Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore แผนการเรียนรู้เต็มรูปสมบูรณ์

แผนการเรียนรู้เต็มรูปสมบูรณ์

Description: แผนการเรียนรู้เต็มรูปสมบูรณ์

Search

Read the Text Version

ชิน้ งาน -รายงานคนละ 1 เล่ม เรื่องพันธสุ์ กุ ร ภาระงาน -ให้นักเรียนไปศึกษาเพ่ิมเตมิ เก่ยี วกบั ลักษณะของพนั ธ์สุ ุกรแต่ละประเภท 8. กิจกรรมการเรยี นรู้: เวลาทใ่ี ช้ 4 ช่ัวโมง ชั่วโมงที่ 1-2 (ความสามารถในการวเิ คราะห์/ใฝ่เรียนรู้/เทคนคิ การสบื คน้ ) - ข้ันนาเขา้ สบู่ ทเรียน/ข้นั ตั้งคาถาม 1. ทกั ทายนักเรียนก่อนเรยี น 2. เชด็ ชอ่ื นกั เรียนกอ่ นเขา้ สู่บทเรียน ขน้ั สอน 1. ทาํ ความเข้าใจและช้แี จงสาระการเรียนรู้ให้นักเรยี นทราบในหน่วยการเรยี นร้เู รอ่ื งพันธุส์ ุกร 2. ครูอธบิ ายเกี่ยวกบั รปู รา่ งลกั ษณะของพันธ์สุ ุกรแต่ละชนิดใหน้ ักเรียนฟงั 3. ครูใหน้ ักเรยี นจดบันทกึ ตามที่ครูอธบิ าย 4. ครใู หน้ กั เรียนทาํ ใบงาน เรอ่ื งพนั ธส์ุ กุ ร 5. ครมู อบหมายงานใหน้ ักเรยี นไปทํารายงาน เรอื่ ง พนั ธุ์สกุ ร คละ 1 เลม่ 6. ครมู อบหมายให้นกั เรยี นไปศึกษาคน้ ควา้ เพิ่มเตมิ เกย่ี วกบั ลักษณะของพนั ธุส์ ุกรแต่ละชนิดแลว้ ใหม้ า แลกเปลยี่ นกันฟงั ขน้ั สรุป 7. ครแู ละนักเรยี นร่วมกันสรุปเน้ือหาทีเ่ รยี นมา 8. ครูนัดหมายการเรยี นครงั้ ต่อไป ชั่วโมงที่ 2 -3 (ความสามารถในการวิเคราะห/์ ใฝ่เรยี นร/ู้ ช่วยกันคิดชว่ ยกันเรียน) - ขน้ั นาเข้าส่บู ทเรยี น/ขนั้ ต้ังคาถาม 1. ทักทายนักเรียนกอ่ นเรียน 2. เชด็ ชื่อนกั เรียนกอ่ นเข้าสู่บทเรยี น ข้นั สอน 1. ครูและนักเรยี นทบทวนบทเรียนท่ีผ่านมา 2. ครใู หน้ ักเรียนมาแลกเปลี่ยนเรยี นรู้เนอ้ื หาทีค่ รูมอบหมายในสปั ดาหท์ ี่ผ่านมา 3. ครอู ธบิ ายเก่ยี วกบั ประเภทของพนั ธุ์สุกรแตล่ ะประเภทให้นักเรยี นฟัง 4. ครใู ห้นกั เรียนจดบนั ทึกลงในสมดุ 5. ครูให้นักเรยี นทาํ ใบงานเรอื่ งปาระเภทของพนั ธ์สุ ุ ข้นั สรปุ 6.ครแู ละนกั เรยี นร่วมกันสรุปเน้อื หาทีเ่ รยี นมา 7.ครูนัดหมายการเรยี นครั้งต่อไป 9. สอื่ การเรยี นการสอน / แหลง่ เรียนรู้ รายการสอื่ จานวน สภาพการใชส้ ่ือ 1. สื่อการเรยี น 1 ชุด ขั้นตรวจสอบความรู้เดิม 2. ใบงาน 1.1 เรือ่ ง พนั ธุ์สุกร 30 ชดุ ตรวจหาคําตอบ 3.ห้องสมดุ สบื ค้นข้อมูล

10. การวดั ผลและประเมินผล เปา้ หมาย หลกั ฐานการเรียนรู้ วธิ วี ัด เครื่องมอื วดั ฯ ประเดน็ / -รปู แบบของ -แบบการสงั เกต เกณฑ์การใหค้ ะแนน การเรียนรู้ ช้นิ งาน/ภาระงาน รายงาน -เน้ือหาและสว่ นประกอบ ครบถ้วน: 10 คะแนน รายงาน ความเขา้ ใจ -ความถูกต้อง -เน้อื หาครบแต่สว่ นประกอบของ และความ รายรายงานไม่ครบ:9 คะแนน นกั เรียนสมารถร้แู ละ ถูกต้อง -เนื้อหาและส่วนประกอบของ รายงานไม่ครบ: 8 คะแนน เข้าใจเก่ยี วกับพันธุ์ 1.มีเน้อื หาสาระครบถว้ น สุกรได้ สมบรู ณ์ 9-10 คะแนน ใบงาน 2.มเี นอื้ หาสาระค่อนข้างครบถว้ น 7-8 คะแนน 3.มเี นอ้ื หาสาระไม่ครบถ้วนแต่ ภาพรวมของสาระท้ังหมดอยู่ใน เกณฑป์ านกลาง 5-6คะแนน 4. มีเนื้อหาสาระไม่ครบถว้ นแต่ ภาพรวมของสาระทั้งหมดอยใู่ น เกณฑ์ต้องพอใช้ 4-3 คะแนน 5.มเี นื้อหาเพียงเลก็ น้อยแตภ่ าพรวมของ สาระทงั้ หมดอยู่ในเกณฑ์ตอ้ งปรับปรุง 2-1 คะแนน 6.ไมม่ เี น้ือหาเลย 0 คะแนน

11. การบูรณาการตามจดุ เนน้ ของโรงเรียน (ตัวอยา่ ง) หลักปรัชญาเศรษฐกิจ ครู ผู้เรียน พอเพยี ง พอดีการเลีย้ งสุกร นักเรียนมีความรูเ้ ก่ียวกับการนาสุกร 6. ความพอประมาณ พอดดี ้านการเล้ยี งสกุ ร มาเลยี้ ง 7. ความมีเหตผุ ล นาํ สุกรมาเล้ยี งให้เพยี งพอกับโรงเรอื น รถู้ งึ สภาพภมู ิอากาศทเ่ี หมาะสมในการ ท่ีมอี ยู่ เล้ยี งพนั ธุส์ กุ รแต่ละประเภท การคานงึ สภาพอากาศท่จี ะนาพันธุ์ สกุ รท่สี ามารถมาเล้ยี งได้ 8. มีภมู คิ ุมกันในตัวท่ีดี ภมู ิปญั ญา : มคี วามรู้ รอบคอบ และ ภมู ปิ ัญญา : มีความรู้ รอบคอบ และ 9. เง่ือนไขความรู้ ระมดั ระวัง ระมดั ระวงั สร้างสรรค์ 10. เงอ่ื นไขคุณธรรม ความรอบรู้ เรอื่ ง การเล้ยี งสุกร ความรอบรู้ เร่อื ง การเล้ียงสุกร ท่ีเกี่ยวข้องรอบดา้ น ความรอบคอบท่ี นําความรู้เหลา่ นัน้ มาพจิ ารณาให้ สวนพฤกษศาสตร์โรงเรียน จะนําความรเู้ หลา่ น้นั มาพิจารณาให้ เชอ่ื มโยงกนั สามารถประยุกต์ใช้ใน อาหารของสกุ ร เช่อื มโยงกนั เพอ่ื ประกอบการวางแผน ชีวิตประจําวัน การดําเนินการจดั กิจกรรมการเรียนรู้ - อาหารทีท่ าํ จากตน้ กล้วย ให้กับผู้เรยี น มีความตระหนักใน คุณธรรม มี นาํ้ ว้า ความซอ่ื สตั ย์สจุ รติ และมีความอดทน มคี วามตระหนักใน คุณธรรม มี มีความเพยี ร ใช้สตปิ ัญญาในการ ความซ่ือสัตย์สจุ รติ และมีความอดทน ดําเนนิ ชวี ติ มีความเพียร ใชส้ ติปัญญาในการ ดําเนินชีวติ ผู้เรยี น อาหารของสกุ ร ครู - นกั เรียนได้ความร้จู ากการนําต้น กลว้ ยมาทาํ เป็นอาหารสกุ ร อาหารของสุกร -ใหน้ กั เรยี นนาํ ตน้ กลว้ ยมาทาํ เปน็ อาหารสกุ ร สิง่ แวดล้อม ครู ผเู้ รียน การปลกู ต้นกล้วย การปลูกต้นกล้วย การปลกู ตน้ กลว้ ย -ทาํ ใหเ้ กิดความช่มุ ชน้ื ในบริ -ให้นักเรยี นนาตน้ กลว้ ยมาปลูก -นกั เรียนได้ความร้จู ากการปลกู กลว้ ย เวรทปี่ ลูก บรเิ วณเขตพืน้ ท่ีรบั ผิดชอบ ลงชื่อ..................................................ผู้สอน (นายรัตนวชั ร์ เลศิ นนั ทรตั น์)

ใบความรทู้ ่ี3 พนั ธุ์และประเภทของสกุ ร สุกรบ้านมีวิวัฒนาการมาจากสุกรป่าโดยวิธีทางธรรมชาติและฝีมือของมนุษย์ในการปรับปรุงพันธุ์และคัดเลือก พันธุ์ พันธ์ุสุกรท่ียอมรับกันว่าเป็นพันธุ์แท้ (pure breed) มีอยู่ประมาณ 87 พันธ์ุ กระจายอยู่ในทวีปยุโรปและ อเมริกา พันธุ์สุกรเป็นปัจจัยท่สี ําคัญในการพัฒนาการเลี้ยงสกุ ร ทําให้ฟาร์มมีประสิทธิภาพในการผลิตสูง และสรา้ งผล กําไรให้แก่ผู้ผลิตสุกรเป็นการค้า เนื่องจากสุกรพันธุ์ดีจะมีสมรรถภาพในการสืบพันธุ์ดี มีอัตราการเจริญเติบโตสูง มี ประสิทธิภาพการใช้อาหารดี ให้ผลผลิตสูง ใช้ระยะเวลาในการเล้ียงสั้น ตลอดจนมีคุณภาพซากดีด้วย ประเทศไทยมี การปรับปรุงพันธุ์สุกรกันอย่างมาก มีฟาร์มสุกรขนาดใหญ่เกิดขึ้นจํานวนมาก ดําเนินธุรกิจแบบแข่งขัน มีการนําเอา สุกรพันธ์ุต่างประเทศเข้ามาทําการปรับปรุงพันธ์ุสุกรให้มีคุณภาพดีข้ึน เพื่อให้สุกรท่ีผลิตได้ตรงกับความต้องการของ ตลาด 4.1 ประเภทของสุกร สกุ รแบ่งตามประเภทของการใชป้ ระโยชนเ์ ปน็ 3 ประเภท คือ 1. ประเภทมัน (Lard type) เป็นสุกรด้ังเดมิ เจริญเติบโตชา้ รปู รา่ งอ้วนเต้ยี ลาํ ตัวสัน้ สะโพกเล็ก ใหเ้ นื้อ น้อย มีมันมาก ได้แก่ สุกรพันธ์ุพื้นเมืองของไทยและจีน ปัจจุบันสุกรพันธ์ุพ้ืนเมืองมีเหลืออยู่น้อยมาก ทางภาคใต้มี มากกว่าภาคอีสาน อีกไม่นานสุกรประเภทนี้คงจะหมดไป เน่ืองจากผู้บริโภคไม่นิยมบริโภคํน้ามันที่ได้จากสุกร หันมา บรโิ ภคํนา้ มนั พืชเป็นส่วนใหญ่ สกุ รพนั ธ์พุ ้ืนเมอื ง ไดแ้ ก่ พนั ธุไ์ หหลํา เหมยซาน ควาย พวง และกระโดน 2. ประเภทเบคอน (bacon type) เป็นสุกรท่ีมีรูปร่างใหญ่ ลําตัวยาวค่อนข้างบาง ไหล่หนา หลังและเอว แคบ ปริมาณเน้ือแดงมากและปริมาณไขมันน้อย ความหนาและความลึกของลําตัวน้อยกวา่ ประเภทเน้ือ ต่างประเทศ นิยมใช้ทําเนื้อสามชัน้ เค็ม เรียกว่า เบคอน เพราะบรเิ วณเน้ือสามช้ันมีเนื้อแดงและมันสลับกันเป็นช้ัน ๆ สุกรประเภท เบคอน ไดแ้ ก่ พนั ธุแ์ ลนดเ์ รซ (Landrace) ลารจ์ ไวท์ (Large White) แทมเวริ ์ท (Tam Worth) เปน็ ตน้ 3. ประเภทเนื้อ (meat type) เป็นสุกรท่ีเกิดข้ึนใหม่โดยปรับปรุงมาจากสุกรประเภทมันเจริญเติบโตเร็ว ประสิทธิภาพการใช้อาหารดี ให้ลูกดกพอสมควร รูปร่างสันทัด ลําตัวสั้นกว่าประเภท เบคอน ไหล่และสะโพกใหญ่ เด่นชัด ให้เนื้อมาก มันน้อย หลังโค้ง ความหนาและความลึกของลําตัวมากกว่าประเภทเบคอน สุกรประเภทเนื้อ ได้แก่พันธ์ุ ดูรอค (Duroc) แฮมเชียร์ (Hamshire) เบอร์กเชียร์(Berkshire) นอกจากนี้ยังมีเฮียรืฟอรืด (Hereford) เบลท์วีลล์ (Beltville) โปแลนด์ไชน่า (Poland China)เชสเตอร์ไวท์ (Chester White) มินีโซต้า (Minesota) มอนตาน่า (Montana) ซง่ึ ไมเ่ คยนําเข้ามาเลย้ี งในประเทศไทย 4.2 พันธสุ์ ุกร พันธ์ุสุกรเป็นปัจจัยแรกที่มีความสําคัญ เน่ืองจากพันธุ์เป็นตัวกําหนดลักษณะ และคุณสมบัติของสุกร เช่น การเจริญเติบโต ประสิทธิภาพการใช้อาหาร คุณภาพซาก ประสิทธิภาพในการสืบพันธ์ุ และการปรับตัวเข้ากับ สภาพแวดล้อม ซึ่งมีผลต่อต้นทุน คุณภาพซาก และราคาของสุกร ซ่ึงทําให้ผู้เล้ียงได้กําไรมากหรือน้อย พันธ์ุสุกร แบง่ เปน็ 2 ชนิดคือ 4.2.1 สุกรพันธ์พุ ื้นเมอื ง สุกรพันธ์ุพื้นเมืองมีถ่ินกําเนิดในทวปี เอเซีย ลกั ษณะทั่วไป ลําตัวสน้ั หัวค่อนข้างใหญ่ ไหล่และสะโพกแคบ หลังแอ่น ทอ้ งยาน ขาและข้อขาออ่ น ตวั เลก็ ขนาดโตเต็มทํ่ีน้าหนัก80 กิโลกรัม ส่วนใหญ่สดี ํา บางพันธุ์อาจมีพ้ืนท้องสีขาว เจริญเติบโตช้า 180-350 กรัมต่อวัน อัตราการเปลี่ยนอาหารประมาณ 5-7 มีเน้ือแดง น้อย ไขมนั มาก

ขอ้ ดขี องสุกรพนั ธ์ุพ้ืนเมืองคือ ทนทานต่อสภาพดินฟา้ อากาศและทนต่อการตรากตราํ ได้อย่างดี ใหล้ ูกดก เล้ยี ง ลูกเก่งและทนทานต่อการกักขัง สุกรพ้ืนเมืองมีหลายพันธุ์ ได้แก่ สุกรไทย เช่น พันธุ์ควาย ราดหรือกระโดน พวง และสกุ รจีน เช่น พนั ธ์ุไหหลาํ และเหมยซาน (ภาพท่ี 4.1-4.4) สกุ รพันธ์ุควาย เป็นสุกรทพ่ี บมากในภาคเหนือของไทย ลักษณะทั่วไป สีคล้ายกบั สีของสกุ รพันธ์ุไหหลาํ ลําตัว ส่วนใหญ่มีสีดํา จมูกของสุกรพันธ์ุควายช้ีตรงกว่าและสั้นกว่า มีรอยย่นที่บริเวณลําตัวมากกว่าสุกรพันธ์ุไหหลํา ใบหู ใหญ่ปรกเล็กน้อย รูปร่างเล็กกว่าสุกรพันธ์ุไหหลํา ขาและข้อเท้าไม่แข็งแรงขนาดโตเต็มที่ตัวผู้มีํน้าหนัก 125-150 กโิ ลกรมั ตัวเมยี มํนี า้ หนัก 100-125 กโิ ลกรมั สุกรพันธุ์ราดหรือกระโดน เป็นสุกรท่ีเล้ียงมากในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทย ลักษณะท่ัวไป สีดํา หัว เล็กยาว ลําตัวส้ันและป้อม กระดกู เล็ก ใบหูเล็กต้ังตรง ว่องไว ปราดเปรียว เนื้อแน่นเจริญเติบโตช้า ขนาดโตเต็มที่ ตวั ผมู้ ํนี ้าหนัก 100-120 กโิ ลกรมั ตวั เมียมํนี า้ หนกั 90-100 กโิ ลกรัม สุกรพันธุ์พวง เป็นสุกรที่พบในภาคตะวันออกของไทย ลักษณะท่ัวไป สีดํา ผิวหนังหยาบ ลําตัวยาวเกือบ เท่ากับสุกรพันธุ์ไหหลํา ไหล่กว้าง สะโพกแคบ หลังแอ่น ขนาดโตเต็มที่ตัวผู้มีํน้าหนัก 90-130กิโลกรัม ตัวเมียมี ํน้าหนกั 90-100 กโิ ลกรมั สุกรพันธุ์ไหหลํา เป็นสุกรที่เล้ียงอยู่ทางตอนใต้และภาคกลางของประเทศจีน ลักษณะท่ัวไป ลําตัวสีดํา ทอ้ งขาว สีดาํ มกั เข้มบริเวณหวั ไหลแ่ ละบ้ันท้าย หัวไม่โตจนเกินไป จมูกยาวแอ่นขนึ้ เล็กน้อยคางย้อย ไหล่กว้าง ลําตัว ยาวปานกลาง หลังแอ่น สะโพกเล็ก ขาและข้อเท้าอ่อน มีอัตราการเจริญเติบโตได้ดีกว่าพันธ์ุพื้นเมืองอย่างอื่น ขนาด โตเตม็ ทต่ี วั ผ้มู ํนี ้าหนกั 115-140 กโิ ลกรมั ตัวเมยี มํีนา้ หนัก 90-115กิโลกรมั สุกรพันธุ์เหมยซาน เป็นสุกรที่ประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีนน้อมเกล้าฯ ถวายแด่สมเด็จพระเทพ รัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี จํานวน 4 ตัว เมื่อคราวเสร็จเยือนประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน ทรงพระ กรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานสุกรดังกล่าวให้กรมปศุสัตว์ เพื่อการศึกษาและขยายพันธุ์ไปสู่เกษตรกรผู้มีรายได้น้อย ลักษณะท่ัวไป ลําตัวสีดํา หน้าผากย่น ใบหูใหญ่ยาวและปรก ใบหน้ามีขนสีดํา แต่ไม่ดก เฉพาะบริเวณลําตัวมีขนสี ขาว มีเต้านม 16-18 เต้า เจริญเติบโตเป็นหนุ่มสาวเร็ว ขนาดโตเต็มที่ตัวผู้มีํน้าหนัก 192.5 กิโลกรัม ตัวเมียมี ํน้าหนกั 172.5 กโิ ลกรมั และแม่สุกรพนั ธน์ุ ใ้ี หล้ ูกดก

ภาพที่ 4.1-4.4 ภาพสุกรพนั ธ์ุพื้นเมอื ง ทม่ี า: สวุ รรณา พรหมทอง, (มปพ.) 4.2.2 สุกรพันธุ์ต่างประเทศ ประเทศไทยมีการปรับปรุงพันธุ์สุกรกันอย่างมาก มีฟาร์มสุกรขนาดใหญ่เกิดข้ึน จํานวนมาก การดําเนินธุรกิจเป็นแบบแข่งขันโดยนําเอาสุกรพันธุ์ต่างประเทศเข้ามาทําการปรับปรุงพันธุ์สุกรให้มี คุณภาพดีขึ้น เพ่ือให้สุกรท่ีผลิตได้ตรงกับความต้องการของตลาด สุกรพันธ์ุต่างประเทศท่ีสามารถปรับตัวให้เข้ากับ สภาพแวดลอ้ มและสภาพอากาศของประเทศไทย (ภาพที่ 4.5-4.9)ไดแ้ ก่ สกุ รพันธ์ุลาร์จไวท์ มถี ิน่ กาํ เนดิ ในประเทศอังกฤษ เปน็ สกุ รประเภทเบคอน ถูกนาํ มาเลีย้ งในประเทศไทยต้ังแต่ พ.ศ.2482 เปน็ ลูกผสมของพันธยุ์ อร์คเชียร์ (Yorkshire) กับพนั ธ์แุ ลงเคสเตอร์(Lechester) และได้ปรับปรงุ พันธ์ุมาจน กลายเป็นพันธุ์ลาร์จไวท์ ลักษณะท่ัวไป สีขาวตลอดลําตัว อาจมีจุดดําบ้างไม่ถือเป็นข้อตําหนิ หูต้ัง หัวโตขนาดปาน กลาง จมูกยาว ลําตัวยาวและลึก กระดูกใหญ่ ไหล่หนาพื้นท้องขนานกับพ้ืนดิน หลังและเอวแคบ มันใต้ผิวหนังบาง ขนาดโตเตม็ ท่ีตัวผู้มํนี า้ หนัก 320-450กิโลกรัม ตัวเมียมํีนา้ หนัก 230-360 กิโลกรมั เป็นสุกรที่มอี ตั ราการเจรญิ เติบโต รวดเร็ว ประสิทธิภาพการใช้อาหารดี แข็งแรง ให้ลูกดก เล้ียงลูกเก่ง คุณภาพซากดี ขาแข็งแรง นิยมใช้เป็นพ่อแม่ พันธุ์สําหรบั ผลิตสกุ รพนั ธ์ลุ ูกผสม 2 สาย เพอ่ื เป็นแม่พนั ธ์ุหรือสกุ รขุนสง่ ตลาด สุกรพันธุ์แลนด์เรซ มีถ่ินกําเนิดในประเทศเดนมาร์ค ปรับปรุงจากสุกรพันธ์ุลาร์จไวท์ของอังกฤษและสุกรพันธุ์ พน้ื เมืองของเดนมาร์คเอง และได้รับการรับรองเป็นพันธุแ์ ทต้ ้ังแต่ พ.ศ.2433 สกุ รพันธ์แุ ลนด์เรซถูกนําไปปรับปรุงพันธ์ุ ในหลายประเทศ จนได้พันธ์ุแท้ของประเทศเหล่าน้ัน แล้วใส่ช่ือประเทศผู้ปรับปรุงนําหน้าเข้าไป เช่น อเมริกันแลนด์ เรซ เบลเย่ียมแลนด์เรซ เป็นต้น ถูกนํามาเลี้ยงในประเทศไทยปีพ.ศ.2506 ลักษณะทั่วไป สีขาวตลอดลําตัว (อาจมี จุดด่างดําบ้างถอื เป็นเร่ืองธรรมดา) หใู หญ่ปรก หัวเล็กเรียว ไม่มรี อยยน่ จมูกยาว ลําตัวยาวมากและลกึ (สุกรพันธุ์นี้ มีซ่ีโครงมากกว่าพันธุ์อ่ืน 1 คู่ อาจมี 16-17ค)ู่ ไหล่กวา้ งและหนา สะโพกโตเห็นเด่นชดั ขาสัน้ เต้ีย ขนาดโตเตม็ ทต่ี ัว ผู้มีํน้าหนัก 320-400 กิโลกรัมตัวเมียมีํน้าหนัก 250-340 กิโลกรัม เป็นสุกรที่มีอัตราการเจริญเติบโตรวดเร็ว ประสิทธิภาพการใช้อาหารดีมาก ให้ลูกดก เลี้ยงลูกเก่ง ให้ํน้านมดี คุณภาพซากดี เน้ือมาก มันน้อยและมีมันที่

บริเวณสันหลังบาง ให้เนื้อส่วนเบคอนมาก แต่มีข้อเสียตรงข้อขาอ่อน และไม่ทนทานต่ออาหารคุณภาพไม่ดี นิยมใช้ เป็นแม่พันธุ์ในการผลิตสุกรพันธุ์ลูกผสม 2 สาย เพ่ือเป็นสุกรแม่พันธ์ุ เพราะมีเต้านมมาก เต้านมแต่ละเต้าห่างกัน สะดวกในการใหล้ ูกดูดนม สุกรพันธ์ุดูรอค มีถ่ินกําเนิดทางตะวันออกเฉียงเหนือของสหรัฐอเมริกา เดิมเรียกว่า ดูรอคเจอร์ซ่ี(Duroc Jersey) ไมท่ ราบต้นตระกูลแนน่ อน ได้รับการรับรองเป็นพนั ธุแ์ ทเ้ ม่ือ พ.ศ.2428 ลกั ษณะทั่วไป สํนี ้าตาลแดง บางตัว สจี างจนเป็นสีเหลืองทอง หูปรกเล็กน้อย หัวโตพอสมควร จมูกไม่ยาวนัก หน้ายาวปานกลาง ลาํ ตัวสั้นและหนา ไหล่ และสะโพกหนาและกว้างอย่างเด่นชัด หลังโค้งกว่าพันธ์ุอื่น ถ้าให้อาหารมากจะอ้วนมาก ขนาดโตเต็มท่ีตัวผู้มํีน้าหนัก 300-450 กิโลกรัม ตัวเมียมํีนา้ หนัก 270-320 กิโลกรมั เป็นสกุ รที่มีอัตราการเจริญเติบโตเร็ว มีประสิทธิภาพการใช้ อาหารดี แขง็ แรง สามารถปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมได้ดี เลี้ยงลูกไม่เก่ง ให้ลูกดกพอสมควร คณุ ภาพซากดี นิยม ใชเ้ ป็นสายพ่อพนั ธสุ์ าํ หรบั ผสมพันธ์เุ พ่ือเล้ียงเป็นสุกรขุน เน่ืองจากให้ลกู ที่เลี้ยงงา่ ยและโตเร็ว สุกรพันธุ์แฮมเชียร์ มีถิ่นกําเนิดในสหรัฐอเมริกา นิยมเล้ียงในสหรัฐอเมริกามากเป็นอันดับสองรองจากพันธุ์ดู รอค มีบรรพบุรุษมาจากสุกรพันธุ์เวสเส็กซ์แซ็ดเดิลแบ็ค (Wessex Saddle Back) ของประเทศอังกฤษ ได้รับการ รับรองเป็นพันธุ์แท้เม่ือ พ.ศ.2436 ประเทศไทยนําเข้ามาเลี้ยงต้ังแต่ พ.ศ.2519 ลักษณะท่ัวไป สีดํา มีคาดขาวที่ หวั ไหล่ลงไปถงึ ขาหน้าท้ังสองข้าง หูต้ัง หัวค่อนข้างเล็ก ขนาดลําตัวเล็กกว่าดูรอคหลังค่อนข้างโค้ง ขนาดโตเต็มท่ีตัวผู้ มีํน้าหนัก 270-390 กิโลกรัม ตัวเมียมีํน้าหนัก 230-320 กิโลกรัม ให้ลูกดกพอสมควร คุณภาพซาก ค่อนข้างดี นยิ มใช้เป็นสุกรสายพ่อพันธุส์ ําหรับผลิตสุกรลกู ผสมเพ่ือเล้ียงเป็นสุกรขนุ ประเทศไทยไม่ค่อยนิยม เพราะปรบั ตัวเข้ากับ สภาพแวดล้อมของประเทศยงั ไมด่ พี อและ ให้ผลผลติ สพู้ นั ธ์อุ น่ื ไม่ได้ สุกรพันธ์ุเพียวเตรียน (Pietrain) มีถ่ินกําเนิดในประเทศเบลเยี่ยม ลักษณะท่ัวไป สีขาว ลําตัวมีจุดดํา ส่วน ไหล่มีเนื้อแดงมาก อัตราส่วนระหว่างเน้ือกับมันดีกว่าสุกรพันธุ์อ่ืน มีแฮมใหญ่ มันบาง ซากดี นิยมใช้เป็นสุกรสายพ่อ พันธุ์สําหรับผลิตสุกรลูกผสมเพื่อเล้ียงเป็นสุกรขุน เมื่อนํามาเล้ียงในประเทศไทย ปรากฏว่าโตช้า ประสิทธิภาพการใช้ อาหารไมค่ อ่ ยดี ไม่เปน็ ทีน่ ิยมของผู้เล้ียงและมีปัญหาเกย่ี วกบั การช็อคตายไดง้ ่ายเม่ือผสมพันธุ์

ภาพที่ 4.5-4.9 ภาพสุกรพนั ธุ์ตา่ งประเทศ ท่ีมา: สุวรรณา พรหมทอง, (มปพ.) 4.3 สายพนั ธุส์ กุ ร สกุ รที่นิยมเล้ียงกันท่ัวโลกรวมทั้งประเทศไทยด้วย ได้แก่ สุกรพันธุ์แลนดเ์ รซ ลาร์จไวท์ และดูรอค เนื่องจาก สุกรเหล่านี้สามารถปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมและอากาศของประเทศได้ดี เล้ียงง่าย มีสมรรถภาพการผลิตสูง และคุณภาพซากดี สุกรแต่ละพันธ์ุที่ได้อยู่ในประเทศใดนาน ๆ และได้รับการปรับปรุงในประเทศน้ันก็จะเป็นสุกรสาย พันธ์ุ (breed line) ของประเทศนั้น ซึ่งอาจจะมีรูปร่างลักษณะทั้งภายในและภายนอก แตกต่างกันไปมากบ้างน้อย บ้าง เช่น สุกรพันธ์ุแลนด์เรซของเดนมาร์คก็เป็นสุกรสายพันธ์ุแดนิชแลนด์เรซ สุกรพันธ์ุแลนด์เรซของเบลเย่ียมก็เป็น สุกรสายพันธุ์เบลเยี่ยมหรือเบลเยี่ยมแลนด์เรซสุกรพันธุ์แลนด์เรซของอังกฤษก็เป็นสุกรสายพันธุ์บริทิชแลนด์เรซ สุกร พันธุ์แลนด์เรซของเนเธอร์แลนด์ก็เป็นสุกรสายพันธุ์เนเธอร์แลนด์ สุกรพันธ์ุแลนด์เรซของอเมริกาก็เป็นสุกรสายพันธ์ุ อเมริกา ดังนนั้ สกุ รพันธุ์ต่างประเทศที่สั่งซ้ือเข้ามาในประเทศไทยขณะนีจ้ ึงมาจากหลายสายพันธุ์ดว้ ยกนั แล้วแต่บรษิ ทั ผู้ สั่งซื้อว่าต้องการสุกรลักษณะใด สุกรแต่ละพันธ์ุท่ีมีในประเทศไทยต่างก็ผสมพันธุ์ระหว่างสายพันธ์ุกัน และลูกสุกรท่ี เกิดขึ้นนั้นเป็นลูกผสมระหว่างสายพันธุ์หรือเป็นลูกผสมไปแล้วช่วงหนึ่ง จึงมีลักษณะที่ดีเด่นกว่าพ่อแม่ เช่น รูปร่าง ลักษณะดีขึ้น ประสิทธิภาพการผลิตดีขึ้น ลักษณะการสืบพันธุ์ดีขึ้น ซึ่งคล้ายกับลักษณะของการผสมข้ามพันธ์ุ แต่ถ้า นําลูกของสุกรพวกน้ี เป็นพอ่ แมพ่ ันธ์ุก็จะไม่ดเี ทา่ กบั ตัวของพ่อแมเ่ อง แตห่ ากได้รับการปรับปรุงโดยการคัดเลอื กและ

ใบงานท่ี1 เรือ่ งพันธสุ์ ุกร ใหน้ ักเรยี นตอบคําถามต่อไปน้ี 1.ใหน้ กั เรียนอธิบายลักษณะของสกุ รพนั ธ์ุลารจ์ ไวทม์ าพอเข้าใจ .............................................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................................. 2.จากภาพใหน้ กั เรียนเรยี นเตมิ คาํ ลงในชอ่ งว่าง ภาพทางซ้ายหรือทางขวาควรเลอื กไว้ทาํ พอ่ พนั ธุ์……………..................................................... 3.จากขอ้ 1 ภาพทค่ี ัดไว้ทาํ พันธเุ์ พราะ………………………………………………………………... ช่อื -สกุล..................................................................................ชัน้ .....................กลุม่ ...................

ใบงานท่ี2 เรื่องประเภทของพันธส์ุ ุกร คาช้แี จง/ใหน้ ักเรียนตอบคาถามต่อไปน้ี 1.สุกรสามารถแบง่ ออกได้เปน็ กป่ี ระเภทอะไรบา้ ง ................................................................................................................................................................................... ................................................................................................................................................................................... ................................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................................. 2.ใหน้ กั เรียนอธบิ ายประเภทพันธ์ุเบคอนมาพอเข้าใจ ................................................................................................................................................................................... ................................................................................................................................................................................... ................................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................................. 3..ใหน้ ักเรยี นอธิบายประเภทสกุ รพันธ์มุ ันและสกุ รพันธ์เุ น้อื มาพอเข้าใจ ................................................................................................................................................................................... ................................................................................................................................................................................... ................................................................................................................................................................................... ................................................................................................................................................................................... ................................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................................. 4.สุกรทป่ี ระเทศสาธารณรัฐประชาชนจนี นอ้ มเกล้าฯ ถวายแดส่ มเดจ็ พระเทพรัตนราชสดุ าฯ สยามบรมราชกุมารี คือ สุกรพนั ธุ์อะไร ................................................................................................................................................................................... ................................................................................................................................................................................... ................................................................................................................................................................................... ................................................................................................................................................................................... ................................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................................. ชื่อ-สกลุ ..................................................................................ช้นั .....................กล่มุ ...................

ผังมโนทัศน์ รายวิชาการเลี้ยงสุกร รหัสวิชา ง.20206 ระดบั ช้ันมธั ยมศึกษาปที ่ี 1-3 หน่วยการเรยี นร้ทู ่ี4 เรอ่ื งการจดั การเลี้ยงดู จานวน 4 ชว่ั โมง : 10 คะแนน หน่วยการเรียนรู้ที่4 เรื่องการจัดการเลย้ี งดู จานวน 4 ช่ัวโมง : 10 คะแนน ชอื่ เรื่องการจดั การเลีย้ งดู จานวน 4 ชว่ั โมง :10 คะแนน

แผนการจดั การเรียนรู้ หน่วยการเรยี นรทู้ ี่4เรื่องการจัดการเล้ยี งดู แผนจัดการเรยี นร้ทู ่1ี เรือ่ งการเลีย้ งและการดูแลหมูในระยะตา่ งๆ รายวชิ า การเล้ยี งสกุ ร รหัสวชิ า ง.20206ระดับชน้ั มธั ยมศึกษาปที ี่ 1-3 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2562นา้ หนกั เวลาเรียน 1.00 (นน./นก.) เวลาเรียน 2 ช่ัวโมง/สปั ดาห์ เวลาท่ีใชใ้ นการจัดกิจกรรมการเรยี นรู้ 4 ช่วั โมง ............................................................................................................................. ............................. 1. สาระสาคัญ (ความเขา้ ใจท่คี งทน) การเล้ียงหมจู ะประสบความสําเร็จ ถา้ เอาใจใส่เรอื่ งการเลีย้ ง และการดูแลหมอู ย่างถูกต้อง แมผ้ เู้ ล้ยี งจะ มีหมพู ันธ์ุดีก็ตาม แต่ถ้าละเลยในส่งิ เหล่าน้ีแลว้ ปัญหาต่างๆ กจ็ ะเกิดข้ึนได้ เชน่ พ่อหมผู สมไม่เก่ง ผสมตดิ นอ้ ย แมห่ มู คลอดลูกยาก ลูกหมูป่วยเป็นโรคทอ้ งเสยี และมีอัตราการตายสูง เปน็ ตน้ 2. มาตรฐานการเรียนรู/้ ตวั ชี้วัดช้นั ปี/ผลการเรยี นรู้/เปา้ หมายการเรยี นรู้ ผลการเรียนรู้ 4.นกั เรียนสามารถเล้ยี งดูสุกรได้ 3. สาระการเรียนรู้ 3.1 เนือ้ หาสาระหลกั : Knowledge (นักเรยี นต้องรู้อะไร) -การเลย้ี งและการดูแลหมใู นระยะตา่ งๆ 3.2 ทักษะ/กระบวนการ : Process (นักเรยี นสามารถปฏิบตั ิอะไรได้) -การเล้ยี งและการดแู ลหมูในระยะต่างๆ -การเลย้ี งและการดแู ลหมูพ่อพันธ์ุ -การเลีย้ งและการดูแลหมแู ม่พนั ธ์ุ -การเลย้ี งและการดูแลแมห่ มูระหว่างการอมุ้ ทอ้ ง -การเลี้ยงดแู ม่หมูก่อนคลอด ระหวา่ งคลอด และระหวา่ งการใหน้ ม -การดแู ลแมห่ มรู ะหวา่ งคลอด -การเลย้ี งดูแม่หมรู ะหว่างการให้นม 3.3 คณุ ลัการเลี้ยงดแู มห่ มูระหวา่ งการให้นมกษณะที่พึงประสงค์ : Attitude (นักเรยี นควรแสดงพฤติกรรม การเรียนอะไรบา้ ง) 1.มวี ินยั 2.มีความรับผดิ ชอบ 3.ตรงตอ่ เวลา 4.มุ่งมน่ั ในการเรยี น 4. สมรรถนะสาคัญของนักเรียน 4.2 ความสามารถในการคิด 4.3 ความสามารถในการแกป้ ัญหา 4.4 ความสามารถในการใช้ทักษะชีวิต 5. คุณลกั ษณะของวชิ า 1.ความรับผดิ ชอบ 2.ตรงต่อเวลา 6. คุณลักษณะท่ีพงึ ประสงค์ 1. ซอื่ สตั ย์สุจริต 2. มวี ินยั 3. ใฝ่เรียนรู้

4. มุ่งมัน่ ในการทาํ งาน 7. ช้นิ งาน/ภาระงาน : - ใบกิจกรรมที่ 1 เร่ืองการจัดการลัย้ งดู ช้นิ งาน ใบงาน ภาระงาน -ให้นกั เรยี นไปศึกษาเพิ่มเติมเกย่ี วกับเนื้อหาที่เรียนมา 8. กจิ กรรมการเรยี นรู้: เวลาทใี่ ช้ 4 ชั่วโมง ช่วั โมงท่ี 1-2 (ความสามารถในการวเิ คราะห/์ ใฝ่เรยี นร/ู้ เทคนิคการสบื ค้น) - ขั้นนาเขา้ สบู่ ทเรียน/ข้ันตั้งคาถาม 1. ทกั ทายนกั เรยี นกอ่ นเรียน 2. เชด็ ชือ่ นักเรยี นกอ่ นเขา้ สู่บทเรยี น ขัน้ สอน 1.ทาํ ความเข้าใจและช้ีแจงสาระการเรียนรู้ให้นักเรยี นทราบในหน่วยการเรียนรเู้ รื่องการเลยี้ งและการดูแลหมูใน ระยะต่างๆ -การเล้ียงและการดูแลหมพู ่อพนั ธ์ุ -การเล้ียงและการดแู ลหมแู ม่พันธุ์ -การเลยี้ งและการดแู ลแมห่ มูระหว่างการอุ้มท้อง -การเลยี้ งดูแม่หมูก่อนคลอด ระหว่างคลอด และระหวา่ งการให้นม 2. ครอู ธิบายเกยี่ วกบั รปู ร่างลกั ษณะของพันธุส์ ุกรแต่ละชนิดใหน้ ักเรยี นฟัง 3.ครูให้นักเรียนจดบันทึกตามท่ีครูอธิบาย 4. ครใู ห้นกั เรยี นทําใบงาน เร่ืองพนั ธุส์ ุกร 5.ครมู อบหมายงานให้นักเรียนไปทาํ รายงาน เร่ือง พนั ธุ์สุกร คละ 1 เลม่ 6.ครมู อบหมายให้นกั เรยี นไปศึกษาคน้ ควา้ เพ่ิมเติมเก่ียวกับลกั ษณะของพนั ธุส์ กุ รแตล่ ะชนดิ แล้วให้มาแลกเปล่ยี น กันฟงั ขั้นสรปุ 7.ครูและนกั เรยี นรว่ มกนั สรปุ เนื้อหาท่ีเรียนมา 8.ครนู ัดหมายการเรยี นครั้งต่อไป ช่วั โมงท่ี 2 -3 (ความสามารถในการวเิ คราะห/์ ใฝเ่ รียนรู้/ชว่ ยกนั คดิ ช่วยกันเรยี น) - ข้นั นาเขา้ สบู่ ทเรยี น/ขั้นต้ังคาถาม 1. ทักทายนักเรียนก่อนเรียน 2. เชด็ ชือ่ นักเรยี นก่อนเขา้ สู่บทเรียน ขัน้ สอน 1. ครแู ละนักเรียนทบทวนบทเรียนทผี่ ่านมา 2. ครใู ห้นกั เรียนมาแลกเปล่ยี นเรยี นร้เู น้อื หาทีค่ รูมอบหมายในสปั ดาห์ที่ผา่ นมา 3. ครอู ธิบายเก่ียวกบั การเลยี้ งและการดูแลหมูในระยะต่างๆ -การดูแลแมห่ มรู ะหว่างคลอด -การเลี้ยงดแู มห่ มรู ะหว่างการให้นม

4. ครใู ห้นกั เรียนจดบนั ทกึ ลงในสมุด 5. ครใู ห้นักเรียนทาํ ใบงานเรอ่ื งการเล้ยี งและการดูแลหมใู นระยะต่างๆ ขัน้ สรุป จานวน สภาพการใชส้ ื่อ 6.ครูและนักเรียนรว่ มกันสรปุ เนอื้ หาที่เรียนมา 7.ครนู ัดหมายการเรียนครัง้ ต่อไป 1 ชุด ขั้นตรวจสอบความรู้เดิม 9. ส่ือการเรยี นการสอน / แหล่งเรียนรู้ 30 ชดุ ตรวจหาคําตอบ รายการสอื่ สบื ค้นขอ้ มลู 1. ส่อื การเรยี น 2. ใบงาน 1.1 เร่ือง การเลี้ยงและการดแู ลหมใู นระยะ ต่างๆ 3.ห้องสมุด 10. การวดั ผลและประเมินผล เป้าหมาย หลักฐานการเรยี นรู้ วธิ ีวดั เคร่ืองมอื วัดฯ ประเดน็ / -ความถกู ต้อง เกณฑ์การให้คะแนน การเรยี นรู้ ช้ินงาน/ภาระงาน ความเขา้ ใจ 1.มีเนือ้ หาสาระครบถ้วน และความ สมบูรณ์ 9-10 คะแนน นักเรยี นสามารถ ใบงาน ถกู ต้อง 2.มีเนื้อหาสาระค่อนขา้ งครบถ้วน 7-8 คะแนน อธิบายเก่ียวกับการ 3.มเี น้ือหาสาระไม่ครบถว้ นแต่ ภาพรวมของสาระทั้งหมดอยูใ่ น จดั การเลี้ยงดูสุกรได้ เกณฑป์ านกลาง 5-6คะแนน 4. มเี นอ้ื หาสาระไม่ครบถว้ นแต่ ภาพรวมของสาระท้ังหมดอยู่ใน เกณฑ์ตอ้ งพอใช้ 4-3 คะแนน 5.มีเนอ้ื หาเพียงเลก็ น้อยแต่ภาพรวมของ สาระทั้งหมดอยู่ในเกณฑ์ต้องปรับปรงุ 2-1 คะแนน 6.ไม่มเี นื้อหาเลย 0 คะแนน

11. การบรู ณาการตามจดุ เนน้ ของโรงเรียน (ตวั อยา่ ง) หลักปรัชญาเศรษฐกิจ ครู ผู้เรียน พอเพยี ง พอดีการเล้ยี งสกุ ร นกั เรียนมคี วามร้เู กยี่ วกับการนาสุกร 11. ความพอประมาณ พอดดี ้านการเลี้ยงสุกร มาเล้ยี ง 12. ความมีเหตผุ ล นาํ สุกรมาเล้ยี งใหเ้ พียงพอกบั โรงเรอื น รถู้ ึงสภาพภมู อิ ากาศที่เหมาะสมในการ ทีม่ อี ยู่ เลยี้ งพนั ธุส์ ุกรแต่ละประเภท การคานงึ สภาพอากาศทจี่ ะนาพนั ธุ์ สุกรทีส่ ามารถมาเลยี้ งได้ 13. มภี ูมคิ มุ กนั ในตัวทด่ี ี ภมู ิปญั ญา : มีความรู้ รอบคอบ และ ภูมปิ ัญญา : มีความรู้ รอบคอบ และ 14. เง่ือนไขความรู้ ระมัดระวัง ระมัดระวัง สรา้ งสรรค์ 15. เง่ือนไขคุณธรรม ความรอบรู้ เรอ่ื ง การเลยี้ งสุกร ความรอบรู้ เร่ือง การเลย้ี งสุกร ทเี่ ก่ียวขอ้ งรอบด้าน ความรอบคอบที่ นําความรู้เหล่าน้ันมาพิจารณาให้ สวนพฤกษศาสตร์โรงเรียน จะนาํ ความรู้เหล่านนั้ มาพิจารณาให้ เชือ่ มโยงกัน สามารถประยุกต์ใชใ้ น อาหารของสกุ ร เช่ือมโยงกนั เพื่อประกอบการวางแผน ชวี ติ ประจาํ วนั การดําเนินการจัดกจิ กรรมการเรียนรู้ - อาหารที่ทําจากตน้ กล้วย ใหก้ ับผ้เู รยี น มีความตระหนักใน คุณธรรม มี น้าํ ว้า ความซอ่ื สตั ยส์ ุจรติ และมีความอดทน มคี วามตระหนกั ใน คุณธรรม มี มีความเพยี ร ใช้สติปัญญาในการ ความซอื่ สัตย์สุจรติ และมีความอดทน ดาํ เนินชวี ิต มคี วามเพียร ใชส้ ติปัญญาในการ ดําเนินชวี ติ ผเู้ รียน อาหารของสกุ ร ครู - นักเรียนได้ความรจู้ ากการนําตน้ กลว้ ยมาทําเป็นอาหารสุกร อาหารของสุกร -ใหน้ กั เรียนนาํ ต้นกล้วยมาทําเป็น อาหารสุกร สง่ิ แวดล้อม ครู ผู้เรียน การปลกู ตน้ กล้วย การปลูกต้นกล้วย การปลูกต้นกลว้ ย -ทาํ ใหเ้ กิดความชุ่มชืน้ ในบริ -ใหน้ กั เรียนนาตน้ กลว้ ยมาปลูก -นกั เรียนไดค้ วามรจู้ ากการปลกู กล้วย เวรท่ีปลูก บริเวณเขตพ้ืนทร่ี ับผดิ ชอบ ลงชื่อ..................................................ผสู้ อน (นายรตั นวัชร์ เลศิ นันทรตั น)์

ใบงานที่4 เรอื่ งการจดั การเล้ยี งดู 1.ใหน้ กั เรยี นเติมคาในชอ่ งว่างใหถ้ ูกตอ้ ง 2.1 ช่วงเวลาการผสมพนั ธ์ุที่เหมาะสมท่ีสุดคือ………………………………………………………

ใบความรทู้ ่ี4 เรื่องการจดั การเล้ยี งดู การเลี้ยงและการดแู ลหมูในระยะต่างๆ การเลย้ี งหมจู ะประสบความสาเรจ็ ถา้ เอาใจใส่เรอื่ งการเลีย้ ง และการดูแลหมูอยา่ งถูกตอ้ ง แม้ผู้เลย้ี งจะมีหมูพันธุ์ดีก็ ตาม แตถ่ า้ ละเลยในส่ิงเหล่าน้แี ลว้ ปัญหาตา่ งๆ ก็จะเกดิ ขึ้นได้ เชน่ พอ่ หมูผสมไม่เกง่ ผสมตดิ นอ้ ย แม่หมูคลอดลูก ยาก ลกู หมูป่วยเปน็ โรคท้องเสยี และมอี ตั ราการตายสูง เปน็ ตน้ การผสมพันธุข์ องแม่หมู การผสมพนั ธข์ุ องหมู การเลี้ยงและการดูแลหมูพ่อพันธุ์ หมตู ัวผู้ทจี่ ะนามาใช้ผสมพนั ธุไ์ ด้ดี ควรมสี ุขภาพแข็งแรงสมบูรณ์ มีขนาดและอายุท่พี อเหมาะ เพ่ือให้สามารถผลิต น้าเชอื้ ทีม่ คี ณุ ภาพดพี อเพียง มีผลทาให้การผสมติดสงู และไดจ้ านวนลูกมากเป็นปกติ แม้ว่าหมูตวั ผู้สามารถผลติ อสจุ ิได้บ้างแล้ว เม่อื มอี ายุยา่ งเข้า ๔ เดือนกต็ าม แต่จานวนนา้ เชอ้ื และอสจุ ทิ ผ่ี ลิตได้ จะเพิม่ มากขน้ึ เม่ือหมูมีอายุ มากขึ้น ดังน้ัน หมตู ัวผูท้ จี่ ะนามาใชผ้ สมพันธ์ุ ควรมขี นาดใหญพ่ อเหมาะท่จี ะผสมกับแม่หมูท่ีมีขนาดปกตไิ ด้ โดย ปกตมิ ักใช้ผสมพนั ธ์ุ ได้เมอ่ื มีอายรุ าว ๘ เดือน และมีนา้ หนกั ประมาณ ๘๐-๙๐ กโิ ลกรมั สาหรบั หมูพอ่ พนั ธ์ุ ตา่ งประเทศ ควรมนี า้ หนกั ราว ๑๑๕ กิโลกรัม การเลีย้ งหมูพ่อพนั ธุ์ ปกตใิ ห้อาหารวนั ละมอื้ พอ่ พนั ธุ์ท่ีมีน้าหนกั มากเกนิ ไปหรืออ้วน ควรใหอ้ อกกาลังบา้ ง หรือลด อาหาร และให้อาหารหยาบมากข้ึน หมูพ่อพันธถุ์ ้าไดร้ ับการเลี้ยงดูอย่างดจี ากผเู้ ล้ียง จะสามารถใช้งานได้หลายปี โดยไม่มีข้อบกพร่อง แม้จะใช้ผสมพันธ์ุ วนั ละสองครัง้ กต็ าม แต่กไ็ ม่ควรใชง้ านมากเกนิ ไป เพราะการผสมบ่อยๆ หรือติดๆ กัน จะทาให้จานวนอสจุ ลิ ด นอ้ ยลง และอาจมีอสุจิตัวอ่อนทไี่ มม่ ีคุณภาพเพียงพอ ดงั นั้นหลงั จากฤดผู สมพนั ธ์ุ ควรจะใหต้ ัวผไู้ ดพ้ ักผ่อน และออก กาลงั กาย โดยปลอ่ ยในทุง่ หญ้า การเลี้ยงและการดแู ลหมูแม่พนั ธุ์ หมสู าวเจรญิ เติบโตในลักษณะเชน่ เดยี วกันกับหมูหนุ่ม เม่ือมีอายมุ ากขนึ้ ปริมาณของไข่ที่ตกจากรังไขจ่ ะเพ่ิมขน้ึ ทา ใหป้ รมิ าณลูกท่ีคลอดมีจานวนมาก จนกระทงั่ แมห่ มมู ีอายุประมาณ ๑๕ เดือน ปริมาณไข่ท่ีตกก็จะคงท่ี โดยปกตจิ ะ ผสมพันธ์หุ มสู าว เม่อื มอี ายุได้ราว ๗-๘ เดือน หรอื น้าหนักราว ๑๑๐-๑๑๕ กิโลกรมั (สาหรบั หมูพนั ธุ์พนื้ เมอื ง ประมาณ ๘๐-๙๐ กิโลกรมั ขึ้นอยู่กับชนดิ ของหมูพนั ธุ์พ้ืนเมอื งด้วย) การผสมพันธแ์ุ ม่หมูท่ีมขี นาดเล็ก หรือมีอายุ น้อยอยู่ จะทาให้อายกุ ารใช้งานของแมห่ มตู ัวน้ันส้ันลง และจานวนลกู ท่ีได้ก็น้อยดว้ ย ทง้ั น้ี เน่อื งจากการตกไขจ่ ากรัง ไข่มีนอ้ ย การผสมพนั ธุ์แม่หมู ควรกะเวลาให้พอดี กับระยะการตกไข่ เพราะจะทาให้ไดผ้ ลดกี ว่าการผสมในเวลาอ่ืน แม่หมู สว่ นใหญ่จะกลบั เปน็ สดั อีกภายใน ๓-๗ วนั หลงั การหย่านม แม่หมู แสดงการเป็นสัดนานประมาณ ๔๘-๗๒ ชัว่ โมง (หมสู าวนานประมาณ ๓๖-๖๐ ช่วั โมง) การตกไขเ่ กิดขึ้นประมาณชว่ งกลางๆ ของการเปน็ สดั แตไ่ ข่จะไมต่ กพร้อม กันทเี ดียวท้ังหมด การผสมหมสู าว หรือแม่หม ูควรผสมซ้า หรือผสมครั้งทส่ี อง โดยทง้ิ ระยะให้ห่างจากครงั้ ท่ีหน่ึง ประมาณ ๑๒ ช่ัวโมง เปน็ อย่างน้อย ปกติการผสมพนั ธุ์หมูมกั ทาในตอนเชา้ และเยน็ เพราะอากาศไมร่ ้อน ไมค่ วร ผสมพนั ธ์ุหมูขณะทป่ี ่วย หรือหลังการฉีดวัคซนี ใหมๆ่ วธิ ดี งั กล่าวนี้จะชว่ ยให้การผสมพนั ธไุ์ ดผ้ ลดีข้นึ และเพิ่มลกู ต่อ ครอกใหม้ ากข้ึน

ขอ้ แนะนาระหว่างการผสมพันธ์ุหมคู ือ ควรให้อาหารแม่หมู และหมสู าวให้มากข้นึ เนอื่ งด้วยเหตผุ ลสองประการคือ ประการแรก เนื่องจากแมห่ มผู สมพนั ธคุ์ รั้งใหม่หลังการหย่านมในช่วงเวลาส้ัน หมูยงั อยใู่ นสภาพท่ีไม่แข็งแรงเพียงพอ ประการท่ีสอง เนื่องจากระหวา่ งการใหน้ ม แมห่ มูส่วนใหญ่สญู เสียน้าหนกั ไปมาก การใหอ้ าหารเพ่ิมขนึ้ จะชว่ ยให้แม่หมูอยใู่ นสภาพ ท่ีเหมาะสาหรับการใหน้ มคร้ังต่อไป ระยะแม่หมูอมุ้ ท้องควรแยกเลี้ยงในคอกขังเดย่ี ว ระยะแม่หมูอมุ้ ทอ้ งควรแยกเลี้ยงในคอกขังเดยี่ ว เครอื่ งตรวจการต้ังท้องของหมู เครื่องตรวจการตง้ั ท้องของหมู การเลย้ี งและการดแู ลแม่หมูระหวา่ งการอุ้มท้อง หมูตัวเมียที่ไม่ไดร้ ับการผสมพันธุ์ หรอื ผสมไมไ่ ด้ผล จะกลบั เปน็ สัดอกี ระหวา่ งทกุ ๆ ๑๘-๒๔ วัน หรอื โดยเฉลีย่ ประมาณ ๒๑ วนั แตถ่ ้าผสมไดผ้ ล ก็จะไม่กลับเป็นสดั อีกเลย ตลอดการอุ้มท้อง เมื่อหมตู วั เมียไดร้ บั การผสมแล้ว ก็ ไม่จาเปน็ ต้องให้อาหารเพ่มิ มากข้นึ อีก การเลย้ี งดูในช่วงนี้ควรปฏิบตั ดิ ังนี้ ๑. การจดั คอกสาหรบั แมห่ มู ระยะท่ีแม่หมอู ุ้มท้องควรแยกมาเลี้ยงในคอกขงั เด่ยี ว เพราะนอกจากจะควบคุมการให้อาหารไดแ้ ลว้ ยังช่วยป้องกนั ไมใ่ ห้เกิดการทะเลาะววิ าทกับหมูตัวอน่ื ซง่ึ อาจทาให้แม่หมแู ทง้ ลูกได้ ๒. การให้อาหาร ๒.๑ ช่วงอุ้มท้องระยะต้น ต้ังแต่เรม่ิ ผสมพนั ธ์ุจนถึงอุ้มท้องได้ ๘๔ วนั ในช่วงนไี้ มจ่ าเป็นตอ้ งให้อาหารมากนกั เพราะ ลูกในทอ้ งเติบโตชา้ มาก ควรใหก้ นิ ประมาณตวั ละ ๑.๕-๑.๘ กิโลกรัมต่อวนั ก็พอเพียงแล้ว สาหรบั หมูพันธพุ์ ื้นเมือง ก็ตอ้ งลดลงตามส่วน ๒.๒ ช่วงอุ้มท้องระยะหลงั (อุ้มทอ้ ง ๘๔-๑๐๔ วนั ) ในช่วงนี้ลูกหมใู นท้อง มอี ตั ราการเจริญเตบิ โตสงู มาก ต้องการ อาหารมาก จาเป็นตอ้ งเพ่ิมอาหารให้แก่แม่หมู เปน็ วนั ละ ๒.๕-๓ กโิ ลกรมั ตอ่ วนั (ประมาณร้อยละ ๒.๕ ของ นา้ หนกั ตัว) ๓. ตรวจการตงั้ ทอ้ ง หลังจากวันผสมพันธ์ปุ ระมาณ ๒๑ วนั และ ๔๒ วัน ควรตรวจดูการเป็นสดั ของหมตู ัวเมีย หากหมไู ม่แสดงอาการ เป็นสัด ก็อาจกลา่ วได้วา่ หมูผสมติดและตั้งท้อง แตถ่ ้าหมูแสดงอาการเปน็ สัดอกี ก็ให้ผสมพันธห์ุ มตู ัวนัน้ ใหม่ หมูตัว ใดผสมแลว้ ยงั ไมต่ ั้งท้องติดตอ่ กัน ๓ คร้ัง ให้คัดหมูตวั นั้นออกจากฝงู เพ่อื จาหน่ายต่อไป

๔. อุณหภมู ิ ภายในโรงเรือนควรรกั ษาอุณหภูมใิ ห้ต่ามากทส่ี ุดเท่าทจ่ี ะทาได้ เนอ่ื งจากประเทศเราเปน็ ประเทศเมอื งร้อน และจาก ผลการวิจัยปรากฏว่า หากให้หมูอยู่ในทร่ี ้อนอบอ้าวตดิ ต่อกันเป็นเวลานาน จะทาให้หมูให้ลูกนอ้ ยตัว นอกจากนี้ ความตอ้ งการผสมพนั ธุ์ และจานวนเช้ืออสุจิของพ่อหมู ก็ลดลงไปด้วย อุณหภูมิทเ่ี หมาะสาหรับหมใู นชว่ งนี้คือ ระหวา่ ง ๑๖-๑๙ องศาเซลเซียส การพ่นยาฆ่าเชอ้ื บริเวณคอกคลอด การพน่ ยาฆา่ เชอื้ บรเิ วณคอกคลอด วัสดุและอุปกรณ์เพอ่ื ใชค้ ลอดของแมห่ มู๑. อุปกรณ์ทาคลอด วสั ดแุ ละอุปกรณเ์ พอื่ ใช้คลอดของแม่หมู ๑. อปุ กรณ์ทาคลอด วัสดุและอุปกรณเ์ พอ่ื ใชค้ ลอดของแม่หมู๒. ฟางข้าวใหค้ วามอบอนุ่ วสั ดแุ ละอุปกรณ์เพ่อื ใช้คลอดของแม่หมู ๒. ฟางข้าวใหค้ วามอบอ่นุ การเลยี้ งดูแม่หมกู ่อนคลอด ระหวา่ งคลอด และระหว่างการให้นม ชว่ งระยะก่อนคลอด ระหวา่ งคลอด และ ระยะ ๒-๓ วัน ของการใหน้ ม เปน็ ช่วงที่มีความสาคญั มากช่วงหนึง่ ของการ เล้ยี งดูหมู ถ้าการเล้ยี งดูในระหวา่ งช่วงน้ีไมด่ ีพอ กจ็ ะสูญเสยี ลูกหมูไป โดยไม่จาเป็น การเล้ียงดแู ม่หมูก่อนคลอด ควรปฏิบตั ิ ดงั น้ี ๑. การทาความสะอาดคอกคลอด ควรทาความสะอาดไว้ล่วงหน้าให้เรียบร้อย ก่อนทีจ่ ะนาแม่หมูเข้าคอกคลอด ประมาณหนึง่ สัปดาห์ หรือนานกว่านกี้ ไ็ ด้ เพ่อื ลดโอกาสท่ีโรคและพยาธิจะ เกิดข้ึนให้มีไดน้ อ้ ยท่ีสดุ ซ่ึงโรคและพยาธิ นี้จะ ติดต่อถงึ ลูกได้มาก เน่อื งจากลกู หมพู ยายามหา ทางไปกินนมจากแม่ภายหลังที่คลอดไดไ้ ม่กีน่ าที ลกู หมูจึงอาจ ตดิ โรคและพยาธเิ หลา่ น้ีได้จากคอก ที่สกปรก การทาความสะอาดคอกคลอด จะใชผ้ งซักฟอก หรือโซดาไฟล้างกไ็ ด้ แลว้ ใชน้ ้าสะอาดลา้ งให้ทั่วอีกครัง้ เม่อื คอกแห้งแลว้ จึงใชย้ าฆา่ เชือ้ โรคชนดิ ใดชนดิ หนงึ่ ผสมน้า เจือจางตาม คาแนะนา แลว้ พ่นใหท้ ั่วบริเวณคอก ๒. การถ่ายพยาธแิ มห่ มู กอ่ นถงึ กาหนดคลอด ๗-๑๔ วัน ควรถา่ ยพยาธแิ ม่หมู โดยเฉพาะหมูท่ีเล้ยี งแบบปลอ่ ยลง แปลง หรือเล้ยี งในคอกท่มี ีพ้ืนเป็นดนิ วธิ ีการใช้ยาถ่ายพยาธิให้ดจู ากฉลากทต่ี ดิ มากับยาชนิดนน้ั ๆ ๓. การทาความสะอาดแมห่ มู ปกติทง้ั แม่หมู และหมสู าว จะอุ้มท้องนานประมาณ ๑๑๔ วนั เมอื่ อุ้มทอ้ งได้ ๑๐๙ วนั ควรย้ายหมูเหล่านั้นไป ยงั คอกคลอด อาบน้าดว้ ยสบู่ ใช้แปรงทมี่ ีขนแข็ง ถูให้ทว่ั บริเวณร่างกาย โดยเฉพาะตามพ้นื ทอ้ ง ลาตวั และบริเวณเตา้ นม วิธีนจี้ ะกาจดั ไข่พยาธิ และส่งิ สกปรกทตี่ ดิ มากับตวั หมูออกไป ๔. การให้อาหารและนา้ แม่หมู อาหารท่ีใหแ้ ม่หมูในช่วงก่อนคลอดน้ี ควรจะเปน็ อาหาร ชว่ ยระบายอยา่ งออ่ นๆ ทง้ั นี้ เพื่อหลีกเล่ียงการเกดิ อาการทอ้ งผกู ของแม่หมู ช่วงน้ผี ้เู ลี้ยงอาจเพ่ิมอาหารทมี่ เี ยื่อใยสูงลงในอาหารแม่หมูได้ ราข้าว หรอื จะให้หญา้ สด เชน่ หญา้ ขน ก็ได้

การดแู ลแมห่ มรู ะหวา่ งคลอด ควรปฏิบตั ดิ ังนี้ ๑. การจดั เตรียมวดั สุรองพืน้ สาหรบั ลูกหมู ควรจัดเตรยี มไว้ลว่ งหนา้ ก่อนแม่หมูจะคลอดหนึง่ วัน หรอื สองวัน วัดสุที่ รองพืน้ ทีค่ วรจัดเตรยี มไว้ ได้แก่ ฟางขา้ ว หญ้าแห้ง หรอื กระสอบทีส่ ะอาดและแหง้ วัสดุรองพ้ืนช่วยปอ้ งกนั ขาและ เต้านมของลกู หมู ที่เพงิ่ คลอด ไม่ให้ไดร้ ับอันตรายจากพื้นคอกที่หยาบ แขง็ และยังช่วยให้ความอบอ่นุ แก่ลกู หมูอีก ดว้ ย ๒. การจัดเตรียมเครอ่ื งมือเคร่ืองใช้ในการปฐมพยาบาลลูกหมูท่คี ลอดออกมา เครอ่ื งมือเครอ่ื งใชท้ ีต่ ้องเตรยี มไว้ ระหวา่ งหมูกาลังคลอด มดี ังนี้ ๒.๑ ผา้ แหง้ ที่สะอาด ๒-๓ ผืน สาหรบั เช็ดตวั ลูกหมูทค่ี ลอดออกมาใหม่ๆ ๒.๒ คมี สาหรบั ตดั เขีย้ วและหางลูกหมู ๒.๓ ด้ายผูกสายสะดือ ๓. การใหอ้ าหารแมห่ มู ถ้าเป็นไปไดช้ ว่ งก่อนคลอด ๑๒ ชั่วโมง และหลังคลอดอีก ๑๒ ชวั่ โมง ไมต่ อ้ งให้อาหารเลย นอกจากน้าสะอาดอยา่ งเดียว ๔. การชว่ ยเหลือลูกหมู เม่ือคลอด ลกู หมูเม่ือคลอดออกมาใหม่ๆ ควรจะชว่ ยทาความสะอาด เชด็ ร่างกายลูกหมูให้ แหง้ ดว้ ยผา้ แห้งท่ีสะอาด เอาเย่ือบางๆ ทหี่ ่อหุ้มตวั ลกู หมูออก โดยเฉพาะเย่อื ท่หี ุ้มสว่ นจมูกและปาก ควรเช็ด และ ลว้ งเสมหะออกจากปากเสียก่อนโดยเรว็ หลังคลอดไม่ควรขงั ลกู หมไู ว้ ควรปลอ่ ยให้กินนมไดเ้ ลย น้านมแมเ่ มือ่ แรก คลอด (colostrum) น้ี มปี ระโยชนต์ ่อลกู หมูมาก และจะมอี ยู่เพียง ๒-๓ วันหลงั คลอดเท่าน้ัน การเลย้ี งดูแมห่ มรู ะหว่างการให้นม ควร ปฏิบตั ดิ งั น้ี ๑. ควรใหอ้ าหารเดิมแก่แม่หมู (อาหารทใ่ี หแ้ ม่หมูตอนใกล้คลอด) ภายหลังคลอดตอ่ ไปอีก ประมาณ ๓ - ๕ วัน จึง คอ่ ยเปล่ยี นเป็นอาหารสูตรใหม่ ๒. อาหารสตู รใหม่ท่ีใหแ้ ก่แมห่ มูระหวา่ งการให้นา้ นม ควรมีโปรตนี และพลังงาน ไม่น้อยกวา่ ในอาหารสาหรบั แม่หมู ระหว่างการอมุ้ ท้อง ทั้งนเ้ี พอื่ ชว่ ยในการผลติ นา้ นม ๓. การให้อาหารควรเร่ิมให้แตน่ อ้ ย วันถัดไปค่อยเพ่ิมจานวนอาหารที่ให้กินมากขึ้นไปเร่ือยๆ เท่าท่ีแมห่ มูจะสามารถ กนิ ได้ เช่น แมห่ มูมีลกู ๑๐ ตัว อาหารท่ใี หแ้ ม่หมูกินเต็มที่ประมาณ ๕ กิโลกรัม ๔. การเพ่ิมอาหารใหแ้ ม่หมกู ินเรว็ เกินไป อาจทาให้ลกู หมูเกิดขขี้ าวได้ ถา้ เกดิ กรณเี ชน่ นี้ผเู้ ลยี้ งควรลดจานวนอาหาร ทใี่ ห้หมลู ง การใชห้ ลอดไฟในการใหค้ วามอบอุน่ แกล่ กู หมูเกดิ ใหม่

การใช้หลอดไฟในการใหค้ วามอบอนุ่ แกล่ ูกหมูเกิดใหม่ ใช้ยาฆา่ เชื้อเชด็ สายสะดือท่ีตดั เพื่อปอ้ งกนั การติดเช้อื ใชย้ าฆา่ เช้ือเช็ดสายสะดือท่ีตดั เพอื่ ป้องกันการตดิ เชือ้ การตดั หางลกู หมูแรกคลอดเพอื่ ป้องกนั การกดั กัน การตัดหางลกู หมูแรกคลอดเพอ่ื ป้องกันการกดั กนั การฉีดธาตเุ หล็กให้ลูกหมเู พ่ือปอ้ งกนั โรคโลหิตจาง การเลยี้ งและการดูแลลกู หมูหลงั คลอดไปจนถึงหย่านม การฉีดธาตุเหล็กใหล้ กู หมเู พ่ือปอ้ งกันโรคโลหติ จาง การเลีย้ ง และการดูแลลกู หมู ตั้งแตห่ ลงั คลอด ไปจนถึงหยา่ นม นบั ไดว้ า่ เป็นช่วงท่ีมีความยุ่งยากมากกวา่ ช่วงอน่ื ๆ เป็นชว่ งท่ีมีการสญู เสียลกู หมูมากท่สี ดุ โดยเฉล่ียประมาณ ๒ ตวั ต่อครอก ซ่งึ อาจเกดิ เนอื่ งจากถกู แมท่ ับตาย ท้องรว่ ง อย่างแรง อดอาหาร โลหิตจาง และเสยี เลือดมากทางสายสะดือเมอ่ื คลอด อย่างไรก็ตามการสญู เสียลูกหมใู นชว่ งน้ี สว่ นใหญเ่ นอ่ื งมาจากการดแู ลไมด่ ี มากกวา่ สาเหตอุ ่ืนๆ ดังนนั้ เพื่อลดการสูญเสีย ลกู หมใู นชว่ งนี้ ผเู้ ล้ียงควร เตรียมการดูแลลูกหมู ดงั น้ี ๑. การให้ความอบอุน่ หมทู ี่มีอายุต่ากวา่ ๓ วนั กลไกท่ีควบคุมอณุ หภูมภิ ายในร่างกายยังไมท่ างาน จึงไมส่ ามารถปรบั ตวั ใหเ้ ขา้ กับความผัน แปรของอุณหภมู ภิ ายนอกได้ ลูกหมแู รกเกิดที่ถกู ความหนาวเย็นมากๆ หรอื เปน็ เวลานานๆ อณุ หภูมิของร่างกายจะ ลดลง จะเปน็ ผลใหล้ กู หมตู ัวนัน้ ตายได้ ๒. การป้องกันลมโกรก ไมค่ วรปล่อยให้ลูกหมูถูกลมโกรก เชน่ ให้ลูกหมูอยใู่ นคอกทีโ่ ปร่งมาก หรือมพี ้นื เปน็ ไม้ระแนง เพราะจะทาให้ลกู หมู เจ็บป่วยได้งา่ ย บริเวณสาหรบั ลกู หมูแรกคลอดหลับนอน ควรมีท่กี าบังลมไว้ประมาณ ๓-๔ วนั จะช่วยใหล้ ูกหมไู ม่ ถกู ลมโกรกมากนัก อยา่ งไรก็ตาม คอกลกู หมกู ็ไม่ควรปิดทึบ เพราะจะทาให้อากาศถ่ายเทไมส่ ะดวก เวลาคอกเปียก ชน้ื จะแห้งยาก ทาให้เกิดเช้ือโรค ลกู หมจู ะเจบ็ ป่วยไดง้ า่ ยเชน่ กัน ๓. การรักษาความสะอาดคอก คอกท่ี ใช้เล้ียงลกู หมคู วรทาความสะอาดอยู่เป็นประจา พื้นคอกตลอดจนบรเิ วณที่ลูกหมนู อน ควรจะแห้งและสะอาด อยูเ่ สมอ ถา้ จาเป็นทีจ่ ะต้องล้างทาความสะอาด เนือ่ งจากคอกสกปรก ควรขงั ลกู หมูเอาไวก้ ่อน อยา่ ปล่อยออกมาให้ ตัวเปียกน้า ลกู หมูอาจจะหนาวสัน่ และเจบ็ ป่วยได้ เม่ือเหน็ ว่า คอกแห้งพอสมควรดีแล้ว จงึ ปล่อยลูกหมตู ามเดิม ๔. การตัดสายสะดอื กอ่ นอืน่ ควรมัดสายสะดือ เพ่ือป้องกันเลือดออกหลงั ตัด ควรตดั ให้เหลือสายสะดอื ยาวประมาณ ๓-๔ เซนติเมตร เมือ่ ลูกหมูยืนข้ึนสายสะดอื จะไดไ้ มต่ ิดพน้ื คอก จากนัน้ เช็ดแผลท่ตี ดั แล้วด้วยทิงเจอร์ไอโอดีน สายสะดือเป็นส่วนสาคญั ท่ี เชื้อโรคจะเข้าสู่ตัวลกู หมูได้ การเจบ็ ป่วย เช่น ลูกหมูขาเจ็บหรอื ตาย อาจจะมาจากการละเลยการปฏบิ ัติดงั กล่าว

๕. การตดั ฟันและการตัดหาง ควรตดั ภายหลงั ทีล่ กู หมคู ลอดไดไ้ ม่เกิน ๒๔ ชั่วโมง การตัดฟนั และหางนี้ ควรทาพร้อมกัน ทง้ั น้ีเพ่ือหลีกเลี่ยงการจบั ต้องลูกหมูหลายๆ ครั้ง การตดั ฟัน ลกู หมูแรกคลอดมีฟันทีแ่ หลมคมอยู่ ๔ คู่ ๒ คู่อยู่ที่ขากรรไกรบน อกี ๒ คอู่ ยทู่ ข่ี ากรรไกรล่าง ฟัน ๔ คู่นี้ไม่ มีประโยชนต่อลูกหมู แต่จะทาใหร้ ะคายเคอื งต่อเต้านมแม่ ขณะทีล่ กู หมูดดู นม จงึ ควรตัดให้เรียบส้ันหลังคลอด การ ตดั ตอ้ งระมัดระวังอยา่ ให้ฐานของฟันเสยี หรือเหลือรอยขรขุ ระแหลมคมไว้ หรอื เป็นสาเหตทุ ่เี ปน็ อนั ตรายตอ่ เหงือก (การตัดฟันลกู หมู โดยไมร่ ะมดั ระวัง กจ็ ะทาใหเ้ หงือกได้รับอนั ตราย จากเคร่ืองมอื ทใี่ ชไ้ ด้ เชน่ ไปตัดโดนเหงือก เคร่อื งมือท่ใี ชต้ ัดฟนั ถา้ ไมค่ มก็จะตดั ฟนั ได้ไม่เรียบ ฐานฟนั อาจเสีย และทาให้เหงือกได้รับอันตราย บางคร้งั กเ็ หลือ รอยขรุขระแหลมคมไวเ้ หมอื นขวดแก้วแตก ฟันเชน่ น้ี เมื่อไปกัดหัวนมแม่ จะคมย่ิงกว่าฟนั ธรรมดาท่ไี มไ่ ดถ้ ูกตดั ) การตัดหาง ปญั หาเรอ่ื งลูกหมกู ัดหางกัน มักจะเนอ่ื งมาจากการเลย้ี งหมูแบบขังคอก และเล้ียงไว้คอกละจานวนมาก ผู้เลยี้ งอาจจะตัดหางลกู หมทู ิ้งเสยี ตง้ั แต่ยังเล็กกไ็ ด้ ควรตัดให้เหลือ เพียง ๑/๔ น้ิว ไม่ควรทากบั หมูที่โตแลว้ ในกรณี ทีเ่ กิดปญั หาการกดั หางกัน ก็สามารถแก้ไขไดโ้ ดยการผูกโซห่ รือยาง ห้อยไวใ้ นคอก เพ่ือใหห้ มไู ดก้ ดั เลน่ ๖. การป้องกนั โรคโลหิตจาง โรคโลหติ จางในลกู หมูมักเกิดจากการขาดธาตุเหล็ก ทงั้ นี้ เพราะลูกหมูมคี วามต้องการธาตเุ หลก็ มากเกินกวา่ ท่ไี ด้รับ จากน้านมแม่ เนอื่ งจากลูกหมมู กี ารเจรญิ เติบโตท่ีรวดเร็ว และธาตุเหล็กท่เี ก็บสารองในตัวลกู หมูที่เกดิ ใหม่ มีอยู่ จานวนนอ้ ย เพอื่ ปอ้ งกันโรคนี้ ผูเ้ ลีย้ งควรฉีดธาตเุ หล็กให้ลกู หมูประมาณ ๒ ครงั้ คร้ังแรกเมือ่ ลกู หมอู ายไุ ด้ ๓ วนั ครัง้ ถดั ไปเมือ่ ลกู หมูมีอายุได้ ๒-๓ สปั ดาห์ ๗. การตอนลกู หมตู ัวผู้ ลูกหมตู ัวผู้ท่ไี ม่เก็บไวท้ าพนั ธุจ์ ะตอนเมอ่ื อายุเทา่ ใดกไ็ ด้ แต่ที่เหมาะคือ เมื่ออายุได้ ๒ หรือ ๓ สปั ดาห์ ในช่วงน้ี อนั ตรายจากการตอนมนี ้อยกวา่ ชว่ งทีล่ กู หมูโตแล้ว เพราะจับลูกหมูได้ง่ายกวา่ และแผลกจ็ ะหายเร็วกวา่ ดว้ ย ๘. การหดั ให้กนิ อาหารแห้ง ก่อนลกู หมหู ยา่ นมอยา่ งสมบูรณ์ เม่อื ลกู หมูมอี ายไุ ด้ ๑ หรือ ๒ สปั ดาห์ ควรหัดให้กนิ อาหารบ้าง ลกู หมทู ีเ่ คยหดั ให้ กนิ อาหารตัง้ แตเ่ ลก็ โดยท่ัวไปเมือ่ หย่านม จะเรยี นรูก้ ารกนิ อาหารไดเ้ รว็ กว่าพวกทไ่ี ม่เคยหัดเลย วคั ซนี ปอ้ งกนั โรคอหิวาต์หมู วัคซีนปอ้ งกันโรคอหิวาต์หมู การเล้ียงดูลูกหมหู ลงั หยา่ นม การหยา่ นมลูกหมจู ะเร็วหรอื ชา้ นน้ั นอกจากจะข้ึนอยูก่ บั ความสมบรู ณข์ องลกู หมแู ล้ว ยงั ข้นึ อยกู่ ับความสามารถของ ผู้เลย้ี ง และคณุ ภาพของอาหารที่ใช้เลี้ยงลูกหมูด้วย ผเู้ ลีย้ งหมใู นบา้ นเรานิยมหย่านมลูกหมูท่มี ีอายรุ ะหวา่ ง ๓-๖ สัปดาห์ ลูกหมูที่หย่านมเม่ืออายุยังน้อย หรือนา้ หนกั ตัวน้อย มกั จะอ่อนแอ และถา้ การเล้ียงดูไมด่ พี อ อาจทาให้ลกู หมูแคระแกร็น หรืออาจถงึ ตายได้ การเล้ียงดลู ูกหมใู นระยะนจี้ งึ ควรปฏิบตั ิดังน้ี ๑. การหยา่ นมลกู หมู

ให้ถือนา้ หนกั เป็นเกณฑ์ ลูกหมคู วรมีนา้ หนักไมต่ า่ กวา่ ๕ กโิ ลกรมั เมื่อหยา่ นม และไม่ควรขงั ลกู หมูที่มีขนาดและ นา้ หนกั ไล่เล่ยี กนั เกนิ กวา่ ๒๐ ตวั ไว้ในคอกเดยี วกนั (ขึ้นอยกู่ ับขนาดของคอกด้วย) เน่อื งจากคอกจะสกปรกมาก และ บางตัวกก็ นิ อาหารไม่ทนั ตวั อ่ืนๆ ๒. การรกั ษาความสะอาด เนอ่ื งจากลกู หมใู นช่วงนเ้ี ป็นโรคไดง้ า่ ย ความสะอาดจึงเปน็ สิ่งสาคญั ทค่ี วรระวังใหม้ าก รางอาหาร รางน้า ตลอดจน คอกหมตู ้องสะอาดอยเู่ สมอ พ้นื คอกไม่ควรปล่อยให้เปยี กแฉะ ดงั น้ัน คอกตอ้ งมกี ารถ่ายเทอากาศได้ดี แต่ตอ้ งไม่ โกรกตัวลูกหมมู ากนัก ๓. การใหอ้ าหารและน้า ควรให้อาหาร ลกู หมูบอ่ ยๆ คร้ังละนอ้ ยๆ จะช่วยใหล้ กู หมกู ินอาหารได้มากขึ้น อาหารท่ีเปยี ก เหม็นอบั ควรทิ้งไป นา้ สะอาดตอ้ งมใี ห้ลูกหมไู ดก้ ินตลอดเวลา การขาดนา้ จะทาให้ลูกหมูกนิ อาหารน้อยลง หรอื ไมก่ ินอาหารเลย ๔. การถ่ายพยาธิ หลังจากลูกหมูหยา่ นมไดร้ าว ๒-๓ สปั ดาห์ ควรให้ลกู หมูกนิ ยาถา่ ยพยาธิ ลูกหมูทพ่ี บวา่ มพี ยาธคิ วรถ่ายซ้าอีกครง้ั ๕. การฉดี วัคซนี หลังจากท่ีลกู หมูหยา่ นมแล้ว ราว ๓-๔ สัปดาห์ข้นึ ไป ผเู้ ล้ียงสามารถฉดี วคั ซนี ให้กับลูกหมูได้ ทั้งน้ีข้นึ อยูก่ บั ความ สมบูรณ์ของลูกหมู และควรฉดี วคั ซีนกบั ลกู หมูทีส่ มบูรณ์เท่านน้ั ลูกหมูหลงั ฉดี วัคซีนแลว้ อาจมีอาการไขไ้ ด้ จึงไม่ ควรเอานา้ รดตัวลกู หมู การตอนไมค่ วรทาในช่วงเดยี วกับการฉดี วัคซนี ควรตอนก่อนการฉดี วคั ซนี อยา่ งน้อย ไม่ต่ากวา่ ๑๐ วนั หรือหลังการ ฉดี วคั ซีนประมาณสัก ๑ เดอื น การเลีย้ งหมขู ุนบนคอกคอนกรตี การเลี้ยงหมูขนุ บนคอกคอนกรตี การเลย้ี งและการดแู ลหมรู นุ่ และขุนสง่ ตลาด การเล้ยี งดูหมรู ะยะน้ี มคี วามยงุ่ ยากน้อยกวา่ การเล้ียงดูหมูระยะท่ยี ังไมห่ ยา่ นม หลงั จากหย่านมใหม่ๆ หมใู นช่วงนี้ จะเจริญเติบโตดี ท้งั หมูทเี่ ล้ียงอยู่ในทุ่ง และบนคอกคอนกรตี ทมี่ ีการสขุ าภบิ าล การควบคมุ โรคและพยาธิ ตลอดจน การใหอ้ าหารที่ถูกต้อง การเลี้ยง และการจัดการดแู ลหมูระยะนี้ ควรปฏิบตั ิดังนี้ ๑. การจดั คอกเล้ียง ๑.๑ การจดั คอกสาหรบั หมขู ุนขาย ควรจดั เอาหมทู ่ีมขี นาดและเพศเดยี วกัน ขงั เล้ียงไวใ้ นคอกเดียวกนั เพื่อช่วยให้ หมเู ตบิ โตมีขนาดไลเ่ ลี่ยกนั และไมเ่ กิดปญั หาแย่งอาการกนั กินขนึ้ ในภายหลงั เนื่องจากการเจรญิ เตบิ โตไม่เทา่ กันของ หมเู พศผู้ และเพศเมีย หมูเพศผู้ทตี่ อน มักเจริญเติบโตเร็วกว่าหมเู พศเมีย แต่หมูเพศเมียมีแนวโน้มการใช้อาหาร ท่ีมี โปรตีนสูงได้ดีกวา่ และยงั ให้เนื้อแดง และมลี าตัวยาวกว่าหมเู พศผู้ทีต่ อนดว้ ย

๑.๒ การจัดคอกสาหรับหมูพันธ์ุ หมทู ี่จะ เล้ียงไวเ้ ป็นพ่อพันธ์ุ และแม่พันธุ์ ในชว่ งแรก ไม่ควรเล้ยี งแยกเพศกนั อยา่ ง เดด็ ขาด กล่าวกันว่า การเป็นหนมุ่ เป็นสาวช้า การไม่แสดงการเปน็ สัดของหมตู วั เมีย และการไมย่ อมผสมพันธข์ุ อง หมตู ัวผู้นน้ั เปน็ ผลจากการมีประสบการณก์ ่อนเป็นหนุ่มเปน็ สาวไม่เพยี งพอ พ่อหมูสามารถเรียนรใู้ นเรือ่ งเหลา่ นี้ไดด้ ี ท่ีสดุ ในชว่ งอายรุ ะหวา่ ง ๔-๘ เดือน เม่อื หมเู ริม่ ผสมพันธ์ไุ ด้ ควรแยกออกมาเลยี้ งขงั เดี่ยว และจากดั อาหารไป จนกระทั่งหมูมนี ้าหนัก ๑๑๕ กโิ ลกรัม ท้งั ตัวผู้ และตัวเมีย ๒. การจดั เตรยี มรางอาหาร ควรจดั ใหม้ ีเพียงพอกับจานวนหมู รางอาหารชนดิ อตั โนมัติ ชอ่ งอาหารช่องหนง่ึ ๆ ควรจัดไว้สาหรับหมูไม่เกนิ ๓-๔ ตวั มฉิ ะน้ันจะมีผลต่อการเจริญเติบโตของหมู ๓. การจัดเตรยี มนา้ ดืม่ ควรมนี ้าดื่มสะอาดไวใ้ นท่ที เี่ หมาะสม ไมค่ วรจดั ไว้ในที่ที่หมูตัวอน่ื กีดขวางได้ง่าย ปกตหิ มูตัวหนงึ่ จะกินน้าประมาณ สองเท่าของนา้ หนักของอาหารที่กินเข้าไป ๔. อุณหภมู ิ อุณหภูมิทเ่ี หมาะจะช่วยให้การเจรญิ เติบโต และประสทิ ธิภาพการใช้อาหารของหมดู ีข้ึน คือ อุณหภูมิประมาณ ๒๑ องศาเซลเซียส หากอากาศรอ้ นเกินไป หมูจะกินอาหารนอ้ ยลง และเติบโตช้า ๕. การถ่ายเทอากาศ อากาศภายในคอก ควรมีการถา่ ยเท หรอื ระบายได้ดี โรงเรอื นที่อับ อากาศจะเกดิ กา๊ ซพษิ สะสม ซงึ่ มผี ลกระทบต่อ การเจรญิ เตบิ โตของหมู และกอ่ ให้เกดิ ส่งิ ผิดปกตกิ ับหมไู ด้ เชน่ เกิดมกี ารกดั หางกนั ขน้ึ เปน็ ตน้

ผังมโนทศั น์ รายวิชาการเลยี้ งสกุ ร รหัสวชิ า ง.20206 ระดับชน้ั มัธยมศกึ ษาปที ี่ 1-3 หน่วยการเรยี นรู้ที่5 เร่อื งการสขุ าภบิ าล จานวน 6 ช่ัวโมง : 10 คะแนน หน่วยการเรียนรู้ท่ี5 เรื่องการสุขาภิบาล จานวน 6 ชั่วโมง : 10 คะแนน ชือ่ เรื่องการสขุ าภบิ าล จานวน 6 ชวั่ โมง :10 คะแนน

แผนการจัดการเรยี นรู้ หนว่ ยการเรยี นรู้ท5่ี เร่ืองการสุขาภบิ าล แผนจดั การเรียนร้ทู ่1ี เรื่องการสขุ าภบิ าลสกุ ร รายวชิ า การเล้ียงสุกร รหัสวชิ า ง.20206ระดับชัน้ มธั ยมศกึ ษาปที ่ี 1-3 ภาคเรยี นที่ 1 ปีการศกึ ษา 2562น้าหนกั เวลาเรยี น 1.00 (นน./นก.) เวลาเรียน 4 ช่ัวโมง/สปั ดาห์ เวลาท่ใี ชใ้ นการจดั กจิ กรรมการเรียนรู้ 4 ชว่ั โมง ........................................................................................................................................................ .. 1. สาระสาคญั (ความเข้าใจท่ีคงทน) ผู้เลี้ยงสุกรทุกคนมีความต้องการสุกรที่มีสุขภาพดีและปราศจากโรค การท่ีสุกรจะมีสุขภาพดีได้น้ัน ข้ึนอยู่กับการได้กินอาหารที่มีคุณภาพดี การจัดการท่ีดี การสุขาภิบาลท่ีถูกต้อง และมีการป้องกันโรคท่ีดี เมื่อสุกรมี สขุ ภาพดีจะทําใหผ้ ู้เลี้ยงสามารถลดต้นทุนค่ายาและค่ารักษาลงได้ ทําให้สุกรสามารถให้ผลผลติ ได้เต็มความสามารถและ ทําให้ได้ผลตอบแทนสูง แต่จะทําอย่างไรผู้เล้ียงถึงจะได้สุกรท่ีมีสุขภาพดี จึงเป็นสิ่งที่สําคัญมากที่ผู้เล้ียงต้องทําความ เข้าใจและปฏิบตั ิตอ่ สกุ รอย่างถูกตอ้ งด้วย 2. มาตรฐานการเรยี นร/ู้ ตวั ช้ีวัดช้ันป/ี ผลการเรียนร/ู้ เปา้ หมายการเรียนรู้ ผลการเรียนรู้ 1.นกั เรียนสามารถอธิบายการสขุ าภบิ าลได้ 3. สาระการเรยี นรู้ 3.1 เนอื้ หาสาระหลกั : Knowledge (นักเรยี นต้องรู้อะไร) -การเล้ยี งดสู กุ รช่วงอายุต่าง ๆ -การดแู ลพ่อพนั ธ์ุ -การดูแลแม่พนั ธุ์สกุ รในชว่ งต่าง ๆ -การดแู ลสุกรเลก็ -การดแู ลสุกรรุ่น-ขุน 3.2 ทักษะ/กระบวนการ : Process (นักเรียนสามารถปฏบิ ัติอะไรได้) -การปฏิบตั ดิ ูแลสุกรทั่วไป -การปฏบิ ัตเิ ลยี้ งดสู กุ รช่วงอายตุ า่ ง ๆ -การปฏบิ ตั ดิ ูแลพ่อพนั ธ์ุ -การปฏิบัติดูแลแม่พันธสุ์ ุกรในช่วงต่าง ๆ 3.3 คณุ ลักษณะที่พึงประสงค์ : Attitude (นักเรียนควรแสดงพฤติกรรมการเรยี นอะไรบา้ ง) 1.มีวินยั 2.มคี วามรับผิดชอบ 3.ตรงตอ่ เวลา 4.มงุ่ ม่นั ในการเรยี น 4. สมรรถนะสาคัญของนกั เรยี น 4.2 ความสามารถในการคิด 4.3 ความสามารถในการแก้ปัญหา 4.4 ความสามารถในการใชท้ ักษะชวี ติ

5. คุณลักษณะของวชิ า 1.ความรับผดิ ชอบ 2.ตรงตอ่ เวลา 6. คุณลักษณะที่พึงประสงค์ 1. ซ่อื สัตยส์ จุ รติ 2. มีวินัย 3. ใฝ่เรียนรู้ 4. มงุ่ มั่นในการทาํ งาน 7. ชนิ้ งาน/ภาระงาน : - ใบกิจกรรมท่ี 1 เร่ืองการปฏิบตั ดิ ูแลพ่อและแม่พันธส์ุ ุกร - ใบงานที่ 1.1 เรือ่ ง การปฏิบตั ิดูแลพอ่ และแม่พันธส์ุ กุ ร ช้ินงาน -ใบงาน ภาระงาน -ใหน้ ักเรยี นไปศึกษาเพ่ิมเตมิ เกีย่ วกบั การปฏบิ ัติดูแลพ่อและแม่พนั ธส์ุ กุ ร 8. กจิ กรรมการเรยี นรู้: เวลาทใี่ ช้ 4 ช่ัวโมง ช่วั โมงท่ี 1-2 (ความสามารถในการวิเคราะห์/ใฝ่เรยี นร/ู้ เทคนิคการสบื ค้น) - ขนั้ นาเขา้ สู่บทเรียน/ข้ันตั้งคาถาม 1. ทกั ทายนักเรียนก่อนเรียน 2. เชด็ ช่อื นักเรียนกอ่ นเข้าสู่บทเรียน ขั้นสอน 16. ทาํ ความเข้าใจและชี้แจงสาระการเรียนรใู้ ห้นักเรยี นทราบในหน่วยการเรียนรู้เร่อื งการปฏบิ ตั ดิ แู ลพ่อและแม่ พันธุ์ของสุกร 17. ครอู ธิบายเก่ยี วกบั การเล้ียงดูสกุ รชว่ งอายุต่าง ๆให้นักเรียนเขา้ ใจ 18. ครูอธิบายให้นกั เรียนเก่ยี วกับหลักการความสาํ คัญในการดูแลพอ่ พนั ธ์แุ ละการดแู ลแม่พันธ์สุ ุกรในช่วงตา่ ง ๆ อย่างละเอียดเพอ่ื ใหน้ ักเรียนสามารถลงมือปฏบิ ัติได้อย่างถูกตอ้ ง 19. ครูมอบหมายงานให้นักเรยี นไปใบงาน เร่ือง การปฏิบตั ิดแู ลพอ่ และแม่พันธุ์ 20. ครูมอบหมายให้นักเรียนไปศึกษาค้นคว้าเพ่ิมเติมเกย่ี วการสขุ าภบิ าลของสุกร ขน้ั สรุป 21. ครแู ละนกั เรยี นรว่ มกันสรุปเน้ือหาทเ่ี รียนมา 22. ครนู ดั หมายการเรียนครง้ั ต่อไป ชว่ั โมงท่ี 2 -3 (ความสามารถในการวิเคราะห์/ใฝเ่ รยี นรู/้ ชว่ ยกันคดิ ช่วยกันเรียน) - ขั้นนาเข้าสู่บทเรียน/ขั้นต้ังคาถาม 1. ทักทายนกั เรยี นก่อนเรยี น 2. เชด็ ช่ือนักเรียนก่อนเข้าสู่บทเรียน

ข้ันสอน 1. ครแู ละนักเรียนทบทวนบทเรียนท่ีผา่ นมา 2. ครใู หน้ กั เรยี นมาแลกเปล่ียนเรยี นรเู้ น้ือหาทค่ี รูมอบหมายในสปั ดาห์ท่ีผ่านมา 3. ครูอธบิ ายเกย่ี วกบั หลักการ วิธีการ การดูแลสุกรเลก็ อยา่ งละเอียดและสาธิตในการสอนประกอบและการ ดูแลสกุ รร่นุ -ขนุ 4. ครูให้นักเรียนบนั ทึกองคค์ วามร้ลู งในสมดุ 5. ครใู หน้ กั เรียนทําใบงาน 1.2 เรือ่ งการปฏบิ ัตดิ ูแลสกุ รเลก็ สุกรรนุ่ -ขนุ ขัน้ สรปุ จานวน สภาพการใช้สอื่ 6.ครแู ละนกั เรยี นรว่ มกนั สรุปเนื้อหาท่เี รียนมา 1 ชุด ข้นั ตรวจสอบความรู้เดิม 7.ครนู ัดหมายการเรยี นครง้ั ต่อไป 30 ชดุ ตรวจหาคาํ ตอบ 30 ชุด ตรวจหาคําตอบ 9. สอ่ื การเรยี นการสอน / แหล่งเรยี นรู้ สบื ค้นข้อมูล รายการสอ่ื 1. ส่ือการเรียน 2. ใบงาน 1.1 เรือ่ ง การปฏิบัติดูแลพ่อและแม่พนั ธ์ุ 3. ใบงาน 1.2 เรอื่ งการปฏบิ ตั ดิ แู ลสุกรเลก็ สุกรรุ่น-ขุน 3.ห้องสมุด 10. การวดั ผลและประเมนิ ผล เป้าหมาย หลกั ฐานการเรียนรู้ วิธวี ดั เคร่อื งมือวัดฯ ประเดน็ / การเรียนรู้ ช้ินงาน/ภาระงาน เกณฑ์การใหค้ ะแนน เพอื่ ใหท้ ราบถึง ใบงาน ความเข้าใจ แนวทางในการ และความ -ความถกู ต้อง 1.มเี น้อื หาสาระครบถว้ นสมบูรณ์9-10 ปฏิบตั เิ ล้ียงดู การ ถกู ต้อง สขุ าภิบาล และการ คะแนน จัดการที่ถูกต้องตาม หลกั วิชาการ 2.มีเนื้อหาสาระคอ่ นข้างครบถว้ น7-8 คะแนน 3.มีเนอื้ หาสาระไม่ครบถ้วนแต่ ภาพรวมของสาระทั้งหมดอยใู่ นเกณฑ์ ปานกลาง 5-6คะแนน 4มเี นื้อหาสาระไม่ครบถ้วนแต่ภาพรวม ของสาระทัง้ หมดอยู่ในเกณฑ์ต้อง พอใช้ 4-3 คะแนน 5.มีเนอ้ื หาเพยี งเลก็ น้อยแตภ่ าพรวมของสาระ ทัง้ หมดอย่ใู นเกณฑต์ ้องปรบั ปรุง 2-1 คะแนน 6.ไมม่ เี น้ือหาเลย 0 คะแนน

11. การบูรณาการตามจุดเนน้ ของโรงเรยี น (ตัวอย่าง) หลกั ปรชั ญาเศรษฐกจิ ครู ผเู้ รยี น พอเพยี ง พอดีการดูแลสกุ ร นักเรียนมีความรู้ เกย่ี วกับการดูแลสุกรอยา่ งถูกวธิ ี 16. ความพอประมาณ พอดดี า้ นการดูแลสกุ ร รู้ถงึ สภาพภูมิอากาศทีเ่ หมาะสมในการ เลีย้ งพันธสุ์ ุกรแต่ละประเภทแตล่ ะรุ่น ดูแลสกุ รอย่างถูกวิธเี พ่ือลดค่าใชจ้ ่าย 17. ความมีเหตุผล การคานึงสภาพอากาศทจี่ ะนาพนั ธ์ุ สกุ รแต่ละรนุ่ ทสี่ ามารถมาเล้ียงได้ 18. มภี ูมิคุมกันในตัวที่ดี ภูมิปัญญา : มคี วามรู้ รอบคอบ และ ภูมปิ ญั ญา : มคี วามรู้ รอบคอบ และ 19. เง่อื นไขความรู้ ระมดั ระวัง ระมดั ระวัง สรา้ งสรรค์ 20. เงอ่ื นไขคุณธรรม ความรอบรู้ เรื่อง การดแู ลสกุ ร ความรอบรู้ เรื่อง การดแู ลสกุ ร ทเ่ี ก่ยี วข้องรอบด้าน ความรอบคอบที่ นาํ ความร้เู หลา่ นน้ั มาพจิ ารณาให้ สวนพฤกษศาสตรโ์ รงเรียน จะนาํ ความรู้เหลา่ นัน้ มาพจิ ารณาให้ เชื่อมโยงกัน สามารถประยุกต์ใชใ้ น อาหารของสุกร เชื่อมโยงกนั เพือ่ ประกอบการวางแผน ชวี ติ ประจาํ วนั การดําเนินการจัดกจิ กรรมการเรยี นรู้ - อาหารทที่ าํ จากตน้ กลว้ ย ให้กบั ผู้เรยี น มคี วามตระหนักใน คุณธรรม มี นํา้ วา้ ความซ่อื สัตยส์ จุ รติ และมีความอดทน มีความตระหนกั ใน คุณธรรม มี มคี วามเพียร ใชส้ ติปัญญาในการ ความซอ่ื สตั ยส์ จุ ริตและมีความอดทน ดําเนนิ ชวี ติ มคี วามเพียร ใช้สตปิ ัญญาในการ ดาํ เนินชีวิต ผูเ้ รียน อาหารของสุกร ครู - นักเรยี นได้ความรู้จากการนําตน้ อาหารของสกุ ร กลว้ ยมาทําเป็นอาหารสกุ ร -ใหน้ ักเรียนนาํ ตน้ กล้วยมาทาํ เปน็ อาหารสุกร สิ่งแวดล้อม ครู ผเู้ รยี น การปลกู ต้นกล้วย การปลูกตน้ กลว้ ย การปลกู ต้นกลว้ ย -ทาํ ให้เกิดความชุ่มชนื้ ในบริ -ใหน้ ักเรยี นนาตน้ กลว้ ยมาปลูก -นักเรยี นไดค้ วามรจู้ ากการปลกู กลว้ ย เวรที่ปลูก บริเวณเขตพนื้ ท่ีรับผดิ ชอบ ลงชือ่ ..................................................ผู้สอน (นายรตั นวชั ร์ เลศิ นนั ทรัตน์)

ใบกิจกรรมท่ี 1 เรื่องการปฏบิ ตั ิดแู ลพอ่ และแม่พนั ธส์ุ ุกร ใบงานที่ 1.1 เรื่อง การปฏิบตั ดิ แู ลพอ่ และแม่พนั ธุ์สุกร 1.ให้นกั เรียนอธบิ ายขัน้ ตอนในการเล้ียงดูสุกรช่วงอายุต่าง ๆมาพอเขา้ ใจ ............................................................................................................................. ................................................. ................................................................................. ............................................................................................. ............................................................................................................................. ................................................. ............................................................................................................................. ................................................. .............................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................. ................................................. 2.ให้นักเรียนบอกวธิ ีการ การดแู ลพอ่ พนั ธ์ุมาให้ถูกต้อง ............................................................................................................................. ................................................. ............................................................................................................................... ............................................... .............................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................. ................................................. ............................................................................................................................. ................................................. .............................................................................................................................................................................. 3.การดแู ลแม่พันธ์ุสุกรในช่วงตา่ ง ๆ มีข้ันตอนอย่างไรบ้างอธิบายมาเปน็ ขอ้ ๆ .............................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................. ................................................. ............................................................................................................................. ................................................. .............................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................. ................................................. ............................................................................................................................. ................................................. ช่อื -สกลุ ...............................................................................................................ชนั้ ...............เลขท.ี่ ....................

ใบงาน 1.2 เรอ่ื งการปฏิบตั ิดูแลสุกรเล็ก สุกรรุ่น-ขุน 1.ใหน้ กั เรียนบอกวธิ ีการ การดูแลสุกรเลก็ มาให้ถกู ต้อง ............................................................................................................................. ................................................. ................................................................................. ............................................................................................. ............................................................................................................................. ................................................. ............................................................................................................................. ................................................. .............................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................. ................................................. 2.การดูแลสุกรรุน่ -ขนุ มคี วามสาํ คญั อย่างไร ............................................................................................................................. ................................................. .......................................................................................................................................... .................................... .............................................................................................. ................................................................................ ............................................................................................................................. ................................................. ............................................................................................................................. ................................................. ................................................................................. ............................................................................................. ............................................................................................................................. ................................................. ............................................................................................................................. ................................................. .............................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................. ................................................. ............................................................................................................................. ................................................. ชื่อ-สกุล...............................................................................................................ช้นั ...... .........เลขที่.....................

แผนการจัดการเรียนรู้ หนว่ ยการเรยี นรู้ท่ี5เรื่องการสุขาภบิ าล แผนจดั การเรียนรู้ที่2 เรือ่ งการสขุ าภบิ าลและป้องกนั โรคสุกร รายวิชา การเล้ยี งสุกร รหัสวิชา ง.20206ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 1-3 ภาคเรียนที่ 1 ปกี ารศึกษา 2562น้าหนกั เวลาเรยี น 1.00 (นน./นก.) เวลาเรยี น 4 ช่ัวโมง/สปั ดาห์ เวลาทีใ่ ช้ในการจัดกจิ กรรมการเรียนรู้ 2 ชั่วโมง ............................................................................................................................. ............................. 1. สาระสาคัญ (ความเขา้ ใจทค่ี งทน) ผู้เลี้ยงสุกรทุกคนมีความต้องการสุกรที่มีสุขภาพดีและปราศจากโรค การที่สุกรจะมีสุขภาพดีได้นั้น ขึ้นอยู่กับการได้กินอาหารที่มีคุณภาพดี การจัดการท่ีดี การสุขาภิบาลที่ถูกต้อง และมีการป้องกันโรคท่ีดี เม่ือสุกรมี สขุ ภาพดีจะทําให้ผู้เล้ียงสามารถลดต้นทุนค่ายาและค่ารักษาลงได้ ทําให้สุกรสามารถให้ผลผลติ ได้เตม็ ความสามารถและ ทําให้ได้ผลตอบแทนสูง แต่จะทําอย่างไรผู้เลี้ยงถึงจะได้สุกรที่มีสุขภาพดี จึงเป็นส่ิงที่สําคัญมากที่ผู้เลี้ยงต้องทําความ เขา้ ใจและปฏิบตั ติ ่อสุกรอยา่ งถกู ตอ้ งดว้ ย 2. มาตรฐานการเรยี นร/ู้ ตัวช้ีวดั ชน้ั ป/ี ผลการเรียนร/ู้ เปา้ หมายการเรียนรู้ ผลการเรียนรู้ 1.นกั เรียนสามารถอธิบายการสุขาภิบาลได้ 3. สาระการเรยี นรู้ 3.1 เน้ือหาสาระหลัก : Knowledge (นกั เรยี นตอ้ งรู้อะไร) -การสุขาภิบาลและป้องกันโรคสกุ ร 3.2 ทกั ษะ/กระบวนการ : Process (นกั เรยี นสามารถปฏบิ ตั อิ ะไรได้) -การปฏิบตั สิ ุขาภิบาลและป้องกนั โรคสุกร 3.3 คณุ ลักษณะทพี่ ึงประสงค์ : Attitude (นกั เรียนควรแสดงพฤติกรรมการเรยี นอะไรบา้ ง) 1.มวี นิ ัย 2.มคี วามรบั ผิดชอบ 3.ตรงตอ่ เวลา 4.มงุ่ มน่ั ในการเรยี น 4. สมรรถนะสาคัญของนกั เรียน 4.2 ความสามารถในการคิด 4.3 ความสามารถในการแกป้ ัญหา 4.4 ความสามารถในการใชท้ ักษะชีวติ 5. คุณลักษณะของวิชา 1.ความรับผดิ ชอบ 2.ตรงตอ่ เวลา 6. คณุ ลักษณะที่พงึ ประสงค์ 1. ซ่ือสัตยส์ จุ ริต 2. มีวนิ ยั 3. ใฝเ่ รยี นรู้ 4. ม่งุ ม่นั ในการทาํ งาน 7. ช้นิ งาน/ภาระงาน : - ใบกิจกรรมท่ี 2 เร่อื งการสุขาภบิ าลและป้องกนั โรคสกุ ร - ใบงานที่ 2.1 เรอ่ื ง การสุขาภบิ าลและปอ้ งกันโรคสุกร

ช้ินงาน -ใบงาน ภาระงาน -ให้นักเรียนไปศึกษาเพ่ิมเตมิ เก่ยี วกับการสุขาภบิ าลและป้องกนั โรคสุกร 8. กิจกรรมการเรียนรู้: เวลาท่ใี ช้ 2 ชัว่ โมง ช่วั โมงที่ 1-2 (ความสามารถในการวเิ คราะห/์ ใฝ่เรยี นรู้/เทคนิคการสืบค้น) - ขัน้ นาเขา้ สบู่ ทเรียน/ข้ันต้ังคาถาม 1. ทกั ทายนกั เรียนก่อนเรยี น 2. เช็ดชอื่ นักเรียนก่อนเขา้ สู่บทเรียน ขั้นสอน 23. ทําความเข้าใจและชแี้ จงสาระการเรยี นรู้ให้นกั เรยี นทราบในหนว่ ยการเรียนรู้เรื่องการสุขาภบิ าลและป้องกนั โรคสุกร 24. ครอู ธิบายเกี่ยวกบั การสขุ าภิบาลและปอ้ งกันโรคสกุ ร 25. ครอู ธบิ ายให้นักเรยี นเกย่ี วกับหลักการความสาํ คญั ในการดูการสขุ าภิบาลและป้องกันโรคสกุ ร อย่างละเอียด เพ่ือใหน้ ักเรยี นสามารถลงมือปฏิบัติไดอ้ ย่างถูกตอ้ ง 26. ครมู อบหมายงานใหน้ ักเรียนไปใบงาน เร่อื ง การสขุ าภิบาลและป้องกนั โรคสกุ ร 27. ครูมอบหมายให้นักเรียนไปศึกษาค้นควา้ เพิ่มเตมิ เก่ยี วการสุขาภบิ าลและปอ้ งกนั โรคสกุ ร ขั้นสรปุ 28. ครูและนกั เรยี นรว่ มกนั สรปุ เน้ือหาท่ีเรยี นมา 29. ครนู ดั หมายการเรียนครั้งต่อไป 9. สือ่ การเรียนการสอน / แหลง่ เรยี นรู้ จานวน สภาพการใชส้ อื่ รายการส่ือ 1 ชดุ ขัน้ ตรวจสอบความรูเ้ ดิม 30 ชุด ตรวจหาคาํ ตอบ 1. สอื่ การเรียน สืบคน้ ขอ้ มลู 2. ใบงาน 2.1 เรื่อง การสุขาภบิ าลและปอ้ งกันโรคสกุ ร 3.ห้องสมุด

10. การวดั ผลและประเมินผล เป้าหมาย หลกั ฐานการเรยี นรู้ วิธวี ัด เครื่องมอื วัดฯ ประเด็น/ การเรยี นรู้ ช้ินงาน/ภาระงาน เกณฑ์การให้คะแนน ความเข้าใจ เพอ่ื ให้ทราบถึง ใบงาน และความ -ความถูกต้อง 1.มเี นอ้ื หาสาระครบถว้ นสมบูรณ์9-10 แนวทางในการ ถกู ต้อง ปฏิบัติเลย้ี งดู การ คะแนน สุขาภิบาล และการ 2.มเี นอื้ หาสาระคอ่ นข้างครบถว้ น7-8 จดั การทถี่ ูกต้องตาม หลักวิชาการ คะแนน 3.มเี นือ้ หาสาระไม่ครบถว้ นแต่ ภาพรวมของสาระท้ังหมดอยู่ในเกณฑ์ ปานกลาง 5-6คะแนน 4มเี น้ือหาสาระไม่ครบถ้วนแต่ภาพรวม ของสาระทง้ั หมดอยู่ในเกณฑ์ต้อง พอใช้ 4-3 คะแนน 5.มเี นื้อหาเพยี งเล็กน้อยแตภ่ าพรวมของสาระ ทัง้ หมดอยู่ในเกณฑ์ต้องปรบั ปรงุ 2-1 คะแนน 6.ไมม่ เี นื้อหาเลย 0 คะแนน 11. การบรู ณาการตามจุดเนน้ ของโรงเรยี น (ตวั อยา่ ง) หลกั ปรชั ญาเศรษฐกจิ ครู ผ้เู รียน พอเพยี ง พอดีการดแู ลสกุ ร นักเรยี นมคี วามรู้ เกีย่ วกบั การดแู ลสุกรอย่างถูกวธิ ี 21. ความพอประมาณ พอดีดา้ นการดแู ลสกุ ร ร้ถู ึงสภาพภมู ิอากาศทีเ่ หมาะสมในการเลย้ี ง 22. ความมเี หตุผล ดแู ลสกุ รอยา่ งถูกวิธเี พ่อื ลดคา่ ใช้จา่ ย พนั ธุส์ กุ รแตล่ ะประเภทแตล่ ะรุน่ การคานึงสภาพอากาศทจี่ ะนาพันธุ์สกุ รแต่ ละรุ่นทสี่ ามารถมาเล้ยี งได้ 23. มภี ูมิคมุ กันในตัวทดี่ ี ภมู ปิ ญั ญา : มคี วามรู้ รอบคอบ และ ภมู ปิ ญั ญา : มีความรู้ รอบคอบ และ 24. เง่อื นไขความรู้ ระมัดระวงั ระมัดระวัง สร้างสรรค์ 25. เงอื่ นไขคณุ ธรรม ความรอบรู้ เรอ่ื ง การดแู ลสกุ ร ความรอบรู้ เรื่อง การดูแลสกุ ร สวนพฤกษศาสตร์โรงเรยี น ท่ีเกยี่ วข้องรอบด้าน ความรอบคอบท่จี ะนํา นาํ ความรู้เหล่านน้ั มาพิจารณาให้เช่ือมโยง ความรูเ้ หล่านัน้ มาพจิ ารณาให้เชอ่ื มโยงกนั กนั สามารถประยกุ ตใ์ ช้ในชีวติ ประจาํ วนั เพอ่ื ประกอบการวางแผน การดําเนินการจดั กจิ กรรมการเรียนร้ใู หก้ บั ผ้เู รียน มคี วามตระหนกั ใน คณุ ธรรม มีความ มคี วามตระหนักใน คณุ ธรรม มีความ ซ่ือสัตยส์ จุ รติ และมีความอดทน มคี วามเพยี ร ซอ่ื สัตยส์ ุจรติ และมคี วามอดทน มคี วามเพยี ร ใช้สติปัญญาในการดาํ เนนิ ชีวติ ใช้สตปิ ญั ญาในการดําเนินชวี ิต ครู ผเู้ รียน

อาหารของสุกร อาหารของสกุ ร อาหารของสุกร - อาหารทที่ ําจากตน้ กลว้ ยนา้ํ วา้ -ใหน้ ักเรียนนาํ ต้นกล้วยมาทําเปน็ อาหาร - นกั เรียนได้ความร้จู ากการนําตน้ กล้วยมา สกุ ร ทาํ เปน็ อาหารสุกร สิง่ แวดล้อม ครู ผ้เู รียน การปลูกตน้ กล้วย การปลกู ตน้ กล้วย การปลกู ตน้ กลว้ ย -ทําใหเ้ กดิ ความชมุ่ ชน้ื ในบรเิ วณท่ี -ใหน้ ักเรยี นนาต้นกลว้ ยมาปลกู บริเวณเขต -นกั เรียนไดค้ วามรจู้ ากการปลูกกล้วย ปลกู พื้นทร่ี บั ผิดชอบ ลงชื่อ..................................................ผสู้ อน (นายรตั นวชั ร์ เลิศนันทรตั น)์

ใบกิจกรรมท่ี 2 เรอื่ งการสขุ าภบิ าลและป้องกนั โรคสกุ ร ใบงานท่ี 2.1 เรื่อง การสขุ าภิบาลและป้องกันโรคสกุ ร 1.การสขุ าภบิ าลและป้องกนั โรคสกุ ร มวี ิธีการทําอยา่ งไรบ้างใหน้ ักเรยี นอธิบายตามท่ีได้ลงมือปฏิบตั ิมาเป็นขน้ั ตอนให้ ชดั เจน ............................................................................................................................. ................................................. ................................................................................. ............................................................................................. ............................................................................................................................. ................................................. ............................................................................................................................. ................................................. .............................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................. ................................................. ............................................................................................................................. ................................................. .............................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................. ................................................. ............................................................................................................................. ................................................. ...................................................................................................................................................................... ........ .......................................................................................................................... .................................................... ............................................................................................................................. ................................................. ......................................................................................................................................................... ..................... ............................................................................................................. ................................................................. ............................................................................................................................. ................................................. ............................................................................................................................................ .................................. ................................................................................................ .............................................................................. ............................................................................................................................. ................................................. ............................................................................................................................... ............................................... .............................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................. ................................................. ............................................................................................................................. ................................................. .............................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................. ................................................. ............................................................................................................................. ................................................. ชอื่ -สกลุ ...............................................................................................................ชัน้ ...............เลขท่ี.....................

ใบความรู้ที่ 5 เรื่องการสุขาภิบาลสุกร การสุขาภิบาลและโรคสกุ ร ผู้เล้ียงสุกรทุกคนมีความต้องการสุกรที่มีสุขภาพดแี ละปราศจากโรค การทส่ี ุกรจะมีสุขภาพดไี ด้น้ันข้ึนอยู่กับการ ได้กินอาหารท่ีมีคุณภาพดี การจัดการที่ดี การสุขาภิบาลที่ถูกต้อง และมีการป้องกันโรคที่ดี เม่ือสุกรมีสุขภาพดีจะทํา ให้ผู้เล้ียงสามารถลดต้นทุนค่ายาและค่ารักษาลงได้ ทําให้สุกรสามารถให้ผลผลิตได้เต็มความสามารถและทําให้ได้ ผลตอบแทนสูง แต่จะทําอย่างไรผู้เลี้ยงถึงจะได้สุกรที่มีสุขภาพดี จึงเป็นสิ่งที่สําคัญมากที่ผู้เล้ียงต้องทําความเข้าใจและ ปฏบิ ัตติ ่อสกุ รอย่างถูกต้องด้วย 1. ปจั จัยทม่ี ีผลตอ่ สุขภาพสุกร การท่ีสกุ รมีสขุ ภาพขนึ้ อยกู่ บั ปัจจัยต่างๆ ดงั น้ี 1.1 อากาศและการถ่ายเทอากาศ สกุ รชอบอากาศเยน็ สบายและมีการถา่ ยเทอากาศดีซึง่ จะ ทาํ ใหส้ ุกรอยู่อย่างสขุ สบายและมสี ขุ ภาพดี 1.2 ความชืน้ ถ้าบริเวณท่มี ีความช้ืนสูงเกนิ ไปมกั เปน็ แหล่งสะสมเชอื้ โรค ซง่ึ จะเปน็ อันตรายต่อสุกรและถ้าความช้ืนเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอก็จะทําให้สุกรไม่สบาย ดังน้ันปริมาณความช้ืนควรที่จะพอเหมาะ ไมส่ ูงหรือํตา่ จนเกนิ ไป 1.3 อาหาร อาหารทใี่ ชเ้ ลี้ยงสกุ รควรเปน็ อาหารทมี่ ีคุณภาพดี ให้สารอาหารเพยี งพอกับ ความตอ้ งการของสุกร และสุกรสามารถนาํ ไปใช้ประโยชน์ไดอ้ ย่างเต็มท่ี ทําใหส้ ุกรมสี ขุ ภาพสมบรู ณแ์ ขง็ แรง 1.4 คอกและโรงเรอื น คอกและโรงเรอื นเปน็ สถานทีท่ ่ีจาํ เปน็ เพ่อื ใหส้ ุกรได้พักอาศัยและ ป้องกันศัตรูท่ีจะมารบกวน ดังนั้นคอกและโรงเรือนควรท่ีจะแข็งแรงและสะอาด ไม่เป็นแหล่งสะสมโรค มีการถ่ายเท อากาศดี ทําใหส้ กุ รอย่อู ยา่ งสขุ สบายและมสี ุขภาพ 2. สาเหตทุ ่เี กิดจากเช้ือโรคทที่ ําใหส้ กุ รปว่ ย สาเหตขุ องเชอื้ โรคทท่ี าํ ให้สกุ รเป็นโรคนั้นสาํ คญั มาก เพราะเป็นสาเหตุที่ทาํ ใหส้ ุกรตายได้มากกว่า สาเหตุอน่ื ๆ สาเหตุเช้อื โรคทที่ าํ ใหเ้ กดิ โรคแก่สุกรไดแ้ ก่ 2.1 เชอ้ื ไวรัส ส่วนมากไม่มียารกั ษาและมักเปน็ ปัญหาของโรคระบาดในสุกร เชน่ โรค อหิวาต์สุกร โรคปากและเท้าเป่ือย โรคพิษสุนัขบ้าเทียม โรคพาโวไวรัส โรคทีจีอี โรคฝีดาษ โรคลําไส้อักเสบติดต่อ เปน็ ต้น 2.2 เชื้อแบคทเี รีย สว่ นมากใชย้ ารักษาไดแ้ ละมักพบเป็นปัญหาในการเลีย้ งสุกร เช่น โรค ขอ้ บวมในลูกสุกร โรคมดลูกอักเสบ โรคเต้านมอักเสบ โรคบาดทะยัก โรคติดเชื้อทางระบบหายใจ โรคท้องเสีย เป็น ต้น ส่วนโรคทีเ่ ป็นปัญหาของโรคระบาดในสกุ ร เช่น โรคแทง้ ติดต่อ โรคโพรงจมูกอกั เสบติดต่อ โรคไฟลามทุ่ง โรคซัล โมเนลโลซีส เป็นต้น 2.3 เช้ือมายโคพลาสมา ยาสามารถรักษาได้ มักพบเป็นปญั หาของโรคทางระบบหายใจ เชน่ โรคปอดบวม โรคเอนซูติกนวิ โมเนีย เป็นต้น 2.4 เชือ้ โปรโตซวั ยาสามารถรกั ษาได้และมกั พบเปน็ ปญั หาของโรคทางเดินอาหาร (ท้อง เสีย) เช่น โรคทอ็ กโซพลาสโมซสี เป็นต้น

2.5 เชอ้ื สไปโรซีส ยาสามารถรักษาไดแ้ ละมักพบเป็นปัญหากับระบบสืบพนั ธุ์ และทาง เดินอาหาร เช่น โรคเลป็ โตสไปโรซสี เป็นตน้ 2.6 เช้อื รา สร้างสารพษิ ทเ่ี ป็นอนั ตรายตอ่ สุกร ซ่งึ สารพษิ น้ไี มม่ ยี าทาํ ลายได้ เช่น เชอ้ื รา ชนดิ แอสเปอจิลลัสเฟลวัสสรา้ งสารพษิ อะฟลาทอ็ กซิน ทาํ ให้เกิดโรคแอสเปอจิลโลซีส เป็นต้น 2.7 พยาธิภายในและภายนอก ยาสามารถรักษาได้ เช่น พยาธติ ัวกลม พยาธิตวั แบน พยาธิ ตวั ตืด เหา ไร เป็นต้น เมื่อเชือ้ โรคทงั้ 7 กลมุ่ น้ีผา่ นเขา้ สรู่ ่างกายสุกร ซ่ึงอาจโดยทางบาดแผลท่ผี ิวหนัง หรือทางเดนิ หายใจหรือผนังทางเดินอาหาร หรือรูเปิดธรรมชาติของร่างกาย เช่น เย่ือบุ ตา หู จมูก และปาก เป็นต้น ร่างกาย สุกรพยายามฆ่าหรือทําลายเช้ือโรคเหล่านี้โดยอาศัยระบบต่อต้านของร่างกาย และถ้าเช้ือโรคสามารถหนีพ้นระบบ ต่อต้านและกาํ จดั เช้ือโรคของร่างกายสกุ รได้ เชอื้ โรคก็จะเคลื่อนเขา้ สกู่ ระแสเลือด ซึ่งเรียกสภาวะน้ีวา่ “โลหติ เป็นพิษ” อาการที่พบได้ในสุกรปว่ ย คือ ไข้สงู เจ็บปวด ไม่กนิ อาหาร และอ่อนแอ เป็นตน้ 3. การตรวจสขุ ภาพสุกร การตรวจสุขภาพสุกรเป็นหน้าทป่ี ระจาํ วันของผู้เลี้ยงที่จะต้องหม่ันสังเกตหรอื ดูแลอาการผิดปกติต่างๆ ของสุกร อย่างน้อยวนั ละ 2 ครง้ั ในตอนเช้าและเยน็ โดยการดดู ว้ ยตาเปลา่ หรอื โดยการสมั ผสั ลบู คลําและเคาะฟังเสียงจากส่วน ต่างๆ ของร่างกาย เพ่ือประกอบการวินิจฉัยว่าสุกรน้ันป่วยหรือไม่ ถ้าไม่ป่วยก็จะได้ประหยัดค่ายาค่ารักษาและลด ปัญหาการด้ือยาของเช้ือโรคท่ีจะเกิดข้ึนในภายหน้า ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนได้อีกด้วย การตรวจสุขภาพสุกรเพ่ือ ประกอบการวินิจฉัยโรคเบื้องต้นนั้นเป็นส่ิงไม่ยาก ผูเ้ ลีย้ งควรให้ความสนใจ ศึกษาหาความรูแ้ ละประสบการณ์ รวมท้ัง ต้องเป็นคนช่างสังเกต เพ่ือหาสิง่ ผิดปกตมิ าประกอบกัน โดยการวนิ ิจฉยั โรคว่าสุกรปว่ ยด้วยโรคทางระบบใดของร่างกาย เช่น โรคทางระบบหายใจ ระบบสืบพันธุ์ ระบบทางเดินอาหาร เป็นต้น ซ่ึงจะช่วยให้สามารถเลือกยารักษาโรคได้ ถูกต้อง การตรวจสุขภาพของสุกร โดยเร่ิมต้นการสังเกตจากอาการของสุกรที่ผิดปกติไปจากธรรมดา เช่น ท่าทางการ ยืน เดิน นอน อารมณ์ท่ีดุร้ายหรือต่ืนเต้นตกใจ อาการ ํน้าลายไหลฟูมปาก กัดขากรรไกรแน่น หรืออาการทาง ประสาท เช่น กลา้ มเน้ือเกรง็ แข็งหรอื ชักกระตุก ตลอดจนการกระสับกระส่ายอยู่ไม่เปน็ สุขและเดินหมนุ เวียนไปข้างใด ขา้ งหนึ่ง สุขภาพของสกุ รปกติ สุกรที่มสี ขุ ภาพปกตจิ ะมอี าการดังนี้ 1) การหายใจ สงั เกตได้จากการเคลอื่ นท่ีขนึ้ ลงของทรวงอกอยา่ งสํม่าเสมอ (การเคล่อื น ท่ีขึ้นและลงของทรวงอกนับเป็น 1 คร้ัง) และอัตราการหายใจปกติของสุกรคือ 8-13 ครั้งต่อนาที อัตราการหายใจ อาจเพิ่มขึ้นกว่าปกติเล็กน้อย ถ้าสภาพอากาศร้อนหรือสภาพโรงเรือนอับช้ืน สาเหตุเน่ืองจากสุกรต้องการการระบาย ความร้อนออกจากร่างกาย ทางลมหายใจให้มากขึ้นหรือสุกรต้องการอากาศหายใจมากข้ึน เน่ืองจากสภาพแวดล้อมมี การถา่ ยเทอากาศไดน้ อ้ ย 2) การเตน้ ของหัวใจ โดยการจบั ชีพจรทเี่ สน้ เลอื ดแดงบริเวณใตข้ ากรรไกรลา่ ง ซึ่งอัตรา การเต้นของหัวใจหรือชีพจรปกติของสุกรคอื 60-80 ครั้งตอ่ นาที ไขส้ ูง เจบ็ ปวด ไม่กินอาหารและออ่ นแอ เปน็ ต้น 3) อุณหภูมขิ องร่างกายสุกร โดยใช้ปรอทวดั ไขส้ อดเขา้ ทร่ี ูทวารหนัก (กอ่ นสอดปรอท วัดไข้เข้ารูทวารหนักจะต้องสะบัดให้ปรอทไหลลงไปในส่วนกะเปาะก่อน) โดยสอดปรอทวัดไข้เข้าให้ลึก 1½-2 นิ้ว ให้ ปลายของปรอทวัดไข้แตะกับผนังของลําไส้ใหญ่ นานประมาณ 1 นาทีแล้วดึงออกมาอ่านค่า ซ่ึงอุณหภูมิของร่างกาย

สุกรปกติคือ 102-103 องศาฟาเรนไฮต์ ถ้าสภาพอากาศแวดล้อมร้อนอาจมีผลต่ออุณหภูมิของร่างกายสุกรปกติ คือ สามารถทําให้อุณหภูมิของร่างกายสุกรสูงข้ึนกว่าปกติ นอกจากนี้ยังมีผลทําให้อัตราการหายใจเพ่ิมมากขึ้นกว่าปกติ ซึ่ง อาจเป็นสาเหตุทําให้สุกรเจ็บป่วยได้ง่ายขึ้นหรือช็อคตายในกรณีที่ระบบการควบคุมอุณหภูมิของร่างกายสุกรเสียไป มัก พบเสมอในสกุ รท่ีโตเรว็ หรอื ตะโพกใหญ่ 4) การสบื พนั ธ์ุ ระบบสบื พนั ธ์เุ ปน็ ระบบที่สําคัญและมีผลต่อตน้ ทนุ การเล้ยี งสกุ ร ระบบ สืบพันธุ์ของสุกรเพศเมียเร่ิมสมบรู ณพ์ ันธุ์เม่อื อายุ 4-9 เดือน ชว่ งระยะเวลาการแสดงอาการเป็นสัด 2-3 วัน ไขใ่ นรัง ไข่สุกและตกไข่ภายหลังจากเริ่มแสดงอาการเป็นสัดแล้วนาน 24-36 ช่ัวโมง วงรอบของการเป็นสัดเฉล่ีย 21 วัน (14-26 วัน) ระยะเวลาเป็นสัดหลังคลอด 7-15 วัน ภายหลังหย่านมระยะเวลาการอุ้มท้องประมาณ 114 วัน (110-116 วนั ) 5) เย่ือตาและเหงือก สกุ รมีสุขภาพดีเมอื่ เปิดดทู ่ีเยือ่ ตาและเหงอื กตอ้ งมีสชี มพูอ่อน 6) ลูกตา ปกติลูกตาจะใสวาวสนใจและต่ืนเต้นกับสภาพแวดล้อมท่เี ปลี่ยนแปลง 7) จมูก สุกรที่มสี ขุ ภาพดี บรเิ วณปลายจมกู จะชื้นอยูต่ ลอดเวลา 8) ผวิ หนงั และขนจะดเู รยี บเป็นเงามัน 9) การขบั ถา่ ยอจุ จาระ อุจจาระมลี ักษณะไม่แขง็ เป็นกอ้ นหรือเปน็ เม็ดหรอื เป็นํน้าเหลว และสีของอุจจาระมสี ีเขยี วแกห่ รือสีดํา ขึน้ อยูก่ ับอาหารที่สกุ รกนิ เขา้ ไป 10) การขบั ถ่ายปสั สาวะ ปัสสาวะมสี เี หลืองออ่ นหรอื ไมม่ สี แี ละใส 11) การกินอาหาร สกุ รแสดงอาการกระวนกระวายทีจ่ ะไดก้ ินอาหาร 12) การกนิ ํนา้ สุกรกินํน้าตลอดเวลา โดยเฉพาะสกุ รทเี่ ล้ยี งลูกหรืออยูใ่ นระยะให้นมต้อง การํนา้ มากข้ึนกวา่ ปกติ 13) ความสนใจกับสภาพแวดลอ้ ม สุกรทม่ี ีสขุ ภาพดจี ะสนใจหรือตกใจง่ายหรือต่นื เตน้ กับสภาพแวดลอ้ มที่เปล่ยี นแปลงไปอย่างรวดเร็ว สุขภาพของสุกรปว่ ย สกุ รป่วยหรอื สกุ รสขุ ภาพไม่สมบรู ณ์ จะแสดงอาการดงั น้ี 1) การกินอาหาร สกุ รปว่ ยจะกนิ อาหารนอ้ ยลงหรอื ไมส่ นใจที่จะกนิ อาหาร 2) อุณหภูมขิ องรา่ งกาย สุกรปว่ ยอุณหภมู ิของร่างกายจะสูงกวา่ 103 องศาฟาเรนไฮต์ เรยี กว่า มไี ข้ สาเหตเุ นื่องจากเชอ้ื โรคไปรบกวนการควบคุมอณุ หภูมิของรา่ งกาย 3) ความสนใจกับสภาพแวดลอ้ ม สุกรปว่ ยแสดงอาการซึม ไม่สนใจต่อสภาพแวดล้อมท่ี เปล่ียนแปลงหรอื เสียงเคาะเรียก 4) จมูก บรเิ วณปลายจมูกของสุกรปว่ ยจะแห้ง อาจพบํน้ามกู ใสหรอื ข่นุ เขียวแลว้ แตช่ นิด ของเชื้อโรค 5) ไอหรือจาม สกุ รป่วยด้วยโรคตดิ เช้ือทางระบบหายใจ มีอาการไอหรอื จาม 6) ผิวหนงั และขน สกุ รปว่ ยมีผิวหนงั ซดี ขาวและขนหยาบยาวไมเ่ ป็นมันหรือเป็นแผลหรือ มฝี ีหรอื ต่มุ แดงที่ผวิ หนงั 7) เย่อื ตาและเหงือก มีสีชมพูเขม้ หรือแดงเมอื่ สัตว์ป่วยมีไข้ หรือมสี ขี าวซีด เมือ่ สุกรปว่ ย เป็นโรคโลหิตจางหรอื โรคพยาธิภายในหรอื มเี ลอื ดตกภายในช่องท้องหรือช่องอกหรือมีพาราไซดใ์ นเลอื ด เปน็ ตน้ 8) การกินํน้า สุกรป่วยกินํนา้ นอ้ ยลงและถ้าสกุ รไม่สนใจทจ่ี ะกนิ ํนา้ เลย แสดงวา่ สกุ รป่วย

หนกั หรอื ใกลต้ าย 9) การหายใจ อัตราการหายใจของสุกรปว่ ยอาจเพมิ่ มากขึ้นหรือนอ้ ยลงกว่าปกติและการ หายใจขนึ้ ลงของทรวงอกจะไม่สํมา่ เสมอ สาเหตสุ ว่ นมากเนือ่ งมาจากการตดิ เชือ้ โรคทางระบบหายใจหรือโรคหัวใจ 10) การเต้นของหัวใจ อัตราการเตน้ ของหวั ใจของสุกรป่วยอาจเรว็ หรอื ช้ากวา่ ปกติ สาเหตุ อาจเน่อื งมาจากโรคโลหติ เป็นพษิ โรคติดเช้ือทางระบบหายใจ โรคหวั ใจ หรอื มเี ลอื ดตกในช่องทอ้ งหรอื ชอ่ งอกก็ได้ 11) การขบั ถ่ายอจุ จาระ อจุ จาระของสกุ รป่วยมักมีลักษณะแข็งเปน็ เม็ด หรอื เหลวเปน็ ํน้า หรือมเี ลือดหรอื มกู เลอื ดปนออกมา 12) การขบั ถา่ ยปัสสาวะ ปัสสาวะของสุกรปว่ ยมักมลี ักษณะขุ่นหรือมเี ลอื ดปนหรือมีสี เหลืองเข้มขนึ้ 13) การเจรญิ เตบิ โต สุกรป่วยจะโตช้า ผอม ซึง่ สาเหตทุ พ่ี บเปน็ ปัญหามากคือ โรคพยาธิ ภายในและภายนอก หรือโรคลําไส้อักเสบเรื้อรัง หรอื โรคปอดเร้ือรัง 14) การสบื พันธ์ุ สกุ รเพศเมยี และเพศผเู้ ม่อื มีอายุอยใู่ นชว่ งสมบูรณพ์ ันธ์แุ ต่ไม่แสดงอาการ หรือลักษณะของเพศหรือความตอ้ งการทางเพศออกมาให้เห็น 15) การคลอดลกู สกุ รตง้ั ท้องและถึงกาํ หนดคลอด แต่ไม่มกี ารคลอดเกดิ ขนึ้ (ท้องเทยี ม) หรือระยะเวลาการคลอดนานกวา่ ปกติ หรือการคลอดท่ีผดิ ปกติ เนื่องจากเชิงกรานแคบ หรือลกู ตัวโตเกนิ ไป หรอื ช่อง คลอดไม่เปิด หรือมดลกู ไม่มแี รงบีบตัว 16) เต้านม สกุ รปว่ ยด้วยโรคเต้านมอักเสบ พบเต้านมบวมแดงรอ้ นและแขง็ (ไมน่ ุ่ม) 17) ช่องคลอด ภายหลังการผสมพันธุ์หรือคลอดลกู ทม่ี กี ารจัดการไมส่ ะอาดจะพบหนองสี ครมี หรอื เขียวไหลออกมาจากช่องคลอด 18) การเดินและทา่ เดนิ จะผดิ ปกติเมื่อสุกรปว่ ยดว้ ยโรคทางระบบประสาท เชน่ เดนิ เป็น วงกลมหรอื เดนิ แขง็ เกรง็ เพราะเป็นโรคบาดทะยกั เป็นต้น 4. อาการปว่ ยของสกุ รที่ตรวจพบได้จากการติดเช้อื โรคของระบบต่างๆ อาการปว่ ยของสกุ รท่ีตรวจพบไดจ้ ากการตดิ เชอ้ื โรคของระบบต่างๆ ดงั นี้ 4.1 โรคติดเชอื้ ทางระบบหายใจ อาการที่ตรวจพบได้ คอื สกุ รมไี ข้สงู เย่อื ตาแดง ซมึ เบ่ืออาหารหรือไม่กินอาหาร ไอ จาม หายใจลําบากหรือหายใจแรงหรือหอบ ํน้ามูกไหลและมีขี้ตา สําหรับยาท่ีให้ผล ต่อโรคติดเช้ือระบบหายใจท่ีเกิดจากเช้ือแบคทีเรีย ได้แก่ ยาปฏิชีวนะ ตัวอย่างเช่น ยาเพ็นนิซิลิน ยาอีริโทรมัยซิน ยาไทโลซิน และยากลุ่มเตตร้าไซคลิน เป็นต้น และยากลุ่มซัลฟาและถ้ามีไข้สูงก็ควรให้ยาลดไข้ร่วมด้วย ตัวอย่างเช่น ยาพาราเซท็ ทามอน ยาโนวายิน เปน็ ต้น 4.2 โรคติดเชอ้ื ทางระบบทางเดนิ อาหาร อาการทีส่ ามารถตรวจพบไดค้ ือ มไี ข้สูง อุจจาระเหลวเป็นํน้า มีสีเหลืองหรือแดงหรือํน้าตาลหรือมีมูกเลือดปนออกมาด้วย ถ้าไม่รีบทําการรักษาสุกรป่วยจะมี อาการ ผิวหนังแห้ง ขนหยาบไม่เปน็ มนั ซึม และเบ่ืออาหาร สําหรับยาท่ใี หผ้ ลตอ่ โรคติดเชื้อทางระบบทางเดนิ อาหารท่ี เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย ได้แก่ ยาปฏิชีวนะ ตัวอย่างเช่น ยาสเตร็ปโตมัยซิน ยาคลอแรมเฟนนิคอน และยานีโอมัยซิน

เป็นต้น ยากลมุ่ ซัลฟาและยาสังเคราะห์ในกลุ่มไนโตรฟูราโซนและถ้าสุกรสูญเสียํน้า มากก็ควรใหํ้น้าเกลือโดยการฉีดเข้า เสน้ เลอื ด 4.3 โรคติดเช้ือทางระบบสบื พันธ์ุ อาการท่ตี รวจพบไดค้ อื มไี ข้ซึม เบอ่ื อาหาร หนอง ไหลจากช่องคลอด เต้านมบวมแดงร้อนและแข็ง ในกรณสี กุ รทอ้ งพบวา่ จะทําให้แท้งลูก สําหรบั ยาที่ให้ผลตอ่ โรคตดิ เช้ือ ทางระบบสืบพันธ์ุที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย ได้แก่ ยาปฏิชีวนะ ตัวอย่างเช่น ยาเพ็นนิซิลิน ยาลิวโอซิลิน ยาคลอแรม เฟนนคิ อล และยากลุ่มเตตร้าไซคลิน เป็นตน้ และยากลุ่มซัลฟา 4.4 โรคติดเชื้อทางระบบประสาท อาการท่สี ามารถตรวจพบไดค้ อื ไขส้ ูง ท่าเดินแข็ง ผดิ ปกติ ตัวสั่นจนกนิ อาหารไมไ่ ด้ เดินไมส่ ัมพันธ์กันขาเกร็งและชัก สําหรบั ยาที่ให้ผลต่อโรคติดเช้อื ทางระบบประสาทที่ เกดิ จากเชือ้ แบคทีเรยี เช่น โรคบาดทะยัก ยาปฏชิ วี นะทใ่ี ช้รกั ษาคอื ยาเพ็นนิซิลิน ยาแอนตี้ทอ็ กซิน 4.5 โรคติดเชอ้ื ทางระบบขบั ถา่ ยปสั สาวะ อาการทตี่ รวจพบได้คอื มีไข้ ปสั สาวะข่นุ ขาว หรือมีสีแดงหรือสีํน้าตาลแดง อาจพบอาการซึมและเบื่ออาหารด้วย สําหรับยาที่ให้ผลต่อโรคติดเชื้อทางระบบขับถ่าย ปสั สาวะทีเ่ กิดจากเช้อื แบคทเี รียน้นั ส่วนมากนิยมใช้ยากลุ่มซลั ฟา สําหรับอาการที่กล่าวมาท้ัง 5 ระบบเป็นเพียงอาการของโรคซ่ึงอาจพบเพียงอาการใดอาการหนึ่งเท่าน้ันไม่ จาํ เปน็ ต้องพบทั้งหมด ดงั น้นั ถา้ สุกรแสดงอาการป่วยดงั ทีก่ ล่าวมาแลว้ สามารถรกั ษาได้ดังน้ี 5 การดแู ลรกั ษาและการช่วยสกุ รป่วย ผเู้ ลย้ี งสุกรสามารถจะชว่ ยใหส้ กุ รปว่ ยคืนจากโรคได้โดย 1. ใหส้ ุกรปว่ ยอย่ใู นคอกทสี่ ะอาด อบอนุ่ และแห้ง 2. ให้อาหารทม่ี ีคุณค่าของโปรตีนสงู ถา้ สุกรไมก่ ินอาหาร ควรใหย้ ากระตุน้ การกินอาหาร เช่น วิตามนิ บี12 ฯลฯ และถ้าร่างกายสูญเสียํน้ามาก เน่อื งจากขไี้ หลหรืออาเจียน ควรใหํ้นา้ เกลอื แกส่ กุ รป่วย 3. ใชย้ ารกั ษาใหต้ รงกบั โรคและปรมิ าณถูกต้องตามทีแ่ นะนํา 4. สุกรท่ปี ่วยเนือ่ งจากได้รับเช้อื โรคไวรัส ส่วนใหญ่ไม่มยี าฆา่ เชื้อ เพราะเช้อื มขี นาดเลก็ และอาศัยอยู่ในเซลล์ของร่างกายสัตว์ สัตว์ป่วยด้วยเชื้อไวรัสจะฟื้นจากโรคได้ก็โดยอาศัยระบบต่อต้านของร่างกายและ ควรใหย้ าปฏชิ วี นะหรอื ยาซัลโฟนามาย หรือยาสงั เคราะหเ์ พือ่ ป้องกนั โรคแทรกซ้อน 6. โรคที่มักเกิดกบั สุกร โรค คือ สภาวะของร่างกายท่ีไม่ทําหน้าที่ ถ้าส่วนของร่างกายที่ไม่สําคัญไม่ทํางาน สัตว์จะไม่ตาย เช่น โรคเบาหวาน เนื่องจากสัตว์ไม่สร้างอินซูลิน มาควบคุมระดับํน้าตาลในเลือด แต่แกไ้ ขได้โดยใหฮ้ อร์โมนอนิ ซูลินชดเชย ได้ แต่ถ้าส่วนของร่างกายที่สําคัญไม่ทํางาน จะมีผลทําให้สัตว์ตาย เช่น โรคตับล้มเหลว โรคหัวใจล้มเหลว เป็นต้น โรคท่ีเกิดข้ึนกับสุกรในฟาร์มนั้นมีท้ังโรคระบาด (คือ โรคที่สามารถแพร่จากสุกรป่วยตัวหน่ึงไปยังสุกรตัวอ่ืนได้อย่าง รวดเร็ว) และโรคไม่ระบาด (คือ โรคที่ไมส่ ามารถแพรจ่ ากสกุ รป่วยตวั หนึ่งไปยังสกุ รตัวอื่นๆ หรอื เป็นโรคเฉพาะตัว) โรค ที่มกั เกิดขึน้ กบั สุกรในฟาร์ม ไดแ้ ก่ 6.1 โรคปากและเทา้ เป่อื ย (Foot and Mouth Disease; FMD) โรคปากและเทา้ เปอ่ื ยตามภาษาพื้นบา้ นเรียก โรคไขก้ ีบหรือโรคไข้ขวัน่ ข้อ เปน็ ตน้

สาเหตุ เกิดจากเชื้อไวรัส ชื่อ Hostis pectoris มีหลายชนิดคือ ไทป์ (Type) A O และ Asia 1 (ไทป์ โอรุนแรงที่สดุ ) ระยะฟักตวั ประมาณ 3-6 วัน อาการ เร่ิมแรกสุกรมีตุ่มํน้าใสขึ้นบริเวณเยื่อชุ่มตามชอ่ งปาก ริมฝีปาก เหงือก บนล้นิ และเพดานปาก บาง ทีอาจพบท่ีหัวนมและเต้านม ต่อมาตุ่มน้ีจะแตกออกเป็นแผล ํน้าใส ในตุ่มน้ีมีเช้ือไวรัสอยู่เป็นจํานวนมาก ทําให้โรค แพร่กระจายออกไปอย่างรวดเร็ว อาจมีอาการแทรกซ้อนของปอดบวมและอาการของโลหิตเป็นพิษ เบือ่ อาหาร มีไข้สูง หงอย ซึม มีํน้าลายฟูมปาก ภายใน 2-3 วันต่อมาเท้าจะบวม มีํน้าเหลือง เป็นแผล มีอาการเจ็บเท้า บางรายกีบ หลุด สุกรท้องจะแท้ง ถ้าเป็นสุกรใหญ่จะมีอัตราการตายํต่า แตํ่น้าหนักลดและไม่โต ในลูกสุกรหรอื สุกรเลก็ จะมอี ัตรา การตายสูงถงึ 50 เปอร์เซ็นต์ สุกรปว่ ยที่ฟ้นื จากโรคนพี้ บว่า มภี ูมิคมุ้ กันโรคเฉพาะกลุ่มไวรัสทท่ี าํ ใหเ้ กดิ การปว่ ยเท่านั้น สามารถป้องกันโรคได้นาน 90-180 วัน และแม่สุกรสามารถถ่ายทอดภูมิคุ้มโรคให้ลูกสุกรได้ทางนมํน้าเหลือง ซึ่งคุ้ม โรคไดน้ านหลายสปั ดาห์ (ภาพที่ 8.1) ภาพที่ 8.1 โรคปากและเทา้ เปอ่ื ย มตี ่มุ ํนา้ ใสบรเิ วณช่องปากและแผลทเี่ ท้า ทม่ี า: สุวรรณา พรหมทอง, (มปพ.) การตดิ ต่อ 1. โดยการสมั ผสั กับสตั ว์ทเ่ี ป็นโรค 2. กินอาหาร หญ้าและํนา้ ท่มี ีเช้อื โรคปะปนอยู่ 3. การหายใจเอาเช้อื โรคเข้าไป 4. ตดิ มากับพาหะตา่ งๆ เชน่ คน นก หนู และสัตว์อน่ื ๆ ท่ีเข้าออกในฟาร์ม การปอ้ งกัน 1. ฉีดวัคซีนป้องกันโรค ในลูกสุกรเมื่ออายุ 7 สัปดาห์และทําํซ้าอีก 2 สัปดาห์ต่อมา ส่วนพ่อและแม่สุกร พนั ธ์ุควรทําํซ้าทกุ ๆ 4-5 เดือน วคั ซีนแต่ละชนิดจะป้องกันโรคเฉพาะชนดิ น้นั 2. จัดการด้านสุขาภิบาลให้ดี การรักษา ไม่มียารักษาโดยเฉพาะ แต่โรคน้ีไม่ทําให้สุกรป่วยตาย การรักษาจึง ทําได้เพียงรักษาตามอาการ โดย 1. ใชย้ าทงิ เจอรไ์ อโอดนี 5-10 เปอร์เซ็นต์ หรอื ยาเยนเชยี นไวโอเล็ต ทาแผลท่ีเกดิ จากตมุ่ ํนา้ ใส 2. ให้ยาปฏิชวี นะผสมในอาหารเพ่ือป้องกันโรคแทรกแก่สุกรที่ยังไม่แสดงอาการ และให้ยาโดยการฉีดแกส่ ุกรท่ี แสดงอาการแลว้ 3. พน่ ํน้ายาจุนสีทค่ี วามเข้มข้น 5 เปอร์เซน็ ต์ ทก่ี ีบ หมายเหตุ สุกรท่ไี ม่แสดงอาการของโรคให้ทําวคั ซีนํซ้า 2 ครง้ั ชว่ งห่างกัน 1 สปั ดาห์

6.2 โรคอหวิ าต์สกุ ร (Swine fever หรอื Hog cholera; SF) เป็นโรคระบาดท่ีร้ายแรงของสุกร พบได้ในสุกรทุกอายุ ทําให้ผู้เล้ียงต้องสูญเสียสุกรปีละมากๆ เพราะโรคนี้ สามารถแพร่กระจายไปได้อย่างรวดเร็วและรุนแรงในท้องท่ีหรือฟาร์มที่ไม่ได้ฉีดวัคซีนป้องกันโรคอย่างสํม่าเสมอ สุกร อาจตายได้ถึง 100 เปอร์เซ็นต์ โรคนี้ทําความเสียหายแก่เศรษฐกิจของประเทศอย่างมาก เน่ืองจากเป็นอุปสรรคต่อ การสง่ สกุ รออกจาํ หน่ายไปตา่ งประเทศ สาเหตุ เกิดจากเชอ้ื ไวรัส ชือ่ Tortor suis ระยะฟกั ตัว 3 วัน-3 สัปดาห์ แต่โดยทัว่ ไป 1 สัปดาห์ อาการ อาการปว่ ยขนึ้ อยูก่ บั ความรนุ แรงของเช้อื ไวรสั และภมู คิ มุ้ กนั โรคในสกุ รแต่ละตวั ชนิดเฉียบพลัน สุกรท่ีได้รับเช้ือไวรัสชนิดรุนแรงมากจะแสดงอาการแบบปัจจุบัน โดยมีไข้สูง หนาวส่ัน นอน สุมกัน เย่ือตาอักเสบ นํ้ามูก นํ้าตาไหล ระยะแรกของการมีไข้สุกรจะท้องผูก ระยะต่อมาจะท้องร่วง และมักพบ อาการทางประสาทร่วมด้วย เช่น เดินโซเซ ขาหลังเป็นอัมพาตและชักในช่วงใกล้ตาย และบางคร้ังสุกรจะตายโดยไม่ ทราบสาเหตุ ชนิดธรรมดา สุกรปว่ ยจะแสดงอาการหลังจากได้รับเช้อื ประมาณ 1 สปั ดาห์ ในสุกรทเี่ ป็นโรคแบบเร้ือรงั หรือ ได้รับเชื้อชนิดรุนแรงน้อย อาการของโรคจะไม่เด่นชัด จึงอาจสังเกตไม่เห็น โดยจะมีไข้เล็กน้อย ซึม เบ่ืออาหาร อาการเหล่านี้จะหายไประยะหนึ่งและกลับเป็นข้ึนมาอีก สุกรจะแคระแกร็น ขนหยาบ กระด้าง และมักมีการติดเชื้อ แบคทีเรียแทรกซ้อน ทําให้ปอดบวม ปอดอักเสบและตายในท่ีสุด แม่สุกรที่ได้รับเช้ือขณะต้ังท้องจะทําให้แท้งลูก คลอดลูกกรอก หรือลูกสุกรตายแรกคลอด ส่วนลูกสุกรท่ีรอดชีวิต ก็จะอ่อนแอและมีอาการทางประสาท ลูกสุกร เหล่านจี้ ะเปน็ พาหะที่สําคัญในการแพร่โรค วิการหรอื รอยโรค พบจดุ เลือดออกบริเวณผิวหนงั โดยเฉพาะพื้นทอ้ งจมูก ใบหู และโคนขาดา้ นใน เม่อื เปิดผ่าดูอวัยวะ ภายใน พบว่ามีจดุ เลือดออก เชน่ ท่ีต่อมนํ้าเหลือง กลอ่ งเสยี ง ไต และกระเพาะปสั สาวะ เสน้ เลือดในมา้ มถกู อุดตนั ดู ภายนอกเห็นลกั ษณะเปน็ จ้ําเลอื ดดําคลา้ํ (ภาพท่ี 8.2) ภาพที่ 8.2 โรคอหิวาตส์ กุ ร มีจุดเลอื ดออกเล็กๆ สีแดงบนผวิ หนงั ที่มา: สุวรรณา พรหมทอง, (มปพ.) การติดต่อ 1. โดยตรงจากการสมั ผัสกบั สุกรป่วย

2. กินอาหารและํนา้ ทม่ี ีเชือ้ โรค 3. การหายใจเอาเชอ้ื ที่อย่ใู นอากาศเขา้ ไป 4. เช้ือโรคเข้าทางผวิ หนัง หรอื ทางเยื่อตา 5. เช้ือโรคท่ีติดไปกับพาหะทเี่ ข้าออกในฟาร์ม เช่น ติดไปกับเสอ้ื ผ้า รองเท้าของคนเล้ียง หรือมีแมลงวันและ นกเป็นพาหะของโรค การปอ้ งกัน 1. ฉดี วคั ซีนป้องกันโรคอย่างสํมา่ เสมอ สุกรพ่อพันธ์ทุ ําทุก 6 เดอื น สุกรแม่พันธุ์ทาํ ทุกครง้ั ที่หยา่ นม สุกรขุน และลูกสุกรควรทําการถ่ายพยาธิก่อนทําวัคซีนและทําวัคซีนคร้ังแรกเมื่ออายุประมาณ 6 สัปดาห์ และทําํซ้าอีกคร้ังใน อีก 2 สัปดาห์ ต่อมา 2. จดั การดา้ นสุขาภบิ าลให้ดี หมายเหตุ วัคซีนอหิวาต์เชือ้ เป็นห้ามทํากับสกุ รทอ่ี อ่ นแอหรือกาํ ลงั ป่วย การรักษา ไม่มียารกั ษาโดยตรง การให้ยาปฏิชีวนะช่วยได้เพียงป้องกนั อาการแทรกซ้อนท่ีอาจตามมาภายหลัง จึงควรทําลายโดยการเผาหรือฝัง สุกรป่วยด้วยโรคอย่างเร้ือรังอาจตายได้เอง ท้ังน้ีขึ้นกับสุกรแต่ละตัวว่าจะทนทานต่อ เช้ือนี้ได้มากน้อยเพียงใด อย่างไรก็ตามถึงแม้จะหายป่วยได้เองแต่สุขภาพก็จะเส่ือมโทรมมากเพราะอวัยวะต่างๆ เช่น หัวใจ ปอด ตับ ลาํ ไส้ เปน็ ต้น เกดิ การอกั เสบ ผลทีต่ ามมาคือ สกุ รแคระแกรน อัตราการเจรญิ เตบิ โตํตา่ 6.3 โรคพีอาร์อาร์เอส (Porcine Reproductive and Respiratory Syndrome; PRRS) เป็นโรคหรือกลุ่มอาการทางระบบสืบพันธุ์และทางเดินหายใจในสุกร ปรากฏอยู่ในพ้ืนท่ีที่มีการเล้ียงสุกร หนาแน่นท้งั ในยุโรปและอเมริกา ปัจจบุ นั ระบาดไปท่วั โลก กลุ่มอาการดงั กลา่ วมชี อ่ื เรียกต่างๆ กัน สาเหตุ เกิดจากเช้ือไวรัสพีอาร์อาร์เอส (PRRS) ในกลุ่ม Arteriviridae ซ่ึงเป็น RNA ไวรัสชนิดสายเด่ียว ขนาดเล็ก (45-65 nm) มีเปลือกหุ้ม เช้ือถูกทําลายได้ง่ายในสภาพอากาศร้อน (37 องศาเซลเซียส ภายใน 48 ชั่วโมง) และมีความคงทนํต่าในสภาพกรด-ด่าง (คงทนที่ pH 5.5-6.5) มีเซลล์เพียงไม่ก่ีชนิดที่สามารถใช้เพาะเลี้ยง เชื้อไวรัสนี้ได้ เซลล์ทใ่ี ชไ้ ดด้ ที ี่สุดคอื เซลล์แมค็ โครฟาจที่เตรียมจากปอดลูกสุกรอายุ 4-8 สัปดาห์ เชอื้ ไวรัสนี้สามารถคง อยู่ในกระแสเลือดไดเ้ ปน็ เวลานาน แม้ในระยะทต่ี รวจพบแอนติบอด้ีก็ยงั สามารถตรวจพบเชื้อได้ นอกจากน้นั เชอื้ ไวรสั พี อาร์อาร์เอสยังมีความหลากหลายทางด้านแอนติเจน เช้ือที่แยกได้จากอเมริกาเป็นคนละชนิดกับทางยุโรป โดยมี คณุ สมบัตขิ องแอนตเิ จนบางส่วนรว่ มกันบ้างแต่ไม่เหมือนกนั ทั้งหมด เชือ้ ที่แยกได้จากทางอเมริกาเองมีความหลากหลาย มากกวา่ เชอื้ ที่แยกไดจ้ ากทางยุโรป เช้ือไวรัสจะถกู ขับออกมาจากร่างกายของสุกรป่วยทางอุจจาระ ปสั สาวะ ลมหายใจ และํนา้ เช้ือ การติดตอ่ 1. สัมผัสกบั สุกรตัวทเ่ี ป็นพาหะของโรคโดยตรง เชน่ การดม การเลยี หรอื การผสมพันธุ์ 2. กนิ อาหารหรือํนา้ ทีม่ เี ชือ้ โรค 3. การหายใจเอาเชื้อโรคท่ีอยู่ในอากาศเข้าไป เช้ือโรคสามารถแพร่กระจายในอากาศได้ไกลในรัศมี 3 กิโลเมตร 4. สัมผัสวัสดุอุปกรณเคร่ืองใช้ต่างๆ ภายในฟาร์มที่ปนเปื้อนเช้ือไวรัสหรือการเคลื่อนย้ายสุกรป่วยหรือสุกร พาหะของโรคเข้ามารวมฝูง 5. เชื้อโรคสามารถถูกขบั ผ่านรกในขณะท่ีมกี ารตงั้ ท้อง

อาการ เชื้อไวรัสพีอาร์อาร์เอสเพียงอย่างเดียวไม่ทําให้สุกรแสดงอาการอย่างเด่นชัด อาการและความรุนแรง ของโรคข้ึนอยู่กบั ชนิดของเช้ือ การจัดการฟาร์ม การสุขาภิบาล ระบบการหมนุ เวียนอากาศ และสุขภาพของสุกรในฝูง เปน็ ต้น เมือ่ มีการตดิ เช้ือไวรัสพอี ารอ์ าร์เอสครัง้ แรกในฟารม์ เชือ้ จะแพร่ระบาดไปอย่างรวดเรว็ ในสกุ รพันธ์ุ สกุ รแม่พันธุ์ ทําให้เกดิ ความล้มเหลวทางระบบสบื พันธุ์ เชน่ การแท้งใน ระยะทา้ ยของการอุ้มท้อง (107-112 วัน) อัตราการเกิดมัมม่ีและการตายแรกคลอดสูง ซ่ึงลักษณะดังกล่าวเด่นชัดมากในฝูงที่ไม่เคยได้รับเช้ือไวรัสมาก่อน แมส่ กุ รแสดงอาการป่วย มีไข้ เบ่อื อาหาร หายใจลําบาก การติดเช้ือมกั มสี าเหตุจากการนําสุกรเขา้ มาทดแทน ซง่ึ มกี าร ติดเชอ้ื ก่อนเขา้ มาในฝงู โดยไมไ่ ด้ผ่านการตรวจก่อน ลูกสุกรระยะดูดนมอาจได้รับเช้ือไวรัสพีอาร์อาร์เอสผ่านทางรกของแม่สุกรขณะอุ้มท้องหรือได้รับเชื้อหลังคลอด แสดงอาการป่วย มีไข้ เบื่ออาหาร หายใจลําบาก อาจแสดงอาการหายใจด้วยท้องเน่ืองจากสภาวะปอดอักเสบชนิด interstituel pneumonia ขนหยอง หยาบ และโตช้า นอกจากนี้อาจติดเชื้อแทรกซ้อน เช่น Streptococcus suis, Enzootic Pneumonia, Haemophilus parasuis เปน็ ตน้ ในฝูงสกุ รทเ่ี คยได้รบั เชื้อน้ีมากอ่ นและผา่ นพน้ ระยะ เสยี หายมากแล้วระยะหน่ึง พบว่าลูกสุกรได้รับภูมคิ ุ้มกันโรคผ่านแมส่ ุกร ซึ่งมีภูมิคมุ้ กันโรค แต่ลูกสุกรอาจแสดงอาการ ทางระบบทางเดินหายใจในช่วงหลังหย่านม หรือชว่ งอนุบาล ผลมาจากการลดลงของภมู ิคุม้ กนั โรคเฉพาะต่อเชอื้ ไวรัสพี อาร์อาร์เอส การเพิ่มจํานวนของไวรัสในลูกสุกรและการโน้มนําของเชื้อไวรัสพีอาร์อาร์เอสท่ีทําให้เกิดกลไกการป้องกัน ตวั เองภายในระบบทางเดินหายใจของลกู สุกรเสียไป เปิดโอกาสให้ลักษณะของการติดเช้ือแทรกซ้อนจากแบคทีเรียหรือ ไวรสั ของโรคระบบทางเดินหายใจและอ่ืนๆ ร่วมดว้ ย สุกรขุนอาจแสดงอาการเบ่ืออาหาร อาการของระบบทางเดินหายใจแบบอ่อนๆ อาจพบอาการใบหูเป็นสีม่วง เนือ่ งจากภาวการณ์ขาดออกซเิ จน ทําใหส้ ุกรแคระแกรน โตชา้ หรอื ตายในที่สุด การวินจิ ฉัยโรค การตรวจหาภมู คิ ้มุ กนั โรคต่อเชอื้ ไวรสั พีอาร์อารเ์ อสโดยใชช้ ดุ ตรวจสาํ เร็จรูป (ELISA test kit) และการตรวจแยกพิสจู น์เช้ือ โดยการเกบ็ ตวั อย่างซีรั่มจากแม่สกุ รท่ีแท้งลูก สกุ รท่ีแท้งหรือตายแรก คลอด ซรี ่ัมของลูกสุกรป่วยหรืออวัยวะ เช่น ต่อมํน้าเหลือง ทอนซิล ม้าม ปอด หรือส่งทั้งตัว โดยแช่เย็นในกระติก ํน้าแข็งและนําส่งทันทีถ้าไม่สามารถส่งตรวจได้ในวนั น้ัน ให้เก็บแช่ช่องแข็งและควรส่งตรวจภายใน 3 วัน โดยส่งตรวจ ได้ท่ีสถาบันสขุ ภาพสัตวแ์ หง่ ชาติ กรมปศสุ ตั ว์ (ภาพท่ี 8.3)

ภาพท่ี 8.3 โรคพอี าร์อารเ์ อส ที่มา: สวุ รรณา พรหมทอง, (มปพ.) การปอ้ งกัน 1. การสาํ รวจสถานภาพของโรคในฝงู โดยการสุ่มตัวอย่างสกุ รในฟารม์ ตรวจหาแอนติบอด้ีตอ่ เช้ือไวรัสพีอาร์ อารเ์ อส 2. ฝูงทยี่ ังไมพ่ บการตดิ เช้ือ (แอนติบอดีเ้ ป็นลบ) มีความเสยี่ งต่อการติดเช้ือสงู หากมีการนาํ เช้ือไวรสั เข้ามาใน ฝูงทาํ ให้มีการระบาดเกิดข้นึ รวดเร็ว รุนแรง และอตั ราการสูญเสียสงู การควบคุมโรคต้องเพ่ิมมาตรการนําสุกรทดแทน เข้ามาในฟารม์ มีการตรวจสอบอย่างเคร่งครัด ควรมาจากแหล่งที่ปลอดเชอ้ื ไวรัสพอี าร์อารเ์ อสก่อนนําสุกรใหม่เข้ามา รวมฝูง ควรทาํ การกักกนั อย่างนอ้ ย 2 ขนั้ ตอนคอื กกั ทตี่ ้นทางก่อนการเคลื่อนยา้ ยและกกั ที่ปลายทางก่อนนําเข้ารวม ฝูง ระหวา่ งทกี่ กั ควรสมุ่ ตรวจหาโรคโดยวิธีทางซรี ั่มวิทยาด้วย และควบคุมการเข้าออกฟาร์มโดยอาจใหม้ กี ารเปลยี่ น เสือ้ ผ้าหรือพน่ ํน้ายาฆ่าเชื้อก่อนเขา้ ฟาร์ม 3. ฝูงที่มีการสัมผัสโรคมาแล้ว (แอนติบอด้ีเป็นบวก) ความเส่ียงต่อความเสียหายข้ึนกับอัตราการสัมผัสโรค ของสุกร หรืออัตราส่วนของสุกรที่มีภูมิคุ้มกันโรคในฝูง และระยะเวลานับแต่การติดเชื้อครั้งแรกในฝูง หากสุกรส่วน ใหญ่เคยสัมผัสเชื้อมานานแล้วและให้ผลบวกต่อแอนติบอดี้เป็นเปอร์เซ็นต์สูงจะมีความเส่ียงต่อการสูญเสียอย่างรุนแรง ลดลง แต่อาจพบปัญหาการสูญเสียอย่างแอบแฝงบ้าง โดยเฉพาะในลูกสุกรอนุบาลและสุกรขุน มักพบปัญหาระบบ ทางเดินหายใจจากเชื้อพีอาร์อาร์เอสร่วมกับไวรัสหรือแบคทีเรียอ่ืนๆ จึงควรมีการจัดการท่ีดีเพื่อไม่ทําให้เกิดอาการท่ี รนุ แรงเม่อื ต้องการใหย้ าปฏชิ ีวนะเพอ่ื ควบคมุ โรคแบคทีเรียแทรกซอ้ นและการใช้วัคซีนเพ่ือควบคุมโรคไวรสั ระบบทางเดิน หายใจ ในลูกสุกรท่ีมีการติดเช้ือแรกคลอดให้ลดภาวะท่ีก่อให้เกิดความเครียด เช่น เล่ือนการตัดหางและการ ฉีดธาตุ เหล็กออกไปประมาณ 3 วันหลังคลอด ในลูกสุกรที่อ่อนแออาจงดหรือเลอื่ นการตัดเขยี้ วออกไปแต่การผูกสายสะดอื ทํา ได้ในวันแรกคลอด และให้วิตามิน กลูโคส และอิเล็กโตรไลท์แก่ลูกสกุ รท่ีอ่อนแอ ในแม่สุกรควรเปลี่ยนสตู รอาหารเป็น ชนิดที่ ให้พลงั งานสูง อย่ารีบผสมพันธุ์แมส่ ุกรที่เพ่ิงแท้งลกู ควรรออย่างน้อย 21 วนั การผสมครั้งแรกหลังจากมีการ ระบาดของโรคควรใช้การผสมเทียมก่อนเพ่ือหลีกเล่ียงความไม่สมบูรณ์พันธ์ุในสุกรตัวผู้ ในกรณีท่ีมีการนําสุกรสาว ทดแทนหรือสุกรพ่อพันธ์ุที่ปลอดจากโรคพีอาร์อาร์เอสเข้าสู่ฟาร์ม ควรนําสุกรดังกล่าวไปอยู่รวมกับสุกรเดิมที่มีการติด เชื้อ เพ่ือให้สุกรใหม่ได้รับเช้ือและสร้างภูมิคุ้มกันข้ึนก่อนที่จะนําไปใช้งาน อย่างน้อย 1 เดือน เพื่อป้องกันปัญหา ระหว่างอุ้มท้อง วิธีท่ีดีท่ีสุดคือ การนําสุกรสาวไปขังไว้ใกล้กับลูกสุกรอายุ 6-10 สัปดาห์ เป็นเวลานาน 3 สัปดาห์ เพอื่ ใหแ้ นใ่ จว่ามีการติดเช้อื หลงั จากนนั้ รออีก 3-4 สัปดาห์ เพือ่ ใหม้ กี ารสร้างแอนตบิ อดขี ึ้น จงึ นาํ ไปใช้ผสมพันธุไ์ ด้ 4. ทําวัคซีนป้องกันโรคพีอาร์อาร์เอสชนิดเช้ือตายให้แก่สุกรสาวและสุกรแม่พันธุ์และวัคซีนชนิดเชื้อเป็นให้แก่ ลกู สกุ รและสกุ รขุน แต่วคั ซีนป้องกันโรคพอี าร์อารเ์ อสทีม่ ีอยยู่ งั มีขอ้ จํากดั ในการใช้ จงึ ควรคาํ นงึ ดงั นี้ 4.1 ราคาแพง จงึ ควรคํานึงถงึ ความคุม้ ทนุ โดยเปรยี บเทยี บคา่ ใช้จ่ายในการทําวัคซีน และ ความสญู เสยี ท่ีจะเกดิ ขนึ้ กรณีทไี่ ม่ใช้วัคซีน เพราะโรคนีห้ ากมกี ารจัดการท่ีดีจะไม่ทําใหเ้ กิดอาการทร่ี ุนแรง 4.2 ชนิดของเชอ้ื ทน่ี าํ มาทาํ วัคซนี หากไม่ใชเ้ ชื้อชนิดเดยี วกนั หรอื ใกลเ้ คยี งกบั ชนิดที่ทาํ ให้ เกิดโรคในฟาร์มจะให้ภูมิคุ้มกนั โรคทีไ่ มด่ ี 4.3 ภมู ิคุม้ กนั ท่เี กดิ ข้ึนและตรวจพบจากซีรั่มไมส่ ามารถแยกไดว้ ่าเกดิ จากวคั ซีนหรือการ ติดเช้ือ

4.4 วั ค ซี น ท่ี ผ ลิ ต จ า ก เนื้ อ เย่ื อ ท่ี ไม่ บ ริ สุ ท ธิ์ อ า จ นํ า โ ร ค อื่ น ๆ ติ ด ม า ถึ ง สุ ก ร ไ ด้ 4.5 การใช้วัคซนี เชื้อเปน็ เชอ้ื ไวรสั สามารถผา่ นออกมาทางํนา้ เชอื้ ได้เป็นเวลานานและ อาจมีผลให้ตัวอสุจิมีรูปร่างผิดปกติและเคลื่อนไหวช้าลง นอกจากน้ีในสุกรอุ้มท้อง อาจผ่านรกไปถึงลูกอ่อนทําให้เกิด การตดิ เช้อื ในลกู ออ่ นได้ การรักษา 1. ไม่มียารักษาโดยตรง การรักษาสุกรท่ีป่วยจึงเป็นการรักษาตามอาการป่วยและการบํารุงร่างกายสัตว์ป่วย เช่น การให้สารเกลอื แร่ วิตามนิ การเปล่ยี นสูตรอาหารท่ีใหพ้ ลงั งานสูงและให้ยาปฏชิ ีวนะเพอ่ื ปอ้ งกันการตดิ เช้ือแทรก ซ้อน ซ่งึ อาจให้โดยการฉีดผสมํนา้ หรอื ผสมอาหาร 2. การรักษาความสะอาด ฆ่าเชื้อโรคอยา่ งสํม่าเสมอเพือ่ ลดจาํ นวนเชอื้ ไวรัสที่หมนุ เวียนภายในฝูง 6.4 โรคเอพีพหี รือโรคปอดและเยือ่ ห้มุ ปอดอักเสบ (Actinobacillus) มีช่ือเดิมว่าฮีโมฟลัส พาราฮีโมลัยติคัส จากการปรับปรุงสายพันธุ์สุกรให้มีสมรรถภาพการเจริญเติบโตสูง คุณภาพซากดี อัตราเปลี่ยนอาหารดี ส่งผลทางลบต่อสุขภาพ ทําให้ความต้านทานโรคํต่าลง โดยเฉพาะโรคระบบ ทางเดินหายใจ นอกจากน้ีในช่วงเศรษฐกิจตกํต่าหลังพ.ศ.2540 ได้มีการซื้อขายสุกรเล็กเพ่ือเข้าขุน เน่ืองจากราคาลูกสุกรํต่า มกี ารนําเอาสุกรจากต่างแหล่งมารวมกันเป็นจํานวนมาก มีการเลี้ยงในสภาพแออัด และมีการเคล่ือนยา้ ยสุกรไกลๆ ทํา ให้เกิดการนําโรคเอพีพีมากับตัวสุกรและระบาดอย่างรุนแรงจนไม่สามารถค วบคุมรักษาได้ด้วยระบบและวิธีจัดการ สุขภาพแบบเดิม ผ้เู ลี้ยงจําเป็นต้องเพ่ิมปริมาณยาในอาหาร หรอื เปลี่ยนกลุ่มยา หรือหาวัคซีนชนิดที่ให้ซโี รไทป์ตรงกับ ชนิดเชอ้ื ยอ่ ยท่เี กิดข้นึ แต่ไดผ้ ลเพยี งบางสว่ นและต้องให้ยาในระดบั สงู ผสมอาหารเพื่อควบคุมโรคตดิ ต่อกนั เปน็ เวลานาน สาเหตุ เกดิ จากเชอื้ Actinobacillus pleuropneumoniae อาการ สุกรจะป่วยเป็นโรคปอด pneumonia หรือ pleuropneumonia ได้ง่าย สุกรป่วยจะไม่กินอาหาร ที่มียาผสมอยู่หรือกินได้เพียงเล็กน้อย ทําให้ไม่ได้รับยาในการรักษาหรือได้รับในปริมาณเพียงเล็กน้อย ทําให้การรักษา ไม่ได้ผล สุกรป่วยหนักขึ้นและตายในวันต่อมา หากมีการให้อาหารแบบถังอัตโนมัตยิ่งไม่ทราบว่าสกุ รตวั ใดไม่กินอาหาร ทาํ ให้สุกรไม่ได้รับการรกั ษา ดังนัน้ หากมแี นวโนม้ ความรุนแรงมากข้ึนใหร้ ีบรักษา การรักษา การฉีดยาปฏิชีวนะ เช่น เซโฟแทกซีม หรือเซฟตริอาโซน หรือเจนตามัยซิน หรือกานามัยซิน หรือเอ็นโรฟลอ็ กซาซิน ชนิดใดชนิดหนึ่งหรอื ร่วมกนั ในขนาดรักษาทุกตัวเป็นเวลา 3 วันติดต่อกัน แล้วตามด้วยการ ใหย้ าปฏิชีวนะเซฟาเลกซินหรอื แอมพิซิลลนิ ในอาหารกินติดต่อกันไปอีกประมาณ 2 สัปดาห์ หรือจนกวา่ โรคสงบ 6.5 โรคเอนซูติกนิวโมเนีย (Enzootic Pneumonia, EP) เช้ือไมโคพลาสมา (Mycoplasma) เป็นจุลชีพกึ่งแบคทีเรียก่ึงไวรัสที่ก่อปัญหามากในอุตสาหกรรมการเล้ียง สัตว์ทัว่ โลก เช้ือไมโคพลาสมาท่ีก่อให้เกิดโรคและเป็นปัญหาสาํ คัญมากในอุตสาหกรรมการเลยี้ งสกุ ร มีอยู่ประมาณ 2- 3 ชนดิ คอื 1. ไมโคพลาสมาไฮโอนวิ โมนิอี (Mycoplasma hyopneumoniae, Mh) ทําให้เกิดโรคปอดเอนซูติกนิวโมเนียหรือปอดอักเสบจากเช้ือไมโคพลาสมาไฮโอนิวโมนิอี มีผลทําให้สุกรแสดง อาการหอบไอ เน่ืองจากโรคนี้มีลักษณะการก่อโรคแบบเร้ือรัง เนื้อเย่ือปอดรอบหลอดลมอักเสบ ส่วนใหญ่เกิดในช่วง ํน้าหนัก 30-50 กิโลกรมั หรอื อาจกอ่ ปญั หาไอเรอ้ื รงั ในบางฟารม์ ตลอดชว่ งการขุน

2. ไมโคพลาสมาไฮโอไรนีส (Mycoplasma hyorhinis) ทําให้เกิดโรคในลูกสุกรอนุบาลช่วงอายุ 3-10 สัปดาห์โดยทําให้เกิดการอักเสบของเยื่อเสื่อมทั่วร่างกาย (polyserositis) และข้อท่ัวไปอักเสบ (polyarthritis) ลูก สุกรแสดงอาการขากะเผลกและหายใจลําบากเนอื่ งจากมีการอักเสบแบบนี้มีไฟบรินค่อนข้างรุนแรงภายในชอ่ งอก ท้ังนี้มี ลักษณะใกล้เคียงมากกับโรคเกลสเซอร์ (Glaesser’s Disease) ที่เกิดจากเช้ือฮีโมฟิลัส พาราซูอีส (Hemophilus parasuis) โดยมีข้อแตกต่างที่เดน่ ชัดตรงทโ่ี รคเกลสเซอร์ ส่วนใหญท่ ําใหส้ มองอักเสบรว่ มด้วย ทําใหส้ กุ รปว่ ยชกั ตายได้ ในชว่ งหลังหยา่ นม 3. ไมโคพลาสมาไฮโอซินโนวิอี (Mycoplasma hyosynoviae) เป็นเชื้อไมโคพลาสมาที่ก่อให้เกิดข้ออักเสบ ในสุกรขุนช่วงอายุประมาณ 3 เดือนขึ้นไปถึงช่วงใกล้ขาย ทําให้สุกรขุนแสดงอาการขากะเผลกและเดินขาแข็ง ใน ลักษณะของการเกิดโรคทีค่ อ่ นขา้ งเฉียบพลัน ในบรรดาเช้ือไมโคพลาสมาทั้งสามชนิดเชื้อไมโคพลาสมาไฮโอนิวโมนิอี เป็นตัวสําคัญท่ีสุด เพราะก่อให้เกิดโรค เอนซูติกนิวโมเนีย ซึ่งจัดเป็นโรคติดต่อที่สําคัญที่สุด ในระบบทางเดินหายใจของสุกรและมีการระบาดแพร่หลายในฝูง สุกรทัง้ ในประเทศและ ต่างประเทศ การติดต่อ ทางการหายใจ โดยแม่สุกรจะเปน็ ตัวแพร่โรคท่ีสําคัญ โดยแม่สุกรจะไม่แสดงอาการผดิ ปกติให้เห็น เน่ืองจากมีความต้านทานโรคจากการสัมผัสเช้ือหรือป่วยในช่วงที่เป็นสุกรเล็กหรือสุกรรุ่น ลูกสุกรมีโอกาสติดเชื้อจากแม่ ตลอดเวลาทอ่ี ยใู่ นซองคลอด สุกรจะแพร่เชอื้ ออกมาทางลมหายใจโดยเฉพาะในชว่ งหลังคลอดใหม่ๆ (ภาพที่ 8.4) ภาพที่ 8.4 โรคปอดเอนซตู ิกนิวโมเนยี หรือปอดอักเสบจากเชอ้ื Mycoplasmal pneumonia ทีม่ า: สุวรรณา พรหมทอง, (มปพ.) การป้องกนั 1. การใช้ยาปฏิชีวนะเพื่อลดการแพร่เชื้อจากแม่สุกรไปยังลูกและลดการแพร่เช้ือของลูกสุกรด้วยกันในเล้า อนุบาล โดยใช้ยาปฏิชีวนะผสมในอาหารแม่สุกรเลี้ยงลูก ตั้งแต่ 1 สัปดาห์ก่อนคลอดต่อเน่ืองถึงหลังคลอด 1-2 สัปดาห์ รวมเป็น 2-3 สัปดาห์ติดต่อกัน หรืออาจตลอดช่วงการเล้ียงลูกและผสมในอาหารลูกสุกรให้กินต่อเนื่อง จนถงึ 2 สปั ดาห์ หลงั หยา่ นมอายปุ ระมาณ 6 สปั ดาห์ ชนดิ ยาปฏชิ วี นะท่ใี ช้ดังนี้ ไทโลซีน (tylosin) กลมุ่ ยาเตตร้า ซัยคลนิ (tetracyclines) ลินโคมัยซนิ (lincomycin) สไปรามัยซิน (spiramycin) ไทอะมลู ิน (tiamulin) และโจซา มยั ซิน (josamycin) 2. การให้วัคซีนฉีดแม่สุกรพันธ์ุก่อนคลอด 2 สัปดาห์ และฉีดให้ลูกสุกร 2 ครั้ง ท่ีอายุครบ 1 และ 3 สปั ดาห์

6.6 เซอโคไวรสั สกุ ร (Circovirus infection in Swine; PCV-2) โรคน้ีมักพบในสุกรอนุบาลมีผลทําให้ลูกสุกรผอมลงอย่างรวดเร็ว ต่อมํน้าเหลืองทั่วร่างกายบวมโตข้ึนอย่างเห็น ได้ชัด หายใจลําบาก ท้องเสียเป็นครั้งคราว ผิวหนังซีด เกิดดีซ่าน จึงเรียกอาการเหล่านี้ว่ากลุ่มอาการ post- weaning multisystemetic wasting syndrome (PMWS) นอกจากนี้ยังสามารถทําให้เกิดกลุ่มอาการ porcine dermatitis and nephropathy syndrome (PDNS) และกลุ่มโรคซับซ้อน porcine respiratory disease complex (PRDC) ด้วย สาเหตุ เกิดจากเช้ือไวรัสสายพันธุ์ PCV-2 ซ่ึงเป็นเชื้อไวรัสขนาดเล็กที่มี DNA ลักษณะเป็นวงกลม (single stranded circular DNA genome) ไม่มีเปลือกหุ้ม มีความคงทนในสิ่งแวดลอ้ มไม่เหมาะสมและยาฆ่าเช้ือโรคหลาย ชนิด เชอ้ื ไวรัสชนดิ น้มี คี ุณสมบตั ิทําลายระบบภมู ิคมุ้ กนั โรค ทาํ ให้เกดิ ภาวะภูมคิ มุ้ กันโรคบกพรอ่ ง ระบาดวิทยากลุ่มอาการ PMWS ตัวท่ีบ่งบอกถึงการติดเชื้อไวรัส PCV-2 คือ การเกิดกลุ่มอาการ PMWS จากรายงานการเกิดอาการ PMWS ครั้งแรกใน ค.ศ.1991 ที่ประเทศแคนนาดา ปัจจุบันมีการระบาดในหลาย ประเทศ เช่น ทวีปอเมริกาเหนือและใต้ หลายประเทศทางยุโรปและเอเซียรวมถึงประเทศไทยด้วย กลุ่มอาการนี้เป็น ปัญหาอย่างมากในสุกรอนบุ าลและสุกรขุน เมือ่ เป็นโรคอุบัตใิ หม่สําหรบั ฟารม์ ที่ไม่เคยติดเช้ือมาก่อนทาํ ให้มีความรุนแรง สูงมาก ทั้งในสุกรหลังหย่านม สุกรเล็ก สุกรรุ่น และในฝงู แม่พันธ์ุ สามารถตรวจพบไวรัสจากซากลูกสกุ รทแี่ ท้งหรือแม้ ในํน้าเช้ือสุกรพ่อพันธุส์ ่วนใหญ่พบในสุกรหลังหย่านมจนถงึ สุกรรุ่นช่วงอายุระหว่าง 5-18 สัปดาห์ อาการท่ีพบคือ ลูก สุกรไม่โตเมื่อเทียบกับลูกสุกรตัวอื่นในชุดเดียวกัน ต่อมาํน้าหนักลดและผอมโทรม บางคร้ังอาจแสดงลักษณะของปอด อักเสบร่วมกับอาการท้องเสีย สุกรป่วยไม่ตอบสนองต่อการให้ยาปฏิชีวนะหรือการบําบัดรักษาใดๆ หรือถึงแม้ว่าจะให้ การดูแลอย่างใกล้ชดิ แตล่ กู สกุ รยังคงสญู เสยี ํนา้ หนกั ตัวไปเรอ่ื ยๆ ระบาดวิทยากลุ่มอาการ PDNS การเกิดกลุ่มอาการ PDNS พบต้ังแต่ ค.ศ.1993 เก่ียวข้องกับการติดเช้ือ ไวรัส PCV-2 สุกรอาจไม่แสดงอาการป่วย ไม่มีไข้ แต่พบแผลหลุมในกระเพาะอาหารและรอยโรคท่ีผิวหนังในบริเวณ สว่ นขาหลังด้านใน ด้านท้ายลําตัว และพ้ืนท้อง รอยโรคอาจมตี ุ่มแดงเป็นปื้นกว้างหรือเปน็ ดวงโต มีหนองแห้งกรงั ปก คลุมและมเี ศษสะเกต็ สดี ํา สุกรท่ีป่วยอาจตายหรอื บางครัง้ หายเองไดแ้ มไ้ มท่ ําการรกั ษา เมื่อทําการผ่าซากชันสูตรพบว่า ไตบวมสีซีดขยายใหญ่และมีจุดเลือดออกขนาดเล็กที่ผิวไตจากการส่องกล้องจุลทรรศน์ พบรอยโรคของการเกิดการแพ้ จากการตอบสนองของระบบภูมิคมุ้ กนั ในรา่ งกาย โดยกล่มุ อาการเหลา่ นเี้ กิดจากเช้ือไวรัส PCV-2 ร่วมกบั เชื้อแบคทเี รีย Pasteurella multocida ระบาดวิทยากลุ่มอาการ PRDC สหรัฐอเมริกาพบกลุ่มอาการ PRDC ซ่ึงเกี่ยวข้องกับการติดเชื้อ PCV-2 ร่ ว ม กั บ ก า ร ติ ด เช้ื อ Pasteurella multocida, swine influenza, PRRS virus ห รื อ Mycoplasma hyopneumoniae มีผลทําให้เป็นโรคเรื้อรังและมักเกิดการระบาดของกลุ่มโรคทางเดินหายใจอย่างรุนแรงตามมา เมื่อ เกิดการระบาดจะไม่พบการตอบสนองต่อยาปฏิชีวนะ เป็นผลให้สุกรมีการตายมากกว่าปกติสูงข้ึน 2-10 เท่า รอยโรค อ่ืนท่ีเกี่ยวข้องกับ PCV-2 อาจเป็นการเสียหายของระบบสืบพันธุ์ในแม่สุกร ลําไส้อักเสบ แสดงอาการโรคทางระบบ ประสาท จากการชันสูตรซากในลูกสุกรท่ีผอมแห้งพบว่ามีหลายตัวที่มีแผลหลุมหรือการอักเสบในกระเพาะอาหาร มี บริเวณเลือดออกต่อมํน้าเหลืองบวมโตทั่วร่างราย มีรอยโรคที่บ่งชี้ถึงภาวะการอักเสบอย่างรุนแรงและยังมีการเสื่อม สลายของเซลลป์ อด ตับอ่อน ไต ตบั กลา้ มเนื้อหวั ใจ และเนอ้ื เยื่อต่อมํนา้ เหลอื งท่ัวไป การป้องกนั 1. มกี ารกักกนั สุกรใหม่ก่อนนาํ เขา้ ฝูงต้องตรวจเชอ้ื ไวรัส PCV-2 ให้ไดผ้ ลลบ จึงนาํ เข้าฝูงท่ีปลอดโรค 2. ลูกสุกรแรกคลอดตอ้ งใหน้ มํนา้ เหลอื งอย่างเพียงพอโดยทนั ที

3. ลดการฝากเล้ียงลูกสุกรหรือไม่ควรทําเลยในขณะท่ีมีการระบาดของโรคอยู่ หรือนําสุกรอ่อนแอมาเลี้ยง รวมกัน หากเป็นไปได้ควรทาํ ลายเพ่ือลดจํานวนเชื้อท่ีแพร่ระบาดในฝงู 4. ลดขนาดของฝูงสกุ ร 5. มีระบบการนาํ สุกรเข้าหมด-ออกหมดในระดบั โรงเรอื นหรือฟาร์ม 6. ควบคมุ สง่ิ แวดล้อมให้มกี ารระบายอากาศดใี นทุกโรงเรอื น 7. มีการป้องกันการนําเข้าและการแพร่กระจายเช้ือจากผู้เข้าเยี่ยมฟาร์ม หนู แมลง นก สัตว์อื่นๆ และ ยานพาหนะท่ีเข้าออกฟาร์ม โดยต้องมีการอาบํน้าและฆ่าเชื้อโรคก่อนเข้าฟาร์ม มีการทําความสะอาดโรงเรือนและ อปุ กรณ์อยา่ งดี ไม่ใหเ้ ปน็ แหล่งเพาะเช้อื และเพาะพนั ธส์ุ ัตว์อ่ืนๆ การรักษา 1. ไม่มีการรักษา หากมีการติดเช้ือแบคทีเรียอ่ืนก่อนมีการติดเชื้อ ไวรัส PCV-2 อาจใช้ยาปฏิชีวนะช่วย ควบคุมโรคไดบ้ ้าง 2. ทาํ การรักษาโรคแบคทีเรยี แทรกซ้อนท่ีเกิดขึ้นโดยการใชย้ าปฏชิ วี นะวงกว้างในรปู การกนิ เพ่ือลดความรนุ แรง ของโรค หรือใช้เคมีบําบัดโดยเฉพาะในช่วงเกิดความเครียด เช่น จากการทําวัคซีนต่างๆ การขนส่งเคลื่อนย้าย การ รวมฝงู และแยกสกุ รทไ่ี มต่ อบสนองตอ่ การรกั ษาออกจากฝงู 3. กําจัดหรือลดปัญหาการเกิดโรค PRRS ร่วมด้วย โดยการทําวัคซีนหรือลดการเคล่ือนย้ายสุกร หรืออย่าให้ เกิดความเครียดกับสุกร 4. กําจัดหรือลดปญั หาการเกิดการตดิ เชอ้ื ไวรัสไข้หวัดใหญ่สกุ รรว่ มด้วย โดยการทาํ วัคซนี 5. หากพบว่ามีการติดเช้ือพาร์โวไวรัสในสุกรในระยะเวลาที่เกิดโรคจากเชื้อไวรัส PCV-2 ให้ทําวัคซีนป้องกัน โรคพารโ์ วไวรัสในสกุ รขนุ ด้วย 6. ลดปัญหาโรคปอดอักเสบที่เกิดจากเชื้อ Mycoplasma Hyopneumoniae โดยการทําวัคซีนหรือทําการ รักษาทางยา ท้งั ยาฉดี และยาผสมอาหาร เชน่ ยากลุ่ม macrolides, pleuromutilins 7. หากพบว่าทําการแก้ปัญหาด้วยวิธตี ่างๆ แล้วไมไ่ ดผ้ ล ควรเปลย่ี นแหล่งที่มาของพันธุกรรมสุกรในฟาร์มหรือ เปลี่ยนสายพันธุข์ องสุกรเป็นสายพันธุ์อืน่ ทม่ี ีความตา้ นทานต่อโรคไดด้ กี ว่า 6.7 โรคกระเพาะอาหารและลําไส้อักเสบติดต่อ, โรคทจี อี ี (Transmissible Gastro-enteritis; TGE) เปน็ โรคระบาดของทางเดนิ อาหารที่เกิดอย่างรุนแรงในลูกสกุ ร อตั ราการเกิดโรค และอัตราการตายสงู ถงึ 100 เปอรเ์ ซ็นต์ สาเหตุ เกดิ จากเชือ้ ไวรัสสกลุ Coronavirus และวงศ์ Coronaviridae การติดตอ่ 1. กินอาหารหรือํนา้ ทมี่ เี ช้ือโรคปะปนอยู่ 2. การหายใจทเี่ อาเชื้อโรคเข้าไป ระยะฟกั ตัว 14 ชว่ั โมง-4 วัน อาการ อาการของโรคจะรนุ แรงในลกู สุกรท่ีมีอายํตุ ่ากวา่ 3 สัปดาห์ อาการแรกท่ีพบคือ อาเจียน (มีตะกอนํนา้ นม) และมีอาการท้องเสยี ตามมา ซ่ึงอาการท้องเสียจะพบได้เม่ือลูก สุกรสัมผัสกับเชื้อโรคแล้วนาน 18-30 ชั่วโมง อาการท้องเสียที่พบได้ในวันแรก จะมีลักษณะเป็นสีเหลืองใสพบเกาะ ตามกีบขาหลังและหาง นอกจากน้ีอาการอื่นๆ ท่ีพบได้ ได้แก่ อาการตัวส่ัน ตาลึก และหิวน้ํา (เน่ือง จากร่างกาย


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook