิเดอร์มิสบางเซลล์ phloem จะมีเน้ือเย่ือเจริญท่ีเรียกว่า vascular อาจมสี ตี ่างๆ เน่ืองจากมรี งควตั ถุอย่ภู ายใน vacuole หรอื cambium คนั่ กลางอย่ทู าหน้าทแ่ี บ่งเซลลเ์ พ่อื ให้ ใน cell sap กาเนดิ xylem และ phloem 1.2. เนื้อเย่ือลำเลียงของพืชใบเลี้ยงเด่ียว ส่วน เป็นเน้อื เย่อื ทอ่ี ยถู่ ดั จาก epidermis ประกอบดว้ ย ของ xylem, phloem จะเรยี งตัวกนั มองคล้ายๆ เซ ล ล์ ห ล า ย ชั้ น ห ล า ย ช นิ ด เช่ น parenchyma ใบหน้าคน มสี ่วนของ vessel อยู่บรเิ วณคลา้ ย collenchymas sclerenchyma ชัน้ cortex ในลาต้นมักมี ดวงตา สว่ น phloem อย่บู รเิ วณคลา้ ยหน้าผาก บรเิ วณแคบกว่าในรากและพชื ใบเลย้ี งเดย่ี วมอี าณาเขตไม่ xylem และ phloem จะถูกลอ้ มรอบดว้ ยเน้ือเย่อื แน่นอน เพราะจะพบ vascular bundle อยใู่ กลก้ บั อพิ เิ ดอร์ parenchyma หรอื อาจเป็น sclerenchyma และ มสิ มาก ชนั้ คอรเ์ ทกอาจมเี พยี ง 1-2 ชนั้ เท่านนั้ หน้าทข่ี อง เรยี กเซลล์ท่ีมาล้อมรอบน้ีว่า bundle sheath ชั้น ค อร์เท กข้ึน กับ เซ ลล์ท่ีเป็ น ส่วน ป ระก อบ เช่ น vascular bundle ของพชื ใบเล้ยี งเดย่ี วส่วนใหญ่ chlorenchyma ทาหน้าท่ีสังเคราะห์ด้วยแสง reserved ไมพ่ บเน้อื เย่อื เจรญิ vascular cambium ยกเวน้ parenchyma ทาหน้าท่ีสะสมอาหาร sclerenchyma และ หมากผหู้ มากเมยี และพชื ตระกลู ปาลม์ collenchyma ช่วยคา้ จนุ ใหค้ วามแขง็ แรง 2. พิธ (pith) เป็ นเน้ือเย่ือท่ีอยู่ส่วนกลางของลาต้น stele (สตีล) สตีลเป็นชนั้ ท่ถี ดั เข้ามาจากชนั้ คอร์ ส่วนใหญ่เป็นเน้ือเย่อื ประเภท parenchyma จงึ ทา เทกซ์ โดยมอี าณาเขตตงั้ แต่ใต้ endodermis เขา้ มาจนถงึ หน้าทใ่ี นการสะสมสารต่างๆ ใจกลางข องลาต้น แต่ เน่ื องจากในลาต้น เน้ื อเย่ือ 2.1. ลำต้นของพืชใบเลี้ยงคู่ บางชนิดเน้ือเย่ือใน endodermis ส่วนใหญ่เห็นได้ไม่ชัดเจนหรอื หนังสอื บาง ส่วนน้ีอาจสลายไปกลายเป็ นช่องกลวงกลางลา เล่มกก็ ล่าวว่าในลาตน้ จะไม่มเี น้ือเย่อื endodermis ทาให้ ตน้ เรยี กชอ่ งน้วี า่ pith cavity ชัน้ สตีลในลาต้นแบ่งแยกออกจากชัน้ คอร์เทกซ์ได้ไม่ 2.2. ลำต้นพืชใบเลี้ยงเดี่ยว บางชนิด เช่น ขา้ วโพด ชัดเจนเหมือนในส่วนของรากพืช ภายในชัน้ สตีลจะ ในเน้ือเย่ือของ pith น้ีจะพบ vascular bundle ประกอบดว้ ยเน้อื เยอ่ื ทส่ี าคญั คอื กระจายอย่เู ตม็ นอกจากน้ีพชื บางชนิดเน้ือเย่อื 1. มดั ท่อลำเลียง (vascular bundle) หมายถงึ กลุ่มของ ในส่วนน้ีอาจสลายไปกลายเป็นช่องกลวงกลาง ลาตน้ เรยี กว่า pith cavity เช่นตน้ ไผ่ ตน้ ขา้ ว เน้อื เย่อื ทท่ี าหน้าทเ่ี กย่ี วขอ้ งกบั การลาเลยี ง เป็นตน้ 1.1. เนื้ อ เย่ื อ ล ำ เลี ย ง ข อ ง พื ช ใ บ เลี้ ย ง คู่ ประกอบด้วย กลุ่มเน้ือเย่ือลาเลียงอาหาร (phloem) เรียงตัวอยู่ทางด้านนอกและกลุ่ม เน้อื เย่อื ลาเลยี งน้า(xylem)เรยี งตวั อย่ทู างดา้ นใน เอกสารประกอบการเรยี นการสอน วชิ าชวี วิทยาเพิ่มเตมิ 3 ( ว 32243) ชัน้ มธั ยมศกึ ษาปีที่ 5 ครูผู้สอน นางสมฤทัย ม่านกลาง ตาแหน่ง ครูชานาญการ โรงเรียนศรีสุขวิทยา
P a g e | 11 ลำต้นพชื ใบเลี้ยงคตู่ ดั ตำมขวำง ลำต้นพืชใบเลี้ยงเดี่ยวตดั ตำมขวำง ลำต้นพชื ใบเลยี้ งเด่ียวตดั ตำมขวำง ลำต้นพชื ใบเลยี้ งค่ตู ดั ตำมขวำง โครงสรา้ งลาต้นตดั ตามขวางพชื ใบเลีย้ งเดย่ี ว (monocot) โครงสรา้ งลาต้นตดั ตามขวางพชื ใบเลี้ยงค(ู่ dicot) เอกสารประกอบการเรยี นการสอน วชิ าชวี วิทยาเพมิ่ เติม 3 ( ว 32243) ช้ันมธั ยมศึกษาปที ี่ 5 ครูผ้สู อน นางสมฤทัย มา่ นกลาง ตาแหนง่ ครชู านาญการ โรงเรียนศรีสุขวทิ ยา
1 ช่วยค้าจุน (supporting) ส่วนต่างๆ ของพืช เช่นใบ P a g e | 12 กง่ิ ใหแ้ ผ่กงิ่ กา้ นสาขาอย่ไู ด้ เกิดบริเวณซอกใบ (leaf axil) นัน่ เอง ถ้าบรเิ วณ lateral 2 ลาเลียง (transportation) ลาต้นมีเน้ือเย่อื ลาเลียงน้า bud มตี าเกดิ ขน้ึ มาใกล้ๆ จะเรยี กตาน้ีว่า accessory bud และอาหาร เม่อื รากพืชดูดน้าและแร่ธาตุจากนัน้ กจ็ ะ ตาท่ีกล่าวมาทงั้ หมดอาจจะเป็นใบตาใบหรอื ตาดอก ถ้า ถูกลาเลียงไปยงั ส่วนต่างๆ โดยเฉพาะใบ เพ่อื ใช้ใน เจรญิ เป็นดอก เรยี กตานนั้ ว่า floral bud พชื บางชนดิ อาจมี การสงั เคราะหด์ ว้ ยแสง และลาเลยี งอาหารทไ่ี ดจ้ ากใบ ตาพเิ ศษท่นี อกเหนือจากน้ี เช่น ตาของต้นคว่าตายหงาย ไปยังส่วนอ่ืนๆ ของต้นพืชนอกจากหน้าท่ีหลัก เป็นซง่ึ เกดิ ตาและเจรญิ เป็นต้นใหม่ได้ หรอื ตาในหวั มนั เทศ ดงั กลา่ วแลว้ ลาตน้ ยงั มหี น้าทอ่ี ่นื ๆ ตามลกั ษณะของลา เกิดตาและสามารถนาไปปลูกได้เป็ นใหม่ได้ ตาแบบน้ี ตน้ ทเ่ี ปลย่ี นแปลงไป เรยี กว่า adventitious bud ประกอบดว้ ย 2 สว่ น คอื โดยทัว่ ไปสามารถจาแนกลาต้นออกเป็น 2 ชนิดใหญ่ๆ 1 ขอ้ (node) เป็นบรเิ วณทเ่ี กดิ ของตากงิ่ ตาดอก ตาใบ ดว้ ยกนั คอื พชื ใบเลย้ี งค่อู าจจะสงั เกตไมช่ ดั เจน สงั เกตจากมสี ่วน ลำต้นปี นป่ ำย (climbing stem or climber) ของใบหรอื ดอกติดอยู่ แต่ในพชื ใบเล้ยี งเด่ยี วจะเหน็ climbing stem คอื ลาตน้ ทไ่ี ต่ขน้ึ ทส่ี งู โดยวธิ ใี ดวธิ ี ชดั เจน เชน่ ไมไ้ ฝ่ ขอ้ คอื สว่ นทต่ี นั ไม่กลวง หน่ึง ถ้ามหี ลกั หรอื ตน้ ไมท้ ล่ี าต้นตงั้ ตรงอย่ใู กลๆ้ 2 ปล้อง (internode) บรเิ วณระหว่างขอ้ คอื ส่วนทเ่ี ป็น จะถูกใชไ้ ต่ขน้ึ ไป แบ่งออกเป็น ท่อกลวงในไมไ้ ผ่นนั่ เอง สาหรบั พชื ใบเลย้ี งค่ปู ลอ้ งสนั้ o twining stem ลาตน้ ไต่ขน้ึ ทส่ี งู โดยใชล้ า มาก และไมช่ ดั เจน แต่สามารถสงั เกตจากพชื ลม้ ลุกได้ ตน้ พนั กบั หลกั เป็นเกลยี ว เชน่ เถาวลั ย์ เช่น ลาต้นฟักทอง ลาต้นผกั บุ้ง ลาต้นบางชนิดมขี ้อ ตน้ ถวั่ บอระเพด็ ฝอยทอง เป็นตน้ ปลอ้ งสนั้ มาก เช่น ลาตน้ ของหวั หอม o stem tendril ลาต้นไต่ข้นึ ท่ีสูงโดยใช้ ส่วนของลาต้นดดั แปลงไปเป็นมอื เกาะ (tendril) เพ่ือพนั หรือไต่ข้นึ ท่สี ูง ส่วน ของ tendril จะบิดเป็ นเกลียวคล้าย สปริงเพ่ือให้ยืดหยุ่น เช่น ต้นองุ่น บวบ แตงกวา กระทกรก โคกกระออม พวงชมพู เป็นตน้ นอกจากจะพบใบทล่ี าตน้ แลว้ ยงั พบตากง่ิ หรอื ตา o root climber ลาต้นไต่ข้ึนท่ีสูงโดยใช้ ดอกเสมอ ตาท่อี ยู่ปลายกงิ่ หรอื ลาต้นเรยี ก terminal bud รากซ่ึงออกมาตามข้อ ยึดหลักหรือ ซง่ึ เจรญิ อย่างไม่มขี อบเขต ทาใหพ้ ชื มีการเจรญิ ยดื ยาวขน้ึ ตน้ ไม้ เช่น ตน้ พรกิ ไทย พลู และพลู บรเิ วณด้านขา้ งของลาต้นมตี ากง่ิ หรอื ตาดอกเกดิ บรเิ วณ ดา่ ง เป็นตน้ ซอกใบ เรยี กว่า lateral bud หรือ axillary bud เน่ืองจาก เอกสารประกอบการเรยี นการสอน วิชาชวี วทิ ยาเพม่ิ เติม 3 ( ว 32243) ชั้นมธั ยมศึกษาปที ่ี 5 ครูผสู้ อน นางสมฤทัย ม่านกลาง ตาแหนง่ ครชู านาญการ โรงเรยี นศรีสขุ วทิ ยา
o stem spine / stem thorn ล า ต้ น ท่ี P a g e | 13 ดัดแปลงไปเป็ นหนามหรือขอเก่ียว (hook) เพ่อื ไต่ขน้ึ ทส่ี ูง เช่น ต้นเฟ้ือง Rhizome ลาต้นใต้ดินท่ีเรียกกันว่า แง่ง หรือ ฟ้า ไผ่ ไมยราบ และพืชตระกูลส้ม เหงา้ สว่ นใหญ่ขนานกบั พน้ื ดนิ มขี อ้ ปลอ้ งเหน็ ได้ เป็นตน้ ชัดเจน ตามข้อมีใบท่ีเป็ นแปลงเป็ นสีน้าตาล ได้แก่ ขงิ ข่า ขม้นิ บางชนิดอาจตงั้ ตรง เช่น ไหล (stolon or runner) เป็นลาต้นเลอ้ื ยไปตาม กลว้ ย พุทธรกั ษา เป็นตน้ ผวิ ดนิ หรอื ผวิ น้า มขี อ้ ปลอ้ งชดั เจน ตามขอ้ มรี าก แทงลงไปในดินเพ่ือช่วยยึดลาต้น นอกจากน้ี Tuber ลาตน้ ใตด้ นิ ทส่ี ะสมอาหาร ทาใหอ้ วบอว้ น บรเิ วณขอ้ จะมตี าเจรญิ ไปเป็นแขนงยาวขนานไป แต่บริเวณท่ีเป็ นตาจะไม่อ้วนออกมาด้วยทาให้ กบั พ้นื ดนิ หรอื ผวิ น้า ซง่ึ จะงอกรากและลาต้นขน้ึ เหน็ เป็นรอยบ๋มุ ไดแ้ ก่ มนั ฝรงั่ เป็นตน้ ใหม่ ได้แก่ สตรอเบอร่ี บวั บก ผกั บุ้ง แว่นแก้ว หญา้ นวลน้อย Bulb ลาต้นใต้ดินท่ีลาต้นเล็กมีปล้องสัน้ มาก ตามปลอ้ งมใี บเกลด็ ซอ้ นกนั หลายๆชนั้ ห่อหมุ้ ลา ลำต้นคล้ำยใบ (cladophyll / phylloclade / ต้นเอาไว้และสะสมอาหาร เช่น หอม กระเทยี ม cladode) คอื ลาต้นท่ีเปล่ยี นแปลงไปมีลกั ษณะ เป็นตน้ หรือหน้าท่ีคล้ายใบ เช่น ลาต้นแป็ นแผ่นแบน ห รื อ มี สี เขี ย ว ข อ ง ค ล อ โ ร ฟี ล ล์ ไ ด้ แ ก่ Corm เป็นลาต้นใต้ดนิ ทต่ี งั้ ตรงเชน่ เดยี วกบั bulb กระบองเพชร พญาไรใ้ บ หน่อไมฝ้ รงั่ โปร่งฟ้า มลี กั ษณะคลา้ ยกนั แต่เกบ็ สะสมอาหารไวใ้ นลาตน้ เป็นตน้ จนทาให้เหน็ ลาต้นอวบอ้วน ตามข้อมีใบเกล็ด บางๆหมุ้ มตี างอกตามขอ้ เชน่ เผอื ก แหว้ จนี เป็นตน้ bulbil / crown / slip คอื ลาต้นท่เี ป็นตาหรอื หน่อ เลก็ ๆ สนั้ ๆ ทป่ี ระกอบดว้ ยยอดอ่อนและใบเลก็ ๆ 2-3 ใบ แตกออกระหว่างซอกใบกบั ลาต้น หรอื แตกออกจากยอดของลาต้นแทนดอก เม่ือมนั หลุดร่วงลงดินก็สามารถเจริญเป็ นต้นใหม่ได้ เช่น หอม กระเทยี ม สบั ปะรด เป็นตน้ เอกสารประกอบการเรียนการสอน วชิ าชวี วิทยาเพิ่มเตมิ 3 ( ว 32243) ชนั้ มธั ยมศึกษาปีที่ 5 ครูผูส้ อน นางสมฤทัย ม่านกลาง ตาแหน่ง ครูชานาญการ โรงเรยี นศรีสขุ วทิ ยา
P a g e | 14 แบบฝึ กหดั ทบทวน เรื่อง โครงสรา้ งและหน้าท่ีของลาต้น 1. ลาตน้ (stem) คอื ............................................................................................................................................................ 2. หน้าทท่ี ส่ี าคญั ของลาตน้ คอื ........................................................................................................................................... 3. จงยกตวั อยา่ งหน้าทข่ี องลาตน้ พเิ ศษมา 2 หน้าท่ี พรอ้ มทงั้ ระบชุ นิดของพชื ดว้ ยหน้าทล่ี ะ 1 ชนดิ 1………………………………………….. ตวั อยา่ ง ............................................................ 2………………………………………….. ตวั อยา่ ง ............................................................ จำกภำพแสดงบริเวณปลำยยอดพืช นักเรียนสำมำรถแบ่งเป็ น 3 บริเวณอะไรบ้ำง แต่ละบริเวณมีลกั ษณะ อยำ่ งไร บรเิ วณท่ี 1 =………………………………………………………………… ลกั ษณะ ................................................................................................... บรเิ วณท่ี 2 =………………………………………………………………… ลกั ษณะ ................................................................................................... บรเิ วณท่ี 3 =………………………………………………………………… ลกั ษณะ ................................................................................................... ให้นักเรยี นเปรยี บเทียบความแตกต่างระหวา่ งโครงสรา้ งของลาต้นพชื ใบเลีย้ งเด่ียวและใบเลีย้ งคู่ ดงั นี้ โครงสรา้ ง / ประเดน็ เปรยี บเทียบ ลาต้นพืชใบเลยี้ งเด่ียว ลาต้นพืชใบเลยี้ งคู่ 1. ชนดิ ของเน้อื เยอ่ื ในชนั้ คอรเ์ ทก็ ซ์ 2. ความกวา้ งของชนั้ คอรเ์ ทก็ ซ์ กวา้ ง แคบ กวา้ ง แคบ 3. ความชดั เจนของชนั้ เอนโดเดอรม์ สิ ชดั เจน ไม่ชดั เจน ชดั เจน ไม่ชดั เจน 4. ความกวา้ งของสตลี กวา้ ง แคบ กวา้ ง แคบ 5. ความชดั เจนของชนั้ พธิ ชดั เจน ไม่ชดั เจน ชดั เจน ไม่ชดั เจน 6. ความชดั เจนของวาสควิ ลารแ์ คมเบยี ม ชดั เจน ไมช่ ดั เจน ชดั เจน ไม่ชดั เจน 6. ลกั ษณะการจดั เรยี งตวั ของมดั ท่อลาเลยี ง ให้นักเรยี นตอบคาถามต่อไปนี้ ลาตน้ ของพชื เรยี งจากชนั้ นอกสดุ แบง่ ไดเ้ ป็น 3 ชนั้ คอื 1)............................................. 2).............................................. จะเหน็ อยา่ งชดั เจนในลาตน้ พชื ใบเลย้ี ง.......... 3).............................................. มเี น้อื เยอ่ื ชนั้ นอกทเ่ี รยี กว่า............................. ซง่ึ จะไมเ่ หน็ ชดั เจนเทา่ กบั ในรากพชื มดั ท่อน้าทอ่ ลาเลยี ง(vascular bundle) ประกอบดว้ ย..........................และ................... ไสก้ ลางหรอื .................ซง่ึ จะเหน็ ชดั เจนในพชื ใบเลย้ี ง............ เอกสารประกอบการเรยี นการสอน วิชาชวี วิทยาเพิ่มเตมิ 3 ( ว 32243) ชั้นมธั ยมศึกษาปีที่ 5 ครูผสู้ อน นางสมฤทัย ม่านกลาง ตาแหน่ง ครชู านาญการ โรงเรียนศรีสุขวทิ ยา
P a g e | 15 ให้นักเรยี นนาคาต่อไปนี้เติมลงในภาพให้ครบถว้ นและถกู ต้อง พรอ้ มทงั้ ระบายสีให้สวยงาม cortex / xylem / pith / epidermis / phloem / vascular bundle (ดา้ นนอก) 1)………………………. .2)………………………. 3. )………………………. .4)………………………. .5)………………………. 6.)………………………. 7.)……………………….. 8)………………………. ภาพ A ภาพ B . ตอบคาถามต่อไปนี้ 1. ภาพทน่ี กั เรยี นเหน็ น้คี อื ภาพ A คอื ภาพของลาตน้ พชื ใบเลย้ี ง............................... ภาพ B คอื ภาพของลาตน้ พชื ใบเลย้ี ง............................... นกั เรยี นมวี ธิ สี งั เกตและแยกแยะอย่างไร .......................................................................................................................................................................... จากแผนภาพขา้ งลา่ งนี้ ให้นักเรยี นตอบคาถามให้ถกู ตอ้ ง พรอ้ มทงั้ ระบายสีให้สวยงาม โดยกาหนดให้โครงสรา้ ง เดียวกนั ให้ใช้สีเดียวกนั 1)……………………….. 2)……………………….. 3)……………………….. 4)……………………….. 5)……………………….. 6)……………………….. 7)……………………….. A เป็นภาพของ ลาต้นพชื ใบเลีย้ ง............ B เป็นภาพของ ลาต้นพืชใบเลี้ยง............... เอกสารประกอบการเรยี นการสอน วชิ าชวี วิทยาเพิม่ เตมิ 3 ( ว 32243) ชั้นมธั ยมศกึ ษาปที ่ี 5 ครูผ้สู อน นางสมฤทัย มา่ นกลาง ตาแหนง่ ครชู านาญการ โรงเรียนศรีสขุ วิทยา
P a g e | 16 ให้นักเรยี นวาดภาพแสดงโครงสรา้ งรากและลาต้นพืชใบเลยี้ งเด่ียวและใบเลี้ยงคู่ พรอ้ มทงั้ ชี้บอกโครงสรา้ งและ ระบายสีใหส้ วยงาม รากพืชใบเลยี้ งเด่ียว รากพชื ใบเลยี้ งคู่ epidermis cortex stele ลาต้นพืชใบเลยี้ งเดี่ยว ลาต้นพชื ใบเลยี้ งคู่ epidermis cortex stele สรปุ ขอ้ แตกต่างของลาต้นและราก มีดงั นี้ .............................................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................................................. เอกสารประกอบการเรียนการสอน วิชาชวี วิทยาเพ่มิ เติม 3 ( ว 32243) ชนั้ มธั ยมศึกษาปที ี่ 5 ครูผสู้ อน นางสมฤทยั มา่ นกลาง ตาแหน่ง ครูชานาญการ โรงเรียนศรีสุขวทิ ยา
P a g e | 17 ใหน้ กั เรียนระบวุ า่ ภาพ A B C D คอื โครงสรา้ งของลาตน้ หรือราก ของพชื ใบเล้ยี งคหู่ รือใบเล้ียงเดยี่ ว แลว้ ระบายสใี ห้ สวยงาม ใหน้ กั เรยี นระบวุ า่ อกั ษร ก ข ค และ ง คอื โครงสรา้ งใดของพืชต่อไปน้ี แลว้ ระบายสใี หส้ วยงาม xylem / pith / phloem / vascular bundle อกั ษร ก = ………………………………………………….. อกั ษร ข = ………………………………………………….. อกั ษร ค = ………………………………………………….. อกั ษร ง = ………………………………………………….. ใหน้ กั เรยี นระบวุ า่ ภาพที่ 1 2 3 4 คอื โครงสรา้ งของลาต้นหรือราก ของพชื ใบเลย้ี งคหู่ รือใบเลย้ี งเดยี่ ว แลว้ ระบายสใี ห้ สวยงาม ภาพที่ 1 =……………………………………….. ภาพท่ี 2 =……………………………………….. ภาพที่ 3 =……………………………………….. ภาพท่ี 4 =………………………………….…….. เอกสารประกอบการเรียนการสอน วชิ าชวี วทิ ยาเพ่ิมเตมิ 3 ( ว 32243) ชัน้ มธั ยมศึกษาปที ี่ 5 ครูผสู้ อน นางสมฤทยั มา่ นกลาง ตาแหนง่ ครชู านาญการ โรงเรียนศรีสขุ วทิ ยา
P a g e | 18 ใบงานที่ 1 คาช้แี จง 1. ให้นกั เรียนจบั กล่มุ ๆ ละ 3 คน แล้วด้าเนินการส้ารวจและนา้ เสนอชนิดของราก ล้าต้นและใบพเิ ศษ ทีพ่ บใน โรงเรียนหรอื ในทอ้ งถน่ิ มาอย่างละ 1 ชนิด 2. ภาพทน่ี า้ เสนอนนั ต้องมรี ูปของนักเรยี นยนื ยนั มาดว้ ย โดยใน 1 ภาพ ต้องมสี มาชิกในกล่มุ อยา่ งน้อย 1 คน แต่ เมอื่ รวมทัง 3 ภาพนัน ต้องมีสมาชกิ ครบทุกคน (ไม่รบั ภาพทคี่ ้นมาจากอนิ เตอร์เนต็ หรือแหลง่ ข้อมูลอื่น ๆ ) 3. นักเรียนบันทึกและนา้ เสนอข้อมูลลงในกระดาษ เอ 4 ตามตัวอยา่ ง แผ่นละ 1 ชนดิ รวมทงั หมด 3 แผน่ รวมหน้าปกอีก 1 แผน่ 4. ให้นกั เรียนดา้ เนนิ การส่งไฟล์ข้อมลู มาทาง e – mail [email protected] ภายในวันที่ 30 พฤศจิกายน 2554 เท่านัน ประเดน็ 5 เกณฑก์ ารใหค้ ะแนน 2 1 การประเมิน -รูปแบบชนิ งาน / 43 -รูปแบบชนิ งาน/ -รปู แบบชนิ งาน 1. รูปแบบ รูปภาพถูกต้อง รูปภาพ ถกู ต้อง /รปู ภาพถูกต้อง ชน้ิ งาน/ ครบถว้ นตามท่ี -รปู แบบชินงาน / -รูปแบบชินงาน / ครบถ้วนตามที่ ครบถ้วนตามท่ี รูปภาพ กา้ หนดทังหมด รปู ภาพถูกต้อง รูปภาพถูกต้อง ก้าหนดเปน็ ส่วน กา้ หนดน้อย ครบถ้วนตามท่ี ครบถว้ นตามท่ี นอ้ ย มากท่สี ุด ก้าหนดเป็นส่วน ก้าหนดเป็น ใหญ่ บางส่วน 2. ความ -ผลงานสะอาด -ผลงานสะอาด -ผลงานสะอาด -ผลงานสะอาด -ผลงานสะอาด เรียบร้อย เรียบรอ้ ยปานกลาง เรียบรอ้ ยนอ้ ย เรียบร้อยนอ้ ย 3. ภาษา เรียบร้อยมากทีส่ ุด เรียบรอ้ ยมาก ท่ีสุด -สะกดคา้ ถูกต้อง -มีการเวน้ วรรค 4. เวลา -มกี ารใช้ภาษา -ประโยค -มีการเวน้ วรรค โดยไมฉ่ ีกค้า -มีการใชภ้ าษา อยา่ งถูกตอ้ ง สอดคลอ้ งกบั โดยไม่ฉกี ค้า -มีการใช้ภาษา อยา่ ง -ประโยค เนอื หา -มกี ารใช้ภาษา อย่างสร้างสรรค์ สร้างสรรค์ สอดคลอ้ งกบั เนือหา -สะกดค้าถกู ต้อง อยา่ งสรา้ งสรรค์ -สะกดคา้ ถกู ต้อง -มีการเวน้ วรรค -มีการเว้นวรรค โดยไมฉ่ กี ค้า สง่ ชินงานช้ากว่า สง่ ชนิ งานชา้ กวา่ ส่งชินงานช้า โดยไม่ฉีกค้า -มกี ารใช้ภาษา ก้าหนด 2 วนั ก้าหนด 3 วนั กวา่ ก้าหนดเกิน -มกี ารใช้ภาษา อยา่ งสรา้ งสรรค์ อย่างสรา้ งสรรค์ 3 วันขึนไป ส่งชนิ งานช้ากว่า ส่งชินงานภายในเวลา กา้ หนด 1 วนั ทกี่ า้ หนด เอกสารประกอบการเรยี นการสอน วชิ าชวี วทิ ยาเพ่มิ เติม 3 ( ว 32243) ชัน้ มธั ยมศึกษาปีที่ 5 ครูผูส้ อน นางสมฤทัย มา่ นกลาง ตาแหน่ง ครูชานาญการ โรงเรยี นศรีสุขวทิ ยา
P a g e | 19 ตัวอย่างใบงาน ชนดิ ของรากพิเศษ รากสังเคราะห์แสง (รปู ภาพ) (รูปภาพ) (รูปภาพ) บริเวณทพ่ี บ …………………………………………………………………………………………………… รายละเอียด …………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………… เอกสารประกอบการเรยี นการสอน วชิ าชวี วทิ ยาเพิ่มเตมิ 3 ( ว 32243) ชัน้ มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 5 ครูผูส้ อน นางสมฤทัย ม่านกลาง ตาแหน่ง ครูชานาญการ โรงเรยี นศรีสุขวทิ ยา
Page |9 ใบ คอื อวยั วะหรอื รยางคข์ องพชื ทเ่ี จรญิ ออกจาก ใบแท้แบ่งออกเป็น 2 ชนิดคือ ด้านข้างของลาต้น ใบทัว่ ไปมักแผ่แบน มีสเี ขยี วซ่ึงทา หน้าท่ีหลกั ในการสงั เคราะห์ด้วยแสง (photosynthesis) 1. ใบเดย่ี ว(simple leaf) เป็นใบท่มี ตี วั ใบเพยี งใบเด่ยี ว และคายน้า (transpiration) ใบพชื มคี วามแตกต่างกนั ทงั้ ใน ตดิ อยู่บนก้านใบซ่งึ ติดกบั ลาต้น เช่น ใบมะม่วง ใบ ดา้ นรปู ร่าง ขอบใบ เสน้ ใบ ลกั ษณะการตดิ กบั ลาตน้ ตาลงึ ใบมะละกอ เป็นตน้ 1. สร้างอ าห ารโด ย ก ารสังเค ราะห์ ด้วย แ ส ง 2. ใบป ระกอบ (compound leaf) เป็ นใบ ท่ีมีใบ ย่อย (photosynthesis) (leaflet) ตัง้ แต่ 2 ใบข้ึนไปติดอยู่กับก้านใบใหญ่ (petiole) ห น่ึ งก้าน โด ย ท่ีก้ าน ใบ ข องใบ ย่ อ ย 2. หายใจ(respiration) (petiolule)จ ะ ติ ด อ ยู่ กับ แ ก น ก ล า ง ข อ ง ใ บ ป ร ะ ก อ บ 3. คายน้า(transpiration) (rachis) ตัวอย่างใบประกอบเช่น ใบมะขาม ใบ จามจรุ ี มะพรา้ ว กหุ ลาบ เป็นตน้ ใบประกอบจาแนก 1. ใบเลี้ยง(cotyledon) เป็นใบอยู่ในเมลด็ และงอก ออกไดเ้ ป็น 2 ชนิดตามรปู รา่ งคอื ออกจากเมล็ดเป็นใบแรก พืชใบล้ียงคู่จะมีใบ 2.1. ใบประกอบแบบขนนก (pinnately compound เลย้ี ง 2 ใบ และบางชนดิ จะเกบ็ สะสมอาหารไวใ้ น leaves) เป็นใบประกอบทม่ี ใี บย่อยออกสองขา้ ง ใบเล้ียงเอาไว้ใช้ในการงอกทาให้ใบอวบอ้วน ของแกนกลาง มที งั้ ใบประกอบ ขนนกปลายค่ี เช่น ถวั่ เป็นตน้ (odd pinnate) และใบประกอบแบบขนนกปลาย ค(ู่ even pinnate) มกี ารแตกออกเป็นใบประกอบ 2. ใบเกล็ด(scale leaf) เป็นใบท่ีเปล่ียนแปลงไป แบ บขนนกสองชั้น (bipinnately compound เป็ นเกล็ดเล็กๆ ใบเกล็ดมักไม่มีสีเขียวของ leaves) ซ่ึงแกนกลางแตก แขนงออกเป็ น คลอโรฟีลล์ ใบเกลด็ บางชนิดทาหน้าท่ปี ้องกนั แกนกลางท่สี องแลว้ จงึ มใี บย่อยและใบประกอบ อนั ตรายใหแ้ ก่ตาอ่อน ยอดอ่อน และบางชนิดมี แบ บ ข น น ก สาม ชั้น (tripinnately compound ขนาดใหญ่และเกบ็ สะสมอาหารไวด้ ้วย เช่น หวั leaf) เป็นใบท่ีมีแกนกลางท่ีสองแตกออกเป็น หอม กระเทยี ม เป็นตน้ แกนกลางทส่ี ามแลว้ จงึ มใี บยอ่ ย 3. ใบดอกหรือใบประดับ(floral leaf or bract) เป็นใบทเ่ี ปลย่ี นแปลงไปทาหน้าทพ่ี เิ ศษ เชน่ ทา หน้าทร่ี องรบั ดอก บางชนิดดผู วิ เผนิ อาจจะคลา้ ย เป็นกลบี ดอก บางชนดิ ใหค้ วามสวยงามเพอ่ื ช่วย ล่อแมลงมาผสมเกสร เช่น ดอกเฟ่ืองฟ้า ดอก ครสิ ตม์ าส ดอกหน้าววั เป็นตน้ 4. ใบแท้ (foliage leaf ) เป็ นใบท่ีพบเห็นทัว่ ไป สว่ นใหญ่มสี เี ขยี วเป็นแหลง่ สาคญั ในกระบวนการ สงั เคราะห์ด้วยแสง(ใบบางชนิดอาจมีสีแดง สี ม่วง หรอื สเี หลอื งขน้ึ อยกู่ บั รงควตั ถุทอ่ี ย่ใู นใบ) เอกสารประกอบการเรียนการสอน วชิ าชวี วทิ ยาเพ่มิ เตมิ 3 ( ว 32243) ช้ันมธั ยมศึกษาปที ่ี 5 ครูผสู้ อน นางสมฤทยั ม่านกลาง ตาแหนง่ ครูชานาญการ โรงเรียนศรีสขุ วิทยา
P a g e | 10 2.2. ใบประกอบแบบน้ิวมือ (palmately compound leaves) เป็นใบประกอบทม่ี กี า้ นใบย่อยออกจาก ตาแหน่งเดยี วกนั ทป่ี ลายกา้ นใบ 1. สลบั (alternation) 2. ตรงขา้ ม(opposite) 3. วงรอบ(whorled) ลกั ษณะภายนอกของใบแบ่งเป็น 3 สว่ น 1. แผ่นใบ (leaf blade) มลี กั ษณะเป็นแผ่น รปู ร่างและ ขนาดแตกต่างกนั แผน่ ใบประกอบดว้ ยเสน้ กลางใบ (midrib) เสน้ ใบ (vein) ปลายใบ (apex) โคนใบ (base) และขอบใบ (margin) 2. กา้ นใบ (petiole / stalk) คอื สว่ นทเ่ี ช่อื มระหว่างแผน่ ใบและลาตน้ 3. หใู บ (stipule) เป็นรยางคท์ อ่ี ยโู่ คนกา้ นใบ พชื บาง ชนดิ หใู บอาจลดรปู หรอื ไมป่ รากฏ เอกสารประกอบการเรียนการสอน วชิ าชวี วทิ ยาเพ่ิมเติม 3 ( ว 32243) ชั้นมธั ยมศึกษาปีที่ 5 ครูผู้สอน นางสมฤทัย มา่ นกลาง ตาแหน่ง ครชู านาญการ โรงเรยี นศรีสุขวิทยา
P a g e | 11 2.2. Spongy mesophyll / Spongy parenchyma เป็นเน้ือเย่อื พาเรนไคมาทม่ี รี ปู ร่างกลม เรยี งตวั อย่อู ย่างหลวมๆใต้ชนั้ palisade mesophyll มี ช่องว่างมาก แต่มีคลอโรพลาสต์น้อยกว่าชัน้ palisade mesophyll ในพืชใบเล้ียงเด่ียวชัน้ mesophyll จะมรี ปู ร่างของเซลลเ์ หมอื นกนั ทงั้ ชนั้ ไมแ่ ยกเป็น palisade และ spongy 3. vascular bundle หรอื เส้นใบ(vein) คอื กล่มุ ของท่อ ลาเลีย ง(xylemและphloem)ซ่ึงป กติจะอยู่ ใน ชั้น spongy mesophyll จงึ ทาใหเ้ สน้ ใบนูนขน้ึ มาทางดา้ น ท้องใบ เส้นใบท่ีใหญ่ท่สี ุดคือ เส้นกลางใบ(mid rib) Vascular bundle ป ระก อบ ด้วย ท่ อลาเลีย งน้ า (xylem)และท่ อลาเลีย งอาห าร(phloem) และมี bundle sheath ลอ้ มรอบอย่ซู ง่ึ bundle sheath อาจ เ ป็ น เ น้ื อ เ ย่ื อ parenchyma ห รื อ อ า จ เ ป็ น sclerenchyma 1. epidermis ในใบพืชจะพบทัง้ ด้านหลังใบ(upper ภาพแสดงโครงสรา้ งภายในของใบ epidermis)แ ละท้ องใบ (lower epidermis)ข องพื ช ทม่ี า : http://www,thaigoodview.com/node/49607 โดยท่ี epidermal cell บางเซลลม์ กี ารเปลย่ี นแปลงไป เป็ นเซลล์คุม(guard cell)ซ่ึงมีรูปร่างคล้ายเมล็ดถัว่ ภาพแสดงโครงสรา้ งภายในของใบบรเิ วณพน้ื ทห่ี น้าตดั ประกบกนั ทาใหเ้ กดิ รูตรงกลาง(pore หรอื stomatal ทม่ี า : http://sites.google.com/site/saifonsaen/laksna pore) เราเรยี กโครงสรา้ งท่ปี ระกอบกนั ระหว่างเซลล์ คุมและรทู เ่ี กดิ ขน้ึ น้วี ่า ปากใบ(stomata) 2. mesophyll เป็นเน้ือเย่ือท่ีอยู่ระหว่างชนั้ epidermis ทงั้ สองดา้ น สว่ นใหญ่เป็นเน้อื เยอ่ื พวก parenchyma โดยแบง่ เป็น 2 ชนั้ คอื 2.1. Palisade mesophyll / Palisase parenchyma เป็นเน้ือเย่อื พาเรนไคมาทร่ี ูปร่างยาวเรยี งตวั ตงั้ ฉากกบั ชนั้ เอพิเดอร์มิส ส่วนใหญ่อยู่ทางด้าน upper epidermis อาจมชี นั้ เดยี วหรอื หลายชนั้ ก็ ไ ด้ ภ า ย ใ น เ ซ ล ล์ palisade cell มี คลอโรพลาสต์อย่มู ากจงึ มบี ทบาทสาคญั ในการ สงั เคราะหด์ ว้ ยแสง เอกสารประกอบการเรียนการสอน วิชาชวี วทิ ยาเพ่ิมเติม 3 ( ว 32243) ช้ันมธั ยมศึกษาปที ี่ 5 ครูผ้สู อน นางสมฤทยั มา่ นกลาง ตาแหนง่ ครูชานาญการ โรงเรียนศรีสุขวทิ ยา
P a g e | 12 เอกสารประกอบการเรยี นการสอน วชิ าชวี วิทยาเพิม่ เติม 3 ( ว 32243) ช้ันมธั ยมศกึ ษาปีท่ี 5 ครูผู้สอน นางสมฤทยั มา่ นกลาง ตาแหนง่ ครชู านาญการ โรงเรยี นศรีสุขวิทยา
P a g e | 13 ใบงานที่ 1 คาช้แี จง 1. ให้นกั เรียนจบั กล่มุ ๆ ละ 3 คน แล้วด้าเนินการส้ารวจและนา้ เสนอชนิดของราก ล้าต้นและใบพเิ ศษ ทีพ่ บใน โรงเรียนหรอื ในทอ้ งถน่ิ มาอย่างละ 1 ชนิด 2. ภาพทน่ี า้ เสนอนนั ต้องมรี ูปของนักเรยี นยนื ยนั มาดว้ ย โดยใน 1 ภาพ ต้องมสี มาชิกในกลุ่มอยา่ งน้อย 1 คน แต่ เมอื่ รวมทัง 3 ภาพนัน ต้องมีสมาชกิ ครบทุกคน (ไม่รบั ภาพทคี่ ้นมาจากอนิ เตอร์เนต็ หรือแหลง่ ข้อมูลอื่น ๆ ) 3. นักเรียนบันทึกและนา้ เสนอข้อมูลลงในกระดาษ เอ 4 ตามตัวอยา่ ง แผ่นละ 1 ชนดิ รวมทงั หมด 3 แผน่ รวมหน้าปกอีก 1 แผน่ 4. ให้นกั เรียนดา้ เนนิ การส่งไฟล์ข้อมลู มาทาง e – mail [email protected] ภายในวันที่ 30 พฤศจิกายน 2554 เท่านัน ประเดน็ 5 เกณฑก์ ารใหค้ ะแนน 2 1 การประเมิน -รูปแบบชนิ งาน / 43 -รูปแบบชนิ งาน/ -รปู แบบชนิ งาน 1. รูปแบบ รูปภาพถูกต้อง รูปภาพ ถกู ต้อง /รปู ภาพถูกต้อง ชน้ิ งาน/ ครบถว้ นตามท่ี -รปู แบบชินงาน / -รูปแบบชินงาน / ครบถว้ นตามที่ ครบถ้วนตามท่ี รูปภาพ กา้ หนดทังหมด รปู ภาพถูกต้อง รูปภาพถูกต้อง ก้าหนดเปน็ ส่วน กา้ หนดน้อย ครบถ้วนตามท่ี ครบถว้ นตามท่ี นอ้ ย มากท่สี ุด ก้าหนดเป็นส่วน ก้าหนดเป็น ใหญ่ บางส่วน 2. ความ -ผลงานสะอาด -ผลงานสะอาด -ผลงานสะอาด -ผลงานสะอาด -ผลงานสะอาด เรียบร้อย เรียบรอ้ ยปานกลาง เรียบรอ้ ยนอ้ ย เรียบร้อยนอ้ ย 3. ภาษา เรียบร้อยมากทีส่ ุด เรียบรอ้ ยมาก ท่ีสุด -สะกดคา้ ถูกต้อง -มีการเวน้ วรรค 4. เวลา -มกี ารใช้ภาษา -ประโยค -มีการเวน้ วรรค โดยไมฉ่ ีกค้า -มีการใชภ้ าษา อยา่ งถูกตอ้ ง สอดคลอ้ งกบั โดยไม่ฉกี ค้า -มีการใช้ภาษา อยา่ ง -ประโยค เนอื หา -มกี ารใช้ภาษา อย่างสร้างสรรค์ สร้างสรรค์ สอดคลอ้ งกบั เนือหา -สะกดค้าถกู ต้อง อยา่ งสรา้ งสรรค์ -สะกดคา้ ถกู ต้อง -มีการเวน้ วรรค -มีการเว้นวรรค โดยไมฉ่ กี ค้า สง่ ชินงานช้ากว่า สง่ ชนิ งานชา้ กวา่ ส่งชินงานช้า โดยไม่ฉีกค้า -มกี ารใช้ภาษา ก้าหนด 2 วนั ก้าหนด 3 วนั กวา่ ก้าหนดเกิน -มกี ารใช้ภาษา อยา่ งสรา้ งสรรค์ อย่างสรา้ งสรรค์ 3 วันขึนไป ส่งชนิ งานช้ากว่า ส่งชินงานภายในเวลา กา้ หนด 1 วนั ทกี่ า้ หนด เอกสารประกอบการเรยี นการสอน วชิ าชวี วทิ ยาเพ่มิ เติม 3 ( ว 32243) ชัน้ มธั ยมศึกษาปีที่ 5 ครูผูส้ อน นางสมฤทัย มา่ นกลาง ตาแหน่ง ครูชานาญการ โรงเรยี นศรีสุขวทิ ยา
P a g e | 14 ตัวอย่างใบงาน ชนดิ ของรากพิเศษ รากสังเคราะห์แสง (รปู ภาพ) (รูปภาพ) (รูปภาพ) บริเวณทพ่ี บ …………………………………………………………………………………………………… รายละเอียด …………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………… เอกสารประกอบการเรยี นการสอน วชิ าชวี วทิ ยาเพิ่มเตมิ 3 ( ว 32243) ชัน้ มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 5 ครูผูส้ อน นางสมฤทัย ม่านกลาง ตาแหน่ง ครูชานาญการ โรงเรยี นศรีสุขวทิ ยา
P a g e | 15 แบบฝึกหัดทบทวน เร่อื ง โครงสร้างและหน้าที่ของใบ 1. ใบ(leaf) คอื ........................................................................................................................ .................................... 2. หน้าทที่ ่ีสา้ คญั ของใบ คอื ............................................................................................................................. .............. 3. จงยกตัวอย่างหนา้ ท่ีของใบพิเศษมา 2 หนา้ ที่ พร้อมทังระบุชนดิ ของพืชดว้ ยหนา้ ท่ีละ 1 ชนิด 1………………………………………….. ตัวอยา่ ง ............................................................ 2………………………………………….. ตวั อย่าง ............................................................ จากภาพใบตอ่ ไปน้ี ใหน้ กั เรียนระบุสว่ นตา่ ง ๆ ให้ถกู ต้อง ................................................ 1 ................................................ ... ................................................ 2 ................................................ ... 3 ................................................ ................................................ ... จากภาพใบต่อไปนี้ ใหน้ กั เรียนระบุสว่ นต่าง ๆ ให้ถกู ต้อง upper epidermis / lower epidermis / stoma / guard cell / Palisade mesophyll / Spongy mesophyll / เส้นกลางใบ(mid rib) / vascular bundle หรือเสน้ ใบ(vein) 1)………………………. .2)………………………. 3. )………………………. .4)………………………. .5)………………………. 6.)………………………. 7.)……………………….. 8)………………………. . เอกสารประกอบการเรียนการสอน วิชาชวี วิทยาเพ่ิมเตมิ 3 ( ว 32243) ช้ันมธั ยมศกึ ษาปีที่ 5 ครูผูส้ อน นางสมฤทัย มา่ นกลาง ตาแหนง่ ครชู านาญการ โรงเรียนศรีสุขวทิ ยา
P a g e | 16 การคายน้า (Transpiration) คือ การสูญเสียน้าของพืชในรูปของไอน้า โดยน้าจะระเหยจากต้นพืชได้ทาง ปากใบ (Stomata) เป็นส่วนใหญ่ ซึ่งพืชจะมีกลไกในการควบคุมการปิดเปิดของปากใบ และความแตกต่างของ พลงั งานท่ีสามารถท้างานได้ของน้าภายในตน้ พชื และอากาศ การคายนา้ มีประโยชนต์ ่อพชื หลายประการ คอื 1. นา้ แรธ่ าตุจากดนิ ขนึ ไปยังตน้ พืช เพราะการคายน้าท้าให้รากพชื ดดู นา้ จากดนิ 2. ลดอุณหภูมิของใบในเวลากลางวัน เพราะเหตทุ ี่การระเหยของน้าให้เป็นไอต้องใช้ พลังงานจ้านวนหนึ่ง จากใบพืช ท้าให้พืชเสียพลังงานความร้อนส่งผลให้อุณหภูมิของใบลดลง และพืชปลอดภัยจากอันตรายจาก อุณหภมู ิสูง การทา้ ใหน้ า้ ระเหยกลายเปน็ ไอต้องใช้พลงั งาน 600 แคลอรีต่ ่อกรมั กลไกการทางานของปากใบ (Stomata Mechanism) ปากใบของพืชประกอบด้วยรูเปิดซง่ึ เป็นทางให้ไอน้าและก๊าซผ่านเข้าออก รใู บนีจะเปิดโดยกลไกของ Guard cell ซ่งึ เป็นเซลล์ที่อยู่ข้าง ๆ โดยท่ัวไปค้าว่าปากใบจะรวมไปถึงรูใบและเซลล์รอบ ๆ ซึ่งคือ Guard cell และ Subsidiary cell ไอนา้ จะระเหยออกมาจากพาลเิ ซด (Palisalde) และสปอนจี (Spongy) ของใบเข้าสู่ช่องว่างระหว่างเซลลซ์ ึง่ เป็น ส่วนที่ต่อกับปากใบและอากาศ ภายนอกก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จะซึมเข้ามาในทิศทางตรงกันข้าม แล้วเซลล์ก็รับ คาร์บอนได-ออกไซด์ไป ใบจะมีปากใบอยู่ทางด้านหลังใบและท้องใบ แต่จะมีจ้านวนมากทางด้านหลังใบ แต่ในพืช ตระกลู หญา้ จะมอี ยู่ในปรมิ าณที่เท่ากนั กรณีใบลลิ ลม่ี ปี ากใบเฉพาะด้านหลังใบเท่านนั ลักษณะทั่วไปของปากใบของพืชใบเลียงคู่ ประกอบด้วย Guard cell ท่ีมีลักษณะเหมือนไต 2 อัน ส่วนพืช ใบเลียงเด่ียวเช่น หญ้า ปากใบ จะประกอบด้วย Guard cell ท่ีมีรูปร่างคล้าย dumbell และยาว ใน Guard cell จะมีคลอโรพลาสต์อยู่บ้าง ปากใบจะเปิด เม่ือ Guard cell ได้รับน้า และบวม ซึ่งถ้าพิจารณาแล้วปากใบน่าจะ ปดิ มากกว่าเปดิ แต่ทังนเี พราะเซลลูโลส ไมโครไฟบริล (Cellulose Microfibril) เรยี งตัวไปตามขวางของ Guard cell ซึ่งมีรูปร่างยาว การเรียงตัวของไมโครไฟบริลจะคล้ายกับรัศมีที่ออกมาจากจุดศูนย์กลาง การเรียงตัวแบบ นี เรยี กวา่ เรเดียล ไมเซลเลชั่น (Radial Micellation) ซึ่งจะส่งผลให้ Guard cell ขยายตัวตามขวางไม่ได้มากเม่ือ ได้รับน้า แต่จะขยายตามยาว ท้าให้ Guard cell เกิดการโค้งออกจากกันเป็นรูใบขึน นอกจากนันยังพบว่าผนัง เซลลด์ ้านในทีเ่ วา้ เขา้ ไปของ Guard cell จะหนากว่าด้านทน่ี ูนหรอื ด้านนอก ท้าใหด้ า้ นในขยายตัวได้นอ้ ยกว่าดา้ นนอก เอกสารประกอบการเรยี นการสอน วิชาชวี วิทยาเพ่ิมเตมิ 3 ( ว 32243) ชัน้ มธั ยมศึกษาปที ่ี 5 ครูผู้สอน นางสมฤทัย มา่ นกลาง ตาแหน่ง ครูชานาญการ โรงเรยี นศรีสขุ วทิ ยา
P a g e | 17 สาเหตุท่ที ้าให้ปากใบเปดิ นัน ได้ศึกษากันมานานซึ่งได้มุ่งจดุ สนใจในการศึกษาไปที่การไหลเขา้ ออกของน้า ซ่ึง จะท้าให้ Guard cell ขยายตัว และหดตัวได้ ซึ่งมีความเป็นไปได้หลายกรณีคือ ถ้ามี Osmotic Potential ของโป รโตพลาสต์ใน Guard cell เป็นลบมากขึนเมื่อเปรียบเทียบกับเซลล์รอบ ๆ น้าจะไหลเข้าไปใน Guard cell นอกจากนันยังเป็นไปได้ว่าผนังเซลล์จะคลายความแข็งลงท้าให้ขยายตัวได้เป็นการลด Pressure Potential และน้า สามารถไหลเข้าเซลล์เกิดการเต่งได้ จากการศึกษาพบว่า Osmotic Potential ของ Guard cell เป็นลบมากขึน จรงิ แตผ่ นังเซลล์ไมไ่ ด้คลายความแข็งลง สาเหตทุ ่ี Osmotic Potential เป็นลบมากขึนนี เนื่องจาก เม่อื ปากใบเปดิ จะมี K+ เป็นจ้านวนมาก เคลือ่ นท่ี จากเซลล์รอบ ๆ เข้าไปใน Guard cell ปริมาณของ K+ ท่ีสะสมในแวคคิวโอของ Guard cell ในระหว่างท่ีปากใบ เปิด จะมากพอท่ีท้าให้ Osmotic Potential ของ Guard cell ลดลง แสงจะก่อให้เกิดการไหลเข้าของ K+ สู่ Guard cell ด้วย รวมไปถึงอากาศทปี่ ราศจาก CO2 ก็สามารถกระตนุ้ K+ เขา้ สู่ Guard cell ดงั นัน ยา้ ยพชื ไปไว้ในทมี่ ืด K+ จะ ไหลออกจาก Guard cell ปากใบจงึ ปดิ ในการให้ ABA แก่เซลล์จะทา้ ให้ปากใบปิด ทังนเี พราะ ABA กระตนุ้ ให้มีการ เอกสารประกอบการเรยี นการสอน วชิ าชวี วิทยาเพม่ิ เติม 3 ( ว 32243) ชนั้ มธั ยมศึกษาปที ่ี 5 ครูผู้สอน นางสมฤทยั ม่านกลาง ตาแหนง่ ครูชานาญการ โรงเรยี นศรีสขุ วิทยา
P a g e | 18 เคลื่อนที่ของ K+ ออกจาก Guard cell ดังนัน การที่ Osmotic Potential ลดลงใน Guard cell นี มีสาเหตุมาจาก K+ กลไกการเคลื่อนที่ของ K+ นันเกิดจากการที่แป้งใน Guard cell สลายตัวเกิดเป็นกรดอินทรีย์ ท้าให้เกิด H+ ขึนภายในเซลล์ ต่อมา H+ จะเคล่ือนที่ออกจากเซลล์ ท้าให้ K+ เคล่ือนที่เข้าไป เพ่ือรักษาประจุของเซลล์ให้เป็น กลาง ดังนันในเซลล์เหล่านีจะมี pH เพิม่ ขึนด้วย ประจุของ Cl¯ จะถูกดูดเข้าไปใน Guard cell ด้วย พร้อมกบั K+ เพ่ือท้าให้ประจุภายในเซลล์เกิดความสมดุล นอกจากนีจะเกิดการสังเคราะห์กรดมาลิก (Malic acid) เพื่อใช้เป็นสาร ดดู ซบั K+ ดว้ ยสาเหตุดงั กลา่ วปากใบจึงเปิด ทา้ ให้มีการคายนา้ และแลกเปลี่ยนก๊าซ CO2 และ O2 ในอากาศ การเปลี่ยนแปลงของระดับน้าตาลใน Guard cell เกิดขึนเม่ือเซลล์ได้รับแสง pH ของเซลล์จะสูงขึน ท้าให้ เอนไซม์ที่ย่อยแป้งเป็นน้าตาลท้างานมากขึน ท้าให้ระดับตัวถูกท้าละลายเพิ่มขึน ดังนันจะท้าให้ค่าพลังงานที่ท้างาน ไดข้ องเซลลล์ ดลงดว้ ย นา้ จึงไหลจากเซลล์อนื่ มายงั Guard cell เอกสารประกอบการเรยี นการสอน วชิ าชวี วทิ ยาเพิม่ เตมิ 3 ( ว 32243) ชนั้ มธั ยมศึกษาปที ่ี 5 ครูผสู้ อน นางสมฤทยั มา่ นกลาง ตาแหนง่ ครูชานาญการ โรงเรียนศรีสุขวิทยา
P a g e | 19 ปัจจยั ท่คี วบคุมการปิดเปิดของปากใบ 1. แสง แสงสแี ดง และแสงสีน้าเงนิ กระต้นุ ให้ปากใบเปดิ เพราะแสงทา้ ให้เกิดการสังเคราะหแ์ สง จึงมีการใช้ CO2 ภายในเซลล์ ย่ิงแสงสวา่ งมาก ปากใบจะยิ่งเปิดมาก 2. ระดับน้าในใบโดยเฉพาะใน Guard cell ถ้าหากพลังงานท่สี ามารถท้างานไดข้ องนา้ ในใบเพ่ิมขนึ รใู บจะ ปิด เพราะน้าจะไหลออกจาก Guard cell อทิ ธพิ ลนีจะมากกวา่ ระดับของ CO2 ในใบหรือความเข้มของ แสง 3. ระดบั CO2 ในใบและในบรรยากาศ ปากใบจะเปดิ เมื่อมี CO2 ในใบพืชต้า่ ดังนนั การสังเคราะห์แสงจึงกระตนุ้ ใหป้ ากใบเปดิ ได้ ถ้าใหอ้ ากาศท่ีปราศจาก CO2 ผา่ นใบพืชที่มปี ากใบเปดิ เลก็ น้อยในทมี่ ืด ปากใบจะเปิดกวา้ ง ขึน ถา้ ปากใบปดิ สนทิ ระดบั ของ CO2 ในอากาศจะไม่มีผลตอ่ การปิดเปดิ ของปากใบ 4. อุณหภูมิสงู (30-35 องศาเซลเซียส) จะทา้ ให้ปากใบปดิ ซ่ึงอาจจะเป็นเพราะการหายใจเพ่มิ ขนึ ท้าให้ CO2 ภายในใบมากขึน แตถ่ ้าผา่ นอากาศท่ีปราศจาก CO2 ไปทีใ่ บพชื ที่อุณหภมู ิ 30-35 องศาเซลเซยี ส ปากใบจะ เปดิ ได้ 5. ลมทพ่ี ัดแรง จะท้าให้รใู บปิด เนอื่ งจากเซลล์สูญเสียนา้ ปจั จยั สภาพแวดล้อมท่ีมีผลต่อการคายนา้ ของพืช 1. แสง อัตราการคายน้าจะผันแปรตามช่วงที่ได้รับแสงของพืช โดยจะสัมพันธ์กับการปิดเปิดของปาก ใบ โดยท่วั ไปอัตราการคายนา้ ต่้าในตอนกลางคนื เม่ือปากใบปิด และอัตราการคายน้าจะเพ่ิมขนึ อยา่ งรวดเร็ว หลังจากดวงอาทิตย์ขึนจนถึงจุดสูงสุดตอนใกล้เที่ยงและบ่าย แล้วก็ลดลงไปเร่ือย ๆ สาเหตุท่ีมีอัตราการคาย น้าสูงในชว่ งกลางวนั นเี ปน็ เพราะปากใบเปดิ และความร้อนจากแสงอาทิตย์ทา้ ใหเ้ กิดการระเหยของน้า 2. ความชืนในอากาศ การคายน้าจะเกิดอย่างเร็วมากเม่ืออากาศรอบๆ ต้นพืชแห้ง เพราะพลังงานที่ท้างานได้ ของไอน้าในอากาศและของน้าในพืชต่างกันมาก ในขณะที่อากาศมีความชืนสัมพัทธ์เท่ากัน ถ้าหากเพิ่ม อณุ หภูมจิ ะท้าให้ค่าความแตกต่างของพลังงานที่ทา้ งานได้ของไอนา้ ในอากาศและของน้าในพชื เพิ่มขึน 3. อุณหภูมิ ถ้าปริมาณไอน้าในอากาศคงท่ีเท่าเดิม การเพ่ิมอุณหภูมิจะมีผลต่อ พลังงานท่ีท้างานได้ของ นา้ ดงั กล่าวแล้วในขอ้ 2 ดังนนั จะทา้ ให้การคายน้าเพม่ิ ขนึ ถ้าหากอณุ หภมู ิของใบสงู กวา่ อณุ หภมู ิของอากาศ ความแตกตา่ งพลงั งานท่ีทา้ งานไดจ้ ะสงู กว่าเมอ่ื อุณหภูมิเท่ากัน และในแต่ละกรณีใบสามารถคายนา้ แม้ว่าใน อากาศจะอ่ิมตัวด้วยไอน้าก็ตาม ในทางตรงกันข้ามถ้าหากอุณหภูมิของใบต่้ากว่าอุณหภูมิของอากาศในกรณี นีใบอาจจะเสียน้าเป็นรูปของหยดนา้ เมอ่ื ความชนื ในอากาศสงู 4. ลม การเคลื่อนท่ีของอากาศบริเวณผิวใบจะก้าจัดไอน้าออกไป ดังนันจะเพ่ิมความแตกต่างของพลังงานที่ ท้างานได้ของไอน้าในอากาศและในพืช ดังนันจึงเร่งอัตราการคายน้าให้สูงขึน อย่างไรก็ตามถ้าลมแรง มาก อัตราการคายน้าอาจจะลดลง เพราะปากใบปิด อันเน่ืองมาจากปัจจัยทางกลท่ีกระตุ้นให้ปากใบปิด หรอื เกิดการขาดน้า ท้าใหม้ ีการสงั เคราะห์ ABA ทา้ ให้ปากใบปดิ ได้ 5. น้าในดิน ถ้านา้ ในดนิ ลดลง หรอื มปี ัจจยั อ่นื ๆ ท้าให้พชื ดูดน้าได้น้อย จะท้าใหผ้ นังเซลลข์ องใบแหง้ และจะ ลดปริมาณการคายนา้ ลง ซง่ึ ถ้าขาดนา้ มากขึน ปากใบจะปิด อัตราการคายนา้ จะลดลง เอกสารประกอบการเรยี นการสอน วิชาชวี วิทยาเพมิ่ เติม 3 ( ว 32243) ชัน้ มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 5 ครูผูส้ อน นางสมฤทยั ม่านกลาง ตาแหนง่ ครชู านาญการ โรงเรยี นศรีสขุ วิทยา
P a g e | 20 การเคล่ือนทข่ี องน้าภายในพืช การท่ีน้าสามารถเคลื่อนท่ีสู่ยอดพืชได้นัน มักจะท้าให้เกิดค้าถามท่ีว่า ในต้นไม้บางต้นที่สูงมาก ๆ ถึง 100 เมตร นนั น้าเคล่ือนท่ีขนึ มาได้ดว้ ยกลไกอะไร จะตอ้ งมีแรงบางอย่างดึงนา้ ขนึ ไปสู่ยอด มฉิ ะนันนา้ จะขึนไปได้สูง เพียง 10.3 เมตรเท่านัน น้าไหลผ่านพืชได้เพราะความแตกต่างของพลังงานที่ท้างานได้ของน้าในต้นพืช ดิน และ อากาศ น้าท่ีปรากฏอยู่ในพืชนัน สามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ส่วน ท่ีแตกต่างกัน ซึ่งแต่ละส่วนนีจะไหลไปด้วย อตั ราเรว็ ท่ีตา่ งกันและในบางกรณคี นละทศิ ทาง ซึง่ สว่ นตา่ ง ๆ ของนา้ เหล่านี คอื 1. น้าที่อยู่ระหว่างช่องภายในผนังเซลล์ และช่องว่างรอบ ๆ ผนังเซลล์ซึ่งส่วนเหล่านีเรียกว่า อะโพพลาสต์ (Apoplast) นัน จะไหลผ่านส่วนท่ีไม่มีชีวิตของพืช น้าท่ีอยู่ในเซลล์ท่ีตายแล้ว เช่น ในท่อไซเลมก็จัดว่าอยู่ ในสว่ นนี ดงั นนั การไหลของนา้ ในตน้ พชื สว่ นใหญจ่ ะผ่านสว่ นที่เปน็ อะโพพลาสต์ 2. น้าในโปรโตพลาสต์ของเซลล์ ซึ่งจะไหลผ่านจากเซลล์หนึ่งไปยังอีกเซลล์หน่ึง ทาง พลาสโมเดสมาตา (Plasmodesmata) ซ่ึงเป็นการไหลผ่านส่วนที่มีชีวิตของพืช หรือผ่านทางซิมพลาสต์ (Symplast) น้าใน ซีพทิวบ์ (Sieve tube) ของท่ออาหาร (Phloem) จัดเปน็ น้าในสว่ นนดี ้วย 3. นา้ ที่อย่ใู นแวคควิ โอของเซลล์ทม่ี ีชีวิต เอกสารประกอบการเรยี นการสอน วิชาชวี วทิ ยาเพิ่มเติม 3 ( ว 32243) ชั้นมธั ยมศกึ ษาปีท่ี 5 ครูผู้สอน นางสมฤทยั ม่านกลาง ตาแหน่ง ครชู านาญการ โรงเรียนศรีสขุ วทิ ยา
P a g e | 21 การส่งน้าของพืชขึนสู่ยอดนัน จะผ่านทางไซเลมเป็นส่วนใหญ่ โดยจะต้องมีแรงดันท่ีฐานสูงกว่าความดัน บรรยากาศปกติ ดังนันจึงมีแรงอ่ืนมาเกี่ยวข้องด้วย ซ่ึงมีสมมุติฐานเกิดขึนเพ่ืออธิบายกลไกของการไหลของน้าขึนสู่ ยอดหลายสมมตุ ิฐานดว้ ยกัน คือ 1. Root Pressure พชื หลายชนดิ เม่ือถกู ตดั ยอดออก น้ายงั คงไหลขึนมาถึงส่วนทต่ี ัดได้โดยจะมีความดันทวี่ ดั ได้ ดันน้าขึนมาจากราก 5-6 บาร์ Root Pressure จะสูงเมื่อความชืนในดินและอากาศสูง จึงมักท้าให้เกิด การเสียน้าเป็นหยดน้า (Guttation) เพราะอัตราการคายน้า ลดลง แต่ยังดูดน้าอยู่ พืชจงึ เสยี น้าออกไปเป็น รูปของหยดน้า ซ่ึงมกั จะพบที่ปลายใบของพืช ตระกลู หญ้า แต่ในสภาพที่อากาศแห้งความชืนในดินต่้า จะ ไม่มี Root Pressure เกิดขึน ดังนัน Root Pressure จึงไม่ใช่แรงส้าคัญที่ท้าให้พืชส่งน้าไปยังยอด ได้ ในพืชจ้าพวกสนจะไม่พบ Root Pressure นอกจากนัน อัตราการเคล่ือนที่ของน้าโดย Root Pressure ยังช้าเกินไปด้วย แรงดันนีอาศัยพลังงานจาก active process (active transport) โดย endodermal cell ใช้พลังงานในการสะสมแร่ธาตุท้าให้ค่า water potential ของเซลล์ต้่ากว่า cortical cell ท้าใหเ้ กดิ การเคล่อื นทขี่ องน้าจาก cortex เข้าสู่ endodermis และ vessel 2. Capillarity เม่ือให้หลอดขนาดเล็กมากท่ีเปิดทัง 2 ด้าน วางตามแนวด่ิงโดยปลายด้านหนึ่งแช่อยู่ในน้า ของเหลวจะไหลขึนมาในหลอด จนกว่าน้าหนักของน้าในหลอดจะ สมดุลกับแรงดึงของผนังหลอดกับน้า ย่ิง หลอดมีขนาดเล็กมาก น้าก็จะยิ่งไหลขึนไปได้สูงมากเพราะแรงดึงระหว่างผนังของหลอดกับน้าจะย่ิงมีค่า มากกว่าแรงดึงดูดของโลกในหลอดขนาด 0.01 มิลลิเมตร น้าจะไหลขึนไปได้สูงถึง 3 เมตร แต่ทังนีขึนกับ แรงดึงของผนังหลอดกับน้าด้วย หลอดพลาสติกจะมแี รงดึงน้อยกว่าหลอดแก้ว และหลอดแก้วมีแรงดึงน้อย กว่าท่อน้า แรงดึงของหลอดกับน้านีเรียกว่า แอดฮีช่ัน (Adhesion) แต่อย่างไรก็ตามจากการศึกษาพบว่า แรง Capillarity ท่ีเกิดในไซเลมของพืชนันจะท้าให้น้าไหลขึนไปได้เพียงประมาณ 0.3 เมตรเท่านัน และ นอกจากนันทอ่ นา้ ยังไม่เป็นทอ่ ที่เปิดทงั 2 ดา้ นดว้ ย ดังนนั แรงนจี งึ ไม่ใช่แรงสา้ คญั ในการท้าใหน้ า้ เคลอื่ นที่ เอกสารประกอบการเรียนการสอน วิชาชวี วิทยาเพมิ่ เตมิ 3 ( ว 32243) ชน้ั มธั ยมศกึ ษาปที ่ี 5 ครูผสู้ อน นางสมฤทัย มา่ นกลาง ตาแหน่ง ครชู านาญการ โรงเรียนศรีสุขวทิ ยา
P a g e | 22 3. Transpiration pull เป็นแรงดึงที่เกิดจากการคายน้า นั่นคือการคายน้าที่ใบก่อให้เกิดแรงดึงท่ีกระท้าต่อ โมเลกุลน้าท่ีอยู่ใน mesophyll ท้าให้มีค่า w ลดต้่าลง ซ่ึงแรงดึงนีมีการถ่ายทอดส่งต่อไปยังโมเลกุลน้าที่ อยู่ถัดลงๆ ไปในไซเลมของใบ ไซเลมของล้าต้น และไซเลมของราก โดยโมเลกุลของน้ามีพันธะเกาะเก่ียว กันเองด้วย H-bond หรือ cohesive force รวมทังเกาะยึดกับผนังท่อไซเลมด้วย adhesive force จึงอาจ เรียกแรงกลไกนีว่า tension-cohesion mechanism เน่ืองจากการคายน้าก่อให้เกิดแรงดึงท้าให้บริเวณ ปากไบมีค่าw ลดต่้าลงมากกว่าที่ถัดลงไป ก่อให้เกิดความแตกต่างของ w และการเคล่ือนที่ของน้าท่ีเกาะ เกี่ยวกับผนังท่อกับและรหว่างโมเลกุลด้วยกันเองด้วย adhesive force และ cohesive force จากรากขึนสู่ ยอดหรือใบทีก่ ้าลงั เกดิ การคายน้า สารท่ลี าเลยี งในพชื มีสารหลายชนิดที่พชื ลา้ เลยี งจากทห่ี นึง่ ไปยังอกี ทีห่ นึ่ง จากเซลลห์ รอื อวยั วะหน่งึ ไปยังอกี เซลล์หรอื อวยั วะหน่ึง สารเหล่านไี ดแ้ ก่ น้า แร่ธาตุ น้าตาล กรดอะมิโน และฮอรโ์ มน เป็นต้น เอกสารประกอบการเรยี นการสอน วิชาชวี วิทยาเพ่มิ เตมิ 3 ( ว 32243) ชน้ั มธั ยมศกึ ษาปที ่ี 5 ครูผู้สอน นางสมฤทยั มา่ นกลาง ตาแหนง่ ครูชานาญการ โรงเรียนศรีสขุ วิทยา
P a g e | 23 จดุ ประสงคข์ องการลาเลยี งสารในพชื ลักษณะท่ัวไปประการหนึ่งของพืชท่ีแตกต่างจากสัตว์คือไม่สามารถเคลื่อนที่ได้ ท้าให้พืชมีข้อจ้ากัดในการหา อาหารและน้า อย่างไรก็ตามการที่พืชมีการเจริญเติบโตแบบ indeterminative growth ท้าให้รากและยอดสามารถ เจริญเข้าหาแหล่งน้า-แร่ธาตุ แสง และปัจจัยอื่นๆ ทมี่ ีผลสง่ เสริมการเจริญเติบโตได้ตลอดเวลาไม่สินสุด พืชจงึ สามารถ ดา้ รงชีวติ อยู่ได้ เมื่อพิจารณาโครงสร้างของพชื อวัยวะแต่ละสว่ นมีโครงสรา้ งและท้าหน้าทแี่ ตกต่างกนั รากเป็นโครงสรา้ งทีท่ ้า หน้าท่ีดูดน้า – แร่ธาตุจากดิน สว่ นใบหรือล้าต้นท่ีมีสีเขียวท้าหน้าท่ีรบั แสงเพื่อใช้ในกระบวนการสังเคราะห์แสง สร้าง อาหารพวกน้าตาลและแป้ง จะเห็นได้ว่าอวัยวะเหล่านีแต่ละส่วนสามารถรับสารหรอื สร้างสารได้แตกตา่ งกัน และสาร เหล่านีล้วนจ้าเป็นต่อการเจริญเติบโตท่ีเกิดขึนตลอดระยะเวลาของการด้ารงชีวิต ดังนันจึงต้องมีการล้าเลียงสารไปยัง สว่ นหรืออวัยวะท่ีไมส่ ามารถสรา้ งเองได้ เรยี กวา่ ล้าเลียงจาก source ไปยัง sink เพอื่ น้าน้า-แรธ่ าตุและสารอาหารพวก น้าตาล กรดอะมโิ น และฮอรโ์ มนจาก source ไปยงั sink เพ่ือใชใ้ นการเจรญิ เตบิ โตของพืช พืชล้าเลยี งนา้ -แร่ธาตุโดยระบบ xylem จากรากซึ่งรบั นา้ -แร่ธาตจุ ากสารละลายในดินไปยงั ส่วนต่างๆ ของพืช ซึ่งมักเป็นการเคลื่อนย้ายในทิศทางขึนท่ีสวนทางกับแรงโน้มถ่วงของโลก ส่วนการล้าเลียงอาหารซ่ึงในที่นีขอกล่าว เฉพาะ sucrose ซ่ึงได้จากการสังเคราะห์แสงนัน มีการล้าเลียงโดยระบบ phloem จากใบในทิศทางทังขึนไปยังยอด และทิศทางลงไปยงั รากท่ีไม่สามารถสร้างอาหารเองได้ การเคล่ือนทีข่ องตัวถูกละลายผ่านเย่อื การเคล่ือนทีข่ องตวั ถูกละลายผ่านเยอื่ หุ้ม เป็นการทต่ี วั ถกู ละลายเคลือ่ นท่จี ากจุดหนงึ่ ผา่ นเย่ือห้มุ เพื่อไปอีกจุด หน่ึง การเคลื่อนนีเกิดขึนได้เนื่องจากมีความแตกต่างของพลังงานท่ีสามารถท้างานของตัวถูกละลาย เช่น การ เคล่ือนที่ของ K+ เข้าไปยัง Guard cell การเคลื่อนที่ถ้าเกิดได้โดยเกิดจากการเคลื่อนที่จากที่ท่ีมีพลังงานท่ีสามารถ ท้างานได้ของ K+ ท่ีสูงกว่าไปยังท่ีท่ีมีพลังงานต่้ากว่าซึ่งไม่ใช้พลังงานเลย หรืออาจจะเป็นการเคล่ือนท่ีต้านความ แตกต่าง เช่นจากท่ีท่ีมีพลงั งานตา่้ กว่าไปยงั ทท่ี ่มี ีพลังงานสูงกวา่ จึงจา้ เปน็ ต้องใช้พลังงานในรปู ของ ATP เอกสารประกอบการเรียนการสอน วชิ าชวี วิทยาเพิม่ เติม 3 ( ว 32243) ชน้ั มธั ยมศึกษาปีที่ 5 ครูผู้สอน นางสมฤทยั ม่านกลาง ตาแหน่ง ครูชานาญการ โรงเรียนศรีสุขวิทยา
P a g e | 24 พลังงานที่สามารถท้างานได้นี เรียกว่า chemical potential ของไอออน หรือ electrochemical potential ก็ได้ ความเข้มข้นและประจุไฟฟ้าของตัวถูกละลายเป็นตัวก้าหนดทิศทางการไหลของตัวถูกละลายจะมี การไหลของตัวถูกละลายจากที่ท่ีมีค่าสูงไปยังที่ที่มีค่าต้่า โดยไม่มีการใช้พลังงาน หรือเรียกว่า passive transport การเคลื่อนแบบนีอาจเกิดขึนได้ในกรณีท่ีมี Gibbs-Donnan potential โดยโมเลกุลใหญ่ๆ เช่น โปรตีน แป้ง หรือผนังเซลล์ดูดไอออนไว้ เช่น K+ ถูกดูดไว้ และเซลล์ต้องรกั ษาความสมดุลของประจุไฟฟ้าภายในเซลล์ ก็มี การน้า K+ เขา้ ไปอกี ทงั ๆ ท่รี ะดับ K+ ภายในเซลลส์ ูงกว่าภายนอกเซลล์ active transport เป็นการเคล่ือนที่ของตัวถูกละลายผ่านเยื่อจากที่ที่มี electrochemical potential ต้่า ไปที่ทม่ี ีระดบั สงู กว่า แตต่ อ้ งมีการใช้พลงั งาน การเคลื่อนท่ี ของตัวถูกละลายโดย active transport ห รือโดย passive transport นีมีผล ต่อ membrane potential และ electrical potential ของเซลล์ การเคล่ือนที่แบบ active transport นันต้อง ใช้พลังงานในการน้าตัวถูกละลายผ่านเย่ือ แต่จะใช้ในขันตอนใดนันยังไม่ทราบแน่ชัด ส่วนการเคลื่อนท่ีแบบ passive transport ไม่ต้องใช้พลังงาน W.J.V. Osterhout ได้เสนอในปี 1930 วา่ มีตวั น้า `carrier' โมเลกุลที่เป็น ตัวเคล่ือนย้ายตัวถูกละลายผ่านเย่ือหุ้มเซลล์ ตวั น้านีมีลักษณะเฉพาะเจาะจงท่ีจะน้าตวั ถูกละลายเฉพาะอย่างเพื่อท่ีจะ ควบคมุ การเข้าและออกของตวั ถูกละลายผา่ นเย่ือหุ้มเซลล์ เชน่ การนา้ แรธ่ าตุตา่ งๆ เข้าส่เู ซลล์ ในขณะเดยี วกันมกี าร น้าส่ิงท่ีผลิตจากการสังเคราะห์แสงและของเสียออกจากเซลล์ จากการศึกษาและทดลองพบว่าตัวถูกละลายนีจะมี ความเฉพาะเจาะจงตอ่ ตวั น้า ตัวอยา่ งเชน่ ตัวนา้ บางตัวจะนา้ Na+ ออกจากเซลล์ และน้า K+ เขา้ สูเ่ ซลล์ หรือเรารจู้ ัก ในช่ือของ sodium-potassium pump ตัวน้านีก็จะแตกต่างจากตัวน้าซึ่งน้า Mg++ และ Mn++ จึงมีผู้เสนอกลุ่มของ ตัวน้าเหลา่ นี ได้แก่ 1) Neutral pump ปมั๊ ทท่ี ้าหน้าที่เปน็ กลาง โดยมีตัวน้าทนี่ า้ ประจุบวกเข้าหรือออกจากเซลล์ในขณะเดียวกนั ก็ น้าประจลุ บเขา้ หรือออกจากเซลล์ ผลทไ่ี ดจ้ ากปมั๊ ชนดิ นี ประจขุ องเซลลจ์ ะคงเดมิ 2) Electrogenic pump ปั๊มนีมีตัวน้าท่ีน้าประจุอย่างใดอย่างหนึ่งเข้าหรือออกจากเซลล์ โดยไม่มีการ แลกเปล่ียนประจุ หลังจากการท้างานของป๊ัมนีแล้ว Electrical potential ของเซลล์จะเปลี่ยนแปลง ตวั อย่างเชน่ ไฮโดรเจนปัม๊ คลอไรด์ป๊ัม และไบคาร์บอนเนตปั๊ม 3) Co-transport pump ป๊ัมที่น้าร่วมจะมีตัวน้าท่ีน้าไฮโดรเจนไอออนร่วมกับการน้าโมเลกุลของน้าตาล หรือ กรดอะมิโนเข้าสเู่ ซลล์หรอื ออกจากเซลล์ เอกสารประกอบการเรยี นการสอน วชิ าชวี วิทยาเพ่ิมเติม 3 ( ว 32243) ชน้ั มธั ยมศกึ ษาปที ่ี 5 ครูผู้สอน นางสมฤทยั ม่านกลาง ตาแหนง่ ครูชานาญการ โรงเรยี นศรีสุขวทิ ยา
P a g e | 25 เอกสารประกอบการเรยี นการสอน วชิ าชวี วิทยาเพิม่ เติม 3 ( ว 32243) ช้ันมธั ยมศกึ ษาปีท่ี 5 ครูผู้สอน นางสมฤทยั มา่ นกลาง ตาแหนง่ ครชู านาญการ โรงเรยี นศรีสุขวิทยา
Search