Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore พระราชบัญญัติมาตรการของฝ่ายบริหารในการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2551 และที่แก้ไขเพิ่มเติม

พระราชบัญญัติมาตรการของฝ่ายบริหารในการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2551 และที่แก้ไขเพิ่มเติม

Published by nat, 2021-08-05 02:17:17

Description: พระราชบัญญัติมาตรการของฝ่ายบริหารในการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2551 และที่แก้ไขเพิ่มเติม

Search

Read the Text Version

พระราชบญั ญตั ิ มาตรการของฝา่ ยบริหารในการปอ้ งกนั และปราบปรามการทุจรติ พ.ศ. ๒๕๕๑ และทแ่ี ก้ไขเพิ่มเติม

พระราชบญั ญตั มิ าตรการของฝา่ ยบรหิ ารในการปอ้ งกนั และปราบปรามการทจุ รติ พ.ศ. ๒๕๕๑ และทแ่ี ก้ไขเพม่ิ เตมิ : ๙๗๘-๖๑๖-๘๐๗๗-๐๐-๙ : จํานวน ๒,๐๐๐ เล่ม : โรงพิมพเอส.ออฟเซท็ กราฟฟค ดีไซน : บริษทั แอนิเมเนีย จาํ กัด www.animania.co.th

คำ�น�ำ โดยท่ีได้มีการประกาศใช้พระราชบัญญัติมาตรการของฝ่ายบริหารในการป้องกัน และปราบปรามการทุจรติ (ฉบบั ที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๖๑ เมอ่ื วนั ท่ี ๑๓ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๖๑ และพระราชบัญญัติฉบับน้ีได้แก้ไขปรับปรุงเน้ือหาของพระราชบัญญัติมาตรการของ ฝ่ายบริหารในการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. ๒๕๕๑ ในบางประการ ซึ่ง เป็นการปรับปรุงเพ่ือให้สอดคล้องกับสภาวการณ์ปัจจุบันและเพื่อรองรับอำ�นาจหน้าที่ ในการด�ำ เนนิ การสง่ เสรมิ สนบั สนุน และใหค้ วามรแู้ กป่ ระชาชนถงึ อนั ตรายท่เี กดิ จากการ ทจุ รติ และประพฤตมิ ชิ อบทง้ั ในภาครฐั และภาคเอกชน และจดั ใหม้ มี าตรการและกลไกทม่ี ี ประสทิ ธภิ าพเพอ่ื ปอ้ งกนั และขจดั การทจุ รติ และประพฤตมิ ชิ อบอยา่ งเขม้ งวด รวมทง้ั กลไก ในการส่งเสรมิ ใหป้ ระชาชนรวมตวั กนั เพอื่ มสี ว่ นรว่ มในการรณรงค์ใหค้ วามรู้ ตอ่ ต้าน หรอื ช้ีเบาะแส โดยได้รับความคุ้มครองจากรัฐ จึงเพิ่มอำ�นาจหน้าท่ีให้คณะกรรมการป้องกัน และปราบปรามการทุจริตในภาครัฐและส�ำ นักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปราม การทุจริตในภาครัฐมีส่วนร่วมในการดำ�เนินการดังกล่าว รวมท้ังเพ่ิมเติมมาตรการในการ คมุ้ ครองบคุ คลทถี่ กู กนั ไวเ้ ปน็ พยาน และแกไ้ ขเพมิ่ เตมิ มาตรการปอ้ งกนั การทจุ รติ ในภาครฐั ใหม้ ีประสิทธิภาพย่งิ ขน้ึ การจัดพิมพ์หนังสือเล่มน้ี ได้มีการแก้ไขปรับปรุงเน้ือหาของพระราชบัญญัติ มาตรการของฝ่ายบริหารในการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. ๒๕๕๑ ให้เป็น ปจั จบุ นั โดยไดน้ �ำ พระราชบญั ญตั มิ าตรการของฝา่ ยบรหิ ารในการปอ้ งกนั และปราบปราม การทุจรติ (ฉบับท่ี ๒) พ.ศ. ๒๕๕๙ และพระราชบญั ญัตมิ าตรการของฝ่ายบริหารในการ ปอ้ งกนั และปราบปรามการทจุ รติ (ฉบบั ที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๖๑ มารวบรวมไวเ้ พอ่ื เปน็ ประโยชน์ ในการศกึ ษาค้นคว้าหรอื อ้างอิง คณะผจู้ ดั ท�ำ หวงั เปน็ อยา่ งยง่ิ วา่ หนงั สอื “พระราชบญั ญตั มิ าตรการของฝา่ ยบรหิ าร ในการป้องกันและปราบปรามการทุจรติ พ.ศ. ๒๕๕๑ และที่แก้ไขเพิม่ เติม” เลม่ นีจ้ ะเปน็ ประโยชนต์ อ่ เจา้ หนา้ ทผี่ ปู้ ฏบิ ตั งิ านทเี่ กยี่ วขอ้ ง ตลอดจนบคุ คลทวั่ ไป ในการศกึ ษา คน้ ควา้ หรอื อา้ งองิ ไดอ้ ย่างถกุ ต้องและรวดเรว็ ส�ำ นักงานคณะกรรมการปอ้ งกันและปราบปรามการทุจรติ ในภาครัฐ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๖๑



สำ�นกั งานคณะกรรมการปอ้ งกันและปราบปรามการทุจริตในภาครฐั (ส�ำ นกั งาน ป.ป.ท.) 1 พระราชบญั ญตั ิ มาตรการของฝ่ายบรหิ ารในการปอ้ งกนั และปราบปรามการทุจริต พ.ศ. ๒๕๕๑                     ภมู พิ ลอดุลยเดช ป.ร. ใหไ้ ว้ ณ วันที่ ๒๓ มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๑ เปน็ ปที ่ี ๖๓ ในรชั กาลปจั จบุ นั   พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มีพระบรมราชโองการ โปรดเกล้าฯ ใหป้ ระกาศวา่   โดยทเี่ ปน็ การสมควรมกี ฎหมายวา่ ดว้ ยมาตรการของฝา่ ยบรหิ ารในการปอ้ งกนั และปราบปรามการทุจรติ   พระราชบญั ญตั นิ มี้ บี ทบญั ญตั บิ างประการเกย่ี วกบั การจ�ำ กดั สทิ ธแิ ละเสรภี าพ ของบุคคลซ่งึ มาตรา ๒๙ ประกอบกับมาตรา ๓๑ มาตรา ๓๒ มาตรา ๓๕ มาตรา ๔๐ มาตรา๔๑มาตรา๔๓มาตรา๕๖และมาตรา๖๒ของรฐั ธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจกั รไทย บญั ญตั ใิ หก้ ระทำ�ได้โดยอาศัยอ�ำ นาจตามบทบญั ญตั แิ ห่งกฎหมาย   จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชบัญญัติขึ้นไว้โดยคำ�แนะนำ� และยนิ ยอมของสภานติ ิบญั ญัตแิ หง่ ชาติ ดงั ตอ่ ไปนี้   มาตรา ๑ พระราชบัญญัติน้ีเรียกว่า “พระราชบัญญัติมาตรการของ ฝ่ายบริหารในการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. ๒๕๕๑”

2 พระราชบญั ญตั ิมาตรการของฝา่ ยบริหารในการปอ้ งกนั และปราบปรามการทุจริต พ.ศ. ๒๕๕๑ และทแ่ี ก้ไขเพ่มิ เตมิ   มาตรา ๒ ๑ พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศ ในราชกิจจานุเบกษา เว้นแต่บทบัญญัติในหมวด ๒ การไต่สวนข้อเท็จจริง ให้มีผล ใชบ้ งั คบั เมอ่ื พน้ ก�ำ หนดหนง่ึ รอ้ ยยส่ี บิ วนั นบั แตว่ นั ประกาศในราชกจิ จานเุ บกษาเปน็ ตน้ ไป มาตรา ๓ ในพระราชบัญญตั ิน้ี “ทจุ รติ ในภาครฐั ” หมายความวา่ ทจุ รติ ตอ่ หนา้ ทห่ี รอื ประพฤตมิ ชิ อบในภาครฐั “ทุจริตต่อหน้าท่ี” หมายความว่า ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติอย่างใด ในต�ำ แหนง่ หรอื หนา้ ท่ี หรอื ปฏบิ ตั หิ รอื ละเวน้ การปฏบิ ตั อิ ยา่ งใดในพฤตกิ ารณท์ อ่ี าจท�ำ ใหผ้ อู้ น่ื เชอ่ื วา่ มตี �ำ แหนง่ หรอื หนา้ ทที่ งั้ ทตี่ นมไิ ดม้ ตี �ำ แหนง่ หรอื หนา้ ทนี่ น้ั หรอื ใชอ้ �ำ นาจ ในตำ�แหน่งหรอื หน้าท ี่ ท้ังน้ี เพื่อแสวงหาประโยชนท์ ม่ี ิควรไดโ้ ดยชอบส�ำ หรับตนเอง หรือผู้อ่ืน หรือกระทำ�การอันเป็นความผิดต่อตำ�แหน่งหน้าที่ราชการหรือความผิด ตอ่ ตำ�แหน่งหน้าทีใ่ นการยุติธรรมตามประมวลกฎหมายอาญาหรือตามกฎหมายอนื่ “ประพฤตมิ ชิ อบ” หมายความวา่ ใชอ้ �ำ นาจในต�ำ แหนง่ หรอื หนา้ ทอ่ี นั เปน็ การ ฝา่ ฝนื กฎหมาย ระเบยี บ ค�ำ สง่ั หรอื มตคิ ณะรฐั มนตรที มี่ งุ่ หมายจะควบคมุ ดแู ลการรบั การเกบ็ รกั ษา หรอื การใช้เงนิ หรือทรพั ยส์ นิ ของแผน่ ดิน “คณะกรรมการ ป.ป.ช.” หมายความวา่ คณะกรรมการปอ้ งกนั และปราบปราม การทุจริตแห่งชาติตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกัน และปราบปรามการทจุ รติ “เจ้าหน้าท่ีของรัฐ” หมายความว่า เจ้าหน้าท่ีของรัฐตามพระราชบัญญัติ ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต แต่ไม่รวมถึง เจ้าหนา้ ท่ขี องรฐั ดงั ต่อไปนี้ (๑) ผู้บริหารระดับสูง ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการ ป้องกนั และปราบปรามการทุจรติ (๒) ผพู้ พิ ากษาและตลุ าการ (๓) พนกั งานอัยการ (๔) ผู้บรหิ ารท้องถน่ิ รองผู้บริหารท้องถิน่ ผู้ช่วยผบู้ ริหารทอ้ งถนิ่ และสมาชิก สภาทอ้ งถ่นิ ขององคก์ รปกครองสว่ นท้องถน่ิ ๑ ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๒๕/ตอนท่ี ๒๑ ก/หนา้ ๑/๒๔ มกราคม ๒๕๕๑

สำ�นกั งานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจรติ ในภาครัฐ (สำ�นักงาน ป.ป.ท.) 3 (๕) เจ้าหน้าท่ีของรัฐในหน่วยงานของศาล รัฐสภา องค์กรตามรัฐธรรมนูญ และองคก์ รอสิ ระจากการควบคมุ หรอื ก�ำ กบั ของฝา่ ยบรหิ ารทจี่ ดั ตงั้ ขน้ึ ตามรฐั ธรรมนญู (๖) เจ้าหน้าท่ีของรัฐในสำ�นักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปราม การทจุ รติ ในภาครัฐ (๗) เจ้าหน้าท่ีของรัฐซ่ึงกระทำ�ความผิดในลักษณะที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. เหน็ สมควรดำ�เนินการ ตามทค่ี ณะกรรมการ ป.ป.ช. กำ�หนด (๘) เจ้าหน้าท่ีของรัฐซึ่งร่วมกระทำ�ความผิดกับบุคคลตาม (๑) (๒) (๓) (๔) (๕) (๖) และ (๗) “ผกู้ ลา่ วหา” หมายความวา่ ผซู้ งึ่ ไดร้ บั ความเสยี หายจากการกระท�ำ การทจุ รติ ในภาครฐั ของเจา้ หนา้ ทขี่ องรฐั หรอื ไดพ้ บเหน็ การทจุ รติ ในภาครฐั ของเจา้ หนา้ ทขี่ องรฐั และได้กล่าวหาตามบทบญั ญตั แิ ห่งกฎหมายน้ี “ผู้ถูกกล่าวหา” หมายความว่า ผู้ซ่ึงถูกกล่าวหาหรือมีพฤติการณ์ปรากฏ แก่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทจุ รติ ในภาครฐั ว่าไดก้ ระทำ�การทจุ ริต ในภาครัฐอันเป็นมูลท่ีจะนำ�ไปสู่การไต่สวนข้อเท็จจริงตามพระราชบัญญัติน้ี และให้ หมายความรวมถึงตวั การ ผใู้ ช้ หรอื ผ้สู นับสนนุ ในการกระทำ�ดังกล่าวดว้ ย “ไตส่ วนขอ้ เทจ็ จรงิ ” หมายความวา่ แสวงหา รวบรวม และการด�ำ เนนิ การอน่ื ใด เพอื่ ใหไ้ ดม้ าซงึ่ ขอ้ เทจ็ จรงิ และพยานหลกั ฐาน ในการทจี่ ะทราบรายละเอยี ดและพสิ จู น์ เกย่ี วกับการทุจริตในภาครฐั ของเจา้ หนา้ ที่ของรฐั “กรรมการ” หมายความว่า กรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริต ในภาครฐั และใหห้ มายความรวมถงึ ประธานกรรมการปอ้ งกนั และปราบปรามการทจุ รติ ในภาครฐั ด้วย “พนักงาน ป.ป.ท.” หมายความว่า เลขาธิการ รองเลขาธิการ และผู้ซ่ึง คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐแต่งต้ังจากข้าราชการ พลเรือนซ่ึงดำ�รงตำ�แหน่งในระดับไม่ต่ํากว่าหัวหน้างานหรือเทียบเท่าให้ปฏิบัติการ ตามพระราชบญั ญตั นิ ้ี “เจา้ หนา้ ที่ ป.ป.ท.” หมายความวา่ ผซู้ ง่ึ คณะกรรมการปอ้ งกนั และปราบปราม การทจุ รติ ในภาครฐั แตง่ ตง้ั จากขา้ ราชการพลเรอื นหรอื พนกั งานราชการใหป้ ฏบิ ตั กิ าร ตามพระราชบัญญตั นิ ี้

4 พระราชบญั ญัติมาตรการของฝ่ายบริหารในการปอ้ งกันและปราบปรามการทุจรติ พ.ศ. ๒๕๕๑ และทีแ่ ก้ไขเพมิ่ เตมิ “สำ�นักงาน” หมายความวา่ สำ�นกั งานคณะกรรมการป้องกนั และปราบปราม การทจุ รติ ในภาครฐั “เลขาธกิ าร” หมายความวา่ เลขาธกิ ารคณะกรรมการปอ้ งกนั และปราบปราม การทุจริตในภาครัฐ “รองเลขาธิการ” หมายความว่า รองเลขาธิการคณะกรรมการป้องกัน และปราบปรามการทจุ ริตในภาครฐั   มาตรา ๔ ใหน้ ายกรฐั มนตรรี กั ษาการตามพระราชบญั ญตั นิ ้ี และใหม้ อี �ำ นาจ ออกระเบียบ และประกาศเพอ่ื ปฏิบตั ิการตามพระราชบัญญัตินี้ ๒ ใหป้ ระธานกรรมการปอ้ งกนั และปราบปรามการทจุ รติ ในภาครฐั มอี �ำ นาจออก ระเบยี บและประกาศกบั แตง่ ตง้ั พนกั งานเจา้ หนา้ ทโ่ี ดยความเหน็ ชอบของคณะกรรมการ ปอ้ งกนั และปราบปรามการทจุ ริตในภาครฐั เพอ่ื ปฏิบตั ิการตามพระราชบญั ญัตินี้ ระเบียบและประกาศตามวรรคหนึ่งหรือวรรคสองท่ีมีผลเป็นการทั่วไปเมื่อได้ ประกาศในราชกิจจานเุ บกษาแลว้ ใหใ้ ชบ้ งั คบั ได้ หมวด ๑ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจรติ ในภาครฐั                      มาตรา ๕ ให้มีคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ เรียกโดยย่อว่า  “คณะกรรมการ ป.ป.ท.”  ประกอบด้วย ประธานกรรมการคนหน่ึง และกรรมการอื่นอีกห้าคน ซ่ึงพระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งตามมาตรา ๕/๑ และมี เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ เป็นกรรมการ โดยต�ำ แหนง่ ๓ ๒ มาตรา ๔ วรรคหนึ่ง แก้ไขเพม่ิ เติมโดยพระราชบญั ญัตมิ าตรการของฝ่ายบรหิ ารในการ ปอ้ งกันและปราบปรามการทจุ รติ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๙ ๓ มาตรา ๕ วรรคหน่งึ แกไ้ ขเพ่มิ เตมิ โดยพระราชบญั ญัติมาตรการของฝ่ายบรหิ ารในการ ปอ้ งกนั และปราบปรามการทจุ รติ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๙

ส�ำ นักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครฐั (สำ�นักงาน ป.ป.ท.) 5 ใหเ้ ลขาธิการเป็นเลขานกุ าร และใหค้ ณะกรรมการ ป.ป.ท. แตง่ ตั้งข้าราชการ ในสำ�นักงานจ�ำ นวนไม่เกนิ สองคนเป็นผู้ช่วยเลขานกุ าร มใิ หน้ �ำ บทบญั ญตั ใิ นมาตรา ๖ มาตรา ๘ มาตรา ๙ และมาตรา ๑๐ มาใชบ้ งั คบั กบั เลขาธกิ ารคณะกรรมการปอ้ งกนั และปราบปรามการทจุ รติ แหง่ ชาตทิ เ่ี ปน็ กรรมการ โดยต�ำ แหน่ง มาตรา ๕/๑ ๔ เมื่อมีกรณีทตี่ อ้ งสรรหาและคดั เลอื กกรรมการ ให้ด�ำ เนนิ การ ดังต่อไปน้ี (๑) ในการสรรหากรรมการ ให้คณะรัฐมนตรี คณะกรรมการ ป.ป.ช. และคณะกรรมการตรวจเงนิ แผน่ ดนิ สรรหาและเสนอรายชอ่ื บคุ คลผมู้ คี ณุ สมบตั แิ ละไมม่ ี ลักษณะต้องห้ามตามมาตรา ๖ และมาตรา ๗ (๔) องคก์ รละห้าคน ภายในสามสิบวัน นบั แตว่ นั ทม่ี เี หตทุ �ำ ใหต้ อ้ งมกี ารสรรหาและคดั เลอื กกรรมการ เพอ่ื เสนอตอ่ คณะกรรมการ คัดเลือก สำ�หรับกรณีที่เป็นการสรรหาเพื่อแต่งตั้งกรรมการแทนตำ�แหน่งท่ีว่าง ใหอ้ งคก์ รดงั กล่าวแตล่ ะองค์กรเสนอรายชือ่ เท่าจ�ำ นวนกรรมการทว่ี ่างลง (๒) ให้มีคณะกรรมการคัดเลือก ประกอบด้วย ประธานศาลฎีกา ประธาน ศาลปกครองสูงสุด ประธานศาลรัฐธรรมนูญ และประธานผู้ตรวจการแผ่นดิน เปน็ กรรมการคดั เลอื ก โดยใหเ้ ลอื กกนั เองเปน็ ประธานกรรมการคดั เลอื กคนหนง่ึ ในกรณี ทไ่ี มม่ ผี ดู้ �ำ รงต�ำ แหนง่ ใดหรอื มแี ตไ่ มส่ ามารถปฏบิ ตั หิ นา้ ทไ่ี ด้ ใหผ้ ทู้ �ำ การแทน ผปู้ ฏบิ ตั ิ หน้าทแี่ ทน หรอื ผู้ปฏบิ ัตหิ น้าทใ่ี นต�ำ แหนง่ นั้น ท�ำ หน้าท่ีกรรมการคัดเลือกแทน (๓) ให้คณะกรรมการคัดเลือกพิจารณาคัดเลือกบุคคลเป็นกรรมการ จากรายชอื่ บุคคลตาม (๑) ให้ไดจ้ ำ�นวนตามทจ่ี ะตอ้ งแต่งตง้ั (๔) ในกรณที ค่ี ณะกรรมการคัดเลอื กคดั เลอื กบุคคลไดไ้ ม่ครบจำ�นวนตาม (๓) ให้แจ้งให้องค์กรตาม (๑) แต่ละองค์กรเสนอรายช่ือบุคคลใหม่เป็นจำ�นวนเท่ากับ จำ�นวนกรรมการท่ียังขาดอยู่ภายในสามสิบวันนับแต่วันท่ีมีการคัดเลือกบุคคล ได้ไม่ครบจ�ำ นวนดังกล่าว และใหค้ ณะกรรมการคดั เลอื กดำ�เนินการคดั เลือกเพิ่มเตมิ ตาม (๓) เปน็ กรรมการเพม่ิ เติมจากทีม่ ีการคดั เลอื กบุคคลเป็นกรรมการไวแ้ ลว้ ๔ มาตรา ๕/๑ เพ่ิมโดยพระราชบัญญัติมาตรการของฝ่ายบริหารในการป้องกันและ ปราบปรามการทุจรติ (ฉบบั ที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๙

6 พระราชบัญญตั มิ าตรการของฝา่ ยบริหารในการปอ้ งกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. ๒๕๕๑ และทีแ่ ก้ไขเพิม่ เตมิ (๕) เมอื่ ไดม้ กี ารคดั เลอื กบคุ คลเปน็ กรรมการครบจ�ำ นวนแลว้ ใหผ้ ไู้ ดร้ บั คดั เลอื ก เป็นกรรมการประชุมเลือกกันเองเพื่อเป็นประธานกรรมการคนหน่ึง และให้ คณะกรรมการคดั เลอื กแจง้ รายชอ่ื ผไู้ ดร้ บั คดั เลอื กเปน็ ประธานกรรมการและกรรมการ พร้อมเอกสารหลักฐานตามมาตรา ๗ วรรคสอง รวมทั้งความยินยอมของบุคคล ดงั กลา่ วตอ่ นายกรัฐมนตรีเพ่อื น�ำ ความกราบบังคมทูลเพ่ือทรงแต่งตัง้ ต่อไป หลักเกณฑ์และวิธีการคัดเลือกกรรมการตาม (๓) และ (๔) ให้เป็นไปตาม ท่ีคณะกรรมการคัดเลอื กก�ำ หนด   มาตรา ๖ กรรมการตอ้ ง (ก) มีคุณสมบตั ิ ดังต่อไปน้ี (๑) เปน็ ผ้มู ีความซือ่ สัตยส์ ุจริตเป็นท่ปี ระจกั ษ์ (๒) มีความรู้ความสามารถในการปฏิบัติหน้าที่เก่ียวกับการป้องกัน และปราบปรามการทจุ รติ (๓) มสี ัญชาติไทย (๔) มีอายุไมต่ ํ่ากวา่ ส่สี บิ หา้ ปี (๕) เปน็ หรอื เคยเปน็ ตลุ าการศาลรฐั ธรรมนญู ตลุ าการศาลปกครองสงู สดุ   ผู้พิพากษาซ่ึงดำ�รงตำ�แหน่งไม่ตํ่ากว่าผู้พิพากษาศาลฎีกา หรือรับราชการหรือเคย รบั ราชการในต�ำ แหนง่ ไมต่ าํ่ กวา่ รองอยั การสงู สดุ อธบิ ดหี รอื ผดู้ �ำ รงต�ำ แหนง่ ทางบรหิ าร ในหน่วยงานของรัฐท่ีมีอำ�นาจบริหารเทียบเท่าอธิบดี หรือดำ�รงตำ�แหน่งไม่ต่ํากว่า ศาสตราจารย์ (ข) ไมม่ ีลกั ษณะตอ้ งห้าม ดงั ต่อไปนี้ (๑) เปน็ ผมู้ ีต�ำ แหนง่ ในพรรคการเมอื ง (๒) วิกลจรติ หรอื จติ ฟ่นั เฟือนไมส่ มประกอบ (๓) เป็นภกิ ษุ สามเณร นักพรต หรอื นักบวช (๔) ต้องคุมขงั อยูโ่ ดยหมายของศาลหรือโดยค�ำ สง่ั ที่ชอบด้วยกฎหมาย (๕) ติดยาเสพตดิ ใหโ้ ทษ (๖) เปน็ บุคคลลม้ ละลาย

สำ�นกั งานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทจุ ริตในภาครัฐ (ส�ำ นักงาน ป.ป.ท.) 7 (๗) ตอ้ งค�ำ พพิ ากษาใหจ้ �ำ คกุ แมค้ ดนี นั้ จะยงั ไมถ่ งึ ทส่ี ดุ หรอื มกี ารรอการลงโทษ หรือเคยได้รับโทษจำ�คุกโดยคำ�พิพากษาอันถึงท่ีสุดให้จำ�คุก เว้นแต่ในความผิด ทไี่ ด้กระท�ำ โดยประมาทหรอื ความผดิ ลหโุ ทษ (๘) เคยถกู ไลอ่ อก ปลดออก หรอื ให้ออกจากราชการ หนว่ ยงานของรฐั หรอื รัฐวสิ าหกิจ (๙) เคยตอ้ งค�ำ พพิ ากษาหรอื ค�ำ สงั่ ของศาลใหท้ รพั ยส์ นิ ตกเปน็ ของแผน่ ดนิ เพราะรํ่ารวยผดิ ปกตหิ รอื มที รพั ยส์ ินเพ่ิมข้ึนผดิ ปกติ (๑๐) เคยถูกวุฒสิ ภามมี ติให้ถอดถอนออกจากต�ำ แหน่ง มาตรา ๗ ผทู้ ไี่ ด้รับแตง่ ต้งั เปน็ กรรมการตอ้ ง (๑) ไม่เปน็ กรรมการหรือทป่ี รึกษาของรัฐวิสาหกจิ หรอื หนว่ ยงานของรัฐ (๒) ไม่ดำ�รงตำ�แหน่งใดในห้างหุ้นส่วน บริษัท หรือองค์การท่ีดำ�เนินธุรกิจ โดยมงุ่ หาผลกำ�ไรหรือรายไดม้ าแบง่ ปันกนั หรือเป็นลูกจ้างของบคุ คลใด (๓) ไม่ประกอบวิชาชพี อิสระอืน่ ใด (๔) ไม่เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา ข้าราชการการเมือง สมาชิกสภาท้องถ่ินหรือผู้บรหิ ารท้องถิน่ (๕) ไม่เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วย การปอ้ งกนั และปราบปรามการทจุ รติ เวน้ แตใ่ นฐานะเปน็ กรรมการในคณะกรรมการ ป.ป.ท. ผไู้ ดร้ บั คดั เลอื กเปน็ กรรมการผใู้ ดมลี กั ษณะตอ้ งหา้ มตามวรรคหนงึ่ ในวนั ทไ่ี ดร้ บั การคดั เลือก ถา้ ผู้นน้ั แสดงหลกั ฐานว่าไดล้ าออกจากต�ำ แหนง่ ตาม (๑) (๒) หรือ (๕) หรอื แสดงหลกั ฐานใหเ้ ปน็ ทเี่ ชอ่ื ไดว้ า่ ตนเลกิ ประกอบวชิ าชพี อสิ ระตาม (๓) แลว้   ทงั้ นี้ ภายในสามสิบวันนับแตว่ นั ทไี่ ดร้ ับการคัดเลือก ให้คณะกรรมการคัดเลอื กดำ�เนินการ ต่อไปได้ ถ้าผู้นั้นมิได้แสดงหลักฐานดังกล่าวภายในระยะเวลาท่ีกำ�หนด ให้ถือว่า บุคคลนั้นไม่ได้รับการคัดเลือก และให้คณะกรรมการคัดเลือกพิจารณาคัดเลือกใหม่ โดยจะพิจารณาจากรายช่ือบุคคลที่มีการเสนอไว้แล้วตามมาตรา ๕/๑ (๑)

8 พระราชบัญญัตมิ าตรการของฝ่ายบรหิ ารในการปอ้ งกนั และปราบปรามการทจุ ริต พ.ศ. ๒๕๕๑ และทีแ่ ก้ไขเพ่ิมเตมิ หรอื จะขอใหอ้ งคก์ รตามมาตรา๕/๑(๑)เสนอรายชอ่ื บคุ คลใหมก่ ไ็ ด้โดยใหน้ �ำ บทบญั ญตั ิ มาตรา ๕/๑ (๔) มาใช้บงั คบั โดยอนโุ ลม๕ มาตรา ๘ กรรมการมีวาระการดำ�รงตำ�แหน่งคราวละส่ีปี ผู้ซ่ึงพ้น จากตำ�แหน่งแล้วอาจไดร้ บั แต่งต้งั ใหมอ่ กี ได้ แตต่ ้องไม่เกินสองวาระติดต่อกัน ในกรณที กี่ รรมการพน้ จากต�ำ แหนง่ ตามวาระ แตย่ งั มไิ ดม้ กี ารแตง่ ตง้ั กรรมการใหม่ ให้กรรมการนน้ั ปฏบิ ตั หิ น้าทต่ี ่อไปจนกว่าจะได้แตง่ ตั้งกรรมการใหม่   มาตรา ๙ ๖ นอกจากการพน้ จากต�ำ แหนง่ ตามวาระ กรรมการพน้ จากต�ำ แหนง่ เมอ่ื (๑) ตาย (๒) มอี ายุครบเจด็ สบิ หา้ ปี (๓) ลาออก (๔) ขาดคุณสมบตั ิหรือมีลกั ษณะต้องห้ามตามมาตรา ๖ หรอื มาตรา ๗ (๕) คณะกรรมการ ป.ป.ช. มมี ตวิ า่ กระท�ำ การทจุ รติ ตอ่ หนา้ ที่ หรอื มที รพั ยส์ นิ เพ่ิมข้ึนผิดปกติหรือร่ํารวยผิดปกติ หรือจงใจไม่ยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สิน และหนส้ี นิ และเอกสารประกอบ หรอื จงใจยนื่ บญั ชแี สดงรายการทรพั ยส์ นิ และหนส้ี นิ และเอกสารประกอบดว้ ยขอ้ ความอนั เปน็ เทจ็ หรอื ปกปดิ ขอ้ เทจ็ จรงิ ทคี่ วรแจง้ ใหท้ ราบ ตามพระราชบญั ญตั ปิ ระกอบรฐั ธรรมนญู วา่ ดว้ ยการปอ้ งกนั และปราบปรามการทจุ รติ (๖) คณะกรรมการ ป.ป.ท. มมี ตสิ องในสามของจ�ำ นวนกรรมการทง้ั หมดเทา่ ที่ มอี ยใู่ หอ้ อก เพราะบกพรอ่ งตอ่ หนา้ ท่ี มคี วามประพฤตเิ สอ่ื มเสยี หรอื หยอ่ นความสามารถ ในกรณีมีปัญหาว่ากรรมการผู้ใดต้องพ้นจากตำ�แหน่งตาม (๔) หรือไม่ ให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. เป็นผวู้ นิ จิ ฉัย การพ้นจากตำ�แหน่งกรรมการตามวรรคหน่ึง ให้นำ�ความกราบบังคมทูล เพือ่ ทรงทราบ ๕ มาตรา ๗ วรรคสอง แกไ้ ขเพ่มิ เตมิ โดยพระราชบัญญัติมาตรการของฝา่ ยบริหารในการ ปอ้ งกันและปราบปรามการทจุ ริต (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๙ ๖ มาตรา ๙ แก้ไขเพิ่มเตมิ โดยพระราชบญั ญตั มิ าตรการของฝา่ ยบริหารในการปอ้ งกันและ ปราบปรามการทจุ รติ (ฉบับท่ี ๒) พ.ศ. ๒๕๕๙

ส�ำ นักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจรติ ในภาครัฐ (ส�ำ นักงาน ป.ป.ท.) 9 มาตรา ๑๐๗  ในกรณที ก่ี รรมการพน้ จากต�ำ แหนง่ กอ่ นวาระ และยงั มไิ ดแ้ ตง่ ตงั้ กรรมการแทนตำ�แหน่งท่ีว่าง ให้กรรมการเท่าที่เหลืออยู่ปฏิบัติหน้าท่ีต่อไปได้ และใหถ้ อื วา่ คณะกรรมการ ป.ป.ท. ประกอบดว้ ยกรรมการเทา่ ทม่ี อี ยู่ เวน้ แตม่ กี รรมการ เหลืออยไู่ ม่ถึงหา้ คน ในกรณีที่ประธานกรรมการพ้นจากตำ�แหน่ง ให้กรรมการท่ีเหลืออยู่เลือก กรรมการคนหนึ่งทำ�หน้าที่ประธานกรรมการไปพลางก่อนจนกว่าประธานกรรมการ ที่ไดร้ ับแต่งตงั้ ใหม่จะเข้ารบั หน้าท่ี และให้นำ�บทบญั ญัตมิ าตรา ๕/๑ (๕) มาใช้บังคับ โดยอนโุ ลม   มาตรา ๑๑ ให้ถือว่ากรรมการเป็นเจ้าหน้าทข่ี องรัฐทค่ี ณะกรรมการ ป.ป.ช. ก�ำ หนดใหต้ อ้ งยน่ื บญั ชแี สดงรายการทรพั ยส์ นิ และหนส้ี นิ ตามพระราชบญั ญตั ปิ ระกอบ รัฐธรรมนญู วา่ ด้วยการปอ้ งกันและปราบปรามการทุจรติ มาตรา ๑๒ การประชมุ ของคณะกรรมการ ป.ป.ท. ตอ้ งมกี รรมการมาประชมุ ไมน่ ้อยกว่ากึง่ หน่ึงของจำ�นวนกรรมการท้งั หมดเท่าท่มี อี ยู่ จึงจะเปน็ องคป์ ระชุม มาตรา ๑๓ การประชมุ ใหเ้ ปน็ ไปตามระเบยี บทค่ี ณะกรรมการ ป.ป.ท. ก�ำ หนด การนัดประชุมต้องทำ�เป็นหนังสือและแจ้งให้กรรมการทุกคนทราบล่วงหน้า ไม่นอ้ ยกวา่ สามวัน เว้นแต่กรรมการนน้ั จะได้ทราบการบอกนัดในทปี่ ระชมุ แลว้ กรณี ดงั กล่าวนจ้ี ะท�ำ หนงั สอื แจ้งนัดเฉพาะกรรมการทไ่ี มไ่ ด้มาประชมุ กไ็ ด้ บทบัญญัติในวรรคสองมิให้นำ�มาใช้บังคับในกรณีมีเหตุจำ�เป็นเร่งด่วน ซึ่งประธานกรรมการจะนดั ประชมุ เป็นอย่างอน่ื ก็ได้ มาตรา ๑๔ ประธานกรรมการมีอำ�นาจหน้าท่ีดำ�เนินการประชุม และเพ่ือ รักษาความเรียบร้อยในการประชุมให้ประธานกรรมการมีอำ�นาจออกคำ�สั่งใด ๆ ตามความจ�ำ เปน็ ได้ ถ้าประธานกรรมการไม่อยู่ในท่ีประชุมหรือไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ ใหก้ รรมการที่มาประชมุ เลอื กกรรมการคนหน่ึงทำ�หนา้ ท่ีเปน็ ประธานในที่ประชมุ ๗มาตรา ๑๐ แกไ้ ขเพมิ่ เตมิ โดยพระราชบญั ญตั มิ าตรการของฝา่ ยบรหิ ารในการปอ้ งกนั และ ปราบปรามการทจุ รติ (ฉบบั ที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๙

10 พระราชบญั ญตั ิมาตรการของฝ่ายบรหิ ารในการปอ้ งกนั และปราบปรามการทจุ ริต พ.ศ. ๒๕๕๑ และทีแ่ ก้ไขเพิ่มเตมิ   มาตรา ๑๕ การลงมตขิ องทปี่ ระชมุ ใหถ้ อื เสยี งขา้ งมากของจ�ำ นวนกรรมการ ทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ไม่ว่าเป็นการลงมติในการวินิจฉัยหรือให้ความเห็นชอบ ตามบทบัญญัตแิ ห่งพระราชบญั ญตั นิ ี้ กรรมการคนหน่ึงให้มีเสียงหน่ึงในการลงคะแนน ถ้าคะแนนเสียงเท่ากัน ให้ประธานในที่ประชมุ ออกเสยี งเพิม่ ขนึ้ อีกเสยี งหน่งึ เปน็ เสยี งชีข้ าด มาตรา ๑๖ ในการประชุมต้องมีรายงานการประชมุ เปน็ หนังสือ ถ้ามีความเห็นแย้งให้บันทึกความเห็นแย้งพร้อมท้ังเหตุผลไว้ในรายงาน การประชมุ และถา้ กรรมการฝา่ ยขา้ งนอ้ ยเสนอความเหน็ แยง้ เปน็ หนงั สอื กใ็ หบ้ นั ทกึ ไวด้ ว้ ย มาตรา ๑๗ ใหค้ ณะกรรมการ ป.ป.ท. มีอ�ำ นาจหน้าท่ี ดังต่อไปน้ี (๑) เสนอนโยบาย มาตรการ และแผนพัฒนาการป้องกันและปราบปราม การทุจรติ ในภาครัฐต่อคณะรฐั มนตรี (๑/๑)๘ ก�ำ กบั ดแู ลส�ำ นกั งานในการสง่ เสรมิ และสนบั สนนุ ใหป้ ระชาชนรวมตวั กันเพื่อมสี ่วนร่วม ในการป้องกนั และปราบปรามการทจุ ริต (๒) เสนอแนะและใหค้ �ำ ปรกึ ษาแกค่ ณะรฐั มนตรเี กยี่ วกบั การปรบั ปรงุ กฎหมาย กฎ ขอ้ บังคบั หรือมาตรการต่าง ๆ เพอ่ื ป้องกนั และปราบปรามการทจุ รติ ในภาครัฐ (๓) เสนอแนะตอ่ คณะกรรมการ ป.ป.ช. ในการก�ำ หนดต�ำ แหนง่ ของเจา้ หนา้ ท่ี ของรัฐซึ่งต้องยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. ตามพระราชบญั ญตั ปิ ระกอบรฐั ธรรมนญู วา่ ดว้ ยการปอ้ งกนั และปราบปรามการทจุ รติ (๔) ไต่สวนข้อเท็จจริงและช้ีมูลเกี่ยวกับการกระทำ�การทุจริตในภาครัฐ ของเจา้ หน้าท่ีของรัฐ (๕) ไต่สวนข้อเท็จจริงและสรุปสำ�นวนพร้อมท้ังความเห็นส่งพนักงานอัยการ เพอ่ื ฟอ้ งคดีอาญาต่อเจ้าหนา้ ทข่ี องรัฐ (๖) จดั ทำ�รายงานผลการปฏบิ ัตงิ านประจำ�ปเี สนอต่อคณะรฐั มนตรเี พ่ือเสนอ ตอ่ สภาผ้แู ทนราษฎร วฒุ ิสภา และคณะกรรมการ ป.ป.ช. ทราบดว้ ย ๘ มาตรา ๑๗ (๑/๑) เพ่ิมโดยพระราชบญั ญตั ิมาตรการของฝา่ ยบริหารในการป้องกันและ ปราบปรามการทุจรติ (ฉบับท่ี ๓) พ.ศ. ๒๕๖๑

สำ�นกั งานคณะกรรมการปอ้ งกันและปราบปรามการทจุ ริตในภาครฐั (สำ�นักงาน ป.ป.ท.) 11 (๗) แต่งต้ังคณะอนุกรรมการเพ่ือดำ�เนินการตามท่ีคณะกรรมการ ป.ป.ท. มอบหมาย (๘) ปฏิบัติการอื่นตามพระราชบัญญัติน้ี หรือการอื่นใดเกี่ยวกับการป้องกัน และปราบปรามการทุจริตในภาครัฐตามที่คณะรัฐมนตรีหรือคณะกรรมการ ป.ป.ช. มอบหมาย มาตรา ๑๘ ในการปฏิบัติหน้าท่ีตามมาตรา ๑๗ (๔) และ (๕) ให้คณะกรรมการ ป.ป.ท. มอี �ำ นาจดังต่อไปนดี้ ว้ ย (๑) มีหนังสือสอบถามหรือเรียกให้สถาบันการเงิน ส่วนราชการ องค์กร หรอื หนว่ ยงานของรฐั หรอื รฐั วสิ าหกจิ สง่ เจา้ หนา้ ทที่ เี่ กยี่ วขอ้ งมาเพอื่ ใหถ้ อ้ ยค�ำ สง่ ค�ำ ชแี้ จง เป็นหนงั สือ หรือส่งบัญชีเอกสารหรอื หลกั ฐานใด ๆ มาเพอื่ ไต่สวนหรอื เพอ่ื ประกอบ การพิจารณา (๒) มีหนังสือสอบถามหรือเรียกบุคคลใด ๆ มาเพ่ือให้ถ้อยคำ� ส่งคำ�ชี้แจง เปน็ หนังสือ หรือส่งบัญชเี อกสารหรอื หลกั ฐานใด ๆ มาเพ่อื ไตส่ วนหรือเพอื่ ประกอบ การพจิ ารณา (๓) ดำ�เนินการขอให้ศาลท่ีมีเขตอำ�นาจออกหมายเพ่ือเข้าไปในเคหสถาน สถานท่ีทำ�การหรือสถานทอ่ี ่ืนใด รวมทั้งยานพาหนะของบคุ คลใด ๆ ในเวลาระหวา่ ง พระอาทิตย์ขึ้นและพระอาทิตย์ตกหรือในระหว่างเวลาที่มีการประกอบกิจการ เพอื่ ตรวจสอบคน้ ยดึ หรอื อายดั เอกสารทรพั ยส์ นิ หรอื พยานหลกั ฐานอน่ื ใดซง่ึ เกยี่ วขอ้ ง กับเรื่องท่ีไต่สวนข้อเท็จจริง และหากยังดำ�เนินการไม่แล้วเสร็จในเวลาดังกล่าว ใหส้ ามารถดำ�เนินการตอ่ ไปได้จนกวา่ จะแล้วเสร็จ (๔) ขอใหห้ นว่ ยงานของรฐั หรอื เจา้ หนา้ ทข่ี องหนว่ ยงานของรฐั ใหค้ วามชว่ ยเหลอื สนับสนุนหรือเข้าร่วมปฏิบัติหน้าที่ได้ตามความเหมาะสม โดยให้หน่วยงานของรัฐ หรอื เจา้ หน้าทีข่ องหนว่ ยงานของรัฐปฏบิ ตั กิ ารตามท่ขี อได้ตามสมควรแก่กรณี คณะกรรมการ ป.ป.ท. อาจมอบหมายให้อนุกรรมการ พนักงาน ป.ป.ท. หรอื เจา้ หนา้ ที่ ป.ป.ท. ด�ำ เนนิ การตามวรรคหนง่ึ แทนได ้  ทง้ั น้ี ใหเ้ ปน็ ไปตามหลกั เกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขทคี่ ณะกรรมการ ป.ป.ท. กำ�หนด

12 พระราชบญั ญัติมาตรการของฝ่ายบรหิ ารในการปอ้ งกนั และปราบปรามการทจุ รติ พ.ศ. ๒๕๕๑ และทแ่ี ก้ไขเพ่มิ เติม มาตรา ๑๙ ๙ เพอ่ื ประโยชนใ์ นการปอ้ งกนั และปราบปรามการทจุ รติ ในภาครฐั คณะกรรมการ ป.ป.ท. จะแจ้งให้หน่วยงานใดดำ�เนนิ การจัดใหก้ รรมการ เลขาธกิ าร หรอื อนกุ รรมการหรอื พนกั งาน ป.ป.ท. ซง่ึ ไดร้ บั มอบหมายใหไ้ ตส่ วนขอ้ เทจ็ จรงิ เขา้ ถงึ ขอ้ มลู เกยี่ วกับผถู้ ูกกลา่ วหาหรอื บุคคลอ่นื ทม่ี ีเหตุอันควรเชอ่ื ได้ว่าจะเก่ียวข้องในเร่อื ง ทกี่ ล่าวหาเพือ่ ประโยชนใ์ นการไตส่ วนข้อเทจ็ จรงิ หรอื เพือ่ ประโยชนใ์ นการพจิ ารณา ของคณะกรรมการ ป.ป.ท. ได้ หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขท่ีกรรมการ เลขาธิการ อนุกรรมการ หรอื พนกั งาน ป.ป.ท. จะขอเขา้ ถงึ ขอ้ มลู ของหนว่ ยงานใดตามวรรคหนง่ึ ใหเ้ ปน็ ไปตาม ระเบียบที่คณะกรรมการ ป.ป.ท. กำ�หนด แต่ต้องอยู่ภายใต้บังคับของกฎหมาย ระเบียบ หรอื ขอ้ บังคบั เกีย่ วกบั การคมุ้ ครองขอ้ มลู ข่าวสารของหน่วยงานนนั้ มาตรา ๒๐ ในกรณที ก่ี รรมการอนกุ รรมการพนกั งานป.ป.ท.หรอื เจา้ หนา้ ท่ีป.ป.ท. ผู้ใดมีส่วนได้เสียไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อมในเรื่องใด คณะกรรมการ ป.ป.ท. อาจมมี ตมิ ใิ หผ้ นู้ นั้ เขา้ รว่ มด�ำ เนนิ การไตส่ วนขอ้ เทจ็ จรงิ พจิ ารณา หรอื วนิ จิ ฉยั เรอ่ื งนนั้ แลว้ แตก่ รณ ี  ทง้ั นี้ ตามหลกั เกณฑ์ วธิ กี ารและเงอื่ นไขทค่ี ณะกรรมการ ป.ป.ท. ก�ำ หนด มาตรา ๒๑ ในกรณีท่ีกรรมการผู้ใดถูกกล่าวหาต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. ว่ากระทำ�การทุจริตต่อหน้าท่ีหรือรํ่ารวยผิดปกติหรือมีทรัพย์สินเพ่ิมขึ้นผิดปกติ และคณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติรับคำ�กล่าวหาไว้ดำ�เนินการไต่สวนข้อเท็จจริง ตามพระราชบญั ญตั ปิ ระกอบรฐั ธรรมนญู วา่ ดว้ ยการปอ้ งกนั และปราบปรามการทจุ รติ การปฏิบัติหน้าที่ของกรรมการผู้นั้นต่อไปให้เป็นไปตามท่ีคณะกรรมการ ป.ป.ช. ก�ำ หนด โดยคณะกรรมการ ป.ป.ช. อาจกำ�หนดให้กรรมการผนู้ ้ันยตุ กิ ารปฏิบตั หิ นา้ ที่ ไวก้ อ่ นกไ็ ด้ ในกรณีท่ีคณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติว่าคำ�กล่าวหาไม่มีมูลความผิด ใหก้ รรมการทย่ี ตุ กิ ารปฏบิ ตั หิ นา้ ทต่ี ามวรรคหนง่ึ มสี ทิ ธไิ ดร้ บั เงนิ เดอื น เงนิ ประจ�ำ ต�ำ แหนง่ และประโยชน์ตอบแทนอยา่ งอน่ื ในระหว่างท่ยี ตุ กิ ารปฏิบัติหน้าทีเ่ ต็มจ�ำ นวน ๙มาตรา ๑๙ แกไ้ ขเพมิ่ เตมิ โดยพระราชบญั ญตั มิ าตรการของฝา่ ยบรหิ ารในการปอ้ งกนั และ ปราบปรามการทจุ ริต (ฉบบั ที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๙

ส�ำ นักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจรติ ในภาครฐั (ส�ำ นักงาน ป.ป.ท.) 13 มาตรา ๒๒ ให้กรรมการได้รบั เงินเดอื น เงินประจ�ำ ตำ�แหน่ง และประโยชน์ ตอบแทนอย่างอ่ืนตามท่ีก�ำ หนดในพระราชกฤษฎีกา ให้กรรมการโดยตำ�แหน่งได้รับเงินประจำ�ตำ�แหน่ง และประโยชน์ตอบแทน อยา่ งอ่นื ตามระเบยี บที่คณะรัฐมนตรีก�ำ หนด ใหอ้ นกุ รรมการไดร้ บั เบย้ี ประชมุ และประโยชนต์ อบแทนอยา่ งอน่ื ตามระเบยี บ ทค่ี ณะรัฐมนตรกี ำ�หนด หมวด ๒ การไต่สวนข้อเทจ็ จรงิ                    มาตรา ๒๓ ภายใตบ้ ังคับมาตรา ๒๕ และมาตรา ๒๖ เมอื่ มกี รณดี งั ต่อไปน้ี ให้คณะกรรมการ ป.ป.ท. ดำ�เนินการไต่สวนข้อเท็จจริงโดยเร็ว ตามหลักเกณฑ์ และวธิ กี ารท่คี ณะกรรมการ ป.ป.ท. กำ�หนด (๑) เม่ือได้รับการกล่าวหาตามมาตรา ๒๔ (๒) เมอ่ื มเี หตอุ นั ควรสงสัยวา่ เจ้าหน้าทข่ี องรฐั ผใู้ ดกระท�ำ การทุจรติ ในภาครฐั (๓) เม่ือได้รบั เรือ่ งจากพนักงานสอบสวนตามมาตรา ๓๐ (๔) เมอ่ื ไดร้ บั เรอ่ื งจากคณะกรรมการ ป.ป.ช. เพอ่ื ด�ำ เนนิ การไตส่ วนขอ้ เทจ็ จรงิ บทบัญญัติตามวรรคหน่ึงให้ใช้บังคับกับกรณีที่เจ้าหน้าท่ีของรัฐหรือบุคคลอ่ืน เปน็ ตัวการ ผู้ใช้ หรือผู้สนับสนนุ ด้วย มาตรา ๒๓/๑๑๐ ในการพิจารณาของคณะกรรมการ ป.ป.ท. ว่าจะรับ หรอื ไมร่ บั หรอื สงั่ จ�ำ หนา่ ยเรอื่ งตามมาตรา ๒๗ ใหค้ ณะกรรมการ ป.ป.ท. สง่ั ใหแ้ ลว้ เสรจ็ ภายในสามเดือนนบั แต่วนั ท่ไี ดร้ บั เรื่องกลา่ วหา ๑๐ มาตรา ๒๓/๑ เพ่ิมโดยพระราชบัญญัติมาตรการของฝ่ายบริหารในการป้องกันและ ปราบปรามการทุจรติ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๙

14 พระราชบญั ญัตมิ าตรการของฝา่ ยบรหิ ารในการป้องกนั และปราบปรามการทจุ รติ พ.ศ. ๒๕๕๑ และท่ีแก้ไขเพม่ิ เตมิ ก่อนดำ�เนินการไต่สวนข้อเท็จจริงตามมาตรา ๒๓ คณะกรรมการ ป.ป.ท. อาจมอบหมายใหเ้ ลขาธกิ ารด�ำ เนนิ การแสวงหาขอ้ เทจ็ จรงิ และรวบรวมพยานหลกั ฐาน ในเรื่องกล่าวหาน้ันเพื่อให้ได้ข้อเท็จจริงเพียงพอต่อการไต่สวนข้อเท็จจริงต่อไปก็ได้  ในการน้ี เลขาธิการอาจมอบหมายให้พนักงาน ป.ป.ท. หรือเจ้าหน้าที่ ป.ป.ท. เปน็ ผดู้ �ำ เนนิ การแทนกไ็ ด ้  ทงั้ นี้ ตามหลกั เกณฑ์ วธิ กี าร และเงอ่ื นไขทคี่ ณะกรรมการ ป.ป.ท. กำ�หนด มาตรา ๒๓/๒๑๑ ในการดำ�เนินการไต่สวนข้อเท็จจริงตามมาตรา ๒๓ คณะกรรมการ ป.ป.ท. อาจมอบหมายใหเ้ ลขาธกิ ารไตส่ วนขอ้ เทจ็ จรงิ เปน็ เบอ้ื งตน้ แทน คณะกรรมการ ป.ป.ท. แล้วนำ�เสนอสำ�นวนต่อคณะกรรมการ ป.ป.ท. พิจารณา ตามมาตรา ๓๙ ตอ่ ไป เลขาธิการอาจมอบหมายให้พนักงาน ป.ป.ท. ดำ�เนินการไต่สวนข้อเท็จจริง ตามวรรคหนง่ึ ก็ได้ เพ่ือประโยชน์ในการไต่สวนข้อเท็จจริงตามวรรคหน่ึงและวรรคสอง ใหเ้ ลขาธิการมอี ำ�นาจตามมาตรา ๑๘ วรรคหนึ่งดว้ ย หลกั เกณฑ์ วธิ กี าร และเงอื่ นไขในการมอบหมายใหไ้ ตส่ วนขอ้ เทจ็ จรงิ เบอ้ื งตน้ แทนคณะกรรมการ ป.ป.ท. และการดำ�เนินการไต่สวนข้อเท็จจริงของเลขาธิการ และพนักงาน ป.ป.ท. ใหเ้ ปน็ ไปตามระเบยี บทค่ี ณะกรรมการ ป.ป.ท. ก�ำ หนด มาตรา ๒๔ การกล่าวหาเจ้าหน้าที่ของรัฐว่ากระทำ�การหรือเกี่ยวข้อง กบั การกระทำ�การทุจรติ ในภาครัฐ จะทำ�ดว้ ยวาจาหรือทำ�เป็นหนังสือกไ็ ด้ ในกรณที ก่ี ลา่ วหาดว้ ยวาจา ใหพ้ นกั งาน ป.ป.ท. หรอื เจา้ หนา้ ท่ี ป.ป.ท. บนั ทกึ คำ�กลา่ วหาและจัดให้ลงลายมอื ชอ่ื ผู้กล่าวหาในบันทึกการกลา่ วหานั้นไว้ และในกรณี ทผ่ี กู้ ลา่ วหาไมป่ ระสงคจ์ ะเปดิ เผยตน หา้ มไมใ่ หพ้ นกั งาน ป.ป.ท. หรอื เจา้ หนา้ ท่ี ป.ป.ท. เปิดเผยชอ่ื หรอื ทอี่ ยู่ รวมทงั้ หลักฐานอืน่ ใดที่เป็นการสำ�แดงตวั ของผกู้ ลา่ วหา ๑๑ มาตรา ๒๓/๒ เพ่ิมโดยพระราชบัญญัติมาตรการของฝ่ายบริหารในการป้องกันและ ปราบปรามการทจุ ริต (ฉบับท่ี ๒) พ.ศ. ๒๕๕๙

สำ�นักงานคณะกรรมการปอ้ งกนั และปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ส�ำ นักงาน ป.ป.ท.) 15 ในกรณที กี่ ลา่ วหาเปน็ หนงั สอื ผกู้ ลา่ วหาจะตอ้ งลงชอ่ื และทอ่ี ยขู่ องตน แตห่ าก ผกู้ ลา่ วหาจะไมล่ งชอ่ื และทอี่ ยขู่ องตนตอ้ งระบพุ ฤตกิ ารณแ์ หง่ การกระท�ำ ของเจา้ หนา้ ที่ ของรฐั ซง่ึ ถกู กลา่ วหาและพยานหลกั ฐานเบอ้ื งตน้ ไวใ้ หเ้ พยี งพอทจี่ ะด�ำ เนนิ การไตส่ วน ขอ้ เทจ็ จรงิ ต่อไปได้ มาตรา ๒๕ ให้คณะกรรมการ ป.ป.ท. ส่งเร่ืองกล่าวหาที่รับไว้ดังต่อไปนี้ ใหค้ ณะกรรมการ ป.ป.ช. ดำ�เนินการตอ่ ไป (๑) เรื่องกล่าวหาบุคคลซึ่งมิใช่เจ้าหน้าท่ีของรัฐ แต่อยู่ในอำ�นาจหน้าท่ี ของคณะกรรมการ ป.ป.ช. (๒) เรอ่ื งกลา่ วหาเจา้ หนา้ ทข่ี องรฐั ทอ่ี ยใู่ นอ�ำ นาจหนา้ ทข่ี องคณะกรรมการ ป.ป.ช. วา่ กระท�ำ ความผดิ รว่ มกบั บคุ คลซงึ่ มใิ ชเ่ จา้ หนา้ ทข่ี องรฐั แตเ่ ปน็ บคุ คลซง่ึ อยใู่ นอ�ำ นาจ หน้าที่ของคณะกรรมการ ป.ป.ช. (๓) เรอ่ื งกลา่ วหาที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. แจ้งให้สง่ ให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. พจิ ารณา ในกรณีเรื่องกล่าวหาตาม (๓) ถ้าคณะกรรมการ ป.ป.ท. ได้ดำ�เนินการ ไตส่ วนข้อเท็จจรงิ ไว้แล้ว ใหค้ ณะกรรมการ ป.ป.ท. ส่งสำ�นวนการไตส่ วนขอ้ เทจ็ จรงิ ใหค้ ณะกรรมการ ป.ป.ช. ดว้ ย  ท้งั นี้ คณะกรรมการ ป.ป.ช. จะถือสำ�นวนการไตส่ วน ข้อเท็จจริงดังกล่าวเป็นสำ�นวนการไต่สวนข้อเท็จจริงตามพระราชบัญญัติประกอบ รัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตหรือจะดำ�เนินการไต่สวน ข้อเทจ็ จรงิ ใหม่ก็ได้ มาตรา ๒๖ หา้ มมใิ หค้ ณะกรรมการ ป.ป.ท. รบั หรอื พจิ ารณาเรอ่ื ง ดงั ตอ่ ไปน้ี (๑) เรอ่ื งทค่ี ณะกรรมการ ป.ป.ช. รบั ไวพ้ จิ ารณาหรอื ไดว้ นิ จิ ฉยั เสรจ็ เดด็ ขาดแลว้ (๒) เรอ่ื งที่คณะกรรมการ ป.ป.ท. ไดว้ นิ จิ ฉัยเสร็จเดด็ ขาดแลว้ และไมม่ พี ยาน หลักฐานใหมซ่ ึง่ เปน็ สาระสำ�คัญแหง่ คดี (๓) เรื่องที่ผู้ถูกกล่าวหาถูกฟ้องเป็นคดีอาญาในประเด็นเดียวกันและศาล ประทับฟ้องหรือพิพากษาหรือมีคำ�สั่งเสร็จเด็ดขาดแล้วโดยไม่มีการถอนฟ้องหรือ ท้ิงฟอ้ ง หรอื เป็นกรณที ี่ศาลยงั ไม่ไดว้ นิ ิจฉยั ในเน้อื หาแห่งคดี (๔) เร่ืองท่ีผู้ถูกกล่าวหาพ้นจากการเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐก่อนถูกกล่าวหา เกินกว่าห้าปี

16 พระราชบัญญตั ิมาตรการของฝา่ ยบริหารในการปอ้ งกันและปราบปรามการทุจรติ พ.ศ. ๒๕๕๑ และทีแ่ ก้ไขเพ่ิมเติม มาตรา ๒๗ คณะกรรมการ ป.ป.ท. จะไมร่ บั หรอื สงั่ จ�ำ หนา่ ยเรอื่ งทมี่ ลี กั ษณะ ดังตอ่ ไปน้กี ไ็ ด้ (๑) เรื่องที่ไม่ระบุพยานหลักฐานหรือระบพุ ฤตกิ ารณแ์ หง่ การกระทำ�ทช่ี ัดเจน เพียงพอท่ีจะด�ำ เนนิ การไต่สวนขอ้ เทจ็ จรงิ ได้ (๒) เร่อื งท่ลี ่วงเลยมาแล้วเกินห้าปีนับแต่วันเกิดเหตุจนถึงวันท่มี ีการกล่าวหา และเปน็ เรอื่ งทไ่ี มอ่ าจหาพยานหลกั ฐานเพยี งพอทจี่ ะด�ำ เนนิ การไตส่ วนขอ้ เทจ็ จรงิ ตอ่ ไปได้ (๓) เรอ่ื งทค่ี ณะกรรมการ ป.ป.ท. เหน็ วา่ ไมใ่ ชเ่ ปน็ การกระท�ำ ผดิ วนิ ยั อยา่ งรา้ ยแรง (๔) เรื่องท่ีองค์กรบริหารงานบุคคลหรือหน่วยงานของรัฐกำ�ลังพิจารณาอยู่ หรอื ได้พจิ ารณาเป็นทยี่ ตุ แิ ล้ว และไมม่ เี หตุแสดงให้เหน็ วา่ การพจิ ารณานั้นไมช่ อบ มาตรา ๒๘  เรอ่ื งใดทค่ี ณะกรรมการ ป.ป.ท. ไมร่ บั หรอื สงั่ จ�ำ หนา่ ยตามมาตรา ๒๗ (๑) (๒) หรอื (๓) ถา้ คณะกรรมการ ป.ป.ท. พจิ ารณาเห็นสมควรให้แจง้ ผ้บู งั คับ บญั ชาของเจา้ หนา้ ทข่ี องรฐั ผถู้ กู กลา่ วหาด�ำ เนนิ การตามอ�ำ นาจหนา้ ทโ่ี ดยเรว็ และแจง้ ผลการดำ�เนนิ การให้คณะกรรมการ ป.ป.ท ทราบ มาตรา ๒๙ คณะกรรมการ ป.ป.ท. อาจมอบหมายให้เลขาธิการ เปน็ ผพู้ จิ ารณารบั หรอื ไมร่ บั เรอ่ื งใดไวพ้ จิ ารณาตามมาตรา ๒๖ หรอื มาตรา ๒๗ แลว้ รายงาน ให้คณะกรรมการ ป.ป.ท. ทราบ  ท้ังน้ี ตามระเบยี บที่คณะกรรมการ ป.ป.ท. กำ�หนด มาตรา ๓๐ ในกรณีที่มีการร้องทุกข์หรือกล่าวโทษต่อพนักงานสอบสวน ใหด้ �ำ เนนิ คดกี บั เจา้ หนา้ ทขี่ องรฐั ตามพระราชบญั ญตั นิ ้ี อนั เนอื่ งมาจากการกระท�ำ การ ทจุ รติ ในภาครฐั ใหพ้ นกั งานสอบสวนสง่ เรอ่ื งใหค้ ณะกรรมการ ป.ป.ท. ภายในสามสบิ วนั นบั แตว่ นั ทม่ี กี ารรอ้ งทกุ ขห์ รอื กลา่ วโทษเพอ่ื ด�ำ เนนิ การไตส่ วนขอ้ เทจ็ จรงิ ตอ่ ไป ในการนี้ คณะกรรมการ ป.ป.ท. อาจแจ้งให้พนักงานสอบสวนดำ�เนินการสอบสวนเสียก่อน และส่งสำ�นวนการสอบสวนให้คณะกรรมการ ป.ป.ท. ตามระยะเวลาที่กำ�หนด โดยคณะกรรมการ ป.ป.ท. จะถอื วา่ ส�ำ นวนการสอบสวนดงั กลา่ วทงั้ หมดหรอื บางสว่ น เปน็ สำ�นวนการไต่สวนขอ้ เทจ็ จรงิ ของคณะกรรมการ ป.ป.ท. ก็ได้

ส�ำ นักงานคณะกรรมการปอ้ งกันและปราบปรามการทจุ ริตในภาครัฐ (ส�ำ นักงาน ป.ป.ท.) 17 เพ่ือประโยชน์ในการดำ�เนินการตามวรรคหนึ่งให้สำ�นักงานตำ�รวจแห่งชาติ กรมสอบสวนคดพี เิ ศษและหนว่ ยงานอน่ื ของรฐั ทเี่ กยี่ วขอ้ งท�ำ ความตกลงกบั ส�ำ นกั งาน โดยกำ�หนดขั้นตอนและวิธีปฏิบัติต่าง ๆ รวมถึงการจัดทำ�สำ�นวนการสอบสวน การควบคมุ ตวั การปล่อยช่วั คราว และการด�ำ เนินการอ่นื ๆ เพื่อถือปฏบิ ตั ิร่วมกนั ในกรณีท่ีมีการกระทำ�ความผิดทางอาญาอื่นท่ีมิใช่การกระทำ�การทุจริต ในภาครฐั รวมอยดู่ ว้ ย และคณะกรรมการ ป.ป.ท. เหน็ วา่ หากใหพ้ นกั งานสอบสวนด�ำ เนนิ คดี ไปตามอำ�นาจหน้าท่ีจะเป็นประโยชน์กว่า จะส่งเรื่องคืนให้พนักงานสอบสวนภายใน สามสิบวันนับแตว่ นั ท่คี ณะกรรมการ ป.ป.ท. ได้รบั เรอื่ ง และขอให้พนกั งานสอบสวน ด�ำ เนนิ การตามอ�ำ นาจหนา้ ทต่ี อ่ ไปกไ็ ด้ โดยใหน้ �ำ ขน้ั ตอนและวธิ ปี ฏบิ ตั ติ า่ ง ๆ ทงั้ หมด ท่ีได้กำ�หนดไว้ตามวรรคสองมาใช้บังคับโดยอนุโลม และให้คณะกรรมการ ป.ป.ท. สงั่ จ�ำ หนา่ ยเรอ่ื งนน้ั ในกรณนี ถ้ี า้ คณะกรรมการ ป.ป.ท. เหน็ สมควรจะแจง้ ผบู้ งั คบั บญั ชา ของเจา้ หนา้ ที่ของรัฐผถู้ ูกกล่าวหาเพ่อื ด�ำ เนนิ การตามอ�ำ นาจหน้าทีต่ อ่ ไปด้วยกไ็ ด๑้ ๒ มาตรา ๓๐/๑๑๓ ในกรณที พ่ี นกั งานสอบสวนไดส้ ง่ เรอ่ื งใหค้ ณะกรรมการป.ป.ท. ตามมาตรา ๓๐ โดยได้มีการควบคุมตัวผู้ถูกกล่าวหาไว้แล้ว ให้พนักงาน ป.ป.ท. มีอำ�นาจควบคุมและพิจารณาส่ังคำ�ร้องขอปล่อยช่ัวคราวผู้ถูกกล่าวหาที่ถูกควบคุม ตวั นนั้ ไดเ้ ชน่ เดยี วกบั พนกั งานสอบสวนตามประมวลกฎหมายวธิ พี จิ ารณาความอาญา การปลอ่ ยชว่ั คราวตามวรรคหนง่ึ ใหเ้ ปน็ ไปตามทป่ี ระมวลกฎหมายวธิ พี จิ ารณา ความอาญากำ�หนด ในกรณีท่ีจำ�เป็นต้องควบคุมตัวผู้ถูกกล่าวหาไว้เพ่ือประโยชน์ในการไต่สวน ขอ้ เทจ็ จรงิ หรือการฟ้องคดี พนักงาน ป.ป.ท. อาจยืน่ ค�ำ ร้องขอหมายขังผู้ถูกกลา่ วหา ตอ่ ศาลได้ หากกรณที ม่ี กี ารควบคมุ ตวั ผถู้ กู กลา่ วหาไวใ้ นอ�ำ นาจของศาลแลว้ ใหพ้ นกั งาน ป.ป.ท. มีอำ�นาจขอให้ศาลควบคุมตัวผู้ถูกกล่าวหาไว้ได้ต่อไป โดยให้มีอำ�นาจหน้าที่ เช่นเดียวกับพนักงานสอบสวนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา หรอื พนักงานอยั การ แลว้ แต่กรณี ๑๒ มาตรา ๓๐ วรรคสาม เพิม่ โดยพระราชบัญญัติมาตรการของฝา่ ยบรหิ ารในการป้องกัน และปราบปรามการทุจริต (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๙ ๑๓ มาตรา ๓๐/๑ เพิ่มโดยพระราชบัญญัติมาตรการของฝ่ายบริหารในการป้องกันและ ปราบปรามการทจุ รติ (ฉบบั ที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๙

18 พระราชบัญญัตมิ าตรการของฝา่ ยบรหิ ารในการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. ๒๕๕๑ และท่แี ก้ไขเพมิ่ เติม มาตรา ๓๑ เรื่องที่พนักงานสอบสวนส่งมายังคณะกรรมการ ป.ป.ท. ตามมาตรา ๓๐ ถ้าคณะกรรมการ ป.ป.ท. พิจารณาแล้วเห็นว่าเป็นกรณีดังต่อไปนี้ ใหค้ ณะกรรมการ ป.ป.ท. ส่งเรื่องกลับไปยังพนักงานสอบสวนเพื่อดำ�เนนิ การตามประมวล กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาตอ่ ไป (๑) เรื่องที่ไม่ใชก่ รณีตามมาตรา ๒๓ (๒) เรื่องที่คณะกรรมการ ป.ป.ท. ต้องห้ามมิให้รับหรือพิจารณาตามมาตรา ๒๖ (๑) (๒) และ (๓) (๓) เรื่องที่คณะกรรมการ ป.ป.ท. ต้องห้ามมิให้รับหรือพิจารณาตามมาตรา ๒๖ (๔) ในกรณตี าม (๑) และ (๓) ถา้ เปน็ เรอื่ งทอี่ ยใู่ นอ�ำ นาจหนา้ ทข่ี องคณะกรรมการ ป.ป.ช. ให้คณะกรรมการ ป.ป.ท. ส่งเรอ่ื งให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. พจิ ารณาด�ำ เนนิ การต่อไป มาตรา ๓๒ คณะกรรมการ ป.ป.ท. จะแตง่ ตง้ั คณะอนกุ รรมการเพอื่ ด�ำ เนนิ การ ไต่สวนข้อเท็จจริงแทนหรือมอบหมายให้พนักงาน ป.ป.ท. หรือเจ้าหน้าท่ี ป.ป.ท. ดำ�เนินการแสวงหาข้อมูลและรวบรวมพยานหลักฐานเพ่ือที่จะทราบข้อเท็จจริง หรอื มลู ความผดิ กไ็ ด้ โดยค�ำ นงึ ถงึ ความเหมาะสมและระดบั และต�ำ แหนง่ ของผถู้ กู กลา่ วหาดว้ ย คณะอนกุ รรมการตามวรรคหนง่ึ ตอ้ งแตง่ ตงั้ จากบคุ คลซง่ึ มคี วามซอื่ สตั ยส์ จุ รติ และมคี วามรู้ความสามารถในการปฏิบัติหน้าทน่ี นั้ การปฏบิ ตั หิ นา้ ทขี่ องคณะอนกุ รรมการ พนกั งาน ป.ป.ท. และเจา้ หนา้ ที่ ป.ป.ท. ตามวรรคหนึ่งให้เป็นไปตามระเบยี บทีค่ ณะกรรมการ ป.ป.ท. ก�ำ หนด มาตรา ๓๓๑๔ (ยกเลกิ ) ๑๔มาตรา๓๓ยกเลกิ โดยพระราชบญั ญตั มิ าตรการของฝา่ ยบรหิ ารในการปอ้ งกนั และปราบปราม การทุจริต (ฉบับท่ี ๒) พ.ศ. ๒๕๕๙

สำ�นกั งานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (สำ�นกั งาน ป.ป.ท.) 19 มาตรา ๓๔ คณะกรรมการ ป.ป.ท. อาจแต่งตั้งบุคคลเป็นที่ปรึกษา หรอื ผเู้ ชยี่ วชาญเพอื่ ใหค้ �ำ ปรกึ ษาหรอื ชว่ ยเหลอื คณะกรรมการ ป.ป.ท. หรอื คณะอนกุ รรมการ ไต่สวนข้อเท็จจริงหรือดำ�เนินการอ่ืนใดตามที่คณะกรรมการ ป.ป.ท. มอบหมาย แลว้ แต่กรณี การแต่งตั้งท่ีปรึกษาหรือผู้เชี่ยวชาญตามวรรคหนึ่ง ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ และวธิ ีการทีค่ ณะกรรมการ ป.ป.ท. กำ�หนด โดยให้ประกาศในราชกิจจานเุ บกษา ท่ีปรึกษาหรือผู้เชี่ยวชาญ มีสิทธิได้รับค่าตอบแทน ค่าเดินทาง ค่าที่พัก และสทิ ธปิ ระโยชนอ์ น่ื ตามระเบยี บส�ำ นกั นายกรฐั มนตรีโดยความเห็นชอบของกระทรวงการคลงั ๑๕ มาตรา ๓๕ ห้ามมิให้แต่งตั้งบุคคลซึ่งมีเหตุดังต่อไปนี้เป็นอนุกรรมการ พนกั งาน ป.ป.ท. หรอื เจ้าหนา้ ท่ี ป.ป.ท. ในการไตส่ วนขอ้ เท็จจริง (๑)๑๖ รเู้ หน็ เหตกุ ารณ์ หรอื เคยสอบสวนหรอื พจิ ารณาเกยี่ วกบั เรอื่ งทกี่ ลา่ วหา ในฐานะอน่ื ทม่ี ใิ ช่ในฐานะพนกั งาน ป.ป.ท. หรือเจา้ หน้าท่ี ป.ป.ท. มาก่อน (๒) มีส่วนไดเ้ สยี ในเรอ่ื งทกี่ ล่าวหา (๓) มสี าเหตโุ กรธเคืองกับผกู้ ล่าวหาหรอื ผู้ถกู กลา่ วหา (๔) เปน็ ผู้กล่าวหา หรอื ผถู้ กู กลา่ วหา หรอื เปน็ คู่สมรส บพุ การี ผสู้ บื สนั ดาน หรอื พีน่ อ้ งรว่ มบดิ ามารดาหรอื ร่วมบดิ าหรือมารดากบั ผกู้ ล่าวหาหรือผูถ้ กู กลา่ วหา (๕) มีความสมั พนั ธใ์ กลช้ ดิ ในฐานะญาติ หรือเป็นหุ้นส่วน หรอื มผี ลประโยชน์ ร่วมกนั หรือขัดแย้งกันทางธรุ กิจกบั ผูก้ ล่าวหาหรอื ผถู้ ูกกล่าวหา ผู้มสี ว่ นไดเ้ สียจะคดั ค้านอนุกรรมการ พนักงาน ป.ป.ท. หรือเจ้าหนา้ ที่ ป.ป.ท. ซง่ึ มเี หตตุ ามวรรคหนงึ่ กไ็ ด้ โดยยน่ื ค�ำ รอ้ งตอ่ คณะกรรมการ ป.ป.ท. และใหค้ ณะกรรมการ ป.ป.ท. วินิจฉัยโดยพลัน ในระหว่างท่ีรอการวินิจฉัยของคณะกรรมการ ป.ป.ท. ใหอ้ นกุ รรมการ พนกั งาน ป.ป.ท. หรอื เจา้ หนา้ ที่ ป.ป.ท. ซงึ่ ถกู คดั คา้ นระงบั การปฏบิ ตั หิ นา้ ที่ ไวพ้ ลางกอ่ น ๑๕มาตรา ๓๔ วรรคสาม แกไ้ ขเพมิ่ เตมิ โดยพระราชบญั ญตั มิ าตรการของฝา่ ยบรหิ ารในการ ป้องกันและปราบปรามการทุจรติ (ฉบบั ท่ี ๒) พ.ศ. ๒๕๕๙ ๑๖มาตรา ๓๕ (๑) แกไ้ ขเพม่ิ เตมิ โดยพระราชบญั ญตั มิ าตรการของฝา่ ยบรหิ ารในการปอ้ งกนั และปราบปรามการทุจริต (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๙

20 พระราชบัญญตั มิ าตรการของฝา่ ยบริหารในการป้องกันและปราบปรามการทจุ รติ พ.ศ. ๒๕๕๑ และทแี่ ก้ไขเพม่ิ เตมิ มาตรา ๓๖ ในการไตส่ วนขอ้ เทจ็ จรงิ ใหแ้ จง้ ขอ้ กลา่ วหาแกผ่ ถู้ กู กลา่ วหาทราบ และกำ�หนดระยะเวลาตามสมควรที่ผู้ถูกกล่าวหาจะมาช้ีแจงข้อกล่าวหาและแสดง พยานหลกั ฐานหรอื น�ำ พยานบคุ คลมาใหถ้ อ้ ยค�ำ ประกอบการชแ้ี จง  ทง้ั นี้ ตามหลกั เกณฑ์ ทค่ี ณะกรรมการ ป.ป.ท. ก�ำ หนด ในการชี้แจงขอ้ กล่าวหาและการให้ถอ้ ยคำ� ผู้ถูกกลา่ วหามีสิทธินำ�ทนายความ หรอื บคุ คลซง่ึ ผู้ถูกกลา่ วหาไวว้ างใจเขา้ ฟงั การชี้แจงหรือให้ถ้อยคำ�ของตนได้ มาตรา ๓๗ ก่อนท่ีคณะกรรมการ ป.ป.ท. มีมติว่าเจ้าหน้าที่ของรัฐผู้ใด กระท�ำ การทุจรติ ในภาครฐั ถา้ คณะกรรมการ ป.ป.ท. มีมตวิ า่ การทเ่ี จ้าหนา้ ท่ขี องรฐั ผู้ถูกกล่าวหายังอยู่ในตำ�แหน่งหน้าท่ีต่อไป จะเป็นอุปสรรคต่อการไต่สวนข้อเท็จจริง สมควรส่ังพักราชการ พักงานหรือให้พ้นจากตำ�แหน่งหน้าท่ีของเจ้าหน้าท่ีของรัฐ ผถู้ กู กลา่ วหานน้ั ไวก้ อ่ น ใหค้ ณะกรรมการ ป.ป.ท. สง่ เรอ่ื งใหผ้ บู้ งั คบั บญั ชาของผถู้ กู กลา่ วหา ดำ�เนินการส่ังพักราชการ พักงานหรือให้พ้นจากตำ�แหน่งหน้าท่ี แล้วแต่กรณี ตามกฎหมาย ระเบยี บ หรอื ขอ้ บงั คบั วา่ ดว้ ยการบรหิ ารงานบคุ คลทใี่ ชบ้ งั คบั แกเ่ จา้ หนา้ ท่ี ของรัฐผถู้ กู กล่าวหานั้น ในกรณที ผ่ี บู้ งั คบั บญั ชาของเจา้ หนา้ ทข่ี องรฐั ไมเ่ หน็ ดว้ ยกบั มตขิ องคณะกรรมการ ป.ป.ท. ตามวรรคหน่ึง ให้เสนอเร่ืองต่อนายกรัฐมนตรีในฐานะหัวหน้ารัฐบาล เพ่ือพิจารณา เม่ือนายกรัฐมนตรีวินิจฉัยประการใด ให้ผู้บังคับบัญชาดำ�เนินการ ไปตามคำ�วนิ จิ ฉัยน้ัน ในกรณที ผี่ ลการไตส่ วนขอ้ เทจ็ จรงิ ปรากฏวา่ ขอ้ กลา่ วหาเจา้ หนา้ ทขี่ องรฐั ผนู้ นั้ ไมม่ มี ลู ใหค้ ณะกรรมการ ป.ป.ท. แจง้ ใหผ้ บู้ งั คบั บญั ชาของเจา้ หนา้ ทขี่ องรฐั ผนู้ นั้ ทราบ ภายในเจด็ วันนบั แตว่ ันท่มี ีมติ และให้ผูบ้ ังคบั บญั ชาดำ�เนนิ การส่ังให้เจา้ หนา้ ท่ีของรัฐ ผู้น้ันกลับเข้ารับราชการหรือกลับเข้าทำ�งานตามกฎหมาย ระเบียบ หรือข้อบังคับ ทีใ่ ชบ้ ังคบั แกเ่ จา้ หน้าทขี่ องรัฐผนู้ ั้น มาตรา ๓๘ หา้ มมใิ หก้ รรมการ อนกุ รรมการ พนกั งาน ป.ป.ท. หรอื เจา้ หนา้ ท่ี ป.ป.ท. กระทำ�การใด ๆ อันเป็นการล่อลวงหรือขู่เข็ญ หรือให้สัญญากับผู้ถูกกล่าวหา หรือพยาน เพอ่ื จงู ใจให้ผนู้ นั้ ใหถ้ อ้ ยคำ�ใด ๆ ในเร่อื งทไ่ี ต่สวนข้อเท็จจรงิ ถอ้ ยคำ�ใดทไี่ ด้มาโดยฝ่าฝืนวรรคหน่ึงไม่อาจรบั ฟงั เป็นพยานหลักฐานได้

ส�ำ นกั งานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจรติ ในภาครฐั (ส�ำ นกั งาน ป.ป.ท.) 21 มาตรา ๓๙ เมื่อดำ�เนินการไต่สวนข้อเท็จจริงเสร็จแล้ว ให้จัดทำ�สำ�นวน การไต่สวนข้อเทจ็ จรงิ เสนอตอ่ คณะกรรมการ ป.ป.ท. ตามหลักเกณฑท์ ีค่ ณะกรรมการ ป.ป.ท. กำ�หนด เพอื่ ประโยชนแ์ หง่ ความเปน็ ธรรม คณะกรรมการ ป.ป.ท. จะสงั่ ใหม้ กี ารไตส่ วน ขอ้ เท็จจริงเพ่มิ เตมิ หรือต้ังคณะอนุกรรมการเพื่อไต่สวนข้อเทจ็ จริงใหมก่ ็ได้ มาตรา ๔๐ เมื่อคณะกรรมการ ป.ป.ท. มมี ติวา่ เจา้ หน้าท่ีของรัฐผู้ใดกระทำ� การทุจริตในภาครัฐ และเป็นกรณีมีมูลความผิดทางวินัย ให้ประธานกรรมการ ส่งรายงานและเอกสารท่ีมีอยู่พร้อมทั้งความเห็นไปยังผู้บังคับบัญชาหรือผู้มีอำ�นาจ แต่งตั้งถอดถอนผู้ถูกกล่าวหาผู้นั้น เพ่ือพิจารณาโทษทางวินัยตามฐานความผิด ท่ีคณะกรรมการ ป.ป.ท. ได้มีมติโดยไม่ต้องแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยอีก ในการพจิ ารณาโทษทางวนิ ยั แกผ่ ถู้ กู กลา่ วหา ใหถ้ อื วา่ รายงาน เอกสาร และความเหน็ ของคณะกรรมการ ป.ป.ท. เป็นสำ�นวนการสอบสวนทางวินัยของคณะกรรมการ สอบสวนวินัย ตามกฎหมาย ระเบียบ หรือข้อบังคับว่าด้วยการบริหารงานบุคคล ของผถู้ ูกกลา่ วหานั้น ๆ แล้วแต่กรณี สำ�หรับผู้ถูกกล่าวหาซึ่งไม่มีกฎหมาย ระเบียบ หรือข้อบังคับเกี่ยวกับวินัย เม่ือคณะกรรมการ ป.ป.ท. มีมติว่าผู้ถูกกล่าวหาดังกล่าวได้กระทำ�ผิดในเร่ือง ที่ถูกกล่าวหา ให้ประธานกรรมการส่งรายงานและเอกสารท่ีมีอยู่พร้อมท้ังความเห็น ของคณะกรรมการ ป.ป.ท. ไปยังผู้บังคับบัญชาหรือผู้มีอำ�นาจแต่งต้ังถอดถอน เพ่ือดำ�เนินการตามอำ�นาจหนา้ ทตี่ ่อไป มาตรา ๔๑ เมอ่ื ไดร้ บั รายงานตามมาตรา ๔๐ ใหผ้ บู้ งั คบั บญั ชาหรอื ผมู้ อี �ำ นาจ แ ต่ ง ต้ั ง ถ อ ด ถ อ น พิ จ า ร ณ า ล ง โ ท ษ ภ า ย ใ น ส า ม สิ บ วั น นั บ แ ต่ วั น ที่ ไ ด้ รั บ เ รื่ อ ง และให้ผู้บังคับบัญชาหรือผู้มีอำ�นาจแต่งต้ังถอดถอนส่งสำ�เนาคำ�ส่ังลงโทษดังกล่าว ไปใหค้ ณะกรรมการ ป.ป.ท. ทราบภายในสบิ ห้าวันนบั แต่วนั ท่ีไดอ้ อกค�ำ สง่ั มาตรา ๔๒ ผบู้ งั คบั บญั ชาหรอื ผมู้ อี �ำ นาจแตง่ ตง้ั ถอดถอนผใู้ ดละเลยไมด่ �ำ เนนิ การ ตามมาตรา ๔๑ ให้ถือว่าผู้บังคับบัญชาหรือผู้มีอำ�นาจแต่งตั้งถอดถอนผู้นั้นกระทำ� ความผิดวินัยหรือกฎหมายตามกฎหมาย ระเบียบ หรือข้อบังคับว่าด้วยการบริหาร งานบคุ คลของผถู้ กู กล่าวหาน้นั ๆ

22 พระราชบญั ญตั มิ าตรการของฝา่ ยบริหารในการปอ้ งกนั และปราบปรามการทุจรติ พ.ศ. ๒๕๕๑ และที่แก้ไขเพิ่มเตมิ มาตรา ๔๓ ในกรณีท่ผี ้บู ังคับบัญชาของผ้ถู ูกกล่าวหาไม่ดำ�เนินการทางวินัย ตามมาตรา ๔๑ หรอื คณะกรรมการ ป.ป.ท. เหน็ วา่ การด�ำ เนนิ การทางวนิ ยั ของผบู้ งั คบั บญั ชา ตามมาตรา ๔๑ ไม่ถกู ตอ้ งหรอื ไม่เหมาะสมใหค้ ณะกรรมการ ป.ป.ท. เสนอความเห็น ไปยังนายกรัฐมนตรี และให้นายกรัฐมนตรีมีอำ�นาจสั่งการตามที่เห็นสมควร หรอื ในกรณที จี่ �ำ เปน็ คณะกรรมการ ป.ป.ท. จะสง่ เรอื่ งใหค้ ณะกรรมการขา้ ราชการพลเรอื น ตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบข้าราชการพลเรือน หรือคณะกรรมการอ่ืนซึ่งมีหน้าที่ ควบคุมดูแลการปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบ หรือข้อบังคับว่าด้วยการบริหารงาน บุคคลสำ�หรับเจ้าหน้าท่ีของรัฐ หรือคณะกรรมการท่ีทำ�หน้าที่บริหารรัฐวิสาหกิจ หรือผู้สั่งแต่งตั้งกรรมการ อนุกรรมการ ลูกจ้างของส่วนราชการ หน่วยงานของรัฐ หรอื รัฐวิสาหกิจ แล้วแต่กรณี พจิ ารณาด�ำ เนนิ การตามอำ�นาจหน้าทีเ่ พ่ือให้มกี ารด�ำ เนินการ ท่ีถกู ต้องเหมาะสมตอ่ ไปกไ็ ด้ มาตรา ๔๔ ผู้ถูกกล่าวหาท่ีถูกลงโทษตามมาตรา ๔๑ จะใช้สิทธิอุทธรณ์ ดุลพินิจในการกำ�หนดโทษของผู้บังคับบัญชาตามกฎหมาย ระเบียบ หรือข้อบังคับ วา่ ดว้ ยการบรหิ ารงานบคุ คลส�ำ หรบั ผถู้ กู กลา่ วหานนั้ ๆ กไ็ ด ้  ทงั้ น้ี ตอ้ งใชส้ ทิ ธดิ งั กลา่ ว ภายในสามสบิ วนั นับแตว่ นั ทีไ่ ด้รับทราบค�ำ สง่ั ดังกลา่ ว มาตรา ๔๕ ในกรณีที่การกระทำ�ของเจ้าหน้าที่ของรัฐตามมาตรา ๔๐ เปน็ ความผดิ ทางอาญาดว้ ย ใหค้ ณะกรรมการ ป.ป.ท. สง่ เรอ่ื งพรอ้ มทง้ั ส�ำ นวนการไตส่ วน ขอ้ เทจ็ จรงิ รายงาน เอกสาร และความเหน็ ของคณะกรรมการ ป.ป.ท. ใหพ้ นกั งานอยั การ ดำ�เนินคดีต่อไป โดยให้ถือว่าการดำ�เนินการและสำ�นวนการไต่สวนข้อเท็จจริง ของคณะกรรมการ ป.ป.ท. เปน็ การสอบสวนและส�ำ นวนการสอบสวนของพนกั งานสอบสวน ตามประมวลกฎหมายวธิ ีพิจารณาความอาญา ในกรณีที่พนักงานอัยการมีความเห็นว่าข้อเท็จจริง รายงาน เอกสาร หรือความเห็นของคณะกรรมการ ป.ป.ท. ท่ีได้รับยังไม่สมบูรณ์พอท่ีจะดำ�เนินคดีได้ ให้พนักงานอัยการแจ้งให้คณะกรรมการ ป.ป.ท. ทราบเพ่ือไต่สวนข้อเท็จจริง เพิ่มเติม โดยให้ระบุข้อที่ไม่สมบูรณ์น้ันให้ครบถ้วนในคราวเดียวกัน ในกรณีจำ�เป็น คณะกรรมการ ป.ป.ท. จะร่วมกับอัยการสูงสุดต้ังคณะทำ�งานร่วมกันเพ่ือไต่สวน ข้อเทจ็ จริงเพม่ิ เตมิ กไ็ ด้

สำ�นกั งานคณะกรรมการปอ้ งกนั และปราบปรามการทจุ รติ ในภาครฐั (สำ�นกั งาน ป.ป.ท.) 23 ในกรณีที่พนักงานอัยการเห็นควรส่ังไม่ฟ้อง แต่คณะกรรมการ ป.ป.ท. มีมติ ยนื ยนั ใหฟ้ อ้ ง ใหส้ ง่ เรอื่ งใหอ้ ยั การสงู สดุ วนิ จิ ฉยั ค�ำ วนิ จิ ฉยั ของอยั การสงู สดุ ใหเ้ ปน็ ทสี่ ดุ บทบัญญัติในมาตรานี้ให้นำ�มาใช้บังคับในกรณีท่ีพนักงานอัยการย่ืนอุทธรณ์ ฎกี า หรือถอนฟอ้ ง ถอนอุทธรณ์ ถอนฎีกา โดยอนุโลม มาตรา ๔๖ ในกรณีท่ีพนักงานอัยการมีคำ�สั่งฟ้องและจำ�เป็นต้องนำ� ตวั ผถู้ กู กลา่ วหาไปศาลใหแ้ จง้ ใหผ้ ถู้ กู กลา่ วหามาพบพนกั งานอยั การตามเวลาทก่ี �ำ หนด และในกรณีมีความจำ�เป็นต้องจับตัวผู้ถูกกล่าวหา ให้พนักงานอัยการแจ้งพนักงาน ฝ่ายปกครองหรือตำ�รวจท่ีมีเขตอำ�นาจเหนือท้องท่ีที่ผู้ถูกกล่าวหามีภูมิลำ�เนาหรือท่ีอยู่ เป็นผู้ดำ�เนินการ และเพื่อการน้ีให้ผู้บังคับบัญชา หรือผู้มีอำ�นาจแต่งต้ังถอดถอนเจ้าหน้าที่ ของรัฐผู้ถูกกล่าวหา พนักงานฝ่ายปกครองหรือตำ�รวจดังกล่าว มีอำ�นาจร้องขอต่อ ศาลทีม่ ีเขตอำ�นาจเหนือทอ้ งท่นี น้ั ให้ออกหมายจบั ได ้  ทง้ั นี้ ใหน้ ำ�บทบัญญตั เิ รือ่ งการ จบั การขงั และการปลอ่ ยตามประมวลกฎหมายวธิ ีพิจารณาความอาญามาใชบ้ ังคับ ในกรณีที่มีการจับกุม ให้พนักงานฝ่ายปกครองหรือตำ�รวจส่งตัวผู้ถูกจับ พรอ้ มทงั้ บนั ทกึ การจบั ไปยงั ศาลแลว้ แจง้ ใหพ้ นกั งานอยั การทราบภายในสส่ี บิ แปดชวั่ โมง มาตรา ๔๗ ๑๗ กรณีที่ผู้ถูกกล่าวหาเป็นบุคคลท่ีอยู่ในอำ�นาจศาลทหาร ในการด�ำ เนนิ คดอี าญาตามมาตรา ๔๕ และมาตรา ๔๖ ใหเ้ ปน็ อ�ำ นาจหนา้ ทข่ี องอยั การทหาร ในกรณีเช่นนั้นอำ�นาจของอัยการสูงสุดตามมาตรา ๔๕ วรรคสาม ให้เป็นอำ�นาจ ของเจา้ กรมพระธรรมนญู มาตรา ๔๘ ในการไต่สวนข้อเท็จจริง ถ้าคณะกรรมการ ป.ป.ท. เห็นควร ตรวจสอบทรัพย์สินและหน้ีสินของเจ้าหน้าท่ีของรัฐผู้ถูกกล่าวหา และเป็นกรณี ทเี่ จา้ หนา้ ทข่ี องรฐั ผนู้ น้ั ตอ้ งยน่ื บญั ชแี สดงรายการทรพั ยส์ นิ และหนส้ี นิ ไวต้ อ่ คณะกรรมการ ป.ป.ช. แล้ว ให้คณะกรรมการ ป.ป.ท. ขอความร่วมมือจากคณะกรรมการ ป.ป.ช. ใหส้ ง่ บญั ชแี สดงรายการทรพั ยส์ นิ และหนสี้ นิ ทยี่ น่ื ไวม้ าใหต้ รวจสอบได้ แตถ่ า้ เปน็ กรณี ท่ีเจ้าหน้าที่ของรัฐผู้ถูกกล่าวหามิได้เป็นผู้ที่ต้องย่ืนบัญชีแสดงรายการทรัพย์สิน ๑๗ มาตรา ๔๗ แก้ไขเพ่ิมเติมโดยพระราชบัญญัติมาตรการของฝ่ายบริหารในการป้องกัน และปราบปรามการทจุ ริต (ฉบบั ที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๙

24 พระราชบัญญตั มิ าตรการของฝ่ายบริหารในการปอ้ งกนั และปราบปรามการทจุ ริต พ.ศ. ๒๕๕๑ และท่ีแก้ไขเพมิ่ เติม และหนส้ี นิ ไวต้ อ่ คณะกรรมการ ป.ป.ช. ใหค้ ณะกรรมการ ป.ป.ท. มอี �ำ นาจสงั่ ใหเ้ จา้ หนา้ ที่ ของรัฐผู้นั้นย่ืนบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินของตน คู่สมรส และบุตร ทยี่ งั ไมบ่ รรลนุ ติ ภิ าวะตอ่ คณะกรรมการป.ป.ท.ตามรายการและภายในเวลาทค่ี ณะกรรมการป.ป.ท. กำ�หนดได้ ในการไต่สวนตามวรรคหน่ึงหรอื ในกรณีอน่ื ใดที่คณะกรรมการ ป.ป.ท. มีเหตุ อันควรสงสัยว่าเจ้าหน้าท่ีของรัฐผู้ถูกกล่าวหารํ่ารวยผิดปกติหรือมีทรัพย์สินเพิ่มขึ้น ผดิ ปกตใิ หส้ ง่ เรอื่ งทงั้ หมดพรอ้ มทงั้ ส�ำ นวนการไตส่ วนและเอกสารหลกั ฐานทเี่ กยี่ วขอ้ ง ให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. ดำ�เนินการตามอำ�นาจหน้าที่ต่อไป ในกรณีเช่นน้ัน คณะกรรมการ ป.ป.ช. จะถอื เอาส�ำ นวนการไตส่ วนขอ้ เทจ็ จรงิ ของคณะกรรมการ ป.ป.ท. เปน็ ส�ำ นวนการไตส่ วนขอ้ เทจ็ จรงิ ของคณะกรรมการ ป.ป.ช. โดยจะไตส่ วนขอ้ เทจ็ จรงิ เพิม่ เติมดว้ ยหรอื ไม่กไ็ ด้ ในกรณีท่ีคณะกรรมการ ป.ป.ช. ไต่สวนแล้วเห็นว่าเจ้าหน้าที่ของรัฐผู้น้ัน มไิ ดร้ าํ่ รวยผดิ ปกตหิ รอื มไิ ดม้ ที รพั ยส์ นิ เพม่ิ ขนึ้ ผดิ ปกติ แตม่ กี รณตี อ้ งด�ำ เนนิ การเกย่ี วกบั การทจุ รติ ในภาครัฐ คณะกรรมการ ป.ป.ช. จะสง่ เร่อื งคนื ให้คณะกรรมการ ป.ป.ท. ด�ำ เนนิ การตามอ�ำ นาจหนา้ ท่ี หรอื จะไตส่ วนและชม้ี ลู ตามอ�ำ นาจหนา้ ทข่ี องตนตอ่ ไปกไ็ ด้ มาตรา ๔๙ ในกรณีที่คณะกรรมการ ป.ป.ท. มีมติว่าข้อกล่าวหาใดมีมูล นอกจากดำ�เนินการตามมาตรา ๔๐ หรือมาตรา ๔๕ แล้ว หากปรากฏว่าเจ้าหนา้ ที่ ของรฐั ผถู้ กู กลา่ วหาไดอ้ นมุ ตั ิ อนญุ าต ออกเอกสารสทิ ธิ ใหส้ ทิ ธปิ ระโยชนห์ รอื การสงั่ การใด ๆ แกบ่ คุ คลใดโดยมชิ อบ หรอื อาจเปน็ เหตใุ หเ้ สยี หายแกท่ างราชการ ใหค้ ณะกรรมการ ป.ป.ท. แจ้งให้หัวหน้าหน่วยงานท่ีเก่ียวข้องพิจารณาดำ�เนินการส่ังยกเลิกหรือเพิกถอน การอนมุ ตั ิ อนญุ าต ออกเอกสารสทิ ธิ ใหส้ ทิ ธปิ ระโยชน์ หรอื การสง่ั การใด ๆ นน้ั ตอ่ ไปดว้ ย มาตรา ๕๐ เจ้าหน้าท่ีของรัฐผู้ใดถูกกล่าวหาว่ากระทำ�การทุจริตในภาครัฐ และคณะกรรมการ ป.ป.ท. มีมติรับไว้พิจารณาตามพระราชบัญญัตินี้ แม้ภายหลัง เจา้ หนา้ ทขี่ องรฐั ผนู้ น้ั จะพน้ จากการเปน็ เจา้ หนา้ ทข่ี องรฐั ไปแลว้ ดว้ ยเหตอุ นื่ ไมเ่ กนิ หา้ ปี นอกจากตาย ใหค้ ณะกรรมการ ป.ป.ท. มอี �ำ นาจด�ำ เนนิ การตอ่ ไปได้ แตต่ อ้ งด�ำ เนนิ การ ใหแ้ ลว้ เสรจ็ ภายในสองปนี บั แตว่ นั ทผี่ ถู้ กู กลา่ วหานน้ั พน้ จากการเปน็ เจา้ หนา้ ทขี่ องรฐั หรือวันท่ีมีการกล่าวหาเจ้าหน้าที่ของรัฐน้ันในกรณีที่มีการกล่าวหาเม่ือเจ้าหน้าท่ีของรัฐ ผู้นั้นพน้ จากต�ำ แหนง่ แล้วแตก่ รณี

สำ�นักงานคณะกรรมการป้องกนั และปราบปรามการทจุ ริตในภาครฐั (สำ�นกั งาน ป.ป.ท.) 25 ในกรณที คี่ ณะกรรมการ ป.ป.ท. มมี ตวิ า่ ผถู้ กู กลา่ วหาตามวรรคหนงึ่ กระท�ำ การ ทจุ รติ ในภาครฐั ใหผ้ บู้ งั คบั บญั ชาหรอื ผมู้ อี �ำ นาจแตง่ ตง้ั ถอดถอนผถู้ กู กลา่ วหาด�ำ เนนิ การ ตามอำ�นาจหน้าท่ีต่อไปได้เสมือนว่าผู้น้ันยังเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ และในกรณีที่การ กระทำ�ความผิดดังกล่าวเป็นความผิดทางอาญาด้วย ให้คณะกรรมการ ป.ป.ท. ด�ำ เนินการตามมาตรา ๔๕ หมวด ๓ ส�ำ นกั งานคณะกรรมการปอ้ งกนั และปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ                    มาตรา ๕๑ ให้มสี �ำ นกั งานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจรติ ในภาครัฐเป็นส่วนราชการมีฐานะเป็นกรมท่ีไม่สังกัดสำ�นักนายกรัฐมนตรี กระทรวง หรอื ทบวง โดยมเี ลขาธกิ ารเปน็ ผูร้ ับผิดชอบขึน้ ตรงตอ่ นายกรฐั มนตรี มหี น้าท่ีควบคุม ดูแลและรับผิดชอบการปฏิบัติราชการของสำ�นักงานต่อคณะกรรมการ ป.ป.ท. และเป็นผู้บังคับบัญชาข้าราชการและเจ้าหน้าท่ีในสำ�นักงาน โดยมีรองเลขาธิการ เปน็ ผ้ชู ว่ ยส่งั และปฏบิ ัติราชการ ๑๘ สำ�นักงานมีอำ�นาจหน้าท่ดี ังตอ่ ไปนี้ (๑) รบั ผดิ ชอบในงานธรุ การของคณะกรรมการ ป.ป.ท. รวมตลอดทง้ั สนบั สนนุ และอ�ำ นวยความสะดวกให้การปฏิบัตหิ นา้ ที่ของคณะกรรมการ ป.ป.ท. เปน็ ไปอยา่ ง มปี ระสทิ ธภิ าพ (๒) ประสานงานและให้ความร่วมมือกับส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐ อืน่ ทเ่ี ก่ียวขอ้ งกบั การปอ้ งกนั และแก้ไขปญั หาการทุจริต (๓) ประสานงานและให้ความร่วมมือระหว่างประเทศเกี่ยวกับการป้องกัน และปราบปรามการทุจริต ๑๘มาตรา ๕๑ วรรคหนง่ึ แกไ้ ขเพมิ่ เตมิ โดยพระราชบญั ญตั มิ าตรการของฝา่ ยบรหิ ารในการ ปอ้ งกนั และปราบปรามการทุจรติ (ฉบบั ที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๙

26 พระราชบัญญตั ิมาตรการของฝา่ ยบรหิ ารในการปอ้ งกันและปราบปรามการทุจรติ พ.ศ. ๒๕๕๑ และทแี่ ก้ไขเพม่ิ เตมิ (๓/๑) ๑๙ ดำ�เนินการเพื่อส่งเสริมและสนับสนุนให้ประชาชนรวมตัวกัน เพอ่ื มสี ว่ นรว่ มในการปอ้ งกนั และปราบปรามการทจุ รติ รวมตลอดทง้ั รณรงคใ์ หค้ วามรู้ ตอ่ ตา้ น หรือชเ้ี บาะแส รวมทง้ั เสริมสรา้ งทศั นคติ และค่านยิ มเกย่ี วกบั ความซ่อื สัตย์ สุจริตทั้งในภาครฐั และภาคเอกชน (๔) รวบรวมและเผยแพร่ขอ้ มูลเกยี่ วกบั การทจุ รติ (๕) จัดให้มีหรือให้ความร่วมมือกับองค์กรอื่นในการศึกษาอบรมและพัฒนา ความรู้เกยี่ วกบั การปอ้ งกันและแก้ไขปญั หาการทุจรติ (๖) ปฏบิ ตั กิ ารอน่ื ตามทกี่ �ำ หนดในพระราชบญั ญตั นิ แ้ี ละกฎหมายอนื่ หรอื ตามที่ คณะกรรมการ ป.ป.ท. มอบหมาย เพ่ือประโยชน์ในการปฏิบัติตามอำ�นาจหน้าท่ีใน (๓) ให้สำ�นักงานหารือ และท�ำ ความตกลงร่วมกนั กับสำ�นักงาน ป.ป.ช. ในการดำ�เนินการตาม (๓/๑) ถ้าคณะกรรมการป้องกันและปราบปราม การทจุ รติ แหง่ ชาติ ไดก้ าํ หนดมาตรการและกลไกทเ่ี กย่ี วขอ้ งไว้ ใหส้ �ำ นกั งานใหค้ วามรว่ มมอื และดำ�เนนิ การใหส้ อดคล้องกับมาตรการและกลไกดงั กล่าว๒๐ มาตรา ๕๑/๑๒๑ ใหเ้ ลขาธกิ ารเปน็ ขา้ ราชการพลเรอื นสามญั ซง่ึ นายกรฐั มนตรี น�ำ ความกราบบงั คมทลู เพอ่ื โปรดเกลา้ ฯ แตง่ ตง้ั ตามผลการคดั เลอื กของคณะกรรมการ ป.ป.ท. โดยความเห็นชอบของวฒุ สิ ภา ให้คณะกรรมการ ป.ป.ท. เป็นผู้คัดเลือกบุคคลเพื่อดำ�รงตำ�แหน่งเลขาธิการ แลว้ เสนอนายกรัฐมนตรีด�ำ เนนิ การต่อไป ในการคดั เลือกตามวรรคสอง ใหค้ ณะกรรมการ ป.ป.ท. หารอื กบั คณะกรรมการ ป.ป.ช. ดว้ ย ๑๙มาตรา ๕๑ (๓/๑) เพ่มิ โดยพระราชบัญญตั มิ าตรการของฝา่ ยบรหิ ารในการป้องกนั และ ปราบปรามการทจุ ริต (ฉบบั ท่ี ๓) พ.ศ. ๒๕๖๑ ๒๐มาตรา ๕๑ วรรคส่ี เพม่ิ โดยพระราชบญั ญตั มิ าตรการของฝา่ ยบรหิ ารในการปอ้ งกนั และ ปราบปรามการทจุ ริต (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๖๑ ๒๑ มาตรา ๕๑/๑ เพ่ิมโดยพระราชบัญญัติมาตรการของฝ่ายบริหารในการป้องกันและ ปราบปรามการทจุ รติ (ฉบบั ท่ี ๒) พ.ศ. ๒๕๕๙

สำ�นักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทจุ ริตในภาครฐั (ส�ำ นักงาน ป.ป.ท.) 27 เพื่อประโยชน์ในการปฏิบัติตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบข้าราชการพลเรือน ในสว่ นทเี่ กยี่ วกบั การบรหิ ารงานบคุ คลของส�ำ นกั งาน ใหส้ �ำ นกั งานมคี ณะอนกุ รรมการ สามญั ประจ�ำ กระทรวง โดยใหถ้ อื วา่ ประธานกรรมการมฐี านะเปน็ ประธานอนกุ รรมการ สามัญประจำ�กระทรวง และเลขาธิการมีฐานะเป็นรองประธานอนุกรรมการสามัญ ประจำ�กระทรวง มาตรา ๕๑/๒๒๒ ในการดําเนินการตามมาตรา ๕๑ วรรคสอง (๓/๑) ให้คณะกรรมการ ป.ป.ท. แต่งต้ังคณะกรรมการขึ้นคณะหน่ึงเพ่ือให้คําเสนอแนะ ชว่ ยเหลอื และรว่ มมอื กันดาํ เนินการกับสํานกั งาน คณะกรรมการตามวรรคหนงึ่ ใหป้ ระกอบดว้ ยเลขาธกิ ารเปน็ ประธานกรรมการ รองเลขาธิการ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจรติ แห่งชาตทิ ี่เลขาธกิ าร คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติมอบหมาย ผู้แทนจาก ภาคเอกชนและภาคประชาสงั คมทเ่ี กยี่ วขอ้ งกบั การปอ้ งกนั และปราบปรามการทจุ รติ ไม่เกินสี่คน และผู้ทรงคุณวุฒิไม่เกินสามคน เป็นกรรมการ โดยให้เลขาธิการแต่งตั้ง ขา้ ราชการในสํานกั งานเปน็ เลขานกุ ารหนงึ่ คน และผ้ชู ่วยเลขานกุ ารไมเ่ กนิ สองคน การแต่งต้ังผู้แทนจากภาคเอกชนและภาคประชาสังคม และผู้ทรงคุณวุฒิ ตามวรรคสอง ใหเ้ ป็นไป ตามหลกั เกณฑ์และวิธีการที่คณะกรรมการ ป.ป.ท. กาํ หนด โดยใหผ้ แู้ ทนจากภาคเอกชนและ ภาคประชาสงั คม และผทู้ รงคณุ วฒุ ิ มวี าระการดาํ รง ตําแหนง่ คราวละสามปี ให้ประธานกรรมการและกรรมการตามวรรคสองได้รับเบ้ียประชุม และประโยชน์ตอบแทนอยา่ งอื่น ตามระเบียบทีค่ ณะรัฐมนตรีกาํ หนด มาตรา ๕๒๒๓ ให้พนักงาน ป.ป.ท. เจ้าหน้าที่ ป.ป.ท. และข้าราชการ ในส�ำ นกั งานเปน็ ผดู้ �ำ รงต�ำ แหนง่ ทมี่ เี หตพุ เิ ศษตามกฎหมายวา่ ดว้ ยระเบยี บขา้ ราชการ พลเรือน ๒๒ มาตรา ๕๑/๒ เพิ่มโดยพระราชบัญญัติมาตรการของฝ่ายบริหารในการป้องกันและ ปราบปรามการทจุ รติ (ฉบับท่ี ๓) พ.ศ. ๒๕๖๑ ๒๓ มาตรา ๕๒ แก้ไขเพ่ิมเติมโดยพระราชบัญญัติมาตรการของฝ่ายบริหารในการป้องกัน และปราบปรามการทจุ รติ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๙

28 พระราชบญั ญตั มิ าตรการของฝ่ายบริหารในการป้องกันและปราบปรามการทจุ ริต พ.ศ. ๒๕๕๑ และทีแ่ ก้ไขเพมิ่ เตมิ ให้พนักงาน ป.ป.ท. และเจ้าหน้าที่ ป.ป.ท. ได้รับเงินเพ่ิมสำ�หรับตำ�แหน่ง ในทำ�นองเดียวกันกับค่าตอบแทนพิเศษประจำ�ตำ�แหน่งพนักงานไต่สวนและผู้ช่วย พนักงานไต่สวนตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกัน และปราบปรามการทุจริต    ท้ังนี้ ตามระเบียบที่คณะกรรมการ ป.ป.ท. กำ�หนด โดยความเหน็ ชอบของกระทรวงการคลัง มาตรา ๕๒/๑๒๔  การแตง่ ตงั้ พนกั งาน ป.ป.ท. ตามพระราชบญั ญตั นิ ้ี ใหแ้ ตง่ ตงั้ จากข้าราชการพลเรือนในสังกัดสำ�นักงาน ซ่ึงดำ�รงตำ�แหน่งในระดับไม่ตํ่ากว่า ชำ�นาญการหรือเทียบเทา่ ข้ึนไป และมีคณุ สมบัติอยา่ งใดอย่างหนึ่ง ดังต่อไปนี้ด้วย (๑) สำ�เร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีทางกฎหมายและสอบไล่ได้ เป็นเนติบัณฑิตตามหลักสูตรของสำ�นักอบรมศึกษากฎหมายแห่งเนติบัณฑิตยสภา และเปน็ ผทู้ ม่ี คี วามรแู้ ละประสบการณใ์ นการสอบสวนขอ้ เทจ็ จรงิ และวนิ จิ ฉยั คดี หรอื การ ให้ความเหน็ ทางกฎหมายไมน่ อ้ ยกวา่ หกปี (๒) สำ�เร็จการศึกษาระดับปริญญาโททางกฎหมายและสอบไล่ได้ เป็นเนติบัณฑิตตามหลักสูตรของสำ�นักอบรมศึกษากฎหมายแห่งเนติบัณฑิตยสภา และเปน็ ผทู้ ม่ี คี วามรแู้ ละประสบการณใ์ นการสอบสวนขอ้ เทจ็ จรงิ และวนิ จิ ฉยั คดี หรอื การให้ ความเหน็ ทางกฎหมายไม่น้อยกวา่ สี่ปี (๓) สำ�เร็จการศึกษาระดับปริญญาเอกทางกฎหมาย และเป็นผู้ท่ีมีความรู้ และประสบการณ์ในการสอบสวนข้อเท็จจริงและวินิจฉัยคดี หรือการให้ความเห็น ทางกฎหมายไมน่ อ้ ยกวา่ สองปี แตถ่ า้ สอบไลไ่ ดเ้ ปน็ เนตบิ ณั ฑติ ตามหลกั สตู รของส�ำ นกั อบรมศึกษากฎหมายแหง่ เนตบิ ณั ฑิตยสภาด้วย ระยะเวลาสองปใี หล้ ดเหลือหนึ่งปี (๔) สำ�เร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีทางกฎหมาย หรือสำ�เร็จการศึกษา ระดบั ปรญิ ญาตรอี ยา่ งนอ้ ยสองสาขา หรอื ส�ำ เรจ็ การศกึ ษาระดบั ปรญิ ญาโท และเปน็ ผู้ ที่มีความรู้และประสบการณ์ในการสอบสวนข้อเท็จจริงและวินิจฉัยคดี หรือการให้ ความเหน็ ทางกฎหมายไมน่ ้อยกวา่ แปดปี ๒๔ มาตรา ๕๒/๑ เพิ่มโดยพระราชบัญญัติมาตรการของฝ่ายบริหารในการป้องกันและ ปราบปรามการทจุ ริต (ฉบบั ท่ี ๒) พ.ศ. ๒๕๕๙

สำ�นกั งานคณะกรรมการปอ้ งกันและปราบปรามการทุจรติ ในภาครฐั (ส�ำ นกั งาน ป.ป.ท.) 29 (๕) สำ�เร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีในสาขาวิชาท่ีขาดแคลนและจะยัง ประโยชน์ต่อการดำ�เนินการไต่สวนของสำ�นักงานเป็นอย่างยิ่ง และผ่านการอบรม หลักสูตรการไต่สวน    ทั้งนี้ ตามท่ีคณะกรรมการ ป.ป.ท. กำ�หนด และรับราชการ ในส�ำ นกั งานหรอื ส�ำ นกั งาน ป.ป.ช. มาแลว้ ไมน่ อ้ ยกวา่ ระยะเวลาทค่ี ณะกรรมการ ป.ป.ท. กำ�หนด ซึ่งต้องไมน่ ้อยกว่าสีป่ ี มาตรา ๕๓ เพอ่ื ประโยชนใ์ นการปฏบิ ตั ติ ามพระราชบญั ญตั นิ ้ี ส�ำ นกั งานอาจ จัดให้มมี าตรการคุม้ ครองเบื้องตน้ สำ�หรับผ้กู ลา่ วหา ผูเ้ สียหาย ผทู้ �ำ ค�ำ รอ้ ง ผู้รอ้ งทกุ ข์ กล่าวโทษ ผู้ให้ถอ้ ยคำ�หรือผู้ท่แี จ้งเบาะแส หรือข้อมูลใดเก่ยี วกับการทุจรติ ในภาครัฐ หรือข้อมูลอื่นอันเป็นประโยชน์ต่อการดำ�เนินการตามพระราชบัญญัตินี้    ท้ังนี้ ตามระเบียบท่ีคณะกรรมการ ป.ป.ท. กำ�หนด มาตรา ๕๔    ในกรณีท่ีคณะกรรมการ ป.ป.ท. เห็นว่าคดีใดสมควรให้จัด ใหม้ ีมาตรการค้มุ ครองช่วยเหลือแกบ่ ุคคลตามมาตรา ๕๓ ให้คณะกรรมการ ป.ป.ท. แจง้ ใหห้ นว่ ยงานทเี่ กย่ี วขอ้ งเพอื่ ด�ำ เนนิ การใหม้ มี าตรการในการคมุ้ ครองบคุ คลดงั กลา่ ว โดยใหถ้ อื วา่ บคุ คลดงั กลา่ วเปน็ พยานทม่ี สี ทิ ธไิ ดร้ บั ความคมุ้ ครองตามกฎหมายวา่ ดว้ ย การคมุ้ ครองพยานในคดอี าญา  ทง้ั นี้ ใหค้ ณะกรรมการ ป.ป.ท. เสนอความเหน็ ดว้ ยวา่ สมควรใชม้ าตรการทว่ั ไป หรอื มาตรการพเิ ศษตามกฎหมายวา่ ดว้ ยการคมุ้ ครองพยาน ในคดอี าญาส�ำ หรบั บคุ คลดังกลา่ วดว้ ย ในกรณเี กดิ ความเสยี หายแกช่ วี ติ รา่ งกาย อนามยั ชอ่ื เสยี ง ทรพั ยส์ นิ หรอื สทิ ธิ อย่างหนึ่งอย่างใดของบุคคลตามวรรคหนึ่งหรือสามี ภริยา ผู้บุพการี ผู้สืบสันดาน หรอื บคุ คลอน่ื ทม่ี คี วามสมั พนั ธใ์ กลช้ ดิ กบั บคุ คลดงั กลา่ ว เพราะมกี ารกระท�ำ ผดิ อาญา โดยเจตนา เนื่องจากการดำ�เนินการหรือการใหถ้ อ้ ยคำ� หรือแจง้ เบาะแส หรือขอ้ มูล ต่อคณะกรรมการ ป.ป.ท. ให้บุคคลนั้นมีสิทธิย่ืนคำ�ร้องต่อหน่วยงานที่รับผิดชอบ เพอื่ ขอรบั คา่ ตอบแทนเทา่ ทจี่ �ำ เปน็ และสมควรตามกฎหมายวา่ ดว้ ยการคมุ้ ครองพยาน ในคดีอาญาดว้ ย มาตรา ๕๕  คณะกรรมการ ป.ป.ท. อาจจดั ใหม้ รี างวลั ตอบแทนหรอื ประโยชน์ อื่นใดแกบ่ ุคคลตามมาตรา ๕๓ ตามระเบียบท่คี ณะกรรมการ ป.ป.ท. ก�ำ หนด

30 พระราชบญั ญตั ิมาตรการของฝ่ายบริหารในการป้องกนั และปราบปรามการทุจรติ พ.ศ. ๒๕๕๑ และที่แก้ไขเพ่มิ เติม มาตรา ๕๖ ในกรณีบุคคลตามมาตรา ๕๓ เป็นเจ้าหน้าท่ีของรัฐ และคณะกรรมการ ป.ป.ท. เหน็ วา่ การด�ำ เนนิ การหรอื ใหถ้ อ้ ยค�ำ หรอื แจง้ เบาะแสหรอื ขอ้ มลู ของบุคคลดังกล่าวเป็นประโยชน์ต่อการป้องกันและปราบปรามการทุจริตอย่างยิ่ง และสมควรได้รับการยกย่องให้เป็นแบบอย่างแก่เจ้าหน้าท่ีของรัฐและประชาชน โดยทว่ั ไป คณะกรรมการ ป.ป.ท. อาจเสนอคณะรฐั มนตรเี พอื่ การพจิ ารณาเลอ่ื นขนั้ เงนิ เดอื น และระดบั ต�ำ แหนง่ ให้แกบ่ ุคคลน้ันเปน็ กรณีพเิ ศษกไ็ ด ้  ทงั้ น้ี ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเง่อื นไขที่คณะกรรมการ ป.ป.ท. ก�ำ หนด โดยความเหน็ ชอบของคณะรฐั มนตรี มาตรา ๕๗  ในกรณบี คุ คลตามมาตรา ๕๓ เปน็ เจา้ หนา้ ทขี่ องรฐั เมอื่ บคุ คลนน้ั รอ้ งขอต่อคณะกรรมการ ป.ป.ท. วา่ หากยังคงปฏิบตั หิ น้าที่ในสังกดั เดมิ ต่อไป อาจถกู กล่ันแกล้งหรือได้รับการปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรม อันเน่ืองจากการกล่าวหาหรือ การใหถ้ อ้ ยค�ำ หรอื แจง้ เบาะแสหรอื ขอ้ มลู นนั้ และคณะกรรมการ ป.ป.ท. พจิ ารณาแลว้ เหน็ วา่ มเี หตอุ ันควรเชื่อได้วา่ น่าจะมีเหตุดังกลา่ ว ให้เสนอต่อนายกรฐั มนตรเี พ่อื พจิ ารณา สั่งการให้ได้รับความคุ้มครองหรอื มมี าตรการอ่นื ใดตามท่เี หน็ สมควรตอ่ ไป มาตรา ๕๘ บุคคลหรือผู้ถูกกล่าวหารายใดซึ่งมีส่วนเกี่ยวข้องในการกระทำ� ผดิ กบั เจ้าหน้าทขี่ องรัฐซึ่งเปน็ ผถู้ กู กลา่ วหารายอน่ื หากได้ใหถ้ อ้ ยคำ�หรือแจง้ เบาะแส หรอื ขอ้ มลู อนั เปน็ สาระส�ำ คญั ในการทจี่ ะใชเ้ ปน็ พยานในการวนิ จิ ฉยั ชมี้ ลู การกระท�ำ ผดิ ของเจ้าหน้าที่ของรัฐรายอื่นนั้น หากคณะกรรมการ ป.ป.ท. เห็นสมควรจะกัน ผู้นั้นไว้เป็นพยานโดยไม่ดำ�เนินคดีก็ได้  ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไข ทคี่ ณะกรรมการ ป.ป.ท. ก�ำ หนด เมื่อคณะกรรมการ ป.ป.ท. มีมติให้กันบุคคลไว้เป็นพยานตามวรรคหน่ึงแล้ว ห้ามมิให้ดําเนินคดีอาญาหรือดําเนินการทางวินัยกับบุคคลซ่ึงถูกกันไว้เป็นพยานน้ัน และบุคคลน้ันอาจไดร้ ับความช่วยเหลือได้ตามสมควรจนคดีถงึ ท่ีสดุ เว้นแตบ่ ุคคลนน้ั ฝ่าฝนื หลกั เกณฑ์ วธิ กี าร หรอื เงื่อนไข การกันไว้เปน็ พยานตามวรรคหนึง่ ๒๕ ๒๕ มาตรา ๕๘ วรรคสอง เพ่มิ โดยพระราชบัญญตั ิมาตรการของฝ่ายบริหารในการป้องกนั และปราบปรามการทุจรติ (ฉบบั ท่ี ๓) พ.ศ. ๒๕๖๑

ส�ำ นกั งานคณะกรรมการป้องกนั และปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ส�ำ นกั งาน ป.ป.ท.) 31 การคุ้มครองตามวรรคสอง ย่อมได้รับความคุ้มครองท้ังตำ�แหน่งของพยาน ทดี่ �ำ รงต�ำ แหนง่ อยู่ และการเลอ่ื นขนั้ เงนิ เดอื นรวมถงึ สทิ ธปิ ระโยชนอ์ นื่ ดว้ ย เวน้ แตบ่ คุ คล นนั้ ไมส่ มควรได้รับการคุม้ ครอง เมอื่ คำ�นงึ ถึงพฤตกิ ารณ์และสภาพของการกระทำ�ผิด แล้ว หรือฝา่ ฝืนเงือ่ นไขการกันไว้เป็นพยาน๒๖ หมวด ๓/๑ มาตรการป้องกนั การทุจริตในภาครัฐ๒๗                     มาตรา ๕๘/๑  ในกรณดี งั ตอ่ ไปนี้ ใหค้ ณะกรรมการ ป.ป.ท. พจิ ารณาด�ำ เนนิ การ ตามมาตรา ๑๗ (๒) โดยเร็ว (๑) เม่ือปรากฏว่ากฎหมาย กฎ ข้อบังคับ หรือมาตรการใดล้าสมัย ขาดประสทิ ธภิ าพหรอื ขาดการบงั คบั ใชอ้ ยา่ งทวั่ ถงึ เปน็ ชอ่ งทางใหเ้ จา้ หนา้ ทข่ี องรฐั กระท�ำ การทุจริตในภาครัฐ หรือเป็นเหตุให้เจ้าหน้าที่ของรัฐไม่อาจปฏิบัติหน้าท่ีให้เกิดผลดี ต่อราชการได้ (๒) เม่ือปรากฏว่าการดำ�เนินการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ ไมบ่ รรลผุ ล เพราะไมม่ กี ฎหมาย กฎ ระเบยี บ หรอื ขอ้ บงั คบั เกยี่ วกบั วนิ ยั หรอื มาตรการ ท่ีจำ�เปน็ มาตรา ๕๘/๒๒๘ เมื่อความปรากฏว่าหน่วยงานของรัฐใดมีวิธีปฏิบัติหรือ การด�ำ เนนิ การ ทม่ี ลี กั ษณะอยา่ งหนง่ึ อยา่ งใดดงั ตอ่ ไปน้ี ใหส้ �ำ นกั งานแจง้ ใหห้ วั หนา้ หนว่ ยงานของรฐั ทราบเพ่อื ด�ำ เนินการ ปรบั ปรงุ แก้ไขตอ่ ไป ๒๖ มาตรา ๕๘ วรรคสาม เพิม่ โดยพระราชบญั ญตั ิมาตรการของฝา่ ยบรหิ ารในการปอ้ งกัน และปราบปรามการทจุ ริต (ฉบับท่ี ๓) พ.ศ. ๒๕๖๑ ๒๗ หมวด ๓/๑ มาตรการปอ้ งกนั การทุจริตในภาครัฐ มาตรา ๕๘/๑ ถงึ มาตรา ๕๘/๓ เพิ่มโดยพระราชบัญญัติมาตรการของฝ่ายบริหารในการป้องกันและปราบปรามการทุจริต (ฉบบั ที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๙ ๒๘มาตรา ๕๘/๒ แกไ้ ขเพมิ่ เตมิ โดยพระราชบญั ญตั มิ าตรการของฝา่ ยบรหิ ารในการปอ้ งกนั และปราบปรามการทจุ ริต (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๖๑

32 พระราชบญั ญัตมิ าตรการของฝ่ายบรหิ ารในการป้องกันและปราบปรามการทจุ ริต พ.ศ. ๒๕๕๑ และที่แก้ไขเพ่มิ เติม (๑) ไม่เป็นไปตามกฎหมายว่าด้วยการอำ�นวยความสะดวกในการพิจารณา อนญุ าตของทางราชการ (๒) เป็นเหตุให้เกิดความเดือดร้อนแก่ผู้ใช้บริการหรือประชาชน ทั้งน้ี ตามหลกั เกณฑแ์ ละวิธีการ ทค่ี ณะกรรมการ ป.ป.ท. กำ�หนด (๓) เป็นเหตใุ ห้เกดิ ความเสยี หายแก่ทางราชการอยา่ งรา้ ยแรง ในกรณีตาม (๑) หากสำ�นักงานเห็นว่ามีเหตุอันสมควร ให้สำ�นักงานแจ้ง คณะกรรมการพฒั นาระบบราชการทราบ เพ่อื ด�ำ เนินการตามอ�ำ นาจหนา้ ทีต่ ่อไป เมื่อได้รับแจ้งตามวรรคหนึ่ง หัวหน้าหน่วยงานของรัฐมีหน้าท่ีต้องสั่งการ ใหม้ กี ารตรวจสอบและด�ำ เนนิ การ แลว้ แจง้ ผลการด�ำ เนนิ การใหส้ �ำ นกั งานทราบภายใน หกสบิ วนั นบั แตว่ นั ทไี่ ดร้ บั แจง้ หากจะตอ้ งด�ำ เนนิ การปรบั ปรงุ แกไ้ ขตอ้ งก�ำ หนดระยะ เวลาที่จะดำ�เนินการแล้วเสร็จให้สำ�นักงานทราบด้วย ในกรณีท่ีหัวหน้าหน่วยงาน ของรฐั ไมด่ �ำ เนนิ การปรบั ปรงุ แกไ้ ขภายในก�ำ หนดเวลาดงั กลา่ วโดยไมม่ เี หตอุ นั สมควร ให้สำ�นักงานรายงานคณะกรรมการ ป.ป.ท. เพอื่ พจิ ารณาด�ำ เนินการตามมาตรา ๑๗ (๑) หรือ (๒) ต่อไป ทั้งน้ี หากกรณีใดมีลักษณะส่อไปในทางทุจริตในภาครัฐ ใหค้ ณะกรรมการ ป.ป.ท. รายงานใหค้ ณะรฐั มนตรีและคณะกรรมการ ป.ป.ช. ทราบ เพือ่ ดำ�เนนิ การตามอำ�นาจหน้าท่ีตอ่ ไป มาตรา ๕๘/๓  ในกรณที คี่ ณะกรรมการ ป.ป.ท. หรอื ส�ำ นกั งานพบวา่ การด�ำ เนนิ โครงการใดมีการกำ�หนดวงเงินสูงเกินท่ีเป็นจริงหรือไม่คุ้มค่า ให้แจ้งให้สำ�นักงาน การตรวจเงนิ แผน่ ดนิ เพ่อื ดำ�เนนิ การตามอำ�นาจหนา้ ทีต่ อ่ ไป หมวด ๔ เบด็ เตล็ด                    มาตรา ๕๙ ให้สำ�นักงานจัดทำ�บัญชีเร่ืองกล่าวหาเจ้าหน้าท่ีของรัฐ ทค่ี ณะกรรมการ ป.ป.ท. รบั ไวพ้ จิ ารณาและผลการด�ำ เนนิ การ เพอื่ สง่ ใหส้ �ำ นกั งาน ป.ป.ช. ตามพระราชบญั ญตั ปิ ระกอบรฐั ธรรมนญู วา่ ดว้ ยการปอ้ งกนั และปราบปรามการทจุ รติ ทราบ เพอ่ื เปน็ การประสานงานตามระยะเวลา วิธีการ และรายการทีต่ กลงร่วมกัน

สำ�นกั งานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจรติ ในภาครัฐ (ส�ำ นักงาน ป.ป.ท.) 33 มาตรา ๖๐ ในการปฏิบัติหน้าท่ีตามพระราชบัญญัตินี้ ให้กรรมการ อนุกรรมการ พนักงาน ป.ป.ท. และเจ้าหน้าท่ี ป.ป.ท. เป็นเจ้าพนกั งานตามประมวล กฎหมายอาญา ในการดำ�เนินการไต่สวนข้อเท็จจริงตามพระราชบัญญัติน้ี ให้กรรมการ อนุกรรมการ และพนักงาน ป.ป.ท. เป็นพนักงานฝ่ายปกครองหรือตำ�รวจช้ันผู้ใหญ่ และเจ้าหน้าท่ี ป.ป.ท. เป็นพนักงานฝ่ายปกครองหรือตำ�รวจโดยให้มีอำ�นาจตามประมวล กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาเช่นเดียวกับพนักงานสอบสวนด้วย เว้นแต่อำ�นาจ ในการจับและคุมขงั ใหแ้ จง้ พนักงานฝ่ายปกครองหรอื ตำ�รวจเปน็ ผ้ดู ำ�เนินการ มาตรา ๖๑๒๙    ค่าใช้จ่ายในเรื่องดังต่อไปนี้ รวมทั้งวิธีการเบิกจ่ายให้เป็นไป ตามระเบยี บสำ�นักนายกรัฐมนตรโี ดยได้รับความเห็นชอบจากกระทรวงการคลัง (๑) การไตส่ วนขอ้ เทจ็ จรงิ การแสวงหาขอ้ มลู และการรวบรวมพยานหลกั ฐาน (๒) การมาชว่ ยปฏบิ ตั ขิ องหนว่ ยงานของรฐั หรอื เจา้ หนา้ ทขี่ องหนว่ ยงานของรฐั ตามมาตรา ๑๘ (๔) (๓) การดำ�เนินการอื่นใดอันจำ�เป็นแก่การป้องกันและปราบปรามการทุจริต ตามพระราชบญั ญัตนิ ี้ มาตรา ๖๑/๑๓๐  ในการด�ำ เนนิ คดอี าญาตามพระราชบญั ญตั นิ ้ี ถา้ ผถู้ กู กลา่ วหา หรือจำ�เลยหลบหนีไปในระหว่างถูกดำ�เนินคดีหรือระหว่างการพิจารณาของศาล มิให้นับระยะเวลาที่ผู้ถูกกล่าวหาหรือจำ�เลยหลบหนีรวมเป็นส่วนหน่ึงของอายุความ และเม่ือได้มีคำ�พิพากษาถึงที่สุดให้ลงโทษจำ�เลย ถ้าจำ�เลยหลบหนีไปในระหว่าง ตอ้ งค�ำ พพิ ากษาถงึ ทส่ี ดุ ใหล้ งโทษ มใิ หน้ �ำ บทบญั ญตั แิ หง่ ประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๙๘ มาใช้บงั คับ ๒๙ มาตรา ๖๑ แก้ไขเพ่ิมเติมโดยพระราชบัญญัติมาตรการของฝ่ายบริหารในการป้องกัน และปราบปรามการทุจรติ (ฉบบั ท่ี ๒) พ.ศ. ๒๕๕๙ ๓๐ มาตรา ๖๑/๑ เพิ่มโดยพระราชบัญญัติมาตรการของฝ่ายบริหารในการป้องกันและ ปราบปรามการทุจรติ (ฉบบั ท่ี ๒) พ.ศ. ๒๕๕๙

34 พระราชบญั ญตั ิมาตรการของฝ่ายบรหิ ารในการปอ้ งกนั และปราบปรามการทจุ รติ พ.ศ. ๒๕๕๑ และที่แก้ไขเพ่ิมเตมิ หมวด ๕ บทก�ำ หนดโทษ                    มาตรา ๖๒ ผู้ใดไม่มาให้ถ้อยคำ�หรือไม่ส่งเอกสารหรือหลักฐาน หรอื ไมด่ �ำ เนนิ การใดๆตามมาตรา๑๘(๑)และ(๒)โดยไมม่ เี หตอุ นั สมควรตอ้ งระวางโทษ จำ�คกุ ไม่เกินหกเดือน หรอื ปรบั ไม่เกนิ หนง่ึ หม่นื บาท หรือทั้งจำ�ท้ังปรบั มาตรา ๖๓ ผู้ใดไม่ปฏิบัติตามคำ�ส่ังของคณะกรรมการ ป.ป.ท. ที่ส่ัง ตามมาตรา ๔๘ ต้องระวางโทษจำ�คกุ ไม่เกินหกเดอื น หรอื ปรับไมเ่ กินหนึง่ หม่นื บาท หรอื ทง้ั จ�ำ ทงั้ ปรบั มาตรา ๖๔ ผู้ใดเปิดเผยข้อความ ข้อเท็จจริง หรือข้อมูลท่ีได้มาเนื่องจาก การปฏบิ ตั หิ นา้ ทต่ี ามพระราชบญั ญตั นิ ้ี โดยมไิ ดร้ บั มอบหมายจากคณะกรรมการ ป.ป.ท. และมใิ ชก่ ารกระท�ำ ตามหนา้ ทรี่ าชการหรอื เพอ่ื ประโยชนแ์ กก่ ารตรวจสอบหรอื ไตส่ วนขอ้ เทจ็ จรงิ หรือเพื่อประโยชน์แก่ทางราชการหรือประโยชน์สาธารณะ ต้องระวางโทษ จำ�คกุ ไม่เกนิ หกเดอื น หรอื ปรับไม่เกนิ หนงึ่ หม่นื บาท หรอื ทั้งจำ�ท้งั ปรับ มาตรา ๖๕ กรรมการ อนกุ รรมการ พนกั งาน ป.ป.ท. หรอื เจา้ หนา้ ท่ี ป.ป.ท. ผใู้ ดกระท�ำ การทจุ รติ ในภาครฐั ตอ้ งระวางโทษเปน็ สองเทา่ ของโทษทกี่ �ำ หนดไวส้ �ำ หรบั ความผดิ นนั้ บทเฉพาะกาล                    มาตรา ๖๖ ให้ดำ�เนินการแต่งตั้งคณะกรรมการป้องกันและปราบปราม การทจุ รติ ในภาครฐั ใหแ้ ลว้ เสรจ็ ภายในหกสบิ วนั นบั แตว่ นั ทพี่ ระราชบญั ญตั นิ ใ้ี ชบ้ งั คบั มาตรา ๖๗ ให้กระทรวงยุติธรรม สำ�นักงานป้องกันและปราบปราม การทจุ รติ ในภาครฐั ส�ำ นกั งาน ก.พ.ร. ส�ำ นกั งาน ก.พ. ส�ำ นกั งบประมาณและหนว่ ยงาน ทเ่ี กย่ี วขอ้ งรว่ มกนั จดั ท�ำ โครงสรา้ งส�ำ นกั งาน กรอบอตั ราก�ำ ลงั ขา้ ราชการและพนกั งาน ราชการและกำ�หนดงบประมาณ รวมถึงการดำ�เนินการอ่ืนใดอันจำ�เป็น เพ่ือรองรับ

สำ�นกั งานคณะกรรมการปอ้ งกนั และปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (สำ�นักงาน ป.ป.ท.) 35 การดำ�เนินการตามอำ�นาจหน้าที่ของสำ�นักงานป้องกันและปราบปรามการทุจริต ในภาครฐั ตามพระราชบญั ญตั นิ ี้ ภายในสามสบิ วนั นบั แตว่ นั ทพี่ ระราชบญั ญตั นิ ใ้ี ชบ้ งั คบั ในระยะเรม่ิ แรก การก�ำ หนดโครงสรา้ ง อตั ราก�ำ ลงั และงบประมาณตามวรรคหนง่ึ ต้องรองรับการปฏิบัติงานตามอำ�นาจหน้าที่ของสำ�นักงานป้องกันและปราบปราม การทจุ รติ ในภาครฐั ในเขตพนื้ ที่ตามความจำ�เปน็ และเหมาะสมด้วย ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ พลเอก สุรยทุ ธ์  จุลานนท์ นายกรฐั มนตรี หมายเหตุ :- เหตผุ ลในการประกาศใชพ้ ระราชบญั ญตั ฉิ บบั น้ี คอื โดยทปี่ จั จบุ นั รฐั บาล มีนโยบายสำ�คัญและเร่งด่วนในการป้องกันและปราบปรามการทุจริต แต่ยังไม่มี ส่วนราชการในส่วนของฝ่ายบริหารท่ีมีอำ�นาจหน้าท่ีรับผิดชอบเกี่ยวกับการป้องกัน และปราบปรามการทุจริตโดยตรง ทำ�ให้รัฐบาลไม่สามารถกำ�กับดูแลและผลักดัน เพ่ือให้การดำ�เนินการตามนโยบายดังกล่าวเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและตรงตาม เป้าหมายที่วางไว้ อีกทั้งคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ซึ่งเป็นองค์กรอิสระที่มีอำ�นาจในการป้องกันและปราบปรามการทุจริตของเจ้าหน้าท่ี ของรัฐมีภารกิจที่อยู่ในความรับผิดชอบจำ�นวนมาก สมควรท่ีจะมีส่วนราชการ ในฝา่ ยบรหิ ารทร่ี บั ผดิ ชอบในการด�ำ เนนิ การดา้ นนโยบายดงั กลา่ ว และเปน็ ศนู ยก์ ลาง ประสานงานกบั หน่วยงานของรัฐทเี่ ก่ียวขอ้ งทง้ั หมด รวมทง้ั กำ�หนดมาตรการตา่ ง ๆ เพอื่ ใหก้ ารปอ้ งกนั และปราบปรามการทจุ รติ ในฝา่ ยบรหิ ารสามารถด�ำ เนนิ การในลกั ษณะ บรู ณาการและมีประสิทธิภาพมากย่ิงข้นึ   จงึ จ�ำ เปน็ ต้องตราพระราชบญั ญตั ินี้                      

36 พระราชบัญญัติมาตรการของฝ่ายบรหิ ารในการปอ้ งกันและปราบปรามการทุจรติ พ.ศ. ๒๕๕๑ และที่แก้ไขเพมิ่ เติม พระราชบัญญัติมาตรการของฝ่ายบริหารในการป้องกันและปราบปรามการทุจริต (ฉบบั ท่ี ๒) พ.ศ. ๒๕๕๙๓๑   มาตรา ๒ พระราชบัญญัติน้ีให้ใช้บังคับต้ังแต่วันถัดจากวันประกาศใน ราชกจิ จานุเบกษาเป็นตน้ ไป มาตรา ๒๓ บรรดาการด�ำ เนนิ การใด ๆ ทค่ี ณะกรรมการ ป.ป.ท. คณะอนกุ รรมการ ไตส่ วนขอ้ เทจ็ จรงิ พนกั งาน ป.ป.ท. และเจา้ หนา้ ท่ี ป.ป.ท. ไดก้ ระท�ำ ไปตามบทบญั ญตั ิ แหง่ พระราชบญั ญตั มิ าตรการของฝา่ ยบรหิ ารในการปอ้ งกนั และปราบปรามการทจุ รติ พ.ศ. ๒๕๕๑ ก่อนวนั ทพ่ี ระราชบัญญตั ินใี้ ช้บังคบั ให้เป็นอนั ใชไ้ ด้ มาตรา ๒๔    ให้กรรมการตามพระราชบัญญัติมาตรการของฝ่ายบริหาร ในการป้องกนั และปราบปรามการทจุ ริต พ.ศ. ๒๕๕๑ ซึ่งดำ�รงตำ�แหนง่ อย่ใู นวันก่อน วันท่ีพระราชบัญญัติน้ีใช้บังคับ เป็นกรรมการตามพระราชบัญญัติมาตรการของ ฝ่ายบริหารในการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. ๒๕๕๑ ซึ่งแก้ไขเพ่ิมเติม โดยพระราชบญั ญตั ินี้ มาตรา ๒๕    ให้เลขาธิการตามพระราชบัญญัติมาตรการของฝ่ายบริหาร ในการปอ้ งกนั และปราบปรามการทุจริต พ.ศ. ๒๕๕๑ ซ่งึ ด�ำ รงตำ�แหน่งอยใู่ นวันกอ่ น วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ เป็นเลขาธิการตามพระราชบัญญัติมาตรการของ ฝ่ายบริหารในการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. ๒๕๕๑ ซ่ึงแก้ไขเพ่ิมเติม โดยพระราชบัญญัติน้ี มาตรา ๒๖  ใหผ้ ดู้ ำ�รงต�ำ แหนง่ พนักงาน ป.ป.ท. และเจ้าหน้าท่ี ป.ป.ท. ตาม พระราชบัญญัติมาตรการของฝ่ายบริหารในการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. ๒๕๕๑ อยใู่ นวันก่อนวนั ที่พระราชบัญญัตนิ ีใ้ ช้บงั คบั เปน็ พนกั งาน ป.ป.ท. และ เจ้าหน้าท่ี ป.ป.ท. ตามพระราชบัญญัติมาตรการของฝ่ายบริหารในการป้องกันและ ปราบปรามการทุจรติ พ.ศ. ๒๕๕๑ ซึ่งแก้ไขเพ่ิมเติมโดยพระราชบัญญัตินี้ ๓๑ ราชกจิ จานเุ บกษา เล่ม ๑๓๓/ตอนที่ ๓๘ ก/หน้า ๓๙/๒๙ เมษายน ๒๕๕๙

สำ�นกั งานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทจุ ริตในภาครฐั (ส�ำ นกั งาน ป.ป.ท.) 37 มาตรา ๒๗  บรรดาขอ้ บงั คบั ระเบยี บ ประกาศ และค�ำ สง่ั ทอี่ อกตามบทบญั ญตั ิ แหง่ พระราชบญั ญตั มิ าตรการของฝา่ ยบรหิ ารในการปอ้ งกนั และปราบปรามการทจุ รติ พ.ศ. ๒๕๕๑ ก่อนวันท่ีพระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ และยังมีผลใช้บังคับอยู่ในวันก่อน วันที่พระราชบัญญัติน้ีใช้บังคับ ให้ยังคงมีผลใช้บังคับต่อไปเท่าท่ีไม่ขัดหรือแย้งกับ พระราชบัญญัติน้ี จนกว่าจะได้มีข้อบังคับ ระเบียบ ประกาศ หรือคำ�ส่ังที่ออกตาม บทบญั ญตั แิ หง่ พระราชบญั ญตั มิ าตรการของฝา่ ยบรหิ ารในการปอ้ งกนั และปราบปราม การทจุ ริต พ.ศ. ๒๕๕๑ ซึ่งแกไ้ ขเพม่ิ เตมิ โดยพระราชบัญญัตินใ้ี ชบ้ งั คับ   มาตรา ๒๘  ให้นายกรัฐมนตรีรกั ษาการตามพระราชบญั ญัตนิ ้ี   หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบบั นี้ คอื โดยทป่ี ัจจุบันการ ป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐมีกระบวนการไต่สวนข้อเท็จจริง และการด�ำ เนนิ การลา่ ชา้ และกอ่ ใหเ้ กดิ ปญั หาในทางปฏบิ ตั ซิ งึ่ ไมส่ อดคลอ้ งกบั สภาพการณ์ และรูปแบบของการทุจริตท่ีมีความซับซ้อนย่ิงข้ึน เพ่ือเป็นการแก้ไขปัญหา ดังกล่าว สมควรปรับปรุงกระบวนการไต่สวนข้อเท็จจริง และกำ�หนดให้เลขาธิการ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ รวมท้ังพนักงาน และเจ้าหน้าที่ของรัฐของสำ�นักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริต ในภาครัฐได้ช่วยเหลือและสนับสนุนการปฏิบัติหน้าท่ีของคณะกรรมการป้องกัน และปราบปรามการทจุ รติ ในภาครฐั ใหเ้ หมาะสมและเกดิ ประสทิ ธภิ าพยงิ่ ขนึ้   นอกจากนี้ ได้มีการปรับปรุงโครงสร้างของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริต ในภาครัฐ ในส่วนของการได้มา องค์ประกอบ คุณสมบัติและลักษณะต้องห้าม และการพน้ จากต�ำ แหนง่ ของคณะกรรมการปอ้ งกนั และปราบปรามการทจุ รติ ในภาครฐั และกำ�หนดให้สำ�นักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ เปน็ สว่ นราชการทไี่ มส่ งั กดั ส�ำ นกั นายกรฐั มนตรี กระทรวง หรอื ทบวง เพอ่ื ใหม้ คี วามเปน็ อสิ ระ ในการปฏิบัติงาน รวมท้ังเพิ่มเติมมาตรการป้องกันและปราบปรามการทุจริต ในภาครัฐ อันจะมีผลให้การป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐบรรลุผล และเกดิ ประโยชน์แกป่ ระชาชน  จึงจำ�เปน็ ตอ้ งตราพระราชบัญญตั ิน้ี

38 พระราชบัญญัติมาตรการของฝา่ ยบริหารในการปอ้ งกนั และปราบปรามการทจุ รติ พ.ศ. ๒๕๕๑ และที่แก้ไขเพิม่ เตมิ พระราชบัญญัติมาตรการของฝ่ายบริหารในการป้องกันและปราบปรามการทุจริต (ฉบบั ที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๖๑๓๒ มาตรา ๒ พระราชบัญญัติน้ีให้ใช้บังคับต้ังแต่วันถัดจากวันประกาศ ในราชกจิ จานเุ บกษา เป็นตน้ ไป หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับน้ี คือ โดยที่รัฐมีหน้าที่ ในการส่งเสริม สนบั สนุน และใหค้ วามร้แู กป่ ระชาชนถึงอนั ตรายทเ่ี กิดจากการทุจริต และประพฤติมิชอบท้ังในภาครัฐและภาคเอกชน และจัดให้มีมาตรการและกลไก ที่มีประสิทธิภาพเพ่ือป้องกันและขจัดการทุจริตและประพฤติมิชอบอย่างเข้มงวด รวมทง้ั กลไกในการสง่ เสรมิ ใหป้ ระชาชนรวมตวั กนั เพอ่ื มสี ว่ นรว่ มในการรณรงคใ์ หค้ วามรู้ ตอ่ ตา้ น หรอื ชเี้ บาะแส โดยไดร้ บั ความคมุ้ ครองจากรฐั สมควรกาํ หนดใหค้ ณะกรรมการ ป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐและสํานักงานคณะกรรมการป้องกัน และปราบปรามการทุจริตในภาครัฐสามารถมีส่วนร่วมในการดําเนินการในเร่ืองดังกล่าว และเพ่ือให้เกิดความสอดคล้องกับมาตรการและกลไกที่เกี่ยวข้องที่กําหนดข้ึน ตามพระราชบญั ญตั ปิ ระกอบรฐั ธรรมนญู วา่ ดว้ ยการปอ้ งกนั และปราบปรามการทจุ รติ นอกจากน้ี สมควรปรับปรุงบทบัญญัติในพระราชบัญญัติมาตรการของฝ่ายบริหาร ในการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. ๒๕๕๑ ให้สอดคล้องกับสภาวการณ์ ปจั จบุ นั และเพอื่ รองรบั อาํ นาจหนา้ ทใ่ี นเรอ่ื งดงั กลา่ วทจ่ี ะกาํ หนดใหแ้ กค่ ณะกรรมการ ป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐและสํานักงานคณะกรรมการป้องกัน และปราบปรามการทจุ รติ ในภาครฐั โดยกาํ หนด ใหม้ คี ณะกรรมการเพอื่ ประโยชนใ์ นการ ดาํ เนนิ การดงั กลา่ ว รวมทง้ั เพมิ่ เตมิ มาตรการในการคมุ้ ครองบคุ คลทถ่ี กู กนั ไวเ้ ปน็ พยาน และแก้ไขเพิ่มเติมมาตรการป้องกันการทุจริตในภาครัฐให้มีประสิทธิภาพ ยิง่ ข้ึน จึงจําเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้ ๓๒ ราชกิจจานเุ บกษา เล่ม ๑๓๕/ตอนที่ ๓๓ ก/หนา้ ๓๙/๑๓ พฤษภาคม ๒๕๖๑

สำ�นกั งานคณะกรรมการปอ้ งกนั และปราบปรามการทุจรติ ในภาครฐั (ส�ำ นกั งาน ป.ป.ท.) 39 ประกาศกระทรวงยุตธิ รรม เรอื่ ง ก�ำ หนดเขตพนื้ ทขี่ องส�ำ นกั งานปอ้ งกนั และปราบปรามการทจุ รติ ในภาครฐั เขตพื้นที่ ๑-๙ โดยท่ีกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการสำ�นักงานคณะกรรมการป้องกัน และปราบปรามการทจุ ริตในภาครัฐ กระทรวงยุตธิ รรม พ.ศ. ๒๕๕๑ ข้อ ๑๒ กำ�หนด ให้สำ�นักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ เขตพื้นท่ี ๑-๙ มีอำ�นาจหน้าที่ในเขตพ้ืนท่ีตามท่ีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมประกาศกำ�หนด จึงเป็นการสมควรที่จะต้องกำ�หนดเขตพ้ืนที่รับผิดชอบของสำ�นักงานคณะกรรมการ ปอ้ งกนั และปราบปรามการทจุ รติ ในภาครฐั เขตพน้ื ท่ี ๑-๙ เพอ่ื ใหม้ อี �ำ นาจตามกฎหมาย ตลอดจนเกิดความชัดเจนต่อการปฏิบตั ิงานในพืน้ ท่ีรับผิดชอบ ดังน้ัน อาศัยอำ�นาจตามความในข้อ ๑๒ แห่งกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการ ส�ำ นกั งานคณะกรรมการปอ้ งกันและปราบปรามการทจุ ริตในภาครฐั กระทรวงยุติธรรม พ.ศ. ๒๕๕๑ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม จึงออกประกาศกำ�หนดเขตพ้ืนท่ี ของสำ�นกั งานคณะกรรมการปอ้ งกนั และปราบปรามการทจุ ริตในภาครฐั เขตพน้ื ที่ ๑-๙ ดงั ตอ่ ไปน้ี ๑. ส�ำ นักงานปอ้ งกนั และปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ เขตพื้นท่ี ๑ มอี �ำ นาจ หนา้ ที่ในเขตพื้นทจี่ ังหวดั ปทุมธานี ชัยนาท นนทบรุ ี พระนครศรอี ยุธยา ลพบุรี สิงหบ์ รุ ี สมุทรปราการ สระบุรี และอ่างทอง ๒. ส�ำ นักงานปอ้ งกันและปราบปรามการทุจรติ ในภาครัฐ เขตพน้ื ที่ ๒ มีอ�ำ นาจ หนา้ ทใี่ นเขตพนื้ ทจี่ งั หวดั ชลบรุ ี จนั ทบรุ ี ฉะเชงิ เทรา ตราด นครนายก ปราจนี บรุ ี สระแกว้ และระยอง ๓. สำ�นักงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ เขตพ้ืนท่ี ๓ มอี �ำ นาจหน้าทใ่ี นเขตพนื้ ท่จี งั หวัดนครราชสมี า ชยั ภมู ิ บรุ รี ัมย์ ยโสธร สุรินทร์ ศรสี ะเกษ อ�ำ นาจเจริญ และอบุ ลราชธานี ๔. ๑ส�ำ นกั งานปอ้ งกนั และปราบปรามการทจุ รติ ในภาครฐั เขตพนื้ ท่ี ๔ มอี �ำ นาจ หน้าท่ีในเขตพื้นท่ีจังหวัดขอนแก่น กาฬสินธ์ุ มุกดาหาร มหาสารคาม เลย นครพนม ร้อยเอ็ด สกลนคร หนองบวั ลำ�ภู หนองคาย อดุ รธานี และบึงกาฬ ๑ ราชกิจจานุเบกษา เลม่ ๑๒๙/ตอนพเิ ศษ ๕๗ ง/หนา้ ๔/๒๘ มีนาคม ๒๕๕๕

40 พระราชบญั ญัตมิ าตรการของฝ่ายบริหารในการปอ้ งกนั และปราบปรามการทุจรติ พ.ศ. ๒๕๕๑ และท่ีแก้ไขเพ่มิ เตมิ ๕. ส�ำ นักงานปอ้ งกนั และปราบปรามการทจุ รติ ในภาครัฐ เขตพื้นท่ี ๕ มีอำ�นาจ หนา้ ทใ่ี นเขตพน้ื ทจ่ี งั หวดั เชยี งใหม่ เชยี งราย แมฮ่ อ่ งสอน นา่ น พะเยา แพร่ ล�ำ พนู และล�ำ ปาง ๖. ส�ำ นักงานปอ้ งกันและปราบปรามการทุจริตในภาครฐั เขตพ้ืนที่ ๖ มีอ�ำ นาจ หน้าที่ในเขตพื้นที่จังหวัดพิษณุโลก กำ�แพงเพชร ตาก นครสวรรค์ พิจิตร เพชรบูรณ์ สโุ ขทัย อตุ รดิตถ์ และอุทัยธานี ๗. สำ�นักงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ เขตพื้นท่ี ๗ มอี �ำ นาจหนา้ ทใ่ี นเขตพนื้ ทจี่ งั หวดั นครปฐม กาญจนบรุ ี ราชบรุ ี เพชรบรุ ี ประจวบครี ขี นั ธ์ สุพรรณบุรี สมทุ รสงคราม และสมทุ รสาคร ๘. สำ�นักงานป้องกนั และปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ เขตพ้ืนท่ี ๘ มีอ�ำ นาจ หนา้ ทใ่ี นเขตพ้ืนทจี่ ังหวดั สรุ าษฎร์ธานี กระบ่ี ชมุ พร ภเู กต็ นครศรธี รรมราช พังงา และระนอง ๙. สำ�นักงานป้องกนั และปราบปรามการทจุ รติ ในภาครฐั เขตพน้ื ที่ ๙ มีอำ�นาจ หนา้ ทใ่ี นเขตพื้นที่จงั หวดั สงขลา ตรัง นราธิวาส ปัตตานี พัทลุง ยะลา และสตูล ประกาศ ณ วันที่ ๓๐ มถิ ุนายน ๒๕๕๒ นายพีระพันธุ์ สาลีรฐั วภิ าค รัฐมนตรีวา่ การกระทรวงยตุ ธิ รรม

สำ�นกั งานคณะกรรมการป้องกนั และปราบปรามการทจุ ริตในภาครัฐ (ส�ำ นกั งาน ป.ป.ท.) 41 พน้ื ทีข่ องส�ำ นกั งานป้องกนั และปราบปรามการทจุ ริตในภาครฐั เขต ๑-๙ เขต ๕ เขต ๔ เขต ๖ เขต ๑ เขต ๓ เขต ๗ เขต ๒ เขต ๘ เขต ๙

42 พระราชบัญญตั ิมาตรการของฝา่ ยบริหารในการปอ้ งกันและปราบปรามการทุจรติ พ.ศ. ๒๕๕๑ และทแี่ ก้ไขเพม่ิ เตมิ .......................................................................................................................................... .......................................................................................................................................... .......................................................................................................................................... .......................................................................................................................................... .......................................................................................................................................... .......................................................................................................................................... .......................................................................................................................................... .......................................................................................................................................... .......................................................................................................................................... .......................................................................................................................................... .......................................................................................................................................... .......................................................................................................................................... .......................................................................................................................................... .......................................................................................................................................... .......................................................................................................................................... .......................................................................................................................................... .......................................................................................................................................... .......................................................................................................................................... .......................................................................................................................................... .......................................................................................................................................... .......................................................................................................................................... .......................................................................................................................................... .......................................................................................................................................... ..........................................................................................................................................

สำ�นักงานคณะกรรมการป้องกนั และปราบปรามการทจุ รติ ในภาครฐั (สำ�นักงาน ป.ป.ท.) 43 .......................................................................................................................................... .......................................................................................................................................... .......................................................................................................................................... .......................................................................................................................................... .......................................................................................................................................... .......................................................................................................................................... .......................................................................................................................................... .......................................................................................................................................... .......................................................................................................................................... .......................................................................................................................................... .......................................................................................................................................... .......................................................................................................................................... .......................................................................................................................................... .......................................................................................................................................... .......................................................................................................................................... .......................................................................................................................................... .......................................................................................................................................... .......................................................................................................................................... .......................................................................................................................................... .......................................................................................................................................... .......................................................................................................................................... .......................................................................................................................................... .......................................................................................................................................... ..........................................................................................................................................

44 พระราชบัญญตั ิมาตรการของฝา่ ยบริหารในการปอ้ งกันและปราบปรามการทุจรติ พ.ศ. ๒๕๕๑ และทแี่ ก้ไขเพม่ิ เตมิ .......................................................................................................................................... .......................................................................................................................................... .......................................................................................................................................... .......................................................................................................................................... .......................................................................................................................................... .......................................................................................................................................... .......................................................................................................................................... .......................................................................................................................................... .......................................................................................................................................... .......................................................................................................................................... .......................................................................................................................................... .......................................................................................................................................... .......................................................................................................................................... .......................................................................................................................................... .......................................................................................................................................... .......................................................................................................................................... .......................................................................................................................................... .......................................................................................................................................... .......................................................................................................................................... .......................................................................................................................................... .......................................................................................................................................... .......................................................................................................................................... .......................................................................................................................................... ..........................................................................................................................................