Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore หน่วยการเรียนรู้ที่ 1 สังคมของเรา

หน่วยการเรียนรู้ที่ 1 สังคมของเรา

Published by hasun0108, 2021-07-31 07:48:38

Description: หน่วยการเรียนรู้ที่ 1 สังคมของเรา

Search

Read the Text Version

หน้าทพ่ี ลเมอื ง วัฒนธรรม และการดาเนนิ ชวี ติ ในสงั คม ชั้นมัธยมศึกษาปที ่ี ๔ - ๖ กลุ่มสาระการเรยี นรู้สงั คมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ๑หนว่ ยการเรยี นรู้ท่ี สังคมมนษุ ย์ จดุ ประสงค์การเรียนรู้ • วิเคราะห์ความสาคัญของโครงสรา้ งทางสงั คม การขดั เกลาทางสังคมและการเปล่ยี นแปลงทางสังคมได้

ความหมาย การอยรู่ ่วมกัน และองคป์ ระกอบของสังคม ความหมายของสังคม • สังคม หมายถึง กลุ่มคนอย่างน้อยสองคนขึ้นไปมาอาศัยอยู่ รวมกันในบริเวณใดบริเวณหนึ่ง คนเหล่านี้จะมีความสัมพันธ์ หรือการกระทาตอบโต้กันทั้งทางตรงและทางอ้อม เช่น การ พูดจาทักทาย การทางานร่วมกัน หรือการติดต่อสื่อสาร ระหว่างกนั เป็นตน้

การอยู่ร่วมกนั เปน็ สังคม • อริสโตเติล (Aristotle) นักปราชญ์ชาวกรีกได้กล่าวไว้ว่า มนุษย์เป็นสัตว์สังคม (social animal) หมายความว่า มนุษยจ์ ะมชี วี ติ โดยอยรู่ ว่ มกันเป็นหมู่เหลา่ มีความเกี่ยวข้องกันและกันและมีความสัมพันธ์กันในหมู่มวลสมาชิก โดยสาเหตทุ ีม่ นษุ ยม์ าอย่รู ว่ มกนั เปน็ สังคม เพราะมคี วามจาเปน็ ดา้ นต่างๆ ดงั น้ี • มนษุ ยม์ ีระยะเวลาของการเป็นทารกยาวนาน ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ในระยะเริ่มต้นของชีวิต ด้วยความ จาเป็นท่ีจะตอ้ งมกี ารเลี้ยงดูทารกเป็นระยะเวลานานนี้เอง ทาให้มนุษย์จาเป็นต้องใช้ชีวิตอยู่ร่วมกัน สร้างแบบ แผนความสมั พันธ์กนั เปน็ ครอบครวั เปน็ เพื่อนบา้ น และมคี วามสมั พันธ์กบั คนในสังคมอนื่ ๆ • มนษุ ยม์ ีความสามารถทางสมอง สามารถคิดคน้ วธิ ีการในการควบคุมธรรมชาติ นามาใช้ในการตอบสนองความ ต้องการ ซึ่งจาเป็นต้องอาศัยการแบ่งงานและความร่วมมือจากบุคคลอื่น เพื่อให้งานบรรลุผลสาเร็จ มีความ จาเป็นท่จี ะต้องอยู่ร่วมกนั กบั คนหลายๆ คน เช่น การแสวงหาอาหาร ผลติ ส่งิ ของเครื่องนุ่งห่ม ยารักษาโรค การสรา้ งท่อี ยอู่ าศัย เปน็ ต้น • มนุษยม์ ีความสามารถในการที่จะสร้างวัฒนธรรมและส่งผ่านไปสคู่ นรุ่นหลงั เพอ่ื นาไปใช้ในชีวิตประจาวัน ซึ่งเป็น ปัจจัยพื้นฐานในการดาเนินชีวิตและวัฒนธรรมที่เกี่ยวข้องกับความต้องการอื่นๆ เช่น ต้องการความรัก ความ อบอนุ่ การจัดระเบยี บทางสังคม ความเชื่อ ศาสนา ศิลปะขนบธรรมเนียมประเพณี

องค์ประกอบของสังคม • ประชากร จะต้องมีจานวนต้งั แต่ ๒ คนขึ้นไป สังคมที่มีขนาดเล็กที่สุด ก็คอื ครอบครัวประกอบดว้ ย พ่อ-แม่-ลูก • อาณาเขต โดยทัว่ ไปคนในสงั คมจะอาศยั อยใู่ นบรเิ วณใดบรเิ วณหนง่ึ ซง่ึ พ้ืนที่ อาจมีขนาดจากัด เช่น ในบริเวณบ้าน ในบริเวณ โรงเรยี น เปน็ ต้น • ความสมั พนั ธ์ สมาชิกในสงั คมจะต้องมคี วามสมั พันธ์และการปฏิสัมพันธ์ ระหวา่ งกนั เช่น การพูดจาทกั ทาย การทางานกลุ่ม เปน็ ต้น • การจัดระเบยี บทางสังคม ป้องกันความขัดแย้งระหว่างสมาชิกในสังคมช่วยให้การติดต่อกันทางสังคม เป็นไปอย่างเรียบร้อย เช่น การจัดระเบยี บการจราจร การควบคมุ เวลาปดิ -เปดิ ของสถานบันเทิง เป็นต้น • การมีวัฒนธรรมของตนเอง เมอื่ คนในสงั คมมาอยู่ร่วมกนั เปน็ หมเู่ หล่าภายใต้สภาพแวดล้อมเดียวกัน ก็จะสร้างวัฒนธรรมและ ขนบธรรมเนยี มประเพณีข้นึ กอ่ ใหเ้ กดิ เป็นวฒั นธรรมเฉพาะของตนเองท่เี ปน็ เอกลกั ษณ์

หน้าทีข่ องสังคม • ดูแลสมาชกิ ในสงั คมให้อยรู่ ่วมกันอย่างสันตสิ ุข • สร้างความเปน็ ธรรมให้เกิดข้นึ ในสังคม • ประสานประโยชน์ระหวา่ งสมาชกิ ในสงั คม • ส่งเสริมการคิดอย่างสรา้ งสรรค์ในสังคม • ปลูกฝังจิตสานกึ ทีด่ ีใหแ้ ก่สมาชกิ ในสงั คม

โครงสรา้ งทางสงั คม โครงสร้างทางสังคม สามารถแบ่งไดเ้ ป็น ๒ ระดับ กลุ่มสงั คม สถาบัน ทางสงั คม

ความสมั พันธใ์ นระดบั กลมุ่ สังคม กลุ่มสงั คมแบ่งออกได้เปน็ ๒ ประเภท คอื กลุ่มปฐมภมู ิ • คนกล่มุ เลก็ ทมี่ คี วามสมั พันธแ์ บบใกลช้ ดิ เช่น ครอบครวั กลมุ่ เพ่ือนสนิท กลุ่มทตุ ยิ ภมู ิ • คนกลุ่มใหญ่ที่มีความสัมพันธ์แบบทางการ เช่น โรงเรียน สมาคม องคก์ าร บริษทั

ความสัมพันธ์ในระดับสถาบันทางสงั คม • สังคมดารงอยู่ได้เพราะมีสถาบันต่างๆ คอยทาหน้าที่ขัดเกลาสมาชิกในสังคมให้ เป็นคนดีมีความสามารถ มีกฎระเบียบ กฎหมาย และขนบธรรมเนียมประเพณี คอยควบคมุ สมาชกิ ในสังคมให้อยู่ในระเบียบวินัย ซึ่งสิ่งต่างๆ เหล่านี้ประกอบกัน เป็นโครงสรา้ งทย่ี ดึ โยงให้สังคมดารงอยูไ่ ด้อย่างมนั่ คง • โครงสรา้ งทางสงั คมทาให้เรามองเหน็ ภาพรวมของสงั คมได้แจม่ ชัด สามารถระบุได้ว่าสังคมนั้นๆ จะมีความ มั่นคงแข็งแรงมากน้อย ดูได้จากการทาหน้าที่ของสถาบันทางสังคมต่างๆ ว่ามีความสอดคล้อง สมดุล สนับสนุนหรือแข่งขันตามกฎกติกาหรือไม่เพียงใด ตรงกันข้ามโครงสร้างสังคมจะอ่อนแอไม่มั่นคงหากว่า ความสัมพันธ์และสถาบันทางสังคมมีแต่ความขัดแย้ง คนในสังคมไม่ทาตามบรรทัดฐานทางสังคมที่วางไว้ ปญั หาสังคมกจ็ ะปรากฏขึ้น ในท่สี ดุ สังคมก็จะวุ่นวาย ไร้ระเบยี บ

สถาบันทางสังคม • เมอ่ื คนมาอาศัยอยู่รว่ มกันและสรา้ งความสมั พันธ์ขึ้นระหว่างกัน ความสัมพันธ์เหล่านั้น จะเชื่อมโยงกันไปมาเสมือน เปน็ แบบแผน ท่ีมนั่ คง หากจดั แบ่งความสมั พันธ์นี้ออกเป็นเรื่องๆ ก็จะเห็นกลุ่มความสัมพันธ์ที่มีลักษณะคล้ายคลึง กนั เราเรียกกลุม่ ความสมั พันธ์ในเรอื่ งหนึ่งๆ วา่ “สถาบนั ทางสงั คม (social institution) • พจนานกุ รมศพั ทส์ ังคมวทิ ยา ฉบับราชบัณฑติ ยสถาน พุทธศกั ราช ๒๕๒๔ ไดใ้ ห้ความหมายของสถาบันทางสงั คม วา่ หมายถึง ยอดรวมของรูปแบบความสัมพันธ์ กระบวนการ และวัสดุอุปกรณ์ที่สร้างขึ้น เพื่อสนองประโยชน์ สาคัญๆ ทางสังคมในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ทุกสถาบันจึงมีจารีตประเพณีกฎเกณฑ์ ธรรมเนียมปฏิบัติ และวัสดุ อปุ กรณ์ตา่ งๆ ของตนเอง เชน่ อาคารสถานที่ เครื่องจักรกล อุปกรณ์สื่อสาร เปน็ ต้น • สถาบนั ทางสังคมตามนยั แหง่ สงั คมวทิ ยานั้น ไม่ไดจ้ ะปรากฏออกมาในรูปที่เป็นทางการ เช่น การอยู่ร่วมกันเป็น ครอบครัวในบ้านแห่งหนึ่ง (สถาบันครอบครัว) ธนาคาร สานักงาน ตลาดสด (สถาบันทางเศรษฐกิจ) โรงเรียน วทิ ยาลัย มหาวิทยาลยั (สถาบันการศกึ ษา) เท่านั้น แต่รวมไปถึงรูปแบบที่ไม่เป็นทางการด้วย ซึ่งในแต่ละสังคม จะมีสถาบนั ทางสังคมทเี่ ปน็ พน้ื ฐาน ดังน้ี

สถาบนั ครอบครัว บทบาทหน้าที่ • อบรมเลี้ยงดูสมาชิกในครอบครัวให้เป็นคนดีของสังคม เช่น รู้จักการ เสียสละความตรงต่อเวลา การมนี ้าใจตอ่ คนรอบข้าง เป็นต้น • ถ่ายทอดวัฒนธรรมให้แก่สมาชิกใหม่ที่กาเนิดขึ้นมาในสังคม เช่น การเคารพผใู้ หญ่ การอ่อนน้อมถ่อมตน เป็นต้น • กาหนดแนวทางปฏิบัติแก่สมาชิกในครอบครัว เช่น การใช้จ่าย การอดออม การเลอื กคู่ การหมั้น การแตง่ งาน เป็นต้น

สถาบนั เศรษฐกิจ บทบาทหนา้ ที่ • พฒั นาและสร้างความเจริญกา้ วหน้าในทางเศรษฐกิจเพ่ือความอุดมสมบูรณ์ และความมั่นคงแก่สมาชกิ ในสงั คม • เป็นตวั กลางในการกาหนดกลไกราคา โดยต้องคานงึ ถึงความเหมาะสม และประโยชน์ของผู้บริโภคเป็นหลกั • กระจายสินคา้ และบริการใหเ้ พียงพอและท่ัวถงึ แก่ผบู้ ริโภคมากท่สี ดุ โดยสินค้าและบรกิ ารตอ้ งมีมาตรฐานตามทก่ี ฎหมายกาหนด

สถาบนั การเมอื งการปกครอง บทบาทหนา้ ท่ี • รกั ษาความสงบเรียบร้อยของชาติบา้ นเมืองใหอ้ ย่ใู นสภาวะปกติ สร้างระเบียบกฎเกณฑ์ใหแ้ กส่ งั คม บาบดั ทุกขบ์ ารุงสุขให้แก่ราษฎร • วนิ จิ ฉยั ขอ้ ขัดแยง้ ระหว่างสมาชิกในสังคม มอี งคก์ รตลุ าการให้ความ ยตุ ธิ รรมแก่สมาชิกทมี่ ีความขดั แยง้ กนั • สร้างความสัมพนั ธ์อนั ดกี บั นานาประเทศ มีการตดิ ตอ่ ส่อื สาร เพ่ือสรา้ ง ความไวเ้ น้อื เช่อื ใจระหว่างกัน นาไปสู่ความรว่ มมือกันในด้านต่างๆ

สถาบนั การศกึ ษา บทบาทหน้าที่ • จัดการศึกษาให้เยาวชนมคี วามรู้ ความสามารถ เพ่ือจะได้นาไปใชใ้ น การประกอบอาชพี และการดาเนนิ ชวี ติ ในอนาคตต่อไป • ส่งเสริมคา่ นิยมทด่ี งี าม ให้เยาวชนรจู้ ักใช้สทิ ธิและหน้าท่ีของตนใหเ้ กดิ ประโยชน์ตอ่ สังคมและประเทศชาติ โดยไม่ละเมดิ สิทธิของผอู้ นื่ • ปลกู ฝงั คุณธรรม จรยิ ธรรม มงุ่ เนน้ ให้เยาวชนเปน็ ผมู้ ีความรู้คู่ คุณธรรม มคี วามซอื่ สตั ย์สุจรติ และรู้จกั เสียสละเพ่อื ส่วนรวมและ ประเทศชาติ

สถาบันศาสนา บทบาทหน้าที่ • จดั การศึกษาให้เยาวชนมคี วามรู้ ความสามารถ เพ่ือจะไดน้ าไปใชใ้ นการ ประกอบอาชีพและการดาเนินชีวติ ในอนาคตต่อไป • ส่งเสรมิ คา่ นยิ มทดี่ งี าม ใหเ้ ยาวชนรู้จกั ใชส้ ทิ ธแิ ละหนา้ ท่ขี องตนให้เกดิ ประโยชน์ต่อสังคมและประเทศชาติ โดยไม่ละเมดิ สทิ ธขิ องผอู้ ื่น • ปลกู ฝังคุณธรรม จริยธรรม มุ่งเนน้ ใหเ้ ยาวชนเป็นผมู้ คี วามรคู้ ู่คณุ ธรรม มีความซ่อื สัตย์สจุ รติ และรจู้ กั เสยี สละเพื่อสว่ นรวมและประเทศชาติ

สถาบนั นนั ทนาการ บทบาทหน้าที่ • ส่งเสรมิ การใชเ้ วลาวา่ งใหเ้ กิดประโยชน์ ให้สมาชิกในสงั คมเหน็ คุณคา่ ของการทากจิ กรรมที่สร้างสรรคเ์ พอ่ื ตนเองและสว่ นรวม • สรา้ งความบนั เทิงใหแ้ กส่ มาชกิ ในสงั คม เพ่อื ให้การดารงชีวติ มีความสขุ สมบูรณม์ ากยง่ิ ขนึ้ • ช่วยผ่อนคลายความตงึ เครียด เพม่ิ พูนอนามยั ทด่ี ี รวมทงั้ เสริมสรา้ ง สขุ ภาพจิตที่ดีใหก้ บั สมาชิกในสงั คม

สถาบนั สื่อสารมวลชน บทบาทหนา้ ท่ี • มีความเป็นกลางในการนาเสนอขอ้ มลู ข่าวสาร ไม่นาเสนอข้อมลู เอนเอยี ง ไปทางฝา่ ยใดฝา่ ยหนึ่ง • เปิดโอกาสให้ประชาชนได้แสดงความคิดเหน็ ผา่ นสอื่ มวลชน เพอ่ื สะท้อน ความเป็นจริงทีเ่ กดิ ข้นึ ในสงั คมปจั จุบนั • มีสว่ นร่วมตรวจสอบการทางานของบุคคลและกลมุ่ บคุ คล ไดแ้ ก่ ผู้ดารง ตาแหนง่ ทางการเมอื ง ขา้ ราชการ หรอื เจา้ หนา้ ที่ของรัฐ เป็นตน้

การจัดระเบยี บทางสงั คม ความหมาย • การจดั ระเบียบทางสงั คม หมายถึง วิธกี ารต่างๆ ทค่ี นในสังคมกาหนดขึน้ เพ่อื ใชเ้ ป็นระเบยี บกฎเกณฑ์ในการอยู่ รว่ มกัน เป็นการควบคมุ สมาชิกให้มีความสมั พันธก์ นั ภายใต้แบบแผนเดียวกนั เพอื่ ใหเ้ กดิ ความเปน็ ระเบียบเรยี บรอ้ ย ในสงั คม การจดั ระเบยี บทางสังคมจะแตกต่างกนั ออกไปในแตล่ ะสงั คม ทั้งน้เี ปน็ ผลมาจากความคดิ ความเชือ่ ประวัติศาสตร์ สภาพภมู ศิ าสตร์ และบรรทัดฐานของสังคมน้นั ๆ

องค์ประกอบของการจัดระเบยี บทางสังคม ๑ ระบบคุณคา่ ของสงั คม • เป็นหวั ใจหรอื เปา้ หมายสงู สดุ ท่ีสังคมปรารถนาจะใหบ้ ังเกิดขนึ้ คุณคา่ น้ีเปน็ สงิ่ ทส่ี มาชิกของสังคมยอมรับ ถอื ว่า เป็นสิง่ ท่ดี ีงาม น่ายกย่อง และสมควรกระทาให้บรรลุผล เพราะจะก่อใหเ้ กิดความรม่ เยน็ และความพึงพอใจของ สงั คมทัง้ มวล อาจมกี ารเรยี กระบบคุณคา่ ของสงั คมวา่ เป็น “ข้อตกลงของสังคม” • ระบบคุณค่าของสังคมทาหน้าทเี่ สมือนหนึง่ เป็นสมองของมนุษย์ เป็นศนู ย์รวมกาหนดให้สว่ นตา่ งๆ ของรา่ งกาย ดาเนนิ งานไปตามกลไกให้บรรลุเป้าหมายสงู สดุ เปา้ หมายของสังคมก็เปน็ เช่นเดยี วกนั เพราะเป็นเป้าหมายท่ี สมาชกิ ของสงั คมนนั้ ประสงค์ทีจ่ ะก้าวไปใหถ้ ึง

๒ บรรทัดฐานหรือปทสั ถานทางสังคม • มาตรฐานการปฏิบตั ติ ามบทบาทและสถานภาพของแตล่ ะบุคคล บรรทัดฐานทางสังคมเป็นระเบียบแบบแผนท่ี กาหนดวา่ การกระทาใดถกู หรอื ผิด ควรหรอื ไม่ควรยอมรับ ท้ังนเี้ พอื่ ให้เป็นไปตามทศิ ทางของระบบคุณค่าทาง สังคมนน่ั เอง • การกระทาทางสงั คมอาจจาแนกออกเป็นระดบั ตา่ งๆ ซึ่งแต่ละระดบั อาจเรยี กว่า “ประเภทของบรรทัดฐาน” ประกอบดว้ ย วถิ ปี ระชา (folkways) จารตี (mores) กฎหมาย (law)

วถิ ปี ระชา (folkways) • วิถปี ระชา (folkways) หรอื ธรรมเนียมชาวบา้ น เปน็ ระเบียบแบบแผนท่สี มาชิกในสงั คม ควรปฏบิ ตั ิตาม ถ้าหากไมป่ ฏิบตั ิตามหรอื ฝ่าฝนื จะถูกสังคมตาหนิตเิ ตียนหรอื มีปฏกิ ิรยิ า ตอบโต้ทไ่ี ม่รุนแรง แตห่ ากว่าทาความดตี ามมาตรฐานทส่ี งั คมกาหนดจะได้รับคาชมเชย เล็กๆ น้อยๆ เพื่อให้กาลงั ใจ จารีต (mores) • จารีต (mores) หรอื อาจเรยี กวา่ กฎศีลธรรม จารตี ประเพณเี ป็นมาตรฐานการกระทาท่ี สาคญั มากขนึ้ ผู้ท่ที าผดิ จารีตจะถกู นินทาว่ารา้ ย ถกู ตาหนอิ ย่างรุนแรงเป็นทีร่ งั เกียจของ สังคมท่วั ไป โดยเฉพาะสงั คมท่ยี งั ไมม่ ภี าษาเขยี นเป็นลายลกั ษณ์อักษรจารีตจะเป็นเสมือน กฎสังคมท่รี ุนแรงที่สุด เชน่ หากใครทาผดิ เรื่องชู้สาวจะถกู ขับออกจากสังคมหรือต้องโทษ ประหารชวี ติ เป็นตน้ กฎหมาย (law) • กฎหมาย (law) เปน็ ข้อบังคบั ทีร่ ฐั จดั ทาขน้ึ หรอื มาตรฐานของสังคมหรือจารีตประเพณีที่ ได้รับการเขยี นเป็นลายลกั ษณอ์ ักษร โดยกาหนดบทลงโทษผู้ทีฝ่ า่ ฝนื ตามระดับความรนุ แรง ของการกระทาไวอ้ ยา่ งชดั เจน

๓ สถานภาพและบทบาท • ในสังคมต่างๆ จะพบคนและกลมุ่ คนมากมาย บ้างกท็ ักทายปราศรัยกนั หรือทางานร่วมกัน บ้างก็เดินผ่านกันไป มา โดยไม่ไดส้ นใจกัน ปรากฏการณ์ดงั น้สี ามารถพบเหน็ ได้ในทุกสังคม หากมองลึกลงไป คนในสังคมต่างมีการ กระทาโตต้ อบกัน ทัง้ โดยทางตรงและทางอ้อม ตามตาแหน่งและหน้าที่ในสังคมเราเรียกตาแหน่งทางสังคมว่า “สถานภาพ” และหน้าทีท่ ่ีกระทาตามตาแหน่งว่า “บทบาท” • สถานภาพทางสังคม (social status) หมายถงึ ตาแหน่งที่บุคคลครอบครองอยู่ ซง่ึ บุคคลจะมสี ิทธิและหน้าท่ี ตามบทบาทของตาแหนง่ นนั้ ๆ • บทบาททางสังคม (social role) หมายถึง หน้าที่หรือพฤติกรรมที่แต่ละสังคมกาหนดให้ผู้ที่ดารงตาแหน่ง ตา่ งๆ ในสงั คมกระทา

สถานภาพสามารถจาแนกออกได้เปน็ ๒ ประเภท สถานภาพทต่ี ิดตัวมาแต่กาเนดิ สถานภาพสัมฤทธ์ิ • เป็นสถานภาพที่สงั คมกาหนดให้โดยท่ีบคุ คลไม่มี • เปน็ สถานภาพทไ่ี ด้มาดว้ ยการใช้ความรแู้ ละ ทางเลอื ก เชน่ เพศ อายุ สีผิว การเป็นพอ่ แม่ลกู ความสามารถของบคุ คล ตัวอยา่ งของสถานภาพ การเปน็ ญาตพิ น่ี ้องตามสายเลือด เป็นต้น ประเภทนี้ เช่น ตาแหนง่ หน้าทก่ี ารงาน ระดบั การศึกษา รายได้

การขัดเกลาทางสงั คม • การขัดเกลาทางสังคม หมายถึง กระบวนการเรียนรู้การเป็นสมาชิกของ สังคม โดยซึมซับบรรทัดฐานและค่านิยมทางสังคมมาเป็นของตน และเรียนรู้ในการปฏิบัติตนตามบทบาทหน้าที่ เพื่อที่จะสามารถปรับตัว เขา้ กบั สังคมท่ตี นเปน็ สมาชกิ อยู่ไดเ้ ปน็ อยา่ งดี • กระบวนการขัดเกลาทางสงั คม เรมิ่ ตน้ ต้งั แต่บุคคลถือกาเนิด ตัวแทนสาคัญที่ทาหน้าที่ในเรื่องนี้ ได้แก่ ครอบครัว กลุ่มเพื่อน โรงเรียน มหาวิทยาลัย ศาสนา ตลอดจนสื่อมวลชนต่าง ๆ ตัวแทนเหล่านี้จะทาให้บุคคล ได้ตระหนกั ถึงคุณธรรม คุณค่า และอุดมคติที่สังคมยึดมั่น ได้เรียนรู้บรรทัดฐาน และขนบธรรมเนยี มประเพณี ที่ใชอ้ ยู่ในสังคม

ประเภทของการขัดเกลาทางสงั คม การขัดเกลาทางสังคมโดยทางตรง • การอบรมเลี้ยงดูของพ่อแม่ ต้องใช้เหตุผลในการอบรมเลี้ยงดูลูก ไม่ใช้ อารมณ์ในการตัดสินใจหรือแก้ไขปัญหา รับฟังความคิดเห็นของลูก รวมทั้ง เปดิ โอกาสให้ลูกได้แสดงความสามารถที่ตนมีอยู่ • การอบรมสั่งสอนของครูอาจารย์ ครูต้องอบรมและเสริมสร้างทักษะความรู้และ พฤติกรรมที่ดีงามให้แก่นักเรียน ฝึกฝนให้นักเรียนได้พัฒนาศักยภาพอย่างรอบด้าน เร่ืองของการเรยี น การทากจิ กรรม ตลอดจนการใชช้ วี ิตในสังคมอย่างมีความสุข

ประเภทของการขดั เกลาทางสงั คม การขดั เกลาทางสังคมโดยทางออ้ ม • อ่านหนงั สือ ช่วยเพ่ิมพนู ความรู้ให้มคี วามหลากหลาย สรา้ งเสริมประสบการณ์ใหมๆ่ สามารถนามาเป็น แนวทางในการประพฤตปิ ฏิบัตติ นให้ชวี ติ มคี ณุ ค่าและมีระเบียบแบบแผนท่ีดีย่งิ ขนึ้ • การฟังอภิปราย ชว่ ยเปดิ โลกทัศนใ์ ห้กว้างไกลมากข้ึน ได้รับฟังขอ้ มลู จากผ้มู คี วามรู้ สามารถนา ข้อคิดที่ไดม้ าปรับใช้ใหเ้ กดิ ประโยชน์ได้ • การทากจิ กรรมกล่มุ ชว่ ยใหเ้ กดิ การแลกเปล่ียนเรยี นรซู้ ่ึงกนั และกนั เสริมสร้างความสามัคคใี นหมู่คณะ ร้จู กั เสยี สละเพ่อื ใหก้ ิจกรรมทที่ านัน้ ประสบความสาเร็จสูงสดุ

องค์กรทท่ี าหนา้ ทใ่ี นการขัดเกลาทางสงั คม ครอบครัว เป็นองค์กรที่มีบทบาทสาคญั มาก ซงึ่ จะทาหน้าทอ่ี บรมส่ังสอนสมาชิกให้เป็นพลเมืองดี ปฏบิ ตั ิตามกฎเกณฑ์ทส่ี ังคมกาหนด โรงเรียน เปน็ องค์กรทท่ี าหนา้ ท่ีเสริมสร้างความรู้ ความสามารถ ตลอดจนการปรับตวั ในการใช้ชวี ิตในสงั คม สถาบันศาสนา เป็นองคก์ รท่ีทาหน้าท่ีถา่ ยทอดแนวทางการดาเนนิ ชีวติ ให้แกส่ มาชิกในสังคม มงุ่ เน้นให้คนกระทาความดี ละเว้นความช่ัว กลุ่มเพ่อื น เปน็ องคก์ รที่ทาหนา้ ที่ขดั เกลาทางสังคมอกี หนว่ ยหนึ่งในความเชือ่ และคา่ นิยมเฉพาะกลมุ่ ตนเอง อาจแตกตา่ งกนั ออกไป ตามลักษณะกลมุ่ เชน่ การแตง่ กาย กลมุ่ เดียวกนั ก็จะแตง่ กายคล้ายๆ กนั สือ่ มวลชน เปน็ องค์กรทที่ าหน้าท่ถี ่ายทอดข่าวสารความรู้ ศิลปะ ประเพณี รวมทง้ั กฎระเบยี บทางสังคมไปยังสมาชิกของ สงั คมทกุ หมู่เหล่า

การเปล่ียนแปลงในสงั คม ความหมาย • การเปล่ยี นแปลงทางสังคม หมายถงึ การเปลยี่ นแปลงระเบยี บของสังคมในการกระทาในเร่ืองตา่ งๆ ซงึ่ เป็นการ เปลย่ี นแปลงท่เี กย่ี วขอ้ งกับความสมั พันธแ์ ละแบบแผนความประพฤตขิ องสมาชกิ ในสังคมที่แตกต่างไปจากเดิม เชน่ การเปลย่ี นวัตถุสิ่งของท่ีใช้ การเปลย่ี นแปลงความคดิ ความเช่อื เปน็ ต้น

ประเภทของการเปลย่ี นแปลงในสังคม การเปลยี่ นแปลงระดบั จุลภาค เปน็ การเปล่ียนแปลงขนาดย่อยในระดับบคุ คล กลมุ่ บุคคล และรวมถึงพฤตกิ รรมตา่ งๆ ของบคุ คล ตัวอย่างเช่น • การผลิตสินค้า จากเดิมที่ผลิตสินค้าด้วยมือ เปลี่ยนมาเป็นการใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ ในการผลิตสินค้า เพอ่ื ใหไ้ ด้ปรมิ าณมาก เพยี งพอกบั ความต้องการในปัจจุบัน • การศึกษาของนักเรียน จากเดิมครูจะเป็นผู้ถ่ายทอดความรู้ให้แก่นักเรียนฝ่ายเดียว เปล่ยี นเป็นการศึกษาเน้นให้นกั เรียนเป็นศูนยก์ ลางการเรยี นรู้ เพื่อกระตุ้นให้นักเรียนคิดเป็น ทาเปน็ และมีภาวะความเป็นผนู้ า

ประเภทของการเปล่ียนแปลงในสังคม การเปล่ยี นแปลงระดบั มหภาค เป็นการเปลย่ี นแปลงขนาดใหญ่ที่เกี่ยวข้องกับระบบสังคม มีผลกระทบต่อแบบแผนการดาเนินชีวิตของผู้คนในสังคม เปน็ จานวนมาก ตัวอย่างเช่น • การเลิกทาสในสมยั รัชกาลท่ี ๕ สง่ ผลใหร้ าษฎรทกุ คนมีความเทา่ เทียมกนั มเี สรีภาพในการ ดาเนินชีวติ ประกอบอาชีพ นอกจากนยี้ งั มีผลทาให้ประเทศมแี รงงานอสิ ระเพ่มิ มากขน้ึ • การเปลยี่ นแปลงการปกครอง พ.ศ. ๒๔๗๕ เปลี่ยนจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์เป็น ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข มีรัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุด ประชาชนมสี ทิ ธิ เสรภี าพ และความเสมอภาคเท่าเทียมกัน

ปจั จัยทกี่ อ่ ให้เกิดการเปลย่ี นแปลงในสังคม ปจั จยั ภายใน • เชน่ การประดิษฐ์คิดค้นสิ่งของใหม่ๆ การเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติ เศรษฐกิจ เป็นต้น ซงึ่ มีผลตอ่ ทางสังคมมาก เพราะเทคโนโลยีใหมๆ่ ทาให้สะดวกสบาย ตดิ ต่อส่ือสารได้เร็วขึ้น ผลิตสินค้าได้ ในปริมาณที่มากขึ้น เกิดการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางประชากรและอาจก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลง โครงสรา้ งครอบครัวและสงั คมในลาดบั ต่อไป มลู เหตุที่ทาใหเ้ กดิ การเปลีย่ นแปลงในสังคม สามารถจาแนกออกเป็น ๒ ปัจจัยใหญ่ๆ • ปัจจุบันมีการแพร่กระจายและการรับวัฒนธรรมของสังคมอื่นมาใช้กันมาก ตัวอย่างเช่นการนาระบบ ปัจจัยภายนอก โรงเรยี นมาใชแ้ ทนการเรยี นรจู้ ากครอบครวั หรอื วดั เช่นในอดตี หรือการรับวัฒนธรรมด้านเครื่องแต่งกาย อาหาร ยารักษาโรค และเครื่องมือสื่อสารจากสังคมอื่นมาใช้จนทาให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางสังคมขึ้น มากมายในปัจจุบนั

ปญั หาสังคมไทยและแนวทางการแกไ้ ขปญั หา • สงั คมไทยก็เปน็ เชน่ เดียวกบั สงั คมอ่ืนๆ ทวั่ โลกที่มีปญั หา เพราะทกุ สังคมมกี ารเปลี่ยนแปลงมีคนกระทาพฤตกิ รรม เบย่ี งเบนความสมั พันธ์ และสถาบันทางสงั คมทาหน้าที่ไมค่ รบสมบูรณซ์ ่ึงส่งิ เหลา่ นีเ้ ป็นปจั จยั พ้ืนฐานทาใหเ้ กดิ ปัญหา สงั คมได้ ปญั หาสังคมอาจมคี วามรุนแรงและส่งผลกระทบตอ่ สังคมในระดับและขอบเขตทต่ี ่างกนั เช่น ระดับชมุ ชน ระดบั ประเทศ และระดบั โลก เปน็ ตน้

ปญั หายาเสพติด สาเหตุของปัญหา • ความอยากรู้อยากลอง ความรเู้ ท่าไมถ่ ึงการณ์ • ไม่ได้รับคาแนะนาท่ถี ูกตอ้ งจากผู้ใหญ่และบุคคลทเ่ี กย่ี วข้อง • การชักชวนของเพ่อื น โดยสว่ นมากมกั เกดิ จากความเกรงใจเพอ่ื นหรือต้องการแสดงตนวา่ เปน็ พวกเดียวกับเพ่ือน แนวทางการแกไ้ ข • รฐั บาลควรมนี โยบายปราบปรามยาเสพตดิ อย่างจริงจังและเป็นรูปธรรม • พอ่ แมค่ วรปลกู ฝงั คา่ นิยมที่ดีให้แก่ลกู เพื่อป้องกนั ปัญหายาเสพตดิ • องคก์ รเอกชนควรมีบทบาทในการให้ความรู้ ความเขา้ ใจเกีย่ วกบั พิษภยั ของยาเสพตดิ

ปญั หาสง่ิ แวดล้อม สาเหตุของปญั หา • การตัดไมท้ าลายปา่ การเผาป่า การลา่ สตั ว์ • การคมนาคมขนสง่ ที่ก่อใหเ้ กดิ มลพิษ • การทง้ิ ขยะลงในแมน่ า้ ลาคลอง • กระบวนการผลติ ของโรงงานอตุ สาหกรรม แนวทางการแก้ไข • ปลกู ฝังความรู้ ความเขา้ ใจเกย่ี วกับการอนุรักษส์ ิ่งแวดลอ้ ม • รว่ มกันรณรงคใ์ ห้ประชาชนหันมาใช้พลังงานทดแทนกันมากขึ้น เช่น การใช้ถุงผ้าแทนการใช้ถงุ พลาสติก • ปลูกตน้ ไมเ้ พ่ือเพิ่มพนื้ ท่ีสีเขยี วในบริเวณชมุ ชนและบรเิ วณท่สี าธารณะ

ปัญหาการทจุ รติ สาเหตุของปัญหา • เกดิ จากความโลภ ความตอ้ งการ ความอยากได้ ความบริโภคที่เกินพอดี • การเหน็ ตวั เห็นแก่ประโยชน์สว่ นตนมากกวา่ ประโยชน์ส่วนรวม • การขาดจิตสานึกทางศีลธรรมและการไม่เกรงกลัวกฎหมาย แนวทางการแกไ้ ข • ภาครฐั ควรมบี ทลงโทษทางกฎหมายทเี่ ข้มงวดเก่ียวกับการทุจรติ • พ่อแม่ควรปลกู ฝังค่านิยมทดี่ ี เนน้ ความซ่ือสัตย์สจุ รติ ใหแ้ กบ่ ุตรหลาน • องคก์ รทกุ ภาคส่วนควรตระหนกั ถึงความสาคัญและเป็นตัวอย่างทดี่ ใี นการแกไ้ ขปัญหาการทุจริตอย่างเป็นระบบ

ปัญหาความรนุ แรงในครอบครวั และสงั คม สาเหตขุ องปัญหา • สังคมมีจานวนสมาชกิ หรือจานวนประชากรเพม่ิ มากข้ึนอย่างรวดเร็ว • คนในสงั คมตอ้ งแข่งขนั กนั ในด้านตา่ งๆ จนเกดิ ความเครยี ด • อยู่ในสภาพสังคมที่เนน้ วตั ถุนยิ ม ขาดการยับยั้งชงั่ ใจและการควบคมุ อารมณ์ใหม้ สี ติ แนวทางการแกไ้ ข • ให้เกยี รติกนั ในครอบครวั หันหนา้ ปรึกษากนั ทั้งทางด้านการเงนิ การเรยี น การดาเนินชีวติ และทางด้านจิตใจ • ขอความร่วมมือจากองคก์ รทั้งภาครัฐและเอกชนเขา้ ไปรณรงคก์ ารต่อต้านการใชค้ วามรุนแรง • การสรา้ งความสมานฉันทใ์ นสงั คม ทากิจกรรมรว่ มกนั รจู้ กั การพึ่งพาอาศยั กนั

แนวทางการพฒั นาทางสงั คม • การพฒั นาประเทศในระยะแผนพฒั นาเศรษฐกจิ และสงั คมแหง่ ชาติ ฉบับท่ี ๑๑ (พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๕๙) ยดึ หลกั การปฏิบตั ติ าม “ปรชั ญาของเศรษฐกิจพอเพียง” และขับเคลอื่ นให้เกดิ ผลในทางปฏบิ ตั ิที่ชดั เจนยิง่ ขนึ้ ยึดแนวคิด การพฒั นาแบบบูรณาการเปน็ องค์รวมทีม่ ี “คนเปน็ ศนู ย์กลางการพัฒนา” ท้งั ด้านตวั คน สังคม เศรษฐกิจ สง่ิ แวดล้อมและการเมืองซง่ึ ได้กาหนดยทุ ธศาสตรก์ ารพฒั นาไว้ ดังนี้

๑ สรา้ งความเป็นธรรมในสงั คม ๒ พฒั นาคนสู่สังคมแหง่ การเรียนรตู้ ลอดชีวิตอยา่ งยง่ั ยืน ๓ สร้างความเข้มแขง็ ภาคการเกษตร และความมั่นคงของอาหารและพลังงาน ๔ ปรบั โครงสร้างเศรษฐกจิ สกู่ ารเตบิ โตอยา่ งมคี ณุ ภาพและยังยนื ๕ สร้างความเชือ่ มโยงกับประเทศในภมู ภิ าคเพ่อื ความมน่ั คงทางเศรษฐกิจและสังคม ๖ การจดั การทรัพยากรธรรมชาตแิ ละส่ิงแวดล้อมอย่างยงั่ ยนื


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook