Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore อุบาสิกา ฉ สามัญชน

อุบาสิกา ฉ สามัญชน

Description: อุบาสิกา ฉ สามัญชน

Search

Read the Text Version

เปน็ ปกตเิ ทา่ นนั้ สามารถใหท้ รงโปรดปรานได้ ทา่ นทงั้ หลาย จงเป็นผู้ไม่ประมาทเถิด. พวกเราไม่ควรยืน ไม่ควรนั่ง ในทแี่ หง่ เดียวกัน ๒ รูป แตว่ า่ ในเวลาอุปฎั ฐากพระเถระ ในเวลาเยน็ และในเวลาเปน็ ทบ่ี ณิ ฑบาตในเวลาเชา้ เทา่ นน้ั พวกเราจะรวมกัน, แต่เวลาที่เหลอื จะไมอ่ ยรู่ วมกนั ๒ รูป. อกี อยา่ งหนึ่ง เมือ่ ภกิ ษผุ ู้ไม่สบาย มาตีระฆงั ในท่ามกลาง วิหารขึ้นแล้ว พวกเราจึงจะมาตามสัญญาเสียงแห่งระฆัง แลว้ ทำ� ยาให้แก่ภกิ ษนุ ั้น.” เมื่อภิกษุเหล่านั้นท�ำกติกากันอย่างน้ีอยู่, วันหน่ึง อุบาสิกาให้บุคคลถือเภสัชท้ังหลาย มีเนยใสและน้�ำอ้อย เป็นต้น มีทาสและกรรมกรเป็นต้น แวดล้อมเดินไป สู่วิหารนั้นในเวลาเย็น ไม่เห็นภิกษุทั้งหลายในท่ามกลาง วิหารแล้ว จึงถามคนละแวกนั้นว่า “พระคุณเจ้าทั้งหลาย ไป ณ ทไี่ หนหนอ ?” เมอื่ พวกเขาบอกวา่ “ แม่คณุ พระคุณเจา้ ทั้งหลาย จะเปน็ ผนู้ ง่ั อยใู่ นทพ่ี กั กลางคนื และทพี่ กั กลางวนั ของตนๆ เท่าน้นั ” จึงกล่าวต่อไปว่า “ฉันจะต้องท�ำอย่างไร จึงจะ สามารถพบพระคุณเจ้าได้.” 101 มาตกิ มาตา www.kalyanamitra.org

102 อบุ าสกิ า ฉบบั สามัญชน www.kalyanamitra.org

คนท้ังหลายท่ีรู้กติกวัตรของภิกษุสงฆ์ จึงบอกกับ อุบาสิกานน้ั ว่า “แมค่ ุณ พระคุณเจา้ ท้ังหลายจะประชมุ กนั เมือ่ มบี คุ คลมาตรี ะฆงั . “ นางจงึ ใหต้ ีระฆัง ภิกษุทั้งหลายได้ยินเสียงระฆังแล้ว ออกจากที่ ของตน ด้วยคิดว่า ‘จะภิกษุบางรูปไม่สบาย.’ จึงมา ประชุมกันในท่ามกลางวิหาร. ภิกษุต่างเดินมาทาง เดียวกันไม่มพี ร้อมกนั ๒ รปู . อุบาสิกาเห็นภิกษุแต่ละรูปเดินมาจากที่แห่งหนึ่งๆ จึงคิดว่า ‘สงสัยพระคุณเจ้าผู้เป็นบุตรของเราจะทะเลาะ วิวาทกัน’ ดังน้ีแล้ว ไหว้ภิกษุสงฆ์กล่าวว่า “ท่านผู้เจริญ ท่านทง้ั หลายได้ทะเลาะกนั หรือ ?” ภิกษุทงั้ หลายกลา่ วว่า “พวกฉันไม่ได้ทะเลาะววิ าท กัน มหาอุบาสิกา.” อบุ าสกิ า. “ท่านผู้เจริญ ถ้าพวกท่านไม่มีความทะเลาะ ววิ าทกันไซร,้ เม่ือเปน็ เชน่ นนั้ เหตไุ รพวกท่าน จงึ ไม่มาเหมอื นเมือ่ มาสูเ่ รือนของดฉิ นั มาโดย รวมกันทั้งหมด, นี่กลับมาทีละองค์ๆ จากท่ี แห่งหนึ่งๆ.” 103 มาติกมาตา www.kalyanamitra.org

ภิกษ.ุ “มหาอุบาสิกา พวกฉันนั่งท�ำสมณธรรมในที่ แหง่ หนง่ึ ๆ.” อุบาสกิ า. “พระคณุ เจา้ ทงั้ หลาย สมณธรรมนนั้ คอื อะไร ?” ภิกษุ. “มหาอุบาสิกา พวกฉันท�ำการสาธยายอาการ ๓๒ เรมิ่ ตง้ั ซง่ึ ความสน้ิ และความเสอ่ื มในรา่ งกาย กันอยู่.” อุบาสกิ า. “ท่านเจ้าขา การสาธยายอาการ๔๗ ๓๒ และ การเร่ิมตั้งความส้ินความเสื่อมในร่างกาย ย่อมเหมาะแก่พวกท่านเท่านั้น หรือย่อม เหมาะแกพ่ วกดฉิ ันดว้ ยเล่า ?” ภิกษุ. “มหาอุบาสิกา อันธรรมนี้พระผู้มีพระภาคเจ้า มิไดท้ รงหา้ มแกใ่ ครๆ.” อบุ าสิกา. “ถา้ อยา่ งนนั้ ขอพวกทา่ นจงใหอ้ าการ ๓๒ และ ขอจงบอกการเรม่ิ ตง้ั ซง่ึ ความสน้ิ และความเสอื่ ม ในร่างกายแกด่ ฉิ ันบา้ ง.” ๔๗ คือ ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก เยื่อในกระดูก ม้าม หวั ใจ ตบั พงั ผืด ไต ปอด ไส้ใหญ่ ไส้นอ้ ย อาหารใหม่ อาหารเกา่ ดี เสลด หนอง เลอื ด เหงอ่ื มนั ขน้ นำ�้ ตา นำ�้ มนั เหลว นำ้� ลาย นำ้� มกู ไขขอ้ มตู ร ถ้าเติมมัตถลงุ คัง มนั สมองเขา้ ด้วย เป็น ๓๒ ตามคัมภีร์วิสุทธมิ รรค. 104 อุบาสิกา ฉบับสามัญชน www.kalyanamitra.org

ภิกษุ. “มหาอุบาสิกา ถ้าอย่างนั้น ท่านจงเรียนเอา.” แล้วใหเ้ รียนเอาท้ังหมด. ต้ังแต่น้นั อบุ าสิกานนั้ ก็ได้ทำ� การสาธยายซง่ึ อาการ ๓๒ และเริ่มตั้งไว้ซึ่งความส้ินไปและความเสื่อมไปในตน ได้บรรลุมรรค ๓ ผล ๓ ก่อนภิกษุเหล่านั้นทีเดียว. ปฏิสัมภิทา ๔ และโลกิยอภิญญา ได้มีแก่อุบาสิกาน้ัน โดยมรรคนัน่ แล. นางออกจากสุขอันเกดิ แต่มรรคและผลแลว้ ตรวจดู ดว้ ยทพิ ยจกั ษุใครค่ รวญอย่วู า่ ‘เมื่อไรหนอแล ? พระคณุ เจ้าผู้เป็นบุตรของเราจึงจะบรรลุธรรมน้ี’ แล้วร�ำพึง๔๘ ต่อไปว่า ‘พระคุณเจ้าเหล่านี้ ยังมีราคะ ยังมีโทสะ ยังมี โมหะ, พระคุณเจ้าเหล่าน้ันมิได้มีคุณธรรมแม้สักว่าฌาน และวิปัสสนาเลย อุปนิสัยแห่งพระอรหัตของพระคุณเจ้า ผู้บุตรของเรา มีอยู่หรือไม่หนอ ?’ เห็นว่า ‘มี’ ดังนี้แล้ว จึงร�ำพึงต่อไปว่า ‘เสนาสนะเป็นท่ีสบาย จะมีหรือไม่มี หนอ ?’ เหน็ แม้เสนาสนะเป็นท่สี บายแล้ว จึงร�ำพงึ ต่อไป อีกว่า ‘พระคุณเจ้าท้ังหลายของเรายังไม่ได้บุคคลเป็น ที่สบายหรือหนอ ?’ เห็นแม้บุคคลเป็นที่สบายแล้ว ๔๘ ก. คดิ ถึง, ค�ำนงึ , ใคร่ครวญ. 105 มาติกมาตา www.kalyanamitra.org

จึงใคร่ครวญอยู่ว่า ‘พระคุณเจ้าท้ังหลายยังไม่ได้อาหาร เป็นที่สบายหรือหนอ ?’ ก็ได้เห็นว่า ‘อาหารเป็นท่ีสบาย ยงั ไม่มแี กเ่ หล่าภกิ ษุ.’ ตั้งแต่น้ันมา ก็จัดข้าวยาค๔ู ๙ อันมีอย่างต่างๆ และ ของขบเคี้ยวเป็นอันมาก และอาหารรสเลิศต่างๆ แล้ว นิมนต์ภิกษุท้ังหลายให้น่ังแล้ว จึงถวายน้�ำทักษิโณทก๕๐ แล้วมอบถวายด้วยค�ำว่า “ท่านผู้เจริญ พวกท่านชอบใจ สงิ่ ใดๆ ขอจงถอื เอาสิ่งน้นั ไปฉนั เถิด.” ภิกษุเหล่าน้ัน รับเอาอาหารทั้งหลายมีข้าวยาคู เปน็ ต้นแล้ว บรโิ ภคตามความชอบใจ. เม่ือภิกษุเหล่าน้ันได้อาหารเป็นที่สบาย จิตก็เป็น ธรรมชาติ มีอารมณ์เดียวแน่วแน่. พวกเธอมีจิตแน่วแน่ เจริญวิปัสสนา ต่อมาไม่นานนัก ก็ได้บรรลุพระอรหัต พร้อมด้วยปฏิสัมภิทาทั้งหลาย แล้วคิดว่า ‘น่าขอบคุณ ! มหาอุบาสิกาเป็นที่พึ่งของพวกเรา; ถ้าพวกเราไม่ได้ อาหารอันเป็นที่สบายแล้ว, การแทงตลอดมรรคและผล ๔๙ (มค. ยาคุ = ข้าวต้ม) น. ขนมอยา่ งหนึ่งท�ำด้วยเมล็ดข้าวอ่อน ตำ� แลว้ ค้นั เอาน�้ำเคีย่ วกบั น�้ำตาล, ครงั้ พุทธกาล มักมีผทู้ ำ� ถวาย พระใหด้ ม่ื กอ่ นออกบณิ ฑบาต. ๕๐ แปลวา่ นำ�้ เพ่ือทกั ษิณา. 106 อบุ าสิกา ฉบบั สามญั ชน www.kalyanamitra.org

คงจะไม่ได้มีแก่พวกเราเป็นแน่; บัดนี้ พวกเราอยู่ จ�ำพรรษาปวารณาแลว้ จะไปสู่ส�ำนักของพระศาสดา.’ พวกภกิ ษุอำ� ลามหาอุบาสิกาวา่ “พวกฉนั ใคร่จะเฝา้ พระศาสดา.” มหาอบุ าสกิ ากลา่ ววา่ “ดแี ลว้ พระคณุ เจ้าทงั้ หลาย” แล้วตามไปส่งภิกษุเหล่านั้น, กล่าวค�ำอันเป็นท่ีรักเป็น อันมากว่า “ขอท่านท้ังหลาย พึงมาเยี่ยมดิฉันอีก” ดังนี้ เปน็ ตน้ แลว้ จงึ กลับ. ฝ่ายภิกษุเหล่านั้นแล ถึงเมืองสาวัตถีแล้ว ถวาย บงั คมพระศาสดาแลว้ นง่ั ณ ทค่ี วรขา้ งหนงึ่ อนั พระศาสดา ตรัสว่า “ภิกษุทั้งหลาย สรีรยนต์มีจักร ๔ มีทวาร ๙๕๑ พวกเธอพออดทนไดห้ รอกหรอื ? พวกเธอพอทำ� ใหก้ ายน้ี เปน็ ไปไดห้ รอกหรอื ? อนงึ่ พวกเธอลำ� บากดว้ ยบณิ ฑบาต หรือไม่ ?” ๕๑ สรรี ยนต ์ หมายถึง ร่างกาย จักร ๔ หมายถึงอิริยาบถ ๔ คอื เดนิ ยนื น่ัง นอน (สํ.ส.อ. ๑/๒๙/๕๒) ทวาร ๙ หมายถงึ ชอ่ งทงั้ ๙ คือ ตา ๒, หู ๒, จมูก ๒, ปาก ๑, ทวารหนกั ๑, ทวารเบา ๑ (ส.ํ ส.อ.๑/๒๙/๕๒) 107 มาตกิ มาตา www.kalyanamitra.org

จึงกราบทูลว่า “พออดทนได้พระเจ้าข้า พอยัง รา่ งกายใหเ้ ปน็ ไปได้ พระเจา้ ขา้ อนงึ่ ขา้ พระองคท์ ง้ั หลาย มไิ ด้ล�ำบากดว้ ยบณิ ฑบาตเลย เพราะวา่ อุบาสิกาคนหน่งึ ชื่อมาติกมาตา ทราบวาระจิตของพวกข้าพระองค์. เม่ือ พวกข้าพระองค์คิดว่า ‘ไฉนหนอ มหาอุบาสิกาจะพึงจัด อาหารอย่างน้ีเพอื่ พวกเรา.’ นางก็ไดจ้ ัดอาหารถวายตาม ที่พวกขา้ พระองค์คดิ แลว้ ” ดังนแี้ ลว้ ก็กล่าวสรรเสริญคุณ ของมหาอบุ าสกิ านั้น. ภิกษุรูปหน่ึง ฟังถ้อยค�ำสรรเสริญคุณของมหา- อบุ าสกิ านนั้ แลว้ เปน็ ผอู้ ยากจะไปในทนี่ น้ั เรยี นกมั มฏั ฐาน ในสำ� นกั ของพระศาสดาแล้ว ทลู ลาพระศาสดาว่า “ขา้ แต่ พระองคผ์ เู้ จรญิ ขา้ พระองคจ์ ะไปยงั บา้ นนนั้ ” แลว้ ออกจาก พระเชตวนั ถงึ บ้านแห่งนน้ั . ในวันท่ีตนเข้าไปสู่วิหาร คิดว่า ‘เขาเล่าลือกันว่า อุบาสิกานี้ ย่อมรู้ถึงเหตุอันบุคคลอื่นคิดแล้วๆ. ก็เรา เหน็ดเหน่ือยแล้วในหนทางจะไม่สามารถกวาดวิหารได้, ไฉนหนอ๕๒ อบุ าสกิ านจ้ี ะพงึ สง่ คนมาทำ� ความสะอาดวหิ าร เพอื่ เรา.’ ๕๒ อ่านวา่ ฉะ-ไหนฺ แปลว่า ว. ฉันใด เชน่ ไร อยา่ งไร 108 อุบาสกิ า ฉบับสามญั ชน www.kalyanamitra.org

อุบาสิกานั่งในเรือนน่ันเองร�ำพึงอยู่ ทราบความน้ัน แล้ว จึงส่งคนไป ด้วยค�ำว่า “เจ้าจงไป, ท�ำความสะอาด วิหารแลว้ จงึ กลับมา.” ฝา่ ยภกิ ษอุ ยากดม่ื นำ�้ จงึ คดิ วา่ ‘ไฉนหนอ อบุ าสกิ านี้ จะพงึ ทำ� นำ้� ดม่ื ละลายนำ�้ ตาลกรวดสง่ มาใหแ้ กเ่ รา.’ อบุ าสกิ า ก็ได้สง่ น�้ำนนั้ ไปให.้ ท่านคดิ อกี วา่ ‘ขออบุ าสิกา จงสง่ ขา้ วยาคมู รี สสนิท และแกงอ่อมมาเพ่ือเรา ในวันร่งุ ขึน้ แต่เช้าตรเู่ ถดิ .’ อุบาสกิ าก็ได้ท�ำอยา่ งน้ัน. ภกิ ษุน้นั ดื่มขา้ วยาคูแล้ว คิดว่า ‘ไฉนหนอ อบุ าสิกา พึงส่งของขบเคย้ี วอย่างนม้ี าให้เรา.’ อุบาสกิ ากไ็ ด้สง่ ของเคย้ี วนั้นไปแล้ว ทา่ นคดิ วา่ ‘อบุ าสกิ านส้ี ง่ วตั ถทุ เี่ ราคดิ แลว้ ๆ ทกุ ๆ สง่ิ มา; เราอยากจะพบอุบาสิกาคนนั้น, ไฉนหนอ นางพึง ให้คนถืออาหารมีรสเลิศต่างๆ มาให้เรา มาด้วยตนเอง ทีเดยี ว.’ อุบาสิกาคิดว่า ‘ภิกษุผู้บุตรของเราต้องการจะเห็น เราหวังการไปของเราอยู่,’ ดังน้ีแล้ว จึงให้คนถืออาหาร ไปสวู่ หิ ารแล้วได้ถวายแก่ภิกษนุ ้ัน. 109 มาตกิ มาตา www.kalyanamitra.org

ภิกษนุ น้ั ฉันอาหารเสร็จแล้ว ถามวา่ “มหาอุบาสิกา ท่านหรือ ช่ือวา่ ‘มาติกมาตา’ ?.” อบุ าสกิ า. “ถูกแล้ว ทา่ น.” ภิกษุ. “อุบาสกิ า ทา่ นทราบจิตของคนอน่ื หรือ ?” อุบาสกิ า. “ถามดฉิ ันท�ำไม ? ทา่ น.” ภิกษุ. “ทา่ นไดท้ ำ� ทกุ ๆ สงิ่ ทฉี่ นั คดิ แลว้ ๆ. เพราะฉะนนั้ ฉันจึงถามท่าน.” อุบาสกิ า. “ทา่ น ภกิ ษทุ ่รี จู้ ติ ของคนอนื่ กม็ มี าก.” ภิกษุ. “ฉนั ไมไ่ ดถ้ ามถงึ คนอนื่ , ถามถงึ ตวั ทา่ นอบุ าสกิ า.” แมอ้ ยา่ งนนั้ อบุ าสกิ ากม็ ไิ ดบ้ อกตรงๆ วา่ “ดฉิ นั รจู้ ติ ของคนอ่นื ” กลับกลา่ วว่า “ท่านเอย๋ ธรรมดาคนทง้ั หลาย ผูร้ ู้จิตของคนอน่ื ย่อมทำ� อย่างนัน้ ได.้ ” ภิกษุน้ันคิดว่า ‘กรรมนี้หนักหนอ, ธรรมดาปุถุชน ย่อมคิดถึงอารมณ์อันงามบ้าง ไม่งามบ้าง; ถ้าเราจะคิด สิ่งที่ไม่สมควรแล้ว, อุบาสิกาน้ี ก็พึงท�ำให้เราถูกจับผิด เหมือนจับโจรท่ีมวยผมพร้อมด้วยของกลางฉะน้ัน; เรา ควรหนีไปเสียจากที่นี้’แล้วกล่าวว่า “อุบาสิกา ฉันจะลา ไปละ.” 110 อุบาสกิ า ฉบับสามญั ชน www.kalyanamitra.org

อบุ าสกิ า. “ท่านจะไปท่ีไหน? พระคุณเจ้า.” ภิกษุ. “ฉนั จะไปสูส่ ำ� นกั พระศาสดา อุบาสิกา.” อุบาสิกา. “ขอทา่ นจงอยูใ่ นที่นี้กอ่ นเถดิ เจา้ ขา้ .” ภกิ ษนุ ัน้ กล่าวว่า “ฉันจักไม่อยู่ อุบาสกิ า จกั ตอ้ งไป อย่างแน่นอน” แล้วได้เดินออกจากที่น้ันไปสู่ส�ำนักของ พระศาสดา.” ล�ำดับนน้ั พระศาสดาตรัสถามเธอวา่ “ ภกิ ษุ เธออยู่ ในทนี่ ั้นไม่ได้หรอื ?” ภิกษุ. “เป็นอย่างน้ัน พระเจ้าข้า ข้าพระองค์ ไมส่ ามารถอยใู่ นท่ีนนั้ ได้.” พระศาสดา. “เพราะเหตไุ ร ? ภิกษ.ุ ” ภิกษ.ุ “ขา้ แต่พระองคผ์ ูเ้ จรญิ เพราะวา่ อบุ าสิกานั้น ย่อมรู้ถึงเร่ืองท่ีคนอ่ืนคิดแล้วทุกอย่าง, ข้าพระองคค์ ิดวา่ ‘ก็ธรรมดาปุถุชน ยอ่ มคิด อารมณอ์ นั งามบา้ ง ไม่งามบ้าง; ถ้าเราจะคิด บางอย่างอันไม่สมควรแล้ว, อุบาสิกาน้ัน ก็จะท�ำให้เราถูกจับผิด เหมือนจับโจรที่ มวยผม พรอ้ มทง้ั ของกลางฉะนน้ั ’ ดงั นแ้ี ลว้ จงึ ได้มา.” 111 มาติกมาตา www.kalyanamitra.org

พระศาสดา. “ภกิ ษุ เธอควรอยู่ในท่ีน้ันแหละ.” ภกิ ษ.ุ “ขา้ พระองคไ์ มส่ ามารถ พระเจา้ ขา้ ขา้ พระองค์ จะอยูใ่ นท่ีนนั้ ไม่ได.้ ” พระศาสดา. “ภกิ ษุ ถา้ อยา่ งนนั้ เธอจะรกั ษาสงิ่ หนง่ึ เทา่ นนั้ ได้ไหม ?” ภิกษุ. “รกั ษาอะไร ? พระเจา้ ขา้ .” พระศาสดา ตรสั วา่ “เธอจงรกั ษาจติ ของเธอนน่ั แหละ ธรรมดาจิตน้ีบุคคลรักษาได้ยาก, เธอจงข่มจิตของเธอไว้ ให้ได้ อย่าคิดถึงอารมณ์อะไรๆ อย่างอ่ืน, ธรรมดาจิต อันบคุ คลข่มได้ยาก” ดังน้แี ล้วจึงตรสั พระคาถานี้ว่า การฝกึ จติ อนั ขม่ ไดย้ าก เปน็ ธรรมชาตเิ รว็ มกั ตกไปในอารมณต์ ามความใคร่ เปน็ การดี เพราะวา่ จติ ทฝี่ กึ แลว้ ยอ่ มเปน็ เหตนุ ำ� สขุ มาให.้ พระศาสดาครั้นประทานโอวาทน้ีแก่ภิกษุนั้นแล้ว จึงทรงส่งไปด้วยพระด�ำรัสว่า “ไปเถิด ภิกษุ เธออย่าคิด อะไรๆ อยา่ งอื่น จงอยู่ในที่นั้นน่นั แหละ.” ภกิ ษนุ นั้ ไดพ้ ระโอวาทจากสำ� นกั ของพระศาสดาแลว้ จงึ ไดไ้ ปอยใู่ นทนี่ น้ั , ไมไ่ ดค้ ดิ อะไรๆ ทช่ี วนใหค้ ดิ ภายนอกเลย. 112 อบุ าสกิ า ฉบับสามญั ชน www.kalyanamitra.org

ฝ่ายมหาอบุ าสิกา เมอื่ ตรวจดูด้วยทิพยจักษุ กเ็ หน็ พระเถระแล้วก�ำหนดรู้ด้วยญาณของตนน่ันแลว่า ‘บัดน้ี ภกิ ษผุ ู้บุตรของเราได้อาจารย์ใหโ้ อวาทแลว้ จงึ กลบั มาอกี ’ แล้วไดจ้ ัดอาหารอันเปน็ ทีส่ บายถวายแกพ่ ระเถระน้นั . พระเถระนน้ั ไดอ้ าหารอนั เปน็ ทสี่ บายแลว้ โดย ๒-๓ วันเท่าน้ันก็ได้บรรลุพระอรหัต น่ิงสงบอยู่ด้วยความสุข อนั เกดิ จากมรรคและผลคดิ วา่ ‘นา่ ขอบใจ มหาอบุ าสกิ าได้ เปน็ ทพี่ ึง่ ของเราแลว้ เราอาศยั มหาอบุ าสิกาน้ี จึงสามารถ ออกจากภพได้,’ แล้วใคร่ครวญอยู่ว่า ‘มหาอุบาสิกานี้ ได้เป็นทพ่ี ่งึ ของเราแค่ในชาตนิ ้,ี ก็เม่ือเราท่องเทย่ี วอยใู่ น สงสาร มหาอบุ าสกิ าน้เี คยเปน็ ทพี่ ึ่งในชาติอนื่ ๆ หรือไม่ ?’ แลว้ จงึ ตามระลึกไปตลอด ๙๙ ชาติ. มหาอุบาสิกานั้น ก็นางเป็นภริยาของพระเถระน้ัน ใน ๙๙ ชาติ เป็นผู้คบช้กู ับชายอนื่ จงึ ให้ฆ่าพระเถระนั้น เสยี . พระเถระครั้นเห็นโทษของมหาอุบาสิกานั้นเพียง เทา่ นี้แล้ว จึงคดิ ว่า ‘นา่ สังเวช มหาอุบาสิกาน้ีได้ทำ� กรรม หนกั มาแล้ว.’ 113 มาตกิ มาตา www.kalyanamitra.org

ฝา่ ยมหาอบุ าสกิ านง่ั ในเรอื นนนั่ เอง พลางใครค่ รวญ ว่า ‘กิจแห่งบรรพชิตของภิกษุผู้บุตรของเรา ถึงท่ีสุดแล้ว หรอื ยงั หนอ ?’ ทราบวา่ พระเถระน้ันบรรลุพระอรหัตแล้ว จึงใคร่ครวญย่ิงข้ึนไป ก็ทราบว่า ‘ภิกษุผู้บุตรของเรา บรรลุพระอรหัตแล้วคิดว่า ‘น่าปลื้มใจจริง อุบาสิกานี้ ไดเ้ ป็นทพี่ ง่ึ ของเราอย่างส�ำคัญ’ ดงั นแี้ ล้วใคร่ครวญต่อไป อีกว่า ‘แม้ในกาลก่อน อุบาสิกานี้ได้เคยเป็นที่พ่ึงของเรา หรือเปล่าหนอ ?’ ตามระลึกไปตลอด ๙๙ ชาติ; แต่เรา ได้คบคิดกับชายอื่น ฆ่าพระเถระนั้นเสียใน ๙๙ ชาติ, พระเถระนี้เห็นโทษที่มีของเราแล้ว คิดว่า ‘น่าสังเวช อุบาสกิ าได้ทำ� กรรมหนกั แล้ว’ นางใคร่ครวญ ต่อไปว่า ‘เราเมื่อท่องเที่ยวอยู่ใน สงสาร เรามิได้เคยท�ำอุปการะแก่ภิกษุผู้เป็นบุตรเลย หรือหนอ ?’ ได้ระลึกถึงชาติท่ี ๑๐๐ มากกว่า ๙๙ ชาตินั้น กท็ ราบว่า ‘ในชาติที่ ๑๐๐ เราเป็นภริยาแหง่ พระเถระน้ัน ไดส้ ละชวี ติ เปน็ ทานในสถานประหารชวี ติ แหง่ หนงึ่ . นา่ ดใี จ เรากระท�ำอุปการะมากแก่ภิกษุผู้บุตรของเรา’ นั่งอยู่ ในเรือนน่ันเองกล่าวว่า “ขอท่านจงใคร่ครวญดูให้วิเศษ ย่งิ ขึ้น.” 114 อุบาสกิ า ฉบับสามัญชน www.kalyanamitra.org

พระเถระน้ัน ได้สดับเสียงของอุบาสิกาน้ันด้วย โสตธาตุอันเป็นทิพย์แล้ว ระลึกถึงชาติ ๑๐๐ ให้แจ้งขึ้น แล้วเห็นความที่อุบาสิกานั้นได้สละชีวิตแก่ตนในชาตินั้น จึงคิดวา่ ‘นา่ ดใี จอบุ าสิกานี้ได้เคยทำ� อุปการะแก่เรา’ ดงั นี้ แลว้ มใี จเบกิ บานกลา่ วปญั หาในมรรค ๔ ผล ๔ แกอ่ บุ าสกิ า ในทน่ี น้ั นน่ั เอง ไดป้ รนิ พิ พานแลว้ ดว้ ยนพิ พานธาตอุ นั เปน็ อนุปาทเิ สส. จบเรื่องภิกษรุ ูปใดรปู หนึง่ . 115 มาติกมาตา www.kalyanamitra.org

116 อบุ าสกิ า ฉบบั สามัญชน www.kalyanamitra.org

๑๕ เรอ่ื งอตุ ตราอบุ าสกิ า๕๓ สถานที่ตรสั พระเวฬุวัน ตอ่ มา เศรษฐใี นกรงุ ราชคฤห์ ขอธดิ าของปณุ ณเศรษฐี ให้บุตรของตน. เขาพูดว่า “ผมไม่ให้” เมื่อเศรษฐีใน กรงุ ราชคฤหพ์ ดู วา่ “อยา่ ทำ� อยา่ งนน้ั ทา่ นอาศยั ฉนั มานาน ถึงเพียงน้ีทีเดียว จึงได้สมบัติ, จงยกธิดาแก่บุตรของฉัน เถิด” จึงกล่าวว่า “บุตรของท่านนั้นเป็นมิจฉาทิฏฐิ ส่วน ธิดาของผมไม่อาจห่างจากพระรัตนะท้ังสามไปได้ ผมจึง จะไม่ยกธิดาใหบ้ ตุ รของทา่ นไดเ้ ลย.” กุลบุตรทงั้ หลายมีเศรษฐีและคฤหบดีเปน็ ต้น เป็น จ�ำนวนมาก วิงวอนเขาว่า “อย่าท�ำลายความสนิทสนม ๕๓ ต้นฉบบั ธมั มปทัฏฐกถา อรรถกถาขทุ ทกนิกาย คาถาธรรมบท, โกธวรรควรรณนา, ล.๔๒, น.๔๓๕, มมร. 117 อตุ ตราอุบาสิกา www.kalyanamitra.org

กับเศรษฐีในกรุงราชคฤห์นั้น จงยกธิดาให้บุตรของเขา เถิด.” เขารับค�ำของกุลบุตรเหล่านั้นแล้ว ได้ยกธิดาให้ ในดิถเี พญ็ เดอื นอาสาฬหะ. ตั้งแต่เวลาไปสู่ตระกูลสามีแล้ว นางมิได้เพื่อจะ เข้าไปหาภิกษุ หรือภิกษุณี หรือเพื่อถวายทานหรือฟัง ธรรมเลย. เมอ่ื เวลาลว่ งไปไดป้ ระมาณ ๒ เดือนครง่ึ ก็ยงั คงเป็นอย่างน้ี นางจึงถามสาวใช้ผู้อยู่ในเรือนว่า “เวลาน้ี ภายในพรรษายงั เหลอื อีกเท่าไร ?” สาวใช้ตอบว่า. “ยงั อยอู่ กี ครึ่งเดอื น คณุ แม.่ ” นางส่งข่าวไปให้บิดาว่า ‘เหตุไฉน บิดาจึงขังดิฉัน ไว้ในเรือน อย่างนี้ ? การท่ีบิดาท�ำฉันให้เป็นคนเสียโฉม แลว้ ประกาศวา่ เปน็ ทาสขี องคนอ่นื ยงั จะดีกวา่ การท่ียก ใหแ้ กต่ ระกลู มจิ ฉาทฏิ ฐอิ ยา่ งนี้ ไมด่ เี ลย ตง้ั แตด่ ฉิ นั มาแลว้ ดฉิ นั ไมไ่ ดท้ ำ� บญุ แมส้ กั อยา่ งในงานบญุ มกี ารพบเหน็ ภกิ ษุ เปน็ ตน้ เลย.’ บิดาของนางให้รู้สึกไม่สบายใจ ด้วยคิดว่า ‘ธิดา ของเราไดร้ บั ทกุ ขห์ นอ’ จงึ สง่ ทรพั ยไ์ ป ๑๕,๐๐๐ กหาปณะ ด้วยสั่งว่า ‘ในนครน้ี มีหญิงคณิกา๕๔ ชื่อสิริมา เจ้าจง ๕๔ หญงิ บริการ, โสเภณ,ี ผูห้ ญงิ ขายตวั 118 อบุ าสิกา ฉบบั สามัญชน www.kalyanamitra.org

พูดว่า ‘หล่อนจงรับทรัพย์วันละ ๑,๐๐๐ กหาปณะ’ น�ำ นางมาด้วยกหาปณะเหล่าน้ี ทำ� ใหเ้ ปน็ นางบำ� เรอ๕๕ ของ สามีแล้ว สว่ นตวั เจา้ จงทำ� บญุ ทั้งหลายเถดิ .” นางให้เชิญนางสิริมามาแล้ว พูดว่า “สหาย เธอจง รบั กหาปณะเหล่าน้แี ล้ว ปรนนิบัตสิ ามแี ทนสหายของเธอ สักคร่งึ เดอื นนเ้ี ถิด.” นางสริ ิมานนั้ รับรองว่า “ดีละ” นางพาเขาไปเรอื นของสามี เมอื่ สามนี นั้ เหน็ นางสริ มิ า แลว้ กลา่ วว่า “อะไรกันน่ี ?” จึงบอกวา่ “นายขอใหห้ ญิงสหายของดิฉนั ปรนนิบัติ นายตลอดครึ่งเดือนนี้ ส่วนดิฉันใคร่จะถวายทานและ ฟงั ธรรม ตลอดครึง่ เดอื นน้.ี ” เศรษฐบี ตุ รเหน็ นางมรี ปู งามเกดิ ความชอบใจ จงึ ตกลง ว่า “ดีละ.” นางอุตตราจึงนิมนต์ภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็น ประมุขว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอพระองค์อย่า เสด็จไปที่อ่ืน พึงรับภิกษาในเรือนนี้แห่งเดียว ตลอด ครึ่งเดือนน.ี้ ” ๕๕ ก. คอยรับใช้, ปรนนิบัติ, ท�ำใหช้ อบใจ, บูชา. 119 อุตตราอบุ าสกิ า www.kalyanamitra.org

รับปฏิญญาของพระศาสดาแล้ว มีใจยินดีว่า ‘บัดน้ี เราจะได้เพื่ออุปัฏฐากพระศาสดาและฟังธรรมต้ังแต่น้ีไป ตลอดจนถึงวันมหาปวารณา’ เท่ียวจัดแจงกิจทุกอย่าง ในโรงครัวใหญ่ว่า “พวกท่านจงต้มข้าวต้มอย่างน้ี จงนึ่ง ขนมอย่างน.ี้ ” คร้ังนั้น สามีของนางคิดว่า ‘พรุ่งนี้เป็นวันมหา- ปวารณา’ ยนื ตรงหนา้ ตา่ ง มองไปทางโรงครวั ใหญ่ ตรวจดู อยูด่ ้วยคดิ ว่า ‘นางหญิงโง่นนั้ ท�ำอะไรอยู่หนอแล ?’ เห็น ธิดาเศรษฐีนั้นขะมุกขะมอมไปด้วยเหงื่อ เปรอะด้วยเถ้า มอมแมมดว้ ยถา่ นและเขมา่ เทยี่ วจดั ทำ� อยอู่ ยา่ งนนั้ จงึ คดิ วา่ ‘พทุ โธ่ หญิงโง่งม ไมใ่ ช้สมบัตมิ สี ิร๕ิ ๖ เชน่ น้ี ในฐานะ อยา่ งน้ี กลบั มจี ติ ยนิ ดวี า่ ‘เราจะอปุ ฏั ฐากสมณะศรี ษะโลน้ , เที่ยวไปได้’ จึงหัวเราะแลว้ หลกี ไป. เม่ือเศรษฐีบุตรนั้นหลีกไปแล้ว นางสิริมาซึ่งยืน อยู่ในท่ีใกล้เขาคิดว่า ‘เศรษฐีบุตรน่ันมองดูอะไรหนอแล จึงหัวเราะ’ จึงมองลงไปทางหน้าต่างน้ันแหละ เห็น นางอุตตราแล้วคิดว่า ‘เศรษฐีบุตรน้ีหัวเราะก็เพราะเห็น ๕๖ น. ศรี, ความสงา่ , ราศี, มิง่ ขวัญ, ความงาม, ความเปล่งปล่ัง, โชคลาภ, ความเจริญ ถาวร 120 อบุ าสกิ า ฉบับสามัญชน www.kalyanamitra.org

นางคนนี้, ความคุ้นเคยของเศรษฐีบุตรน้ีคงมีกับด้วย นางนี้เปน็ แน.่ ’ นางสริ มิ านน้ั แมอ้ ยเู่ ปน็ สตรภี ายนอกทอ่ี ยใู่ นเรอื นนนั้ ตลอดครึ่งเดือน ใช้สมบัตินั้นอยู่ ก็ยังไม่รู้ตัวว่าเป็น หญงิ ภายนอก ไดค้ ดิ ว่า ‘ตวั เปน็ แมเ่ จา้ เรอื น.’ นางผูกอาฆาตต่อนางอุตตราว่า ‘จะต้องยังทุกข์ ให้เกิดแก่มัน’ จึงลงจากปราสาท เข้าไปสู่โรงครัวใหญ่ เอาทพั พตี กั เนยใสอนั เดอื ดพลา่ นในทที่ อดขนมแลว้ กเ็ ดนิ ม่งุ หน้าตรงไปหานางอุตตรา. นางอตุ ตราเหน็ นางสริ มิ าเดินมา จงึ แผเ่ มตตาไปถงึ นางวา่ “หญงิ สหายของเราทำ� อปุ การะแกเ่ รามาก จกั รวาล กแ็ คบเกินไป พรหมโลกก็ตำ�่ นกั , ส่วนคณุ ของหญิงสหาย เราใหญม่ าก; ก็เราอาศยั นางน่นั จึงได้เพ่อื ถวายทานและ ฟังธรรม ถ้าเรามีความโกรธเหนือนางสิริมาน้ัน เนยใสนี้ จงลวกเราเถดิ ถา้ ไมม่ ี อยา่ ลวกเลย.” เนยใสซง่ึ เดอื ดพลา่ น ทนี่ างสริ มิ านนั้ รดลงเบอื้ งบนนางอตุ ตรานน้ั ไดเ้ ปน็ เหมอื น นำ้� เยน็ . ล�ำดับนั้น พวกทาสีของนางอุตตรา เห็นนางผู้ตัก เนยใสให้เต็มทัพพีอีกด้วยเข้าใจว่า ‘เนยใสนี้คงจะเย็น’ 121 อุตตราอบุ าสกิ า www.kalyanamitra.org

ถือเดินมาอยู่ จึงคุกคามว่า “นางหัวดื้อ เจ้าจงหลีกไป เจา้ ไมค่ วรจะรดเนยใสทเ่ี ดอื ดพลา่ นบนแมเ่ จา้ ของพวกเรา” แล้วต่างลุกขึ้นจากท่ีน้ีบ้าง ที่น้ันบ้าง ใช้มือบ้าง เท้าบ้าง ทุบถีบให้ล้มลงบนพ้ืน. นางอตุ ตราไมส่ ามารถจะหา้ มปรามนางทาสเี หลา่ นน้ั ได้. ทีน้ัน นางจึงห้ามทาสีทุกคน ท่ียืนคร่อมอยู่ข้างบน นางสิริมาน้ันแล้ว ถามว่า “เพ่ือประสงค์อะไร เธอจึง ท�ำกรรมหนักถึงปานนี้?” ดังนี้แล้ว โอวาทนางสิริมา ให้ อาบดว้ ยน�ำ้ อนุ่ ทาดว้ ยนำ้� มนั ท่ีหุงตงั้ ๑๐๐ ครงั้ . ขณะน้ัน นางสิริมานั้นรู้สึกตัวว่าเป็นหญิงภายนอก แล้วคิดว่า ‘เรารดเนยใสที่เดือดพล่านลงเบ้ืองบน นางอุตตราน้ี เพราะเหตุเพียงความหัวเราะของสามี ท�ำกรรมหนักแล้ว นางอุตตราน้ีไม่ส่ังบังคับพวกทาสีว่า ‘พวกเธอจงจับเขาไว้’ กลับห้ามพวกทาสีทั้งหมด แม้ใน เวลาที่ข่มเหงเรา ได้ท�ำกรรมท่ีควรแก่เราทั้งน้ัน ถ้าเรา ไม่ขอให้นางอุตตราน้ีอดโทษให้, ศีรษะของเราจะพึง แตกออก ๗ เส่ียง’ ดังน้ีแล้ว จึงหมอบลงแทบเท้าของ นางอตุ ตราน้ัน แลว้ กล่าววา่ “คณุ แม่ ขอคุณแม่จงอดโทษ ให้ดฉิ ันเถิด.” 122 อุบาสกิ า ฉบบั สามัญชน www.kalyanamitra.org

นางอุตตรา. “ดิฉันเป็นธิดาท่ีมีบิดา เม่ือบิดายกโทษให้ ก็จะยกโทษใหเ้ ช่นกนั .” นางสริ ิมา. “คุณแม่ เร่ืองน้ันยกไว้เถิด ดิฉันจะให้ ท่านปุณณเศรษฐีผู้บิดาของคุณแม่อดโทษ ให้ด้วย.” นางอุตตรา. “ทา่ นปณุ ณะเปน็ บดิ าบงั เกดิ เกลา้ ของคณุ แม่ ในวฏั ฏะ,๕๗ แตเ่ มอ่ื บดิ าผบู้ งั เกดิ เกลา้ ในววิ ฏั ฏะ อดโทษให้ ดิฉนั จึงจกั อดโทษ.” นางสิริมา. “ก็ใครเลา่ ? เปน็ บิดาบงั เกิดเกลา้ ของคณุ แม่ ในวิวัฏฏะ.” นางอุตตรา. “พระสัมมาสมั พุทธเจ้า.” นางสิริมา. “ดฉิ นั ไมม่ คี วามคนุ้ เคยกบั พระองค.์ ” นางอตุ ตรา. “ฉันจะท�ำเอง, พรุ่งนี้ พระศาสดาจะทรงพา ภิกษุสงฆ์เสด็จมาท่ีนี้ เธอจงถือสักการะ ตามแตจ่ ะไดม้ าทน่ี แี้ หละ แลว้ ขอใหพ้ ระองค์ อดโทษเถดิ .” ๕๗ อ่านว่า วดั -ตะ แปลวา่ น. วงกลม, การหมุน, การเวียนไป, รอบแหง่ การเวยี นเกดิ เวยี นตาย. ว. วงกลม, เปน็ วง (เหมอื น วฏั ). 123 อตุ ตราอบุ าสิกา www.kalyanamitra.org

นางสิริมานั้นรับว่า “ดีละ คุณแม่” ลุกข้ึนแล้วไป สเู่ รอื นของตน สง่ั หญงิ บรวิ าร ๕๐๐ ใหต้ ระเตรยี มของเคย้ี ว และเคร่ืองเคียงต่างๆ รุ่งข้ึนก็ถือสักการะน้ันมาเรือนของ นางอตุ ตรา ไมก่ ลา้ จะใสบ่ าตรภกิ ษสุ งฆม์ พี ระพทุ ธเจา้ เปน็ ประมุข จงึ ได้ยืนอยแู่ ลว้ . นางอุตตรารับเอาส่ิงของทั้งหมดน้ันมาจัดแล้ว. ในเวลาเสรจ็ ภตั กิจ นางสิริมาพรอ้ มด้วยบรวิ าร หมอบลง แทบเบือ้ งพระบาทของพระศาสดา. คร้ังน้ัน พระศาสดาตรัสถามนางวา่ “เจา้ มีความผดิ อะไร ?” นางสริ ิมา. “พระเจ้าข้า วานน้ีหม่อมฉันได้ท�ำกรรม อย่างน้ี เมื่อเป็นอย่างนั้น หญิงสหาย ของหม่อมฉัน ยังได้ห้ามทาสีซึ่งท�ำร้าย หมอ่ มฉนั ไดช้ ว่ ยหมอ่ มฉนั โดยแท้ หมอ่ มฉนั นั้นรู้สึกถึงคุณของนางนี้ จึงขอให้นางน้ี อดโทษ เมื่อเป็นอย่างน้ี นางกล่าวกับ หม่อมฉันว่า ‘เมื่อพระองค์ทรงอดโทษให้ จึงจะอดโทษให.้ ’ ” พระศาสดา. “อุตตราไดย้ ินว่า อย่างนน้ั หรอื ?” 124 อบุ าสิกา ฉบบั สามัญชน www.kalyanamitra.org

นางอตุ ตรา. “อย่างนน้ั พระเจา้ ข้า. วานนีห้ ญิงสหายของ หม่อมฉัน ได้รดเนยใสที่เดือดพล่าน บน ศรี ษะของหม่อมฉัน.” พระศาสดา. “เมอื่ เปน็ อยา่ งนัน้ เธอคดิ อยา่ งไร ?” นางอุตตรา. “หม่อมฉันคิดอย่างนี้ว่า ‘จักรวาลแคบนัก พรหมโลกกย็ งั ตำ่� เกนิ ไป คณุ ของหญงิ สหาย ข้าพระองค์เท่าน้ันใหญ่ เพราะหม่อมฉัน อาศัยเขา จึงได้ถวายทานและฟังธรรม; ถ้าว่าหม่อมฉันมีความโกรธอยู่เหนือนางนี้ เนยใสที่เดือดพล่านน้ี จงลวกหม่อมฉันเถิด ถ้าหาไม่แล้ว ขออย่าลวกเลย’ แล้วได้ แผเ่ มตตาไปยงั นางสริ มิ าน้ี พระเจ้าข้า.” พระศาสดาตรัสว่า “ดีละ ดีละ อุตตรา การชนะ ความโกรธอยา่ งนนั้ สมควร, กธ็ รรมดาคนมกั โกรธ พงึ ชนะ ดว้ ยความไม่โกรธ, คนด่าเขา ตัดพ้อเขา พงึ ชนะได้ดว้ ย ความไม่ด่าตอบ ไม่ตัดพ้อตอบ, คนตระหนี่จัด พึงชนะ ได้ด้วยการให้ของตน, คนมักพูดเท็จ พึงชนะได้ด้วย คำ� จริง” ดงั นแี้ ล้ว จึงตรัสพระคาถานว้ี ่า :- 125 อุตตราอบุ าสกิ า www.kalyanamitra.org

พงึ ชนะคนโกรธ ดว้ ยความไมโ่ กรธ, พงึ ชนะคนไมด่ ี ดว้ ยความด,ี พงึ ชนะคนตระหนี่ ดว้ ยการให,้ พงึ ชนะคนพดู เหลวไหล ดว้ ยคำ� จรงิ . เม่ือจบเทศนา นางสิริมาพร้อมด้วยญาติทั้ง ๕๐๐ ตง้ั อยแู่ ล้วในโสดาปตั ติผล ดงั น้แี ล จบเรอ่ื งอุตตราอบุ าสกิ า. 126 อุบาสิกา ฉบบั สามัญชน www.kalyanamitra.org

๑๖ เรอื่ งนางสริ มิ า๕๘ สถานทต่ี รสั พระเวฬุวัน เล่าต่อกันมาว่า นางสิริมานั้นมีรูปร่างงดงาม เป็น หญงิ โสเภณี ในกรงุ ราชคฤห์ ภายในพรรษาหนง่ึ ไดท้ ำ� รา้ ย ตอ่ อบุ าสกิ านามวา่ ‘อตุ ตรา’ ซง่ึ เปน็ ธดิ าของปณุ ณกเศรษฐี ผู้เป็นภริยาของบุตรชายสุมนเศรษฐี ต้องการจะให้ นางอุตตรานั้นอดโทษ จึงทูลขอขมาพระศาสดาผู้ทรงทำ� ภตั กจิ กับภกิ ษุสงฆเ์ สรจ็ แลว้ ในเรือนของนางอุตตรานน้ั , ในวนั นนั้ ไดฟ้ งั ภตั ตานโุ มทนาของพระทศพล บรรลุ โสดาปตั ตผิ ลแลว้ ในเวลาจบพระคาถาวา่ ๕๘ ต้นฉบับธมั มปทัฏฐกถา อรรถกถาขทุ ทกนกิ าย คาถาธรรมบท, ชราวรรควรรณนา, ล.๔๒, น.๑๔๘, มมร. 127 นางสิรมิ า www.kalyanamitra.org

128 อบุ าสกิ า ฉบบั สามัญชน www.kalyanamitra.org

พงึ ชำ� นะคนโกรธ ดว้ ยความไมโ่ กรธ, พงึ ชำ� นะคนไมด่ ี ดว้ ยความด,ี พงึ ชำ� นะคนตระหน่ี ดว้ ยการใหป้ นั , พงึ ชำ� นะคนพดู พลอ่ ยๆ ดว้ ยคำ� จรงิ . นางสิริมาน้ัน คร้ันบรรลุโสดาปัตติผลอย่างน้ีแล้ว นิมนต์พระทศพล รุ่งข้ึนถวายทานเป็นอันมาก แล้วได้ ตัง้ อัฏฐกภตั (ภัต ๘ ท)่ี เพื่อพระสงฆไ์ วเ้ ป็นประจำ� . ต้งั แต่ วันนน้ั เป็นต้นมา ภกิ ษุ ๘ รปู ไปเรอื นเสมอ. นางเอย่ ปากวา่ “นมิ นตพ์ ระคณุ เจา้ ทง้ั หลายรบั เนยใส รับนมสด” ดังน้ีเป็นต้นแล้ว บรรจุภัตให้เต็มบาตรของ ภิกษุเหล่าน้ัน. อาหารบิณฑบาตท่ีภิกษุรูปหนึ่งได้แล้ว ย่อมเพียงพอแก่ภิกษุ ๓ รูปบ้าง ๔ รูปบ้าง. นางถวาย บณิ ฑบาตดว้ ยการจับจ่ายทรพั ย์ ๑๖ กหาปณะทกุ วนั . ต่อมาวันหน่ึง ภิกษุรูปหน่ึงฉันอัฏฐกภัตในเรือน ของนางแล้ว ได้ไปวิหารแห่งหนึ่ง ณ ที่ไกล ๓ โยชน์ (๔๘ กม.). คร้ังนั้น พวกภิกษุถามเธอซึ่งนั่งอยู่ในท่ีอุปัฎฐาก พระเถระในเวลาเย็นว่า “ผู้มอี ายุ ไปรับภกิ ษาท่ีไหนมา ?” ท่านตอบว่า “ผมไปฉันอัฏฐกภัตของนางสิริมา มา.” 129 นางสริ ิมา www.kalyanamitra.org

พวกภกิ ษถุ ามอกี วา่ “นางทำ� ของทนี่ า่ พอใจถวายใชไ่ หม ? ผู้มอี ายุ.” ท่านจึงกล่าวคุณของนางว่า “ผมไม่สามารถจะ พรรณนาภัตของนางได้. นางท�ำถวายแสนจะประณีต ภัตท่ีภิกษุรูปหนึ่งได้ย่อมเพียงพอแก่ภิกษุ ๓ รูปบ้าง ๔ รูปบ้าง แต่การได้เห็นนางนั้น ดีเสียย่ิงกว่าไทยธรรม ของนางอีก เพราะนางสวยงามเชน่ น้ันจริง ๆ.” คร้ังน้ัน ภิกษุรูปหน่ึงได้ฟังถ้อยค�ำท่ีพรรณนาคุณ ของนาง เกิดความรกั ขึ้นแลว้ โดยมไิ ด้เห็นตัวเลย คดิ ว่า ‘เราควรจะไปดูนาง’ แล้วบอกจ�ำนวนพรรษาของตนแล้ว ถามล�ำดับกับภิกษุนั้นแล้ว ได้ยินว่า “ผู้มีอายุ พรุ่งนี้ ทา่ นเป็นประธานสงฆ์ จะได้อฏั ฐกภัตในเรอื นนน้ั ” จงึ คว้า บาตรและจวี รจากไปในขณะนน้ั เอง, เมื่ออรุณขึ้นแต่เช้าเทียว เข้าไปสู่โรงภัตยืนคอย อยู่แลว้ เป็นประธานสงฆ์ได้อฏั ฐกภตั ในเรือนของนาง. ในวนั วานท่ีภิกษนุ ั่นฉันแล้ว หลกี ไปนั่นเอง โรคได้ เกิดข้ึนในร่างกายของนางฉะนั้น นางจึงเปล้ืองอาภรณ์ แลว้ นอน. ขณะนั้น พวกทาสีของนางเห็นภิกษุท้ังหลายผู้ได้ อฏั ฐกภตั มาแลว้ จงึ บอกแกน่ าง. นางไมส่ ามารถจะรบั บาตร 130 อุบาสกิ า ฉบบั สามญั ชน www.kalyanamitra.org

แล้วนิมนต์ให้น่ัง หรืออังคาสด้วยมือของตนได้ จึงส่ัง พวกทาสีว่า “แน่ะแม่คุณทั้งหลาย พวกเธอรับบาตรแล้ว นิมนต์พระคุณเจ้าให้น่ัง ให้ดื่มข้าวยาคู ถวายของเคี้ยว ในเวลาฉนั ภัต จงใสอ่ าหารให้เตม็ บาตร แลว้ ถวายเถดิ .” ทาสีเหล่านั้นรับว่า “ดีละ คุณแม่” แล้วนิมนต์ภิกษุ ท้ังหลายให้เข้ามา ให้ด่ืมข้าวยาคู ถวายของเค้ียวแล้ว ในเวลาฉันภัต ได้ใสอ่ าหารให้เต็มบาตร แล้วบอกแก่นาง. นางกล่าวว่า “จงช่วยพยุงฉันไปที ฉันจะไหว้ พระคุณเจ้าท้ังหลาย” ทาสีเหล่าน้ันพยุงไปสู่ที่ใกล้ภิกษุ ทั้งหลายแล้ว ได้ไหว้ภกิ ษทุ งั้ หลายดว้ ยรา่ งอนั สน่ั เทมิ้ อย่.ู ภกิ ษุนั้นแลดูนางแล้ว คิดว่า ‘ความสวยงามแห่งรูป ของหญิงผู้เป็นไข้น้ียังสวยงามถึงเพียงน้ี, ก็ในเวลาไม่มี โรค รูปสมบัติของนางคนนี้ ที่ตกแต่งแล้วด้วยอาภรณ์ ทกุ อยา่ ง จะสวยงามสักเพยี งไร.’ คร้ังนั้น กิเลสท่ีเธอส่ังสมไว้ตั้งหลายโกฏิปีก�ำเริบ ขึ้นแล้ว. ภิกษนุ ั้นมไิ ดม้ ใี จจดจ่อที่อ่ืน มีใจจดจ่อแต่เฉพาะ นางเท่าน้ัน ไม่สามารถจะฉันหาอาหารได้ จึงถือบาตร กลบั วหิ าร ปดิ บาตรวางไว้ ณ สว่ นขา้ งหนง่ึ ปจู วี รนอนแลว้ . ลำ� ดบั นนั้ ภกิ ษสุ หายของทา่ นรปู หนงึ่ แมอ้ อ้ นวอนอยู่ กไ็ มส่ ามารถจะใหท้ ่านฉันได้. ภิกษุนนั้ ได้อดอาหารแลว้ . 131 นางสิริมา www.kalyanamitra.org

ในเวลาเย็นวันนั้นเอง นางสิริมาได้ละโลกไปแล้ว. พระราชาทรงส่งพระราชสาสน์ไปถวายพระศาสดาว่า ‘พระเจ้าข้า นางสิริมาน้องสาวหมอชีวก ได้ละโลกไป เสยี แล้ว’. พระศาสดาทรงสดบั เรอื่ งนน้ั จงึ สง่ ขา่ วไปแดพ่ ระราชา ว่า ‘จะยงั ไมม่ กี ารเผาศพนางสิรมิ า, พระองค์จงทรงรบั สง่ั ให้เอาศพนางสิริมานั้นนอนในป่าช้าผีดิบ แล้วให้ดูแลไว้ โดยไมใ่ หก้ าและสนุ ขั จะกนิ ได้เถิด’. พระราชาได้ทรงท�ำตามรับสั่งแล้ว. สามวันล่วงไป แล้วโดยล�ำดับ, ในวันที่ ๔ สรีระข้ึนพองแล้ว หมู่หนอน ไต่ออกจากปากแผลทั้ง ๙ สรีระท้ังสิ้นได้แตกสลาย คลา้ ยถาดข้าวสาลีฉะน้นั . พระราชาใหพ้ วกราชบรุ ษุ ตกี ลองปา่ วประกาศในเมอื ง ว่า “เว้นเด็กๆ ท่ีเฝ้าเรือนเสีย ใครไม่มาดูศพนางสิริมา จะถกู ปรับ ๘ กหาปณะ” และได้สง่ พระราชสาสน์ไปสำ� นัก พระศาสดาวา่ ‘นยั วา่ ภกิ ษสุ งฆม์ พี ระพทุ ธเจา้ เปน็ ประธาน ขอจงมาดศู พนางสิรมิ า’ พระศาสดารับส่ังให้นิมนต์ภิกษุทั้งหลายว่า “เรา ทั้งหลายจะไปดูศพนางสริ มิ า” 132 อุบาสิกา ฉบับสามญั ชน www.kalyanamitra.org

ภิกษุหนุ่มแม้รูปนั้นไม่เชื่อฟังค�ำของใครๆ เลย ตลอด ๔ วัน อดอาหารนอนแซ่วอยู่แล้ว. ข้าวสวย ในบาตรบดู สนิมกต็ ง้ั ขึ้นในบาตร. ภิกษุสหายน้ันจึงเข้าไปหาท่านแล้วบอกว่า “ผู้มี อายุ พระศาสดาจะเสด็จไปทอดพระเนตรศพนางสิริมา.” เธอแมถ้ กู ความหวิ แผดเผาอยา่ งนน้ั กล็ กุ ขน้ึ ไดโ้ ดยรวดเรว็ เพราะค�ำกล่าวว่า “สิริมา” นน่ั เอง กลา่ วถามว่า “ท่านว่า อะไรนะ” เม่อื ภิกษสุ หายตอบวา่ “พระศาสดาจะเสด็จไปทอด พระเนตรศพนางสิรมิ า ทา่ นจะไปด้วยไหม ?” รีบรับว่า “ไปขอรับ” แล้วเทข้าวล้างบาตร ใส่ใน ถลก ไดไ้ ปกับหมู่ภกิ ษุ. พระศาสดามีหมู่ภิกษุห้อมล้อมแล้ว ได้ประทับอยู่ ณ ข้างหนึง่ . ภิกษณุ สี งฆ์ก็ดี ราชบรษิ ัทกด็ ี อบุ าสกบริษัท ก็ดี อุบาสิกาบรษิ ัทก็ดี ไดย้ นื อยู่พวกละข้าง. พระศาสดาตรัสถามพระราชาว่า “นีใ่ คร ? มหาบพิตร.” พระราชา. “นอ้ งสาวหมอชีวก ชอื่ ‘สริ มิ า’ พระเจา้ ข้า.” พระศาสดา. “นางสริ มิ าหรอื นี่ ?” พระราชา. “นางสิรมิ า พระเจ้าขา้ .” 133 นางสิรมิ า www.kalyanamitra.org

พระศาสดา “ถ้ากระน้ัน ขอพระองค์ได้โปรดให้ ราชบุรุษตีกลองป่าวประกาศในเมืองว่า ‘ใครให้ทรัพย์ พนั หนง่ึ จงเอาศพนางสริ มิ าไป’.” พระราชาไดท้ รงทำ� อยา่ งนน้ั แลว้ . ผทู้ จี่ ะออกปากวา่ ‘ข้าพเจา้ หรอื ว่าเรา’ แมค้ นหน่งึ ก็ไม่ม.ี พระราชาทูลแก่พระศาสดาว่า “ชนท้ังหลายไม่รับ พระเจ้าขา้ .” พระศาสดาตรัสว่า “มหาบพิตร ถ้ากระน้ัน จงลด ราคาลงอีก.” พระราชารับส่ังให้ตีกลองป่าวประกาศว่า “ใครให้ ทรพั ย์ ๕๐๐ จงเอาไป” ไมท่ รงเหน็ ใครๆ จะรับเอา จึงรับสั่งให้ตีกลอป่าวประกาศว่า “ใครให้ทรัพย์ ๒๕๐-๒๐๐-๑๐๐-๕๐-๒๕ กหาปณะ, ๑๐ กหาปณะ, ๕ กหาปณะ, ๑ กหาปณะ, ครง่ึ กหาปณะ, บาท ๑, มาสก ๑, กากณิก ๑ แล้วเอาศพนางสิริมาไป” ก็ไม่เห็นใครจะรับ เอาไป จงึ รบั สง่ั ใหต้ กี ลองปา่ วประกาศวา่ “จงเอาไปเปลา่ ๆ ก็ได.้ ” ผู้ทจี่ ะออกปากวา่ ‘ข้าพเจา้ หรือวา่ เรา’ แมค้ นหนงึ่ กไ็ ม่มี. พระราชาทูลว่า “พระเจ้าข้า ผู้ท่ีจะรับเอาไป แมเ้ ปลา่ ๆ กไ็ มม่ ี.” 134 อุบาสิกา ฉบบั สามญั ชน www.kalyanamitra.org

พระศาสดาจึงตรัสว่า “ภิกษุท้ังหลาย เธอทั้งหลาย จงดูมาตุคามซึ่งเป็นท่ีรักของมหาชน ในกาลก่อน คน ท้ังหลายในเมืองนี้แล ให้ทรัพย์พันหน่ึงแล้ว ได้อภิรมย์ กับนางวันหน่ึง บัดน้ี แม้ผู้ท่ีจะรับเอาเปล่าๆ ก็ไม่มี, รูปเห็นปานน้ี ถึงความสิ้นและความเส่ือมแล้ว ภิกษุ ทั้งหลาย เธอท้ังหลายจงดูร่างกายอันอาดูร” ดังนี้แล้ว ตรัสพระคาถานีว้ า่ เธอจงดอู ตั ภาพ ทไ่ี มม่ คี วามยงั่ ยนื และความมน่ั คง อนั กรรมทำ� ใหว้ จิ ติ รแลว้ มกี ายเปน็ แผล อนั กระดกู ๓๐๐ ทอ่ นยกขนึ้ แลว้ อนั อาดรู ๕๙ทม่ี หาชนครนุ่ คดิ แลว้ โดยมาก. เมอื่ จบเทศนา ธรรมาภสิ มยั ไดม้ แี ลว้ แกส่ ตั ว์ ๘ หมนื่ ๔ พัน ภิกษุแมร้ ูปนั้น กไ็ ด้ตง้ั อย่ใู นโสดาปตั ตผิ ล ดังน้ีแล. จบเรอ่ื งนางสริ ิมา. ๕๙ อา่ นวา่ อาดูน แปลวา่ ว. เดอื ดรอ้ น, เจ็บปวดหรอื ชอกชำ�้ ทงั้ กาย และใจ (เหมอื น อาดุร, อาตรุ ). 135 นางสิริมา www.kalyanamitra.org

136 อบุ าสกิ า ฉบบั สามัญชน www.kalyanamitra.org

๑๗ เรอื่ งนางมลั ลกิ า ภรรยาพนั ธลุ เสนาบดี (ปรากฏอยใู่ นเรอื่ งพระเจา้ วฑิ ฑู ภะ๖๐) ภรรยาของพันธุลเสนาบดีช่ือ ‘มัลลิกา‘ ซ่ึงเป็น พระธิดาของเจา้ มลั ละ ในกุสนิ ารานคร ไม่มีบุตรเป็นเวลา นาน. ต่อมา พันธุลเสนาบดีสง่ นางไปว่า “เจ้าจงไปสู่เรือน แห่งตระกลู ของตนเสยี เถิด.” นางคดิ วา่ ‘เราจกั เฝา้ พระศาสดาแลว้ จงึ ไป’ จงึ เขา้ ไป ยังพระเชตวนั ยืนถวายบังคมพระตถาคต พระตถาคตตรสั ถามว่า “เธอจะไป ณ ที่ไหน ?” กราบทลู วา่ “ขา้ แตพ่ ระองคผ์ เู้ จรญิ สามสี ง่ หมอ่ มฉนั ไปสู่เรือนแหง่ ตระกลู .” ๖๐ ต้นฉบับธัมมปทฏั ฐกถา อรรถกถาขุททกนิกาย คาถาธรรมบท, ปปุ ผวรรควรรณนา, ล.๔๑, น.๒๗, มมร. 137 นางมลั ลิกา ภรรยาพนั ธลุ เสนาบดี www.kalyanamitra.org

พระศาสดา. “เพราะเหตไุ ร ?” นาง. “เพราะวา่ หมอ่ มฉนั เป็นหมนั ไมม่ บี ตุ ร.” พระศาสดา. “ถา้ อย่างนั้น ไม่ต้องไป จงกลับเสยี เถดิ .” นางดใี จ ถวายบงั คมพระศาสดา กลับไปสนู่ ิเวศน์ เม่อื สามีถามวา่ “กลับมาทำ� ไม ?” ตอบวา่ “พระทศพลให้ฉันกลับ.” พนั ธลุ ะคดิ วา่ ‘พระทศพลทรงเหน็ การณไ์ กล จะเหน็ เหตนุ ี’้ จงึ รับไว.้ ตอ่ มาไมน่ านนกั นางกต็ งั้ ครรภ์ เกดิ แพท้ อ้ ง บอกวา่ “ความแพ้ทอ้ งเกิดแก่ฉนั แลว้ .” พันธลุ ะ. “แพท้ ้องอะไร ?” นาง. “นาย ฉันใคร่จะลงอาบแล้ว ด่ืมน้�ำควรดื่มใน สระโบกขรณี อันเป็นมงคลในงานอภิเษกแห่ง คณะราชตระกูลในนครไพสาล.ี ” พันธุละกลา่ วว่า “ดลี ะ” แล้วถือธนูอันบุคคลพึงโก่งด้วยเรี่ยวแรงของบุรุษ พนั หน่งึ อุม้ นางขึน้ รถ ออกจากเมอื งสาวัตถี ขบั รถเขา้ ไป สเู่ มืองไพสาลี โดยประตทู ่เี จา้ ลิจฉวใี ห้แกม่ หาลิลจิ ฉว.ี 138 อุบาสกิ า ฉบบั สามญั ชน www.kalyanamitra.org

ทีอ่ ย่อู าศยั ของเจา้ ลิจฉวนี ามวา่ ‘มหาล’ิ มีอยู่ ณ ท่ี ใกลป้ ระตนู น่ั แล. พอทา่ นไดย้ นิ เสียงรถกระทบธรณีประตู ก็รู้วา่ ‘เสยี งรถของพันธลุ ะ’ จงึ กลา่ วว่า “วันนี้ ภยั จะเกดิ แกพ่ วกเจา้ ลจิ ฉวี.” การอารักขาสระโบกขรณี แข็งแรงท้ังภายในและ ภายนอก, เบือ้ งบนเขาขงึ ข่ายโลหะ, แมน้ กกไ็ ม่มีโอกาส. ฝ่ายพันธุลเสนาบดีลงจากรถ เฆ่ียนพวกเจ้าหน้าท่ี ผรู้ กั ษาดว้ ยหวายใหห้ ลบหนไี ป แลว้ ตดั ขา่ ยโลหะ ใหภ้ รยิ า อาบแล้ว แม้ตนเองก็อาบในภายในสระโบกขรณีแล้ว อมุ้ นางขนึ้ รถอกี ออกจากพระนคร ขบั ไปโดยทางทมี่ าแลว้ น่นั แล. พวกเจ้าหน้าท่ีผู้รักษา ทูลเรื่องแก่พวกเจ้าลิจฉวี. พวกเจ้าลิจฉวีกรวิ้ เสด็จขึน้ รถ ๕๐๐ คัน ขบั ออกไปดว้ ย เจตนาว่า ‘จะจับเจ้ามัลละชื่อพันธุละ.’ ได้แจ้งเร่ืองน้ัน แก่เจา้ มหาลิ. เจ้ามหาลิตรัสว่า “พวกท่านอย่าเสด็จไป, เพราะ เจา้ พันธลุ ะน้นั จะฆ่าพวกท่านทั้งหมด.” แมเ้ จา้ ลจิ ฉวเี หลา่ นนั้ กย็ งั ตรสั วา่ “พวกขา้ พเจา้ จะไป ให้ได้.” 139 นางมัลลิกา ภรรยาพนั ธุลเสนาบดี www.kalyanamitra.org

เจา้ มหาลติ รสั วา่ “ถา้ อยา่ งนน้ั พวกทา่ นทรงเหน็ ทๆ่ี ล้อรถจมลงไปสู่แผ่นดินจนถึงดุมแล้ว ก็พึงเสด็จกลับ; เมื่อไม่กลับแต่นั้น จะได้ยินเสียงราวกับสายอสนีบาต๖๑ ข้างหน้า, พึงเสด็จกลับจากท่ีน้ัน; เมื่อไม่กลับแต่นั้น จะเหน็ ชอ่ งในแอกรถของพวกทา่ น, พงึ กลบั แตท่ นี่ นั้ ทเี ดยี ว, อยา่ ได้เสด็จไปขา้ งหนา้ เปน็ อนั ขาด.” เจา้ ลจิ ฉวเี หลา่ นนั้ ไมเ่ สดจ็ กลบั ตามคำ� ของเจา้ มหาลิ พากันติดตามพนั ธุละเรื่อยไป. นางมัลลิกาเห็นแล้ว จึงกล่าวว่า “นาย รถทงั้ หลาย ยอ่ มเหน็ แลว้ .” พันธุละกล่าวว่า “ถ้าอย่างน้ัน ในเวลารถเห็นเป็น คนั เดยี วกันทเี ดยี ว เจ้าพงึ บอก.” เม่ือเวลารถท้ังหมดเห็นซ้อนดุจเป็นคันเดียวกัน นางจงึ บอกวา่ “นาย งอนรถเหน็ เป็นคนั เดยี วกันทีเดยี ว.” พนั ธลุ ะกลา่ ววา่ “ถา้ อยา่ งนนั้ เจา้ จงจบั เชอื กเหลา่ น”้ี แลว้ ใหเ้ ชอื กแกน่ าง ยนื ตรงอยบู่ นรถ โกง่ ธนขู น้ึ . ลอ้ รถจม ลงไปสแู่ ผ่นดนิ ถึงดุม. ๖๑ น. การตกแหง่ สายฟ้า, ฟ้าผา่ , สายฟ้า. 140 อบุ าสิกา ฉบบั สามัญชน www.kalyanamitra.org

เจา้ ลจิ ฉวที รงเหน็ ทน่ี น้ั แลว้ กย็ งั ไมเ่ สดจ็ ไป. เจา้ พนั ธลุ ะ นี้ไปได้หน่อยหนึ่งก็ดีดสายธนู. เสียงสายธนูน้ันได้เป็น ประหนง่ึ อสนบี าต. เจา้ ลจิ ฉวเี หลา่ นน้ั กย็ งั ไมเ่ สดจ็ กลบั จาก ทน่ี นั้ , ยงั เสดจ็ ตดิ ตามไปอยู่น่ันแล. พนั ธลุ ะยนื อยบู่ นรถนนั่ แล ยงิ ลกู ศรไปลกู หนง่ึ . ลกู ศร นัน้ ทำ� งอนรถ ๕๐๐ คนั ให้เป็นชอ่ งแล้ว แทงทะลุพระราชา ๕๐๐ ในทผี่ กู เกราะแลว้ จมลงไปในแผน่ ดนิ . เจา้ ลจิ ฉวเี หลา่ นนั้ ไมร่ วู้ า่ ตนถกู ลกู ศรแทงแลว้ ตรสั วา่ “เฮ้ยหยุดก่อน, เฮ้ยหยดุ ก่อน” ยังเสดจ็ ติดตามไปน่ันแล. พันธุลเสนาบดีหยุดรถแล้วกล่าวว่า “พวกท่านเป็นคน ตายแล้ว, ช่ือว่าการรบของข้าพเจ้ากับคนตายท้ังหลาย ย่อมไม่ม.ี ” เจา้ ลจิ ฉว.ี “ช่อื วา่ คนตาย คงไม่ใช่เรา.” พนั ธุละ. “ถ้ากระนั้น พวกท่านจงแก้เกราะของคนหลัง ทงั้ หมดด.ู ” พวกเจา้ ลจิ ฉวีเหลา่ น้นั ใหแ้ ก้แล้ว. เจ้าลิจฉวีองค์น้นั ลม้ ลงสน้ิ ชีพติ ักษยั ๖๒ ในขณะแกเ้ กราะออกแลว้ นน่ั เอง. ๖๒ สน้ิ ชพี ตกั ษยั , สนิ้ ชพี ติ กั ษยั (ราชา) ก. ตาย (ใชเ้ ฉพาะหมอ่ มเจา้ ), ถงึ ชพี ติ กั ษัย ก็ใช.้ 141 นางมลั ลกิ า ภรรยาพันธุลเสนาบดี www.kalyanamitra.org

พันธุละจึงกล่าวกับเจ้าลิจฉวีเหล่านั้นว่า “พวกท่าน ทั้งหมดก็เหมือนกัน, เสด็จไปเรือนของตนๆ แล้ว จึงจัด ส่งิ ทค่ี วรจัด พร่�ำสอนลกู เมยี แล้วแก้เกราะออก.” เจ้าลิจฉวีเหล่าน้ันกระท�ำอย่างน้ันทุกๆ องค์ ถึง ชพี ติ กั ษัยแลว้ . ฝ่ายพันธุละพานางมัลลิกามายังเมืองสาวัตถี. นาง คลอดบตุ รเปน็ แฝดถงึ ๑๖ ครงั้ . (๑๖ คแู่ ฝด รวม ๓๒ คน) บุตรของนางท้ังหมดได้เป็นผู้แกล้วกล้า ถึงพร้อม ดว้ ยกำ� ลงั , สำ� เรจ็ ศลิ ปะทง้ั หมด. คนหนง่ึ ๆ ไดม้ บี รุ ษุ พนั คน เป็นบริวาร. พระลานหลวงเต็มไปด้วยบุตรเหล่าน้ันแล ซ่งึ ไปราชนิเวศนก์ ับบิดา. อยมู่ าวันหน่งึ ชาวเมอื งแพค้ วามด้วยคดีโกง ในการ วินิจฉัย เหน็ พันธลุ ะก�ำลังเดินมา รำ�่ รอ้ งกนั ใหญ่ แจ้งการ กระท�ำคดีโกงของพวกอ�ำมาตย์ผูว้ นิ จิ ฉยั แก่พันธลุ ะนั้น. พันธุละไปสู่โรงวินิจฉัย พิจารณาคดีนั้นแล้ว ได้ท�ำ ผู้เป็นเจ้าของ ให้เป็นเจ้าของ. มหาชนให้สาธุการเป็น ไปด้วยเสียงอันดงั . พระราชาทรงสดบั เสยี งนน้ั ตรสั ถามวา่ “นอี่ ะไรกนั ?” เมอื่ ทรงสดบั เรอ่ื งนน้ั แลว้ ทรงโสมนสั ใหถ้ อดพวกอำ� มาตย์ เหลา่ นัน้ ทัง้ หมด ทรงมอบการวนิ จิ ฉยั แก่พันธลุ ะเทา่ นั้น. 142 อบุ าสิกา ฉบบั สามญั ชน www.kalyanamitra.org

ตั้งแต่นั้นมา พันธุละก็วินิจฉัยโดยถูกต้อง. ต้ังแต่ วันน้ันมา พวกอ�ำมาตย์ผู้วินิจฉัยรุ่นเก่า ไม่ได้ค่าจ้าง มีรายได้น้อย จึงยุยงในราชตระกูลว่า “พันธุละปรารถนา เปน็ พระราชา.” พระราชาทรงเช่ือค�ำของอ�ำมาตย์เหล่าน้ัน มิได้ อาจจะทรงข่มพระหฤทัยได้, ทรงด�ำริอีกว่า ‘เมื่อพันธุละ ถกู ฆ่าตายในท่ีน,ี้ คำ� ครหา๖๓ ก็จะเกดิ แกเ่ รา’ ทรงมีรับสั่ง ใหบ้ รุ ษุ ทจี่ ดั ไวโ้ จมตปี จั จนั ต๖๔นครแลว้ รบั สง่ั ใหห้ าพนั ธลุ ะ มา ทรงสง่ ไปดว้ ยพระดำ� รสั วา่ “ทราบวา่ จงั หวดั ปลายแดน โจรกำ� เรบิ ขน้ึ , ทา่ นพรอ้ มทงั้ บตุ รของทา่ นจงไปจบั โจรมา”, แล้วทรงส่งนายทหารผู้ใหญ่ซึ่งสามารถเหล่าอ่ืน ไปกับ พันธุละเสนาบดีนั้น ด้วยพระด�ำรัสว่า “พวกท่านจงตัด ศีรษะพันธุลเสนาบดีพร้อมทั้งบุตร ๓๒ คน ในท่ีนั้นแล้ว น�ำมา.” เมื่อพันธุละนั้นพอถึงจังหวัดปลายแดน, พวกโจรท่ี พระราชาทรงจดั ไว้ กลา่ วกนั วา่ “ทราบวา่ ทา่ นเสนาบดมี า” แล้วพากันหลบหนีไป. พันธุลเสนาบดีน้ันท�ำดินแดนน้ัน ให้สงบราบคาบแลว้ แลว้ กลบั มา. ๖๓ อ่านว่า คะ-ระ-หา หรือ คอ-ระ-หา แปลว่า ก. ติเตยี น ติโทษ. ๖๔ อ่านว่า ปัด-จัน-ตะ แปลว่า ว. ทส่ี ดุ แดน ปลายเขตแดน. 143 นางมัลลิกา ภรรยาพนั ธุลเสนาบดี www.kalyanamitra.org

ทหารเหล่านั้นก็ตัดศีรษะพันธุลเสนาบดีพร้อมกับ บุตรทัง้ หมด ในท่ใี กล้พระนคร. วันน้ัน นางมัลลิกาเทวีนิมนต์พระอัครสาวกท้ังสอง พรอ้ มทงั้ ภกิ ษุ ๕๐๐ รปู . คร้ันในเวลาเช้า พวกคนได้น�ำหนังสือมาให้นาง เนื้อความว่า ‘โจรตัดศีรษะสามีพร้อมท้ังบุตรของท่าน.’ นางรูเ้ ร่อื งน้ันแล้ว ไม่บอกใครๆ พับหนงั สอื ใส่ไวใ้ นพกผา้ องั คาส๖๕ ภิกษุสงฆเ์ รือ่ ยไป. ขณะน้ัน สาวใช้ของนางถวายภัตแก่ภิกษุแล้ว น�ำ ถาดเนยใสมา ท�ำถาดแตกตรงหน้าพระเถระ. พระธรรมเสนาบดีกล่าวว่า “ส่ิงของมีอันแตกเป็น ธรรมดา กแ็ ตกไปแล้ว, ใครๆ ก็ไม่ควรคดิ .” นางมัลลิกาน้ันน�ำเอาหนังสือออกจากพกผ้า เรียน ท่านว่า “เขาน�ำหนังสือนี้มาให้แก่ดิฉัน เนื้อความว่า ‘พวกโจรตัดศีรษะบิดาพร้อมด้วยบุตร ๓๒ คน’, ดิฉัน แม้สดับเร่ืองนี้แล้ว ก็ยังไม่คิด; เพียงถาดเนยใสแตก ดฉิ นั จะคิดอยา่ งไรเลา่ ? เจ้าขา้ .” พระธรรมเสนาบดกี ล่าวค�ำเปน็ ตน้ ว่า :- ๖๕ อา่ นว่า องั -คาด แปลว่า ก. ถวายอาหารพระ เลย้ี งพระ. 144 อบุ าสกิ า ฉบับสามัญชน www.kalyanamitra.org

“ชวี ติ ของสัตว์ทัง้ หลาย ในโลกน้ี ไมม่ นี มิ ิต ใครๆ กร็ ไู้ มไ่ ด้ ท้งั ฝดื เคือง ท้งั น้อย, และชีวติ นนั้ ซำ�้ ประกอบด้วยทกุ ข์.” แสดงธรรมเสรจ็ แลว้ ลกุ จากอาสนะ ไดไ้ ปวหิ ารแลว้ . ฝา่ ยนางมลั ลกิ าใหเ้ รยี กบตุ รสะใภท้ ง้ั ๓๒ คนมาแลว้ สง่ั สอนว่า “สามขี องพวกเธอไมม่ คี วามผิด ได้รบั ผลกรรม ในชาติก่อนของตน, เธอท้ังหลายอย่าเศร้าโศก อย่า ปรเิ ทวนาการ๖๖, อยา่ ทำ� การผกู ใจแคน้ เบอ้ื งบนพระราชา.” จารบรุ ษุ ๖๗ ของพระราชาฟงั ถอ้ ยคำ� นนั้ แลว้ กราบทลู ความทคี่ นเหล่าน้ันไม่โทษแดพ่ ระราชา. พระราชาทรงถึงความสลดพระหฤทัย เสด็จไป นิเวศน์ของนางมัลลิกาน้ัน ให้นางมัลลิกาและหญิงสะใภ้ ของนางอดโทษ แล้วไดพ้ ระราชทานพรแกน่ างมลั ลิกา. นางกราบทลู วา่ “พรจงเปน็ พรอนั หมอ่ มฉนั รบั ไวเ้ ถดิ ” เมื่อพระราชานั้นเสด็จไปแล้ว, ถวายภัตเพื่อผู้ตาย อาบน�้ำแล้ว เข้าเฝ้าพระราชา ทูลว่า “ขอเดชะ พระองค์ พระราชทานพรแก่หม่อมฉันแล้ว, หม่อมฉันไม่มีความ ๖๖ (มคธ ยอ่ ว่า มค.) ปริเทวนาการ = ปรเิ ทวน + อาการ แปลว่า น. การคร�่ำครวญ, การร�ำพัน. ๖๗ น. คนสอดแนม (เหมอื น จารชน). 145 นางมลั ลิกา ภรรยาพันธุลเสนาบดี www.kalyanamitra.org

ตอ้ งการดว้ ยของอน่ื , ขอพระองคจ์ งทรงอนญุ าตใหล้ กู สะใภ้ ๓๒ คนของหม่อมฉัน และตวั หมอ่ มฉนั กลบั ไปเรือนแห่ง ตระกลู เถดิ .” พระราชาทรงรับแล้ว. นางมัลลิกาส่งหญิงสะใภ้ ๓๒ คนไปสตู่ ระกูลของตนๆ ดว้ ยตนเอง. ส่วนนางไดไ้ ป สเู่ รือนแห่งตระกลู ของตนในกสุ นิ ารานคร. (หลังจากที่นางมัลลิกาพร้อมกับสะใภ้ท้ัง ๓๒ คน ได้กลับไปยังเมืองมาตุภูมิแล้ว พวกนางไม่ได้ปรากฏตัว อีกเลย จนกระทั่งหลังจากพระพุทธเจ้าทรงดับขันธ์ ปรนิ พิ พานทเี่ มอื งกสุ นิ ารา แควน้ มมลั ะ พวกมลั ละกษตั รยิ ์ แห่งเมืองกุสินาราได้อัญเชิญพระพุทธสรรีระไปถวาย พระเพลงิ ณ มกฏุ พนั ธนเจดีย์ โดยน�ำขบวนเคลอื่ นท่จี าก ทศิ เหนอื ไปยงั ทศิ ตะวนั ออกของเมอื งกสุ นิ ารา ระหวา่ งทาง ขบวนเคล่ือนที่ นางมัลลิกาได้ขอให้ขบวนหยุดแล้วน�ำ มหาลดาปสาธน์๖๘ เครื่องประดับของนางมาถวายแก่ พระพทุ ธสรรรี ะจนพระพทุ ธสรรรี ะเปลง่ แสงประกายอยา่ ง นา่ อศั จรรย์ ๖๘ เป็นเคร่ืองประดับชุดแต่งงานของสาวชาวอินเดีย ซ่ึงสวมคู่กับ สา่ หรี โดยสวมตง้ั แตศ่ รี ษะจรดเทา้ ตรงศีรษะก็ท�ำเป็นรูปนกยงู ไว้ตัวนึง ซึ่งส่วนประกอบก็เต็มไปด้วยของมีค่ามากมายในสมัย พทุ ธกาลมผี คู้ รอบครองมหาลดาปสาธน์ ๓ คน คอื นางวิสาขา พระนางมัลลกิ า และลูกเศรษฐีเมอื งพาราณาสี 146 อบุ าสิกา ฉบบั สามญั ชน www.kalyanamitra.org

ในบั้นปลายชีวิต คัมภีร์ทางพระพุทธศาสนาไม่ได้ ระบุว่านางเสียชีวิตเม่ือใด แต่คงด�ำรงขันธ์อยู่พอสมควร แก่กาลจงึ อันตรธานไป) ฝ่ายพระราชาได้พระราชทานต�ำแหน่งเสนาบดีแก่ ทีฆการายนะผู้ซึ่งเปน็ หลานพันธลุ เสนาบด.ี ทีฆการายนะนั้นเท่ียวแสวงหาโทษของพระราชา ด้วยคิดอยวู่ า่ ‘ลุงของเราถูกพระราชาองค์น้ี ให้ตายแลว้ .’ ข่าวว่า จ�ำเดิมแต่การท่ีพันธุละผู้ไม่มีความผิดถูกฆ่าแล้ว พระราชาทรงมวี ปิ ฏสิ าร ๖๙ ไมไ่ ดร้ บั ความสบายพระหฤทยั ไม่ไดเ้ สวยความสขุ ในราชสมบัติเลย. คร้ังนั้น พระศาสดาทรงอาศัยนิคมช่ือ ‘เมทฬุปะ’ ของพวกเจ้าศากยะ ประทับอยู่. พระราชาเสด็จไปที่น้ัน แล้ว ทรงให้ต้ังค่ายในที่ไม่ไกลจากพระอารามแล้ว เสด็จ ไปวหิ าร ด้วยบริวารเป็นอนั มากด้วยทรงด�ำริวา่ ‘จะถวาย บังคมพระศาสดา’ พระราชทานเครื่องราชกกุธภัณฑ์๗๐ ๖๙ น. ความเดือดรอ้ น, ความเสยี ใจ, ความสลดใจ, การรวู้ ่าตวั ผดิ , ความเหน็ ผดิ ของตวั (เหมอื น วปิ ระตสิ าร). ๗๐ เครอ่ื งประดบั พระเกยี รตยิ ศของพระเจ้าแผน่ ดินมี ๕ อยา่ ง คอื ๑.แสจ้ ามรี ๒.มงกฎุ ๓.พระขรรค์ ๔.ธารพระกร ๕.ฉลองพระบาท บางแหง่ ว่า ๑.พระขรรค์ ๒.เศวตฉตั ร ๓.มงกฎุ ๔.ฉลองพระบาท ๕.พัดวาลวชิ นี 147 นางมัลลกิ า ภรรยาพนั ธลุ เสนาบดี www.kalyanamitra.org

ทั้ง ๕ แก่ทีฆการายนะ แล้วพระองค์เดียวเท่านั้นเสด็จ เข้าสู่พระคันธกุฎี. พึงทราบเรื่องทั้งหมดโดยท�ำนองแห่ง ธรรมเจตยิ สูตร.๗๑ เมอ่ื พระองคเ์ สดจ็ เขา้ สพู่ ระคนั ธกฎุ แี ลว้ ทฆี การายนะ จงึ ถอื เอาเครอื่ งราชกกธุ ภณั ฑเ์ หลา่ นน้ั ทำ� วฑิ ฑู ภะใหเ้ ปน็ พระราชา เหลือม้าไว้ตัวหนึ่ง และหญิงผู้เป็นพนักงาน อุปัฏฐากคนหน่ึง แล้วไดก้ ลับไปเมืองสาวตั ถี. พระราชาตรัสปิยกถากับพระศาสดาแล้วเสด็จออก ไมท่ รงเหน็ เสนา จงึ ตรสั ถามหญงิ นน้ั ทรงสดบั เรอื่ งนน้ั แลว้ ทรงด�ำริวา่ ‘เราจะพาหลานไปจับวฑิ ฑู ภะ’ ดังน้ีแล้ว เสด็จ ไปกรุงราชคฤห์ เสด็จถึงพระนคร เมื่อประตูพระนคร ปิดแล้วในเวลาวิกาล บรรทมแล้วในศาลาแห่งหนึ่ง ทรง เหนด็ เหนอ่ื ยเพราะลมและแดด ไดส้ วรรคตในทน่ี น้ั นน่ั เอง ในเวลากลางคนื . ๗๑ ม. ม. เลม่ ๑๓/ข้อ ๕๕๙-๕๗๐ 148 อุบาสิกา ฉบบั สามัญชน www.kalyanamitra.org

๑๘ เรอื่ งนางจญิ จมาณวกิ า๗๒ สถานทตี่ รัส พระเชตวนั เล่ากันมาว่า ในปฐมโพธิกาล เม่ือสาวกของพระ ทศพลมีมากจนนับจ�ำนวนไม่ได้. เม่ือพวกเทวดาและ มนุษย์ก้าวสู่อริยภูมิ, เม่ือการเกิดขึ้นแห่งพระคุณของ พระศาสดาแผ่ไปแล้ว ลาภสักการะเป็นอันมากเกิดขึ้น แล้ว. พวกเดียรถีย์๗๓ เป็นเหมือนดังแสงหิ่งห้อยในเวลา ดวงอาทิตย์ขนึ้ เป็นผเู้ ส่ือมลาภสกั การะ. พวกเดียรถีย์เหล่านั้น ยืนกลางถนน แม้ประกาศ ให้ชาวบ้านรู้อยู่อย่างน้ีว่า “พระสมณโคดมเท่านั้นหรือ ๗๒ ตน้ ฉบับธมั มปทัฏฐกถา อรรถกถาขทุ ทกนิกาย คาถาธรรมบท, โลกวรรควรรณนา, ล.๔๒, น.๒๕๕, มมร. ๗๓ อ่านว่า เดีย-ระ-ถี แปลว่า น. นักบวชประเภทหนึ่ง มีมาก่อน พระพุทธศาสนา และเป็นปฏิปักษ์ต่อพระพุทธศาสนาอย่างย่ิง เปน็ คำ� กลางทท่ี างพทุ ธศาสนาใชเ้ รยี กนกั บวชอนื่ ๆ บางทต่ี ามเตมิ อญั ญะ ซง่ึ แปลว่า อ่ืน เขา้ ไปข้างหนา้ เปน็ อัญญเดียรกยี ์ กม็ ี 149 นางจญิ จมาณวกิ า www.kalyanamitra.org

เป็นพระพุทธเจ้า, แม้พวกเราก็เป็นพระพุทธเจ้า ทานท่ี เขาให้แล้วแก่พระสมณโคดมนั้นเท่านั้นหรือ มีผลมาก ทานที่เขาให้แล้วแม้แก่เราทั้งหลายก็มีผลมากเหมือนกัน ท่านท้ังหลายจงให้ จงท�ำแก่เราท้ังหลายบ้าง” ดังน้ีแล้ว ไมไ่ ดล้ าภสกั การะแลว้ จงึ ประชมุ คดิ กนั ในทลี่ บั วา่ “พวกเรา พึงกล่าวโทษให้เกิดขึ้นแก่พระสมณโคดม กับชาวบ้าน ทงั้ หลาย พงึ ทำ� ใหล้ าภสกั การะเสอื่ ม โดยวธิ อี ะไรหนอแล?” เวลานนั้ ในกรงุ สาวตั ถี มนี างปรพิ าชกิ าคนหนงึ่ ชอื่ วา่ ‘จิญจมาณวกิ า’ เปน็ ผเู้ ลอโฉม ถงึ ความเลิศดว้ ยความงาม เหมือนนางเทพอัปสรฉะนั้น รัศมีย่อมเปล่งออกจากกาย ของนางนั้น. เดยี รถยี ผ์ มู้ คี วามรเู้ ฉยี บแหลมคนหนงึ่ กลา่ วอยา่ งน้ี ว่า “เราท้ังหลายอาศัยนางจิญจมาณวิกา พึงกล่าวโทษ ให้เกิดข้ึนแก่พระสมณโคดม ท�ำให้ลาภสักการะของเธอ เสอื่ มได”้ พวกเดยี รถียเ์ หน็ ดว้ ยกลา่ วว่า “วธิ ีน้ี ดอี ย่.ู ” เวลาต่อมา นางจิญจมาณวิกานั้นไปสู่อารามของ เดียรถีย์ ไหว้แลว้ ไดย้ ืนอยู่ พวกเดียรถยี ไ์ มพ่ ูดกบั นาง. นางจึงคิดว่า ‘เรามีโทษอะไรหนอแล ?’ แม้พูด ครั้งท่ี ๓ ว่า “พระคุณเจ้าทั้งหลาย ดิฉันไหว้” ดังนี้แล้ว 150 อบุ าสิกา ฉบับสามญั ชน www.kalyanamitra.org


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook