90 ของน้าในทะเลสาบแต่ละช่วงแตกต่างกนั ส่งผลให้ลักษณะทางนิเวศวิทยาของทะเลสาบสงขลามีความ ซับซ้อนกว่าปากแม่น้าหรือทะเลสาบทั่วไปลมเป็นท่ีมาของความอุดมสมบูรณ์ในทะเลสาบ ทาให้เกิด การไหลเวียนระหว่างน้าในทะเลสาบและอ่าวไทย ลมจึงเป็นปัจจยั สาคัญที่ทาให้เกิดการเคลื่อนท่ีของ น้าในทะเลสาบ ลมที่มาจากทางทิศตะวันออก ได้แก่ ลมว่าว (ตะวันออกเฉียงเหนือ) ลมนอก (ตะวันออก) ลมอุตรา (ตะวันออกเฉียงใต้) และลมเพา (ตะวันออกเฉียงใต้) ทาให้กระแสน้าเค็มจาก อา่ วไทยไหลเข้าสู่ทะเลสาบ โดยแบ่งออกเป็น 2 รอบ คือ รอบแรก ลมว่าวในช่วงเดือนสิบเอ็ดถงึ เดือน สิบสอง และช่วงปลายเดือนยี่ สาม ส่ีลมท่ีพัดน้าลง นอกจากลมจะส่งผลให้เกิดน้าข้นึ น้าลงแล้ว ยังทา ให้น้าเค็มและนา้ จดื ผสมเข้าด้วยกัน ในช่วงเดือนหก เดือนเจ็ด ฝนตกมาตีให้น้าเป็นน้ากรอ่ ย เดือนเก้า เดือนสิบ ฝนตก น้าจากลาคลองสายต่างๆ ไหลลงสู่อ่าวไทย สัตว์น้าจะว่ายทวนน้ามาผสมพันธ์ุและ วางไข่ 1.2 ชาวบา้ นมคี วามเชี่ยวชาญในการทานา ชมุ ชนโดยรอบทะเลสาบสงขลาบริโภคข้าวเป็นอาหารหลัก และเร่มิ ต้นการต้ังชุมชน ด้วยการทานา จนเป็นแหล่งเพาะปลูกข้าวท่ีสาคัญของภาคใต้ ขยายจากการผลิตเพื่อบริโภคใน ครัวเรือนหรือแลกเปลยี่ นการสินค้าอ่ืนตามความจาเป็น เปน็ แหล่งผลิตข้าวสง่ ออกในต่างประเทศ การ ทานาบริเวณนี้จึงมีอย่างกว้างขวาง ในอดีตทุกครัวเรือนล้วนทานาเป็นอาชีพหลัก แม้แต่ในชุมชนท่ี ตัง้ อยู่บนเขาหรือเนินควนก็ยังทานาไร่ คนในเขตที่ราบทาท้ังนาในที่ลุ่มและที่ดอน ชุมชนชายทะเลก็มี การทานาในทะเลสาบ กล่าวได้ว่าการทานาเป็นวิถีชีวิตของคนลุ่มน้าทะเลสาบสงขลามายาวนาน หลายร้อยศตวรรษ และมพี ฒั นาการ การส่ังสมภูมคิ วามร้สู ืบทอดต่อกนั มาอยา่ งต่อเนื่อง แรกเร่ิมในการตงั้ ชุมชนบ้านปากประมีที่มาจากการพิจารณาเห็นว่าท่ีดินบริเวณน้ีอยู่ใกล้ กบั แหลง่ น้าคือคลองปากประซ่ึงเอ้ือตอ่ การการทานา ชาวบ้านท่ีมาตั้งถิน่ ฐานในช่วงแรกเม่อื ประมาณ พ.ศ. 2460 ล้วนเป็นชาวนาท่ีขยายมาจากชุมชนข้างเคียง ต่อมาช่วงสงครามโลกคร้ังที่ 2 ซ่ึงรัฐ สนับสนุนให้หักร้างถางพงขยายพื้นที่ทานา และในช่วงปี 2518 ซึ่งชาวระโนดอพยพมาต้ังถิ่นฐานที่ บ้านปากประ ก็เป็นชาวนาด้ังเดิม กล่าวได้ว่าการเริ่มตั้งบ้านเรือนบริเวณน้ีเพ่ือการทานา และผู้คนใน ชุมชนแม้จะมาจากต่างถ่ินกันแต่ก็เป็นชาวนาทั้งส้ิน การทานาจึงเป็นอาชีพด้ังเดิมและเป็นส่วนสาคัญ ในวิถีชีวิตของชุมชน ปัจจุบันชาวบ้านปากประส่วนใหญ่ก็ยังคงมีอาชีพทานา ชาวบ้านปากประจึงมี ความเชี่ยวชาญในการทานา ซ่ึงผ่านการส่ังสอน ส่งต่อ สืบทอดจากรุ่นต่อรุ่นมาเป็นระยะเวลายาวนา ชาวนามีความเข้าใจอย่างดีในทุกกระบวนการทานาต้ังแต่การเลือกสรรที่ดิน การคัดเลือกเมล็ดพันธุ์ การเตรียมดิน การดูแลรักษา การเก็บเก่ียว ตลอดจนขั้นตอนการแปรรูป การส่ังสมภูมิความรู้เหล่าน้ี ผ่านการสังเกตและทดลองอย่างยาวนาน ทาให้ชาวนามีความ เข้าใจในกรรมวิธีการทานา สภาพแวดลอ้ ม และดนิ ฟา้ อากาศของชมุ ชนของตน จนเกดิ เป็นภมู ปิ ญั ญาการทานาในทะเลสาบ 1.3 ผลผลติ ขา้ วอนิ ทรีย์ เนื่องจากความอุดมสมบูรณ์ของดินและน้า การทานาในทะเลสาบของชุมชนปาก ประจึงไม่จาเป็นต้องใช้สารอนินทรีย์หรือปุ๋ยเคมีบารุงดินเพ่ิมเติม และการข้ึนลงของน้าทาให้ลด ศตั รพู ืช จึงไม่มีการใช้สารเคมีในการกาจัดศัตรูพืช ผลผลิตท่ีได้ปลอดสารพิษเน่ืองจากไม่จาเป็นต้องใช้ ปุ๋ยเคมีบารุงดิน การข้ึนลงของน้าทะเลช่วยชะล้างศัตรูพืชการทานาในทะเลสาบของชุมชนบ้านปาก ประ จึงจดั เปน็ เกษตรอนิ ทรีย์
91 การผลิตข้าวอินทรีย์คอื การที่ชุมชนเป็นผู้ดาเนนิ การผลติ ข้าวดว้ ยตนเองในทุกขนั้ ตอนเริ่ม ตั้งแต่การคัดเลือกเมล็ดพันธ์ุ เพาะปลูก บารุงรักษา เก็บเกี่ยว แปรรูปผลผลิต จนถึงการจัดจาหน่าย โดยเน้นการใช้ประโยชน์จากธรรมชาติ หลีกเลี่ยงการใช้สารเคมีและสารที่ผ่านกระบวนการสังเคราะห์ ทางเคมีทุกชนิดในทุกข้ันตอนการผลิต ตลอดจนการเก็บรักษาและการแปรรูปผลผลิต แต่จะมุ่งฟื้นฟู ดินให้มีความอุดมสมบูรณ์ด้วยวัสดุอินทรีย์ ป้องกันและกาจัดศัตรูพืชโดยอาศัยระบบตามธรรมชาติ เพื่ อ รั ก ษ าส ม ดุ ล ท างธ ร ร ม ช าติ อ ย่ างย่ั งยื น 2ซ่ึ งก าร ท าน าใน ท ะเล ส าบ ข อ งชุ ม ช น บ้ าน ป าก ป ร ะ มี กระบวนการที่เปน็ เกษตรอนิ ทรีย์ ดงั นี้ 1.3.1 การเพาะปลูก พื้นที่สาหรับปลูกข้าวอินทรีย์อยู่บริเวณห่างไกลจากพื้นท่ีที่มี การใช้สารเคมี ซึ่งพ้ืนทก่ี ารทานาในทะเลสาบและบริเวณโดยรอบไม่มกี ารตั้งโรงงานอตุ สาหกรรมหรือ การใช้สารเคมีใดๆ เหมาะสมกับการผลิตข้าวอินทรีย์ ในการปลูกข้าวอินทรีย์โดยท่ัวไปนิยมวิธีปักดา เพื่อลดปัญหาวัชพืช และจะไม่ปลูกข้าวแน่นจนเกินไปเพ่ือลดปัญหาโรคและแมลง แต่ชาวนาบ้านปาก ประไมต่ ้องประสบปัญหาเหลา่ นี้ เน่ืองจากดินมีความอุดมสมบรู ณ์ดมี ากไม่ต้องบารุงเพ่ิมเติม เมล็ดข้าว ท่ีหว่านลงไปเจริญงอกงามดีมาก อีกท้ังการขึ้นลงของกระแสน้าช่วยกาจัดวัชพืชและโรคจากแมลงไป ด้วย 1.3.2 การบารุงรักษา การบารุงรักษาข้าวอินทรีย์ยึดหลักเกณฑ์ การบารุงดินให้มี ความอุดมสมบูรณ์ โดยใช้ปุ๋ยตามธรรมชาติ การดูแลรักษาข้าวของชาวบ้านปากประบางส่วนเร่ิมมีใช้ นาปุ๋ยเคมี เพราะต้องการทานาขึ้นมาบนฝังซ่ึงดินไม่ใช่ดินโคลน ควรแก้ปัญหาด้วยการเพิ่มพ้ืนท่ีดิน โคลนเพื่อให้ผลผลิตคงเป็นเกษตรอนิ ทรยี ์ 1.3.3 การเก็บเก่ียว ในปัจจุบันชาวนาที่ทานาในทะเลสาบส่วนใหญ่ยังนิยมใช้เคียว และแกละ ซ่ึงเป็นวิถีการทานาแบบด้ังเดิมในการเก็บเก่ียวผลผลิต ทั้งท่ีใช้เวลานานและสิ้นเปลือง แรงงานในการเก็บเก่ียว แต่เนื่องจากการทานาในทะเลสาบเพียงเล็กน้อยต่อครัวเรือน จึงสามารถใช้ เวลาว่างจากงานอื่นมาเก็บเก่ียวได้ แต่ในอนาคตหากมีการขยายพื้นท่ีเพาะปลูก ผลผลิตต่อไร่เพิ่มขึ้น การนาเครอื่ งจักร เชน่ รถเก่ยี วนวดขา้ วมาใช้ จะชว่ ยประหยัดเวลาและแรงงานมากขึน้ 1.3.4 การแปรรูป ปัจจุบันบ้านปากประมีเคร่ืองสีข้าวขนาดเล็ก ซ่ึงได้รับการ สนับสนุนมาจากภาครัฐ เก็บรักษาโดยกรรมการหมบู่ ้าน แต่ไม่เป็นท่ีนิยมใช้กันมากนัก เน่ืองจากนิยม นาข้าวเปลือกท่ีได้จากการทานาในทะเลสาบไปสีร่วมกับข้าวท่ีปลูกในนาหลักมากกว่าเพราะมีความ สะดวกรวดเร็วกวา่ หากชุมชนเริ่ม 2. อุปสรรคและปจั จัยท่ีมผี ลกระทบต่อภมู ปิ ัญญา จากการลงพ้ืนท่ีภาคสนาม โดยสัมภาษณ์ พูดคุย และสังเกตอย่างไม่เป็นทางการ พบว่า ในช่วงภายหลงั ปี พ.ศ. 2530 เป็นต้นมา การทานาในทะเลสาบลดน้อยลงเป็นลาดับ และเริม่ กับมาฟื้น ตัวอีกครั้งในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา เนื่องจากการทานาในทะเลสาบควบคู่กับการทานาหลักอย่าง ต่อเน่ือง สถานการณ์การทานาในทะเลสาบแปรผันตามการทานาในนาหลัก ในช่วงท่ีชาวนาหันไป 2เดชา ศิริภัทร์, เส้นทางเกษตรกรรมย่ังยืน (สมุทรสาคร: บริษัทพิมพ์ดี จากัด, 2554), 106-110.
92 ประกอบอาชีพอื่น การทานาในทะเลสาบก็ลดลง เร่ิมมีความสนใจจากภายนอกมีการทานาใน ทะเลสาบมากข้ึน เห็นได้ว่าการทานาในทะเลสาบมีความเปลี่ยนแปลงตามสภาพการณ์ของสังคมอยู่ เสมอ ซึ่งเป็นปัจจัยท่ีมีผลต่อการอนุรักษ์ สืบสานภูมิปัญญาซึ่งแบ่งเป็นอุปสรรคที่เกิดข้ึนจากปัจจัย ภายในและปัจจยั ภายนอก มรี ายละเอียดดงั น้ี 2.1 ปจั จัยภายใน ปัจจัยภายใน เป็นปัจจัยซึ่งมีท่ีมาจากคนใน คือ ชาวบ้านที่ทานาในทะเลสาบเอง รวมถงึ ครอบครัวของชาวนา ซงึ่ มีผลกระทบตอ่ ภูมปิ ัญญาการทานาในทะเลสาบ ดงั น้ี 2.1.1 คนในชุมชนไม่ตระหนักถึงคุณค่าและความสาคัญของภูมิปัญญาเท่าที่ควร คนในชุมชนยังไม่ตระหนักถึงคุณค่าและความสาคัญของภูมิปัญญาเท่าที่ควร ในอดีตการทานาใน ทะเลสาบดารงอยูเ่ พือ่ เป็นแหลง่ ปลูกข้าวสารอง ทดแทน กรณีนาหลกั เสียหายจากภัยธรรมชาตหิ รือได้ ผลผลิตไม่ดีเท่าท่ีควร ผลผลิตจากนาในทะเลสาบสามารถใช้ยังชีพในครัวเรือนได้ โดยไม่ต้องซื้อข้าว จากภายนอก ส่วนในปัจจุบันกล่าวได้ว่าการทานาในทะเลสาบเป็นงานอดิเรกของชาวนาที่ทานาหลัก ควบคู่กันไป ผลผลิตท่ีได้ก็นามารับประทานในครัวเรือนเท่าน้ัน เจ้าของนาแต่ละท่อนก็ไม่ได้ทานา สมา่ เสมอทกุ ปี จะทาตามความสะดวกในแต่ละช่วงเวลาเท่านนั้ แต่เมื่อมองจากมุมมองภายนอกแล้ว การทานาในทะเลสาบเป็นสิ่งท่ีน่าสนใจอย่างย่ิง ท้ัง ในลักษณะที่เป็นภูมิทัศน์อันสวยงามแปลกตา เป็นภูมิปัญญาที่สะท้อนวิถีชีวิตชุมชนที่สามารถปรับตัว และประยุกต์ใช้ประโยชน์จากสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติใหเ้ กิดประโยชน์ได้สูงสุด อีกทั้งยังแสดงให้ เห็นถึงความสมดุลระหว่างสงั คม เศรษฐกิจ และธรรมชาติ นับเป็นภมู ิปัญญาอนั ควรค่าแก่การอนุรักษ์ สบื ทอดและเป็นความภาคภมู ใิ จอยา่ งยิ่งของชุมชน 2.1.2 ขาดผู้สืบทอดในรุ่นต่อไป จากการสารวจผู้ที่ทานาในทะเลสาบในปัจจุบัน พบว่ามีชาวนาท่ีทานาทั้งหมด 23 คน กว่าร้อยละ 80 อยู่ในช่วงอายุ 50 ปี ข้ึนไป ในส่วนคนคนรุ่น หลังโดยเฉพาะในช่วงอายุต่ากว่า 30 ปี พบวา่ เกือบไม่มีบทบาทในการทานาในทะเลสาบ เนื่องจากมี ค่านิยมส่งบุตรหลานไปเรียนต่อในตัวเมือง คนรุ่นหลังส่วนใหญ่จึงนิยมไปประกอบอาชีพในตัวเมือง หรืออาชีพอ่ืนๆ นอกเหนือจากเกษตรกรรมมากข้ึน อาทิ การรบั ข้าราชการ ค้าขาย รับจ้างท่ัวไป เป็น ตน้ ส่วนที่ยงั ทางานอย่ใู นพน้ื ที่บา้ นปากประกม็ ักมุ่งไปยังงานที่ใหผ้ ลิตผลจานวนมาก อยา่ งการทาสวน ยางพารา สวนปาล์ม และการเล้ียงโคนม ในการทาสวนยางพาราและสวนปาล์มนั้นยังพอมีเวลาว่าง สาหรับทางานอื่นๆ เพิ่มไปด้วย เช่น ทานา ทาหัตถกรรม และประมงน้าจืด ส่วนการเล้ียงโคนม จาเป็นตอ้ งดูแลเอาใจใสโ่ คนมตลอดเวลา ทาใหไ้ ม่สามารถทาอาชพี อ่ืนๆ รว่ มได้อีก ในปัจจุบันที่นาบางท่อนถูกเว้นว่างไว้กลายเป็นนาร้าง เนื่องจากไม่มีแรงงานและการให้ ความสนใจมากนัก ผู้ท่ที านาในทะเลสาบคือชาวนาที่ทานาในพื้นท่ีปกตอิ ยู่แล้ว แบง่ พันธข์ุ ้าวและเวลา มาปลูกข้าวริมทะเลสาบเพิ่มเติม 2.1.3 องค์ความรู้ภูมิปัญญาบางอย่างค่อยๆ สูญหายไป จากการลงพื้นที่ภาคสนาม และสัมภาษณ์กลุ่มชาวนาที่ทานาในทะเลสาบ พบว่า รายละเอียดองค์ความรู้บางอย่าง อาทิ การ เลอื กสรรพันธ์ุข้าว พืช ทดี่ ิน การทาขวัญขวัญ เริ่มเลอื นหายไปจากชุมชน ส่วนหน่ึงมาจากผเู้ ฒ่าผู้แก่ที่ ล้มหายตายจากไป วิถีชีวิตท่ีเร่ิมเปล่ียนตามกระแสภายนอก และที่สาคัญคือการไม่ได้นามาใช้อย่าง
93 ต่อเนื่อง แต่เมื่อได้มีการรวมกลุ่มพูดคุยในเร่ืองกรรมวิธีและวิถีชีวิตท่ีเก่ียวเน่ืองกับการทานาใน ทะเลสาบ ชาวนาหลายท่านจงึ เรม่ิ ระลกึ ได้ สาเหตุประการสาคญั ที่สง่ ผลใหอ้ งค์ความรภู้ มู ปิ ัญญาบางส่วนเร่มิ เลือนหายไปมาจากการ การไม่ได้รับการสืบต่อและใช้ประโยชน์อย่างต่อเนื่อง จากการท่ีกรรมวิธีในการทานาเปล่ียนแปลงไป เริ่มมีการใช้เทคโนโลยีมาช่วยในการทานามากขึ้น รวมท้ังชาวนาบางส่วนหันไปประกอบอาชีพอื่นๆ แทนการทานา ดังน้ัน หากไม่มีการศึกษาเรียนรู้ หรือจัดเก็บข้อมูลเหล่านี้ไว้ เมื่อเวลาล่วงเลยองค์ ความร้ภู มู ปิ ญั ญาท่ีน่าสนใจก็อาจลบเลือนไปมากย่งิ ขนึ้ 2.2 ปจั จยั ภายนอก ปจั จัยภายนอกเป็นปัจจัยที่เกิดจากบุคคล หน่วยงานหรือองค์กรภายนอก ที่เข้ามามี เก่ียวเนื่องกับการทานาในทะเลสาบ รวมถงึ ท่ีเป็นสภาพแวดล้อมหรอื อิทธิพลของธรรมชาติที่ก่อให้เกิด ผลกระทบต่อการทานาในทะเลสาบดว้ ย ดังนี้ 2.2.1 องค์กร/หน่วยงานภายนอก ช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา การทานาในทะเลสาบเร่ิม เป็นท่ีสนใจจากภายนอก เร่ิมจากการลงสกปู๊ ข่าวขนาดเล็กในหนังสอื พิมพ์ท้องถิน่ การออกอากาศทาง รายการโทรทัศน์ และการเผยแพร่ภาพบรรยากาศผ่านทางสื่อโซเชียลมีเดีย ทาให้การทานาใน ทะเลสาบเป็นที่รู้จักของภายนอก แต่สงิ่ เหล่านี้เป็นเพียงกระแสชั่วคราว การได้รับการยอมรับและชื่น ชมจากภายนอกจะเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างความภาคภูมิใจให้แก่ชุมชน ซ่ึงเป็นเจ้าของภูมิปัญญา ส่งผลให้การการอนุรักษ์ สืบสาน และพัฒนาภูมิปัญญาต่อไป นอกจากนี้ ภูมิปัญญาการทานาใน ทะเลสาบยังไม่มีการสนับสนุนจากภาครัฐและหน่วยงานท่ีเกี่ยวข้อง อีกทั้งบางโครงการของภาครัฐ กระทบต่อการทานาในทะเลสาบด้วยในปัจจุบันการทานาในทะเลสาบของชุมชนบ้านปากประยังไม่มี หน่วยงานใดที่ให้การสนับสนุน แม้หน่วยงานภาครัฐท่ีเก่ียวข้องมีนโยบายด้านการส่งเสรมิ และพัฒนา ภมู ิปัญญาท้องถิ่นอยู่แล้ว แต่ภูมิปัญญาการทานาในทะเลสาบยังไม่ได้รับการยกระดบั เป็นภูมปิ ัญญาท่ี ควรค่าแก่การให้การสนับสนุนของภาคปกครอง แม้การไม่ได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐจะไม่ได้มี ผลกระทบต่อการทานาในทะเลสาบโดยตรง แต่อาจเกิดผลกระทบโดยอ้อมจากการวางนโยบายด้าน ต่างๆ เช่น การวางแผนตัดถนนบริเวณริมชายหาด หรืออาจมีการใช้พื้นที่นาในทะเลสาบสร้าง สาธารณูปโภคอ่ืนๆ ได้ในอนาคต ซึ่งนาไปสู่ความเสียหายของภูมิปัญญาท่ีเกิดจากความ รู้เท่าไม่ถึงการณ์ หากภาครัฐตระหนักในความสาคัญของภูมิปัญญาการทานาในทะเลสาบของชุมชน ปากประ จึงจะเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยปกปักรักษาทรัพยากรต่างๆ ที่เก่ียวเนื่องในการทานาใน ทะเลสาบ ใหช้ าวนาสามารถใชส้ อยทรัพยากรไดต้ อ่ ไป 2.2.2 การใช้ดินชายฝ่ังทะเลสาบ พื้นท่ีบริเวณชายฝ่ังทะเลสาบบ้านปากประ ซ่ึง ชาวนาทานาในทะเลสาบในปัจจบุ ันอย่ใู นเขตพน้ื ท่ีของสานกั งานเจ้าท่าภมู ิภาคที่ 4 สงขลา กรมเจา้ ท่า กระทรวงคมนาคม ซึ่งพ้ืนที่ทานาในทะเลสาบแม้จะมีการสืบทอดมาจากบรรพบุรุษและข้อตกลง ร่วมกันของชุมชน แต่มีความทับซ้อนในเร่ืองกรรมสิทธิ์ตามท่ีกฎกระทรวงคมนาคม ฉบับที่ 63 พ.ศ. 2537 ระบุไวว้ ่า“ล่วงล้าลาแม่น้า” หมายความถงึ ส่ิงทลี่ ่วงลา้ เข้าไปเหนือนา้ ในนา้ และใตน้ า้ ของแมน่ ้า ลาคลอง บึง อ่างเก็บน้า ทะเลสาบ อันเป็นทางสัญจรของประชาชนหรือท่ีประชาชนใช้ประโยชน์
94 ร่วมกนั หรือทะเลภายในน่าน้าไทย หรือชายหาดของทะเลดังกล่าว3การล่วงล้าลาแม่น้าต้องได้รับการ พิจารณาอนุญาตให้ใช้พ้ืนที่ล่วงล้าลาแม่น้าต้องไม่ขัดต่อกฎหมาย และไม่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อ สิ่งแวดล้อม ส่ิงล่วงล้าลาน้าท่ีกรมเจ้าท่าพึงอนุญาตได้ ได้แก่ ท่าเทียบเรือ สะพานปรับระดับและโป๊ะ เทียบเรือ สะพานข้ามแม่น้าหรือสะพานข้ามคลอง ท่อหรือสายเคเบิล เขื่อนกันน้าเซาะ คานเรือ โรง สูบน้า และกระชังเลี้ยงสัตว์น้า4ซ่ึงจากหลักเกณฑ์กาหนดส่ิงล่วงล้าทางน้าของกรมเจ้าท่านี้ ไม่ ครอบคลมุ ถงึ ลักษณะการทาเกษตรกรรมหรือการทานาในทะเลสาบ การทานาในทะเลสาบของชุมชน บ้านปากประในปัจจุบันแม้จะกระทาต่อเนื่องมาเป็นระยะเวลาหลายสิบปีแต่กรมเจ้าท่าก็ไม่ได้ รับทราบถึงการดารงอยู่ หากไม่ได้รับการอนุญาตให้ใช้พื้นท่ีอย่างชัดเจนจึงอาจเกิดปัญหาการใช้ท่ีดิน ในอนาคตได้ 2.2.3 ธรรมชาติ ภัยจากธรรมชาติที่ไม่สามารถควบคุมได้ เช่น การข้ึนลงของน้า กระแสน้าเค็มน้าท่วมเน่ืองจากทะเลสาบสงขลาตอนกลางเป็นพื้นท่ีรับน้าจืดจากเทือกเขาบรรทัดที่ ไหลผ่านชุมชนในท่ีราบลงสู่ทะเลสาบและได้รับกระแสน้าเค็มจากลาคลองหลายสายที่ไหลเช่ือม ระหว่างทะเลสาบสงขลาตอนกลางกับอ่าวไทยผา่ นพื้นที่อาเภอระโนดในจังหวัดสงขลา จึงส่งผลให้น้า ในพ้ืนท่ีทะเลสาบลาปาเป็นน้ากร่อยที่มีเปอร์เซ็นต์น้าจืดมากกว่าน้าเค็มถึง 7 ใน 10 ส่วน กระแส นา้ เค็มจะพัดพามาในช่วงน้าทะเลหนุนสูงเท่านั้นเมื่อกระแสน้าเคม็ หนุนในช่วงเดือนพฤษภาคม ซึ่งต้น กลา้ ยงั ไม่แข็งแรงดี ทาให้ต้นกลา้ ตาย ชาวนาตอ้ งหว่านใหม่อีกคร้ังนอกจากน้ียังพบว่า เมื่อปลูกข้าวซ้า พันธุ์เดิมเกิน 2-3 ฤดูกาล พันธุ์ข้าวจะเริ่มกลายคือ เมล็ดข้าวจะมีสีออกแดงหรือน้าตาลแดง ชาวนาก็ จะแก้ไขโดยการเปล่ียนพันธ์ุข้าทุก 2-3 ฤดูกาลในภาพรวมแล้วปัญหาจากธรรมชาติจึงไม่ได้ส่งผล กระทบต่อการทานามากนกั 3. แนวทางการสบื สานภูมิปัญญาการทานาในทะเลสาบของชุมชนบ้านปากประ เนื่องจากภูมิปัญญาเป็นทรัพยากรทางวัฒนธรรมแขนงหน่ึง การดารงอยู่และดาเนินไป ต้องอาศัยผู้คนในชุมชนที่เป็นเจ้าของภูมิปัญญานั้น ร่วมแรงร่วมใจกันขับเคลื่อนจึงจะสามารถจัดการ ภูมิปัญญาได้ ผู้ศึกษาจึงขอเสนอแนวทางในการพัฒนาภูมิปัญญาการทานาของชุมชนบ้านปากประ ตาบลลาปา อาเภอเมอื ง จงั หวัดพัทลุง เป็นแนวทางอย่างกวา้ งๆ เพ่ือการอนุรกั ษ์ สืบสาน และพัฒนา ภูมิปัญ ญ าการทาน าในทะเล ส าบของชุมช นบ้าน ปากประอย่างยั่งยืนแล ะมั่งคง โดยแบ่งเป็น การ ดาเนินการจากภายในและการรบั การสนบั สนุนจากภายนอก ดังน้ี 3.1 การดาเนนิ งานจากภายในชุมชน 3.1.1 การรวมกลุ่มชาวนาท่ที านาในทะเลสาบ 3.1.2 การส่งเสริมให้เกดิ การศกึ ษา รวบรวมข้อมูล และเผยแพร่ภูมปิ ัญญา 3กรมเจ้าท่า, กฎกระทรวง ฉบับที่ 63 (พ.ศ. 2537) ออกตามความในพระราชบัญญัติ การเดินเรือในน่านนาไทย พระพุทธศักราช 2456, เข้าถึงเม่ือ 10 มีนาคม 2559, เข้าถึงได้จาก http://www.md.go.th/md/index.php/2014-01-19-05-00-37/2014-01-19-05-08-40/2014- 01-19-05-55-21/-108/925-01-63-2537/file 4เรอ่ื งเดียวกนั .
95 3.1.3 การผลติ ผลิตภัณฑ์ขา้ วอนิ ทรีย์ของชมุ ชน 3.1.4 การขยายพ้ืนทเ่ี พาะปลูก 3.2 การประสานความร่วมมอื กับหน่วยงานภายนอก 3.2.1 การเช่ือมโยงจุดท่องเท่ียวเชิงนเิ วศวัฒนธรรมกับพ้ืนทใี่ กลเ้ คยี ง 3.2.2 การดาเนนิ งานภายใตโ้ ครงการพฒั นาล่มุ นา้ ทะเลสาบสงขลา 3.1 การดาเนินการจากภายในชุมชน การดาเนินการจากภายในเป็นการเร่ิมต้นจากชาวนาท่ีทานาในทะเลสาบของคนใน ชุมชนบ้านปากประ ซึ่งเป็นเจ้าของภมู ิปญั ญา โดยการจัดกระบวนการเรียนรู้ของชุมชน เพ่ือใหเ้ กิดการ ตระหนักในคุณค่าและความสาคัญของภมู ปิ ัญญาย่งิ ข้ึน ประกอบด้วย 5 ขน้ั ตอนหลัก คือ รวมคน รวม ความคดิ ร่วมทา ร่วมสรุปบทเรียน และร่วมรับผลจากการกระทา5ในกระบวนการอนุรักษ์ สืบสานภูมิ ปญั ญาการทานาในทะเลสาบของชมุ ชนบ้านปากประ จึงควรเริ่มตน้ จากการรวมกลุ่มชาวนาที่ทานาใน ทะเลสาบ เพ่ือให้เกิดการพบปะหารือ ร่วมคิดร่วมทา ซึ่งนาไปสู่ความร่วมมือในการดาเนินการอื่นๆ ตอ่ ไปตามลาดับ ดงั นี้ 3.1.1 การรวมกลุ่มชาวนาที่ทานาในทะเลสาบ การรวมกลุ่มชาวนาท่ีทานาในทะเลสาบถือเป็นกระบวนการลาดับแรกที่ควร ทา ในการดาเนินงานด้านภูมปิ ัญญา การรวมกลุ่มผู้มีส่วนเกี่ยวขอ้ งจะเปน็ รากฐานให้เกิดความร่วมมือ ในกิจกรรมต่างๆ อย่างต่อเน่ือง ซึ่งจากการสารวจชาวนาบ้านปากประท่ีทานาในทะเลสาบในพบว่า สว่ นใหญ่เป็น ญาติมิตร มีบ้านเรือนต้ังอยู่ใกล้เคียงกัน จึงมคี วามคนุ้ เคยและปฏิสัมพันธร์ ะหวา่ งกันมา ยาวนาน การจัดต้ังกลุ่มชาวนาท่ีทานาในทะเลสาบจึงจะช่วยผลักดันให้เกิดผู้นากลุ่มและผลักดันการ ดาเนินงานเกี่ยวกับภูมิปัญญาให้มีความต่อเนื่อง กว้างขวาง ส่ิงสาคัญอีกประการที่จะได้จากการ รวมกลุ่มชาวนา คอื การเปิดโอกาสให้มีเวทีแลกเปลี่ยน พูดคุยร่วมกันระหว่างผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง ถอื เป็น ขั้นตอนแรกของการวางแผนการพัฒนา เพื่อให้ได้ข้อมูลตรงตามความเป็นจริง ตอบสนองชาวบ้านได้ ลดอุปสรรค การให้ความเห็นชอบร่วมกันจากหลายๆฝ่าย จะเป็นโอกาสท่ีดีซึ่งจะนาไปสู่การสร้าง ความเข้าใจอันดรี ะหว่างกันและกัน นาไปสู่การพัฒนาในทศิ ทางที่พึงพอใจร่วมกันในจังหวัดพัทลงุ ซึ่งมี การทานาการมาอย่างกว้างขวางยาวนาน มีการก่อตั้งกลุ่มชาวนาเพื่ออนุรักษ์และพัฒนามรดกภูมิ ปญั ญาของชุมชนเปน็ ผลติ ภัณฑข์ ้าวอนิ ทรยี แ์ ละประสบความสาเร็จ อาทิ กลุ่มวิสาหกจิ ชมุ ชนบ้านเขากลาง ตั้งอยทู่ ่ีหมู่ 13 ตาบลปันแต อาเภอควนขนุน จังหวัด พัทลุง6 ก่อต้ังข้ึนเพื่อแก้ไขปัญหาผลผลิตข้าวต่อไร่ตกต่า โดยมีกลุ่มชาวบ้านและเกษตรอาเภอริเร่ิม ร่วมกัน มีเป้าหมายเพื่อให้ชุมชนสามารถผลิตเมล็ดพันธดุ์ ีใช้เอง และใช้เทคโนโลยีผลิตข้าวท่ีเหมาะสม อย่างต่อเนอื่ งย่งั ยืน ในระยะแรกดาเนนิ การ 4 ดา้ น ไดแ้ ก่ 5มูลนธิ พิ ลงั นเิ วศและชมุ ชน, กระบวนการจัดการเรียนรูใ้ นชุมชน, เข้าถึงเมอื่ 2 ธนั วาคม 2558, เขา้ ถงึ ไดจ้ าก http://www.banrainarao.com/column/learn_commu 6วิจารย์บุษรานนท์, การดาเนินงานวิสาหกิจชุมชนบ้านเขากลาง ตาบลปันแต อาเภอ ควนขนนุ จังหวัดพทั ลงุ (พัทลงุ : สานกั งานเกษตรอาเภอควนขนนุ , 2554), 13-19.
96 1. แบง่ พื้นที่นาเปน็ แปลงผลติ เมลด็ ข้าว เพอื่ ใชใ้ นชุมชนและสาธติ แก่บุคคลภายนอก 2. ตั้งศูนย์พร้อมอุปกรณ์ผลิตเมล็ดข้าว ซ่ึงดาเนินการ โดยคณะกรรมการจากชาวนาใน ชุมชน 3. ชมุ ชน/เกษตรกรสมาชกิ เปน็ เจ้าของศนู ยร์ ว่ มกนั 4. ต้ังกองทนุ การผลติ เพ่ือใช้ในการบริหารงานตา่ งๆ ของกลุ่ม จากการดาเนินงานดังกล่าวกลุ่มสามารถผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวสังข์หยดซ่ึงเป็นข้าวพ้ืนเมือง ที่มีคุณค่าทางอาหารสูงและได้รับคาประกาศรับรองให้เป็นสินค้าส่ิงบ่งช้ีทางภูมิศาสตร์ (ข้าว GI) และ ผลิตผลิตภัณฑ์จากข้าวสังข์หยดถึง 6 ชนิด ได้แก่ ข้าวกล้องสังข์หยด ข้าวซ้อมมือสังข์หยด ข้าวกล้อง สังข์หยดหัก แป้งข้าวสังข์หยด จมูกข้าวสังข์หยดและขนม ทองพับข้าวสังข์หยด จาหน่ายทั้งภายใน จังหวัด เช่น ร้านค้าชุมชน ศูนย์โอทอป ห้างสรรพสินค้า และต่างจังหวัด เช่น ศาลาข้าวไทย มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ องค์การคลังสินค้า และจังหวัดใกล้เคียงและยังมีการประชาสัมพันธ์ โดยการนาสินค้าจัดแสดงและจาหน่าย ณ งานแสดงสินค้าต่างๆ ด้วย ส่วนผลผลิตจะแบ่งเป็น 4 ส่วน คือ เก็บไว้กินภายในครอบครัว เก็บไว้เป็นเมล็ดพันธุ์ในฤดูกาลต่อไป รวบรวมขายให้กลุ่ม และเก็บไว้ ขายในช่วงราคาดี ชาวนาจึงไม่ต้องซ้ือข้าวกิน ไม่ต้องซ้ือเมล็ดพันธ์ุ เมื่อข้าวปรับราคาขึ้นก็สามารถนา ออกขายโดยไมผ่ ่านพอ่ คา้ คนกลาง เครือข่ายศูนย์ปฏิบัติการภาคประชาชนตาบลตานาน7 เป็นองค์กรชุมชนโดยกลุ่ม ชาวนาตาบลตานาน อาเภอเมือง จังหวัดพัทลุง โดยเน้นดาเนินงานพัฒนาชุมชนอย่างครบวงจร ตาม แนวทาง “คืนชีวิตใหน้ า คนื ปลาใหน้ ้า และสืบสานอาหารพ้นื บา้ น” งานพัฒนาสาคญั ของกลมุ่ คือการ ฟ้ืนฟูนาข้าว พร้อมกับการจัดต้ังกลุ่มผลิตปุ๋ยอินทรีย์ การทานาอินทรีย์ และตั้งโรงสีชุมชน เพื่อผลิต ข้าวซอ้ มมือและข้าวกล้องบรรจุถุงจาหนา่ ย โดยเฉพาะข้าวพันธพุ์ ้ืนเมืองทม่ี ีช่ือเสียง เช่น ข้าวสังข์หยด และข้าวเล็บนก ในช่วงแรกการทานาอินทรีย์ไม่ประสบผลนัก เนื่องจากดินยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ ใช้เวลา ประมาณ 2 ปี เมือ่ ดนิ ฟื้นธาตุอาหารสมบูรณ์แล้วจงึ ได้ผลิตผลิตเต็มเม็ดเต็มหน่วย ต้นขา้ วเจริญเติบโต ดี เต็มเมล็ดให้น้าหนักดี และลดต้นทุนการผลิตลง ประกอบกับมีกระแสการบริโภคข้าวเพ่ือสุขภาพ มี ความต้องการบรโิ ภคขา้ วพันธสุ์ งั ข์หยดสูง และจงั หวดั พัทลุงไดส้ ง่ เสรมิ ให้ชาวนาปลูกข้าวพนั ธ์สงั ขห์ ยด อินทรีย์กันมากข้ึน มีการข้ึนทะเบียนรับรองผู้ปลูก เม่ือผ่านข้ันตอนการปลูกข้าวได้ตามมาตรฐานของ จังหวัด ก็จะสามารถขายข้าวได้ในราคาท่ีสูงข้ึน ถึงราคาเกวียนละ 20,000 บาท ขณะที่ข้าวทั่วไปมี ราคาไม่เกินเกวียนละ10,000 บาทด้วยเหตุนี้ชาวนาในตาบลตานานจึงหันมาปลูกข้าวสังข์หยดอินทรีย์ มากขึ้น นาไปสู่การจัดต้ังโรงสีชุมชนเพื่อผลิตข้าวกล้องสังข์หยดโดยใช้เคร่ืองจักรอย่างง่ายและ ดาเนินการจนถึงขั้นบรรจุขายโดยชาวนาเองแม้ราคาขายจะไม่สูงมากและเสียเวลาในกระบวนการผลิต มากกว่าปกติ แต่ชาวนาส่วนใหญ่ยังภาคภูมิใจท่ีได้ผลิตข้าวพันธ์ุดี ปลอดจากสารเคมีให้แก่ผู้บริโภคอีก ทั้งชาวนาก็ไม่ตอ้ งสมั ผัสหรอื กินขา้ วท่ีปนเปื้อนสารเคมดี ว้ ย 7สวุ ัฒน์ กิขุนทด, “สภาองค์กรชุมชนตาบลตานาน” คืนชวี ิตให้นา คนื ปลาให้นา สืบสาน ข้าวสังข์หยดพัทลุง, เข้าถึงเมื่อ 5 มกราคม 2559, เข้าถึงได้จาก http://isranews.org/community/ comm-scoop-documentary/item/ 5992-2012-03-21-10-00-35.html
97 การรวมกลุ่มชาวนานอกจากจะสร้างความเข้มแข็งเพ่ือเป็นรากฐานในการสืบสานและ พัฒนาภูมิปัญญาแล้ว ยังเป็นส่วนสาคัญในการแสวงหาทางออกร่วมกันในประเด็นที่มีผลกระทบต่อ การสืบสานภูมิปัญญา อาทิ กรรมสิทธิ์การใช้ที่ดินบริเวณชายฝ่ังทะเลสาบทานา การร้ือฟื้นพันธ์ุข้าว ทอ้ งถ่ิน การบ่มเพาะผู้สืบทอดการทานาในทะเลสาบในรนุ่ ต่อไป เป็นต้น 3.1.2 การส่งเสริมให้เกิดการรวบรวมข้อมูล ศึกษา ค้นคว้าและเผยแพร่ ภมู ปิ ญั ญา เม่ือมีการรวมกลุ่มชาวนาที่ทานาในทะเลสาบแล้ว ควรมีการส่งเสริมให้เกิด การศึกษา ค้นคว้า เพื่อรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับภูมิปัญญาการทานาในทะเลสาบของบ้านปากประ รวมทั้งเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ภูมิปัญญาให้เป็นท่ีรู้จัก ซ่ึงกระบวนการที่จะส่งเสริมให้เกิดการ ดาเนินงานดงั กล่าวของบา้ นปากประมีดังน้ี 3.1.2.1 การจัดเก็บองค์ความรู้ภูมิปัญญาอย่างเป็นรูปธรรม การจัดการ ภูมิปัญญาซึ่งเป็นทรัพยากรทางวัฒนธรรมที่อยู่ในรูปองค์ความรู้ทั้งในตัวบุคคลและส่ิงของหรือ ธรรมชาติ การนาระบบฐานข้อมูลมาใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลจึงเป็นสิ่งจาเป็น และควรจัดทาเป็น ลาดบั แรกๆ ของการดาเนินการด้านภมู ิปัญญา ซงึ่ ฐานข้อมูลเหลา่ นีจ้ ะช่วยใหเ้ หน็ ถึงภาพรวมศักยภาพ ปัญหา การดารงอยู่ของภูมิปัญญา สามารถวิเคราะห์นาข้อมูลมาวิเคราะห์ได้อย่างเป็นระบบ ทั้งน้ี เนื่องจากการทานาในทะเลสาบในแต่ละปีข้ึนอยู่กับสภาพดิน น้า ที่มีความแตกต่างกัน การจัดเก็บ ขอ้ มูลต่อไปตามรายฤดกู าล จะช่วยใหส้ ามารถกาหนดทศิ ทางในการทานา และแนวทางในการสง่ เสริม พฒั นาได้ชัดเจนขน้ึ ในการศึกษาภูมปิ ัญญาการทานาในทะเลสาบของชมุ ชนบา้ นปากประ ในเบ้ืองต้นผู้ศกึ ษา ได้รวบรวมข้อมูลภาคสนามจากชาวนาชุมชนปากประท่ีทานาในทะเลสาบอยู่ในปัจจุบัน จานวน 23 ราย มาจดั ทาฐานไมโครซอฟท์แอคเซส (Microsoft Access) ซึ่งเป็นโปรแกรมจัดการฐานขอ้ มูลเชิงสัมพนั ธ์ (Relational DataBase Management System: RDBMS) ที่ช่วยให้การจัดเก็บข้อมูล การสอบถาม การค้นหา การดูแลรักษา การวิเคราะห์และการนาเสนอข้อมูล รวมถึงการรักษาความปลอดภัยของ ข้อมูลได้ง่ายและมีประสิทธิภาพสูงสามารถเก็บข้อมูล ประมวลผลข้อมูล ออกแบบฟอร์มเก็บข้อมูล ตารางเก็บข้อมูล และสร้างแบบสอบถาม อีกท้ังสามารถเรียกใช้ได้จากระบบฐานข้อมูลภายนอก เพื่อใช้ประกอบในการศึกษาวิจัย ท้ังน้ีเนื่องจากการทานาในทะเลสาบในแต่ละปีขึ้นอยู่กับสภาพดิน น้า ที่มีความแตกต่างกัน การจัดเก็บข้อมูลต่อไปตามรายฤดูกาล จะช่วยให้สามารถกาหนดทิศทางใน การทานา และแนวทางในการสง่ เสรมิ พฒั นาได้ชดั เจนขึน้ นอกจากการจัดทาฐานข้อมูลดังกล่าวแล้ว ยังสามารถนาองค์ความรู้ภูมิปัญญามา นาเสนอในรูปแบบข้อมูลสารสนเทศท่ีน่าสนใจอื่นๆ ได้แก่ วีดิทัศน์ สารคดี นิทรรศการออนไลน์ ฐานขอ้ มลู เสียง/เพลง/บทขวัญเป็นต้น ซึ่งฐานข้อมูลเหล่านี้จะเป็นคลังความรูภ้ ูมิปัญญาของท้องถ่ิน ท่ี สามารถจดั เกบ็ บันทกึ และเผยแพร่ภมู ิปญั ญาทอ้ งถนิ่ ให้เป็นท่ีรจู้ ักอีกทางหน่ึง 3.1.2.1 การจัดกิจกรรมเกี่ยวกับภูมิปัญญาอย่างต่อเน่ือง การจัดกิจกรรม เป็นกระบวนการที่ช่วยให้ผู้ร่วมกิจกรรมได้พัฒนาทัศนคติ ค่านิยม และพฤติกรรมให้สอดคล้องกับ
98 เป้าหมายของกิจกรรม ซ่ึงผู้ร่วมกิจกรรมสามารถเรียนรู้ ค้นพบด้วยตนเอง8 การจัดกิจกรรมจึงเป็น วิธีการหนึ่งท่ีจะช่วยให้เกิดความเข้าใจซ่ึงจะนาไปสู่การตระหนักและเห็นค วามสาคัญของภูมิปัญญา การทานาในทะเลสาบ กิจกรรมมีหลายรูปแบบ เช่น การลงมือปฏิบัติ เป็นการเปิดโอกาสให้ผู้ร่วม กจิ กรรมไดเ้ รยี นรู้และเขา้ ใจในสถานการณ์จริงการแลกเปลีย่ นประสบการณก์ ารสาธิตเพือ่ แสดงใหเ้ ห็น เป็นตัวอย่าง การจัดทาคู่มือแนะนาเป็นต้นการจัดกิจกรรมเพ่ือส่งเสริมให้เกิดการอนุรักษ์และสืบสาน ภูมิปัญญาซึ่งมีส่วนเก่ยี วพันธ์กับผู้คนจานวนมากทั้งคนในชุมชนเองและบุคคลภายนอก เพื่อให้การจัด กิจกรรมบรรลุผลอย่างครอบคลุม จึงควรมีการจัดกิจกรรมทั้งสาหรับคนในชุมชนและบุคคลภายนอก การจัดกิจกรรมสาหรับชุมชนเพือ่ สร้างความเข้าใจรว่ มกัน อาทิ การศึกษาดูงานเป็นกิจกรรมที่กาหนด ขึ้นให้ชาวบ้านได้ไปดูงานในแหล่งท่ีมีการจัดการทรัพยากรวัฒนธรรมในลักษณะที่ใกล้เคียงกับของ ชุมชน เพ่ือให้คนในชุมชนเกิดการเปรียบเทียบ ได้ตระหนักในความความสาคัญของภูมิปัญญา และ เหน็ แนวทางในการพัฒนาภูมิปัญญาของชมุ ชนตน อกี ท้ังการศึกษาดูงานในแหล่งท่ปี ระสบความสาเร็จ ยงั ช่วยเป็นแรงบนั ดาลใจและแรงผลักดันในการลงมือทาของชาวบ้านด้วย เพ่ือนามาเสรมิ สร้างความรู้ ของชาวบ้านท่ีมีอยู่แล้ว ส่วนการจัดกิจกรรมสาหรับคนภายนอกเป็นการสร้างความเข้าใจให้คน ภายนอก และเป็นการกระต้นุ ชมุ ชนให้มีแรงใจในการดาเนนิ งานดา้ นภูมิปญั ญาต่อไป นอกจากกิจกรรมต่างๆ จะมีผลให้ผู้เข้าร่วมกิจกรรมได้รับผลตามเป้าหมายของกิจกรรม น้ันๆ แล้ว ผลของการร่วมกิจกรรมยังปรากฏประโยชน์ในอีกหลายทางด้วย เช่น การจัดการทัศน ศึกษาให้ชาวนาในชุมชนไปดูงานของชาวนาชุมชนอ่ืน นอกจากผลทางตรงท่ีชาวนาได้เรียนรู้เกี่ยวกับ ชุมชนอื่น ยังเป็นการสร้างกระบวนการคิด การเปรียบเทียบเพ่ือพัฒนาตนเอง และสร้างเครือข่าย ระหว่างชมุ ชน กิจกรรมทถ่ี ูกจัดขึ้นจงึ จะช่วยกระตุ้นให้เกิดการตื่นตัวในการอนรุ ักษ์ สืบสานภูมปิ ัญญา อย่างต่อเนื่อง ยิ่งมีการจัดกิจกรรมอย่างสม่าเสมอก็จะย่ิงสร้างความสาคัญให้แก่ภูมิปัญญา และแตก ยอดความรูม้ ากเท่าน้นั 3.1.2.2 การจัดตังศูนย์การเรียนรู้ชุมชน เพ่ือเป็นศูนย์รวมการจัดกิจกรรม การศึกษาตลอดชีวิต สาหรับบุคคลทุกเพศทุกวัย โดยมีสื่อต่างๆ เพ่ือสนับสนุนการเรียนรู้ และเป็น แหล่งบริการชุมชนในการจัดกิจกรรมต่างๆ ท่ีสอดคล้องกับความต้องการของประชาชน กลมกลืนกับ วิถีชีวิตของชุมชน ทันต่อการเปลี่ยนแปลงในยุคโลกาภิวัตน์ เพ่ือก่อให้เกิดสังคมการเรียนรู้และการ พึ่งตนเอง โดยมีการแลกเปล่ียนทักษะความรู้ซึ่งกันและกัน กล่าวได้ว่าศูนย์การเรียนรู้เป็นผลผลิตที่ เกิดจากการตระหนักรู้ในตัวตนของชุมชน ท่ีถ่ายทอดออกมาอย่างเป็นรูปธรรม ในรูปของนิทรรศการ สถานท่ี กิจกรรม ฯลฯ ที่เป็นศูนย์กลางในการเผยแพร่เอกลักษณ์ วัฒนธรรม วิถีชีวิตอันโดดเด่นของ ชุมชมแก่คนภายนอก และเป็นสถานท่ีแลกเปล่ียนเรียนรู้ รวมท้ังสร้างแรงบันดาลในในการสืบทอด มรดกภูมิปญั ญาของชมุ ชนแต่ท้ังนีใ้ นการจัดตั้งศนู ย์การเรียนรู้ยังต้องมกี ารดาเนินการอกี หลายขัน้ ตอน อาทิ การสารวจความต้องการของชุมชน การวิเคราะห์ข้อมูลองความรู้ การจัดทาข้อมูลพื้นฐาน ฯลฯ ในปัจจุบันหลายชุมชนที่มีการดาเนินงานด้านวัฒนธรรมได้จัดต้ังศูนย์การเรียนรู้ชุมชนขึ้น มีหลาย ชุมชนทีป่ ระสบความสาเร็จสามารถจัดตั้งศูนย์การเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพ และมกี ารดาเนินการที่เป็น 8ศูนย์พัฒนาหลักสูตร กรมวิชาการ, หลักสูตรการศึกษาขันพืนฐาน (กรุงเทพฯ: องค์กร รบั สง่ สนิ คา้ และครภุ ัณฑ,์ 2544), 143-144.
99 ประโยชน์แก่ชุมชนอย่างต่อเนื่อง แต่ก็มีอีกหลายชุมชนท่ีมีการจัดต้ังศูนย์การเรียนรู้ได้สาเร็จแต่ไม่ สามารถดาเนินงานได้ตอ่ เนอื่ ง จนศูนย์ซบเซาลงและตอ้ งปดิ ตวั ไป ซึ่งพบว่าปัจจัยทีน่ าไปสู่ความสาเร็จ คอื การมีผู้นาท่ีเข็มแข็ง มีแรงใจในการผลัดดันการดาเนินงานได้ และขาดการมีส่วนร่วมอย่างต่อเน่ือง จากคนในชุมชน ส่วนปัจจัยเส่ียงในการดาเนินงานได้แก่ งบประมาณและบุคลากรท่ีใช้ในการ ดาเนินงานภายในศูนย์การเรยี นรู้ จากการลงพื้นท่ีสารวจชุมชน พบว่า ศูนย์กลางของชุมชนคือวัดและโรงเรียนซึ่งต้ังอยู่ใน ผืนที่ผืนเดียวกัน อีกท้ังยังอยู่ติดชายฝ่ังทะเลสาบ มีพื้นท่ีเป็นลานกว้างเหมาะสาหรับการจัดกิจกรรม ต่างๆ เป็นหนึ่งตัวเลือกที่เหมาะสมสาหรับจัดต้ังศูนย์การเรียนรู้เกี่ยวกับภูมิปัญญาในทะเลสาบของ ชุมชนบ้านปากประ อีกท้ังการจัดตั้งศูนย์การเรียนรู้ภายในบริเวณนี้ ยังเป็นการดึงโรงเรียนและวัดซ่ึง เป็นองค์กรท่ีมีบุคลากรพร้อมที่จะดาเนินงานจานวนมาก อีกทั้งวัดและโรงเรียนมีกิจกรรมร่วมกับ ชุมชนอย่างต่อเน่ืองสม่าเสมอ การให้วัดและโรงเรียนเข้ามาเป็นผู้ดูแลและเป็นผู้อุปถัมภ์หลัก จึง สามารถกาจัดปัจจัยเส่ียงในด้านงบประมาณและบุคคลากรออกไปได้ส่วนหนึ่ง อีกทั้งยังเป็นต่อยอด การดาเนินงานอื่นๆ ของวดั และโรงเรยี นในอนาคตได้อีกดว้ ย 3.1.2.3 การส่งเสริมหลักสูตรท้องถิ่น การจัดการศึกษาที่มีแนวทางเดียวกัน ทั้งประเทศ ส่งผลให้เกดิ การละเลยต่อภูมิปัญญาดั้งเดิมของท้องถิ่น มรดกองค์ความรู้ของท้องถิ่นไม่ได้ รับการสืบทอดอย่างต่อเน่ือง จนกระท่ังค่อยๆ สูญหายไปอย่างน่าเสียดาย ดังนั้นการพัฒนาหลักสูตร การเรียนการสอนให้สอดคล้องกับสภาพแวดล้อม และตอบสนองต่อความต้องการท่ีแท้จริงของชุมชน จึงมีความสาคัญและจาเป็นอย่างย่ิง หลักสูตรท้องถ่ินช่วยปลูกฝังให้ผู้เรียนมีความรัก ผูกพัน และ ภาคภูมิใจในความเป็นท้องถิ่นของตนทรัพยากรในทอ้ งถ่ิน โดยเฉพาะภูมปิ ัญญาท้องถ่ินของไทยท่ีมีอยู่ มากมาย บ่งบอกถึงความเจริญมาเป็นเวลานาน สามารถบูรณาการเอาทรัพยากรท้องถิ่นและภูมิ ปัญญาชาวบ้านมาใช้ในการเรียนการ ซ่ึงเป็นผลให้ผู้เรียนสามารถใช้ทรัพยากรในท้องถ่ินประกอบ อาชพี ได้ ชุมชนบ้านปากประมีโรงเรียนซ่ึงเป็นศูนย์กลางการศึกษาของชุมชน 1 โรง คือโรงเรียน วัดปากประ ต้ังอยู่ในหมู่ 8 ตาบลลาปา อาเภอเมือง จังหวัดพัทลุง จัดการเรียนการสอนต้ังแต่ระดับ อนุบาล – ประถมศึกษา จัดตั้งข้ึนและเปิดสอนคร้ังแรกเมื่อ พ.ศ. 2475 โดยความร่วมมือของวัดและ ชุมชน มีเน้ือที่ท้ังหมด 13 ไร่ 2 งาน 65 ตารางวา เป็นโรงเรียนขนาดเล็กปัจจุบันมีนักเรียนรวม 85 คน ครูอาจารย์รวม 7 คนปัจจุบันจัดการเรียนการสอนตามหลักสตู รการศึกษาข้ันพื้นฐาน พ.ศ. 2551 หรือหลักสูตรแกนกลาง ซ่ึงเป็นการกาหนดกรอบการเรียนการสอนอย่างกว้างๆ ในสาระความรู้ พื้นฐาน และผลักดันให้มีการนาสาระความรู้ตามสภาพแวดล้อม สังคม เศรษฐกิจ ปัญหา และความ ต้องการของท้องถิ่นเขา้ มาเปน็ สว่ นหน่งึ ของหลกั สูตร การนาภูมิปัญญาการทานาในทะเลสาบมาบูรณา กับการเรียนการสอนในโรงเรียนบ้านปากประ จึงจะก่อให้เกิดประโยชน์แก่ท้ังนักเรียน โดยเด็กจะได้ เรียนรู้จากส่ิงใกล้ตัวและของจริง เพ่ือได้เสริมสร้างพัฒนาการทางความคิด ได้มีปฏิสัมพันธ์ร่วมกับ ผู้ใหญ่ คนเฒ่าคนแก่ในทอ้ งถ่ิน ในสว่ นของโรงเรียนบ้านปากประซ่งึ มพี ันธกิจในการส่งเสริมภูมิปัญญา ท้องถิ่นและดึงการมีส่วนร่วมของชุมชนอยู่แล้ว ภูมิปัญญาการทานาจึงเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมท่ี โรงเรียนจะนามาจัดกิจกรรม อีกทั้งโรงเรียนยังมีพื้นที่ติดชายทะเลสาบซ่ึงเป็นพื้นที่การทานาอยู่แล้ว และประโยชน์ต่อภูมิปัญญาเอง ซ่ึงในอนาคตเด็กจะเป็นหลักสาคัญในการสืบสานภูมิปัญญา อีกทั้งยัง
100 จะเกิดการคิด พัฒนาต่อยอดภูมิปัญญาในสามารถดารงอยู่ในสถานการณ์ความเปล่ียนแปลงของ ปัจจุบัน ภูมิปัญญาจะไม่เป็นองค์ความรู้ที่หยุดน่ิง มีการใช้และปรับเข้ากับสังคมตลอดเวลา ท้ังนี้ หลักสตู รทอ้ งถ่นิ ควรนาเสนอภาพลักษณ์ชุมชนใน 2 ด้าน9 คือ ภูมิปัญญาและทรัพยากรทางวฒั นธรรม เป็นสงิ่ ท่ีทรงคุณค่า เพ่ือให้เด็กเกิดความภาคภูมิใจและควรช้ีใหเ้ ห็นปัญหาของชมุ ชนเพ่ือให้เด็กเรียนรู้ ความจริง ยอมรับความจริงท่ีเกิดข้ึนในชุมชน และพร้อมที่จะเผชิญกับปัญหาต่างๆ อย่างชาญฉลาด ทาให้เด็กมองเห็นอดตี เรยี นรู้ปัจจุบันและคาดเดาอนาคตได้ ซึ่งสง่ ผลให้เดก็ สามารถใช้วิจารณญาณใน การแสวงหาทางเลือก วิเคราะห์ ตัดสินใจ และวางแผนชีวิตของตนเองโดยตั้งอยู่บนพ้ืนฐานของการ จดั การทีม่ ปี ระสิทธิภาพและควรใหค้ วามสาคญั กับกระบวนการในการใชห้ ลักสตู รมากกวา่ ผลสมั ฤทธิ์ท่ี ไดจ้ ากการใชห้ ลกั สตู ร 3.1.3 การสร้างผลิตภัณฑ์ขา้ วอินทรีย์จากนาในทะเลสาบ การทานาจะเป็นอาชีพด้ังเดิมของคนไทยมาช้านานอีกท้ังชาวไทยยังบริโภค ข้าวเป็นอาหารหลัก แต่กระน้ันชาวนาไทยยังส่วนใหญ่ยังยากจนและประสบปัญหาหนี้สินครัวเรือน ซ่ึงมีสาเหตุมาจาก 2 ประเด็นหลัก คือ ต้นทุนการผลิตสูงและกาหนดราคาโดยพ่อค้าคนกลาง เพ่ือ ช่วยเหลือของชาวนามีหลายหน่วยงานท้ังจากภาครัฐและภาคเอกชนพยายามเข้ ามาแก้ไขปัญ หา ในส่วนน้ี อาทิ การประกันราคาข้าว การสร้างโรงสีชุมชน การจัดตั้งกองทุนกู้ยืมเพ่ือการลงทุน การเว้นวรรคผ่อนชาระหน้ีสิน เป็นต้น แต่ก็ยังไม่สามารถเยียวยาปัญหาของชาวนาได้อย่างตรงจุด เนื่องจากเป็นวิธีการแก้ปัญหาในส่วนปลายทาง ไม่ใช่การเปล่ียนแปลงท่ีต้นเหตุอย่างแท้จริง แต่ยังมี กลุ่มคนอีกส่วนหน่ึงที่สามารถแก้ปัญหาหาราคาข้าวตกต่าและพัฒนาคุณภาพชีวิตชาวนาได้ โดยการ ให้ชาวนาเป็นผู้ควบคุมปัจจัย จัดเป็นระบบการผลิตครบวงจร ชาวนาจะเป็นผู้จัดหาเมล็ดพันธ์ุ เพาะปลูกและเน้นบารุงรักษาโดยใช้ปุ๋ยอินทรีย์ เก็บเก่ียว แปรรูป และสร้างผลิตภัณฑ์ภายใต้ตรา สนิ คา้ ของตนเอง ภูมิปัญญาการทานาในทะเลสาบของชุมชนบ้านปากประมีความโดดเด่นชัดเจนในหลาย ดา้ น อาทิ ชาวบ้านประกอบอาชีพทานามายาวนาน มคี วามเชี่ยวชาญสูงและรู้จกั การใช้ประโยชน์จาก สภาพแวดล้อมทางธรรมชาติอย่างคุ้มค่า พ้ืนท่ีทางภูมิศาสตร์มีความโดดเด่นเฉพาะ ดินมีความอุดม สมบูรณ์สูงโดยไม่จาเป็นต้องใช้ปุ๋ยเคมีบารุงดินเพิ่มเตมิ ผลผลิตทีไ่ ดจ้ ึงปลอดสารพิษและมีศักยภาพใน ด้านอ่ืนๆ ท่ีสามารถรวมกลุ่มชุมชนพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์ชุมชนได้ โดยประกอบด้วย 3 แนวทาง ดงั ตอ่ ไปน้ี 3.1.3.1 การผลิตข้าวอินทรีย์ครบวงจร ซึ่งเป็นการท่ีชุมชนเป็นผู้ดาเนินการ ผลิตข้าวด้วยตนเองในทุกข้ันตอนเร่ิมต้ังแต่การคัดเลือกเมล็ดพันธุ์ เพาะปลูก บารุงรักษา เก็บเกี่ยว แปรรปู ผลผลติ จนถงึ การจัดจาหน่าย โดยเนน้ การใช้ประโยชน์จากธรรมชาติ หลีกเลยี่ งการใช้สารเคมี และสารท่ีผ่านกระบวนการสังเคราะห์ทางเคมีทุกชนิดในทุกขั้นตอนการผลิต ตลอดจนการเก็บรักษา และการแปรรูปผลผลิต แต่จะมุ่งฟื้นฟูดินให้มีความอุดมสมบูรณ์ด้วยวัสดุอินทรีย์ ป้องกันและกาจัด ศตั รูพืชโดยอาศัยระบบตามธรรมชาติ เพื่อรกั ษาสมดุลทางธรรมชาตอิ ย่างย่งั ยืน 9พรพันธ์ุ เขมคุณาศัย, “ท้องถิ่นศึกษา... ภูมิปัญญาชุมชน: วิเคราะห์กรณีชุมชนแถบ ล่มุ นา้ ทะเลสาบสงขลา,” ใน วารสารปารชิ าต 13, 2 (ตลุ าคม 2543-มีนาคม 2544), 18.
101 3.1.3.1.1 การคัดเลือกเมล็ดพันธ์ุ พันธุ์ข้าวอินทรีย์คือเมล็ดพันธ์ุที่ ไม่ได้มาจากเทคนิคการดัดแปรงพันธุกรรม (Genetic modification) หรือพันธุวิศวกรรม (genetic engineering) โดยชาวนาจะคัดเลือกพันธ์ุข้าวท่ีมีความต้านทานโรคได้ดี เหมาะสมกับสภาพแวดล้อม ของชุมชน ซึ่งในอดีตชาวนาบ้านปากประจะเก็บเมล็ดข้าวจากฤดูการผลิตก่อนหน้า เพ่ือใช้ปลูกใน ฤดูกาลต่อไป พันธุ์ข้าวที่ใช้จึงเป็นพันธุ์ข้าวท้องถ่ินที่มีสอดคล้องกับระบบนิเวศในท้องถ่ิน แต่ใน ปัจจุบันชาวบ้านไม่ได้เป็นผู้คัดเลือกเมล็ดพันธุ์เอง โดยจะซื้อเมล็ดพันธ์ุมาจากโรงสีหรือจากภาครัฐ เน่ืองจากลดขั้นตอนในการคดั เมล็ดพันธ์ุและเมล็ดพันธด์ุ ังกล่าวผ่านการดดั แปลงทางพันธุกรรม ทาให้ ใชเ้ วลาในการเพาะปลูกน้อยกวา่ และให้ผลผลติ ท่ีดกี ว่า แต่พันธุเ์ หลา่ น้ีไม่ตา้ นทานต่อโรคและแมลงที่มี อยู่ในท้องถ่ินหากมีการรื้อฟื้นพันธขุ์ ้าวท้องถ่ิน โดยคัดสรรพันธ์ุที่เหมาะกับการทานามาปลูกจึงจะช่วย อนุรักษ์พันธุ์ข้าวดั้งเดิม และยังเพ่ิมมูลค่าให้ผลิตภัณฑ์ข้าวของชุมชน เนื่องจากพันธุ์ข้าวท้องถ่ินมี คุณคา่ ทางโภชนาการสูงและปลอดภัย 3.1.3.1.2 การเพาะปลูก พ้ืนท่ีสาหรับปลูกข้าวอินทรีย์ต้องอยู่ บริเวณห่างไกลจากพ้ืนที่ที่มกี ารใช้สารเคมี ซ่ึงพื้นท่ีการทานาในทะเลสาบและบริเวณโดยรอบไม่มีการ ต้ังโรงงานอุตสาหกรรมหรือการใช้สารเคมีใดๆ เหมาะสมกับการผลิตข้าวอินทรีย์ ในการปลูกข้าว อนิ ทรียโ์ ดยทั่วไปนยิ มวธิ ีปักดาเพอื่ ลดปัญหาวชั พืช และจะไม่ปลกู ข้าวแน่นจนเกนิ ไปเพ่ือลดปัญหาโรค และแมลง แตช่ าวนาบา้ นปากประไม่ต้องประสบปัญหาเหล่านี้ เนื่องจากดินมีความอุดมสมบูรณ์ดีมาก ไม่ต้องบารุงเพ่ิมเติม เมล็ดข้าวที่หว่านลงไปเจริญงอกงามดีมาก อีกท้ังการข้ึนลงของกระแสน้าช่วย กาจดั วชั พชื และโรคจากแมลงไปดว้ ย 3.1.3.1.3 การบารุงรักษา ยดึ หลักเกณฑ์การบารงุ ดินให้มีความอุดม สมบูรณ์ โดยใช้ปุ๋ยตามธรรมชาติ การดูแลรักษาข้าวของชาวบ้านปากประบางส่วนเริ่มมีใช้นาปุ๋ยเคมี เพราะต้องการทานาขึ้นมาบนฝังซึ่งดินไม่ใช่ดินโคลน ควรแก้ปัญหาด้วยการเพ่ิมพื้นท่ีดินโคลนเพ่ือให้ ผลผลิตคงเป็นเกษตรอินทรีย์ 3.1.3.1.4 การเก็บเก่ียว ในปัจจุบันชาวนาที่ทานาในทะเลสาบส่วน ใหญ่ยังนิยมใช้เคียวและแกละ ซึ่งเป็นวิถีการทานาแบบด้ังเดิมในการเก็บเก่ียวผลผลิต ท้ังที่ใช้ เวลานานและสิ้นเปลืองแรงงานในการเก็บเกี่ยว แต่เนื่องจากการทานาในทะเลสาบเพียงเล็กน้อยต่อ ครัวเรือน จึงสามารถใช้เวลาว่างจากงานอ่ืนมาเก็บเก่ียวได้ แต่ในอนาคตหากมีการขยายพ้ืนที่ เพาะปลูก ผลผลิตต่อไร่เพิ่มข้ึน การนาเคร่ืองจักร เช่น รถเก่ียวนวดข้าวมาใช้ จะช่วยประหยัดเวลา และแรงงานมากข้นึ 3.1.3.1.5 การแปรรูป ปัจจุบันบ้านปากประมีเครื่องสีข้าวขนาดเล็ก ซงึ่ ได้รบั การสนับสนนุ มาจากภาครัฐ เกบ็ รกั ษาโดยคณะกรรมการหมู่บา้ น แต่ชาวบ้านปากประไม่นยิ ม ใช้กันมากนัก เน่ืองจากนิยมนาข้าวเปลือกท่ีได้จากการทานาในทะเลสาบไปสีร่วมกับข้าวท่ีปลูกในนา หลักมากกว่า เพราะมีความสะดวก รวดเร็ว และง่ายกว่า หากชุมชนเริ่มผลิตผลิตภัณฑ์ข้าวเพ่ือ จาหน่ายในระยะเร่ิมต้น การนาเครอ่ื งสีขนาดเล็กนี้มาใช้ จึงช่วยอานวยความสะดวกให้แก่ชาวนามาก แต่ท้ังน้ีชุมชนยังขาดเคร่ืองบรรจุถุง ซึ่งมีต้นทุนสูง จึงควรรับการสนับสนุนเพิ่มเติมจากภาครัฐที่ เกย่ี วข้อง
102 3.1.3.2 การเพ่ิมมูลค่าผลิตภัณฑ์ ตลาดการค้าในปัจจุบันมีอิสรเสรีและมีการ แขง่ ขันทางดา้ นราคาสูง แต่บางผลิตภัณฑ์ไม่ไดแ้ ข่งขนั ในด้านราคาซง่ึ จะมผี ลกระทบต่อตน้ ทุน โดยหัน มาใช้กลยุทธ์การเพิ่มมลู คา่ ผลิตภัณฑ์ดว้ ยวิธีการต่างๆ ทที่ าใหส้ นิ ค้าไดเ้ ปรียบคแู่ ขง่ ผลติ ภัณฑข์ ้าวจาก นาในทะเลสาบก็เช่นเดียวกัน ในการสร้างผลิตภัณฑ์ของชุมชนสามารถใช้ความเป็นผลิตภัณฑ์ปลอด สารพิษและเกษตรอินทรยี ์มาสร้างมูลคา่ เพ่มิ ให้สินค้า ซง่ึ ในปัจจบุ นั แนวโน้มความตอ้ งการผลผลติ พืชท่ี ผลิตจากระบบเกษตรอินทรีย์ทั้งในประเทศและต่างประเทศมีอัตราการขยายตัวเพ่ิมข้ึนเรื่อยๆ เนอ่ื งจากจานวนผู้บริโภคสินค้าเกษตรอนิ ทรียเ์ ติบโตสูงข้ึนอย่างต่อเนือ่ ง โดยมสี าเหตุหลักมากจากการ ตืน่ ตัวของผู้บริโภคที่ตอ้ งการอาหารที่ปลอดภัยและกระแสความต้องการอนุรักษ์ส่ิงแวดล้อม ส่งผลให้ ผู้บริโภคหันมาใส่ใจกับอาหารและผลิตภัณฑ์ท่ีใช้เก่ียวกับร่างกายมากขึ้น รวมท้ังราคาของสินค้า เกษตรอินทรีย์ท่ีเคยมีราคาสูงและหาซ้ือได้ค่อนข้างยากในอดีต มีราคาถูกลงและสามารถหาซ้ือได้จาก ร้านค้าปลีกและซุปเปอร์มาเก็ตทั่วไป สินค้าเกษตรอินทรีย์จึงได้รบั ความสนใจในวงกว้างมากข้ึน และ คาดได้ว่าสินค้าอาหารจากเกษตรอินทรีย์จะมีอัตราการเติบโตสูงอย่างต่อเน่ืองต่อไปแต่เน่ืองจากขาด การผลักดันทางด้านนโยบายอย่างจริงจังจากภาครัฐ และเกษตรกร เจ้าหน้าท่ี ตลอดจนประชาชน ผู้บริโภค ยังขาดความรู้และความเข้าใจเก่ียวกับสินค้าเกษตรอินทรีย์ จึงทาให้ระบบและกระบวนการ ผลติ สินค้าอนิ ทรียย์ งั ไม่เป็นที่รู้จักอย่างกวา้ งขวางเทา่ ที่ควร ผลติ ภณั ฑ์ข้าวจากนาในทะเลสาบของชมุ ชนบา้ นปากประสว่ นใหญเ่ ปน็ ผลติ ภัณฑ์อินทรีย์ เกือบท้ังหมด ด้วยสภาพแวดล้อมท่ีเอื้อสมบูรณ์ทาให้ในทุกขั้นตอนการผลิตไม่จาเป็นต้องพ่ึงสารเคมี หรือส่ิงอนินทรียจ์ ากภายนอก แตก่ ็ไม่ได้เป็นข้าวอินทรียโ์ ดยสมบรู ณ์ เน่ืองจากใช้เมล็ดพันธุ์สังเคราะห์ และชาวนาบางส่วนใส่ปุ๋ยเพ่ิม ซ่ึงสามารถปรับเปลี่ยนโดยการใช้พันธ์ุข้าวท้องถ่ิน และชาวนาเป็นผู้ คัดเลือกเก็บรักษาเมล็ดพันธุ์ที่จะใช้เพาะปลูกในฤดูกาลต่อไป และเสริมสร้างความอุดมสมบูรณ์ของ ดนิ โดยการสร้างแนวโกงกาง ทาให้มีดินท่ีเหมาะสมกับต้นกล้ามากขึ้น ไม่จาเป็นต้องใช้ปุ๋ยเคมี วิธีการ ผลิตที่หลีกเล่ียงการใชส้ ารเคมีในทุกขั้นตอนการผลิต และเน้นในเรอื่ งการฟื้นฟูความอุดมสมบูรณ์ของ ธรรมชาตินี้ จึงจะทาให้ข้าวจากนาในทะเลสาบของชุมชนบ้านปากประเป็นผลิตภัณฑ์อินทรีย์อย่าง สมบูรณ์ เน่ืองจากกระแสความต่ืนตัวด้านสุขภาพและส่ิงแวดล้อม รวมท้ังการพัฒนามาตรฐานเกษตร อินทรีย์ จึงกล่าวได้ว่าชุมชนบ้านปากประมีความพร้อมในการผลิตข้าวอินทรีย์ ขาดแต่การตื่นตัวของ คนในชมุ ชนทจ่ี ะลงมือสร้างผลติ ภณั ฑ์อินทรยี อ์ ยา่ งเปน็ รปู ธรรมเท่าน้ัน 3.1.3.2 การใช้เรื่องราวเพ่ือเพิ่มมูลค่าของสินค้า การตัดสินใจเลือกซ้ือสินค้า ของผู้บริโภคอาศัยในหลายปัจจัย เช่น ความต้องการ ราคา คุณภาพ ของแถม หรือส่ิงจูงใจอ่ืนๆ ซ่ึง ปัจจัยเหล่าน้ีล้วนถูกนามาประชาสัมพันธ์เพ่ือสร้างแรงจูงใจให้ซ้ือสินค้า กลวิธีหน่ึงท่ีสามารถเข้าถึง ผู้บริโภคได้ดีคือ การสร้างเร่ืองราวให้กับสินค้า (Story of Product) ซึ่งเป็นกลวิธีท่ีทาให้ผู้บริโภค สนใจสินค้าโดยไม่ได้รู้สึกถูกยัดเยียดให้ซ้ือสินค้า และยังทาให้ผู้บริโภคได้เรียนรู้เรื่องราวของตัว ผลิตภัณฑไ์ ปด้วย การเพ่ิมคุณค่า (Added Values) ให้กับผลิตภัณฑ์ในประเทศไทยไม่ใช่เร่ืองใหม่ มีการทา กันมานาน แต่ยังจากัดอยู่ในวงแคบหรือเป็นส่วนน้อย สินค้าบางยี่ห้อมีปริมาณมากกว่า ราคากลับถูก กว่า สินค้าที่มีปริมาณน้อยกว่า และผู้บริโภคยินดีซื้อสินค้าท่ีมีปริมาณน้อยแต่ราคาสูงกว่า เพราะ คุณค่าในตัวผลิตภัณฑ์ท่ีสร้างความแตกต่างที่โดดเด่นและเป็นเอกลักษณ์กว่าผลิตภัณฑ์อื่นๆ ใน
103 ประเภทเดียวกันเช่น “กาแฟข้ีชะมด” ซึ่งเมล็ดกาแฟท่ีตัวชะมดกินเข้าไป แล้วขับถ่ายออกมา โดย ชะมดจะเลือกกินเฉพาะเมล็ดกาแฟท่ีสด ไม่เน่า ผลสุกพอดี เม่ือชะมดแทะเนื้อและกลืนเมล็ดลงไป กระบวนการย่อยจึงเปรยี บเสมือนการหมักบ่มเมล็ดกาแฟไดเ้ ป็นอย่างดี เม่ือชะมดถ่ายออกมาจึงทาให้ ได้เมล็ดกาแฟมีคุณภาพ เรื่องราวเหล่าน้ีทาให้กาแฟข้ีชะมดมีราคาสูงกว่ากาแฟตามท้องตลาดทั่วไป ราคาต่อแก้วอยู่ท่ี 500 -1,000 บาทเห็นได้ว่าปัจจัยหลักในการเลือกบริโภคคือ ลักษณะทางกายภาพ ของสินค้า และอารมณ์ความรู้สึกท่ีผู้ผลติ สามารถส่อื ให้ผู้บริโภคเพอ่ื การสร้างคุณค่าเพิ่มแก่สินค้า หาก ผลิตภัณฑ์ข้าวในทะเลสาบของชุมชนปากประ สามารถนาเสนอเร่ืองราวทางประวัติศาสตร์ความ เป็นมาของชมุ ชนที่มีต่อการปรบั ตัวต่อสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติอันเป็นเอกลักษณ์ของชุมชน และ การผลิตข้าวที่ทุกข้ันตอนเป็นการผลิตแบบอินทรีย์ก็จะสามารถสร้างคุณค่า และราคาให้สินค้าเพ่ิม มากข้ึน สิ่งสาคัญในการสร้างเรื่องราวเกี่ยวกับสินค้าเพ่ือเพิ่มมูลค่า คือการสร้างความแตกต่าง สร้าง เอกลักษณ์ และสร้างการรับรู้ให้ผู้บริโภคจดจา ช้ีให้เห็นว่าสินค้ามีคุณประโยชน์ท่ีโดเด่นจากสินค้า คู่แข่งอย่างไรซึ่งความแตกต่างของผลิตภัณฑ์เหล่าน้ี ส่งผลให้สินค้าเกษตรอินทรีย์ราคาสูงกว่าสินค้า เกษตรทั่วไป 10-20% และเม่ือมีการสร้างเรื่องราวแก่สินค้าเพ่ิมเติมมูลค่าและแรงจูงใจในการซ้ือ สินคา้ กจ็ ะเพิม่ ขึ้นอีก10 เห็นได้ว่าการสร้างผลิตภัณฑ์ข้าวอินทรีย์ของชุมชนบ้านปากประ จะเป็นการสร้างความ มั่นคงทางอาชีพให้กับคนในชุมชน เป็นก้าวแรกๆ ในการผลิตและดาเนินกิจการของชุมชน โดย ชาวบ้านสามารถเป็นผู้ผลิตและจาหน่ายด้วยตนเอง ลดต้นทุนการผลิตและไม่พ่ึงพาพ่อค้าคนกลาง สามารถพึ่งพาตนเองได้อย่างแท้จริง ที่สาคัญคือแสดงให้เห็นถึงคุณค่าของภูมิปัญญาท่ียังก่อให้เกิด ประโยชน์ในปัจจุบัน ส่งผลย้อนกลับในคนในชุมชนเกิดความภาคภูมิใจและตระหนักในคุณค่าของ ภูมิปัญญาท้องถ่ิน ซึ่งการเห็นถึงความสาคัญเหล่านี้จะส่งผลให้เกิดการสืบทอดและพัฒนาส่งต่อไป จากรุ่นส่รู ุน่ 3.1.4 การขยายพืนท่ีเพาะปลูก ในปัจจุบันพื้นท่ีบริเวณริมชายฝั่งทะเลสาบที่สามารถทานาได้มีความยาว ประมาณ 3 กิโลเมตร ส่วนท่ียังมีการทานาจริงรวมพ้ืนที่ยาวประมาณ 6 กิโลเมตร เห็นได้ว่าพ้ืนที่ เพาะปลูกข้าวในทะเลสาบลาปา ยังสามารถขยายออกไปได้อีก จากการรวบรวมข้อมลู ภาคสนามและ คน้ คว้าข้อมูลที่เก่ยี วข้อง ผูศ้ ึกษาพบวา่ มีแนวทางทีจ่ ะขยายพื้นท่ีการทานาโดยการสรา้ งแนวโกงกางซ่ึง พบว่า นาที่มีความลึกมากท่ีสุด ลึกถึง 30 เมตร เนื่องจากมีการปลูกแนวโกงกางตามแนวชายฝ่ัง ซ่ึง โกงกางเป็นพันธุ์ไม้ท่ีมลี ักษณะพิเศษคือมีรากขึ้นสงู พน้ จากพ้ืนดินและผิวน้า เพ่ือช่วยค้ายนั และพยุงลา ตน้ ไว้ จงึ ตา้ นทานกระแสน้าและลมได้เปน็ อยา่ งดี ดงั น้ันโกงกางจึงเปน็ เกราะกาบงั และลดความรุนแรง ของคลื่นลมชายฝ่ัง ช่วยดักตะกอนส่ิงปฏิกูล และสารพิษต่างๆ ไม่ให้ไหลลงไปสะสมในบริเวณชายฝ่ัง และในทะเล ในปัจจุบันมีปัญหาหลายประการ ได้แก่ การเพาะเล้ียงชายฝั่ง แหล่งชุมชน แหล่ง อุตสาหกรรม การเกษตรกรรม และกิจกรรมอื่นอีกหลายประเภทได้ขยายไปส่ชู ายฝง่ั ทะเล โดยเฉพาะ 10สานักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ, ดันสินค้าปลอดสารพิษ ตีตลาดโลก, เข้าถึงเม่ือ 15 มีนาคม 2558, เข้าถึงได้จาก http://www.acfs.go.th/read_news.php? id=4399& ntype=09
104 ในพืน้ ทปี่ ่าชายเลน จนทาให้ป่าชายเลนลดลงอย่างรวดเร็วและรนุ แรงจนนา่ เป็นห่วงในด้านการประมง ป่าชายเลนเป็นแหล่งขยายพันธ์ุ และที่อยู่อาศัยของสัตว์นานาชนิด เช่น กุ้ง อันได้แก่ กุ้งกุลาดา กุ้ง แชบ๊วย โดยมีคนศึกษาพบว่าบริเวณป่าชายเลนประเทศไทย มีกุ้งชนิดต่างๆ ประมาณ 16 ชนิด ใน ด้านสิ่งแวดล้อมปา่ ชายเลน มีความสาคัญในด้านการอนุรกั ษพ์ ื้นท่ีชายฝ่ังทะเลโดยเฉพาะช่วยลดภาระ น้าเสียและยังช่วยทาให้เกิดการงอกของแผ่นดินขยายออกไปสู่ทะเลอีกด้วย นอกจากน้ีโกงกางยังเป็น ท่ีวางไข่และฟักตวั อ่อนของสัตว์ทะเลจาพวกกุ้ง หอย ปู ปลา เน่ืองจากเป็นแหล่งผลิตอาหารโปรตีนที่ สาคัญ และไม้โกงกางยังนามาเป็นฟืน ถ่านท่ีมีคุณภาพดีมาก และนิยมนามาทาเฟอร์นิเจอร์ด้วยต้น โกงกางสามารถกระจายพันธ์ุได้โดย ผลของโกงกางจะงอกตัง้ แต่ยังอยู่บนต้น ส่วนท่ีมสี ีเขียวเปน็ หลอด ยาว ห้อยอยู่นั้นเป็นรากท่ีงอก ตัวผลคือส่วนที่เป็นก้อนสีน้าตาล ติดอยู่กับข้ัว ปลายรากจะแหลมแข็ง เมื่อหลุดจากตน้ ถ้าน้าแห้งก็จะพงุ่ ปกั ลงไปในเลน ตอนปลายท่ีมีตุ่มขรุขระจะแตกออกเป็นรากได้ทันที ส่วนตรงผลท่ีติดกับข้ัว เม่ือหลุดจากก่ิงจะเป็นยอด แตกเป็นใบในท่ีสุดนอกจากนี้ ยังพบว่าในอดีต นอกจากชุมชนบ้านปากประพืน้ ท่ีอ่นื โดยรอบทะเลสาบสงขลาก็มีการทานาในชายฝ่งั ทะเลเช่นกัน เช่น ในพื้นท่ีบริเวณทะเลนอ้ ย แตเ่ นื่องจากมีการขยายตัวของชุมชน การปรับเปลยี่ นอาชีพของคนในชุมชน ปัจจุบันจึงเหลือพื้นท่ีทานาในทะเลสาบเฉพาะบริเวณบ้านปากประ ในอนาคตจึงควรมีการศึกษา คน้ คว้าความเป็นไปไดใ้ นการทานาในพ้ืนที่อ่ืนๆ ตอ่ ไป การขยายพื้นที่เพาะปลูกในบริเวณบ้านปากประจะช่วยให้ชาวนาได้ผลผลิตมากข้ึน และ มแี รงจงู ใจในการทานามากกวา่ การทาเป็นงานรองอย่างปัจจบุ ัน ซึง่ จะสนับสนุนให้การสรา้ งผลิตภัณฑ์ ชุมชนเป็นรูปธรรมได้มากข้ึน และการขยายไปในพ้ืนที่อ่ืนๆ ยังช่วยสร้างอาชีพให้คนในพื้นที่น้ัน และ ใช้ประโยชน์จากทรัพยากรทางธรรมชาติอย่างคุ้มค่า อีกท้ังอาจก่อให้เกิดการรวมกลุ่มหรือสร้าง เครอื ขา่ ยเพือ่ การพฒั นาภูมิปัญญาอยา่ งม่ันคงในอนาคต 3.2 การประสานความรว่ มมอื กับหน่วยงานภายนอก เมอื่ ชมุ ชนมีความเข้มแข็งในการดาเนินงานภูมปิ ัญญาในระดับหน่ึงแล้ว ควรมีการรับ การสนับสนุนจากหน่วยงานภายนอกบางประการเพ่ือเสริมสร้างศักยภาพในกิจกรรมการดาเนินงาน ตา่ งๆ อีกท้ังยงั เป็นกลไกหน่ึงในการปกป้องปัจจัยภายนอกท่ีอาจกระทบกับการดารงอยู่ของภมู ิปญั ญา เช่น นโยบายการพฒั นาสาธารณูปโภคภาครัฐ เป็นการสร้างการมีตัวตนของภูมิปัญญาในส่วนราชการ ทัง้ น้ใี นการรับการสนับสนุนจากภาครัฐ ไมค่ วรรบั มาท้ังหมด ควรแสดงจุดยนื และรบั การสนับสนุนใน สว่ นที่คนในชุมชนไดร้ ว่ มกันพิจารณาแลว้ ว่ามีความเหมาะสมตามแนวทางที่ชุมชนได้ร่วมกันกาหนดไว้ รวมท้ังเพ่ือประชาสัมพันธ์ภูมิปัญญาให้เป็นท่ีรู้จักอย่างแพร่หลายในวงกว้าง ซ่ึงในส่วนของภูมิปัญญา การทานาในทะเลสาบของชุมชนบ้านปากประ มีแนวทางในการประสานเช่ือมโยงกับหน่วยงาน ภายนอก ดงั น้ี 3.2.1 การเช่ือมโยงจุดท่องเทยี่ วเชิงนเิ วศวัฒนธรรมกบั พนื ทีใ่ กลเ้ คยี ง แหล่งท่องเที่ยวเชิงนิเวศวัฒนธรรม เป็นแหล่งท่องเท่ียวที่มีลักษณะทาง ธรรมชาติเป็นเอกลักษณ์เฉพาะถ่ิน และมีเร่ืองราวทางวัฒนธรรมที่เก่ียวเน่ืองกับระบบนิเวศเข้าไป เกี่ยวข้อง มุ่งเน้นการดาเนินการแหล่งท่องเท่ียว โดยการจัดกระบวนการเรียนรู้ร่วมกันของผู้ที่ เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะการมีส่วนร่วมของคนในชุมชน มีกิจกรรมที่ส่งเสริมให้เกิดการเรียนรู้เกี่ยวกับ
105 ระบบนิเวศและวัฒนธรรมในพ้ืนท่ีน้ัน รวมทั้งการมุ่งเน้นให้เกดิ จิตสานึกตอ่ การรักษาระบบนิเวศอย่าง ยั่งยนื จังหวัดพัทลุงได้พยายามผลักดันตัวเองเป็นเมืองแห่งการท่องเท่ียวเชิงอนุรักษ์ ต้ังแต่ในปี 2557 – 2560 ได้ดาเนินการแผนส่งเสริมการท่องเท่ียวเชิงอนุรักษ์ โดยมียุทธศาสตร์เพ่ือพัฒนาแหล่ง ศิลปวัฒนธรรม รวมทั้งแหล่งมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของท้องถิ่นเป็นพื้นที่ท่องเท่ียว และจัดการ ศึกษาเพื่อพัฒนาและบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติและส่ิงแวดล้อม การเกษตรยั่งยืนและการ ท่องเท่ียวเชิงอนุรักษ์ รวมทั้งนาภูมิปัญญาท้องถ่ินสู่สากลสนับสนุนการสร้างเครือข่ายความร่วมมือเพ่ือ สืบสาน ส่งเสรมิ และพัฒนาภูมิปัญญาท้องถิ่นสูส่ ากล ทานุบารงุ ศิลปวัฒนธรรม ประเพณีท้องถิ่น11 ในส่วน ขององค์การบริหารส่วนตาบลลาปา มีแผนงานด้านการส่งเสริมที่เก่ียวเน่ืองในระหว่างปี พ.ศ. 2557-2559 ได้แก่ ปรับปรุงและพัฒนาสถานที่ท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ เกษตร นเิ วศน์ และวัฒนธรรมโครงการจัดตง้ั ตลาด น้าคลองปากประ หมู่ที่ 11 ตาบลลาปา การจัดต้งั ศนู ยเ์ รียนรู้การเกษตรตาบลลาปาจัดทาวารสาร แผน่ พับ แผ่นปลิวประชาสัมพันธ์ โครงการส่งเสริมและสืบทอดภูมิปัญญาท้องถิ่นโครงการรณรงค์อนุรักษ์ป่าไม้ ชายฝ่ังทะเลโครงการปลูกป่าชายเลน โครงการพัฒนาแหล่งท่องเท่ียวเชิงอนรุ ักษ์12 ชนุ ชนบ้านปากประ ตั้งอยู่ระหว่างแหล่งท่องเที่ยวที่สาคัญของจังหวัดพัทลุง คือ ด้านทิศ ใต้ติดหาดแสนสุขลาปา ซ่ึงเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่มีสาธารณูปโภคพร้อมสาหรับรองรับนักท่องเท่ียว ได้จานวนมาก มีกิจกรรมการท่องเท่ียวท่ีหลากหลายและเป็นแหล่งพักผ่อนหย่อนใจที่สาคัญของชาว พัทลุง ด้านทิศเหนือติดทะเลน้อย ซ่ึงเป็นแหล่งนกน้าและบึงบัวขนาดใหญ่ เป็นแหล่งท่องเท่ียวที่ สาคัญและมีลักษณะเฉพาะแหล่งหนึ่งของประเทศ โดยมีถนนสายปากประ ตัดเลียบริมฝั่งทะเลสาบ ลาปาเชื่อมต่อเส้นทางระหว่างชุมชนลาปาและชุมชนทะเลน้อย นอกจากการทานาในทะเลแล้ว วิถี ชีวิตของชาวปากประยังมีอีกหลายส่วนท่ีน่าสนใจ และมีศักยภาพเพียงพอในการเปิดรบั การท่องเที่ยว หรือพัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงนิเวศวัฒนธรรม อาทิ การยกยอยักษ์บริเวณปากคลองปากประ การทางานฝีมือหัตถกรรมพ้ืนบ้าน การประมงพื้นบ้าน เป็นต้นเห็นได้ว่าชุมชนบ้านปากประ มี ศักยภาพเพียงพอใน การเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงนิเวศวัฒนธรรม สามารถดึงดูดนักท่องเท่ียวให้ เข้ามาเท่ียวชมได้ ท้ังในด้านธรรมชาติที่งดงาม วิถีชีวิตผู้คนท่ีน่าสนใจอีกทั้งมีทาเลที่ต้ังท่ีสะดวก แก่การเดินทาง สามารถ เข้าถึงแหล่งท่องเที่ยวได้ง่ายและมีความหลากหลายของกิจกรรมท่องเท่ียว อีกทั้งในปัจจุบันยังเร่ิมมีร้านอาหาร กิจกรรมการท่องเท่ียว และเร่ิมได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐ อีกด้วย 3.2.2 การดาเนินงานภายใต้โครงการพัฒนาลุมนาทะเลสาบสงขลา จากปัญหาการรุกล้าป่าต้นน้าในพื้นที่ลุ่มน้าทะเลสาบสงขลาทวีความรุนแรง ขึ้นเร่ือย จนกระทบต่อความอุดมสมบูรณ์และทรัพยากรธรรมชาติโดยรวม ในปี พ.ศ. 2545 รัฐบาล 11จังหวัดพัทลงุ , แผนพัฒนาจงั หวัด 4 ปี (2557-2560) เขา้ ถึงเมือ่ 30 เมษายน 2558, เข้าถึงได้จาก http://www.phatthalung.go.th/develop_plan/load/?filepath=files/com_develop_ plan/ 2015-01/20150128_sggvqmyt.zip&filename=Plan%204%2057-60.zip&id=6 12องค์การบริหารส่วนตาบลลาปา, แผนพัฒนา อบต. 3 ปี, เข้าถึงเม่ือ 30 เมษายน 2558, เขา้ ถงึ ไดจ้ าก http://www.lampam.go.th/datacenter/detail.php?news_id=213
106 จึงมีนโยบายฟื้นฟูและวางแนวทางการพัฒนาลุ่มน้าทะเลสาบสงขลาในระยะยาว โดยแต่งตั้ง คณะกรรมการพัฒนาลุ่มน้าทะเลสาบสงขลา เมื่อวันท่ี 17 ธันวาคม 254513 โดยมุ่งวางแนวทางการ ดาเนินงานเกี่ยวกับลุ่มน้าทะเลสาบสงขลาในทุกด้านทั้งด้านทรัพยากรธรรมชาติ เศรษฐกิจ สังคม และศิลปวัฒนธรรม ด้วยการจัดตั้งโครงการพัฒนาลุมน้าทะเลสาบสงขลา โดยสานักงานนโยบาย และแผนทรัพยากรธรรมชาติและส่ิงแวดล้อม ได้มอบหมายให้มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ โดย คณะการจัดการสิ่งแวดล้อม และหน่วยงานเครือข่ายดาเนินการศึกษาแนวทางการพัฒนาลุ่มน้า ทะเลสาบสงขลา และจัดทาแผนแม่บทการพัฒนาลุ่มน้าทะเลสาบสงขลา เพื่อแก้ไขปัญหาที่เกิด ขึ้นกับลุ่มน้าทะเลสาบสงขลา รวมท้ังให้ข้อเสนอแนะและกาหนดมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อมลุ่มน้า ทะเลสาบสงขลาอย่างเหมาะสมโดยแผนแม่บทการพัฒนาลุ่มน้าทะเลสาบสงขลา พ.ศ. 2553-255914 ซ่ึงมีวัตถุประสงค์หลักเพ่ือบริหารจัดการให้เกิดความสมดุลของมิติการพัฒนาใน 3 ด้าน ได้แก่ นิเวศ เศรษฐกิจ และสังคม โดยการมีส่วนรว่ มอย่างเข้มแข็งของทุกภาคสว่ นในส่วนมติ ิด้านนิเวศเน้นอนรุ ักษ์ ฟื้นฟูระบบนิเวศลุ่มน้าทะเลสาบสงขลาให้มีความสมบูรณ์และมีความหลากหลายทางชีวภาพ เป็นเอกลักษณ์ที่สวยงามท้ังทางธรรมชาติ ศิลปวัฒนธรรม และภูมิปัญญาท้องถิ่น เพื่อให้คนใน ลุ่มน้าได้ใช้ประโยชน์ในการดารงชีวิตอย่างม่ันคง เพียงพอและมีคุณภาพชีวิตที่เหมาะสมมิติ ด้าน เศรษฐกิจ เน้นการจัดการการใช้ทรัพยากรธรรมชาติอยา่ งประหยัดและมีประสิทธิภาพ เพ่ือสนับสนุน ทางเศรษฐกิจและอุปโภคบริโภค โดยไม่กระทบทางลบแก่สภาพแวดล้อมและสามารถใช้ประโยชน์ ได้ต่อเนื่องยาวนาน และมิติด้านสังคม เน้นจัดสรรและแบ่งปันบทบาทในการอนุรักษ์ ฟื้นฟู สงวน รักษา และการใช้ประโยชน์จากธรรมชาติให้แก่ภาคส่วนต่างๆ ร่วมรับผิดชอบร่วมกัน เพ่ือการ ดารงชีวติ ที่มีคณุ ภาพร่วมกนั แผนแม่บทฉบับนี้ประกอบด้วย 5 ยุทธศาสตร์15ซึ่งพบว่ามีความเช่ือมโยง กับการทานาในทะเลสาบของบ้านปากประในยุทธศาสตร์ท่ี 2 ยุทธศาสตร์ที่ 4 และยุทธศาสตร์ที่ 5 ดงั น้ี ยุทธศาสตร์ที่ 2 การใช้ประโยชน์ทรัพยากรลุ่มน้าแบบบูรณาการและใช้อย่างยั่งยืน มาตรการที่ 1 จัดการทรัพยากรดินและการใช้ประโยชน์ท่ีดินโดยรอบทะเลสาบให้เหมาะสมกับ ศักยภาพทางธรรมชาติ และความพอเพียงของทรัพยากรน้าท่ีมีอยู่ เพ่ือเพิ่มมลู ค่าทางเศรษฐกิจในการ ใช้พื้นท่ี ขณะเดียวกันต้องไม่ก่อให้เกิดผลกระทบทางส่ิงแวดล้อมและธารงไว้ซ่ึงวัฒนธรรมที่มีคุณค่า ของท้องถน่ิ 13สานักโครงการพระราชดาริและกิจการพิเศษ กรมป่าไม้, โครงการพัฒ นา ลุมนาทะเลสาบสงขลา, เข้าถึงเม่ือ 15 มีนาคม 2559, เข้าถึงได้จาก http://www.forest.go.th/ orip/index.php? option=com_content&view=article&id=328&Itemid=441&lang=th 14สานกั นโยบายและแผนทรพั ยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม, แผนแม่บทการพฒั นาลุ่ม นาทะเลสาบสงขลา พ.ศ. 2553-2559, เข้าถึงเมื่อ 15 มีนาคม 2559, เข้าถึงได้จาก www.onep.go.th/ index.php%3 Foption%3 Dcom_content%2 6 view%3 Darticle%2 6 id%3 D3 1 2 7 :-2 5 5 6 - 2559% 26 catid%3D138:2012-02-28-02-54-08% 26Itemid%3D303+&cd=1&hl=en &ct=clnk&gl=th 15เรือ่ งเดยี วกนั .
107 ยุทธศาสตร์ท่ี 4 การอนุรักษ์ ฟ้ืนฟู บูรณะ ศิลปวัฒนธรรม แหล่งประวัติศาสตร์ โบราณคดี ภูมิปัญญาท้องถ่ิน และแหล่งท่องเท่ียวทางธรรมชาติและวัฒนธรรมโดยอนุรักษ์ ฟ้ืนฟู พัฒนาและรื้อฟื้น และใช้ประโยชน์ภูมิปัญญาท้องถ่ินด้ังเดิมให้สมคุณค่าและเหมาะสม โดยให้ ความสาคัญกับการวิจัยค้นคว้าและหาแนวทางการพัฒนาที่เหมาะสม การพัฒนาเครือข่ายข้อมูล ภูมิปัญญาท้องถิ่นและศิลปกรรม และการจัดตั้งสถาบันการเรียนรู้และสืบทอดภูมิปัญญาชาวบ้าน พัฒนาเครือข่ายการเรียนรู้และเชื่อมโยงข้อมูลด้านภูมิปัญญาท้องถ่ินสนับสนุนก ารท่องเท่ียวแบบ ย่ังยืนให้สอดคล้องกับศักยภ าพของแต่ละพ้ืนที่โดยคานึงถึงประโยชน์ของชุมชนโดย มีแผน งาน เร่งด่วน ได้แก่แผนงานเสริมสร้างการเรียนรู้และความตระหนักในคุณค่าลุ่มน้าเพื่อเน้นสร้างจิตสานึก ให้เกิดความรัก หวงแหนลุ่มน้าทะเลสาบสงขลา เช่น การสร้างสื่อการเรียนรู้ การจัดต้ังสภาบันการ เรียนรู้ของชาวบ้าน ศูนย์ส่งเสริมการเรียนรู้ภูมิปัญญาท้องถิ่น การส่งเสริมการเรียนการสอนความรู้ ท้องถิ่นในเยาวชน เป็นต้น แผนงานอนุรักษ์ ฟื้นฟู บูรณะ คุ้มครอง ศิลปวัฒนธรรม และแหล่ง ประวัติศาสตร์ โบราณคดีและแผนงานส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์และเชิงอนุรักษ์เช่น การส่งเสริมความหลากหลายของรูปแบบและกิจกรรมการท่องเท่ียวเชิงอนุรักษ์ การบริหารจัดการ แหล่งท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนการพัฒนาโครงสร้างพ้ืนฐานและสิ่งอานวยความสะดวกตามความ เหมาะสม ยุทธศาสตร์ที่ 5 การเพิ่มประสิทธภิ าพการบรหิ ารจัดการลุ่มนา้ ทะเลสาบสงขลา โดยเน้น กระบวนการมีส่วนร่วมของประชาชนเปดิ เวทีให้ประชานได้แสดงความคดิ เหน็ ผลักดันให้มีกลไกพฒั นา วฒั นธรรมการเรียนรู้ภาคประชาชน เช่น วิทยาลยั ภูมิปัญญาท้องถิ่น โดยมีนกั วิชากรในพื้นที่ช่วยชี้นา อบรมบ่มฝัก ชุมชน และร่วมกันแสวงหาองค์ความรู้เพื่อร่วมมือกันพัฒนาลุ่มน้าไปในทิศทางท่ี เหมาะสม จากยุทธศาสตร์และแผนการดาเนนิ งานในการพัฒนาลุม่ น้าทะเลสาบสงขลา เหน็ ไดว้ า่ ให้ ความสาคัญในการฟ้ืนฟทู รัพยากรธรรมชาติให้กลับมามคี วามสมดุล โดยอาศยั การมีสว่ นรว่ มจากระชา ชนในท้องถิ่น และเน้นในการอนุรักษ์ สืบสานภูมิปัญญาท้องถิ่น ซึ่งสอดคล้องการการทานาใน ทะเลสาบซึ่งเป็นภูมิปัญญาที่แสดงให้เห็นถึงการใช้ชีวิตอย่างสมดุลในการพ่ึงพากันระหว่างคนกับ ธรรมชาติอย่างเกิดประโยชน์สูงสุด และไม่เกิดผลกระทบใดๆ ต่อสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติ ทั้งนา ในทะเลสาบยังเป็นส่วนหนึ่งในการอนุบาลสัตว์น้าขนาดเล็กในลักษณะเดียวกับป่าชายเลน การ ประสานความร่วมมือกับโครงการพัฒนาลุ่มน้าทะเลสาบสงขลาจึงจะช่วยให้เกิดการศึกษาวิจัยในเชิง ลึก โดยเฉพาะในกระการด้านวิทยาศาสตร์เก่ียวกับดิน น้า และพันธ์ุข้าว ซ่ึงจะช่วยให้เกิดการพัฒนา ตอ่ ยอดในอนาคตไดอ้ ยา่ งมปี ระสทิ ธิภาพ ภูมิปัญญาการทานาในทะเลสาบของชุมชนบ้านปากประมีความโดดเด่น และมี ลักษณะเฉพาะแต่ในปัจจุบันการทานาในทะเลสาบลดลง ซ่ึงเกิดจากการไม่ตระหนักในคุณค่าและ ความสาคัญของภูมิปัญญาจากภายในชุมชน ในการส่งเสริมให้เกิดการอนุรักษ์และสืบสานภูมิปัญญา จึงควรเน้นการดาเนินงานจากภายในชุมชน เร่ิมต้ังแต่การจัดต้ังกลุ่มชาวนาเพ่ือสร้างเครือข่าย ความสัมพันธ์ระหว่างชาวนาทีท่ านาในทะเลสาบ ซึ่งจะนาไปสู่กระบวนการต่างๆ เช่น การจัดเก็บองค์ ความรู้ภมู ปิ ญั ญาอย่างเปน็ รูปธรรม การจัดกิจกรรมทเี่ กี่ยวเนื่อง การจดั ตงั้ ศูนย์การเรียนรู้ การสง่ เสริม
108 ภูมิปัญญาการทานาในทะเลสาบเป็นหลกั สูตรท้องถ่ิน การสรา้ งผลิตภัณฑ์ข้าวอินทรีย์ของชุมชน และ การขยายพื้นที่เพาะปลูก นอกจากน้ี ภายหลังท่ีชุมชนมีความเข้มแข็งแล้วควรมีมีการเลือกรับการ สนับสนุนจากภายนอกตามความเหมาะสม เพื่อส่งเสริมให้มีการทานาในทะเลสาบอย่างกว้างขวาง และปกป้องภมู ปิ ัญญาทอี่ าจได้รบั ผลกระทบจากภายนอก
บทท่ี 6 บทสรุปและข้อเสนอแนะ บทสรุป ผลจากการศึกษาเก่ียวกับภูมิปัญญาการทานาในทะเลสาบของชุมชนบ้านปากประ ตาม แนวคิดภูมิปัญญาท้องถ่ิน โดยการเน้นศึกษาข้อมูลโดยการลงพ้ืนที่ชุมชนประกอบกับศึกษาเอกสารที่ เก่ียวข้อง โดยมีวัตถุประสงค์เพ่ือศึกษาและเก็บรวบรวมข้อมูลภูมิปัญญา ผลกระทบและการ เปล่ียนแปลงที่เกิดขึ้น และเสนอการจดั การอยา่ งยง่ั ยืน สามารถแบ่งข้อมูลไดเ้ ป็น 3 ส่วน ดังนี้ 1. ความเปน็ มาและพฒั นาการการทานาในทะเลสาบของชมุ ชนบ้านปากประ 2. ศักยภาพและปัจจัยทส่ี ่งผลตอ่ การสบื สานภมู ปิ ัญญา 3. แนวทางการสบื สานภมู ิปญั ญาอย่างย่ังยนื 1. ความเปน็ มาและพฒั นาการการทานาในทะเลสาบของชมุ ชนบา้ นปากประ บ้านปากประ ต้ังอยู่ตอนบนสุดของทะเลสาบสงขลาตอนกลางหรือที่เรียกว่า ทะเลสาบลาปา มีอาณาเขตระหว่างบา้ นชายคลอง ตาบลทะเลนอ้ ย อาเภอควนขนุน จังหวัดพทั ลุง ลง มาถึงบ้านป่าลิไลยก์ ตาบลลาปา อาเภอเมือง จังหวัดพัทลุง ด้านตะวันออกติดกับทะเลสาบ คลองปาก ประตั้งอยู่ระหว่างทะเลน้อยและทะเลสาบลาปาหรือทะเลสาบสงขลาตอนกลาง เป็นลาคลองท่ีมีความ กว้างและลึกที่สุดของจังหวัดพัทลุงระบายน้าลงสู่ทะเลสาบสงขลา บ้านปากประอยู่ตอนบนสุดของ ทะเลสาบสงขลาตอนกลาง ซ่ึงมีคลองปากประเป็นเขตแบ่งระหว่างทะเลน้อย มีถนนสายปากประ เชื่อมต่อระหว่างหาดแสนสุขลาปากับอุทยานนกน้าทะเลน้อย ห่างจากตัวเมืองพัทลุงมาทางทิศเหนือ ประมาณ 30 กิโลเมตร บ้านปากประมีภูมิประเทศเป็นท่ีราบลุ่มชายฝ่ังทะเลสาบ พ้ืนท่ีลาดเทจากทิศ ตะวันตกไปสู่ชายฝั่งทะเลสายในทิศตะวันออกมีคลองปากประไหลจากทิศเหนือของหมู่บ้าน และลาน้า สายเลก็ 3 สาย ไหลจากทิศตะวันตกลงสู่ทะเลสาบ ปจั จุบันบา้ นปากประอยู่ภายใตก้ ากับขององค์การบรหิ ารสว่ นตาบลลาปา อาชีพหลักของ ชาวบ้านปากประคือ การประกอบอาชีพด้านเกษตรกรรม การประมง และปศุสัตว์ ด้านเกษตรกรรม มีการทานาเป็นอาชีพหลักท้ังในบริเวณท่ีราบในพ้ืนที่หมู่ท่ี 2 ตาบลลาปา ซ่ึงอยู่ในบริเวณติดกันเพื่อ ขาย และทานาในทะเลสาบลาปาเพ่ือบริโภคในครัวเรือน นอกจากนี้ยังมีการปลูกยางพารา ปาล์ม น้ามัน และปลูกผักสวนครัว เช่น พริก มะเขือ เพ่ือขายและบริโภค ด้านการประมง หาสัตว์น้าใน ทะเลสาบสงขลา ซึ่งเป็นมีขนาดเล็ก นิยมนามาแปรรูป ตากแห้ง ขายและบริโภคในครัวเรือน โดยมี พ่อค้ามารับซ้ือถึงบ้าน ส่วนด้านปศุสัตว์มีการเลี้ยงวัวเน้ือเป็นจานวนมาก และมีฟาร์มโคนมขนาดเล็ก กระจายอยู่หลายครัวเรือน ตามนโยบายส่งเสริมการเลี้ยงโคนมเพ่ือส่งน้านมดิบให้แก่โรงงานผลิตนม จังหวดั พทั ลงุ 109
110 แตเ่ ดิมมีการตัง้ ชุมชนที่คลองปากประลกึ เข้ามาจากชายฝ่งั ทะเลสาบประมาณ 500 เมตร ยาวนานมามากกว่าศตวรรษ ส่วนพื้นที่บริเวณชายฝ่ังทะเลสาบเป็นพงหญ้าและป่าพรุ เร่ิมแรกมีเพียง 4-5 ครวั เรือน เร่มิ มกี ารขยายตวั ของชุมชนอย่างชดั เจนในชว่ งสงครามโลกครง้ั ที่ 2 เน่อื งจากการขยาย พนื้ ท่ีทากินจากชมุ ชนในพนื้ ท่ีใกล้เคียงจากชุมชนควบถบ ชุมชนทะเลน้อย และชุมชนลาปา เมือ่ เขา้ มา ตงั้ ถ่ินฐานก็ได้หักร้างถางพงเพื่อจับจองที่ดินทานาในบริเวณพ้ืนที่หมู่ 2 ตาบลลาปาในปัจจุบัน ซง่ึ ห่าง จากชายฝ่ังทะเลสาบเข้าไปประมาณคร่ึงกิโลเมตร ต่อมาในปี พ.ศ. 2518-2519 เกิดวิกฤตการณ์ทาง การเมือง “กรณีถังแดง” ชาวนาในพ้ืนท่ีอาเภอระโนดถูกกล่าวหาว่าเป็นคอมมิวนิสต์ จึงได้มีการ หลบหนีทางการมาตงั้ รกรากท่ีริมคลองปากประ ซึ่งอย่ฝู ่ังตรงขา้ มฝั่งทะเลสาบ จึงมีการขยายครวั เรอื น เพิ่มขึ้นอย่างรวดเรว็ ท้ังนีร้ ะหว่างชุมชนทะเลสาบสงขลาฝั่งตะวนั ตกและฝ่ังตะวันออกมกี ารไปมาหาสู่ กันอย่เู สมอตั้งแต่อดตี โดยใช้วัฒนธรรมเกลอเช่ือมสายสัมพันธ์ระหว่างกนั เนือ่ งจากการทานาในอดีตช่วงก่อนปี 2500 เป็นการทานาแบบด้ังเดิม ใช้แรงงานคนและ ตอ้ งอาศัยฝนฟ้าเป็นหลัก หากปีไหนฝนไมต่ ้องตามฤดกู าลนาข้าวเสียหาย ผลผลิตก็ไม่เพียงพอต่อการ ยงั ชีพ ชาวนาจึงทดลองหวา่ นเมล็ดข้าวบริเวณชายฝ่ังทะเลสาบ ในช่วงเดือนพฤษภาคม-มิถุนายน ซ่ึง นา้ ในทะเลสาบลดระดับต่าสุด และเนื่องจากเป็นช่วงต้นฤดูฝนลองปากประจึงระบายน้าจดื ออกมาขับ ไลน่ ้าเคม็ บรเิ วณชายฝง่ั ทะเลบา้ นปากประ บริเวณชายฝั่งจึงมีลักษณะเปน็ ดนิ โคลนรว่ นซยุ เช่นเดยี วกับ ผืนนาก่อนการหว่านดา เพ่ือเป็นนาข้าวสารอง ทดแทนใช้บริโภคในครัวเรือน และทานาในทะเลสาบ สืบต่อกันมาจนปัจจุบนั โดยผู้ศึกษาได้แบ่งพัฒนาการการทานาในทะเลสาบของชุมชนปากประเปน็ 3 ชว่ ง คอื ช่วงระหวา่ ง พ.ศ. 2470-2530 ซ่งึ เป็นช่วงเรม่ิ แรกของการทานาจนถงึ ช่วงท่ีมกี ารเปลยี่ นแปลง วิถีชีวติ ของชุมชนจนทาใหก้ ารทานาในทะเลสาบลดลง ช่วงต่อมาคือ พ.ศ.2531-2555 ซง่ึ การทานาใน ทะเลสาบซบเซาลง และชว่ ง พ.ศ. 2556-2558 ซง่ึ เร่ิมมีกระแสฟน้ื ฟูการทานาในทะเลสาบ ดังน้ี 1.1 ช่วงเร่ิมแรก (พ.ศ. 2470-2530) นายเป้ือน ชายแก้ว ชาวบ้านปากประ อายุ 87 ปี เล่าว่า แม่ของตนคือ นางแก้ว ชายแก้ว เป็นผู้ริเร่ิมการทานาบริเวณริมชายฝ่ังทะเลสาบลาปา เนื่องจากบางคร้ังนาที่ทา บนฝั่งได้ผลผลิตไม่ดี นางแก้วเห็นว่าดินบริเวณชายฝั่งทะเลสาบเป็นดินโคลนที่มีความอุดมสมบูรณ์ น่าจะเหมาะแก่การเพาะปลูกข้าว จึงได้ทดลองหว่านข้าวในช่วงเดือนพฤษภาคมซ่ึงเป็นช่วงน้าลด เมื่อถึงฤดูเก็บเกี่ยวปรากฏว่าได้ผลผลิตดีมาก เพื่อนบ้านจึงหันมาทานาในทะเลสาบด้วย ในอดีตดิน บริเวณไหนที่เห็นว่าอุดมสมบูรณ์ก็ปลูกข้าวกันท้ังนั้น อย่างท่ีบ้านทะเลน้อยซึ่งอยู่ใกล้ ๆ กัน ก็ยัง ปลูกข้าวท่ีใต้ถุนบ้าน เพราะจะสร้างบ้านยกใต้ถุนสูงยื่นออกไปบริเวณชายฝ่ัง ดินที่ใต้ถุนบ้านเป็น ดินโคลนเหมาะแกก่ ารเพาะปลูกเช่นเดียวกับที่บ้านปากประ การทานาในทะเลสาบจะเริ่มข้ึนในช่วงที่ น้าทะเลลดต่าที่สุดในรอบปี คือประมาณช่วงเดือนพฤษภาคม-กรกฎาคม ในอดีตชาวบ้านปากประ จะเร่ิมการหว่านดาตั้งแต่เดือน พฤษภาคม เนื่องจากใช้พันธ์ุข้าวพื้นเมืองที่มีระยะการเจริญเติมโต จนเก็บเก่ียวประมาณ 4-5 เดือนแต่ต่อมาเริ่มนิยมใช้พันธุ์ข้าวเบาจากการส่งเสริมกรมการข้าวซึ้งใช้ ระยะเวลาเพาะปลูกถึงเก็บเกี่ยวเพียง 3-4 เดือนเท่านั้นจึงเริ่มต้นการทานาในช่วงเดือนมิถุนายน- กรกฎาคมแล้วแต่ความพร้อมของชาวนาแต่ละคนเน่ืองจากบริเวณชายฝ่ังทะเลสาบมีลักษณะเป็น ดินโคลนท่ีทับถมกัน ดินจึงมีความอุดมสมบูรณ์ มีความร่วนเหมาะสมกับการหว่านดา ชาวนาจึงไม่ต้อง ไถแปรหรือปรับหน้าดินอีก ในระหว่างต้นข้าวเร่ิมเจริญเติบโตเป็นต้นกล้าจะยังไม่มีความแข็งแรงพอ
111 เม่ือมีกระแสน้าเค็มหนุนจะส่งผลให้ต้นกล้าเสียหาย ชาวนาจะหว่านหรือนาต้นกล้าที่แข็งแรงแล้ว มาปักดาซ่อมนา ในส่วนท่ีเสียหาย จนต้นกล้าสูงประมาณ 30 เซนติเมตรจึงจะลงรากลึก แข็งแรง สามารถต้านทานกระแสคล่ืน กระแสลมได้เป็นอย่างดี ด้วยเหตุนี้ต้นข้าวในนาผืนเดียวกันจึงไม่ได้ ออกรวงพร้อมกันเสมอไปภายหลังจากต้นข้าวสามารถยืนต้นได้อย่างม่ันคงแล้ว สามารถเจริญเติบโต งอกงาม โดยชาวนาไม่จาเป็นต้องบารุงรักษาหรือใส่ปุ๋ยเพ่ิมเติมอีกท้ังต้นข้าวจะกลายเป็นท่ีอยู่อาศัย ของสัตว์น้าขนาดเล็กด้วยเม่ือข้าวเริ่มออกรวงเต็มที่ราวช่วงเดือนกันยายน-ตุลาคม ชาวนาจะเร่ิมทา การเก็บเกี่ยว ด้วยมีท่ีนาเพียงคนละ 1 หัวท่อน มีพื้นที่ไม่มากนัก จึงไม่ต้องใช้แรงงานจานวนมาก สามารถทาคนเดียว ได้ โดยใช้เคียวหรือแกละเป็นอุปกรณ์ในการเก็บเกี่ยว เมื่อเกี่ยวแล้วจะมัด เป็นช่อขนาดหนึ่งกามือ วางไว้บนต้นข้าวที่ถูกเกี่ยวไปแล้ว เม่ือเก่ียวหมดจึงจะเก็บนามากองรวมกัน ไว้บนฝั่ง เพื่อจะลาเลียงข้าวไปเก็บไว้ยังเรินข้าวเพื่อนวดข้าวและจัดเก็บไว้สาหรับบริโภคในครัวเรือน ตอ่ ไป ในช่วงก่อนปี พ.ศ. 2530 ชาวนาบ้านปากประทุกครัวเรือนจะประกอบพิธีทาขวัญข้าว เพ่ือบูชาและแสดงความกตัญญูต่อพระแม่โพสพ โดยมีหมอขวัญเป็นผู้ประกอบพิธกี รรม ชาวปากประ ไม่เน้นพิธีกรรมที่มีความซับซ้อน มีเพียงการวางเซ่นเคร่ืองบูชา กล่าวคาทาขวัญข้าว กราบไหว้ และ อธิษฐานจิต แล้วนาข้าวที่ตัดในคราวแรกน้ันห่อด้วยผ้าขาวแยกเก็บไว้ต่างหากในเรินข้าว เพ่ือเก็บไว้ เปน็ ขวัญข้าว 1.2 ช่วงซบเซา (พ.ศ. 2531-2555) ชุมชนบ้านปากประ ต้ังอยู่ในพื้นที่ท่ีอุดมสมบูรณ์มีทรัพยากรเพียงพอสาหรับ การยังชีพ ส่งผลให้โครงสร้างของสังคมมีความเปลี่ยนแปลงช้า แต่ไม่อาจหลีกหนีปัจจัยภายนอกได้ ภายหลงั ปี พ.ศ. 2530 มีการเพิม่ ขึน้ ของประชากรอยา่ งรวดเร็ว มีการตัดถนนลาดยางเชอ่ื มต่อระหวา่ ง ตาบลลาปาและตาบททะเลน้อย ทาให้การคมนาคมสะดวกมากข้ึน รวมทั้งภาครัฐในขณะนั้นมุ่งเน้น สนับสนุนให้เกษตรกรผลิตเพ่ือขาย ใช้เทคโนโลยีและสารเคมีเพื่อเพิ่มผลผลิต มีการสร้างระบบ ชลประทานซ่ึงช่วยให้ทานาได้ปีละ 2-3 ครั้ง ชาวนาสามารถผลิตข้าวจากท่ีนาในหมู่ท่ี 2 จานวนมาก ประกอบกับการนิยมส่งลูกหลานไปเรียนต่อในตัวเมืองมากกว่าการให้สืบทอดอาชีพทานา อีกทั้ง ชาวนาบางส่วนได้หันไปประกอบอาชีพอ่ืนๆ เช่น การทาสวนปาล์มน้ามัน สวนยางพารา เลี้ยงวัวนม เป็นต้น การทานาในทะเลสาบซงึ่ เปน็ ปจั จยั รองในการดารงชวี ิตจึงถกู ลดทอนบทบาทลงเร่ือยๆ นอกจากนี้ การเข้ามาสนับสนุนด้านการเกษตรของภาครัฐ ยังส่งผลให้เกิดความ เปล่ียนแปลงในเรื่องต่างๆ เช่น การใช้พันธ์ุข้าวเบาท่ีใช้ระยะเวลาเพาะปลูกถึงเก็บเก่ียวเพียง 3 -4 เดอื น แทนพันธขุ์ า้ วท้องถ่ิน ฤดูการทานาในทะเลสาบจึงเลือ่ นไปในชว่ งเดือนมถิ นุ ายน-กรกฎาคม และ มีชาวนาบางส่วนทดลองใช้ปุ๋ยเคมีมาบารุงดินในส่วนที่ติดชายฝ่ังเพ่ือขยายเขตปลูกข้าวข้ึนมาบนฝั่ง เน่ืองจากดินค่อนข้างแน่นไม่ได้ร่วนอุดมสมบูรณ์เหมือนส่วนท่ีอยู่ในทะเลสาบ รวมท้ังประเพณีการทา ขวญั ขา้ วเพ่อื แสดงความกตัญญตู อ่ พระแม่โพสพกเ็ ล่ือนหายไปในชว่ งนดี้ ้วย 1.3 ช่วงฟืน้ ฟู (พ.ศ. 2556-2558) ในช่วงหลังปี พ.ศ. 2500 เป็นต้นมา ประชาชนบริเวณลุ่มน้าทะเลสาบสงขลา ให้ความสาคัญในการสนับสนุนทางการศึกษาแก่บุตรหลาน ส่งบุตรหลานไปศึกษาในตัวเมืองและ กรุงเทพมหานคร ส่งผลให้เกิดภาวะขาดแคลนแรงงานในรุ่นต่อๆ มา จนกระทั่งช่วงปี พ.ศ. 2550
112 เป็นต้นมา คนรุ่นหลังซ่ึงไปเรียนหรือทางานในเมืองกลับมายังภูมิลาเนา เกิดกระแสต่ืนตัวรักบ้านเกิด ธรรมชาติและวัฒนธรรมด้ังเดิม มีการเผยแพร่ภาพทิวทัศน์นาในทะเลสาบในส่ือโซเซียลมีเดีย โดย ช่างภาพชาวพัทลุงซึ่งใช้ชื่อว่า “ฟองสบู่” ทางเฟซบุ๊คและเว็บไซต์ pantip.com และส่ือมวลชน ท้องถ่ินได้แพร่ภาพการทานาในทะเลสาบของชุมชนปากประทางหนังสือพิมพ์ จนเป็นที่รู้จักอย่าง กว้างขวางเมื่อรายการคู่เลิฟตลอดทัวร์ ทางช่องโมเดิร์นไนน์ เมื่อเดือนกันยายน 2557 โดยนาเสนอ เรื่องราวของทะเลน้อยและภูมิปัญญาการทานาในทะเลสาบ ภายหลังได้มีรายการโทรทัศน์เผยแพร่ อีกหลายรายการ ประกอบกับการส่งเสริมการท่องเท่ียวเชิงนิเวศวัฒนธรรมในพ้ืนท่ีใกล้เคียง อาทิ จุดชมวิวยอยักษ์ คลองปากประ สะพานเฉลิมพระเกียรติฯ เส้นทางสายทะเลน้อย-ระโนด เป็นปัจจัย สาคัญให้คนในชุมชนเริ่มตื่นตัวและเห็นถึงคุณค่าความสาคัญของภูมิปัญญาการทานาในทะเลสา บ ท่ีเป็นเอกลักษณ์โดดเด่นของชุมชนบ้านปากประมากยิ่งข้ึน การทานาในทะเลสาบในรอบปี 2557- 2558 จึงมีเพ่ิมมากขึ้น นอกจากนี้ ชาวนาบางรายเล็งเห็นถึงประโยชน์ของแนวโกงกางท่ีช่วยขยาย พื้นท่ีเพะปลูกทาให้สามารถปลูกข้าวลงไปได้ลึกมากขึ้น สามารถทานาในทะเลสาบได้อย่างเต็มเม็ด เต็มเหน่ียว ได้ผลผลิตที่งอกงามเป็นจานวนมาก จึงนารถเก่ียวนวดข้าว ที่ใช้เก่ียวนวดข้าวในพ้ืนท่ีนา ปกติมาเก็บเกี่ยวข้าวแทนการใช้แรงงานคน รถเก่ียวนวดข้าวขนาดใหญ่ซ่ึงตระเวนรับจ้างไปทั่ว ประเทศไทยมาให้บริการ ซ่ึงชาวนาให้ความนิยมมากซึ่งผลผลิตท่ีได้จากการทานาในทะเลสาบชาวนา จะนาไปบริโภคในครัวเรือนเท่าน้นั 2. ศกั ยภาพและปจั จัยท่ีส่งผลต่อการสบื สานภูมิปญั ญา จากการศึกษาและรวบรวมข้อมูลภูมิปัญญาการทานาในทะเลสาบของชุมชนบ้าน ปากประ ท้ังด้านประวัติศาสตร์ ความเป็นมา ข้อมูลองค์ความรู้ภูมิปัญญา รวมถึงการดารงอยู่ของ ภูมิปัญญาและวิถีชีวิตของผู้คนในชุมชนในปัจจุบัน ทาให้เห็นถึงศักยภาพ คุณค่าและความสาคัญของ ภมู ปิ ญั ญา รวมถงึ ปัจจยั ต่างๆ ซึง่ มผี ลกระทบตอ่ การอนรุ กั ษส์ บื สานภมู ิปัญญา ดังนี้ 2.1 ศักยภาพ คณุ ค่าและความสาคญั 2.1.1 ลักษณะทางภูมิศาสตร์มีความจาเพาะโดดเด่น ทะเลสาบสงขลา เป็นทะเลแบบลากูน (Lagoon) แห่งเดียวของประเทศไทย บ้านปากประตั้งอยู่ตอนบนของทะเลสาบ สงขลาตอนกลาง บริเวณคลองปากประซ่ึงเป็นคลองที่มีขนาดกว้างและลึกท่ีสุดของจังหวัดพัทลุง ทาหน้าท่ีระบายน้าจืดออกสู่ทะเล น้าในทะเลสาบบริเวณชายฝั่งบ้านปากประจึงเป็นน้ากร่อยท่ี มีความเค็มน้อย ลักษณะทางภูมิศาสตร์ของบ้านปากประจึงกล่าวได้ว่ามีความโดดเด่นจาเพาะเป็น หนึง่ เดียว 2.1.2 ชาวบ้านมีความเช่ียวชาญในการทานา การต้ังถ่ินฐานของชุมชนบ้าน ปากประเกิดจากการขยายพ้นื ท่ีทากนิ ของชุมชนในละแวกใกลเ้ คยี ง ซงึ่ ชุมชนโดยรอบทะเลสาบสงขลา เป็นชุมชนเกษตรกรรมมาตั้งแต่โบราณ มีการส่งต่อ สืบทอด และส่ังส่งความรู้ ผ่านการสังเกตและ ทดลองอย่างยาวนาน ภูมิปัญญาการทานาจากรุ่นสู่รุ่นจนมีความเข้าใจในกรรมวิธีเกี่ยวกับการทานา สภาพแวดล้อมและดินฟ้าอากาศเปน็ อยา่ งดี 2.1.3 ผลผลิตปลอดสารพิษ เนื่องจากความอุดมสมบูรณ์ของดินและน้า การทานาในทะเลสาบของชมุ ชนปากประจึงไม่จาเปน็ ตอ้ งใช้สารอนินทรียห์ รอื ปุ๋ยเคมีบารงุ ดินเพมิ่ เติม และการขึ้นลงของน้าทาให้ลดศัตรูพืช จึงไม่มีการใช้สารเคมีในการกาจัดศัตรูพืช ผลผลิตท่ีได้ปลอด
113 สารพิษเนื่องจากไม่จาเป็นต้องใช้ปุ๋ยเคมีบารุงดิน การขึ้นลงของน้าทะเลช่วยชะล้างศัตรูพืชการทานา ในทะเลสาบของชุมชนบา้ นปากประ จึงจดั วา่ เป็นเกษตรอินทรีย์ 2.2 อุปสรรคและปจั จัยที่มผี ลกระทบตอ่ ภูมปิ ัญญา ปัจจัยท่ีมีผลต่อการอนุรกั ษ์ สืบสานภูมิปัญญาการทานาในทะเลสาบของชุมชน บ้านปากประ มีทั้งท่ีเป็นอุปสรรคท่ีเกิดข้ึนจากปัจจัยภายในคือชาวนาที่ทานาในทะเลสาบเอง และ ปัจจัยภายนอก ดงั นี้ 2.2.1 คนในชุมชนยังไม่ตระหนักถึงคุณค่าและความสาคัญของภูมิปัญญา เท่าที่ควร ในอดีตการทานาในทะเลสาบดารงอยู่เพ่ือเป็นแหล่งปลูกข้าวสารอง ทดแทน กรณีนาหลัก เสียหายจากภัยธรรมชาติหรอื ได้ผลผลิตไม่ดีเท่าที่ควร ผลผลติ จากนาในทะเลสาบสามารถใชย้ ังชีพใน ครัวเรือนได้ โดยไม่ต้องซ้ือข้าวจากภายนอก ส่วนในปัจจุบันกล่าวได้ว่าการทานาในทะเลสาบเป็นงาน อดิเรกของชาวนาท่ีทานาหลักควบคกู่ ันไป ผลผลิตที่ได้ก็นามารบั ประทานในครวั เรือนเท่าน้ัน เจ้าของ นาแต่ละท่อนก็ไม่ได้ทานาสม่าเสมอทุกปี จะทาตามความสะดวกในแต่ละช่วงเวลาเท่านัน้ แต่เม่ือมอง จากมุมมองภายนอกแล้ว การทานาในทะเลสาบเปน็ สงิ่ ที่นา่ สนใจอย่างยิ่ง ท้ังในลักษณะท่ีเป็นภมู ิทัศน์ อนั สวยงามแปลกตา เป็นภูมิปัญญาท่สี ะท้อนวถิ ีชีวิตชุมชนทสี่ ามารถปรบั ตัวและประยกุ ต์ใช้ประโยชน์ จากสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติใหเ้ กิดประโยชนไ์ ดส้ งู สุด อกี ทง้ั ยังแสดงใหเ้ ห็นถึงความสมดุลระหว่าง สังคม เศรษฐกิจ และธรรมชาติ นับเป็นภูมิปัญญาอันควรค่าแก่การอนุรักษ์สืบทอดและเป็นความ ภาคภูมิใจอยา่ งยิ่งของชุมชน 2.2.2 ขาดผู้สืบทอดในรุ่นต่อไป จากการสารวจผู้ที่ทานาในทะเลสาบใน ปี พ.ศ. 2556-2557 พบว่า มีชาวนาที่ทานาทั้งหมด 23 ราย กว่าร้อยละ 80 อยู่ในช่วงอายุ 50 ปี ข้ึนไป ในส่วนคนรุ่นหลังโดยเฉพาะในช่วงอายุต่ากว่า 30 ปี พบว่า แทบไม่มีบทบาทในการทานา ในทะเลสาบ ส่วนท่ียังทางานอยู่ในพ้ืนท่ีบ้านปากประก็มักมุ่งไปยังงานท่ีให้ผลิตผลจานวนมาก อย่างการทาสวนยางพารา สวนปาล์ม และการเล้ียงโคนม ในการทาสวนยางพาราและสวนปาล์มนั้น ยังพอมีเวลาว่างสาหรับทางานอ่ืนๆ เพ่ิมไปด้วย เช่น ทานา ทาหัตถกรรม และประมงน้าจืด ส่วน การเลี้ยงโคนม จาเป็นต้องดูแลเอาใจใส่โคนมตลอดเวลา ทาให้ไม่สามารถทาอาชีพอ่ืนๆ ร่วมได้อีก ในปัจจุบันที่นาบางท่อนถูกเว้นว่างไว้กลายเป็นนาร้าง เน่ืองจากไม่มีแรงงานและการให้ความสนใจ มากนัก 2.2.3 องค์ความรู้ภูมิปัญญาบางอย่างค่อยๆ สูญหายไป จากการลงพื้นที่ ภาคสนามและสมั ภาษณ์กลุม่ ชาวนาทท่ี านาในทะเลสาบ พบว่า รายละเอียดองคค์ วามร้บู างอย่าง อาทิ การเลือกสรรพันธุ์ข้าว พืช ท่ีดิน การทาขวญั ขวัญ เริ่มเลือนหายไปจากชุมชน ส่วนหนึ่งมาจากผู้เฒ่าผู้ แก่ที่ล้มหายตายจากไป วิถีชีวิตท่ีเริ่มเปล่ียนตามกระแสภายนอก การส่งลูกหลานไปเรียนในตัวเมือง ซึ่งส่งผลให้ขาดกระบวนการถ่ายทอดภูมิปัญญาจากรุ่นสู่รุ่น และท่ีสาคัญคือการไม่ได้นามาใช้อย่าง ตอ่ เนือ่ ง 2.2.4 ขาดการประชาสัมพันธ์ให้เป็นที่รู้จัก ช่วง 2-3 ปีท่ีผ่านมา การทานาใน ทะเลสาบเร่ิมเป็นที่สนใจจากภายนอก แต่ส่ิงเหล่านี้เป็นเพียงกระแสชั่วคราว การได้รับการยอมรับ และชื่นชมจากภายนอกจะเป็นส่วนหน่ึงในการสร้างความภาคภูมิใจให้แก่ชุมชน ซ่ึงเป็นเจ้าของภูมิ ปัญญา ส่งผลให้การการอนุรักษ์ สืบสาน และพัฒนาภูมปิ ัญญาต่อไป นอกจากนี้ ภูมิปัญญาการทานา
114 ในทะเลสาบยังไม่มีการสนับสนุนจากภาครัฐและหน่วยงานที่เก่ียวข้อง อีกท้ังบางโครงการของภาครัฐ กระทบต่อการทานาในทะเลสาบด้วยในปัจจุบันการทานาในทะเลสาบของชุมชนบ้านปากประยังไม่มี หน่วยงานใดท่ีให้การสนบั สนุน แมก้ ารไม่ได้รบั การสนับสนุนจากภาครฐั จะไม่ได้มีผลกระทบต่อการทา นาในทะเลสาบโดยตรง แต่อาจเกิดผลกระทบโดยอ้อมจากการวางนโยบายด้านต่างๆ ได้ในอนาคต หากภาครัฐตระหนักในความสาคัญของภูมิปัญญาจะเป็นส่วนสาคัญในการช่วยปกปักรักษาทรัพยากร ต่างๆ ท่ีเกีย่ วเน่ืองในการทานาในทะเลสาบ 2.2.5 การใช้ทด่ี นิ ชายฝง่ั ทะเลสาบ พืน้ ท่ีบริเวณชายฝัง่ ทะเลสาบบ้านปากประ ซึง่ ชาวนาทานาในทะเลสาบในปัจจุบนั อยู่ในเขตพื้นที่ของสานักงานเจ้าท่าภูมภิ าคที่ 4 สงขลา กรมเจ้า ท่า กระทรวงคมนาคม ซ่ึงมีความทับซ้อนในเร่ืองกรรมสิทธิ์ตามที่ระเบียบของกระทรวงคมนาคม ซ่ึง เป็นการล่วงล้าลาแม่น้า การทานาในทะเลสาบของชุมชนบ้านปากประในปัจจุบันแม้จะกระทา ต่อเนื่องมาเป็นระยะเวลาหลายสิบปีแต่กรมเจ้าท่าก็ไม่ได้รับทราบถึงการดารงอยู่ หากไม่ได้รับการ อนญุ าตใหใ้ ช้พนื้ ท่ีอย่างชดั เจนจึงอาจเกิดปญั หาการใชท้ ่ีดนิ ในอนาคตได้ 2.2.6 ภัยจากธรรมชาติ ธรรมชาติที่ไม่สามารถควบคุมได้ เช่น การข้ึนลงของ น้า กระแสน้าเค็มน้าทว่ มเนือ่ งจากทะเลสาบสงขลาตอนกลางเปน็ พ้ืนท่ีรับน้าจดื จากเทือกเขาบรรทดั ท่ี ไหลผ่านชุมชนในท่ีราบลงสู่ทะเลสาบและได้รับกระแสน้าเค็มจากลาคลองหลายสายท่ีไหลเช่ือม ระหว่างทะเลสาบสงขลาตอนกลางกับอ่าวไทยผา่ นพื้นท่ีอาเภอระโนดในจังหวัดสงขลา จึงส่งผลให้น้า ในพื้นที่ทะเลสาบลาปาเป็นน้ากร่อยที่มีเปอร์เซ็นต์น้าจืดมากกว่าน้าเค็มถึง 7 ใน 10 ส่วน กระแส นา้ เค็มจะพัดพามาในช่วงน้าทะเลหนุนสูงเท่าน้ันเมื่อกระแสน้าเคม็ หนุนในช่วงเดือนพฤษภาคม ซ่ึงต้น กลา้ ยังไม่แขง็ แรงดี ทาใหต้ ้นกล้าตาย ชาวนาตอ้ งหว่านใหมอ่ กี คร้งั 3. แนวทางการอนุรักษ์และสืบสานภูมิปัญญาการทานาในทะเลสาบของชุมชนบ้าน ปากประอยา่ งยง่ั ยนื เนื่องจากภูมิปัญญา เป็นทรัพยากรวัฒนธรรมท่ีติดอยู่กับตัวคน มีความเปลี่ยนแปลง ตลอดเวลา การสืบสานงานภูมิปัญญาอย่างย่งั ยืน ม่ันคง จึงต้องเกิดจากคนใน คือ ชาวบ้านปากประผู้ สืบสานภูมิปัญญาแต่กระนั้นก็ไม่อาจหลีกหนีจากปัจจัยภายนอกได้ ผู้ศึกษาจึงขอเสนอแนวทางเพื่อ ส่งเสริมการอนุรักษ์และสืบสานภูมิปัญญาการทานาในทะเลสาบของชุมชนบ้านปากประอย่างย่ังยืน ม่ันคง ดังน้ี 3.1 การดาเนินงานจากภายในชุมชน 3.1.1 การจัดต้ังกลุ่มชาวนาท่ีทานาในทะเลสาบ การรวมตัวของชาวนา จะผลักดันให้เกิดความร่วมมือร่วมใจและดาเนินการอนุรักษ์ พัฒนาและสืบสานภูมิปัญญาการทานา ในทะเลสาบอย่างเป็นรูปธรรมชัดเจน และเป็นโอกาสในการแลกเปล่ียนความรู้และทิศทางในการ พัฒนาภูมิปัญญา ซึ่งการดาเนินงานโดยชุมชนเองจะตอบสนองความต้องการได้อย่างตรงจุด ลด อุปสรรค และสร้างความเข้าใจ ความร่วมมืออันดีระหว่างกันและกัน นาไปสู่การพัฒนาในทิศทางท่ี พึงพอใจร่วมกัน
115 3.1.2 การส่งเสริมให้เกิดการรวบรวมข้อมูล ศึกษา ค้นคว้าและเผยแพร่ ภูมปิ ัญญา โดยใช้กระบวนการตา่ งๆ ไดแ้ ก่ 3.1.2.1 การจัดเก็บองค์ความรู้ภูมิปัญ ญ าอย่างเป็นรูปธรรม การจัดการภูมิปัญญาซ่ึงเป็นทรัพยากรทางวัฒนธรรมท่ีอยู่ในรูปองค์ความรู้ท้ังในตัวบุคคลและส่ิงของ หรือธรรมชาติ การนาระบบฐานข้อมูลมาใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลจึงเป็นสิ่งจาเป็น และควรจัดทา เป็นลาดับแรกๆ ของการดาเนินการด้านภูมิปัญญา ซ่ึงฐานข้อมูลเหล่านี้จะช่วยให้เห็นถึงภาพรวม ศักยภาพ ปัญหา การดารงอยขู่ องภูมิปัญญา สามารถวิเคราะหน์ าขอ้ มูลมาวิเคราะห์ได้อย่างเป็นระบบ ทงั้ นี้เนอ่ื งจากการทานาในทะเลสาบในแตล่ ะปีข้นึ อยู่กับสภาพดนิ น้า ทม่ี ีความแตกต่างกัน การจัดเก็บ ขอ้ มูลต่อไปตามรายฤดูกาล จะชว่ ยให้สามารถกาหนดทิศทางในการทานา และแนวทางในการส่งเสริม พฒั นาไดช้ ดั เจนขนึ้ 3.1.2.2 การจัดกิจกรรมเกี่ยวกับภูมิปัญญาในทะเลสาบ ภายหลังจาก การรวมกลุ่มของชาวนาท่ีทานาในทะเลสาบแล้ว การจัดกิจกรรมต่าง ๆ เก่ียวกับภูมิปัญญาการทานา ในทะเลสาบ จะช่วยกระตุ้นให้เกิดความต่อเนื่องในการดาเนินงาน อาทิ การร้ือฟื้นประเพณีการทาขวัญ ข้าว การออกปาก การเปิดให้เย่ียมชม การประชาสัมพันธ์ภูมิปัญญาให้เป็นที่รู้จักของภายนอก การศึกษาดูงานเกี่ยวกับการสืบสานภูมิปัญญาของชุมชนอื่น ๆ ดังน้ันการจัดกิจกรรมเก่ียวกับภูมิ ปัญญาการทานาในทะเลสาบอย่างต่อเนื่องทั้งในส่วนของกลุ่มชาวนา และหน่วยงานท่ีเก่ียวข้อง เช่น โรงเรียนบ้านปากประ วัดแสงอรุณปากประ องค์การบริหารส่วนตาบล สานักงานวัฒนธรรมจังหวัด ฯลฯ จะช่วยส่งเสริมให้เกิดการตื่นตัวในการสืบสานภูมิปัญญาอย่างต่อเน่ือง และนาไปสู่การอนุรักษ์ และพัฒนาภมู ปิ ญั ญาต่อไป 3.1.2.3 การจัดต้ังศูนย์การเรียนรู้ชุมชน เพ่ือเป็นศูนย์กลางในการ เผยแพร่เอกลักษณ์ วัฒนธรรม วิถีชีวิตอันโดดเด่นของชุมชมแก่คนภายนอก และเป็นสถานท่ี แลกเปลี่ยนเรียนรู้ รวมทั้งสร้างแรงบันดาลในในการสืบทอดมรดกภูมิปัญญาของชุมชนจากการลง พื้นทส่ี ารวจชุมชน พบวา่ ศูนย์กลางของชมุ ชนคือวดั และโรงเรยี นซงึ่ ต้ังอยู่ในผืนท่ีผืนเดยี วกัน อีกท้ังยัง อยู่ติดชายฝั่งทะเลสาบ มีพ้ืนท่ีเป็นลานกว้างเหมาะสาหรับการจัดกิจกรรมต่างๆ เป็นหน่ึงตัวเลือกท่ี เหมาะสมสาหรับจดั ตัง้ ศนู ย์การเรยี นรเู้ กย่ี วกบั ภมู ิปัญญาในทะเลสาบของชุมชนบา้ นปากประ อกี ทง้ั ยัง เป็นการดึงโรงเรียนและวัดซ่ึงเป็นองค์กรท่ีมีบุคลากรพร้อมท่ีจะดาเนินงานจานวนมาก การให้วัดและ โรงเรียนเข้ามาเป็นผู้ดูแลและเป็นผู้อุปถัมภ์หลักจึงสามารถกาจัดปัจจัยเสี่ยงในด้านงบประมาณและ บุคคลากรออกไปได้ส่วนหนึ่ง การจัดตั้งศนู ย์การเรียนรู้จึงเป็นสื่ออย่างหน่ึงท่ีจะชว่ ยในการสืบทอดภูมิ ปัญญาของชุมชนและเผยแพร่ให้คนภายนอกไดร้ ับรู้ 3.1.2.4 การส่งเสริมหลักสตู รท้องถ่ิน ชุมชนบ้านปากประมีโรงเรยี นวัด ปากประ เป็นศูนย์กลางการศึกษาของชุมชน จัดการเรียนการสอนตั้งแต่ระดับอนุบาล-ประถมศึกษา ซึง่ โรงเรียนยังมพี ื้นทต่ี ิดชายทะเลสาบซึ่งเป็นพ้นื ท่ีการทานาอยู่แลว้ การนาองค์ความร้ภู ูมปิ ญั ญาการทา นาในทะเลสาบมาพัฒนาเป็นหลักสูตรท้องถ่ิน เป็นการตอบสนองต่อพันธกิจของโรงเรียนที่มุ่งเน้นให้ โรงเรียนและชุมชนร่วมกันพัฒนาปรับสภาพแวดล้อม และจัดการศึกษาโดยใช้ภูมิปัญญาท้องถ่ินและ เทคโนโลยีสมัยใหม่ให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้เรียนและชุมชน นักเรียนจะได้เรียนรู้จากสิ่ง ใกล้ตัวและของจริงเพ่ือเสรมิ สร้างพฒั นาการทางความคิด ไดม้ ีปฏิสัมพันธร์ ่วมกับผู้ใหญ่ คนเฒ่าคนแก่
116 ในท้องถ่ิน ซ่ึงในอนาคตเด็กจะเป็นหลักสาคัญในการสืบสานภูมิปัญญา อีกท้ังยังจะเกิดการคิด พฒั นา ต่อยอดภูมิปัญญาในสามารถดารงอยู่ในสถานการณ์ความเปล่ียนแปลงของปัจจุบัน ภูมิปัญญาจะไม่ เป็นองค์ความรู้ที่หยุดน่ิง มีการใช้และปรับเข้ากับสังคมตลอดเวลา และเป็นการสร้างความภาคภูมิใจ ความรัก ความผกู พนั ในท้องถ่ินดว้ ย 3.1.3 การสร้างผลิตภัณฑ์ข้าวอินทรีย์จากนาในทะเลสาบ โดยประกอบด้วย 3 แนวทาง ดังนี้ 3.1.3.1 การผลิตข้าวอินทรีย์ครบวงจร ต้ังแต่ข้ันตอนการคัดเลือก เมล็ดพันธุ์ การเพาะปลูก การบารุงรักษา การเก็บเก่ียว ตลอดจนการแปรรูปโดยเน้นการใช้ประโยชน์ จากธรรมชาติ หลีกเลี่ยงการใช้สารเคมีและสารท่ีผ่านกระบวนการสังเคราะห์ทางเคมีทุกชนิดในทุก ข้ันตอนการผลิต ตลอดจนการเก็บรักษาและการแปรรูปผลผลิต แต่จะมุ่งฟื้นฟูดินให้มีความอุดม สมบรู ณ์ดว้ ยวัสดุอนิ ทรีย์ ป้องกันและกาจัดศัตรูพืชโดยอาศัยระบบตามธรรมชาติ เพอ่ื รักษาสมดุลทาง ธรรมชาตอิ ยา่ งยงั่ ยืน 3.1.3.2 การเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ โดยใช้ประเด็นเกษตรอินทรีย์ ผลิตภัณฑ์ปลอดสารพิษ ตามกระแสความต่ืนตัวด้านสุขภาพและส่งิ แวดล้อม ซ่ึงชุมชนบ้านปากประมี ความพร้อมในการผลิตข้าวอินทรีย์ ขาดแต่การต่ืนตัวของคนในชุมชนท่ีจะลงมือสร้างผลิตภัณฑ์ อนิ ทรียอ์ ยา่ งเปน็ รปู ธรรมเท่าน้ัน 3.1.3.2 การใช้เร่ืองราวเพื่อเพิ่มมูลค่าของสินค้า เพ่ือเพ่ิมมูลค่าทาง การตลาดให้แก่สินค้าเกษตรอินทรีย์ของชุมชน เป็นการสร้างความมั่นคงทางอาชีพให้กับคนในชุมชน เป็นก้าวในการผลิตและดาเนินกิจการของชุมชน โดยชาวบ้านสามารถเป็นผู้ผลิตและจาหน่ายด้วย ตนเอง ลดต้นทนุ การผลติ และไมพ่ ึ่งพาพ่อค้าคนกลาง 3.1.4 การขยายพ้ืนที่เพาะปลูก พ้ืนท่ีบริเวณริมชายฝ่ังทะเลสาบของบ้านปาก ประที่สามารถทานาในทะเลสาบได้มีความยาวประมาณ 6 กิโลเมตร ในปจั จุบันพื้นท่ีทานามีประมาณ 3 กิโลเมตร เหน็ ไดว้ ่าพ้ืนท่ีเพาะปลูกข้าวในทะเลสาบยงั สามารถขยายออกไปได้ ซึ่งจากลงพ้ืนท่ีสารวจ ประกอบกับการศึกษาจากแผนที่ทางภูมิศาสตร์และข้อมลู จากงานวิจัยที่เก่ียวเนื่องพบว่า นาทีม่ ีความ ลึกมากที่สุดลึกประมาณ40-50 เมตร เนื่องจากมีการปลูกแนวโกงกางตามแนวชายฝั่งบริเวณนั้น ซ่ึง โกงกางช่วยต้านทานกระแสน้าและลมได้เป็นอย่างดีและช่วยดักตะกอนต่างๆ ไม่ให้ไหลลงไปสะสมใน บริเวณชายฝั่งและในทะเล จึงทาใหบ้ ริเวณท่ีมีแนวต้นโกงกางขยายไปกับชายฝัง่ มีดินตะกอนทับถมกัน หนาแนน่ กว่าบรเิ วณอื่น ซง่ึ การขยายพืน้ ทเ่ี พาะปลูกในบริเวณบา้ นปากประจะช่วยให้ชาวนาได้ผลผลิต มากขึ้น และมีแรงจูงใจในการทานามากกว่าการทาเป็นงานรองอย่างปัจจุบัน ซ่ึงอาจพัฒนาต่อยอด เป็นผลิตภัณฑ์ชุมชนช่วยสร้างอาชีพให้คนในพ้ืนท่ีนั้น และใช้ประโยชน์จากทรัพยากรทางธรรมชาติ อย่างคุ้มค่า อีกท้ังอาจก่อให้เกิดการรวมกลุ่มหรือสร้างเครือข่ายเพื่อการพัฒนาภูมิปัญญาอย่างมั่นคง ในอนาคต 3.2 การประสานความรว่ มมอื กับหนว่ ยงานภายนอก ภายหลังที่ชุมชนมีความเข้มแข็งในการดาเนินงานภูมิปัญญาแล้ว ควรมีการรับ การสนับสนุนจากภายนอกบางประการเพ่ือเสริมสร้างศักยภาพและป้องกันปัจจัยจากภายนอกที่อาจ กระทบกับการดารงอยู่ของภมู ิปญั ญาดังน้ี
117 3.2.1 การเชื่อมโยงจุดท่องเที่ยวเชิงนิเวศวฒั นธรรมกับพ้ืนท่ีใกล้เคียง ชุนชน บ้านปากประต้ังอยู่ระหว่างแหล่งท่องเที่ยวที่สาคัญของจังหวัดพัทลุง คือหาดแสนสุขลาปาและทะเล น้อย โดยมถี นนสายปากประเชือ่ มตอ่ เส้นทาง ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมาจังหวัดพัทลงุ ได้ใหค้ วามสาคัญ ในการผลักดันการท่องเท่ียวเชิงนิเวศวัฒนธรรม โดยเฉพาะในพ้ืนที่หาดแสนสุขลาปาและทะเลน้อย ซ่ึงนอกจากการทานาในทะเลแล้ว บ้านปากประยังมีวิถีชีวิตของชุมชนท่ีน่าสนใจและมีทัศนียภาพที่ สวยงามสามารถพัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงนิเวศวัฒนธรรมท่ีดึงดูดนักท่องเท่ียวให้เข้ามาเที่ยวชม ไดเ้ ปน็ อยา่ งดี อาทิ จุดชมววิ ยอยักษบ์ รเิ วณปากคลองปากประ การทางานฝีมือหัตถกรรมพน้ื บ้าน การ ประมงพ้ืนบ้าน เป็นต้นอีกท้ังมีท่ีต้ังท่ีสะดวกแก่การเดินทาง สามารถเข้าถึงแหล่งท่องเที่ยวไดง้ ่ายและ มคี วามหลากหลายของกิจกรรมทอ่ งเทย่ี ว 3.2.2 การดาเนินงานภายใต้โครงการพัฒนาลุมน้าทะเลสาบสงขลา ซ่ึงมี วัตถุประสงค์หลักเพื่อบริหารจัดการให้เกิดความสมดุลของมิติการพัฒนาใน 3 ด้าน ได้แก่ นิเวศ เศรษฐกิจ และสังคม โดยการมีส่วนร่วมอย่างเข้มแข็งของทุกภาคสว่ นในส่วนมิติด้านนิเวศเน้นอนุรักษ์ ฟ้ืนฟูระบบนิเวศลุ่มน้าทะเลสาบสงขลาให้มีความสมบูรณ์และมีความหลากหลายทางชีวภาพ เป็น เอกลักษณ์ที่สวยงามท้ังทางธรรมชาติ ศิลปวัฒนธรรม และภูมิปัญญาท้องถิ่นโดยในยุทธศาสตร์การ ดาเนินงานมีความสอดคล้องเช่ือมโยงกับการทานาในทะเลสาบของบ้านปากประ ที่แสดงถึงการใช้ภูมิ ปัญญาท้องถิ่นสร้างความสมดุลระหว่างคนกับธรรมชาติ และเกิดผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ ไม่ ก่อให้เกิดผลกระทบใดๆ ต่อสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติ ทั้งนาในทะเลสาบยังเป็นส่วนหน่ึงในการ อนุบาลสัตว์น้าขนาดเล็กในลักษณะเดียวกับป่าชายเลน การประสานความร่วมมือกับโครงการพัฒนา ลุ่มน้าทะเลสาบสงขลาจึงจะช่วยให้เกิดการศกึ ษาวิจยั ในเชิงลกึ โดยเฉพาะในกระการด้านวิทยาศาสตร์ เกย่ี วกบั ดิน น้า และพนั ธ์ขุ ้าว ซ่ึงจะช่วยใหเ้ กดิ การพัฒนาตอ่ ยอดในอนาคตได้อย่างมปี ระสทิ ธิภาพ การทานาในทะเลสาบของชุมชนบ้านปากประ เป็นภูมิปัญญาซึ่งเกิดจากการปรับตัว เข้ากับสภาพแวดล้อม ใช้ประโยชน์จากธรรมชาติให้เกิดประโยชน์สูงสุด สืบทอดกันมายาวนานกว่า หน่ึงศตวรรษ ในลักษณะพึ่งพากันและกัน โดยเพาะปลูกช่วงท่ีระดับน้าลดต่าสุดในรอบปี (เดือน พฤษภาคม-กันยายน) ด้วยดินบริเวณชายฝ่ังมีความอุดมสมบูรณ์มากจึงไม่ต้องใช้ปุ๋ยหรือสารเคมีใน การเพาะปลูก แต่เน่ืองมาจากการเปลี่ยนแปลงของสังคมและปัจจัยภายนอกทาให้รูปแบบ/กรรมวิธี การทานาในทะเลสาบมีความเปลี่ยนแปลงไป ในช่วงปี พ.ศ. 2470-2530 ซึ่งเป็นช่วงเริ่มแรกของการ ทานาจนถึงช่วงท่ีมีการเปลี่ยนแปลงวถิ ีชีวิตของชุมชนจนทาให้การทานาในทะเลสาบลดลง 2)ระหว่าง ปี พ.ศ.2531-2555 ซ่ึงการทานาในทะเลสาบซบเซาลง และ 3)ระหว่างปี พ.ศ. 2556-2558 ซ่ึงมี กระแสฟ้ืนฟูการทานาในทะเลสาบแนวทางที่เหมาะสมในการสืบสานภมู ิปญั ญาการทานาในทะเลสาบ ของชุมชนบ้านปากประอย่างย่ังยืน จึงเป็นการสร้างความร่วมมือและพลังของคนในชุมชน โดยเริ่ม จากการรวมกลุ่มชาวนาท่ีทานาในทะเลสาบ และดาเนินการส่งเสริมการศึกษา รวบรวมข้อมูล จัด กิจกรรม และเผยแพร่ภูมิปัญญา การสร้างผลิตภัณฑ์ข้าวอินทรยี ์ของชุมชนเพ่ือเสริมสร้างความมั่นคง ทางเศรษฐกิจ ตลอดจนการประสานความร่วมมือกับหน่วยงานภายนอกท่ีมีบทบาทเก่ียวเน่ืองและ ส่งเสริมการดาเนนิ งานภมู ิปญั ญาตอ่ ไป
118 ขอ้ เสนอแนะ 1. ควรมีการศึกษา ค้นคว้า วิจัย เก่ียวกับการทานาในทะเลสาบโดยกระบวนการทาง วิทยาศาสตร์ ในด้านชีวภาพ ระบบนิเวศ องค์ประกอบของดินและน้า และพันธ์ุข้าวท่ีเหมาะสม รวมท้ังทรัพยากรธรรมชาติอน่ื ๆ ท่เี กี่ยวเนอ่ื งในเชงิ ลกึ ต่อไป 2. ควรมีการหารือร่วมกันระหว่างชุมชนและหน่วยงานท่ีเก่ียวข้อง อาทิ องค์การบริหาร สว่ นตาบลลาปา กรมเจ้าท่า และโครงการพฒั นาลุม่ น้าทะเลสาบสงขลา เพอ่ื หาทางออกในการใชพ้ ้ืนท่ี ชายฝงั่ ทะเลสาบสงขลาอยา่ งถกู ตอ้ งต่อไป
119 รายการอ้างอิง กมลธสรณ์ ยอดกำลัง และคณะ. โครงการวิจัยการถอดองค์ความรู้ภูมิปัญญาการทานาข้าวเฮี้ย ตาบลห้างฉัตร อาเภอห้างฉัตร จังหวัดลาปาง. กรุงเทพฯ: สำนักงำนกองทุนสนับสนุน กำรวิจัย, 2554. กรมกำรค้ำข้ำว. แผนที่เขตศักยภาพการผลิตข้าว จังหวัดพัทลุง. เข้ำถึงเม่ือ 20 เมษำยน 2559. เข้ ำถึ งได้ จำก http://www.brrd.in.th/ricemap/riceCD52/index.phpurl=detail.php ®ion_id=5&province_id=93.htm กรมเจ้ำท่ำ,กฎกระทรวง ฉบับที่ 63 (พ.ศ. 2537) ออกตามความในพระราชบัญญัติการเดินเรือใน น่านน้าไทย พระพุทธศักราช 2456. เข้ำถึงเม่ือ 10 มีนำคม 2559.เข้ำถึงได้จำก http://www.md.go.th/md/index.php/2014-01-19-05-00-37/2014-01-19-05-08- 40/2014-01-19-05-55-21/-108/925-01-63-2537/file กรมทรัพย์สินทำงปัญญำ. ภูมิปัญญาท้องถิ่นไทย. เข้ำถึงเมื่อ 7 มีนำคม 2558. เข้ำถึงได้จำก https://ipthailand.go.th/index.php?option=com_content&view=article&id= 31:2013-09-17-18-55-51&catid=64&Itemid=178 กรมส่งเสริมวัฒนธรรม. แผนงานอนุรักษ์และพัฒนาส่งเสริมศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม. เข้ำถึง เมื่อ 8 มีนำคม 2558. เข้ำถึงได้ จำก http://www.culture.go.th/subculture/ images/stories/ files/plan2556/plan2557_2.pdf กระทรวงศึกษำธิกำร. ภูมิปัญญาไทยในงานศิลป์ถ่ินเมืองกรุง. กรุงเทพฯ: อมรินทร์ พร้ินติ้ง แอนด์ พับลชิ ชิง่ , 2539. กิตติ ตันไทย. หน่ึงศตวรรษเศรษฐกิจของคนลุ่มทะเลสาบสงขลา. กรุงเทพฯ: สำนักงำนกองทุน สนบั สนนุ กำรวิจัย (สกว.), 2552. ขจรจบ กุสุมำวลี. ความขัดแย้งระหว่างรัฐ ทุน และท้องถ่ิน : ศึกษาจากการจัดการ ทรัพยากรธรรมชาติ บริเวณตาบลเกาะเพชร และตาบลท่าซอม อาเภอหัวไทร จงั หวัดนครศรธี รรมราช. กรุงเทพฯ: สำนักงำนกองทุนสนับสนุนกำรวิจยั , 2547. คณะกรรมกำรฝ่ำยประมวลเอกสำรและจดหมำยเหตุ ในคณะกรรมกำรอำนวยกำรจัดงำนเฉลิม พระเกียรติพระบำทสมเด็จพระเจ้ำอยู่หัว เน่ืองในโอกำสพระรำชพิธีมหำมงคลเฉลิม พระชนม พรรษำ 6 รอบ 5 ธันวำคม 2542. วัฒนธรรม พัฒนาการทางประวัติศาสตร์ เอกลกั ษณแ์ ละภมู ิปญั ญา จงั หวดั พัทลุง. กรงุ เทพฯ: กรมศิลปำกร, 2544. คณะทำงำนประชำชนฟื้นฟูแผ่นดนิ . ฟื้นฟูแผน่ ดนิ ปาฐกถาในเวทีสาธารณะ เร่อื ง ข้อเสนอเพอื่ การ ปฏิรูปการเมืองและสังคม: ว่าด้วยชุมชน เกษตรกรรม. กรุงเทพฯ: กองเลขำคณะ ทำงำนประชำชนฟ้นื ฟูแผน่ ดนิ , 2550. คำนวณ นวลสนอง และคณะ. โครงการจัดทาแผนแม่บทพัฒนาลุ่มน้าทะเลสาบสงขลา เล่มท่ี 6, ชุดศิลปวัฒนธรรม แหล่งประวัติศาสตร์และโบราณคดี. สงขลำ: สำมัญนีโอพ้อยท์, 2548.
120 คุรุสภำ, พระราชหัตถเลขา เร่ืองเสด็จประพาสแหลมมลายูของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า เจา้ อยู่หัว. กรงุ เทพฯ: ศกึ ษำภณั ฑพ์ ำณิชย์, 2506. จรูญ หยูทอง และคณะ. โครงการบริหารจัดการประตูระบายน้าปากระวะโดยการมีส่วนร่วมของ ประชาชน. สงขลำ:โครงกำรสง่ น้ำและบำรงุ รกั ษำระโนด-กระแสสินธุ์, 2549. จอมพงศ์ มงคลวนิช. สินทรัพย์ทางวัฒนธรรมสู่การเพ่ิมมูลค่าภายใต้บริบทเศรษฐกิจสร้างสรรค์ ความรว่ มมอื ภาครัฐ ภาคเอกชน. กรุงเทพฯ: มหำวิทยำลยั สยำม, 2554. จงั หวัดพัทลุง. เข้ำถึงเม่ือ 20 มนี ำคม 2559. เข้ำถึงไดจ้ ำก http://www.phatthalung.go.th จำรวุ รรณ ธรรมวตั ิ. ภูมิปญั ญาอีสาน. อบุ ลรำชธำนี: ศริ ิธรรมออฟเซ็ท, 2543. จิตรำนันท์ แสงศรีจันทร์. “แนวทำงกำรจัดกำรภูมิปัญญำกำรละเล่นท้องถิ่นชุมชนย่ำนวัดดุสิตำรำม เขตบำงกอกน้อย กรงุ เทพมหำนคร.” วิทยำนิพนธ์ปริญญำมหำบัณฑิต สำขำกำรจัดกำร ทรัพยำกรวฒั นธรรม บณั ฑิตวทิ ยำลยั มหำวทิ ยำลยั ศิลปำกร, 2555. ชนิดำ เสง่ียมไพศำลสุข, แปล. เศรษฐกิจของทรัพย์สินเชิงสัญลักษณ์ โดยปิแยร์ บูร์ดิเยอ. กรงุ เทพฯ: โครงกำรจดั พมิ พค์ บไฟ, 2550. ดำริน อินทร์เหมือน และคณะ, บรรณำธิกำร. ภูมิปัญญาไทย ภูมิปัญญาเทศ. กรงุ เทพฯ: โอ.เอส.พร้ิน ติง้ เฮำ้ ส์, 2548. เดชำ ศริ ภิ ทั ร์. เส้นทางเกษตรกรรมยัง่ ยืน. สมทุ รสำคร: บรษิ ทั พมิ พด์ ี จำกัด, 2554. ทรงจิต พูลลำภ และคณะ. ศักยภาพและสถานภาพของภูมิปัญญาไทย: ภูมิปัญญาไทยภาค ตะวนั ออกเฉยี งเหนือ. กรุงเทพฯ: สำนักงำนคณะกรรมกำรวิจัยแห่งชำติ, 2546. ธีรวุฒิ ชิยำนนท์. “กำรกำหนดพื้นที่ศักยภำพเพ่ือกำรฟื้นฟูพ้ืนที่ชุ่มน้ำ บริเวณลุ่มน้ำทะเลสำบ สงขลำ.” วทิ ยำนิพนธ์ปริญญำมหำบณั ฑติ สำขำวิชำภูมิศำสตร์ ภำควิชำภมู ิศำสตร์ คณะ อักษรศำสตร์ จุฬำลงกรณม์ หำวิทยำลัย, 2547. นันทิยำ หุตำนุวัตร และณรงค์ หุตำนุวัตร. เกษตรกรรมยั่งยืน: กระบวนทัศน์ กระบวนการและ ตัวชี้วัด ความหลากหลายทางชีวภาพกับเกษตรกรรมยั่งยืน. นนทบุรี: มูลนิธิ เกษตรกรรมยัง่ ยนื (ประเทศไทย), 2547. นำถพงศ์ พัฒนพันธ์ชัย. การทานาวิถีภูมิปัญญาพ้ืนบ้าน. กรุงเทพฯ: มูลนิธิเกษตรกรรมยั่งยืน (ประเทศไทย), 2551. _________. การทานาวิถีภูมิปัญญาพ้ืนบ้าน: ประสบการณ์จากเครือข่ายเกษตรกรรมทางเลือก ภาคอสี านและภาคใต้. กรุงเทพฯ: โรงพิมพเ์ ดอื นตลุ ำ, 2552. _________. ภูมิปัญญา วิถีชุมชน วิถีธรรมชาติ. นนทบุรี: มูลนิธิเกษตรกรรมยั่งยืน (ประเทศไทย), 2552. ประทีป วีระพัฒนนิรันดร์. มูลนิธิพลังนิเวศและชุมชน. กระบวนการจัดการเรียนรู้ในชุมชน. เข้ ำถึ งเม่ื อ 2 ธัน ว ำค ม 2542. เข้ ำถึ งได้ จ ำก http://www.banrainarao.com/ column/learn_commu ปรำณี ตันตยำนบุ ตุ ร. ภมู ปิ ัญญาไทย. กรุงเทพฯ: มหำวทิ ยำลยั ธุรกจิ บณั ฑิตย์, 2550. ปรีชำ จันศรีแก้ว และคณะ. โครงการแนวทางการแก้ปัญหานาร้าง หมู่ 1 บ้านคอกช้าง ตาบล หารเทา อาเภอปากพะยูน จงั หวดั พทั ลงุ . กรงุ เพทฯ: กองทนุ สนับสนนุ กำรวิจยั , 2546.
121 เปลวเทียน เจษฎำชัยยุทธ์. “กำรจัดกำรเศรษฐกิจชุมชนข้ำวหลำมบ้ำอำฮำม ตำบลท่ำวังผำ อำเภอ ท่ำวังผำ จังหวัดน่ำน.” วิทยำนิพนธ์ปริญญำมหำบัณฑิต สำขำกำรจัดกำรทรัพยำกร วัฒนธรรม บณั ฑิตวิทยำลัย มหำวิทยำลยั ศลิ ปำกร, 2553. ผจงจิตต์ อธิคมนันทะ. การเปลี่ยนแปลงทางสังคมและวัฒนธรรม. กรุงเทพฯ: ภำควิชำสังคมวิทยำ และมำนษุ ยวทิ ยำ คณะมนษุ ยศำสตร์ มหำวทิ ยำลัยรำมคำแหง, 2533. ฝ่ ำย ป ร ะ ม ว ล เอ ก ส ำ ร แ ล ะ จ ด ห ม ำ ย เห ตุ ใน ค ณ ะ ก ร ร ม ก ำ ร อ ำ น ว ย ก ำร จั ด ง ำ น เฉ ลิ ม พ ร ะ เกี ย ร ติ พระบำทสมเด็จพระเจ้ำอยู่หัว. วัฒนธรรม พัฒนาการทางประวัติศาสตร์ เอกลักษณ์ และภูมิปัญญา จังหวัดพัทลุง. กรุงเทพฯ: คณะกรรมกำรอำนวยกำรจัดงำนเฉลิมพระ เกยี รตพิ ระบำทสมเดจ็ พระเจ้ำอยูห่ ัว, 2544. พรพันธ์ุ เขมคุณำศัย. “ท้องถิ่นศึกษำ... ภูมิปัญญำชุมชน: วิเครำะห์กรณีชุมชนแถบลุ่มน้ำทะเลสำบ สงขลำ” วารสารปาริชาต 13, 2 (ตุลำคม 2543-มีนำคม 2544): 18. พรศักดิ์ พรหมแก้ว. “วถิ คี ดิ ของชุมชนชำวนำบริเวณรอบทะเลสำบสงขลำ.” วทิ ยำนพิ นธ์ปริญญำดษุ ฎี บัณฑิต สำขำวิชำไทศึกษำ บัณฑิตวิทยำลยั มหำวิทยำลยั มหำสำรคำม, 2555. พระครูวินัยธรประจักษ์ จกฺกธมฺโม. พระพุทธศาสนากับภูมิปัญญาไทย. กรุงเทพฯ: มหำจุฬำลงกรณ รำชวทิ ยำลัย, 2545. ภำสกร อินทุมำร, บรรณำธิกำร. ความรู้ท้องถิ่น การจัดการความร้สู ู่การจดั การทางสังคมวิทยาลัย การจดั การทางสังคม. กรุงเทพฯ: วิทยำลัยกำรจดั กำรทำงสงั คม, 2547. ระบบสำรสนเทศเพ่ือบริหำรกำรศึกษำ. ข้อมูลพื้นฐานโรงเรียนบ้านปากประ. เข้ำถึงเมื่อ 8 มีนำคม 2558. เข้ำถึงได้จำก https://data.bopp-obec.info/emis/schooldata-view.php? School_ID=1093340096&Area_CODE=9301 รำชกิจจำนุเบกษำ เล่ม 133 ตอนท่ี 19ก. พระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษามรดกภูมิปัญญา ทางวัฒนธรรม พ.ศ. 2559. เข้ำถึงเมื่อวันท่ี 20 เมษำยน 2559. เข้ำถึงได้จำก http://ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2559/A/019/1.PDF รำชบัณฑิตยสถำน. พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2525. กรุงเทพฯ: อักษรเจริญทัศน์, 2525. เลิศชำย ศิริขัย และนฤทธ์ิ ดวงสุวรรณ์ . ประมงพ้ืนบ้านลุ่มทะเลสาบสงขลา: วิถีและการ เปลยี่ นแปลง. กรงุ เทพฯ: สำนกั งำนกองทนุ สนับสนุนกำรวจิ ัย, 2552. วิจำรย์บุษรำนนท์. รายงานผลการดาเนินงาน เรื่อง การดาเนินงานวิสาหกิจชุมชนบ้านเขากลาง ตาบลปันแต อาเภอควนขนุน จังหวัดพัทลุง. พัทลุง: สำนักงำนเกษตรอำเภอควนขนุน จงั หวดั พัทลุง กรมส่งเสริมกำรเกษตร, 2554. วิทยำ อำภรณ์ และคณะ, บรรณำธิกำร. ฟื้นฟูภูมิปัญญาปักษ์ใต้ ผ่านกระบวนการงานวิจัยเพื่อ ท้องถ่ิน. กรงุ เทพฯ: สำนักงำนกองทุนสนบั สนุนกำรวจิ ัย, 2547. วินัย วีระวัฒนำนนท์. วิกฤตสิ่งแวดล้อม: ทางตันแห่งการพัฒนา. กรุงเทพฯ: โครงกำรเผยแพร่ ควำมรสู้ ่ิงแวดล้อม คณะสงั คมศำสตรแ์ ละมนุษยศำสตร์ มหำวิทยำลยั มหดิ ล, 2533. วินัย สุกใส. “ภูเขำ ทุ่งรำบ และทะเล: วิถีแห่งควำมสัมพันธ์และกำรเปล่ียนแปลงของชุมชนรอบ ทะเลสำบสงขลำ.” โลกของลุ่มทะเลสาบ (2541): 102-103.
122 วิมล ดำศรี และคณะ. วัฒนธรรมข้าวและพลังอานาจชุมชนรอบทะเลสาบสงขลา. กรุงเทพฯ: จุฬำลงกรณ์มหำวิทยำลัย, 2544. ไวพจน์ กันจู และคณะ. โครงการพัฒนากระบวนการผลิตข้าวหอมมะลิปลอดภัยแบบครบวงจร เพื่อการพ่ึงพาตนเองอย่างย่ังยืนของเกษตรกรผู้ปลูกข้าว จังหวัดพะเยา. กรุงเทพฯ: สำนกั งำนกองทนุ สนบั สนุนกำรวจิ ัย, 2556. ศักดิ์ชัย เกียรตินำคินทร์. “ภูมิปัญญำไทยพัฒนำไทย.” วารสารวัฒธรรมไทย 37, 4 (เมษำยน- พฤษภำคม 2542): 7. ศิรดำ เฑียรเดช. “ภูมิปัญญำยำแผนโบรำณของร้ำนสงวนโอสถ.” วิทยำนิพนธ์ปริญญำมหำบัณฑิต สำขำกำรจัดกำรทรพั ยำกรวฒั นธรรม บณั ฑิตวทิ ยำลยั มหำวิทยำลัยศลิ ปำกร, 2555. ศูนย์พัฒนำหลักสูตร กรมวิชำกำร. ทิศทางหลักสูตรการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน พุทธศักราช 2544. กรงุ เทพฯ: กรมวชิ ำกำร, 2544. ศูนย์มำนุษยวิทยำสิรินธร (องค์กำรมหำชน). ภูมิศาสตร์กับวิถีชีวิตไทย. กรุงเทพฯ: ศูนย์มำนุษยวิทยำ สิรนิ ธร (องคก์ ำรมหำชน), 2544. _________. ภูมิปญั ญาไทย–ภูมปิ ัญญาเทศ. กรุงเทพฯ: ศูนย์มำนุษยวิทยำสริ นิ ธร (องคก์ ำรมหำชน), 2548. ศูนย์วิจัยข้ำวพัทลุง. ประวัติศูนย์. เข้ำถึงเม่ือ 10 มีนำคม 2559. http://ptl.brrd.in.thbook/ book.php?book=23&chap=1&page=t23-1-infodetail03.html ศูนย์วิจัยลุ่มน้ำทะเลสำบสงขลำ. ลักษณะทางชีวภาพ-กายภาพ. เข้ำถึงเม่ือ 10 ธันวำคม 2558. เข้ำถงึ ไดจ้ ำก http://www.songkhlalake.com/content/bio_physic สง่ เสรมิ ชูรกั ษ์. พัทลุง ท้องถนิ่ ของเรา. พัทลุง: โรงพิมพเ์ มอื งพทั ลงุ , 2548. สถำนวิจัยสำรสนเทศภูมิศำสตร์ ทรัพยำกรธรรมชำติและสิ่งแวดล้อม คณะกำรจัดกำรส่ิงแวดล้อม มหำวิทยำลัยสงขลำนครินทร์. สารสนเทศทรัพยากรธรรมชาติและส่ิงแวดล้อมลุ่มน้า ทะเลสาบสงขลา. สงขลำ: คณะกำรจัดกำรส่ิงแวดล้อม มหำวิทยำลัยสงขลำนครินทร์, 2553. สมพงศ์ วิทยศักดิ์พันธ์ุ และคณะ, บรรณำธิกำร. แนวคิดวัฒนธรรมและเศรษฐกิจชุมชนกับการ เปลย่ี นแปลงสังคมไทย. กรงุ เทพฯ: สร้ำงสรรค์, 2545. สำรำนุกรมไทยสำกรับเยำวชน เล่มท่ี 23. เรื่องท่ี 1 ภูมิปัญญาไทย, การจัดแบ่งสาขาภูมิปัญญาไทย. เขำ้ ถงึ เมอ่ื 5 มกรำคม 2558. เขำ้ ถงึ ได้จำก http://kanchanapisek.or.th/kp6/sub/ สำรูป ฤทธิ์ชู และคณะ. การเมืองท้องถิ่นบริเวณลุ่มน้าทะเลสาบสงขลา พ.ศ. 2439-2534. กรงุ เทพฯ: สำนกั งำนกองทุนสนบั สนนุ กำรวจิ ยั (สกว.), 2546. สำนักโครงกำรพระรำชดำริและกิจกำรพิเศษ กรมป่ำไม้. โครงการพัฒนาลุมน้าทะเลสาบสงขลา, เข้ำถึงเมื่อ 15 มีนำคม 2559, เข้ำถึงได้จำก http://www.forest.go.th/orip/index.php? option=com_content&view=article&id=328&Itemid=441&lang=th สำนักงำนกองทุนสนับสนุนกำรวิจัย สำนักงำนภำค. การเรียนรู้สู่สมดุล..ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง กบั งานวจิ ยั เพอ่ื ท้องถิ่น. กรุงเทพฯ: สำนักงำนกองทุนสนับสนุนกำรวิจยั , 2550.
123 สำนักงำนคณะกรรมกำรพัฒนำกำรเศรษฐกิจและสังคมแห่งชำติ. เศรษฐกิจสร้างสรรค์. กรุงเทพฯ: สำนักงำนคณะกรรมกำรพัฒนำกำรเศรษฐกิจและสังคมแหง่ ชำติ, 2552. สำนักงำนคณะกรรมกำรวัฒนธรรมแห่งชำติ. การสัมมนาทางวิชาการเรื่องภูมิปัญญาชาวบ้าน. กรงุ เทพฯ: คุรุสภำลำดพร้ำว, 2534. สำนักนโยบำยและแผนทรัพยำกรธรรมชำติและสิ่งแวดล้อม. แผนแม่บทการพัฒนาลุ่มน้าทะเลสาบ สงขลา พ.ศ. 2553-2559. เข้ำถึงเม่ือ 15 มีนำคม 2559. เข้ำถึงได้จำก www.onep.go.th/ index.php3Foption%3Dcom_content%26view%3Darticle%26id%3D3127:- 2556-2559% 26catid%3D138:2012-02-28-02-54-08% 26Itemid%3D303 +&cd=1&hl=en&ct=clnk&gl=th สุธัญญำ ทองรักษ์. วิวัฒนาการของการใช้ประโยชน์จากที่ดินและป่าไม้ บริเวณลุ่มทะเลสาบ สงขลา. กรุงเทพฯ: สำนกั งำนกองทุนสนบั สนนุ กำรวจิ ยั , 2549. สธุ ำวลั ย์ เสถยี รไทย และโสภำรัตน์ จำรสุ มบัติ, บรรณำธกิ ำร. ภูมิปัญญาตะวนั ออก: ทางเลือกในการ จดั การทรัพยากรธรรมชาติและส่ิงแวดล้อม. กรุงเทพฯ: สถำบนั ธรรมรัฐเพ่ือกำรพัฒนำ สงั คมและสงิ่ แวดล้อม, 2554. สุธิวงศ์ พงศ์ไพบูลย์. โครงสร้างและพลวัตวัฒนธรรมภาคใต้กับการพัฒนา. กรุงเทพฯ: สำนักงำน กองทุนสนับสนุนกำรวิจยั , 2544. สุวัฒน์ กิขุนทด. “สภาองค์กรชุมชนตาบลตานาน” คืนชีวิตให้นา คืนปลาให้น้า สืบสานข้าวสังข์ หยดพัทลุง. เข้ำถึงวันท่ี 5 มกรำคม 2559. เข้ำถึงได้จำก http://isranews.org/ community/comm-scoop-documentary/item/5992-2012-03-21-10-00-35.html เสรี พงศ์พิศ, บรรณำธิกำร. ภูมิปัญญาชาวบ้านกับการพัฒนาชนบท เล่ม 1. กรุงเทพฯ: มูลนิธิ ภูมิปัญญำ, 2536. แสวง รวยสูงเนิน. โครงการเสวนาเพื่อพัฒนาโจทย์วิจัยเกษตรอินทรีย์ หัวข้อ สถานภาพและ ประเด็นปัญหาในระบบการผลิตและการตลาดข้าวอินทรีย์. กรุงเทพฯ: สำนักงำน กองทุนสนับสนนุ กำรวิจยั , 2548. องค์กำรบริหำรส่วนตำบลลำปำ. สภาพและข้อมูลพื้นฐาน. เข้ำถึงเมื่อ 28 มกรำคม 2559. เข้ำถึง ไดจ้ ำก http://www.lampam.go.th/general1.php อนุช อำภำภิรมย์ และคณะ. โบกมือลาโลกาภิวัตน์. กรุงเทพฯ: สำนักงำนกองทุนสนับสนุนกำรวิจัย, 2544. อนุมำนรำชธน, พระยำ. เร่ืองรวมเก่ียวกับวัฒนธรรม, งานนิพนธ์ชุดสมบูรณ์ของศาสตราจารย์ พระยาอนมุ านราชธน หมวดวัฒนธรรม. กรุงเทพฯ: ศิลปำกร, 2532. อำภรณ์ จันทร์สมวงศ์, บรรณำธิกำร. การวิจัยเพ่ือท้องถ่ิน: รากฐานแห่งพลังปัญญา. เชียงใหม่: สำนกั งำนกองทนุ สนับสนนุ กำรวจิ ัย, 2545. อทุ ิศ สังขรัตน์. “กำรแลกเปล่ียนผลผลิตของชุมชนรอบทะเลสำบสงขลำ ในสมัยเรือเมล์ (พ.ศ. 2465- พ.ศ.2516).” วิทยำนิพนธ์ปริญญำมหำบัณฑิต สำขำวิชำไทยคดีศึกษำ บัณฑิตวิทยำลัย มหำวิทยำลัยทักษิณ, 2546. เอกวทิ ย์ ณ ถลำง และคณะ. ภูมิปัญญาท้องถิน่ กบั การจดั การความรู้. กรงุ เทพฯ: อมรนิ ทร,์ 2546.
124 _________. ภูมิปัญญาสี่ภาค วิถีชีวิตและกระบวนการเรียนรู้ของชาวบ้านไทย. นนทบุรี: มหำวทิ ยำลยั สโุ ขทัยธรรมำธิรำช, 2540. การสมั ภาษณ์ กรำย ฤทธิ์รัตน์. ชำวนำบ้ำนปำกประ. สัมภำษณ,์ กนั ยำยน 2555 – ตุลำคม 2558. เคลอ่ื ม ชุมเพชร. ชำวนำบำ้ นปำกประ. สัมภำษณ,์ กันยำยน 2555 – ตลุ ำคม 2558. จรรยำ โมรำสทิ ธ์ิ. ชำวนำบ้ำนปำกประ. สัมภำษณ,์ กนั ยำยน 2555 – ตลุ ำคม 2558. จรัสศรี ศรโี อน. ชำวนำบ้ำนปำกประ. สมั ภำษณ,์ กันยำยน 2555 – ตลุ ำคม 2558. ฉู่ถนิ่ พิจิตรรัตน์. ชำวนำบำ้ นปำกประ. สมั ภำษณ์, กนั ยำยน 2555 – ตลุ ำคม 2558. ฉู่ล่อง จีนเมือง. ชำวนำบ้ำนปำกประ. สัมภำษณ์, กนั ยำยน 2555 – ตุลำคม 2558. ชำคริต พูลเกดิ . ชำวนำบ้ำนปำกประ. สัมภำษณ,์ กนั ยำยน 2555 – ตุลำคม 2558. ชติ เกตุแดง. ชำวนำบ้ำนปำกประ. สัมภำษณ์, กันยำยน 2555 – ตุลำคม 2558. ทมุ่ เจำ้ แหง้ . ชำวนำบำ้ นปำกประ. สัมภำษณ์, กนั ยำยน 2555 – ตุลำคม 2558. ประทีป หยทู อง. ชำวนำบำ้ นปำกประ. สมั ภำษณ,์ กันยำยน 2555 – ตุลำคม 2558. ปิ้ม โมรำสกิ . ชำวนำบ้ำนปำกประ. สมั ภำษณ์, กนั ยำยน 2555 – ตลุ ำคม 2558. เป้อื น แก้วขำ. ชำวนำบ้ำนปำกประ. สัมภำษณ,์ กนั ยำยน 2555 – ตุลำคม 2558. เปอ้ื น ชำยแกว้ . ชำวนำบ้ำนปำกประ. สัมภำษณ์, กนั ยำยน 2555 – ตลุ ำคม 2558. พัชรี อนุจร. ชำวนำบ้ำนปำกประ. สมั ภำษณ,์ กันยำยน 2555 – ตุลำคม 2558. พัน พูลแกว้ . ชำวนำบ้ำนปำกประ. สมั ภำษณ์, กนั ยำยน 2555 – ตุลำคม 2558. เริง วงศ์ตน้ั ห้ิน. ชำวนำบ้ำนปำกประ. สมั ภำษณ,์ กันยำยน 2555 – ตลุ ำคม 2558. วำส ชว่ ยมำก. ชำวนำบำ้ นปำกประ. สมั ภำษณ์, กันยำยน 2555 – ตลุ ำคม 2558. วญิ ญำ ทองช่วย. ชำวนำบำ้ นปำกประ. สมั ภำษณ,์ กันยำยน 2555 – ตลุ ำคม 2558. โสภณ นลิ สวุ รรณ. ชำวนำบำ้ นปำกประ. สมั ภำษณ,์ กันยำยน 2555 – ตุลำคม 2558. โสภำ แสงแกว้ . ชำวนำบ้ำนปำกประ. สัมภำษณ,์ กันยำยน 2555 – ตุลำคม 2558. หนรู ำย แดงมณี. ชำวนำบำ้ นปำกประ. สมั ภำษณ์, กนั ยำยน 2555 – ตุลำคม 2558. หนูวำด แก้วขำ. ชำวนำบ้ำนปำกประ. สัมภำษณ,์ กันยำยน 2555 – ตลุ ำคม 2558. หนวู ำด นิยมแกว้ . ชำวนำบำ้ นปำกประ. สัมภำษณ์, กันยำยน 2555 – ตลุ ำคม 2558. หย่อม หนรู อด. ชำวนำบ้ำนปำกประ. สัมภำษณ์, กันยำยน 2555 – ตุลำคม 2558. หลง หนูนอ้ ย. ชำวนำบำ้ นปำกประ. สมั ภำษณ์, กนั ยำยน 2555 – ตลุ ำคม 2558. อรุณ ชูสง. ชำวนำบำ้ นปำกประ. สัมภำษณ์, กนั ยำยน 2555 – ตลุ ำคม 2558. อวย โรจนรัตน์. ชำวนำบ้ำนปำกประ. สมั ภำษณ์, กนั ยำยน 2555 – ตุลำคม 2558. อุดม ชูเผอื ก. ชำวนำบำ้ นปำกประ. สมั ภำษณ์, กนั ยำยน 2555 – ตลุ ำคม 2558. อบุ ล ทองฉมิ . ชำวนำบำ้ นปำกประ. สมั ภำษณ,์ กันยำยน 2555 – ตลุ ำคม 2558.
125 ประวัตผิ ู้วิจยั ชอ่ื -นามสกุล นางสาวสธุ ิดา บณุ ยาดศิ ยั วนั เดือนปเี กิด 09 ธนั วาคม 2531 ภูมลิ าเนา อาเภอควนขนุน จังหวดั พัทลุง ท่ีอยูป่ ัจจุบัน 44 ซอยจรัญสนทิ วงศ์ 70/3 แขวงบางพลัด เขตบางพลัด กรงุ เทพฯ 10700 ประวตั กิ ารศกึ ษา พ.ศ. 2554 สาเรจ็ การศกึ ษาปริญญาศลิ ปศาสตรบัณฑิต วชิ าเอกภาษาไทย วิชาโทพพิ ิธภณั ฑสถานศกึ ษา พ.ศ. 2559 คณะโบราณคดี มหาวทิ ยาลยั ศลิ ปากร วังทา่ พระ ศึกษาตอ่ ระดบั ปริญญามหาบณั ฑติ ประวัติการทางาน สาขาวชิ าการจดั การทรัพยากรวัฒนธรรม พ.ศ. 2553 - 2554 บณั ฑิตวิทยาลยั มหาวิทยาลยั ศิลปากร พ.ศ. 2555 นักจดหมายเหตุ หอจดหมายเหตแุ ละพิพิธภณั ฑ์สขุ ภาพไทย สานกั วจิ ัยสงั คมและสุขภาพ กระทรวงสาธารณสุข พ.ศ. 2556 - ปัจจบุ นั ภัณฑารักษ์ สถาบันวฒั นธรรมและศิลปะ มหาวทิ ยาลยั ศรีนครินทรวโิ รฒ ประสานมิตร นักวชิ าการวัฒนธรรม สานกั งานรฐั มนตรี กระทรวงวฒั นธรรม
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136