ลิลิตโองการแช่งน้า ผแู้ ต่ง สมเด็จพระเจา้ บรมวงคเ์ ธอ กรมพระยาดารงราชานุภาพทรงสนั นิษฐานวา่ อาจแต่งใน สมยั สมเด็จพระรามาธิปดีที่๑ (อ่ทู อง) ผแู้ ต่งคงจะเป็ นผูร้ พู้ ิธีพราหมณ์ และรวู้ ิธีประพนั ธข์ องไทยเป็ น อยา่ งดี สมเด็จพระรามาธิปดีท่ี ๑ (พระเจา้ อ่ทู อง)เป็ นปฐมกษัตริยแ์ ห่งกรุงอยุธยา สมเด็จฯกรมพระ ยาดารงราชานุภาพ ทรงสนั นิษฐานสา่ สมเด็จพระรามาธิปดีที่ ๑เป็ นเช้ ือสายของพระเจา้ สิริชยั เชียงแสน แห่งแควน้ สิริธรรมราช จึงเป็ นตน้ วงศเ์ ชียงรายเป็ นราชบุตรเขยของพระเจา้ อ่ทู อง เมอ่ื พ.ศ.๑๘๘๗ ได้ เป็ น เจา้ เมืองอ่ทู อง ซ่ึงขณะน้ันข้ นึ ต่อเมอื งสุโขทยั ต่อมาเกิดโรคระบาด จึงทรงยา้ ยราชธานีมาต้งั ตาบล หนองโสนแขวงเมืองอโยธยา เม่อื พ.ศ.๑๘๙๓ ขนานนามใหมว่ า่ กรุงเทพทวาราวดีศรีอยุธยาและ พระองคไ์ ดร้ บั พระนามใหมว่ า่ สมเด็จพระรามาธิปดีที่ ๑ ทรงต้งั พระองคเ์ ป็ นใหญ่ไมข่ ้ นึ ต่อกรุงสุโขทยั นับแต่สถาปนาราชธานี ในรชั กาลน้ ีไดร้ บั วฒั นธรรมขอมและพราหมณเ์ ป็ นอนั มาก ภาษาไทยจึงเริ่มมี คาเขมรเขา้ มาปะปนมากข้ ึนมีการประกอบพิธีถือน้าพระพิพฒั น์สตั ยา หรือพิธีศรีสจั ปานกาล ตามแบบ เขมร ซึ่งถ่ายทอดมาจากพราหมณอ์ ีกต่อหนึ่ง ประวตั ิ ตน้ ฉบบั เดิมท่ีเหลืออยเู่ ขียนดว้ ยอกั ษรขอม ขอ้ ความที่เพิ่มข้ ึนในรชั กาลท่ี๔ ตาม หลกั ฐานซ่ึงรชั กาลที่ ๕ ทรงยนื ยนั ไวใ้ นพระราชพิธีสิบสองเดือน คือ \"แทงพระแสงศรประลยั วาต\" \"แทง พระแสงศรอคั นิวาต\" และ \"แทงพระแสงศรพรหมมาสตร\"์ คาประพนั ธท์ ่ีใชค้ ือโคลงหา้ และร่ายโบราณ หนังสือเร่ืองน้ ีนับวา่ เป็ นวรรณคดีเร่ืองแรกของคนไทย ท่ีแต่งเป็ นรอ้ ยกรองอยา่ งสมบรู ณแ์ บบ ชื่อเรียก แต่เดิมวา่ โองการแชง่ น้าบา้ ง ประกาศแชง่ น้าโคลงหา้ บา้ ง ตน้ ฉบบั ท่ีถอดเป็ นอกั ษรไทยจดั เป็ นวรรค ตอนคาประพนั ธไ์ วค้ อ่ นขา้ งสบั สน พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเจา้ อยหู่ วั ทรงสอบทานและพระราช วินิจฉยั เรียบเรียงวรรคตอนใหม่ ทานองแต่ง มีลกั ษณะเป็ นลิลิต คือ มรี ่ายกบั โคลงสลบั กนั ร่ายเป็ นร่ายโบราณ ส่วนโคลงเป็ น โคลงแบบโคลงหา้ หรือมณฑกคติ ถอ้ ยคา ถอ้ ยคาท่ีใชส้ ว่ นมากเป็ นคาไทยโบราณ นอกจากน้ันมคี าเขมร และบาลี สนั สกฤต ปนอยดู่ ว้ ย คาสนั สกฤตมีมากกว่าคาบาลี ความมุง่ หมาย ใชอ้ ่านในพิธีถือพระพิพฒั น์สตั ยาหรือพิธีศรีสจั ปานกาล ซึ่งกระทาต้งั แต่รชั กาล สมเด็จพระเจา้ อทู่ องสืบต่อกนั มาจนเลิกไปเม่ือประเทศไทยเปล่ียนแปลงการปกครองมาเป็ นระบบ ประชาธิปไตย ใน พ.ศ.๒๔๗๕ เร่ืองยอ่ เริ่มตน้ ดว้ ยร่ายด้นั โบราณ ๓ บท สรรเสริญพระนารายณ์ พระอิศวร พระพรหม ตามลาดบั ต่อจากน้ันบรรยายดว้ ยโคลงหา้ และร่ายด้นั โบราณสลบั กนั กลา่ วถึงไฟไหมโ้ ลกเมื่อส้ ินกลั ป์ แลว้ พระพรหมสรา้ งโลกใหม่ เกิดมนุษย์ ดวงอาทิตย์ ดวงจนั ทร์ การกาหนดวนั เดือน ปี และการเริ่มี พระราชาธิบดีในหมคู่ น แลว้ อญั เชิญพระกรรมบดีป่ เู จา้ มาร่วมเพ่ือความศกั ด์ิสิทธ์ิ ตอนต่อไปเป็ นการ ออ้ นวอนใหส้ ่ิงศกั ด์ิสิทธ์ิเรืองอานาจมี พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เทพยาดา อสรู ภตู ปี ศาจ ตลอดจน
สตั วม์ เี ข้ เี ล็บเป็ นพยาน ลงโทษผูค้ ิดคดกบฏต่อพระเจา้ แผ่นดิน ส่วนผูซ้ ื่อตรงภกั ดี ขอใหม้ ีความสุขและ ลาภยศ ตอนจบเป็ นร่ายยอพระเกียรติพระเจา้ แผ่นดิน ตวั อยา่ งขอ้ ความบางตอนสรรเสริญพระนารายณ์ โอมสิทธิสธิสรวงศรีแกลว้ แผว้ ฤตยู เอางปู นแท่น แกวน่ กลืนฟ้ ากลืนดิน บินเอาครุฑมาขี่ ส่ีถือ สงั ขจ์ กั รคธารณี ภีรุอวตาร อสุรแลงลาญทกั ทคั นียจรนายฯ แทงพระแสงศรปลยั วาดฯ กล่าวถึงไฟประลยั กลั ป์ นานเอนกนา้ วเดิมกลั ป์ จกั รา่ จกั ราพาฬเมอื่ ไหม้ กล่าวถึงตรวนั เจดอนั พลุ่ง น้าแลว้ ไขอ้ ดหาย เจ็ดปลามนั พุ่งหลา้ เป็ นไฟวาบ จตั ุราบบายแผ่นขว้า ชกั ไตรตรึงษ์เปนผา้ แลบลา้ สีลอง อญั เชิญพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ พระพรหม เทพยาดา และภตู ผีปี ศาจ เป็ นพยาน ผูใ้ ดเภทจงคด ถือขนั สรดใบพตู านเสียด มารเฟี ยดไททศพล ช่วยดู ธรรมารคประเตยก ช่วยดู อเนกกถ่องพระสงฆ์ ช่วยดู ขุนหงษทองเกลา้ สี่ ช่วยดู ฟ้ าฟัดพรีใจยงั ดู ชว่ ยดู สี่ปวงผรีหาวแหง่ ช่วยดฟู ้ า ชรแร่งหกคลอง ช่วยดู ผองผี กลางหาวแอน่ ช่วยดู ฟ้ ากระแฉ่นเรืองผยอง ชว่ ยดู เจา้ ผาดาสามเสา้ ช่วย ดู แสนผีพึงยอมเทา้ เจา้ ผาดาผาเผือก ชว่ ยดฯู คาสาปแช่งผูค้ ิดกบฏต่อพระเจา้ แผ่นดิน จงเทพยดา ฝงู น้ ีใหต้ ายในสามวนั อยา่ ใหท้ นั ในสามเดือน อยา่ ใหเ้ คลื่อนในสามปี อยา่ ให้ มศี ุขสวสั ด์ิเมื่อใดฯ ลิลิตโองการแช่งน้า ใชถ้ อ้ ยคาสานวนที่เขา้ ใจยาก และเป็ นคาหว้ นหนักแน่น เพื่อใหเ้ กิด ความน่าเคารพยาเกรง ความพรรณนาบางตอนละเอียดละออ เช่น ตอนกล่าวถึงสิ่งศกั ด์ิสิทธ์ิและมี อานาจก็สรรหามากล่าวไวม้ ากมาย นอกจากน้ ียงั ใชถ้ อ้ ยคาประเภท โคลงหา้ และรา่ ยด้นั ซึ่งมจี งั หวะลีลา ไมร่ าบรื่น สะดุดเป็ นตอน ๆ ย่ิงเพิ่มความขลงั ข้ นึ อีกเป็ นอนั มาก จึงนับไดว้ า่ ลิลิตโองการแชง่ น้าเร่ืองน้ ี แต่งไดเ้ หมาะสมกบั ความมุ่งหมายสาหรบั ใชอ้ า่ นหรือสวดใน พระราชพิธีถือน้าพระพิพฒั น์สตั ยา ซึ่งมี ความสาคญั แกก่ ารเพ่ิมพนู พระบรมเดชานุภาพของพระมหากษัตริยใ์ นระบบสมบรู ณาญาสิทธิราชย์ วรรณคดีเร่ืองน้ ีมกี าเนิดจากพระราชพิธีในระบบสมบรู ณาญาสิทธิราชย์ แสดงถึงอิทธิพล ของวฒั นธรรมเขมร และพราหมณอ์ ยา่ งชดั เจน สมเด็จพระเจา้ อู่ทองทรงรบั การปกครองระบอบ สมบรู ณาญาสิทธิราชย์ และพระราชพิธีศรีสจั ปานจากเขมรมาใช้ เพ่ือใหเ้ หมาะสมกบั สภาวการณข์ อง
บา้ นเมืองท่ีตอ้ งการสรา้ งอานาจปกครองของพระเจา้ แผ่นดิน และความมนั่ คงของบา้ นเมืองในระยะที่ เพิ่งกอ่ สรา้ งราชอาณาจกั ร ในสมยั สุโขทยั ไมป่ รากฏวา่ มพี ระราชพิธีศรีสจั ปานกาล เนื่องจากกษัตริยส์ ุโขทยั ทรง ปกครองบา้ นเมือบแบบพอ่ ปกครองลกู ถึงแมห้ ลกั ศิลาจารึกสุโขทยั หลกั ที่ ๔๕ มเี น้ ือความเกี่ยวกบั การ สบถสาบานระหวา่ งกษัตริยส์ ุโขทยั ผูเ้ ป็ นหลานกบั เจา้ เมืองน่านผูป้ ่ ู และถอ้ ยคาบางตอนคลา้ ยกบั ลิลิต โองการแช่งน้า แต่ก็เป็ นการสาบานระหวา่ งบุคคลเฉพาะกรณี ไมใ่ ชพ่ ิธีทางราชการทวั่ ไปกระทาต่อพระ เจา้ แผ่นดินเป็ นการทวั่ ไปอยา่ งท่ีกรึงศรีอยุธยา อน่ึงขอ้ ความน้ ีจารึกไวใ้ น พ.ศ.๑๙๓๕ ซึ่งอาจเป็ นสมยั พระมหาธรรมราชาท่ี ๒หรือพระมหาธรรมราชาที่ ๓ (ไสยลือไท)ตรงกบั รชั การสมเด็จพระราเมศวรแห่ง กรุงรีอยุธยา เป็ นชว่ งท่ีกรุงสุโขทยั เสียอิสระภาแก่กรุงศรีอยุธยาต้งั แต่ พ.ศ. ๑๙๒๑ ถา้ พระราชพิธีสจั ปานกาลเคยกระทาท่ีสุโขทยั ก็จะตอ้ งเป็ นเวลาภายหลงั ท่ีกรุงสุโขทยั ตกอยใู่ นอานาจปกครองและอิทธิพล ทางวฒั นธรรมของ กรุงศรีอยุธยาแลว้
Search
Read the Text Version
- 1 - 3
Pages: