๗หน่วยการเรียนรู้ท่ี การบริหารจติ และการเจริญปัญญา การบริหารจิตเป็นการฝึกจิตใหม้ ีสมาธิ สามารถนาไปใชใ้ นการดาเนิน ชีวติ ใหเ้ ป็นคนดีมีคุณธรรม จริยธรรม มีประสิทธิภาพในการทางาน และมีจิตท่ี ปลอดโปร่ง ส่วนการเจริญปัญญาน้นั เป็นการฝึกจิตใหม้ ีสติสมั ปชญั ญะรู้ตวั ทวั่ พร้อม สามารถ “รู้เท่า” และ “รู้ทนั ” ความเป็นไปของส่ิงท้งั หลาย ช่วยใหเ้ ขา้ ใจ อะไรไดง้ ่ายและแจ่มแจง้ มีสติ มีวสิ ยั ทศั นก์ วา้ งไกลในดา้ นการดาเนินชีวติ
๑. การสวดมนต์แปลและแผ่เมตตา การสวดมนต์แปล พทุ ธศาสนิกชนควรไหวพ้ ระสวดมนตเ์ ป็นประจาทุกวนั อยา่ งนอ้ ยวนั ละ ๑ คร้ัง ก่อนนอน เพื่อความเป็นสิริมงคลแก่ชีวติ และช่วยใหจ้ ิตใจสงบ นอนหลบั สบาย บทสวด ที่สาคญั มีดงั น้ี
คาบูชาพระรัตนตรัย
คานมสั การพระสัมมาสัมพทุ ธเจ้า
บทสรรเสริญคณุ พระรัตนตรัย บทสรรเสริญพระพทุ ธคุณ (ทานองสรภญั ญะ) (นา) อิติปิ โส ภะคะวา (รับ) อะระหงั สมั มาสมั พทุ โธ วิชชาจะระณะสมั ปันโน สุคะโต โลกะวทิ ู อะนุตตะโร ปุริสะทมั มะสาระถิ สตั ถา เทวะมะนุสสานงั พทุ โธ ภะคะวาติ (นา) องคใ์ ดพระสมั พทุ ธ (รับ) สุวิสุทธสนั ดาน ตดั มูลเกลศมาร บ่ มิหม่นมิหมองมวั ก็เบิกบานคือดอกบวั หน่ึงในพระทยั ทา่ น สุวคนธกาจร ราคี บ พนั พวั พระกรุณาดงั สาคร มละโอฆกนั ดาร องคใ์ ดประกอบดว้ ย และช้ีสุขเกษมสานต์ โปรดหมู่ประชากร อนั พน้ โศกวโิ ยคภยั ษุจรัสวิมลใส ช้ีทางบรรเทาทุกข์ กเ็ จนจบประจกั ษจ์ ริง ช้ีทางพระนฤพาน สนั ดานบาปแห่งชายหญิง มละบาปบาเพญ็ บญุ พร้อมเบญจพิธจกั - ศิรเกลา้ บงั คมคุณ เห็นเหตุท่ีใกลไ้ กล ญภาพน้นั นิรันดรฯ (กราบ) กาจดั น้าใจหยาบ สตั วโ์ ลกไดพ้ ่งึ พิง ขา้ ฯ ขอประณตนอ้ ม สมั พุทธการุญ
บทสรรเสริญพระธรรมคุณ (นา) สะวากขาโต (รับ) ภะคะวะตา ธมั โม สนั ทฏิ ฐิโก อะกาลิโก เอหิปัสสิโก โอปะนะยโิ ก ปัจจตั ตงั เวทิตพั โพ วญิ ญูหีติ (นา) ธรรมะคือคุณากร (รับ) ส่วนชอบสาธร ดุจดวงประทีปชชั วาล ส่องสตั วส์ นั ดาน เป็นแปดพงึ ยล แห่งองคพ์ ระศาสดาจารย์ อนั ลึกโอฬาร สวา่ งกระจ่างใจมล นามขนานขานไข ให้ล่วงลุปอง ธรรมใดนบั โดยมรรคผล นบธรรมจานง และเกา้ กบั ท้งั นฤพาน สมญาโลกอดุ รพิสดาร พิสุทธ์ิพิเศษสุกใส อีกธรรมตน้ ทางครรไล ปฏิบตั ิปริยตั ิเป็นสอง คือทางดาเนินดุจคลอง ยงั โลกอดุ รโดยตรง ขา้ ฯ ขอโอนออ่ นอตุ มงค์ ดว้ ยจิตและกายวาจา (กราบ)
บทสรรเสริญพระสังฆคุณ (นา) สุปะฏิปันโน (รับ) ภะคะวะโต สาวะกะสงั โฆ อุชุปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ ญายะปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสงั โฆ สามีจิปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสงั โฆ ยะทิทงั จตั ตาริ ปรุ ิสะยคุ านิ อฏั ฐะ ปุริสะปุคคะลา เอสะ ภะคะวะโต สาวะกะสงั โฆ อาหุเนยโย ปาหุเนยโย ทกั ขิเณยโย อัญชะลี กะระณีโย อุนุตตะรัง ปุญญกั เขตตงั โลกสั สาติ (นา) สงฆใ์ ดสาวกศาสดา (รับ) รบั ปฏิบตั มิ า แต่องคส์ มเด็จภควนั ต์ ลุทางที่อนั ปัญญาผ่องใส เห็นแจง้ จตสุ ัจเสร็จบรร- บ มิลาพอง ระงบั และดบั ทุกขภ์ ยั ศาลแดโ่ ลกยั มีคณุ อนนต์ โดยเสดจ็ พระผตู้ รัสไตร พกทรงคุณา สะอาดและปราศมวั หมอง พระไตรรตั น์อนั อนั ตรายใดใด เหินหา่ งทางขา้ ศึกปอง ดว้ ยกายและวาจาใจ เป็ นเน้ือนาบญุ อนั ไพ- และเกิดพบิ ลู ยพ์ นู ผล สมญาเอารสทศพล อเนกจะนบั เหลอื ตรา ขา้ ฯ ขอนบหมพู่ ระศรา- นคุ ณุ ประดุจราพนั ดว้ ยเดชบญุ ขา้ อภวิ นั ท์ อุดมดิเรกนิรตั ิสยั จงชว่ ยขจดั โพยภยั จงดบั และกลบั เสื่อมสูญ (กราบ 3 คร้ัง)
คาแผ่เมตตา การแผ่เมตตา คือ การส่งความปรารถนาดีไปยงั เพ่ือนมนุษยแ์ ละสรรพสตั ว์ ท้งั หลายใหม้ ีแตค่ วามสุข เป็นการคิดดีกบั คนอ่ืน ไมโ่ กรธไม่เกลียดใคร การแผเ่ มตตาโดยปกติจะเริ่มจากตนเอง เพราะทุกคนมีความรักตนเองเป็น พ้ืนฐานอยแู่ ลว้ เมื่อแผใ่ หต้ นเองแลว้ ก็แผไ่ ปใหบ้ ุคคลอื่นๆ โดยเร่ิมจากคนในครอบครัว เพ่ือน และเจา้ กรรมนายเวรของเรา
ประโยชน์ของการแผ่เมตตา
บทแผ่เมตตาแก่ตนเอง
บทแผ่เมตตาแก่สรรพสัตว์
๒. การบริหารจิต สมาธิ จะเกิดข้ึนดว้ ยจิตของเรา เป็นการบริหารจิตที่ทาใหเ้ ราสามารถทากิจการ ตา่ งๆ ในชีวติ ประจาวนั ใหส้ าเร็จลุล่วงไปได้ สมาธิ ช่วยในการไตร่ตรองส่ิงตา่ งๆ ไดอ้ ยา่ งมีประสิทธิภาพ เน่ืองจากทาใหเ้ รา มีสติมากข้ึน จิตใจมน่ั คง แน่วแน่ ทาใหก้ ารคิดเรื่องตา่ งๆ มีความรอบคอบ สมาธิ อาจเกิดไดเ้ พียงชว่ั คราว หากเราตอ้ งการใหจ้ ิตของเราแน่วแน่มีสมาธิ จาเป็นตอ้ งมีการฝึกสมาธิสม่าเสมอ เพ่ือเป็นการบริหารจิตใหม้ ีประสิทธิภาพยงิ่ ข้ึน
ข้อควรปฏิบตั ใิ นการฝึ กการบริหารจติ
ประโยชน์ของการบริหารจติ ๑. ทาใหจ้ ิตใจสบาย โปร่งเบา ไม่เครียด ไม่โกรธ ไม่ทุกข์ ผอ่ งใส คุณธรรมงอกงามง่าย ๒. หายหวาดกลวั หายกระวนกระวาย หายประหม่าตื่นเตน้ ๓. หลบั ง่าย ไม่ฝันร้าย และสงั่ ตวั เองได้ เช่น สงั่ ใหห้ ลบั ใหต้ ่ืนตามเวลาที่กาหนดได้ ๔. กระฉบั กระเฉง วอ่ งไว รู้จกั เลือกและตดั สินใจไดเ้ หมาะสมแก่สถานการณ์ ๕. มีความอดทน เพยี รพยายามแน่วแน่ในจุดหมาย มีความใฝ่ สมั ฤทธ์ิสูง ๖. มีสติสมั ปชญั ญะดี รู้เท่า รู้ทนั ปรากฏการณ์ และรู้จกั ยบั ย้งั ใจไดด้ ี ๗. มีประสิทธิภาพในการทางาน ทากิจกรรมต่างๆ สาเร็จดว้ ยดี รอบคอบ ไม่ผดิ พลาด ๘. ส่งเสริมสมรรถภาพของสมอง ความคิดปลอดโปร่ง ความจาดี เรียนหนงั สือเก่ง ๙. ช่วยเหลือเก้ือกลู สุขภาพทางกาย ชะลอความแก่ ทาใหด้ ูอ่อนกว่าวยั ๑๐. รักษาโรคบางอยา่ งได้ เช่น โรคเครียด โรคกระเพาะ โรคทอ้ งผกู โรคความดนั โลหิต โรคหืด หรือโรคชอบคิดเองวา่ ตวั เป็นโน่นเป็นน่ีท้งั ทไี่ ม่ไดเ้ ป็น
การบริหารจิตตามหลกั อานาปานสติ วธิ ีฝึกสมาธิมีหลายวธิ ี แตว่ ธิ ีท่ีเห็นวา่ เหมาะสมและสะดวกที่จะฝึกไดท้ ุกเพศ ทุกวยั และทุกโอกาส ก็คือ แบบอานาปานสติหรือวธิ ีกาหนดลมหายใจ โดยมีเหตุผล ที่ควรฝึก ดงั น้ี ๑. ไม่ตอ้ งหาอุปกรณ์อื่นใดมาฝึก เพราะทุกคนมีลมหายใจ คือ การหายใจเขา้ การหายใจออก ทุกเวลาอยแู่ ลว้ ๒. ไมซ่ บั ซอ้ น เขา้ ใจง่าย ทาไดง้ ่าย พอลงมือทาก็ไดร้ ับผลทนั ที ต้งั แต่ตน้ เร่ือยไป ๓. เป็นหลกั ฝึกจิตอยา่ งหน่ึงในจานวนไม่กี่อยา่ งท่ีสามารถปฏิบตั ิตอ่ เน่ืองต้งั แต่ตน้ ไปจน สาเร็จข้นั สูงสุด ไมต่ อ้ งพะวงที่จะหาวธิ ีอื่นมาสบั เปลี่ยนในระหวา่ งปฏิบตั ิ ๔. ไมก่ ระทบตอ่ สุขภาพ กายก็ไม่เหนื่อย ตาก็ไมเ่ ม่ือย เพราะไม่ตอ้ งเพง่ หรือเดินกลบั ไป กลบั มาเหมือนวธิ ีอื่น ช่วยใหร้ ่างกายพกั ผอ่ นไดด้ ี ๕. พระพทุ ธเจา้ ทรงใชเ้ วลาในการปฏิบตั ิวธิ ีน้ีเป็นส่วนใหญ่ และทรงแนะนาใหส้ าวกปฏิบตั ิ มากกวา่ วธิ ีอ่ืน
ข้ันตอนการฝึ กสมาธิตามหลกั อานาปานสติ ท่าน่งั การฝึ กสมาธติ ามหลกั อานาปานสติ ใหน้ ง่ั บนพ้นื ในท่า “สมาธิ” เสมือนพระพทุ ธรูปปางสมาธิ อาจทาได้ ๒ ลกั ษณะ คือ นั่งขัดบลั ลงั ก์ ท่ีเรียกวา่ “ขดั สมาธิราบ” โดยเอาขาขวาทบั ขาซา้ ย มือขวาทบั มือซา้ ย ตวั ต้งั ตรง นงั่ ขดั สมาธิเพชร คือ นงั่ เอาขาซา้ ยทบั ขาขวา ขาขวาทบั ขาซา้ ย มือขวาทบั มือซา้ ย ตวั ต้งั ตรง
วธิ ีกาหนดลมหายใจตามหลกั อานาปานสติ 11 22 33 44 55 ๑. ใหน้ บั ลมหายใจเขา้ ออก การนบั อาจ 11 22 33 44 55 66 ทาเป็นข้นั ตอนตามลาดบั คือ นบั เป็น 11 22 33 44 55 66 77 คู่ๆ ไป เช่น หายใจเขา้ นบั ๑ หายใจ 11 22 33 44 55 66 77 88 ออกนบั ๑ โดยกาหนดเป็นชุดๆ 11 22 33 44 55 66 77 88 99 11 22 33 44 55 66 77 88 99 10 10 ๒. ใหก้ าหนดเฉยๆ ไมต่ อ้ งนบั เช่น เวลาหายใจเขา้ หายใจออก ไมว่ า่ ยาวหรือส้นั ใหก้ าหนดรู้วา่ หายใจเขา้ หายใจออกยาวหรือส้นั ๓. ใหส้ งั เกตอาการพองและยบุ ของทอ้ ง ขณะหายใจเขา้ หายใจออก และภาวนาในใจวา่ “ยบุ หนอพองหนอ” ๔. ใหภ้ าวนาในใจวา่ “พุท-โธ” ขณะหายใจเขา้ ออก คือ ขณะหายใจเขา้ ภาวนาวา่ “พทุ ” ขณะหายใจออกภาวนาวา่ “โธ” หรือหายใจเขา้ วา่ “พุทโธ” หายใจออกวา่ “พทุ โธ”
๓. การเจริญปัญญาโดยการคิดแบบโยนิโสมนสิการ โยนโิ สมนสิการ คือ การศึกษาที่เกิดจากมนุษยร์ ู้จกั คิดวเิ คราะห์ วจิ ารณ์อยา่ ง รอบคอบรอบดา้ น ทาใหเ้ กิดปัญญาแตกฉาน การคิดแบบโยนิโสมนสิการมี ๑๐ วธิ ี คือ
คดิ แบบสืบสาวเหตุปัจจยั พระพุทธองคส์ อนใหม้ องวา่ ปรากฏการณ์บางอยา่ งท่ีเกิดข้ึนมิใช่เกิดเพราะเหตุเพียง อยา่ งเดียว ดูใหด้ ีแลว้ จะเห็นวา่ ปัจจยั หรือเง่ือนไขอ่ืนๆ กม็ ีส่วนดว้ ย เช่น “ถา้ ถามวา่ ตน้ ไมเ้ จริญเติบโตเพราะอะไร ถา้ ตอบวา่ ตน้ ไมต้ น้ น้ีเจริญเติบโตก็เพราะ เมลด็ ตน้ ไมต้ น้ น้ีมาจากเมลด็ เพราะฉะน้นั เมลด็ จึงเป็นสาเหตทุ าใหม้ ีตน้ ไมต้ น้ น้ี ตอบ แบบน้ีก็ถกู แตถ่ ูกส่วนเดียว ถา้ จะใหถ้ กู ครบถว้ นตอ้ งตอบวา่ เมลด็ เป็นเพียงเงื่อนไขหน่ึง แต่ยงั มีปัจจยั อื่นอีกที่ช่วยใหต้ น้ ไมต้ น้ น้ีเจริญงอกงามได้ เช่น ดิน ป๋ ุย น้า อณุ หภูมิ การดูแล เอาใจใส่ของคน เป็นตน้ ”
นิทานชาดก คนเล้ียงลิงสงั่ ใหห้ วั หนา้ ลิงพาลิงบริวารรดน้าตน้ ไมท้ ่ีตนพ่ึงปลูกใหมใ่ หด้ ว้ ยขณะที่ ตนไม่อยู่ หวั หนา้ ลิงจึงพาบริวารรดน้าตน้ ไมท้ ุกวนั โดยสง่ั ใหถ้ อนตน้ ไมน้ ้นั ข้ึนมาดูหลงั จาก รดน้าลงไปวา่ รากชุ่มน้าหรือยงั ถา้ ยงั ก็ใหใ้ ส่ลงในดินใหม่แลว้ รดน้าซ้า ลิงท้งั หลายกถ็ อน-ใส่ ถอน-ใส่ อยา่ งน้ีทุกคร้ังท่ีรดน้าตน้ ไม้ เม่ือเจา้ ของกลบั มา หวั หนา้ ลิงไปรายงานวา่ ไดท้ าตามท่ี นายสงั่ ทุกประการ เจา้ ของเดินไปดูสวนเห็นแลว้ แทบเป็นลม เพราะตน้ ไมท้ ี่พ่ึงปลูกใหมๆ่ เฉาตายหมด หวั หนา้ ลิงและบริวารลิงน้นั คิดต้ืนๆ โดยไมค่ ิดวา่ ยงั มีวธิ ีอ่ืนที่จะมน่ั ใจไดโ้ ดยไม่ ตอ้ งถอนตน้ ไม้ เช่น ประมาณเอาจากปริมาณน้าที่เทรดลงไปแตล่ ะคร้ัง เป็นตน้
คดิ แบบอริยสัจหรือแบบแก้ปัญหา อริยสัจ คือ หลกั คาสอนทส่ี อนใหร้ ู้วา่ สภาพปัญหาคืออะไร สาเหตุของปัญหาอยทู่ ี่ไหน อะไรบา้ ง ปัญหาน้ีมีทางแกห้ รือไม่ ถา้ มีมีก่ีวธิ ี และวิธีไหนดีทส่ี ุด การ แกป้ ัญหาจะตอ้ งรู้สภาพปัญหา รู้สาเหตุของปัญหา รู้วา่ ปัญหาต่างๆ น้นั หมดไปได้ และตอ้ งลง มือทาหรือแกป้ ัญหาน้นั อยา่ งต่อเนื่อง เช่น
๔. การนาวธิ ีการบริหารจติ และเจริญปัญญาไปใช้ในชีวติ ประจาวัน การนาวธิ ีการบริหารจติ มาใช้ในชีวติ ประจาวนั การฝึกจิตใจใหม้ ีสมาธิเป็นสิ่งจาเป็นที่ตอ้ งมีในการทากิจการทุกอยา่ งของชีวติ ไมว่ า่ จะเป็นการเลา่ เรียนหรือการทางาน เช่น • นกั เรียนจะอา่ นหนงั สือก็ตอ้ งมีสมาธิในการอ่าน ไม่เช่นน้นั ก็อ่านหนงั สือไม่ รู้เรื่อง ตาอยทู่ ี่ตวั หนงั สือแต่ใจไปอยทู่ ี่อ่ืน • นกั เรียนจะฟังครูสอนกต็ อ้ งมีสมาธิในการฟังไม่เช่นน้นั กจ็ ะไดย้ นิ แต่เสียง ครูกระทบหูแลว้ ก็ผา่ นไป ใจไมร่ ับรู้วา่ ครูพดู วา่ อะไร กไ็ มเ่ ขา้ ใจสิ่งท่ีครูสอน ดงั น้นั เมื่อจะอ่านหนงั สือใจกต็ อ้ งอ่านไปดว้ ย เม่ือจะฟังครูสอนใจก็ตอ้ งฟังไป ดว้ ย หรือเม่ือจะทางานใดท่ีไดร้ ับมอบหมายใจก็ตอ้ งทาไปดว้ ย น้นั ก็คือ ใจตอ้ งมีสมาธิ
การนาวธิ ีการเจริญปัญญาไปใช้ในชีวติ ประจาวนั จิตท่ีมีความสงบมีสติ มีสมาธิ จะรู้จกั พิจารณาสิ่งต่างๆ ตามความเป็นจริงอยา่ ง มีเหตผุ ล รู้เท่าทนั โลกและชีวติ สามารถใชป้ ัญญาแกไ้ ขปัญหาได้ เช่น ในการฝึกสร้างสมาธิในการอา่ นหนงั สือ จะเห็นวา่ จิตของผฝู้ ึกจะสงบแลว้ ก็ไม่ สงบ แลว้ กก็ ลบั มาสงบอีกสลบั กนั ไป จึงเป็นโอกาสท่ีจะฝึกเจริญปัญญาได้ คือ ปัญญา จะทาใหเ้ ราเริ่มมองเห็นความจริงเก่ียวกบั ความเป็นไปของจิตหรือของสิ่งท้งั หลายใน โลก ถา้ เรารู้จกั นามาใชใ้ นชีวติ ประจาวนั จะช่วยใหเ้ ราเขา้ ใจโลกและชีวติ เขา้ ใจ ความรู้สึก อารมณ์ และการกระทาท้งั ของตนเองและผอู้ ื่นได้
การนัง่ สมาธิตามแนววปิ ัสสนากรรมฐาน การเจริญวปิ ัสสนากรรมฐาน เป็นการ การน่ังสมาธิแบบ เพยี รในการใชส้ ติสมั ปชญั ญะกาหนด วปิ ัสสนา ควรนงั่ ในท่าที่ ส่ิงท่ีเกิดข้ึนทางกายและใจ เพอื่ ใหเ้ กิด เหมาะสมกบั ตนเอง คือ นง่ั ท่าใดท่าหน่ึงที่สบาย การหยง่ั รู้อยา่ งแจ่มแจง้ แก่ตน
หลกั ในการปฏบิ ัตวิ ปิ ัสสนา ผปู้ ฏิบตั ิจะตอ้ งพยายามทาจิตของตนใหส้ งบน่ิง โดยมีสติเป็นตวั กาหนด “รู้” ถึงส่ิงท่ีเกิดข้ึนทางกายและใจ ตามหลกั สติปัฏฐาน ๔ ดงั น้ี
Search
Read the Text Version
- 1 - 25
Pages: