Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore บันทึกธรรมโสรโทภิกขุ๖ 2561 (1)

บันทึกธรรมโสรโทภิกขุ๖ 2561 (1)

Description: บันทึกธรรมโสรโทภิกขุ๖ 2561 (1)

Search

Read the Text Version

รเู้ ท่าทันมุมมืดและสวา่ ง หนทางสคู่ วามพ้นทุกข์ ทุกคนมีมุมมืดและมุมสว่างเป็นของตนเอง บางเรื่องไม่สามารถบอก ใครได้ หรอื บอกไดก้ บ็ อกไมห่ มด นคี้ อื มมุ มดื ของเรา มมุ สวา่ ง เราสามารถชแ้ี จง แถลงไขบอกใครได้ มมุ มืดบอกไม่ได้ แต่ใจคิดนึก การปฏบิ ัตวิ ปิ สั สนาแนวน้ี แทนที่เราจะผสมโรงกบั ความคิด เรากน็ กึ ในใจ ฟุ้งหนอ คิดหนอไป ให้เรากำ� หนดหลายๆ ครงั้ หนอ่ ยจะรู้สกึ ดขี ึน้ เอง บางคนคาดหวงั เกิน พอคาดหวงั แลว้ มนั จะเครยี ด มนั จะรสู้ กึ เครยี ดๆ ตงึ ๆ รสู้ กึ รำ� คาญตวั เอง บางครงั้ เปน็ แบบนนั้ จะต้องเข้าใจสภาวะลักษณะของจิตใจที่เปลี่ยนแปลงไป มันเกิดจากการเห็น ทกุ ขน์ นั่ เอง จากความคดิ ของเรา พอเหน็ ทกุ ขใ์ นใจ จติ จงึ อยากจะหายคดิ หรอื หยุดคดิ พอเห็นแล้ว จะเปน็ แบบน้ัน เมอ่ื เป็นสขุ เวทนา เป็นความคิดท่ชี อบ ใจๆจึงไม่อยากให้จากไปเท่าไหร่ คิดแล้วเพลิน คิดแล้วผ่อนคลาย บางเรื่อง บางอยา่ ง คิดแล้วสบายใจ ค�ำวา่ สบายใจกอ็ าจจะไมส่ บายใจอยา่ งแทจ้ ริง มนั เปลยี่ นอารมณไ์ ปเทา่ นน้ั เอง อยา่ ไปกงั วลสำ� หรบั คนทร่ี สู้ กึ วา่ เดนิ นง่ั มาหลาย วัน ความคิดก็ยงั ตามรบกวนอยู่ คิดวา่ เราเจอตัวเองแลว้ เจอตวั ตนของเราใน หลายๆ มุม หลายๆ อยา่ งอยใู่ นสถานการณต์ ่างๆ ถา้ ไม่ได้มานัง่ กรรมฐานจะ ไม่มโี อกาสไดด้ จู ิตตัวเอง เหมือนบางคนอยบู่ า้ น กด็ ูหนังดลู ะคร แต่พอมานัง่ กรรมฐาน มานั่งยอ้ นดจู ิตใจตนเอง หรือสญั ญาทเ่ี ราบนั ทกึ ไวม้ มี ากมาย พอ ไปดไู มร่ กู้ เ่ี รอ่ื งตอ่ กเ่ี รอื่ ง บางเรอื่ งกย็ งั ตดิ คา้ งคาใจไมย่ อมใหม้ นั จบ วนเวยี นไป ตอ้ งยอมรบั เมอ่ื ยอมรบั มนั ได้ ความทุ กขเ์ รอื่ งความคดิ มนั กล็ ดลงได้ มนั ลดลง บ้าง หนา้ ทีเ่ ราก็คอื ก�ำหนดละเหตุ ทที่ ำ� ไมมันถงึ ทกุ ข์ เรามอี ปุ าทานเรื่องท่คี ดิ 50

สงิ่ ทคี่ ดิ มนั กท็ กุ ข์ ถา้ ละอปุ าทานในเรอ่ื งนนั้ ๆ ไดแ้ ลว้ กจ็ ะสกั แตว่ า่ คดิ สกั แตว่ า่ ฟงุ้ บางครง้ั กห็ าเหตผุ ลในเรอื่ งบางเรอื่ งเทา่ นน่ั เอง จะกลายเปน็ สงิ่ ทดี่ ไี ป แลว้ สงิ่ เหลา่ นจ้ี ะคอ่ ยๆเปลย่ี น จะคอ่ ยๆ เปลย่ี นไปเรอื่ ยๆ อปุ มาเหมอื นเราอาบนำ�้ ซกั ผา้ หรอื ท�ำความสะอาด บางครัง้ ช่วงทีเ่ ราอาบน�้ำ ซกั ผ้าท�ำ ความสะอาด น่ะ เราก็เปื้อนไปด้วยแต่ยังไม่สะอาดหรอก ยังอยู่ในขั้นตอนในการท�ำความ สะอาด อาจจะ ๒- ๓ ขนั้ ตอนถงึ จะสะอาด ถ้าไมเ่ ข้าใจจะตโี พยตีพายไปก่อน ปฏบิ ตั ผิ ิดหรอื ถกู หนอ จริงๆ ตอ้ งกำ� หนดรู้ทนั ทีท่คี ิด จริงๆมีบญุ ท่ีได้รไู้ ด้เห็น เมอ่ื ดไู ม่เห็นจรงิ จึงคดิ ว่าใจฟุ้งซ่านไป แต่จริงๆ แล้วน่ะ เวลาเราหลบั ตามันไม่ ไดม้ องขา้ งนอก คดิ อยใู่ นใจนน่ั แหละ่ พอหลบั ตากม็ องเขา้ มาขา้ งใน ฉะนนั้ เหน็ จติ ใจเราท้ังชอบและไมช่ อบ ทำ� เป็นผรู้ ู้ไมร่ ู้ เป็นผตู้ าม ตามความคดิ บางคน ก็ยงั รูส้ ึกนั่งแล้วปวดเมอ่ื ย เจบ็ ทรมานอยู่ คือเห็นทุกข์ ปกติคนเราจะเปลย่ี น อริ ิยาบทเร่อื ยๆ 51

อิริยาบทนั่นแหล่ะปิดบังเอาไว้ ท�ำให้มองไม่เห็นุทกขเวทนาที่เกิดข้ึน พอเราน่ังนานทุกข์ก็ปรากฏ พอเราไม่ได้น่ังนานๆ ก็เปล่ียนเดินนู่นเดินน่ี ก็ ไม่คอ่ ยเหน็ เท่าไหร่ นง่ั ทำ� งาน เวลาเม่ือยเรากพ็ ลกิ ไปซ้ายบ้าง ขวาบา้ ง หรือ จู่ๆ เดนิ ไปนนู่ นี่อิสระ ความรูส้ กึ ไมไ่ ด้จดจอ่ กบั สง่ิ เหลา่ น้ันเทา่ ท่คี วร ก็เหมอื น กับตกอยู่ในความประมาท ซะส่วนใหญ่ พอนั่งกรรมฐาน นั่งนานก็ปวดเจ็บ เหนบ็ ชา เดนิ นานกเ็ มอ่ื ย พอเหน็ ทกุ ขก์ บั การเดนิ นานกเ็ มอ่ื ย นอนนานกเ็ มอื่ ย ยนื นานกเ็ ม่ือย ไม่ไดม้ อี ะไรเท่ียงนะ เราคิดว่านั่งแลว้ มนั ปวดเมอื่ ย เราคดิ ว่า เดินดีกว่าในความรสู้ กึ บางครง้ั แต่พอเราเดนิ นานๆ มนั ก็เมอ่ื ยเหมือนกัน บาง คนขาไม่ดี กเ็ ดินไมไ่ หวขออนญุ าตนัง่ เกา้ อี้ เดินคะย่องคะแย่งไป เวลาเดินถา้ นง่ั ก็พอไหว หรอื บางคนนอน กห็ ลบั ๆ ตนื่ ๆ ถ้าหลบั ไปแล้วกค็ อ่ ยยังชวั่ ถา้ นอนไม่หลับก็พลิกไปมา ทรมานยิ่งกว่าอีก น่ีเราเห็นทุกข์ เห็นโทษของการ ทีเ่ รามีธาตขุ ันธ์ คอื มีรูปนาม พอมรี ปู นามแลว้ เรายึดมัน่ ถือมน่ั ในรปู นามมาก เกินไปท�ำใหท้ กุ ข์ ถา้ รจู้ ักรปู นามถกู ตอ้ ง บรหิ ารจดั การใหเ้ ปน็ ทกุ ข์กน็ ้อยลง เพราะธรรมชาตขิ องส่งิ ท่ีรวมกันหลายอยา่ งมนั จะเหมือนกบั มันตง้ั อยู่ มันจะ มคี วามแปรปรวนไปธรรมดา แตเ่ ราไมย่ อมรบั สง่ิ ทแี่ ปรปรวนหรอื ยอมรบั สง่ิ ที่ เปน็ ไปไมไ่ ด้ ทรมานจติ ใจ เมอ่ื รบั ไดม้ นั จะทกุ ข์นอ้ ยลง ระยะเวลาเดนิ นงั่ นงั่ ๓๐ เดนิ ๓๐ บางคนทำ� ไดก้ ็ดีใจ ค่อยเป็นค่อยไป เดินกบั นง่ั ให้ใกลเ้ คียงกัน พอๆ กนั ถา้ ไม่มีฟงุ้ งว่ งมากวน จัดเปน็ การปรบั แตง่ อินทรยี ์ไปดว้ ย อริ ยิ าบท ใหเ้ ทา่ กนั ๆ อริ ยิ าบทไมแ่ ปรปรวน ธาตขุ นั กไ็ มท่ กุ ขม์ าก พอทนได้ บรหิ ารขนั ธ์ เปน็ บริหารได้เทา่ ทคี่ วร ถา้ บริหารไมเ่ ป็นจะทุกขม์ าก 52

สงบไมส่ งบจุดจบคือเกดิ -ดับ ฉะนัน้ เราไมไ่ ดม้ ุง่ ไปท่คี วามสงบอย่างเดียว ตอ้ งเห็นความจริงเกดิ ขึ้น ตง้ั อยู่ ดบั ไป ตรงน้สี ำ� คัญ อย่าประเมนิ สภาพธรรม รู้อยเู่ ห็นอยู่ บอกวา่ เปน็ เพียงแค่ความรู้สึกของเรา เหตุปัจจัยมันเกิดข้ึนได้เอง ไม่ได้เกิดข้ึนเพราะตัว เราของเรานะ ขอให้เราท�ำใหถ้ ูกเหตุปัจจยั จะเปน็ ไปตามน้นั ถ้าทำ� ไมถ่ ูกเหตุ ปัจจัยจะไม่เป็นไปตามน้ัน ถ้าท�ำถูกก็เป็นไปตามนั่น ไม่มีอะไรไปปิดกั้นมัน ได้ ขอให้เราเขา้ ใจพยายาม อดทน พยายามฝกึ ปีหนึ่งครงั้ หนง่ึ หรือบางคน ก็มีโอกาสหลายคร้ังย่ิงดี เราพยายามส่ังสมให้มากข้ึนตามล�ำดับ มีโอกาสก็ พยายามอยู่กบั ตัวเอง เวลาท่ีสำ� คญั ทส่ี ดุ ไมม่ ใี ครอยู่กบั เราหรอก ช่วงเวลาที่ สำ� คญั ทส่ี ุด นอกจากเราต้องอย่กู บั ตวั เอง อัตตา หิ อตั ตะโนนาโถ ถงึ แม้จะ มีคนมากระซิบข้างหู กำ� หนดพองหนอ ยุบหนอ สัมมาอรหัง ก็แล้วแต่ เรา ก็ต้องท�ำเองหรือนึกถึงนู่นนี่ บางคนนึกไม่ได้เพราะไม่เคยฝึก บางคนนึกได้ก็ ดีหน่อย อยู่กับกรรมฐานจะได้มีที่พึ่ง บางคนมีสติอยู่กับอะไรก็ได้ สามารถ ท�ำให้ทกุ อย่างเปน็ อุปกรณก์ รรมฐานได้ท้ังหมด บางคนลนลาน กลวั กลัวไป 53

ไมด่ ี ถ้าเกดิ ไปจริงๆ กลัวนั่นนี่ ถ้าไปตอนกลวั ๆนะ่ อยา่ งจบั ต้นชนปลายไมถ่ ูก แล้วแตบ่ ญุ หรือบาปเยอะ พอไปจะไปไม่ดซี ะสว่ นใหญ่ ในระหว่างนนั้ พอถึง ตอนนน้ั เหมอื นกบั วา่ ไมม่ ใี ครชว่ ยเราไดน้ อกเราตวั เอง คนอนื่ อาจจะชว่ ยบอก เตือนแนะ ช่วยกระซิบ ช่วยจับตรงน้ีตรงน้ัน เพ่ือเตือนให้เรารู้ แต่เราต้องมี สติปัญญา ถ้าไม่มีสติปัญญา การเตือนก็ไร้ผล ไร้ค่า มันเหมือนกับระบบใน ร่างกายของเรา มันไม่ตอบสนองแล้ว จะเอาอะไรใส่เข้าไปก็ไม่มีประโยชน์ จิตใจของเราเหมือนกัน พยายามเอาข้อมูลใส่เข้าไป คนไม่มีก็เลยไม่รู้จะเอา ที่ไหนใส่ พอนกึ ถึงกเ็ วิง้ ว้าง เมื่อเข้าไปอยตู่ รงนน้ั จะรูเ้ ลย ถา้ เรามีที่พึง่ อาจจะ เผลอเลอ เตอื นปุ๊บ จะได้สตขิ ึ้นมา มีท่เี กาะยดึ เหนย่ี วจิตใจทนั ที แต่คนทไี่ ม่ เคยมีเลย จะเกาะที่ไหนยึดที่ไหนจะเอาอะไรเป็นอารมณ์นึกไม่ออก จะมีแต่ คตินิมิต บางครั้งสิ่งที่เราท�ำไม่ดีจะโผล่เข้ามา หรือกรรมนิมิตท่ีท�ำไว้จะโผล่ มาในเสย้ี ววนิ าทีน้ี เป็นเสย้ี วเวลาที่สำ� คญั ถา้ เข้าใจชีวติ ทกุ คนจะตอ้ งมวี ันนั้น ทุกคน จึงต้องสง่ั สมไว้ วันน้ีอาจจะยงั ไม่รูจ้ กั คุณค่าอะไรมากมายนัก บางคน ยังไม่รวู้ า่ มันมีคุณคา่ ยังไง ประโยชนอ์ ย่างไร ถา้ คนท่ีเคยปฏบิ ัตมิ าแล้วจะรู้ว่า มันมคี ุณคา่ หรือคนทเ่ี คยเผชิญภาวะใกลต้ ายแล้ว กจ็ ะรเู้ ลยว่าเปน็ ยังไง ต้อง อยคู่ นเดยี วถงึ แมจ้ ะมคี นเฝา้ อยขู่ า้ งๆ หรอื เปดิ ธรรมะใหฟ้ งั เปดิ สวดมนต์ ขา้ ง ในมันไม่รบั เหมือนร่างกายมนั ไมร่ บั ทกุ อยา่ งแล้ว มนั กย็ าก แมแ้ ต่เครอื่ งช่วย หายใจถ้าไม่รบั กระตนุ้ แคไ่ หนกไ็ มท่ ำ� งาน กระตนุ้ แล้วช่วยแลว้ ท�ำงานไม่ไดก้ ็ จบ อวัยวะต่างๆ ของร่างกาย เรอื่ งนามธรรม จติ ใจเม่อื ไมเ่ คยฝึกฝนอบรมมา หรือสง่ั สมส่งิ เหล่านี้ไว้ พยายามเทา่ ไหร่เหมอื นกับย่งิ ไรผ้ ล อนั น้ีเป็นจุดหักเห มันจะไปปรากฏผลตอนโนน้ อีกครัง้ หนึง่ ไปปรากฏผลตอนวนิ าทีสดุ ท้าย ใคร จะไปสวรรค์ นิพพาน บางครง้ั ไปตัดสินทโ่ี นน้ อีกทีหน่ึง ส่วนใหญ่ผู้ท่สี ่งั สมไว้ ไปได้ อย่างต่�ำก็สวรรค์ สุคติ หรือสูงสุดไปพระนิพพาน เมอื่ มเี หตปุ จั จยั การ จะสไู่ ปอบายภมู กิ ย็ าก เพราะเหตปุ จั จยั มไี มม่ าก ผทู้ บ่ี รรลโุ สดาบนั แลว้ จติ จะ 54

ไม่ตกต�ำ่ อกี แล้ว ในจฬู โคปาลสตู ร เปน็ สตู รทว่ี า่ นายโคบาลสตู รเลก็ นายโคบาลทน่ี ำ� โค ไปเลย้ี ง ตอ้ งมปี ญั ญาพอทจ่ี ะรวู้ า่ ถา้ เปน็ เดอื นทา้ ยฤดฝู นเนอ่ื งมานานปรมิ าณ น�้ำจึงมีมาก จะให้ฝูงโคข้ามแม่น�้ำจะต้องรู้จักท่าที่เหมาะสม และยังจะต้อง สำ� รวจจ�ำนวนโควา่ มีเท่าไหร่ โคหนมุ่ สาว อายุมาก ไมแ่ ขง็ แรง ยังเล็กอยู่ เมอื่ จะนำ� โคขา้ มไปอีกฝงั่ หน่งึ เมือ่ ไม่ใชท่ ่าทีเ่ คยข้ามประจ�ำต้องดูว่าโคท่ีเปน็ ผนู้ ำ� สามารถน�ำฝูงข้ามได้ปลอดภัยดีหรือเปล่า เพราะถ้าผู้น�ำไม่ฉลาดรอบรู้อาจ จะท�ำให้ฝูงโคทั้งหลายจมน้�ำตาย เพราะข้ามกระแสน้�ำไม่ไหว เปรียบได้กับ พระโยคาวจรโยคีผปู้ ฏบิ ัติธรรม ถ้าเจริญวิปัสสนากรรมฐานถงึ ขนั้ ท่ีบรรลเุ ป็น พระโสดาบนั กจ็ ะไมจ่ มนำ�้ ตาย ถา้ บรรลเุ ปน็ พระอรหนั ตก์ ส็ ามารถขา้ มกระแส นำ�้ ไปไดแ้ ลว้ ซงึ่ ทา่ นผขู้ า้ มไปไดก้ อ่ นใครคอื พระพทุ ธเจา้ เปน็ ผนู้ ำ� พวกเราตาม ก็ตามพระองคข์ ้ามน้�ำ เพี่อตดั กระแสกเิ ลสไปตามพระอรหนั ตส์ าวกท้ังหลาย มอี สตี ิมหาสาวก ๘๐ องค์ เป็นต้น ท่านข้ามไปฝ่งั โนน้ หมดแล้ว สว่ นโยคียัง เปน็ โคตวั นอ้ ย เมอ่ื ยงั ไมจ่ มนำ้� ตายจะตอ้ งขวนขวายพากเพยี รพยายามขา้ มไป ใหถ้ ึงฝง่ั พระนพิ พานให้ได้ ถา้ ปฏิบัติจนไดด้ วงตาเห็นธรรม เปน็ พระโสดาบัน ก็มีโอกาส ตัดข้ามกระแสนำ�้ ขา้ มไปสฝู่ งั่ โน้นได้ เชน่ เดียวกนั เพราะตามโคท่ี น�ำพา โคแกก่ ็ไปก่อน โคหน่มุ สาวเหลา่ นนั้ ก็คอื บรรลุอรหันต์ ตัดสงั โยชน์ ๑๐ ไดแ้ ลว้ โคที่ข้ามไปถา้ เป็น โคที่ฝกึ ได้แลว้ มพี ละก�ำลังอาจจะละสงั โยชนไ์ ด้ ๕ มีละ สักกายทิฏฐไิ ด้ ละวจิ กิ ิจฉาได้ ละสีลพั พตปรามาสได้ ละกามราคะได้ ละ ปฏฆิ ะได้ ทา่ นกส็ ามารถขา้ มคอื ไมจ่ มนำ�้ ขา้ มไปฝง่ั นนู้ ไดเ้ หมอื นกนั ทนี โี้ คหนมุ่ สาวก็อาจจะ ท�ำราคะ โทสะ โมหะ ใหเ้ บาบางไปเรอ่ื ยๆ พวกเรากต็ อ้ งขา้ มให้ ได้ อยา่ พ่ึงจมน�ำ้ นะ ถา้ จมน�้ำกอ่ นจะขา้ มไม่ถงึ ฝง่ั โนน้ สว่ นพระอรหนั ตท์ า่ นไมถ่ กู นำ�้ พดั พาไป เพราะตดั กระแสนำ้� คอื กเิ ลสได้ แลว้ ละสงั โยชนเ์ พิม่ อกี ห้า คอื รปู ราคะ อรปู ราคะ อทุ ธัจจะมานะและอวชิ ชา 55

ละไดค้ รบสบิ พระอรหนั ตท์ ง้ั หลายทา่ นขา้ มไปไดก้ อ่ น พระอนาคามกี ข็ า้ มตาม ไปอกี พระสกทาคามี พระโสดาบนั ทอ่ งเทยี่ วไมเ่ กนิ ๗ ชาติ แตไ่ มถ่ กู นำ้� พดั ไป นะ จะรอด แตป่ ถุ ชุ นไมร่ ู้ ไมร่ บั รอง ถา้ ยงั เปน็ ปถุ ชุ นยงั ไมร่ บั รองเพราะยงั ลกู ผี ลกู คนอยู่ เพราะกเิ ลสยงั หนาแนน่ อยู่ คมุ้ ดคี มุ้ รา้ ย อารมณด์ กี ผ็ วิ ปากรอ้ งเพลง พออารมณไ์ มด่ กี เ็ ปน็ อกี อยา่ งหนงึ่ เราเหน็ อยู่ ถา้ ปถุ ชุ นกจ็ ะรจู้ กั ดี วา่ เปน็ ยงั ไง ถ้าโกรธเปน็ ยังไง เวลาไมโ่ กรธเป็นยงั ไง เวลารกั ชัง เปน็ ยังไง เวลาเรารักกนั ก็อีกอย่าง เวลาชังกันหน้ากย็ งั ไม่มอง เดนิ ใกล้กนั ยงั รูส้ ึกรังเกียจ หรอื ทำ� งาน ร่วมกัน ก็เครียดต่างคนต่างเครียด เพราะอยู่ด้วยกันท�ำใจยาก นี่เป็นปุถุชน พอตอนที่ชอบกันอะไรกไ็ ดห้ มด แตพ่ อเกลียดกนั ต้องทำ� งานรว่ มกัน บางคน จะขอยา้ ยออกจะไดไ้ มต่ อ้ งเจอกนั อยากจะยา้ ยออกจากตรงน้ี เพราะตอ้ งเจอ คนๆ นีเ้ พราะเปน็ คเู่ วรคู่กรรม แต่ตอนถกู กนั ใหมๆ่ ดีทุกอยา่ ง แตพ่ อโกรธกนั คนละเรื่องเลย ไมอ่ ยากนัง่ ทำ� งานรว่ มกนั ในหน่วยงานทงั้ ภาครัฐและเอกชน แคช่ �ำเลืองก็เหน็ แลว้ จะขอย้ายก็เกรงใจเจา้ นายกม็ ี หรือบางคนเจา้ นายกย็ งิ่ ร้ายอกี ตอ้ งทนเอา ปถุ ุชน ผู้ยังหนาแนน่ ดว้ ยกิเลส ยอ่ มหว่ันไหว อริ ิยะบคุ คล เฉยๆ กบั เรอ่ื งเหลา่ นเี้ พราะจติ มนั่ คงแลว้ อยา่ งนอ้ ยเปน็ โสดาบนั กม็ จี ติ ใจทม่ี งุ่ ไปนิพพาน ไมไ่ ด้ตกต่�ำ ถ้าพดู ภาวะทางจิตใจ คอื จิตใจไมไ่ ขว้เขว ตกต�่ำ 56

ปุถชุ นจติ หวนั่ ไหว อรยิ ชนจิตมน่ั คงแล้ว เมอ่ื ยงั เปน็ ปถุ ชุ น ผหู้ นาแนน่ ไปดว้ ยกเิ ลส จะใชอ้ ารมณม์ ากกวา่ เหตผุ ล ดงั นน้ั ปถุ ชุ นจงึ ตอ้ งฝกึ หดั ในการใชเ้ หตผุ ลอยา่ ใชแ้ ตอ่ ารมณค์ วามรสู้ กึ หรอื บางครงั้ ก็ มกี ฎเกณฑก์ ตกิ าให้ทกุ คนอย่รู ว่ มกัน พยายามสร้างขึน้ มา ควบคุมพฤติกรรม คนที่อยู่ร่วมกันไปในทิศทางเดียวกัน ถึงแม้พยายามออกกฎระเบียบเพ่ือ ควบคมุ พฤตกิ รรมใหค้ นสามารถอยรู่ ว่ มกนั ได้ เมอ่ื จติ ใจเราพน้ แลว้ มนั จะเปน็ อกี อยา่ งหนง่ึ บางคนกบ็ อกวา่ มนั เปน็ เพยี งอดุ มคติ แตม่ นั เปน็ จรงิ ได้ ไมใ่ ชเ่ ปน็ ไปไม่ได้ ถา้ ยงั เปน็ ปุถชุ นอยกู่ ็ประมาทไมไ่ ด้ ตอ้ งขวนขวาย อยเู่ นอื งๆ ถา้ ไม่มี ศรัทธากต็ อ้ งมศี รัทธา เชอ่ื เรอ่ื งบุญบาป ท�ำดไี ด้ดี ทำ� ช่วั ไดช้ ั่ว เชอ่ื การตรัสรู้ ของพระพุทธเจ้า เช่ือกรรม สตั ว์ท้งั หลายมกี รรมเป็นของๆ ตน ใครทำ� กรรม อะไรไว้ก็ต้องเป็นผู้รับกรรมน่ันแหล่ะ คนไหนท�ำคนน่ันแหล่ะรับ แทนกันไม่ 57

ได้นะ เหมือนทีโ่ บราณบอกว่า กินเองกอ็ ่มิ เอง ความเชื่อของปถุ ชุ น ไขวเ้ ขว ไม่ได้ม่นั คง แตค่ วามเชื่อของโสดาบันจะมัน่ คง อันน้ีจะต่างกัน เมื่อความเชอื่ ม่นั คง เช่ือม่ันในการกระท�ำจะไมห่ ว่นั ไหว บางคนทำ� ไป ท�ำงานไป ทำ� ดีแทบ ตายถกู ด่า รสู้ กึ แบบน้ัน ทำ� ดแี ทบตายถูกใส่รา้ ยอกี บางคนทอ้ ถอยแลว้ แต่ อริยบุคคลไม่เปน็ ใครคดิ ยังไง ใครพดู ยงั ไง เปน็ เรื่องของเขา คอื จะทำ� ใจตรง นไี้ ด้ กเ็ ลยอยใู่ นสงั คมได้ ไมต่ อ้ งมที กุ ขอ์ ะไรมากมาย จะมที กุ ขเ์ พราะ ธาตขุ นั ธ์ ยังมีอยู่ มันเปน็ เร่ืองปกตธิ รรมดา เพราะขันธ์ ๕ ยังไมได้ดบั ไป ต้องบริหารไป มศี รัทธา แล้วก็ต้องมีศีล ปุถุชนก็เหมือนกับว่าต้องพยายามรักษากฎระเบียบ กติกา ธรรมวนิ ัยใหด้ ี เพอื่ ควบคุมกาย วาจา คือ ควบคมุ พฤตกิ รรมภายนอก แต่ภายในยังควบคุมไม่ได้ (ควบคุมใจ) แต่ควบคุมพฤติกรรมทางกายวาจา ไมใ่ ห้ละเมดิ ใหอ้ ยรู่ ว่ มกันอยา่ งเสมอภาคด้วยศลี อยา่ งเข้ามาอย่ศู าสนานี้ กม็ ี ธรรมวนิ ยั พระ มี ๒๒๗ ภกิ ษุณี ๓๑๑ ขอ้ เป็นสามเณร ๑๐ ขอ้ ถา้ เปน็ โยคี ก็มีศีล ๘ หรอื ถ้าคนปฏบิ ัตติ ่อเนอ่ื งแลว้ กม็ ีศลี เรียกว่า อินทรยี ์สังวรศีล กิเลส ไม่เขา้ เมือ่ ตาเหน็ หไู ด้ยนิ ลิน้ ล้ิมรส กายถูกตอ้ งสมั ผัส ธรรมารมณ์ทีเกดิ ขนึ้ กบั ใจ เม่อื ส�ำรวมแลว้ กิเลสกไ็ มเ่ ข้า ทางหู ตา กาย ใจ ศลี กบ็ ริสุทธิ์ เพราะไม่ ไดไ้ ปผดิ หรอื ละเมดิ สิกขาบท ญาตโิ ยมท่วั ไปมีศลี ๕ อันนคี้ ือเรอ่ื งของศีล ถ้า เป็นอรยิ บคุ คล เงอื่ นไขมยี ังไงก็แบบน้ัน เปน็ ผ้มู ศี ีลบริสทุ ธ์ิ ถ้าอย่างปถุ ชุ นถา้ มศี ลี ก็ยงั อยูใ่ นขัน้ โลกียศลี เมอ่ื เปน็ อรยิ บคุ คล ศลี ของทา่ นจะเปน็ อรยิ ศลี ไปดว้ ย ทา่ นไมต่ อ้ งถอื ศลี แบบปุถุชน เพราะศลี ท่ีรักษามีสภาพสมบูรณ์จนศีลรักษาทา่ นแล้ว แต่ปถุ ุชน ต้องถอื ศีล กางระเบียบ วนิ ัย หรือกางกฎหมาย ขอ้ ไหนๆ อย่ตู ลอดเวลา จึง คนละอยา่ งกนั จติ ใจจงึ เปน็ ทกุ ขใ์ นเรอ่ื งตา่ งๆ มากมาย เพราะตอ้ งคอยควบคมุ พฤตกิ รรม ทอ่ี าจจะก่อใหเ้ กดิ การเบียดเบียนซงึ่ กันและกนั สว่ นผทู้ รี่ ักษาศลี ดแี ลว้ เชน่ พระอรยิ บคุ คลชนั้ ตน้ กง็ า่ ยแลว้ กฎระเบยี บพวกนอ้ี าจจะไมม่ คี วาม 58

หมาย เพราะศีลของทา่ นหนกั แน่น มั่นคงแลว้ สว่ นปุถุชนเองก็ตอ้ งมีศรทั ธา ศีล มีพาหุสจั จะ ศกึ ษาเลา่ เรียน ตอ้ งรับฟัง ตอ้ งไดย้ นิ ได้ฟงั ให้มากๆ ตอ้ ง เป็นพหสู ตู ร ท�ำตวั เปิดรบั ข้อมูลขา่ วสาร ใหม้ ากขน้ึ เพ่ือทจ่ี ะเท่าทนั โลก เทา่ ทันชีวติ น้ีคือ พาหุสจั จะ ทางโลก ทางธรรมตราบใดทเี่ ราเปน็ ปถุ ชุ นเวียนวา่ ย ตายเกดิ อยู่ ต้องมี หริ ิโอตัปปะ การละอายต่อความช่วั ท่จี ะทำ� ทางกายวาจา หรอื แมแ้ ต่ความคดิ ทางดา้ นจติ ใจ ถ้าเปน็ อรยิ บคุ คลจะเกดิ ขนึ้ อตั โนมัติ ไมว่ ่า ต่อหน้าหรือลับหลัง จะเกิดความละอาย ต้องขยันปลูกฝังเร่ือยๆ ต้องย้�ำไป บอ่ ยๆ ต้องใหล้ ะอายตอ่ ความช่วั ละอายต่อความทจุ รติ อนั นั้นต้องพดู บ่อยๆ ถา้ ไมพ่ ูดกล็ ืม โอตัปปะ ก็คือ สะดุง้ กลัวต่อบาป พอเห็นบาปแลว้ เกดิ สะดุง้ กลัวไม่กลา้ ทำ� อะไรเลย เหมอื นส่ิงทม่ี ันเปน็ พิษหรอื ไม่มี พอไดย้ ินกส็ ะดุ้งแลว้ กลวั เหมือนคนกลวั ระเบดิ นวิ เคลียร์ พอได้ยนิ วา่ เขาจะใชร้ ะเบดิ นวิ เคลียรก์ นั แล้วกก็ ลัว เพราะมันไม่เขา้ ใครออกใครแล้ว หรือเหมือนกับอุปมาเหมอื นกลัว อสรพษิ แมต้ วั มนั เลก็ แตพ่ ษิ มนั รา้ ยแรงเหมอื นเดมิ ถา้ มนั ฉกกดั กม็ โี อกาสตาย อนั นี้คอื โอตปั ปะความสะด้งุ กลัวต่อบาป เมอ่ื เปน็ อรยิ บคุ คลกเ็ กดิ ขนึ้ อตั โนมตั ิ ละอายชวั่ กลวั บาป ธรรมประจำ� ตวั มหี ริ โิ อตปั ปะ มจี าคะ ทนี จี้ าคะ การอยรู่ ว่ มกนั ในสงั คม ปถุ ชุ นตอ้ งรจู้ กั สละ ถา้ เป็นวตั ถุก็แบง่ ปนั เพื่อการอยู่ร่วมกนั อย่างมีความสุข ถ้าเหน็ แก่ตวั ไมแ่ บง่ ปัน ไม่สละ ก็เหมือนกับกินคนเดียวก็อ่ิมคนเดียวถ้ากินหลายคนก็อิ่มหลาย คนด้วย หรอื เร่ืองจิตใจก็ตอ้ งหมนั่ ช�ำระจิตใจ สละสิง่ ทไ่ี ม่ดอี อกจากจติ ใจ มัน ก็จะค่อยๆ เจือจางไปเรือ่ ยๆ ความเหน็ แก่ตัวก็จะลดลง ลว้ นแตต่ อ้ งยำ�้ บอ่ ยๆ ขณะท่ีย้�ำหรือพูดกย็ ังเข้าใจยาก เพราะคนเรายงั มคี วามเหน็ แก่ตวั ความโลภ โกรธ หลง ท้ังๆท่ีร้วู า่ การเสียสละของเรามนั เป็นประโยชนไ์ มใ่ ช่เฉพาะเราเอง เปน็ ประโยชนเ์ ฉพาะผอู้ นื่ ดว้ ย ถา้ เอาไวค้ นเดยี วกเ็ ปน็ ประโยชนค์ นเดยี ว หรอื คณุ คา่ ประโยชนม์ นั กน็ อ้ ยลง เมอื่ ใหอ้ อกไป คณุ คา่ มากขนึ้ เหมอื นทพ่ี ดู วา่ จาก 59

๑ บาทถ้ามันสามารถเดินทางไปถงึ มือของคน ทกุ คน จ�ำนวน ๗๐ ลา้ นคน คา่ ของมนั จะมากถึงขนาดนัน้ บาทเดียวก็เปน็ ๗๐ ลา้ น แบบน้ี แตถ่ า้ เราเกบ็ ไว้ก็ มีค่าแค่ ๑ บาท ถา้ เรารู้จกั เสียสละ มันกจ็ ะมีคา่ มาก เหมอื นชีวติ คนเราที่เห็น แกต่ ัวก็เหมือนชวี ิตมีคา่ น้อย ปุถชุ นเรียกว่าตอ้ งคอยกระตุน้ ตวั เอง คอยเตอื น ตัวเอง แต่อริยบุคคลขึ้นไป จะไม่มีความตระหน่ีแล้ว อันน้ีก็หมดห่วง หรือ การสละโลภ โกรธ หลง ก็เป็นหน้าท่ีแล้ว สุดท้ายคือปัญญามีเหตุผล รู้จัก บุญบาป หรือรู้จักคุณโทษ มีประโยชน์ไม่มีประโยชน์ รู้จักความจริง จะตัด สังโยชน์หรือละสังโยชน์ ก็คือเร่ืองของปัญญา ในทางพระพุทธศาสนาก็ตรัส ไว้ว่า มันเป็นทรพั ยภ์ ายใน ถา้ คนไหนมที รพั ย์ภายในจะใชไ้ มห่ มด แต่ปุถชุ น น่ะ มีบ้างไม่มีบ้าง ฉะน้ันอริยบุคคลมีอยู่แล้วก็เหมือนมีทรัพย์ภายในไม่ได้ เดือดรอ้ น อันน้กี ็ไม่คอ่ ยมคี วามทุกข์ แตป่ ุถุชนไมค่ อ่ ยมี บางช่วงก็มี บางช่วง ก็ไมม่ ี ต้องเหมอื นคอยบอก คอยสอน คอยแนะ คอยนำ� คอยงด คอยเวน้ มัน เป็นความยากอยา่ งหน่ึง ถ้าเปน็ ทรัพยภ์ ายในกจ็ ะเป็นทรัพย์อนั ประเสรฐิ เรา ย่งิ ใช้ยง่ิ มาก แตป่ ถุ ุชนกเ็ หมอื นกับวา่ ยิง่ ให้กเ็ หมอื นจะย่ิงหมด ความรู้สกึ มัน จะแยง้ ฉะนน้ั กฝ็ ากเอาไว้ อรยิ ทรัพย์ ๗ ประการ ศรัทธา ศลี พาหุสจั จะ หริ ิ โอตปั ปะ จาคะ ปญั ญา ถา้ มอี ยใู่ นตวั เราแลว้ จะทำ� ใหเ้ รารสู้ กึ วา่ มสี งิ่ ทปี่ ระเสรฐิ อยใู่ นภายในใจ มนี ามธรรมอยู่ แตถ่ า้ ไมม่ ีกเ็ หมอื นกบั วา่ ไมม่ ีทพี่ ่งึ ศลี กเ็ หมือน เป็นท่ีพึ่ง แต่ถ้าเราไม่มีสิ่งน้ี ควานหาท่ีไหนก็ไม่เจอเหมือนคนไม่มีทรัพย์ ก็เหมือนคนที่ขาดทรัพย์หาทรัพย์ไม่ได้ เราลองดูถ้าเราหาทรัพย์ไม่ได้ก็ยาก ลำ� บาก แตถ่ า้ เรามที รพั ยภ์ ายในกเ็ หมอื นทกี่ ลา่ วตน้ ๆ กเ็ หมอื นเราอยคู่ นเดยี ว เมื่อวนิ าทีนนั้ มาถงึ ถา้ เรามีทรัพยก์ ็สามารถทจี่ ะใช้จา่ ยได้ทันที ส่วนคนท่ไี ม่มี คนน้ันจะให้คนน้ีจะให้ แต่ทรัพย์ภายในใจมันไม่มี มันไม่รับแล้ว คนท่ีมีจะ สามารถรบั เพ่มิ ได้อยู่แลว้ มนั ต้องมเี หตุปัจจยั เมือ่ ไมม่ เี หตปุ จั จัยทกุ อย่างจึง เปน็ ไปไมไ่ ด้ 60

““เวลาเราหลบั ตามนั ไมไ่ ดม้ องขา้ ง นอก คิดอยู่ในใจนัน่ แหล่ะ พอ หลบั ตากม็ องเขา้ มาขา้ งใน ฉะนนั้ เหน็ จิตใจเราทงั้ ชอบและไมช่ อบ ท�ำเป็นผู้รู้ไม่รู้ เป็นผู้ตาม ตาม ความคิด บางคนก็ยังรู้สึกนั่ง แล้วปวดเม่ือย เจ็บทรมานอยู่ คอื เห็นทุกข์ 61

๔ ยอมรบั ปรับเปลย่ี น ขับเคลอื่ นสคู่ วามดับทกุ ข์ 62

ต่อไปเป็นช่วงฟังธรรมปฏิบัติธรรมร่วมกัน จะนั่งสมาธิฟังธรรมะ บรรยายด้วยยง่ิ ดี วนั นีเ้ ป็นวันอาทิตยท์ ี่ ๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๐ ดนิ ฟา้ อากาศ กอ็ ากาศกอ็ นุ่ ๆ ขน้ึ ๒- ๓ วนั มานก้ี อ็ ากาศอนุ่ ขนึ้ เชา้ กย็ งั เยน็ ๆ อยบู่ า้ ง ฤดกู าล เปล่ยี นแปลงไปตามปกติ ฤดูน้ีผา่ นไป ฤดใู หมก่ เ็ ขา้ มาทดแทน รา่ งกายจติ ใจ ของคนเราถามวา่ มนั เปลยี่ นแปลงไหม ในความเปน็ จรงิ มกี ารเปลยี่ นแปลงตาม ฤดกู าลดว้ ย อกี ส่วนหนึ่งการเปลย่ี นแปลงท่ีปรากฏล้วนเปน็ ไปตามเหตุปจั จัย หรอื ธรรมะ ธรรมชาตนิ น่ั เอง เมอื่ ไมเ่ ขา้ ใจสภาพธรรมชาตทิ ม่ี นั ปรบั เปลย่ี นไป ตามเหตุปัจจัย เม่ือไหร่ใจไม่ยอมรับ จะรู้สึกเป็นทุกข์ คือเป็นทุกข์เพราะไม่ ได้ด่งั ใจ ได้ดงั่ ใจจะรูส้ ึกสบายขึ้น พอไมไ่ ด้ดัง่ ใจรูส้ ึกอดึ อัดขัดข้องภายใน บาง เร่ืองบางอย่างไมป่ ลอดโปร่ง บางเร่อื งปลอดโปร่ง ชีวิตคนเราเมอ่ื ไม่เขา้ ใจรูป นาม ไม่รจู้ กั กายใจ หรือสภาพธรรมทีม่ ันอยู่ภายใต้กฎเกณฑ์ ของธรรมะคือ ธรรมชาติ มนั ปรบั เปล่ยี นอย่เู รื่อย ตกอยใู่ นภาวะอนจิ จัง ไม่เทย่ี ง ภาวะที่ทน อยู่ในสภาพเดมิ อยา่ งยาก อยา่ งลำ� บาก หรือจะทนอยู่ในสภาพแบบนน่ั ตอ่ ไป ไมไ่ ด้ นน่ั คอื สภาพทเี่ ปน็ ทกุ ขลกั ษณะ อกี นยั หนงึ่ ลกั ษณะทเี่ รายดึ ถอื ไมไ่ ด้ นน่ั คือยึดถือเปน็ ตัวตนไมไ่ ด้ เพราะไมใ่ ชอ่ ตั ตา จะบังคบั บัญชาใหอ้ ยู่ในอำ� นาจไม่ ได้ เพราะเปน็ อนตั ตา จะไมอ่ ยภู่ ายใต้อำ� นาจ เมอ่ื ไมอ่ ยใู่ นอ�ำนาจทกุ อย่างจะ เปลี่ยนไปตามเหตุปัจจัย เมื่อมันเปล่ียนไป ทนอยู่ไม่ได้ เม่ือบังคับไม่ได้ คน ท่ียึดมั่นถือม่ันก็ทุกข์มากหน่อย ทุกข์มากน้อยเพียงใดขึ้นอยู่กับว่าเราเข้าใจ สภาพธรรมเหล่านน่ั ไดม้ ากนอ้ ยแคไ่ หน ยอมรบั ปรบั เปล่ยี นตามเหตุปจั จยั ได้ หรอื ไม่ เพือ่ ขบั เคล่ือนต่อไปส่คู วามพ้นทุกข์ 63

ยอมรับ มใิ ช่จ�ำนน เพียรอดทนขบั เคล่ือนต่อ การเจริญวิปัสสนากรรมฐาน คือการมีสติปัญญาเท่าทันสภาพธรรม เหล่าน้ี จิตจะได้วาง จะได้ละวางความยึดมั่นถือม่ัน เวลาที่เราอยู่กับสภาพ แวดลอ้ มหรอื สงั คมกย็ งั อยภู่ ายใตก้ ฎของพระไตรลกั ษณ์ เมอ่ื คดิ วา่ เทย่ี งตลอด ใจจะยึดเอาไว้ ในเม่ือยดึ วา่ มนั สุข ถามว่าแล้วมนั ทนอยใู่ นสภาพดังกลา่ วนนั่ ตลอดไปไหม เมอ่ื ตอบให้ตรงตามเปน็ จริงมนั ทนอยูไ่ ม่ได้ เมอื่ ทนไมไ่ ด้จะรู้สึก วา่ ทกุ ข์ ทนอยไู่ มไ่ ด้ เมอื่ เฝา้ ดสู ภาวธรรมอยา่ งมสี ตโิ ยคจี ะรสู้ กึ ไดเ้ องวา่ บงั คบั ไม่ ได้ บงั คับใหเ้ ปน็ นน่ั เปน็ นี่ตามชอบใจไม่ได้ เพราะมนั เปน็ ไปตามเหตุปจั จัย ไม่ ไดเ้ ปน็ ไปดง่ั ใจเรา เมอ่ื มนั บงั คบั ไมไ่ ดก้ ท็ กุ ข์ เพราะไมเ่ หน็ สอดคลอ้ งตามความ เปน็ จรงิ จงึ คดิ วา่ บงั คบั ได้ แทจ้ รงิ บงั คบั ไมไ่ ด้ แมแ้ ตล่ มหายใจเขา้ -ออก เหมอื น จะบังคับได้ ตัวอยา่ งเวลากน้ั หายใจกไ็ ด้ทำ� ได้ชั่วระยะเวลาสัน้ ๆ แคน่ ัน่ แหละ่ จะไดน้ านๆ เป็นหลายๆ ชั่วโมงคงเปน็ ไปอยา่ งยากล�ำบาก การบงั คับไม่ให้แก่ เจ็บตาย มันก็เปน็ ไปไม่ได้ ฝนื ไดบ้ ้าง ยดื ระยะเวลาได้บ้าง สดุ ท้ายแล้วบังคบั ไม่ได้เหมือนกัน เม่ือเป็นไปตามเหตุปัจจัย ยากที่จิตจะปล่อยวางได้ เม่ือมัน ยึดวา่ เทีย่ ง ยึดว่าสขุ ยดึ ว่าเป็นอัตตา ความทกุ ข์ในสิ่งทเี่ หน็ ในสง่ิ ที่เราได้ยิน ในส่ิงทเ่ี ราได้กลิ่น ในสง่ิ ท่เี ราลม้ิ รส ในสง่ิ ที่กายถกู ต้องสัมผสั ส่งิ ทธ่ี รรมารมณ์ ผดุ ขน้ึ ในใจเรา จริงๆ มันเปน็ ทกุ ข์ เปน็ อนตั ตา หรือยึดว่ามันเป็นสุขกจ็ ะทกุ ข์ ไปใหญ่ คอื ไมย่ อมรับ บังคับไมไ่ ด้ มนั ยงิ่ ทกุ ข์หนกั ข้นึ ล�ำบากกายใจมากข้ึน 64

65

ยอมรบั ไม่ได้ จติ ใจย่ิงเปน็ ทุกข์ ฉะนนั้ ความเปลย่ี นแปลงตา่ งๆ เมอื่ ยอมรบั ได้ จะไมท่ กุ ขเ์ ทา่ ไหร่ เมอื่ ย อมรับไม่ได้ จิตใจยิ่งเป็นทุกข์ แท้จริงแล้วความทุกข์ทั้งหลายมันเป็นผลมา จากความเกดิ เพราะเกดิ มาตอ้ งพบกับความแก่ ความเจบ็ ป่วย รกั ษาไดไ้ หม รักษาไดจ้ ะหายไม่หายขึน้ อยกู่ ับเหตปุ ัจจยั กายหรือใจป่วยเท่านน่ั เอง มรณะ คอื ความตาย มนั มากบั ความเกิดอกี เชน่ เดียวกนั คนเราในยุคปัจจบุ นั บางคน 66

อาจจะสามารถยดื ระยะเวลาในการตายได้ สดุ ทา้ ยตอ้ งตายอยดู่ ี ชา้ หรอื เรว็ เทา่ นนั่ เม่ือมีความพรอ้ มยดื ระยะเวลา ออกไปได้บ้าง บางคนยดื ออกไปจิตใจยง่ิ เปน็ ทกุ ข์ ไม่ใช่ค�ำตอบวา่ ยืดชีวติ ออกไปแลว้ จะมีความสขุ เสมอไป บางคนย่งิ ทรมานทั้งร่างกายและจิต จะอย่างไรก็ตามถึงท่ีสุดแล้ว ทุกคนล้วนต้องตาย บางคนไม่เข้าใจไม่ยอมรับเม่ือมีอายุมากข้ึน สังขารร่างกายร่วงโรยเรี่ยวแรง กำ� ลงั ลดลง เมอื่ กอ่ นจำ� ดเี ดยี๋ วนจ้ี ำ� ไมไ่ ด้ เมอ่ื กอ่ นเคลอื่ นไหวไดค้ ลอ่ งแคลว่ พอ แกแ่ ล้วไปไหนมาไหนไมส่ ะดวกสบาย เมอ่ื ท�ำอะไรไม่ไดด้ ่งั ใจย่ิงเครียด เพราะ ชว่ ยเหลอื ตวั เองไดไ้ มม่ าก ลกุ กย็ าก นง่ั กย็ าก นอนกย็ าก เปน็ ตน้ สมยั กอ่ นเปน็ หน่มุ สาวลกุ ข้ึนทันทีทนั ใดได้ ตอนนพ้ี อนั่งนานๆ ลกุ พรวดพราดทเี ดยี วไมไ่ ด้ ขาเปน็ เหน็บชา กลัวจะหกลม้ ต้องนบั หนง่ึ ถงึ สิบ นับหน่งึ ถงึ สามสิบไปเรอื่ ยๆ จนกวา่ รา่ งกายจะปรบั เขา้ ทเ่ี ขา้ ทาง ทำ� ไมบางครงั้ คนหนมุ่ สาว เหน็ คนสงู อายุ ลกุ ข้ึนยืนหรอื เดินไปมาอยา่ งเชอื งชา้ อาจจะรู้อึดอดั หรือร�ำคาญใจ เพราะเรา ยังเดก็ หน่มุ แนน่ อยู่ แตผ่ ูส้ ูงอายไุ มไ่ ด้ลกุ ข้นึ ไดท้ ันที มนั ยังมึนงงอยู่ บางคนก็ ไมม่ สี ตลิ กุ ขน้ึ ทนั ที กห็ กล้มลงไป ถา้ ไมต่ ายกพ็ ิการไป เปน็ ภาระลูกหลานของ สังคมซึ่งมีใหเ้ ห็นมากมาย น่ีเพราะโรค คือความแก่ครอบงำ� ย�ำ่ ยี ทำ� ไดอ้ ย่างดกี แ็ ค่ชะลอ ความแก่ชราสุดท้ายบงั คบั บญั ชาไม่ได้ 67

สตเิ ปน็ มิตรแท้ ไมเ่ ลือกวา่ แก่หรือหนุ่ม ระหว่างคนหนุ่มสาวกับคนเฒ่าคนแก่ ต้องยอมรับปรับเปล่ียน เพ่ือ ขับเคลอื่ นไปด้วยกันอย่างเขา้ ใจ คนอายุน้อยตอ้ งเข้าใจหนอ่ ย อย่าไปเรง่ คณุ พอ่ แม่ คณุ ตาคณุ ยาย ให้ทา่ นขยับตวั เสยี ก่อน ๔- ๕ นาที คอ่ ยขยับตวั เมอื่ เราแกจ่ ึงจะรู้และจะเขา้ ใจความรู้สึกของผู้สูงอายุ มนั เป็นแบบนี้ บางคนอายุ ๖๐ - ๗๐ สุขภาพดีก็ยงั ไปมาไดเ้ อง ช่วง ๘๐-๙๐ บางคนความจ�ำไมด่ ี ทเี่ กิน ๑๐๐ ปี ยงั แข็งแรงช่วยเหลือตนเองได้ มไี มม่ ากในโลกน้ี อย่างไรกต็ ามคนเรา หนคี วามแกช่ ราไมพ่ ้น จะแก่หรอื หนมุ่ ก็มโี อกาสเจ็บป่วยหรือเปน็ ทกุ ขท์ างใจ ได้ จงอยา่ ไดม้ วั เมาประมาท หมนั่ เจรญิ สตอิ ยเู่ นอื งๆ สตเิ ปน็ มติ รแทไ้ มเ่ ลอื กวา่ แกห่ รอื หนุ่ม เม่ือพลง้ั เผลอหรอื ขาดสติ ไม่พยายามศึกษา ไมพ่ ยายามกำ� หนด รู้ จะไม่เข้าใจส่ิงน่ันตามท่ีเป็น โยคีต้องพยายามอยู่เรื่อยๆ ความเผลอท�ำให้ 68

ขาดสติ จึงไม่เข้าใจรูปนามที่ก�ำลังเกิด-ดับ ความอยากให้รูปนามเป็นไปตาม ความต้องการ มักจะทำ� ใจให้ฟุง้ ซา่ น บางคร้ังอยากใหเ้ ป็นอยา่ งนัน่ อย่างน้ีมนั ไมไ่ ดด้ งั่ ใจ ลกุ เดนิ เหนิ ไปไหนมนั ไมไ่ ดด้ ง่ั ใจกเ็ ปน็ ทกุ ข์ หรอื บางคนนอนไมห่ ลบั เป็นทกุ ขอ์ กี ไม่มที างออก บางคนมีทางออก นง่ั สมาธิหนอ่ ย สวดมนต์หน่อย ฟงั ธรรมหนอ่ ย ธรรมะหน่อย ฟังกต็ อ้ งฟังธรรมะแบบนมุ่ นวลอ่อนโยน ถ้าฟงั ธรรมะแบบอภิปรายถกเถียงกันตลอดก็ย่ิงนอนไม่หลับ ต้องฟังเป็น บางคน บอกว่าฟังธรรม มนั ดเุ ดือดเผด็ มัน เวลาท่านพดู อภปิ รายกม็ ี แต่พอฟังธรรมะ เยน็ ๆ ธรรมะตามสภาพความเปน็ จรงิ ฟงั เรอ่ื งกรรมฐาน ใจมนั เยน็ สงบหลบั งา่ ย ก็มี ฉะนน้ั มันไม่มีอะไรแน่นอน คงตอ้ งดตู ามเหตุปจั จัย เมื่อเหตปุ ัจจัยเปล่ยี น ไป ผลจะเปลีย่ นตามไปด้วย ถ้าเหตุปจั จัยยังคงอยู่ ทกุ อย่างจะเป็นไปตามน่ัน เมอ่ื อยู่กับตวั เอง ตอ้ งเรียนรพู้ ฤตกิ รรมภายในเปน็ หลกั โดยผา่ นทางกาย ทาง รปู รปู ทเี่ คลอื่ นไหว ใจรู้ รปู กม็ ที งั้ ลมหายใจเขา้ -ออก หรอื อาการทอ้ งพอง-ยบุ ก็เป็นรูปเหมือนกนั อาการข้นึ ลงของท้องทีเ่ ราดู พอง-ยุบมีอาการเคล่ือนไหว หรืออาการท่ีเรารู้สึกว่าเรานั่งอยู่ อาการน่ังก็คือรูปใจท่ีรู้ คือนามธรรม การ พอง-ยุบเปน็ รปู ใจท่ีรเู้ ป็นนาม ยืน เดนิ นงั่ นอน ท่เี ราร้สู กึ ตวั ได้เพราะเรามี นาม เมอื่ อยกู่ ับรปู นามอย่างตอ่ เน่ือง เสมอื นว่าลืมวัน ลืมคืน ลมื เดือน ลืมปี ไป เพราะอยูก่ บั สภาพธรรมทีเป็น รูปธรรมนามธรรม ไมไ่ ด้นึกนนู่ น่ี มีหน้าที่ กท็ �ำตามไป ไมไ่ ดเ้ อาเรอื่ งข้างนอกมาเป็นภาระทางใจ เมอ่ื ธุระทางใจมนั น้อย ภาระภายนอกยงั มชี วี ติ อยกู่ ต็ อ้ งบรหิ ารจดั การกนั ไป โดยเฉพาะเรอื่ งธาตขุ นั ธ์ ต้องบริหารจัดการไป ธาตุขันธ์ยังอาศัยกันและกันอยู่ก็ต้องดูแลตามความ เหมาะสม บำ� รุงดว้ ยขา้ วน�้ำโภชนาหาร เพอ่ื อยไู่ ด้และใช้ประโยชน์ใหเ้ ป็น 69

ทุกอยา่ งอาศยั กนั อย่าส�ำคญั วา่ ตวั เรา เมื่อกล่าวตามจริง ตัวเราไม่มี ย่ิงโยคีก�ำหนดไปสภาวะท่ีปรากฏ จะประกอบด้วย ดิน น�้ำ ลม ไฟ ท้ังนั่นที่อาศัยกันและเป็นอยู่ผลัดเปล่ียน หมุนเวยี นกนั ไป เชน่ ลมหายใจเขา้ -ออก เมือ่ มีเข้าก็ต้องมีออก เม่ือเข้าแล้วไม่ ยอมออกชวี ติ จะอยไู่ มไ่ ด้ เมอื่ ออกแลว้ ไมย่ อมเขา้ ความเปน็ เรากอ็ ยไู่ มไ่ ด้ นำ�้ ที่ ดมื่ เขา้ ไป มนั ออกมาตามเหงอ่ื ไคล ทางรา่ งกายหรอื ปสั สาวะ อาหาร ทมี่ นั ยอ่ ย ไมห่ มด มนั กข็ บั ออกมา ผา่ นทางลำ� ไสใ้ หญอ่ อกทางทวารหนกั ทกุ วนั เปน็ เศษ เป็นกาก มันกห็ มุนเวยี นเขา้ มา ออกไปแล้วกเ็ ข้ามาใหม่ หมุนเวยี นกันแบบนี้ ตราบเท่าท่ียงั มชี ีวติ อยู่ เม่ือไดอ้ ัตภาพนี้มาแลว้ กต็ ้องหล่อเลี้ยงด้วยส่งิ เหลา่ นี้ รปู นามนต้ี อ้ งหลอ่ เลยี้ งดว้ ยอาหาร จงึ จะดำ� รงอยไู่ ด้ เมอ่ื ขาดมนั กอ็ ยไู่ ดไ้ มน่ าน เม่ือก�ำหนดรู้ดีๆ มันเป็นทุกข์ทั้งนั่น ท่ีจริงทุกข์เพราะยึด เม่ือไม่ยึดก็บริหาร จัดการไปตามหนา้ ที่ เมือ่ ไมท่ ำ� ตามหน้าทยี่ ิง่ จะทุกขม์ าก เช่น ขณะหวิ กท็ ำ� ให้ ทกุ ขเ์ พราะหิว ขับถา่ ยหนกั เบา มันไมส่ ะดวกก็เป็นทุกข์อกี หรอื กนิ เข้าไปด่ืม เขา้ ไป มันขับถา่ ยไม่ออกกท็ กุ ข์อีก เพราะธาตขุ ันธ์ปรบั เปลี่ยนหมนุ เวียน จรงิ เป็นแคด่ ินน�้ำ ลม ไฟ มนั เปลย่ี นสถานะไป เป็นน่นั เปน็ นี้ เมื่อหลงไมร่ ู้ความ จรงิ จงึ คดิ ว่าเรากนิ อาหารอรอ่ ย จรงิ ๆ แล้ว เรากนิ ดนิ กนิ นำ�้ กนิ ลม กินไฟ เข้าไป เพียงแต่ว่าไปอยู่ในสถานะท่ีเราเรียกว่า เป็นสัตว์ที่เราชอบท่ีเรากิน บรโิ ภค สัตวพ์ วกนมี้ ีโปรตนี สูง สตั วพ์ วกนม้ี ีเกลือแร่ แร่ธาตุ สารพัดอยา่ ง น่ี แหล่ะคือสิ่งท่ีมชี ีวิต บางทกี ค็ ดิ วา่ มาจากตรงนนั่ ตรงน้ี มาอย่อู กี สถานะหนงึ่ จริงๆ สิ่งเหลา่ นม้ี าจาก ดิน นำ�้ ไฟ ลม จึงตอ้ งหลอ่ เลี้ยงด้วย ดิน น�้ำ ลม ไฟ 70

เช่นกนั มันอยู่ได้เพราะแบบนี้ ตวั เราจงึ อยไู่ ด้ จะหาความเป็นคนสัตว์แทบไม่ เหน็ เลย เมอื่ สน้ิ เหตปุ จั จยั ทกุ อยา่ ง ความเปน็ จรงิ จงึ จะกระจา่ งแจง้ เพราะเหตุ ปจั จัยที่อดุ หนนุ เก้อื กลู กนั ไม่อดุ หนนุ เกื้อกูลกันอีกตอ่ ไป ทุกอย่างจงึ ไม่เวยี น มาเพ่อื เปน็ เช่นน้ี คอื ไม่กลบั มาเปน็ ตวั เรา ของเรา อีก เม่อื รเู้ หน็ ตามความ เป็นจริงเช่นน้ี จึงไม่ต้องท่องเที่ยวในวัฎฏะ ออกไปแล้วก็ออกไปเลย ในเมื่อ ยังมีอยู่ เป็นอยู่ก็วนอยู่แบบนี้ อุปมาอุปมัยเหมือนน�้ำ มันเปล่ียนสถานะไป เปน็ ของแข็ง ของเหลว เปน็ ไอ ตามเหตปุ ัจจัย เม่ือยังไม่หมดเหตปุ จั จยั กว็ น ไปเรื่อยๆ ไม่ได้สูญหายไปไหน เหมือนความคิดของคนเราท่ีมีทั้งคิดดีและไม่ ดี คำ� พดู ของเราทพ่ี ดู ดแี ละไม่ดี การกระท�ำของเราท่ดี ี ไมด่ ี มันจะมผี ลตาม มาอย่างแน่นอน ไม่ได้สูญหายไปไหน เพียงแต่มันอาจจะไม่มากพอ ที่จะส่ง ผล ท้ังดีและไม่ดี จริงๆ มันมีผลตลอด เหมือนเราเคล่ือนไหว ก่อให้เกิดลม เกิดพลงั งาน มนั มีมันเป็นของมันอยู่ ตามหลักเหตุผลในทางพระพทุ ธศาสนา การเคลือ่ นไหวช้าเร็วรุนแรง เหตปุ ัจจยั กเ็ ปลีย่ นไป มผี ลใหเ้ หน็ เลย ไม่ใช่ไมม่ ี ผล จติ ของเราเวลากระเพอ่ื มแตล่ ะขณะ มนั มพี ลงั มากมายมหาศาล ไมม่ อี ะไร 71

ปิดก้ันมันได้ คุกขังได้ แต่ร่างกายของคน ใจของคนขังไม่ได้ โยคีอยู่ในห้อง กรรมฐานเดินจงกรม นั่งสมาธิ แตใ่ จน้อมไปไหนท่อี น่ื ได้ เชน้ นอ้ มไปถงึ ส่งิ ท่ี เปน็ อดีต สิง่ ทีเ่ ปน็ อนาคต ซง่ึ การไปของจติ เป็นไปอยา่ งรวดเร็ว พลงั งานช่าง มากมายมหาศาลเหลอื เกนิ เมอื่ นกั ปฏบิ ตั เิ พยี รฝกึ ฝนอบรมจติ ใจ จงึ ตอ้ งตง้ั ใจ ก�ำหนดรู้ผู้รู้(จิต) สติต้องเป็นผู้ตามให้ทันจิต ต้องขยัน ระลึกรู้ ขยันก�ำหนด ต้องมีโยนิโสมนสิการ ขยันก�ำหนดอย่างแยบคายไปเรื่อย เวลามันนึก เวลา มันน้อมไปในอดตี อนาคต เวลาท่ีมันอยกู่ ับปจั จุบนั เราต้องมีสติ ยืน เดิน นง่ั นอน ต้องฝกึ บางคนทำ� อยแู่ บบนี้ตลอด จนกระทัง่ ลมื วนั เดอื น ปี เม่ือหมด เหตุปัจจยั ก็ไปจากอัตภาพน้ี เมือ่ หมดเหตปุ ัจจยั ก็ไมก่ ลับมาอีก สว่ นคนท่ยี งั ไม่หมดเหตุปัจจัยก็ต้องกลบั ไปกลับมาอกี จนกว่าจิตจะหลุดพน้ จากอาสวะกเิ ลส ผูท้ ่ยี งั ท่องเท่ียวอยู่ เพราะบุญบาปมอี ยู่ มีทงั้ กศุ ล อกศุ ล เป็นเหตุ ปัจจยั อยู่ จะเกือ้ กลู ให้ไปมี ไปเป็น ไปอุ บตั ิ ภพภมู ติ า่ งๆ ปกติ ไมไ่ ด้สญู หายไปไหน เพยี งแต่จะไปอยู่ตรงไหนเท่านนั่ เอง 72

ก�ำเนิด ๔ ประการ ก�ำเนดิ ทงั้ ๔ ท่ีจะไปอุบัติเกิดข้ึน เช่น เกิดเป็นตัว เป็นมนุษย์ นี้จัดเป็น สุคติ ถ้าเป็น ๑.ชลาพุ ชะ เกดิ เป็นตัว มนุษย์ ถา้ เกิดเปน็ ชา้ ง ไม่ใชส่ ุคติแลว้ ๒.อัณฑชะ เกดิ ในฟองไข่ เดรจั ฉานภมู ิ ทา่ นกลา่ วไวต้ ง้ั แตม่ นษุ ย์ ๓.สังเสทชะ เกิดในเถา้ ไคล ไปจนสวรรค์ ๖ ชั้น เป็นสุคติ หรือต่อ ๔.โอปปาติกะ เกิดผุ ดขึน้ ไปอีก เป็นสวรรคช์ ้ันพรหมมี ๑๖ ช้นั จดั อยูใ่ นสคุ ติ การจะไปสภู่ พภมู ิเหลา่ น้ไี ด้ขน้ึ กบั เหตปุ ัจจยั เมอ่ื เทยี บภมู ชิ ั้น 73

จิตของคนเรา จิตก็ท่องเท่ียวไปได้หลายท่ี นั่งกรรมฐานอยู่ดีๆ จิตอาจเผลอ ไปเยีย่ มภพภูมอิ นื่ เชน่ ไปเยยี่ มชา้ ง ม้า วัว ควาย สุนัข ไก่ แมว เป็นตนั น่งั กรรมฐาน พองหนอยบุ หนอ เผลอปบุ๊ เปน็ หว่ งสนุ ขั ทบี่ า้ นแลว้ เอค้ นใชเ้ อาขา้ ว ให้กินหรือเปล่า หรือฝากไว้ดูให้ดีหรือเปล่า สุนัขพ่ึงป่วย ใจมันไปแล้ว สัตว์ เดรจั ฉานจดั อยภู่ พภมู ไิ หนหนอ จดั อยใู่ นอบายภมู ิ บางคนจติ คนุ้ เคยเรอื่ งเหลา่ นี้ ถา้ เปน็ สขุ คตภิ มู ิ โยมบางคนมอี ายุ ผา่ นการมลี กู มาแลว้ จะเขา้ ใจดี บางคนไม่ ไดเ้ ลี้ยงลูก แตเ่ ล้ยี งหลานจึงตดิ หลาน พอมานงั่ กรรมฐานเผลอเม่ือไหร่ จติ ใจ ไปหาหลานอกี แลว้ พองหนอ ยุบหนอ พองหนอ ยบุ หนอ ต้ังใจดี นงั่ หนอ ถูก หนอ พอเผลอปบุ๊ ไปนกึ ถงึ หลาน แมม่ นั ดดู ไี หมหนอ เลย้ี งหลานไดเ้ ทา่ เราไหม หนอ ถือว่าตนเองเก่งเพราะเล้ียงแม่มันมาก่อน เราต้องเล้ียงดีกว่ามัน ทุกข์ เป็นซะแบบนั่น ถ้าจิตไปแบบน้ี ก็ไปท่องเที่ยวมนุษภูมิ แต่ถามว่าทุกข์ไหม ทกุ ข์ จติ มนั ท่องเทย่ี วไป มันก็ทกุ ข์ ทุกข์เพราะหว่ ง หว่ งหาอาลยั ทำ� ใหเ้ รา ติดข้องอยู่ในภพภูมิ เหมือนกับคนเวลาเขาตาย เขาชอบมัดตาสังข์ ปัจจุบัน ไม่คอ่ ยมีโอกาสไดพ้ ิจารณา สมยั บวชใหมๆ่ มโี อกาสได้พิจารณาประจำ� สมยั นเี้ ขาประดบั ประดาอะไรมากมายแมโ้ ลงสวยยงั เลอื กสวยๆ ได้ เวลาเผากม็ เี ผา หลอก วางดอกไมจ้ นั ทก์ นั กอ่ นเผาจรงิ สมยั อาตมาเปน็ พระใหม่ เหน็ ชดั ๆ เจนๆ เลย เผาไมไ่ หมก้ ็ตอ้ งไปชว่ ยดู บางครง้ั แขนขาเด้งข้นึ มาก็มี บางคร้งั กระเพาะ อาหารแตกเสยี งดัง ได้ยินชัด เหน็ ชัดๆ เลย พจิ ารณา อสภุ กรรมฐาน ถามว่า กลัวไหม กลัวเหมือนกัน กลางค่�ำ กลางคืน ชีวิตพระต้องอดทนเพ่ือฝึกฝน ตนเอง แตพ่ อตอนนีเ้ ฉยๆ เปน็ เรื่องปกติธรรมดา คนเราตายไปแล้วมเี พียงรูป อยา่ งเดยี ว นามไมม่ แี ลว้ ทำ� อะไรเราไมไ่ ดห้ รอก ทกี่ ลวั ๆ กนั เพราะปรงุ แตง่ จน ทำ� ใหก้ ลวั เมอ่ื จติ สงบมสี ตเิ ทา่ ทนั ความกลวั กห็ ายไป มคี ำ� กลา่ วของคนโบราณ วา่ มบี ตุ รเปรยี บเหมอื นบว่ ง เกยี้ วพนั คอ บตุ รเหมอื นกบั บว่ งมดั คอไว้ บตุ รธดิ า ไม่ใช่เฉพาะลูกชายนะ บางคนก็รกั ลกู สาวลูกชาย นั่งอาลยั อาวรณ์ ทรพั ย์ผกู 74

บาทาคลอ หน่วงไว้ คือทรพั ย์สนิ สฤงคารตา่ งๆ ดงั โซ่หรือเชอื กผกู ข้อเทา้ เอา ไว้ สามภี รรยาเยย่ี งบว่ งปอ รงึ รดั มอื นา สามภี รรยาเปรยี บดงั เชอื กหรอื บว่ งมดั มือท้ังสองขา้ งเข้าหากนั เลยไปไหนไม่ได้ หมดอสิ ระภาพ คนทหี่ ่วงสามีภรรยา คนทมี่ คี วามรกั จะรเู้ ลยมนั ทกุ ข์ ทกุ ขม์ าก นงั่ พองหนอยบุ หนออยดู่ ๆี มนั กแ็ วบ็ ไป บางคนท�ำงานไป เมื่อเผลอสติอาจจะเกิดอุบัติเหตุในขณะท�ำการงานได้ เพราะหว่ งอาลยั อาวรณถ์ งึ สง่ิ ทล่ี ว่ งไปแลว้ และยงั ไมเ่ กดิ ขน้ึ เปรยี บดงั จติ นอ้ ม นกึ ออกไปยังทีท่ จี่ ิตคนุ้ เคย เปรยี บด้วยจิตของบางคนคุน้ เคยกบั อบายภูมิ ค้นุ กบั นรก คนุ้ เคยกบั ความ โกรธ มกั จะโกรธบอ่ ยๆ ถกู โทสะเผาตลอดเปน็ คนทมี่ ี โทสะเปน็ เจา้ เรอื น นิดหนอ่ ยก็โกรธเคือง นดิ หน่อยก็มีปากเสยี งทะเลาะเบาะ แว้ง จะเห็นไดว้ ่าจติ ไปตกนรกบอ่ ยจังเลย ส่วนบางคนเป็นทาสของความโลภ เหน็ อะไรอยากไดเ้ ปน็ เจา้ ของ เหน็ อะไรนา่ กนิ กอ็ ยากกนิ เหน็ อะไรสวยกอ็ ยาก ได้มาครอบครอง อยากเสพ อยากสมั ผัส อะไรต่อมอิ ะไร ทะเยอทะยานอยาก มากๆ เปรียบได้กับจติ ทีไ่ ปเสพคุ้นภพภมู อิ บายภมู ิ โดยเฉพาะพวกเปรต ถาม วา่ จติ ไปบ่อยไหม ถ้าไม่ท�ำกรรมฐานไม่รู้หรอก ดจู ติ ไมอ่ อกวา่ ไปไหน ในชวี ติ ประจ�ำวนั บางคนหมกหมนุ่ ตลอด หมกหมุ่นกบั ความหลงบ้าง 75

ยอมรบั ขบั เคล่ือนด้วยศีล สมาธิ ปญั ญา ไม่ต้องกลับมาทกุ ข์อกี บางครงั้ คนทวั่ ไปรู้ทกุ ข์ แตไ่ มไ่ ดก้ �ำหนดรูท้ ุกข์ จงึ ยดึ มนั่ ถอื มัน่ รู้เหตแุ หง่ ทกุ ข์ แตไ่ ม่ไดก้ ำ� หนดละเหตใุ ห้เกดิ ทุกขส์ มุทัย รู้ว่านิโรธ ความดับทกุ ข์ แต่ไมไ่ ดท้ �ำให้แจง้ รู้ว่ามรรคเป็นวธิ ีดบั ทุกข์ เป็นทางในการด�ำเนนิ สคู่ วามดับทุกข์ แต่ไม่ไดท้ �ำใหม้ รรคเกิดและเจรญิ ขนึ้ ด้วยศีล สมาธิ ปัญญา จิตท่ีสยบยอมรบั กบั ความจรงิ เสพคุ้นอยู่กบั ทาน ศีล ภาวนา ศีล สมาธิ ปัญญา ซ่ึงจิตคุน้ เคยอยู่กับกุศล จิตจึงมคี ณุ ภาพและพลังแห่งความดี พรอ้ มท่ีจะไปสู่ภพภูมิท่ีดี 76

ในทางตรงกันขา้ มจติ ท่ีเสพคนุ้ สง่ิ ทไี่ ม่ก็พรอ้ มท่จี ะดำ� ดงิ่ สูภ้ พภมู ทิ ีไ่ ม่ดีเช่นกัน อปุ มาดงั ความดหี รอื ไมด่ ที ผ่ี ดุ ขน้ึ ในใจของคน ใจดผี ดุ เปน็ เทวดาทนั ทที ค่ี ดิ พอ ถงึ ตอนนน่ั มนั มองเหน็ แลว้ จะไปตรงไหน พอ่ แมท่ ำ� อะไรมองเหน็ มนั อยอู่ กี มติ ิ หนึ่งไม่มอี ะไรปิดกน้ั สามารถทจ่ี ะไปในเสย้ี ววินาที ชั่วรัดนิว้ มือเดยี ว เร็วมาก ไวมาก ไมถ่ งึ วนิ าทหี รอกเรว็ กวา่ นน่ั ฉะนน่ั ตอ้ งระวงั อยา่ ขาดสตบิ อ่ ยๆ จะตอ้ ง ฝกึ เรอ่ื ยๆ บอ่ ยๆ ถงึ แมจ้ ติ จะนอ้ มไปเรอื่ งนน่ั เรอ่ื งน้ี กจ็ รงิ แตเ่ รารทู้ นั มนั อยู่ บว่ ง กส็ ักแต่วา่ บ่วง บุตรธดิ าเปรยี บด้วยบว่ งผูกคอ สามภี รรยาเปรียบด้วยบว่ งปอ ผูกมือเอาไว้ เมอื่ จติ ถกู ผูกมดั เอาไว้ จึงหมดอสิ ระภาพเหมอื นกับคนตายทถี่ ูก มดั ตราสังขเ์ อาไว้ เพ่อื สะท้อนใหเ้ หน็ ว่าคนเปน็ จะตอ้ งดูนะ ถา้ หลงอยตู่ ิดอยู่ กับเร่ืองพวกนี้จิตไม่มีอิสระหรอก มันแต่มีทุกข์ แทนที่จะได้ใช้ทรัพย์ให้เป็น ประโยชน์แก่ตนเองและผู้อ่ืน ทรัพย์กลับกลายมาผูกเท้าตนเองเอาไว้ จะไป ไหนมาไหนกล็ ำ� บาก แทนทีจะทำ� ใหท้ รพั ยเ์ กิดประโยชนส์ ูงสุด มภี รรยาสามี แทนที่จะช่วยเหลือเกื้อกูลกัน ก็มีเรื่องทะเลาะเบาะแว้ง หึงหวงอิจฉาริษยา เข่นฆ่าเบียดเบียน เป็นต้น ภรรยาสามีท่ีมีจึงเป็นเชือกมัดตนเองเอาไว้ ต่าง คนต่างขาดอิสรภาพในการท�ำงานท่ีเป็นประโยชน์ตนเองและคนอื่น เหมือน กับถกู ใสก่ ญุ แจมือ ทำ� อะไรท่ดี ีๆ ไมถ่ นดั บุตร ธดิ า คนท่ีผูกพนั มากเหมือน บ่วงผกู คอไว้ ยิง่ รัดแน่นเท่าไหรใ่ จยิ่งทุกขเ์ ท่านัน่ สงั คมเราเหน็ กันบอ่ ยๆ ชว่ ย เหลือจนเกนิ ไป จนลูกช่วยเหลือตวั เองไม่ได้กม็ ี หว่ งมากไป ห่วงแต่มนั บีบยงิ่ รดั มากยง่ิ หวงมาก ย่ิงตดิ รัดมากยงิ่ เหมือนจะหายใจไม่ออก บ่วงบตุ ร เหมือน กบั เกลย้ี วพนั คอ โบราณวา่ ไวแ้ บบนน่ั จะตอ้ งพยายามปลดบว่ งเหลา่ นอ้ี อกไป ส่วนชีวิตพระอิสระอยู่แล้วไม่มีเร่ืองพวกนี้ เม่ือไม่มีเรื่องพวกน้ีใช่ว่าจะสบาย ไม่ทุกขร์ ้อน แต่กม็ ีเรื่องอ่ืนมาใหจ้ ติ ใจเป็นทุกข์อยู่ดี เพราะพระยังไม่เป็นพระ อรหนั ตย์ งั เป็นปถุ ุชนอยู่ ปรารถนานั่นน่เี ป็นธรรมดา การบวชก็ไมไ่ ด้บวชเพือ่ ท่จี ะไปนิพพานอย่างเดยี ว การบวชในสมยั พระพทุ ธเจ้าไมเ่ หมอื นสมยั น้ี สมัย 77

นนู่ ไปนิพพานอย่างเดยี ว ถ้าถามวา่ คนทไ่ี ปไม่ถึงพระนิพพานมีไหม ตอบว่ามี แต่ส่วนใหญ่บวชแล้วท่านสามารถท�ำพระนิพพานให้แจ้ง การสมัยน้ีท่ีมุ่งไป พระนิพพานมีไหม ตอบวา่ มอี ยู่ ไม่ใชไ่ มม่ ี ทีไ่ ปไม่ถงึ กม็ ีเยอะ เป็นเพราะเหตุ ปัจจัยสะสมมาเท่าน่ัน อยา่ ไปสำ� คัญมั่นหมายอยา่ งใดอย่างหน่ึง จะเป็นทกุ ข์ จะเครยี ด จะโวยวายเปน็ แบบนน่ั แบบน้ี เพราะมองไมเ่ หน็ ความจรงิ แท้ มนั มา จากกเิ ลส อยา่ พยายามไปจดั กิเลสการของคนอ่นื แต่พยายามละลด กเิ ลสใน ใจเรา จิตใจทฝี่ กึ ฝนอบรมไมด่ ี จติ มกั จะนอ้ มไปในกเิ ลส พาไปสวรรคก์ ็ค่อยยงั ชั่วหนอ่ ย พาไปอบายภมู ิ มันวนไปวนมา ๓๑ ภพภูมนิ แ่ี หล่ะ ถา้ เรามีสตเิ ทา่ ทนั จติ ทกุ อยา่ งกจ็ ะดขี นึ้ แตร่ า่ งกายจะทรดุ โทรมไปเรอื่ ยๆ ยงิ่ ถา้ ไมด่ แู ลรกั ษา สขุ ภาพกายใหด้ ี จะยงิ่ เสอ่ื มเรว็ ขนึ้ สว่ นธรรมชาตขิ องจติ เกดิ ดบั อยตู่ ลอดเวลา เกดิ ดบั ไปเรื่อยๆ เหมอื นกบั บางคนจติ มนั ยังหนมุ่ สาวเหมอื นเดิม บางคนรู้สกึ แบบนัน่ เหมือนกบั มันยงั เดก็ ๆ อยู่ มันไมแ่ ก่ไปตามรา่ งกาย แต่ทำ� ไมรา่ งกาย แกไ่ ปแล้ว บางคนกร็ ู้สึกวา่ จิตเปน็ อมตะแบบนั่น ไมห่ รอก มันเกดิ ดับ เหมอื น กนั ถา้ ไมอ่ ยา่ งนนั่ เรากเ็ ชอ่ื วา่ จติ เปน็ อมตะไมต่ าย เปน็ คตอิ นื่ ไมใ่ ชข่ องพระพทุ ธ ศาสนา ถือวา่ จติ วญิ ญาณมันเที่ยง เป็นอีกลัทธหิ น่ึง จติ วญิ ญาณไม่เทย่ี ง ตอ้ ง เหน็ ตามความเปน็ จรงิ มเี หตปุ จั จยั ทเ่ี กอ้ื หนนุ กนั อยู่ มนั กย็ งั มยี งั เปน็ เราตอ้ งรู้ ใหท้ นั จะไดเ้ ปลยี่ นผา่ นไปในทๆี่ ดหี รอื เปลย่ี นผา่ นไปไมต่ อ้ งกลบั มา จะไดไ้ มม่ ี ความแกอ่ กี เจ็บอีก ตายอกี ขอใหท้ ุกคนพยายามตอ่ ไป 78

79

๕ อยา่ สับสนมุ่งฝกึ ตนตอ่ ไป 80

วนั น้ีตรงกบั วนั อาทิตย์ท่ี ๒๑ พฤษภาคม ๒๕๖๐ การประพฤตปิ ฏิบัติ ของพระโยคาวจร กด็ �ำเนินไปตามปกติ สว่ นญาติโยมที่เขา้ มาอยู่ปฏิบัติ เป็น คร้ังคราวก็ท�ำไปตามปกติ แต่การประพฤติปฏิบัติ บางช่วง อย่าไปเครียด กับมันมาก บางคร้ังไม่ได้อย่างใจเรา อย่าไปยึดถือให้มากปล่อยไปบ้างจะได้ มีก�ำลังใจท�ำต่อ บางคนต้ังความปรารถนาไว้ ต้ังไว้เท่าน้ันเท่านี้ แต่พอน่ังได้ ไม่ก่ีบัลลังก์ ตามที่ตนอธิษฐานไว้ จะรู้สึกท้อถอย บางคนพอไม่ได้ก็รู้สึกว่า ไมค่ ่อยดี ปตี ิกไ็ มม่ ี นมิ ิตกไ็ ม่เหน็ ใจก็ไมส่ งบ ชกั จะทอ้ ถอย บางคนอธษิ ฐาน แล้วอธษิ ฐานอีก อยากให้นงั่ เท่านัน้ เท่าน้ี พอน่ังได้กด็ ีใจ พอไมไ่ ดก้ ็เสียใจอีก แลว้ ลม้ ลกุ คลุกคลานอยดู่ ว้ ย ถ้าร้เู ท่าทันต้งั ใจนัง่ เท่าไหรก่ ็เท่านัน้ หรืออยา่ ง ผู้ทเ่ี รม่ิ ฝกึ เดนิ นง่ั ใหม่ๆ เดิน ๓๐ นัง่ ๓๐ อาจจะกำ� ลังพอดี เดินนงั่ พออดทน ได้ เพราะเวลาไมน่ าน เดย๋ี วเวลากผ็ า่ นไป บางคนอยากนง่ั เปน็ ชว่ั โมง นงั่ ไมถ่ งึ สกั ที บางครั้งกท็ �ำใหเ้ ครยี ด ทำ� ให้เรารสู้ ึกทอ้ เหมือนปรารถนาแลว้ อธิษฐาน แลว้ ไม่ได้ จึงรสู้ กึ ท้อแทห้ ดหู่ โยคีตอ้ งพยายามอยูก่ บั ปจั จบุ ัน ครบู าอาจารย์ ใหน้ ง่ั ๓๐ เดนิ ๓๐ ก็ท�ำตามน่ัน พอส่งอารมณอ์ าจจะต้องเพมิ่ ข้นึ ไปอกี เป็น ๔๕ เป็นหรอื เป็นชั่วโมง ข้ึนอยู่กบั อนิ ทรีย์ของแต่ละคน อยา่ งบางคนไมไ่ หว ก็ยงั ไมป่ รบั ไมเ่ ปล่ียน บางคนอดทนไหว บางคนมีประสบการณม์ าแลว้ เดิน นงั่ ๑ ชม. เปน็ เรอื่ งง่ายๆ แต่บางคนไมเ่ คยเลยกเ็ ป็นเร่อื งยากเหมือนกนั ตอ้ ง คอ่ ยเป็นค่อยไป บางเรื่องบางอยา่ งกต็ ัง้ ใจดีมศี รัทธาในการปฏบิ ัติ แต่พอเจอ เข้ากบั เหตกุ ารณ์หรอื สภาวะจริงๆ อดไม่ได้ ทีจ่ ะทอ้ ทกุ อยา่ งที่ทำ� อย่าไปคิด ล่วงหน้าว่าจะต้องได้อย่างใจคิดทุกอย่าง พอไม่ได้อย่างใจมันท�ำให้เป็นทุกข์ เมื่อยอมรับได้กด็ ี เมื่อไหรก่ ำ� หนดทัน เมอ่ื น้ันจบ ไมม่ ีค�ำถามตอ่ เพราะทันก็ มีคำ� ตอบ แตถ่ า้ ไมท่ นั จติ จะพยายามหาค�ำตอบ บางครง้ั เร่ืองเลก็ น้อยกท็ �ำให้ คนเราเครียดมาก 81

การปฏบิ ตั วิ ปิ สั สนากรรมฐาน คอื การรเู้ ทา่ ทนั ความเปน็ จรงิ แตล่ ะขณะ ไมว่ า่ จะเปน็ รปู นามหรอื กายใจ อารมณภ์ ายในหรอื อารมณภ์ ายนอก เขา้ มาทาง ตา หู จมูก ลนิ้ กายใจ ก�ำหนดเทา่ ทนั ไหม ถา้ มสี ติเทา่ ทันจติ ชวี ติ จะปลี่ยนไป เปล่ยี นไปยงั ไง จากทีไ่ มร่ ู้กร็ ู้ จากที่ไม่เห็นก็เห็น รอู้ ะไรรู้ความจริง เหน็ อะไร เหน็ ความจรงิ เปน็ อะไรเป็นไปตามสภาพธรรม เพราะจติ มีอสิ ระ จากเครือ่ ง ผูกมัด ขณะตาเห็นรูปมัดใจเราไว้กับรูป ขณะหูได้ยินผูกมัดกับเสียง จมูกได้ กล่ินมัดไว้กับกล่ิน ลิ้นล้ิมรสมัดไว้กับรสของอาหาร เครื่องด่ืมต่างๆ กายถูก ต้องสัมผัสก็มัดใจไว้กับสิ่งที่มาถูกต้องสัมผัส ธรรมารมณ์ท่ีเกิดกับใจมัดไว้กับ ธรรมารมณท์ ชี่ อบ ทา่ นถงึ บอกวา่ อยา่ หลงไปชอบ หลงชงั ทจ่ี รงิ เปน็ เรอ่ื งยากที่ จะกำ� จดั ความชอบชงั ไปไดง้ า่ ยๆ จติ ของคนเราบางครงั้ ขน้ึ ลงตามอารมณต์ าม ความรู้สกึ ถึงเวลาขึน้ กข็ ้นึ เวลาลงก็ลง แตค่ นทร่ี ้เู ทา่ ทันความเปน็ จรงิ จะรูว้ า่ ตวั แปรหรือเหตุปจั จยั คืออะไรจะมองเป็นเรือ่ งธรรมดา ปกติ เม่อื มีชอบกต็ อ้ ง มชี งั เปน็ เรอ่ื งธรรมดา มขี นึ้ กม็ ลี ง เหมอื นมอี าการพองกม็ อี าการยบุ คกู่ นั แบบ นี้ เมอ่ื มลี มหายใจเขา้ กม็ ลี มหายใจออก หมนุ เวยี นเปลยี่ นไปตลอด ใจจะสบาย เมื่อไหร่ไปยดึ มนั่ ถอื มัน่ ใจจะรู้สกึ ไม่สบาย ใจเปน็ ทุกข์ ใจเรายดึ กบั อะไรสิง่ ใด สำ� คญั มน่ั หมายมากนอ้ ย ในบางครง้ั จติ ดี บางทกี ร็ า้ ย ขนึ้ ลงตามเหตปุ จั จยั กบั ส่งิ เหล่านน้ั ไปเร่อื ย แกว่งตลอดเวลา แกวง่ ไปตามอารมณ์ มีมากกแ็ กวง่ มาก มีน้อยก็แกว่งน้อย เมื่อไม่มีเหตุปัจจัยอะไร จิตไม่กระเพ่ือมไหวตามสิ่งท่ีมา กระทบ บุคคลบางคนยังติดจมอยู่กับความรู้สึกนึกคิดต่างๆ เพราะว่าความ หลงเข้ามาในใจท�ำให้ไมเ่ ข้าใจสภาพธรรมตามความเปน็ จรงิ จึงแบกรับความ ทุกข์ไวใ้ นจติ ใจอยา่ งมากมาย 82

““ การปฏบิ ตั วิ ปิ ัสสนากรรมฐาน คอื การรูเ้ ท่าทนั ความเป็นจรงิ แตล่ ะขณะ ไม่ ว่าจะเป็นรูปนามหรือกายใจ อารมณ์ ภายในหรืออารมณ์ภายนอก เข้ามาทาง ตา หู จมูก ลนิ้ กายใจ 83

อยา่ ตัดพอ้ จงเพียรต่ออยา่ งเท่าทนั บางคนเม่ือประสบกับความทุกข์มักจะตัดพ้อกับตนเองเสมอๆ ว่า ท�ำไมหนอ เราจึงทกุ ข์แล้วทุกข์อีกจำ� เจซำ้� ซาก จรงิ ๆ แล้ว จติ ใจกำ� ลังหาเหตุ หาผลใหก้ บั ตวั เอง ในบางครง้ั ยง่ิ หาไป ใจยง่ิ ตบี ตนั เพราะจติ ใจทะเยอทะยาน ออกไปคดิ เรอ่ื งโนน้ เรอื่ งน้ี ความทกุ ขจ์ งึ เกดิ ขนึ้ ไดแ้ บบงา่ ยๆ เกดิ ขน้ึ ไมย่ ากเลย บางทีจะดับทุกข์ เหมือนดับยากดับเย็น จริงๆแล้วทุกข์เองเกิด-ดับเป็นปกติ เกิดมาปุ๊บก็ดับไปปั๊บ แต่เราไม่เห็นการเกิดดับของสภาพธรรมเหล่าน้ัน เมื่อ ไม่เห็นสภาพธรรมเหล่านั้นตามความเป็นจริง จิตจึงยึดม่ันถือม่ันส่ิงเหล่าน้ัน การปฏิบัตจิ งึ คอ่ ยเป็นคอ่ ยไป พยายามเอาในใจ กายใจของเรา เดนิ นั่ง สลบั กนั อิริยาบทใหญ่ อริ ยิ าบถยอ่ ย พยายามฝกึ ปฏิบตั ิ พยายามขดั เกลาจติ ใจตัว เองใหด้ ขี น้ึ บางครง้ั จติ ใจขนุ่ มวั วติ กทกุ ขร์ อ้ น เรอื่ งนนั้ นบี้ า้ ง เปน็ เรอื่ งธรรมดา บางคร้งั บางคราวกไ็ ม่วิตกทกุ ข์รอ้ นอะไร แต่ต้องร้ใู ห้ทนั เวลาดกี ็อย่าไปยึดไว้ ไม่ดีกอ็ ย่าไปยึดไว้ บางคร้งั อยากผลักออกไปให้ไกล แตเ่ หมอื นยง่ิ ยึดไว้ยงิ่ ติด เกาะในใจ จนสลดั ไมพ่ น้ จากสงิ่ เหลา่ นี้ ถา้ ไมป่ ฏบิ ตั จิ ะไมร่ ู้ พอปฏบิ ตั ถิ งึ รวู้ า่ เปน็ แบบน้ัน แบบนี้ เปน็ ส่ิงทเี่ กดิ ขนึ้ มา บางคร้งั ส่ิงท้งั หลายไม่สามารถตอบสนอง ความตอ้ งการของเราไดท้ งั้ หมด ความอยากมี อยากเป็น ทำ� ใหจ้ ติ ใจเป็นทุกข์ นนั่ เอง พยายามอดทนเมอ่ื มีโอกาสประพฤตปิ ฏบิ ัติ อะไรตอ่ มิอะไร บางครง้ั มันก็เปลี่ยนแปลงไปเร่อื ย ไปเรอื่ ย มันไม่ไดค้ งท่ี ในเมื่อสงิ่ น้นั ไม่คงที่ เราจะไป ยดึ มน่ั ถอื มนั่ กล็ ำ� บาก เพราะมนั ไมไ่ ดเ้ ปน็ ไปตามอำ� นาจของเรา มนั เปน็ ไปตาม อำ� นาจของเหตปุ ัจจยั เมื่อมันเปน็ แบบนก้ี ็ลำ� บาก พอยึดถือกล็ ำ� บาก รูส้ กึ วา่ 84

ทนยาก หรือบางคร้งั ทนไม่ไหว มีอันต้องเป็นไปแบบนั้น อยไู่ ดไ้ ม่ตลอด บาง คนทนได้ บางคนอ้างโนน่ อ้างนี่ โทษโนน้ น่ี ทุกอยา่ งเปน็ ไปตามเหตปุ ัจจยั ไม่ ไดข้ น้ึ ตรงตอ่ ใคร เมอ่ื ทนไมไ่ หวใจจงึ ถกู บบี บงั คบั ทำ� ใหเ้ ราทนอยใู่ นสถาพเดมิ ไมไ่ ด้ ฉะนน้ั ในสว่ นนจ้ี งึ ตอ้ งอดทน พากเพยี รพยายามไป ทนี ก้ี ารทเี่ ราอยใู่ น ท่ปี ระพฤติปฏบิ ตั ิ นักปฏบิ ตั ิ กินให้น้อย หรอื พดู ให้น้อย นอนให้น้อย ปฏบิ ตั ิ ใหเ้ ยอะๆ คำ� วา่ น้อยไม่ไดห้ มายความว่า จะไมพ่ ดู ไมค่ ยุ พูดได้เฉพาท่สี ง่ สอบ อารมณ์การปฏบิ ัติ ซง่ึ เป็นทางออกทีเ่ หมาะสม เมื่ออยูใ่ นคอร์สกรรมฐาน ถา้ เราไปพดู คุยกันเองย่งิ จะท�ำใหใ้ จฟ้งุ ซา่ น ไม่อยกู่ บั ร่องกบั รอย อยา่ งสมัยกอ่ น พระทา่ นสนทนากนั ในเรอ่ื งตา่ งๆ มากมาย อนั ไมไ่ ดเ้ ป็นไปเพ่ือความดบั ทุกข์ ซึ่งพระพุทธเจ้าท่านว่าเป็น เดรัจฉานวิชา เร่ืองมันเคยเกิดข้ึนครั้งพุทธกาล สมัยหนึ่ง พระพุทธเจ้าของเราประทับอยู่วัดเชตวัน ซ่ึงอนาถบิณฑิกะเศรษฐี สร้างถวาย วันน้ันภิกษุไปบิณฑบาต หลังเสร็จภัตตาหาร ได้สนทนากัน อยู่ ในโรงธรรม โดยสนทนากันด้วยเรื่องของพระราชาบ้าง ของพระราชินีบ้าง เรื่องของบุรุษ สตรี เร่อื งของบา้ นเมอื ง เรอื่ งของโลกียวสิ ยั ตา่ งๆ คุยกนั เรือ่ ย ไป พระพุทธเจา้ เสด็จเขา้ มา แลว้ นั่งบนพุทธอาสน์ จากนั้นถามภกิ ษวุ า่ กำ� ลงั สนทนากนั ดว้ ยเรอ่ื งอะไร คอื สนทนาคา้ งไว้ ภกิ ษเุ หลา่ นน้ั กราบทลู พระผมู้ พี ระ ภาคเจ้าวา่ ข้าพระพทุ ธเจ้ากำ� ลังสนทนากนั ค้างไว้ เรื่องพระราชา บ้านเมือง เรื่องโจร เรื่องสตรี เป็นตน้ พระพทุ ธเจ้าทา่ นเลยบอกวา่ ภกิ ษุทง้ั หลาย สงิ่ ท่ี เธอทง้ั หลายสนทนากนั อาจจะไมเ่ หมาะกบั เพศบรรพชติ หรอื เพศแหง่ สมณะใน พระพุทธศาสนา เธอท้งั หลายถา้ หากจะพดู คยุ ก็ควรจะพดู คุยด้วยค�ำพูด หรอื คำ� กลา่ วทเ่ี น่ืองดว้ ยวัตถุ ๑๐ ประการ นี้ 85

กถาวัตถุ ๑๐ ๑.อัปปิจฉกถา เร่ืองความมักน้อย ถ้อยค�ำท่ีชักชวนให้มีความ ปรารถนานอ้ ย เมอ่ื จะพดู กนั จะสนทนากนั ตอ้ งใหเ้ ปน็ ไปเพอื่ ความปรารถนา น้อย ไม่ได้สนทนาเพื่อปรารถนาอันใหญ่ ปรารถนาอยากจะเป็นโน่นเป็นน่ี อยากจะครอบครองส่ิงนั้นส่ิงนี้ ผู้บวชในพระพุทธศาสนาให้เป็นผู้ท่ีมีความ ปรารถนาน้อย คือ ปรารถนาท่จี ะลดละวาง ภาระอนั หนกั ต่างๆ แล้วมงุ่ ชำ� ระ ขดั เกลาจติ ใจ ในทางทจ่ี ะทำ� ใหก้ เิ ลสลดลง ถา้ มกี เิ ลสความปรารถนากจ็ ะมาก ขนึ้ ตามกำ� ลังกิเลส อยา่ งปรารถนารปู ก็เพียงไมใ่ ชร่ ปู ธรรมดา อยากจะได้รปู สวยๆ ปราณตี หรอื เสยี งเหมอื นกนั เสยี งมนั เพราะกวา่ นน้ั ดกี วา่ นี้ ปรารถนา อยากจะให้ใหญ่ไปเรือ่ ย ปรารถนาท่จี ะไดด้ มกลน่ิ หอมๆ ไปเร่อื ยๆ ลิม้ รส ก็ อยากจะไดล้ มิ้ รสเรอื่ ยๆ อยากไดอ้ าหารทมี่ รี สเลศิ หรอื ปรารถนาทจี่ ะถกู ตอ้ ง สมั ผสั ด้วยความปราณีตนุ่มนวล ออ่ นโยนเป็นท่ีพึงพอใจ ไปเรื่อยไมจ่ บ เป็น ผู้ทม่ี ีความปรารถนามาก แตพ่ ระพุทธเจา้ สอนวา่ เม่อื สนทนาจงสนทนาเพ่อื ความปรารถนาอันน้อย ๒. สันตุฏฐิกถา สนทนาเรือ่ งความสนั โดษ ท่านสอนให้ ภกิ ษทุ ้งั หลายว่าพดู กันหรอื สนทนาในเรอ่ื ง ของความสันโดษ คอื ปรารถนานอ้ ย คือ ยนิ ดพี อใจ ในปจั จยั ๔ อยา่ งเชน่ จวี ร อาหารบณิ ฑบาต เสนาสนะ คลิ านเภสชั พอใจตามทไ่ี ดม้ า สนั โดษไมท่ ะเยอทะยานมาก พอใจในปจั จยั ๔ ตามมตี ามได้ หรอื พอใจเสนาสนะ สนั โดษในทอี่ ยทู่ อ่ี าศยั พอใจกบั เสนาสนะทต่ี นไดร้ บั ถา้ ไม่ สนั โดษ มกั นอ้ ย กอ็ ยากจะไดเ้ สนาสนะทด่ี ๆี คำ� วา่ ดๆี อาจจะใหญโ่ ต หรอื วา่ มี 86

ความวจิ ติ รอลงั การ อนั นนั่ กไ็ มพ่ อใจอยกู่ ระทอ่ มหรอื กลด หรอื ไมพ่ อใจทเ่ี รอื น ว่างแลว้ ใหส้ นทนากนั ในทำ� นองที่เปน็ ผู้ท่สี นั โดษ เมอื่ พอใจในสงิ่ ท่มี เี ท่ากบั เปน็ เศรษฐอี ยใู่ นตวั รวยตลอด รวยเพราะความพอใจ ถา้ คนเราไมร่ จู้ กั พอ ไมร่ ู้ จักพอใจในส่ิงทีต่ ัวเองมีอยู่ จนตลอด มเี ท่าไหร่กย็ งั ต้องเปน็ คนจนตอ่ ไป แต่ พระท่านบอกว่า สนทนากันเรื่องนแ้ี ล้วเหมอื นเป็นคนอ่ิม คนเต็ม คนรวย อยู่ กรดก็เหมือนอยปู่ ราสาท อยู่เรือนวา่ งก็เหมอื นอยู่เรอื นยอด อนั นี้ต้องสนทนา กันในเรอื่ งให้ตวั เองสนั โดษ เมอ่ื ไมร่ จู้ ักสันโดษ เราจะเปน็ ผทู้ ที่ ะเยอทะยาน มี ความจนอยใู่ นหวั ใจตลอดเวลา เหมอื นคนหวิ กระหาย เหมอื นคนจะลม้ ละลาย หรอื จะตายตลอดเวลา เพราะไมม่ คี วามสนั โดษในใจ มเี ทา่ ไหรก่ ไ็ มพ่ อ ถา้ มตี วั น้ี คยุ กนั ท�ำนองนี้ ก็จะเกิดการชักจงู หรอื ชกั ชวนไปในทางสันโดษ ๓. ปวเิ วกกถา สนทนาพดู คยุ ในเรอ่ื งความสงดั ถอ้ ยคำ� ทชี่ กั นำ� ให้ มีความสงัดกายใจ คอื สอนใหอ้ ยูใ่ นท่สี งบ สงัด ถา้ เราอยใู่ นท่ีผู้คนพลกุ พล่าน มีงานกิจกรรม มรี ้องร�ำทำ� เพลงตลอดเวลา คงไมเ่ ป็นอนั ภาวนาเท่าไหร่ กำ� ลงั จะพองหนอ ยบุ หนอ อยู่ดๆี มีงานมีกจิ กรรม นู่นนี่อยูเ่ รือ่ ย มกี ิจกรรมท่ีมนั ไม่ เออ้ื ตอ่ การประพฤติปฏบิ ตั ิ วัดวาอารามต่างๆ มกี ารสวดกิจกรรมตา่ งๆ มคี น เยอะๆ ก็ทำ� ใหส้ บั สน แตพ่ อไม่มคี นกเ็ งยี บสงดั เป็นสัปปายะ แตบ่ างชว่ งไม่ สัปปายะ เพราะกิจกรรมมันมาก ก็ไม่เป็นอันภาวนามีงานมาก อันนี้ต้อง สนทนากนั คอื ทำ� ยงั ไงจะทำ� ใหส้ ภาพแวดลอ้ มมนั สงบสงดั หรอื ใหจ้ ติ เรา เกดิ กายวเิ วก ทำ� ใหจ้ ติ สงบ ทำ� ยงั ไงใหเ้ กดิ การหมดกเิ ลส สงบจากกเิ ลส คอื สนทนา กัน พดู กันไปในท�ำนองนั้น ๔. อสังสัคคกถา การพูดคุยสนทนาด้วยถ้อยค�ำท่ีชักน�ำให้ไม่ คลุกคลีในหมู่คณะ ต้องพูดต้องคุยกันถึงอานิสงส์ประโยชน์ที่ไม่คลุกคลีด้วย หมู่คณะ เมื่อท�ำความเพียรต้องเว้นจากหมู่คณะ ต้องหลีกออก เมื่ออยู่ร่วม 87

กันมักพูดด้วยเร่ืองที่ไม่ก่อให้เกิดความเพียร บางท่านสรรเสริญผู้ท่ีอยากจะ หลุดจะพ้น ถ้าจะสนทนาก็สนทนาที่เราหลีกออกจากหมู่ อย่างเรามาปฏิบัติ การหลีกออกจากหมู่ การอยู่ในหมูก่ เ็ หมือนหลีกออกจากหมู่ คือให้สัจจะกับ ตัวเอง ต่างคน ต่างเดิน ตา่ งนั่ง ตา่ งก�ำหนด เรียกวา่ ปลกี วเิ วกออกมา แล้วก็ หลีกออกจากหมู่คณะไม่พูดคุยกัน ไม่จับกลุ่มสุมหัวกัน ต่างคนต่างก�ำหนด เวลาเราปฏบิ ตั กิ ไ็ มพ่ ดู คยุ บางคนกน็ ง่ั สมาธไิ มไ่ ดค้ ลกุ คลดี ว้ ยหมคู่ ณะ เวลาลง ปาฏโิ มกข์ ในทกุ ก่งึ เดือนไม่มีกิจอันใดพเิ ศษ กไ็ มต่ อ้ งแจง้ โนน่ นใี่ ห้มากความ มุ่งไปทก่ี ารปฏิบตั ิ คือ ท�ำสภาพแวดลอ้ มใหเ้ ออื้ กบั คนมาปฏบิ ัติ สำ� หรบั พระ สงฆ์ รปู ใดตัง้ อกตง้ั ใจประพฤติปฏบิ ัติ กอ็ ยู่กับตัวเองทั้งวัน เดนิ นั่ง นอน กนิ ดื่ม ไม่ว่าจะไปหรือกลับ จะอยู่ในห้องกรรมฐานหรือไม่อยู่ในห้องกรรมฐาน ห้องน้�ำ หอ้ งนอนเหมอื นอยูค่ นเดียวเลย ไม่ไดค้ ลกุ คลีกับหมู่คณะ แต่คลกุ คลี กับธรรมะ ถ้าเราพูดคุยก็ตอ้ งพูดคยุ ไปในทางธรรมะท่มี นั กอ่ ใหเ้ กดิ ประโยชน์ แกก่ ารปฏบิ ัตธิ รรม ซึ่งจะท�ำให้กา้ วหน้าในทางประพฤติปฏิบัติย่ิงข้ึน ๕. วริ ยิ ารมั ภกถา พดู คยุ กันด้วยเรอ่ื งความเพยี ร ท�ำอยา่ งไรจะ เพยี รระวงั ไมใ่ หก้ เิ ลสเข้ามาทาง ตา หู จมกู ล้นิ กาย ใจ ตอ้ งระวงั กำ� หนด ตา หู จมูก ลนิ้ กาย ใจ ทำ� อย่างไรเมื่อเขา้ มาแล้ว จะเอามันออกได้ จะตอ้ งละมัน ออก ใหส้ ังวรณ์ระวงั กเิ ลสไมใ่ หก้ ิเลสเขา้ มา ทม่ี อี ย่กู ต็ อ้ งเพยี รเอาออกให้หมด ไป เมอื่ จำ� เปน็ ตอ้ งพดู คยุ ตอ้ งชกั ชวนใหภ้ าวนา ในการทำ� บอ่ ยๆ ดว้ ยความเพยี ร เพ่ิมข้ึน ภาวนาแล้วภาวนาอีก เดินน่ังสลับกัน อิริยาบทใหญ่ อิริยาบทย่อย หรอื อายตนะภายในภายนอก พอกระทบกนั กต็ อ้ งกำ� หนด แนะน�ำชักชวนกนั ก็จะไม่หา่ งธรรม ไม่ห่างการปฏิบตั ิ หรือสนทนากนั ด้วยความเพียรรักษากศุ ล ให้สงั่ สมคณุ งามความดีเอาไว้ ให้เจรญิ กศุ ล อกศุ ลจะไดเ้ สื่อมไป ๖. สีลกถา ก็คือ พูดคุยในเรื่องศีล สีลกถา เป็นพระก็มี ๒๒๗ 88

ข้อ ภิกษุณี ๓๑๑ ข้อ ญาติโยมทว่ั ไปมี ศีล ๕ ผู้ทอี่ ยู่ใกล้ชดิ พระรัตนตรัยมาก ขึ้น กม็ ีศลี ๘ หรือว่าแมช่ ถี ือศีลอุโบสถ บางคนก็ถอื ตลอดชวี ิต อนั น้คี อื ศลี ๘ สามเณรศลี ๑๐ คยุ กนั เรอ่ื ง สลี กถา กจ็ ะไมอ่ อกนอกลนู่ อกทาง จะอยใู่ นธรรม วนิ ัย ประพฤติปฏิบัตไิ ด้ เหตจุ ูงใจใหเ้ ราปฏิบัติอย่ใู นศีล จะเป็นปจั จัยเก้ือกลู แก่การปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน ๗. สมาธิกถา ถ้อยคำ� ท่ชี กั นำ� ให้จติ ต้งั มัน่ ขณกิ สมาธิมีก�ำลังช่วั ขณะ เมอื่ ทำ� ตดิ ต่อต่อเน่อื งกจ็ ะมีก�ำลังมากขน้ึ พอๆ กบั อุปาจารสมาธิ สมาธิ ในขน้ั สงู อนั นนั่ กค็ อื การสนทนา ในเรอ่ื งของสมาธหิ รอื สมาธทิ เ่ี ปน็ โลกยี สมาธิ กต็ อ้ งพยายามพฒั นา เปน็ โลกตุ ตรสมาธิ จะทำ� อยา่ งไรจะเกดิ ญาณ ปญั ญาละ สมทุ ัยเหตุเกิดทกุ ข์ ทำ� นิโรธให้แจ้ง ทำ� มรรคมอี งค์ ๘ ให้เจริญจะไดป้ ระโยชน์ มากย่งิ ขึน้ ๘. ปัญญากถา สนทนากันด้วยเร่ืองปัญญาท�ำยังไง ถึงจะตัด โลภะ โทสะ โมหะ ต้องเจริญวิปัสสนากรรมฐานกันต่อไป ถ้าไม่เจริญก็จะ ท�ำให้ อนสุ ยั กเิ ลสงอกงามขน้ึ ดังน้นั ตอ้ งพูดชักน�ำใหเ้ กดิ ปัญญา เม่ือสนทนา กนั ในทางทจี่ ะกอ่ ใหเ้ กดิ ปญั ญาอยา่ งนี้ จดั อยใู่ นกรอบของการประพฤตปิ ฏบิ ตั ิ ๙. วิมตุ ตกิ ถา สนทนาในเรอ่ื งการหลดุ พน้ การหลุดพ้นกม็ แี บบ ชวั่ ขณะทีเ่ ราปฏบิ ตั ิกัน หลดุ พ้นมากขน้ึ หนอ่ ย ด้วยกำ� ลังของญาณ หรอื หลุด พ้นโดยเด็ดขาด คือ โสดาบันถึงพระอรหันต์ วิมุตติ หรือความหลุดพ้นด้วย ความสงบ มกี รอบในการสนทนา จะอุดหนนุ เกื้อกูลแก่การปฏบิ ตั ธิ รรม ๑๐. วมิ ตุ ตญิ าณทัสสนกถา เรือ่ งความรคู้ วามเหน็ ในวิมุตติ ถอ้ ยคำ� ทชี่ กั นำ� ใหส้ นใจ และเขา้ ใจเรอ่ื งความรใู้ นภาวะทหี่ ลดุ พน้ จากกเิ ลสและ ความทกุ ข์ เปน็ เรอ่ื งของผทู้ หี ลดุ พน้ จะสนทนากนั เรอ่ื งผลญาณ เปน็ เรอ่ื งของ อรยิ บุคคลกว็ ่ากนั ไป หรอื ถา้ ปถุ ชุ นกอ็ าจจะเคยได้ยนิ ไดฟ้ งั มาพูดกนั ฟงั กัน 89

เปน็ แรงจงู ใจเพื่อจะได้เสวย วมิ ตุ ติญาณทสั สนะ ความรูแ้ จง้ เห็นจรงิ ในญาณ ทัสสนะ น้ีคือสิ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสกับภิกษุในครั้งกระนู้น เพ่ือวางกรอบใน การพูดคุย เพื่อก่อให้เกิดประโยชน์แก่ผู้ปฏิบัติธรรม ท่ีมุ่งหวังความหลุดพ้น จากกิเลสและความทุกข์ พระพุทธเจ้าท่านไม่ได้ไปสนทนาเร่ืองสงครามโลก จะเกดิ ขนึ้ เมอ่ื ไหร่ อนั นัน้ เปน็ เดรัจฉานวชิ า มนั เปน็ เร่อื งของโลก หรอื ว่า บ้าน น้ีเมืองนี้จะเป็นยังไง เป็นเรื่องของโลก เดรัจฉานวิชา แต่เราสนทนากันด้วย เรอ่ื งการปรารถนานอ้ ย ความสนั โดษ มกั น้อย ความยนิ ดีในวเิ วกในทีอ่ ันสงดั รู้จักหลีกออกจากหมู่คณะ ปรารภความเพียร คุยกันเร่ืองศีล สมาธิ ปัญญา เรื่องความหลุดพ้น เรื่องญาณที่ท�ำให้เราหลุดพ้นจากกิเลสอาสวะ การหลุด พ้นอย่างแท้จริง ตรสั กับพระ ฉะนั้นคำ� ว่าคุยน้อยไมไ่ ด้หมายความวา่ ไม่ไดใ้ ห้ คุยเลย ถ้าจำ� เป็นต้องคุยก็คยุ แบบนี้ จติ จะไมส่ ่งออกนอก ถ้าคุยเร่ืองโลก มนั กอ็ ยากจะออกไปสวยๆ เสียงเพราะๆ มันก็อยากจะไปสัมผสั อยากไปลมิ้ ลอง ดู เปน็ ธรรมดา ความก�ำหนดั ยินดจี ะตามมา ถา้ จิตเรานอ้ มนึกถึงเร่ืองเหล่าน้ี จะเป็นไปเพอื่ การบรรลธุ รรมข้ันสงู สุด คอื นิพพาน ฉะน้นั โยคี โยคาวจรทงั้ หลายตอ้ งพยายาม ถา้ เรามุ่งมาทางนี้ เมื่อไม่ จำ� เปน็ อยา่ พดู คยุ กนั เมอ่ื จำ� เปน็ กส็ นทนากนั ในกถาวตั ถุ ๑๐ ประการ กศุ ลจะ เจริญ อกศุ ลจะเส่อื ม ถ้าเราสนทนาในเรอื่ งเดรัจฉานวชิ า อกุศลจะเจริญ กุศล จะเสื่อม จึงควรหลีกเลี่ยง ตอนประพฤตปิ ฏบิ ัติ ท่านถึงบอกวา่ หา้ มพดู คุย งด พดู หรอื ปดิ วาจา เพอ่ื ใหอ้ ยกู่ บั ตวั เอง พอเขา้ ใจแลว้ กจ็ ะรวู้ า่ เปน็ แบบน้ี มนั จะ ฟุ้งซา่ น คยุ มาก เอาเรอื่ งทีค่ ยุ มาคดิ ตอ่ มาปรุงแตง่ ไดอ้ ีกหลายวัน กวา่ แต่ละ เร่ืองจะจบนักปฏิบัติจะยิ่งสับสนไปใหญ่ เพราะใจออกนอกหรือเตลิดไปไกล กวา่ จะตามกลับมา 90

““ การประพฤตปิ ฏบิ ตั ิ บางช่วง อยา่ ไปเครยี ดกบั มนั มาก บาง ครัง้ ไม่ได้อย่างใจเรา อย่าไป ยึดถือให้มากปล่อยไปบา้ งจะ ไดม้ ีกำ� ลงั ใจท�ำต่อ 91

ประวตั ิ พระครูภาวนาวราลังการ ว.ิ (สมศักด์ิ โสรโท) ดช. สมศกั ดิ์ วลิ ัย จำ�พรรษา ณ - จำ�พรรษา ณ วัดนาควชิ ยั ถอื กำ�เนดิ ณ บ้านหนองศรีทอง วัดราษฎร์ผดุงธรรม จังหวัดมหาสารคาม ตำ�บลโพธไิ์ ชย อำ�เภอพนมไพร บา้ นตะลุมพกุ ตำ�บลหนองไม้งาม จงั หวดั ร้อยเอ็ด เปน็ บุตรคนท่ี ๑ อำ�เภอบา้ นกรวด - สำ�เร็จการศกึ ษาปรยิ ตั ิ ในจำ�นวน ๖ คน ของนายเลอีื น สามัญบาลี มัธยมศึกษาปีที่ ๖ จังหวัดบรุ ีรัมย์ ตามหลกั สตู รบาลสี าธิตศกึ ษา และนางออ้ ย วิลยั มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลัย จากวัดอภสิ ทิ ธ์ิ (วัดกลาง) ปี พ.ศ. ๒๙ ๒๕๒๗ - ๒๕๒๘ ๒๕๒๗ - ๒๕๒๘ ตุลาคม ๒๕๐๖ ๒๕๒๘ - ๒๕๓๐ ๑๒ พฤษภาคม ๒๕๒๗ อปุ สมบท ณ วดั โคน - จำ�พรรษา ณ วัดใหม่อัมพร อำ�เภอประโคนชยั จงั หวัดบุรีรมั ย์ อ.สูงเนิน จ.นครราชสมี า โดยมที ่านพระครบู รหิ ารกิจโกศล - สำ�เรจ็ การศกึ ษาปรยิ ัตสิ ามัญ เปน็ พระอุปชั ฌาย์ เทียบเท่ามัธยมศึกษาปที ่ี ๓ และ อดตี เจ้าคณะอำ�เภอบา้ นกรวด นักธรรมโท นักธรรมเอก เจา้ อาวาสวัดโคน ตามลำ�ดับ

จำ�พรรษา ณ สำ�นกั วปิ สั สนาวิเวก จำ�พรรษา ณ สำ�นกั สงฆส์ มมิตร- อาศรม อำ�เภอเมือง จงั หวดั ชลบรุ ี ทา่ น ปราณี อำ�เภอบ้านบึง จังหวัดชลบรุ ี ท่านเดินทางกลบั เมืองไทยเพอ่ื อุปฏั ฐาก เรม่ิ ปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน โดยมี ดูแลหลวงพอ่ ใหญอ่ ย่างใกล้ชดิ สอน ครบู าอาจารยอ์ งคแ์ รกคือ ดร. วิปสั สนากรรมฐาน และยังได้รับภารธุระ ดำ�เนินการกอ่ สรา้ งวัดภัททันตะอาสภา- พระอาจารย์ ภทั ทันตะอาสภมหาเถระ ราม เพ่ือเป็นอนสุ รณ์แด่หลวงพอ่ ภทั ธมั มาจรยิ ะ อคั รมหากัมมัฏฐานาจริย (หลวงพ่อใหญ)่ จนกระทง่ั เป็นผ้ชู ว่ ย ทันตะอาสภมหาเถระ หลวงพอ่ ใหญส่ อนวิปัสสนากรรมฐาน สอบอารมณ์โยคี และเปน็ พระ วปิ สั สนาจารย์ในกาลตอ่ มา ๒๕๓๗ - ๒๕๔๑ ๒๕๔๓ - ๒๕๔๔ ๒๕๓๓ - ๒๕๓๗ ๒๕๔๑ - ๒๕๔๓ - จำ�พรรษา ณ วดั อมรครี ี จำ�พรรษา ณ ประเทศ กรุงเทพมหานคร สหรฐั อเมรกิ า ในฐานะพระธรรม ทูตเพ่อื ไปเผยแผง่ านวปิ สั สนา - สำ�เรจ็ การศกึ ษาปริญญาตรี พทุ ธศาสตรบัณฑิตเกยี รตนิ ยิ ม กรรมฐานให้แกช่ าวไทยและ สาขาหลักและวธิ ีสอนสงั คมศึกษา ชาวต่างชาติ มหาวิทยาลัยมหาจฬุ าลงกรณ ราชวทิ ยาลยั

ประวตั ิ (ตอ่ ) - ไดร้ บั สมณศักด์ิ พระครูภาวนาวราลงั การ จำ�พรรษา ณ วัดภัททนั ตะอาสภาราม เจา้ อาวาสวดั ราษฎร์ ชั้นโท อำ�เภอบา้ นบงึ จังหวดั ชลบุรี ท่านไดร้ ับการ ฝ่ายวปิ สั สนาธรุ ะ (จร.ชท.วิ) แตง่ ต้งั ใหเ้ ปน็ เจ้าสำ�นกั วิปสั สนาสมมิตร-ปราณี และเจ้าอาวาสวัดภัททนั ตะอาสภาราม เพอื่ ปฏิบัติ - ได้รับรางวลั พุทธคุณปู การ ภารกิจในหนา้ ท่ีพระวปิ สั สนาจารยแ์ ทนหลวง ประเภทรชั ตเกียรตคิ ุณ จากคณะ พ่อใหญ่ จนกระท่งั เปน็ พระอาจารยใ์ หญ่ฝ่าย กรรมาธกิ ารศาสนา ศิลปะและ วิปัสสนาธุระของวดั ภทั ทันตะอาสภาราม วฒั นธรรม สภาผ้แู ทนราษฎร ๒๕๔๔ - ปัจจบุ นั ๒๕๕๓ ๒๕๕๒ ไดร้ บั รางวัลเสาเสมาธรรมจกั ร ประเภทการสง่ เสรมิ การปฏบิ ตั ิธรรม

สถานภาพปัจจุบนั - เจา้ อาวาส และพระอาจารย์ใหญฝ่ า่ ยวปิ ัสสนาธรุ ะ วดั ภทั ทนั ตะอาสภาราม - พระวปิ ัสสนาจาย์ - พระธรรมทตู สายตา่ งประเทศรุ่นที่ ๔ - พระวปิ สั สนาจารย์ผู้ให้การอบรมดา้ นวิปัสสนา แก่พระธรรมทตู สายต่างประเทศ - พระวิปสั สนาจารย์ผใู้ ห้การอบรมพระนิสติ จากมหาวทิ ยาลยั มหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลัย และประชาชนทั่วไปทง้ั ชาวไทยและชาวตา่ งชาติ

กระแสนำ�้ เปล่ียนใจปลา วิปัสสนาเปล่ยี นใจคน

\" ทุกขณะทโี่ ยคกี ำ� หนดรู้ ความรนู้ จี้ ะขจัดความมดื บอด สงั หารอวชิ ชา ทำ� ลายสงั โยชน์ ตัดสังโยชน์ได้อย่างคอ่ ยเปน็ ค่อยไป จนกระทงั่ สามารถประหารกิเลสได้อยา่ งเดด็ ขาด ละได้โดยเดด็ ขาด \"พระครภู าวนาวราลังการ ว.ิ (สมศักด์ิ โสรโท)


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook