Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore รายงาน2 (1)

รายงาน2 (1)

Published by FunFueng Kawalee, 2018-04-25 22:26:45

Description: รายงาน2 (1)

Search

Read the Text Version

อาเภอนครไทย ปรากฎหลักฐาน ทส่ี าํ คญั คือ วดั กลางศรีพุทธาราม ซ่ึงตงั้ อย่หู า่ งจาก ทวี่ า่ การ อ.นครไทยประมาณ 500 เมตร มีตน้ จาํ ปาขาวใหญ่ อยูต่ ้นหน่ึงมคี วาม เช่อื กนั ว่า มีอายุมานานพร้อมกบั พอ่ ขนุบาง กลางหาว เริม่ สร้างเมืองบางยาง นนั่ เอง ซึ่งพสิ ูจน์ แล้วว่า มีอายปุ ระมาณ 700 ปีเศษ หลกั ฐานที่สาํ คัญ ว่าเมืองบางยางได้เปล่ียนชอ่ื เป็น \"นครไทย\" มีปรากฎอยู่ จนถงึ พ.ศ. 2472 ในรัชสมยัพระบาทสมเด็จ พระจุลจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั ได้ลด ฐานะ เมืองนครไทยมาเป็น \"อาํ เภอเมืองนครไทย\"แล้วแตง่ ตัง้ นายอําเภอเป็นผ้ปู กครอง นายอาํ เภอคนแรก คือ หลวงพิทกั ษ์กิจบุรเทศ (เป๋า บญุ รตั นพันธ)์ และเป็นอําเภอนครไทย เมื่อ พ.ศ.2497 เพอ่ื ให้เหมาะสมกับการ เรียก ช่อื ตามระเบียบบรหิ ารราชการแผ่นดนิ ในปัจจบุ นั การละเล่นพื้นบ้าน \"นางด้ง-นางควาย\" กล่มุ นี้มีคุณยาย 4 คนท่ีเป็นหัวเรือใหญ่ในการอนุรกั ษ์วฒั นธรรมไทย คอื คุณยายคาํ มูล มว่ งแกน่ วัย 85 ปี คุณยายอาํ ไพ แก้วมงคล คุณยายละมลู บวั สิน และคุณยายโพธ์ทอง แก้วปกป้อง ซง่ึ ท้ัง4 คนจะเป็นผู้ทีส่ บื ทอดวฒั นธรรมไทยมาโดยตลอด ประวัต:ิ ความเปน็ มาการแหน่ างด้ง - นางควาย เปน็ ประเพณีพืน้ บ้านของชาวอาํ เภอนครไทย จงั หวดั พิษณโุ ลกเป็นประเพณเี กย่ี วกบั การขอฝน อนั เก่ยี วขอ้ งกบั ความเจริญงอกงามของพืชพนั ธุธ์ ัญญาหาร เพราะชาวนครไทยสมัยโบราณมอี าชีพในการทาํ ไรท่ ํานากนั ทุกครวั เรอื น ดํารงชวี ิตอยูด่ ว้ ยธรรมชาตอิ ย่างแทจ้ ริงซึ่งการท่ีจะให้พันธุ์พชื เต็มไปด้วยความอุดมสมบรู ณ์ ต้องอาศัยนํ้าจากฝนที่ตกต้องตามฤดูกาล ถ้าฝนหา่ งฟ้าไปจะเกิดความแหง้ แล้งขนึ้ ดังนัน้ เพื่อใหฝ้ นตกลงมาให้ความชุ่มชื้นแก่ไร่นา ชาวบา้ นจงึ รว่ มกนัทําพธิ ีกรรมตามความเชื่อท่ตี กทอดมาจากบรรพบุรุษ เพ่ือใหผ้ สี างทแ่ี ฝงอยู่ในธรรมชาตชิ ่วยดลบันดาลใหฝ้ นตกลงมาตามตอ้ งการ ประกอบกับการแห่นางดง้ - นางควาย ยงั มเี พลงประกอบอันเปน็ เพลงพื้นบา้ นทีใ่ ช้สําหรบั ขอฝน

ข้นั ตอนและวธิ ีการแหน่ างด้งนั้นมรี ูปแบบลักษณะเปน็ การเสยี่ งทายดว้ ย \"ผนี างดง้ \" ท่ีจะมาเขา้ ทรงกับผู้หญงิ ซึ่งเปน็ ร่างทรง โดยมอี ปุ กรณ์การเล่น คอื กระดง้ ฝดั ข้าว 2 ใบ สากไม้ตําขา้ ว 2 อันและอุปกรณ์ในการเชญิ ผนี างดง้ ได้แก่ หมากพลู ดอกไม้ ธปู เทียน น้าํ แป้งหอม ขา้ วสุก พรกิ เกลือ สว่ นวธิ ีการเล่นเริ่มด้วยการนาํ สาก 2 อัน วางกลบั กันไว้ตรงกลางวงสมมุติให้เปน็ เจ้าบ่าวของนางดง้ มคี นทรง 2 คน ซง่ึ เปน็ คนพเิ ศษที่เคยทาํ พธิ ีมาแลว้ หรอื มีการถา่ ยทอดการเปน็ คนทรงเจา้ แล้วจากน้นั ก็ยืนจบั กระด้งไวค้ นละใบ มชี าวบา้ นหญิงชาย ยืนล้อมวงคนทรง แล้วมคี นทรงซึ่งส่วนใหญเ่ ป็นคนเฒา่ คนแก่ในหมบู่ า้ น ซึ่งเคยทําพิธนี มี้ าก่อนแล้ว เป็นผู้มาทาํ พิธีเชิญและนําการร้องเพลงเชญิ (นําเชิด) ส่วนชาวบ้านท่ยี นื ลอ้ มวงจะชว่ ยกนั ร้อง เพื่อเชิญให้ผีนางด้งมาเข้าสิงท่ีกระด้ง ซึ่งคนทรงจะจบัเอาไว้ เมื่อผีนางด้งมาเข้าสิงท่ีรา่ งคนทรงกจ็ ะจับกระด้งสั่น และพากระด้งร่อนไปเรื่อยๆ จากนน้ั ชาวบา้ นจะเส่ียงทายหาของ (มกั ตักนาํ้ ใส่ภาชนะไปซ่อนเอาไว้) เม่ือซ่อนเสรจ็ แล้วเกิดผีนางดง้ หาเจอ แสดงวา่ ปีน้ันฟา้ ฝนจะบริบรู ณ์และตกต้องตามฤดูกาลดหี รอื บางครั้งจะเสยี่ งทายในปีน้ีวา่ ฝนจะตกดีหรอื ไม่ถ้าหากฝนตกดใี ห้นางด้งฝดั ขา้ วแรงๆ หรือบางทกี ็ให้นางด้งร้องรําทาํ เพลงใหด้ ูเพราะผีนางด้งจัดวา่ เปน็ ผีที่รักสนุก และเมอ่ื เล่นกันจนพอใจแล้ว คนเชญิ จะขอใหน้ างด้งหยดุ แล้วจงึเข้าไปเป่าหูของนางทรง ผนี างดง้ ก็จะออกจากรา่ งทรงไป

การเลน่ นางควายก็มีวธิ กี ารเล่นเช่นเดยี วกับนางด้ง มีลักษณะเป็นการเสีย่ งทาย โดยมอี ปุ กรณ์ทใ่ี ชเ้ ลน่ ไดแ้ ก่ เขาควายเขางามๆ 2 หัว นํามามดั ให้แนน่ หนากับท่อนไม้ขนาดเท่าไม้พลอง แล้วสมมุติให้เป็นควาย 2 ตวั มอี ุปกรณ์ทใี่ ชใ้ นการเชิญ คือ ดอกไม้ ธปู เทยี น หมากพลู น้าํ แปง้ หอม สาํ หรบั วธิ กี ารเล่น จะมีคนทรงสองคนจบั ปลายไม้ทีม่ ีหัวควายผกู ตดิ อยตู่ รงกลางวง มีชาวบา้ นชายหญิง ยนื ลอ้ มวง คนเชิญจะทาํ พธิ ีร้องเพลงเชิญผีนางควายใหม้ าเข้าสิงทหี่ วั ควาย คนทรงทจ่ี บั ไมจ้ ะมีอาการเหมือนควายเปลี่ยว สว่ นคนเชิญก็จะรอ้ งเสีย่ งทาย ว่าปนี ้ีฝนจะตกดีไหม ถา้ หากวา่ฝนจะตกดใี นปนี ้ีขอใหค้ วายชนกัน ยง่ิ ถา้ ฝนตกหนกั กจ็ ะยง่ิ ชนกนั แรงมาก เมือ่ คนทรงเห็นว่าเลน่ กันจนพอแล้วกจ็ ะเชิญผนี างควายออกจากร่างโดยวธิ ีการเป่าหูคนทรง ผนี างควายกจ็ ะออกจากร่างทรงในทส่ี ดุ พธิ ีแหน่ างด้ง - นางควาย เปน็ เพลงพ้นื บา้ นของคนไทยตามชนบทของชาวนครไทยทหี่ าชมได้ยากแล้ว ควรท่จี ะมีการอนรุ ักษใ์ ห้อยู่ตลอดไป

การจักสาน งานจักสาน เป็นงานหัตถกรรมพ้นื บ้านนครไทย ทําขึ้นเปน็ เคร่ืองมือเครอื่ งใช้ โดยใช้วัตถดุ บิจากธรรมชาตทิ ่ีมีอยู่ในท้องถิ่นมาแปรรูปเปน็ วสั ดุสร้างเปน็ เครือ่ งจักสานประเภทต่างๆ การทําเคร่ืองจักรสานโดยท่ัวไป มกี รรมวิธกี ารสานและรูปแบบคลา้ ยคลงึ กันเปน็ ส่วนใหญ่ แตว่ ตั ถุดิบท่ีใชจ้ ะแตกต่างกนั ไปตามสภาพภูมิศาสตรข์ องท้องถิน่ เครื่องจกั รสานท่ัวๆไปจะมีรปู แบบตาม ความนยิ มขนบธรรมเนียมประเพณี ชีวติ ความเปน็ อยู่ของแต่ละท้องถ่ิน เครือ่ งจักรสานจงึ เปน็ ส่ิงที่เกิดจากความคิดสร้างสรรค์และ ภมู ิปญั ญาของคนในแตล่ ะทอ้ งถิ่น ประเภทของเคร่ืองจกั รสาน เครื่องจักสานของชาวนครไทยสามารถแยกประเภทตามประโยชนใ์ ช้สอยได้ดงั นี้ 1 เครอื่ งใชใ้ นการเกษตรกรรม เป็นเครอ่ื งจักสานทท่ี าํ ขนึ้ เพ่อื สนองประโยชน์การใชส้ อยของชาวไร่ ชาวนาและชาวสวน เชน่ วี ใชพ้ ดั เม็ดข้าวลบี ออกจากขา้ วเปลอื ก เคร่อื งสขี า้ ว ใช้สขี า้ วเพ่อืบรโิ ภคเป็นขา้ วท่สี ีด้วยมอื บุง้ กี๋ ใช้สาํ หรับตักดิน สุ่ม สาํ หรับขังไก่ ตะกรา้ ใชใ้ สข่ อง เช่น หญ้า,ฝักข้าวโพด กระด้ง ใชฝ้ ัดขา้ วและพืชชนดิ อน่ื ๆ

2 เคร่อื งมอื จบั สัตว์และขังสตั วน์ ํา้ ทใ่ี ชอ้ ยู่ท่ัวๆไปโดยเฉพาะบรเิ วณในที่ลุม่ หรอื ในท้องนา เชน่กระชัง ใช่ขังปลา ไซ ใชด้ กั ปลา ขอ้ ง ใชใ้ ส่ ปลา ,กบ,หอย และอืน่ ๆ สุม่ ใชส้ มุ่ จบั ปลา แงบ(แอบ) ใช้ดักกบ อจี ู้ เคร่ืองมือดักปลาไหล ลอบ ใช้ดักปลา ซอ่ น ใชด้ ักปลา 3 เครอื่ งใช้ในครัวเรือน ทช่ี าวนครไทยใช้อยู่ทั่วไป เช่น กระติบขา้ ว ภาชนะสําหรบั ใสข่ า้ วเหนยี วนึง่ หวด ใชน้ ่ึงข้าว คุ ทาชันใช้ตกั นา้ํ กระดง้ ใช้ใสส่ ่ิงของและตากสิ่งของ กระจาด ภาชนะสําหรบั ใสส่ ง่ิ ของและหาบ กระบุง ภาชนะทใ่ี ช้ใสส่ ิง่ ของหรือทใี่ ชเ้ ป็นเคร่ืองตวง กระชอน ใช้ค้นั กะทิพัด ใช้พัดไฟและโอกาสอ่ืนๆ ชะลอม ใช้ใส่ผลไม้และสงิ่ ของอืน่ ๆ ตะกร้า(กะต้า) ใชใ้ สส่ ิ่งของตา่ งๆใช้ได้ทง้ั การห้ิว หาบและคอนดว้ ยไม้คาน ไมต้ แี มลงวัน ใชต้ ีแมลงวัน

4 เครอื่ งใชอ้ น่ื ๆ ท่ีใช้กนั ท่ัวไป ไดแ้ ก่ กรงนก ใช้ขงั นก ฝาบ้าน(เฮือน) ใช้เปน็ สว่ นประกอบของบา้ นเรอื น(ไม้ไผ่สาน) งอบ ใช้กนั แดดและฝน เปล เปลเดก็ เส่ือ(สาด)ภาชนะท่ีใชป้ ูเพ่ือให้สามารถนงั่หรือนอนในทีต่ า่ งๆ เครื่องจักรสาน ยังปน็ เครื่องมือเคร่ืองใชใ้ นการดาํ รงชวี ติ ประจาํ วนั ของชาวนครไทยและยังมีการทาํ กันอยู่ในหลายทอ้ งถ่นิ ประเพณีปกั ธงชยั เป็นประเพณปี ระจําทอ้ งถนิ่ ของชาวนครไทยท่ีสําคัญซ่งึ ยดึ ถอื และปฏบิ ัตสิ ืบทอดมาจากบรรพบุรษุ ตราบเท่าทุกวันน้ี ห่างจากตวั อําเภอนครไทยไปทางทิศตะวันตกเฉยี งเหนือ ประมาณ 5 กิโลเมตรจะมเี ทือกเขาหน่งึ ชาวบา้ นเรียกว่า “ภูเขาชา้ งล้วง” จัดตรงกับวันขึ้น 15 คาํ่ เดือน 12 ของทุกปีชาวบา้ นจะพากนั ไปปักธงท่ี ยอดเขา ฉนั เพล, ย่านไฮและเขาชา้ งลว้ ง เปน็ ประเพณปี ระจําท้องถน่ิของชาวนครไทยท่สี ําคัญซง่ึ ยึดถือและปฏบิ ตั ิสืบทอดมาจากบรรพบรุ ุษจนถึงทุกวนั น้ี ชาวนครไทยมคี วามเชอื่ เกย่ี วกบั ประเพณีปักธงชัยอยหู่ ลายอย่าง เชน่ ความเชื่อท่ีว่าการปักธง บา้ นเมืองจะร่มเยน็เปน็ สขุ หากปีไหนไม่ไดท้ าํ จะเกดิ อาเภทกบั บ้านเมอื ง บ้างก็เช่อื วา่ การปักธงเป็นการระลึกถงึ การประกาศชัยชนะของพ่อขุนบางกลางทา่ ว หรือความเช่อื ที่ว่าการชกั ธงข้ึนเป็นอาณตั สิ ัญญาณให้มีการเตรียมไพรพ่ ลไวร้ ับมอื กบั ศตั รูทเี่ ข้ามารุกราน ซ่ึงความเชอ่ื เกยี่ วกับชยั ชนะของพ่อขนุ บางกลางท่าว ดูจะเป็นความเชื่อทีม่ ีอทิ ธพิ ลมากทสี่ ดุ จงึ ได้ต้งั ช่อื ประเพณนี ้ีวา่ ประเพณปี ักธงชยั

ประเพณเี ลี้ยงปู่ จัดข้นึ ในเดือน 3 หรอื เดือน 6 (ประมาณเดือนกุมภาพนั ธ์ หรอื เดือนพฤษภาคม) โดยจัดปีละคร้งั เป็นพธิ เี ซ่นไวว้ ญิ ญาณบรรพบุรุษทีป่ กปักรักษาบ้านเมอื งและลูกหลาน มใิ หเ้ กดิ เพศภัยสิ่งทไี่ มด่ ี

ประเพณบี ุญปราสาทผ้ึง หรอื บุญออกพรรษา จัดขึน้ ในวนั ข้นึ 15 คํา่ เดือน 11 ของทุกปี ทําเพ่ือถวายเป็นพุทธบชู า ประเพณีปใี หม่มง้ จัดขึ้นตรงกับ ขน้ึ 1 คํา่ เดือน 2 ระหวา่ งเดือนธันวาคม - มกราคมของทุกปี ซึง่ ในวันปีใหมน่ ี้เปน็ ประเพณกี ารพบปะกันระหว่างกลุ่มญาติ เป็นการเฉลมิ ฉลองหลังฤดูการเก็บเก่ยี ว จะมกี ารขอพรจากสิง่ ศกั ดส์ิ ิทธ์แิ ละผูอ้ าวุโส

ประเพณวี นั สงกรานต์และวันผสู้ งู อายุ เปน็ ประเพณีท่ีงดงาม ออ่ นโยน เอ้ืออาทร และเต็มไปด้วยบรรยากาศของ ความกตัญญูความสนกุ สนาน ความอบอ่นุ และการใหเ้ กียรตเิ คารพซึ่งกันและกัน สะท้อนใหเ้ ห็น ถงึ ลักษณะของความเป็นไทยได้อย่างชัดเจน โดยใช้น้ําเป็นส่อื ในการเชื่อมสัมพันธไมตรี ปจั จบุ ันสงกรานต์ตรงกบั วันที่13,14,และ15 เมษายนของทุกปี การแทงหยวก การนําเอากาบกล้วยมาทําให้เปน็ ลวดลายต่างๆโดยวิธแี ทงดว้ ยมดี เเทงหยวกใชส้ าํ หรบั การประดบั ตกเเตง่ ท่เี ปน็ งานชว่ั คราว เช่น ประดับแลแห่นาค ประดับแลแห่งานประเพณีปักธงชัย เปน็ ตน้

ประเพณเี ขย่าแลแหน่ าค สืบสานประเพณเี ขยา่ แล แห่นาค” เปน็ ประเพณีเอกลักษณท์ สี่ ืบทอดต่อๆ กนั มา โดยการอุปสมบทของชาวนครไทย เม่ือชายหนุ่มอายุ 20 ปีขึน้ ไปจะต้องบวชทดแทนคุณบิดามารดา ผ้มู ีพระคุณและศึกษาพระธรรมวินยั ตามท่ีพระศาสดาบญั ญตั ิไว้ แตส่ ิง่ ท่ีแตกตา่ งจนกลายเป็นเอกลกั ษณ์ท่ีไมเ่ หมือนจังหวดั ใดในประเทศ ซึ่งชาวบา้ นอนรุ ักษเ์ ปน็ ประเพณีไม่ให้สญู หายไปไหน คือชาวนครไทยจะใช้ “แล”ซ่งึ ทาํ ขึ้นจากไม้ประดับตกแต่งด้วยผา้ และอุปกรณ์ตามท่ีหาได้ในท้องถน่ิ เพ่ือให้นาคท่ีอุปสมบทขึน้ ไปน่งั โดยขบวนแหจ่ ะใชว้ ธิ กี ารหาม เดนิ ไปตามสถานที่ตา่ งๆก่อนนาํ นาคเข้าโบสถ์เพ่ือทาํพธิ ีอปุ ฌาย์ ตลอดเส้นทางชาวบา้ นที่เป็นผูแ้ ห่จะเตน้ ไปตามจังหวะดนตรี แลว้ เขยา่ แล อย่างรุนแรง แต่เตม็ ไปดว้ ยความสนุกสนาน เปน็ ความเชื่อของชาวบ้านวา่ การเขยา่ จะเปน็ การแสดงถึงความตั้งใจของผู้บวชจะต้องมีความมุง่ มั่นในการบวชเรียนแมว่ า่ จะมีมารผจญกไ็ ม่หวน่ั ไหว ประเพณแี หก่ ัณฑเ์ ทศน์ สืบสานประเพณีท้องถ่ินด้วยการแห่กณั ฑ์เทศน์กัณฑช์ ูชก ซ่งึ บรรยากาศเป็นไปดว้ ยความสนกุ สนานโดยประเพณดี งั กล่าวเป็นประเพณีที่ชาวบา้ นได้ถือเป็นประเพณีทีท่ าํ สบื ทอดต่อกันมาเป็นเวลาช้านานชัว่ ลูกชัว่ หลานสําหรับร้ิวขบวนนน้ั ประกอบไปด้วย ชชู กขาว ซ่ึงเป็นชชู กดี จงู มอื กัณหาชาลี เขา้ วดั ฟงั ธรรม และตามด้วยเหล่านางฟ้าทช่ี ว่ ยกันหาบกระบงุ เงิน กระบุงทอง ใสไ่ ม้ผา้ ปา่ เพื่อให้ประชาชนได้ร่วมทําบญุ กนั ตลอดทาง มีชาวบา้ นมารําวงล้อมรอบ เพ่ือเพิ่มสีสันและความสนกุ สนานใหก้ ับขบวน ซ่งึ ตามความเช่อื ของชาวบา้ นนั้นเช่ือกันวา่ หากใครได้มาช่วยงานแห่กณั ฑ์เทศนจ์ ะมบี ุญบารมเี พิ่มข้นึ นนั้ เอง นอกจากนใี้ นร้วิ ขบวนยงั มีชชู กเหลอื ง ซงึ่ เป็นชชู กรา้ ย จะแตง่ กายด้วยเศษผา้ จีวรพระ จากคาํ เลา่ ขานกล่าวกนั ว่าการท่ีนาํ เอาจีวรพระมาหม่ ให้ชูชกรา้ ยน้ี เนอื่ งจากสมยั ก่อนน้นั ไม่มีผา้ใหช้ ชู กใส่ จึงไปขอจวี รพระท่ีไม่ได้ใชแ้ ลว้ มาใหช้ ชู กได้ใชใ้ ส่แทนนั่นเอง อีกทั้งชูชกยงั ได้สวมหัวคล้ายผีผมยาวรุงรัง ในมอื จะถือปลัดขิกวิง่ ไลท่ ิ่มแทงชาวบา้ น สรา้ งเสยี งหวั เราะและรอยยมิ้ ใหก้ ับผทู้ ี่มา

รว่ มงานเปน็ อย่างมาก พิธกี รรมจะทําคลา้ ยกบั งานประเพณีผีตาโขนของภาคอสี าน ท่ีอําเภอด่านซา้ ยจงั หวดั เลย พธิ บี วงสรวงเจา้ แมผ่ าประตเู มอื ง ชาวบา้ นอําเภอนครไทย จงั หวดั พษิ ณโุ ลก พลิกฟืน้ ประเพณีเดนิ ข้นึ เขากราบสักการะขอพรเจา้ แมผ่ าประตเู มอื ง พร้อมปักธงชยั เพื่อความเปน็ สิรมิ งคลแกต่ นเอง เตรยี มพร้อมสง่ เสรมิ เป็นแหลง่ท่องเทย่ี วทางประวัตศิ าสตร์ และเชงิ นิเวศ เนื่องจากทัศนยี ภาพแห่งป่าไมแ้ ละขุนเขาสวยงามมากนายพันพนา ศริ ะวงศ์ นายอําเภอนครไทยนําประชาชน นักเรียน นกั ศึกษา ซ่งึ เปน็ ชาวบ้านในพน้ื ทหี่ มู่ท่ี 8บา้ นปา่ บง ต.บอ่ โพธ์ิ อ.นครไทย จ.พษิ ณุโลก จาํ นวนกว่า 200 คน เดนิ ทางขน้ึ ไปบนยอดเขาผาประตูเมอื ง ซงึ่ เปน็ สถานทีป่ ระดิษฐานศาลเจ้าแม่ผาประตเู มือง โดยปจั จุบนั ยงั พบร่องรอยของผาประตูเมืองเดมิ ซึ่งตามประวตั ศิ าสตรส์ ญั นษิ ฐานวา่ สถานทีแ่ ห่งนี้ถอื วา่ เป็นเมอื งหน้าด่าน ที่รวบรวมไพรพ่ ลของพอ่ ขนุ บางกลางทา่ ว บรรพกษตั รยิ อ์ งคแ์ รกของประเทศไทย โดยพื้นทดี่ งั กล่าว เปน็ จดุ ยุทธศาสตรใ์ นการปกป้องบ้านเมือง เนื่องจากอยู่บนภูเขาสูง สามารถมองเห็นการเคล่ือนไหวของอริราชศัตรูโดยรอบอยา่ งชดั เจน โดยมีการปักธง 3 สี บนยอดเขาเพอื่ เป็นสัญญลักษณ์ ใหป้ ระชาชนไดร้ บั ทราบว่า ขณะน้ีประเทศชาติตกอยูใ่ นสถานการณ์ใด ประกอบด้วยธงสขี าว หมายถึง สถานการณส์ งบสุขดี ,ธงสีนา้ํ เงินให้มีการรวมพล และธงสแี ดงได้มขี ้าศึกประชิดประตูเมือง ใหท้ กุ คนเตรยี มพร้อมทจี่ ะปกป้องบ้านเมืองขณะเดยี วกันก็ไดม้ ีการประกอบพิธบี วงสรวง เซ่นสังเวยอาหารคาว – หวาน แดเ่ จ้าแมผ่ าประตูเมืองซึง่ ถอื ว่าเปน็ ผทู้ ี่ปกปักรกั ษาผาประตูเมืองใหบ้ า้ นเมืองแคล้วคลาดจากภยนั อนั ตราย จากมวลหมอู่ ริราชศตั รูทงั้ ปวง อีกทั้ง เพ่อื ความเป็นสิริมงคลแกต่ นเอง ครอบครวั และประเทศชาติ ซงึ่ เป็นการพลกิฟ้ืนประเพณเี ดินข้นึ เขาผาประตเู มืองเพื่อกราบสกั การะขอพร เจ้าแม่ผาประตเู มืองเปน็ ปีแรก

หลงั จากนชี้ าวบ้านได้พร้อมใจกันจะปฏิบตั ติ ่อเนอ่ื งเป็นประเพณีทุกปี เพื่อเป็นการกราบขอขมาสิ่งศักด์สิ ทิ ธ์ิ เจ้าปา่ เจา้ เขา ทท่ี รงพระคณุ ต่อผืนแผ่นดินไทย และเพ่ือความเปน็ สริ ิมงคลในทุกด้านตลอดจนเปน็ การส่งเสรมิ การท่องเท่ยี วในดา้ นประวัติศาสตร์ และเชงิ นเิ วศ เนอ่ื งจากพ้ืนที่ ดงั กล่าวทวิ ทศั น์ ปา่ ไม้ และขนุ เขามีความสวยงามมาก สามารถมองเหน็ ทต่ี ง้ั ของเมืองนครไทย ซึ่งถอื วา่ เปน็จดุ เร่มิ ตน้ ของประวัติศาสตรช์ าติไทย ที่อยเู่ บ้ืองล่างอย่างชดั เจน อีกดว้ ย ภาษาถ่ิน ภาษาชาวนครไทยหรือภาษานครไทย เป็นชือ่ ภาษาถนิ่ ที่คนพื้นบ้านชาวนครไทยแท้ ๆ มกักล่าวถึงภาษาของตนเองว่า “คนนครไทยพูดภาษาลาวก็ไมใ่ ช่ พดู ภาษาไทยกไ็ มเ่ ป็น”ภาษานครไทยท่ีมีลักษณะเดน่ คือ คนท้องถิ่นนครไทยโบราณจะเรียกคาํ นาํ หนา้ ชอ่ื ผลไมว้ ่า “หมาก”ทุกชนดิ เช่น หมากม่วง (มะม่วง) หมากพรา้ ว (มะพร้าว) หมากกอ (มะละกอ) หมากซา (พทุ รา)หมากโอ (สม้ โอ) หมากเกี๋ยง (สม้ เกล้ียง) หมากขนุน (ขนนุ ) เป็นตน้ ซึง่ ศาสตราจารย์ ดร.ประเสรฐิ ณ นครกล่าวว่า คนนครไทยเรียกช่ือผลไมเ้ หมือนชาวสโุ ขทัยโบราณ ดว้ ยเหตดุ งั กล่าวทําให้ เชื่อกันวา่ เปน็ภาษาพูดที่ใช้กันมาต้ังแต่สมยั พอ่ ขนุ บางกลางหาว เป็นภาษาพูดที่แสดงออกถึงความเป็นชาวนครไทยโดยท่วั ไปแล้ว ภาษาถนิ่ นครไทยก็ไม่แตกต่างจากภาษาถนิ่ อ่ืน ๆ ทีอ่ ยู่ใกลเ้ คียง เช่น อุตรดติ ถ์พิษณุโลก นักแตส่ ง่ิ ทช่ี วนใหล้ ักษณะภาษาถน่ิ นครไทยมเี สียงพยัญชนะ สระ ไปคล้ายกบั ภาษาถนิ่ภาคเหนอื (ล้านนา) และภาษาอีสาน โดยเฉพาะดา้ นคําศัพท์บางคาํ จะเหมือนกนั แตกต่างกนั เพียงเสียงวรรณยุกตบ์ ้างเท่านน้ั เช่น คําว่า รกั = มัก คาํ วา่ เรือน = เฮือน คําว่า รอ้ น = ฮ้อนฟา้ ว = รบี ออย = ปลอบใจ เปน็ ตาฮกั = น่ารักน่าชงั แซ่ม = ผู้หญิงที่แสดงอาการอยากให้ผู้ชายสนใจ เป็นตน้