หลกั การอา่ นร้อยกรอง โดย นางยอแสง จนั ทรเ์ สน โรงเรียนสริ นิ ธร อาเภอเมือง จงั หวดั สุรินทร์ สานกั งานเขตพ้ นื ทีก่ ารศึกษามธั ยมศึกษา เขต 33
ใบความรู้ หลกั การอ่านร้อยกรอง วธิ กี ารอา่ นรอ้ ยกรองมี ๑ วิธี ๑. อา่ นออกเสียงตามปกตหิ รอื อา่ นทานองสามัญ อา่ นบทร้อยกรองเปน็ เสียงพดู ตามปกตเิ หมือนการอ่านรอ้ ยแก้ว แต่มจี งั หวะ วรรคตอน หรือมีการเนน้ สัมผัสตามลกั ษณะบังคบั ของบทประพันธ์แต่ละชนิด หากมบี ทร้อยกรองแทรกอยู่ใน บทร้อยแก้วให้อ่านธรรมดาห้ามอ่านทานองเสนาะ ๒. อ่านออกเสียงทานอง อ่านออกเสยี งเหมอื นเสยี งดนตรมี ีการเออ้ื นเสียงเนน้ สัมผัสตามจังหวะลีลา และท่องทานอง ทแ่ี ตกตา่ งไปตามลักษณะบงั คับประพันธ์ ผ้อู า่ นต้องใสเ่ ทคนิคในการทอดเสียงเอ้ือนเช่ือมโยงสอดแทรกอารมณ์ ให้เหมาะสมกับเนื้อเรอ่ื งความไพเราะนั้นให้อย่กู ับนา้ เสยี งของผอู้ ่านและข้ึนอยู่กบั การหม่ันฟงั ตวั อยา่ งท่ดี ีถูกต้องไพเราะและฝึกฝนอยา่ งสม่าเสมอด้วย หลักทั่วไปในการอา่ นร้อยกรอง ๑. ตอ้ งรลู้ กั ษณะบงั คบั ของบทประพนั ธท์ ่ีจะอ่าน เชน่ เอก โท พยางค์ และสัมผสั เป็นตน้ ๒. ตอ้ งรจู้ กั จังหวะและการแบง่ วรรคตอนของบทประพันธ์ทจ่ี ะอ่าน ๓. คาทีส่ มั ผัสกันต้องอา่ นเสียงเน้นให้ชัดเจน ถ้าเปน็ สัมผัสนอกต้องทอดเสียงให้มีจงั หวะยาวกวา่ ธรรมดา ๔. คาท่มี ีพยางคเ์ กินให้อ่านเรว็ รวบและเบาอย่างอักษรนา เพอ่ื ใหเ้ สียงไปตกอยู่ในพยางคท์ ี่ต้องการ ๕. เสียงวรรณยกุ ต์จตั วา ต้องอ่านเปดิ เสยี งใหส้ งู และดังก้อง ๖. อ่านเสยี งควบกล้าใหช้ ดั เจน ๗. ควรใชว้ ิจารณญาณวา่ ตอนใดควรอ่านตามอักขรวธิ ี ตอนใดควรอ่านเออ้ื ต่อสมั ผัสการเอ้ือสมั ผสั เช่น ญวนลาวชาวไทยในแดนดนิ โอนอินทรีอภิวนั ท์ คาที่ขีดเส้นใตอ้ ่าน อบ เพื่อใหส้ ัมผัสกบั นบ ๘. ควรใช้วจิ ารณญาณในการแบ่งวรรคตอนกรณีทีจ่ านวนคายดื หยนุ่ ไม่เปน็ ไปตามแผนบงั คับ ๙. ไมม่ ีการหยดุ หายใจระหวา่ งวรรค ช่องวา่ งระหวา่ งจงั หวะ และระหว่างคาใชว้ ิธีทอดเสียงใหเ้ อื้อน จะ หยุดหายใจได้ก็ต่อเม่อื จบท้ายวรรค ๑๐. เมื่ออ่านถึงตอนจะจบจะต้องเอ้ือนเสยี ง และทอดจงั หวะให้ชา้ ลงจนกระทง่ั จบบท
การอ่านทานองเสนาะบทร้อยกรองประเภทกลอน บทร้อยกรองประเภทกลอนของไทยทีป่ รากฏในวรรณคดีได้แก่ กลอนแปด กลอนดอกสรอ้ ย กลอน สกั วา กลอนนิราศ กลอนบทละคร และกลอนเพลง การอา่ นเป็นไปในทานองคล้ายกัน จะมีตา่ งกนั บ้าง เลก็ นอ้ ย ๑. อ่านทานองของชาวบ้าน อ่านเสยี งสูง ๒ วรรค คือ วรรคสลับ (๑) วรรครบั (๒) แลว้ อา่ นเสยี งตา่ ในวรรคหลงั คอื วรรครอง (๓) และวรรคส่ง (๔) ๒. อ่านทานองอาลักษณ์ อ่านเสียงสูง ๒ วรรคคือ วรรคสลับ (๑) และวรรครบั (๒) แล้วอา่ นเสียงต่าในวรรครอง (๓) และลดเสียงตา่ ไปอีกในต้นวรรคสง่ (๔) ๓. การแบ่งจงั หวะการอ่านกลอน ๓.๑ กลอน ๖ จงั หวะ ๒ / ๒ / ๒ เหมอื นกันทกุ วรรค ตัวอยา่ ง ความดี / มีอยู่ / คู่ชั่ว ตดิ ตวั / กลัว้ อิง / อาศัย ทาดี / ดีชั่ว / อวยชัย ทาชั่ว / ชว่ั ให้ / ใจตรม ผลดี / นี้นา / ความสขุ ผลชว่ั / กล้วั ทกุ ข์ / ใจตรม ผลดี / เหน็ ผล / ชนชม ชว่ั ชา้ / พาจม / ตรมตรอม ( กาชัย ทองหล่อ. ๒๕๐๙. ๗๕๘ ) ๓.๒ กลอน ๗ จังหวะ มี ๓ ชนดิ คอื ก. ๓ / ๒ / ๒ ข. ๒ / ๒ / ๓ ค. ๓/ ๒ / ๓ การแบง่ จงั หวะเหล่าน้ีตอ้ งดูเนื้อความของแต่ละวรรค โดยถอื หลักว่าต้องไดค้ วามเหน็ ตอน ๆ
ตวั อย่าง อนจิ จา / โอ้ว่า / ความรกั พึงประจักษ์ / ดงั่ สาย / น้าไหล ต้ังแต่ / จะเชี่ยว / เปน็ เกลียวไป ไหนเลย / จะไหล / กลบั คนื มา ชายใด / ในพิภพ / จบแดน ยากแคน้ / ใครจะเหมือน / อกข้า รกั หน่าย / กลายเปน็ ทกุ ข์ / โศกา โอ้รกั / ดง่ั ธารา / ไหลรนิ ( กาชยั ทองหลอ่ . ๒๕๐๙. ๗๒๙ ) ๓.๓ กลอน ๘ จังหวะ ๓ / ๒ / ๓ เหมือนกันทุกวรรค ตวั อยา่ ง ตะวันคลา้ ย / หนอ่ ยหน่ึง / ถึงบางพระ ดรู ะยะ / บ้านนนั้ / กแ็ นน่ หนา พอพบเรือน / เพ่ือนชาย / ชอื่ นายมา เขาโอภา / ต้อนรบั / ใหห้ ลบั นอน กลอน ๙ จังหวะ ๓ / ๓ /๓ ตวั อย่าง รักประเทศ / รกั เพื่อนบา้ น / งานทุกสงิ่ รกั สตั ยจ์ รงิ / รกั วชิ า / ใจกล้าหาญ สามัคคี / ไมตรจี ิต / จติ ช่นื บาน ตลอดกาล / มรณะ / อย่าละธรรม ( กาชยั ทองหล่อ. ๒๕๐๙. ๗๓๑ ) ตวั อย่าง กลอนสภุ าพ มีจงั หวะวรรคตอนการอา่ นดังนี้. กลอนสุภาพ / แปดคา / ประจาบ่อน อา่ นสามตอน / ทกุ วรรค / ประจักษ์แกลง ตอนต้นสาม / ตอนสอง / สองแสดง ตอนสามแจ้ง / สามคา / ครบจานวน กาหนดบท / ระยะ / กะสัมผสั ให้ฟาดฟดั / ชัดความ / ตามกระสาน วางจังหวะ / กะทานอง / ต้องกระบวน จงึ จะชวน / ฟังเสนาะ / เพราะจับใจ ( หลวงธรรมภิมณฑ์ )
การอา่ นกาพย์ กาพย์ทน่ี ยิ มแต่งกนั แพร่หลายมอี ยู่ ๓ ชนิด คอื กาพยย์ านี ๑๑ กาพยฉ์ บงั ๑๖ และกาพยส์ ุรางคนางค์ ๒๘ ตวั เลขหลงั ชอื่ กาพย์ แสดงจานวน คาหรือพยางคต์ ามลักษณะบังคบั ของกาพย์แต่ละชนิด การอา่ นกาพยย์ านี ๑๑ กาพยย์ านี ๑ บท มี ๒ บาท บาทที่ ๑ เรียกว่า บาทเอก บาทที่ ๒ เรยี กว่า บาทโท ในแต่ละบาทมี ๒ วรรค วรรคแรกมี ๕ คา (พยางค์) วรรคหลังมี ๖ คา (พยางค)์ ใน ๑ บาท จงึ มี ๑๑ คา (พยางค์) เรียกว่า กาพยย์ านี ๑๑ หรอื “ยานี ๑๑” หรอื “๑๑” ก็เรยี ก ๑. การอ่านกาพยย์ านีนิยมแบ่งวรรคเป็น ๒ / ๓ และ ๓ / ๓ ดังนี้ ๒. ในการอา่ นทานองเสนาะ บาทโท นยิ มอา่ นเสียงสงู กว่าปกติ เช่น
การอา่ นกาพย์สุรางคนางค์ กาพย์สุรางคนางค์ ๑ บท มี ๗ วรรค วรรคหนึ่งมี ๔ พยางค์ รวมบทหนึง่ มี ๒๘ พยางค์ จึงมกั เรยี กช่อื ว่า “สรุ างคนางค์ ๒๘” หรอื บางทีก็เรยี กว่า “๒๘” แผนผังบงั คับของกาพยส์ ุรางคนางค์มดี ังน้ี ในการส่งสัมผัส มหี ลกั ดังน้ี พยางค์สุดทา้ ยวรรคท่ี ๑ สมั ผัสกับพยางคส์ ดุ ท้ายวรรคที่ ๒ พยางค์สุดท้ายวรรคที่ ๓ สัมผสั กบั พยางค์สดุ ท้ายวรรคท่ี ๕ และ ๖ จังหวะในการอา่ น ให้อ่านวรรคละ ๒ จังหวะ ๒ พยางค์ การอ่านกาพย์สุรางคนางค์ มวี ธิ อี า่ น ๓ วิธี คอื ๑. อ่านทานองสามญั ๒. อา่ นทานองเสนาะ ๓. อา่ นทานองสวด เช่น ทานองท่ีใชอ้ ่านหนงั สือพระมาลยั การอ่านทานองเสนาะและทานองสวด ต้อง ฝึกหัดอ่านกับผรู้ ู้ หรอื ฟงั จากตน้ ฉบับ แล้วอา่ นตาม จึงจะอ่านไดถ้ ูกต้อง
การอ่านโคลงส่สี ภุ าพ บทประพันธท์ ่มี ีลักษณะเป็นโคลงสีส่ ภุ าพมนี อ้ ย เพราะแตง่ ยาก ลักษณะบังคบั ของคาประพันธ์ ชนิดนี้ นอกจากบังคบั สัมผัสแล้ว ยังมบี ังคบั เอกโทดว้ ย คือ บงั คับวา่ ในโคลง ๑ บท ต้องมวี รรณยกุ ต์เอกหรอื เสียงเอก ๗ ตวั และวรรณยกุ ต์โท หรือเสียงโท ๔ ตัว และบงั คับวา่ วรรณยุกต์น้นั ต้องอยู่ในทีท่ ี่กาหนดอีกดว้ ย ลกั ษณะของโคลงส่ีสภุ าพใน ๑ บท ตอ้ งมี ๔ บาท บาทละ ๒ วรรค วรรคหน้าทกุ วรรค มี ๕ พยางค์ ส่วนวรรคหลงั กาหนด ดงั น้ี วรรคหลงั บาทท่ี ๑ มี ๒ พยางค์ คาสร้อยอีก ๒ วรรคหลังบาทที่ ๒ มี ๒ พยางค์ วรรคหลงั บาทที่ ๓ มี ๒ พยางค์ คาสรอ้ ยอีก ๒ วรรคหลงั บาทที่ ๔ มี ๔ พยางค์ ถา้ นบั จานวนคาแล้ว โคลงบทหนึ่งจะมี ๓๐ คา หรือ ๓ พยางค์ (ไม่นบั คาสรอ้ ย ในบาท ที่ ๑ และบาทท่ี ๓ ซ่งึ จะมหี รือไม่มีก็ได)้ สาหรับการใชว้ รรณยกุ ต์เอก บางครง้ั อาจใช้คาตายแทนเสยี งเอกได้ เม่ือเวลาอ่าน โคลงสสี่ ภุ าพเปน็ ทานอง เสนาะ จะทอดเสยี งยาวระหว่างวรรคตอ่ วรรค หรือเอื้อนเสยี งให้ ตอ่ เนื่องกันระหวา่ งวรรค
Search
Read the Text Version
- 1 - 9
Pages: