โคราช บ้านฉัน
คำ นำ หนังสือเล่มนี้ (E-book) เป็นส่วนหนึ่ง ของรหัสวิชา ว 20228 รายวิชา เทคโนโลยีและ การสื่อสาร1 เป็นหนังสือแนะนำแหล่งท่องเที่ยว ที่สำคัญในจังหวัดนครราชสีมา เช่น แหล่งประ วัติศษสตร์ แหล่งพักผ่อนย่อนใจ ซึ่งจะเป็นประ โยชน์กับผู้อ่าน ที่กำลังหาแหล่งท่องเที่ยวในวัน หยุด กับครอบครัว นิธิศ ประพิน ผู้จัดทำ
สาระบัน เรื่อง หน้า ท้าวสุรนารี 4 ประสาทหินพิ มาย 5 6 อุทยานแห่ง ชาติเขาใหญ่
https://th.wikipedia.org/wiki ท้าวสุรนารี มีนามเดิมว่า \"โม\" (แปลว่า ใหญ่มาก) หรือท้าวมะโหโรง[1] เป็นชาวเมือง นครราชสีมาโดยกำเนิด เกิดเมื่อปีระกา พ.ศ. 2314 มีนิวาสสถานอยู่ ณ บ้านตรงกันข้ามกับวัด พระนารายณ์มหาราช (วัดกลางนคร) ทางทิศใต้ของเมืองนครราชสีมา[2] เป็นธิดาของนายกิ่ม และนางบุญมา มีพี่สาวหนึ่งคนชื่อ แป้ นาผล ไม่มีสามี จึงอยู่ด้วยกันจนวายชนม์ มีน้ องชายหนึ่ง คน ชื่อ จุก ต่อมาเมื่อปี พ.ศ. 2339 โม เมื่ออายุได้ 25 ปี ได้แต่งงานสมรสกับนายทองคำขาว พนักงาน กรมการเมืองนครราชสีมา ต่อมานายทองคำขาว ได้เลื่อนบรรดาศักดิ์เป็น \"พระภักดีสุริยเดช\" ตำแหน่งรองปลัดเมืองนครราชสีมา นางโม จึงได้เป็น คุณนายโม และต่อมา \"พระภักดีสุริย เดช\" ได้เลื่อนเป็น \"พระยาสุริยเดช\" ตำแหน่งปลัดเมืองนครราชสีมา คุณนายโมจึงได้เป็น คุณ หญิงโม[2] ชาวเมืองนครราชสีมาเรียกท่านทั้งสองเป็นสามัญว่า \"คุณหญิงโม\" และ \"พระยา ปลัดทองคำ\" ท่านเป็นหมันไม่มีทายาทสืบสายโลหิต ชาวเมืองนครราชสีมาทั้งหลายจึงพากัน เรียกแทนตัวคุณหญิงโมว่า \"แม่\" มีผู้มาฝากตัวเป็นลูกหลานกับคุณหญิงโมอยู่มาก ซึ่งเป็นกำลัง และอำนาจส่งเสริมคุณหญิงโมให้ทำการใด ๆ ได้สำเร็จเสมอ หนึ่งในลูกหลานคนสำคัญที่มีส่วน ร่วมกับคุณหญิงโม เข้ากอบกู้เมืองนครราชสีมาจากกองทัพเจ้าอนุวงศ์ เวียงจันทน์ ณ ทุ่ง สัมฤทธิ์ คือ นางสาวบุญเหลือ[2] ท้าวสุรนารีเป็นคนมีสติปัญญาหลักแหลม เล่นหมากรุกเก่ง มีความชำนาญในการขี่ช้าง ขี่ม้า มี ม้าตัวโปรดสีดำ และมักจะพาลูกหลานไปทำบุญที่วัดสระแก้วเป็นประจำเสมอ[2]ท้าวสุรนารี ถึงแก่อสัญกรรมเมื่อเดือนเมษายน พ.ศ. 2395 (เดือน 5 ปีชวด จัตวาศก จศ. 1214) สิริรวม
https://th.wikipedia.org/wiki/ เมืองพิมายเป็นเมืองที่สร้างตามแบบแผนของศิลปะเขมร มีลักษณะเป็น เวียงสี่เหลี่ยม ชื่อ พิมาย น่าจะมาจากคำว่า วิมาย หรือ วิมายปุระ ที่ปรากฏ ในจารึกภาษาเขมรบนแผ่นหินตรงกรอบประตูระเบียงคดด้านหน้าของ ปราสาท จากหลักฐานศิลาจารึกและศิลปะสร้างบ่งบอกว่า ปราสาทหิน พิมายคงเริ่มสร้างขึ้นสมัยพระเจ้าสุริยวรมันที่ 1 ราวพุทธศตวรรษที่ 16 ใน ฐานะเทวสถานของศาสนาพราหมณ์ รูปแบบของศิลปะเป็นแบบบาปวน ผสมผสานกับศิลปะแบบนครวัด ซึ่งหมายถึงปราสาทนี้ได้ถูกดัดแปลงมา เป็นสถานที่ทางศาสนาพุทธในสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7[4] เมื่ออิทธิพลของวัฒนธรรมขอมเริ่มเสื่อมลงหลังรัชสมัยของพระเจ้าชัยวรมัน ที่ 7 และมีการสถาปนาอาณาจักรสุโขทัยในเวลาต่อมา เมืองพิมายคงจะ หมดความสำคัญลง และหายไปในที่สุด เนื่องไม่ปรากฏหลักฐานเกี่ยวกับ เมืองพิมายเลยในสมัยสุโขทัย
ตัวอุทยานตั้งอยู่ฟากทิศตะวันออกของ แม่น้ำมูล และอยู่ในจังหวัด นครราชสีมา อ.พิมาย บนพื้นที่ 115 ไร่ วางแผนเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า กว้าง 565 เมตร ยาว 1,030 เมตร ลักษณะพิเศษของ ปราสาทหินพิมาย คือ ปราสาทหินแห่งนี้สร้างหัน หน้าไปทาง ทิศใต้ ต่างจาก ปราสาทหิน อื่น ๆ ที่ มักหันไปทาง ทิศตะวันออก สันนิษฐานว่าเพื่อให้ หันรับกับเส้นทางตัดมาจากเมือง พระนคร เมือง หลวงในสมัยนั้นของอาณาจักรขะแมร์ ซึ่งเข้ามาสู่ เมืองพิมายทางทิศใต้ [5]
https://th.wikipedia.org/wiki/ ในสมัยก่อน การเดินทางติดต่อระหว่างภาคกลางกับภาคอีสานนั้น มีอุปสรรค คือจะต้องผ่านป่าดงดิบขนาดใหญ่ซึ่งเต็มไปด้วยอันตรายมากมายทั้งสัตว์ร้าย และไข้ป่า ผู้คนที่เดินทางผ่านป่านี้ล้มตายเป็นจำนวนมาก จึงได้ขนานนามว่า ดงพญาไฟ ต่อมาพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จผ่านในคราว เปิดทางรถไฟสายกรุงเทพ-นครราชสีมา ทรงเห็นว่าชื่อดงพญาไฟนี้ ฟังดูน่า กลัว จึงโปรดให้เปลี่ยนชื่อเป็นดงพญาเย็นตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา เมื่อมีการสร้างทางรถไฟ ชาวบ้านก็ได้เข้ามาจับจองพื้นที่กัน โดยเฉพาะบน ยอดเขา โดยถางป่าเพื่อทำไร่ และใน พ.ศ. 2465 ได้ขอจัดตั้งเป็นตำบลเขา ใหญ่ แต่ด้วยการที่จะเดินทางมายังยอดเขานี้ค่อนข้างลำบากห่างไกลจากการ ปกครองของเจ้าหน้าที่บ้านเมือง ตำบลเขาใหญ่จึงเป็นแหล่งซ่องสุมของโจร ผู้ร้าย จนกระทั่ง พ.ศ. 2475 ทางราชการได้ส่งปลัดจ่างมาปราบโจรผู้ร้ายจน หมด แต่สุดท้ายปลัดจ่างก็เสียชีวิตด้วยไข้ป่า ได้ตั้งเป็นศาลเจ้าพ่อเขาใหญ่ เป็นที่เคารพนับถือจนปัจจุบันนี้[3] หลังจากปราบโจรผู้ร้ายหมดลงแล้ว ทางราชการเห็นว่าตำบลเขาใหญ่นี้ยาก แก่การปกครอง อีกทั้งปล่อยไว้จะเป็นแหล่งซ่องสุมโจรผู้ร้ายอีก จึงได้ยุบ ตำบลเขาใหญ่ และให้ผู้คนที่อาศัยอยู่บนเขาทั้งหมดย้ายลงมาอาศัยอยู่ข้างล่าง ป่าที่ถูกถางเพื่อทำไร่นั้นปัจจุบันคือยังมีร่องรอยให้เห็นเป็นทุ่งหญ้าโล่ง ๆ บน เขาใหญ่นั่นเอง
พื้นที่บริเวณตำบลเขาใหญ่เดิมและบริเวณโดยรอบ โดยได้ตรา พระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติขึ้นใน พ.ศ. 2504[4] และมี พระราชกฤษฎีกาตั้งเขาใหญ่เป็นอุทยานแห่งชาติแห่งแรกของ ประเทศไทยใน พ.ศ. 2505[5] นอกจากนี้ยังได้สั่งให้ตัดถนน ธนะรัชต์แยกออกมาจากถนนมิตรภาพมายังตัวเขาใหญ่โดยถนน นี้ขึ้นมาบนเขาใหญ่แล้วจะแยกเป็นสองสาย คือไปสิ้นสุดที่น้ำตก เหวสุวัตสายหนึ่ง และไปสิ้นสุดที่เขาเขียวอีกสายหนึ่ง ซึ่งก่อน พ.ศ. 2525 ถนนธนะรัชต์นี้เป็นเพียงถนนสายเดียวที่จะมายังเขา ใหญ่ได้ ใน พ.ศ. 2523 ได้มีการตัดถนนสายปราจีนบุรี-เขาใหญ่[6] โดยถนนนี้เปิดใช้งานใน พ.ศ. 2525 ทำให้สามารถเดินทางได้ สะดวกขึ้น และเดินทางจากกรุงเทพมหานครใช้ระยะทางสั้นกว่า อีกทั้งเส้นทางยังชันและมีโค้งหักศอกน้อยกว่าถนนธนะรัชต์เดิม อีกทั้งยังทำให้การท่องเที่ยวในส่วนใต้ของอุทยานสะดวกขึ้น เช่น สามารถเดินทางมายังน้ำตกเหวนรกได้โดยตรง ซึ่งแต่เดิมจะ ต้องเดินเท้าเข้ามาจากอำเภอปากพลีแล้วเลาะมาตามหน้าผา แต่ การตัดถนนใหม่สามารถนำรถยนต์เข้าไปจอดแล้วเดินเท้า ประมาณ 1 กิโลเมตรก็ถึงน้ำตกเหวนรกได้แล้ว
อ้างจาก https://th.wikipedia.org/wiki/ https://travel.kapook.com/view628.htm l https://www.google.com/search? q=%E0%B8%A2%E0%B9%88%E0%B8%B2 %E0%B9%82%E0%B8 %A1%E0%B9%88&r lz=1C1GCEA_enTH751TH751&oq=%E0%B8 %A2%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B9% 82%E0%B8%A1%E0%B9%88&aqs=chrom e..69i57j0i512l2j0i30l3j0i5i30.6545j0j4 &sourceid=chrome&ie=UTF-8
ขอบคุณครับ จัดทำโดย นิธิศ ประพิน เลขที่ 16 2/5
Search
Read the Text Version
- 1 - 10
Pages: