๘หน่วยการเรียนรู้ที่ พระพทุ ธศาสนากบั การแก้ปัญหาและการพฒั นา พระพทุ ธศาสนามีหลกั ธรรมคาสอนท่ีสามารถนามาประยกุ ตใ์ ชใ้ นการ แกป้ ัญหาและพฒั นาตนเอง สงั คมและประเทศชาติ ซ่ึงในบทเรียนน้ีจะกล่าวถึง พระพทุ ธศาสนากบั ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงและการพฒั นาอยา่ งยงั่ ยนื โดยปฏิบตั ิตามทางสายกลาง เน่ืองจากในปัจจุบนั สภาพสงั คมและเศรษฐกิจไดเ้ ปล่ียนแปลงไปอยา่ ง รวดเร็ว มีการพฒั นาในหลายๆ ดา้ น ซ่ึงมีผลต่อการดารงชีวติ ของคนไทย พระพุทธศาสนาจึงมีส่วนในการช่วยแกป้ ัญหาและเกิดการพฒั นาตาม หลกั ธรรมท่ีสอดคลอ้ งกบั การดารงชีวติ ของทุกคนในปัจจุบนั
๑. พระพุทธศาสนากบั เศรษฐกิจพอเพยี ง ความหมายของเศรษฐกจิ พอเพยี ง เศรษฐกิจพอเพียง คือ เศรษฐกิจท่ีเล้ียงตวั เองไดพ้ ่ึงพาตนเองได้ ในสมยั โบราณ เราอยแู่ บบพอเพียง ในแตล่ ะครอครัวปลกู ขา้ วกินเอง จบั ปลาและเล้ียงสตั วก์ ินเอง ทอผา้ เอง สานตะกร้าและภาชนะอื่นๆ เอง ถึงแมจ้ ะไมต่ ิดตอ่ แลกเปลี่ยนสิ่งของกบั คนภายนอกกย็ งั พอ อยไู่ ด้ แตป่ ัจจุบนั เราอยใู่ นโลกท่ามกลางกระแส “โลกาภิวตั น์” คือ เราผลิตของเพื่อขาย เม่ือไดเ้ งินมาก็นาเงินน้นั ไปซ้ือส่ิงของท่ีคนอ่ืนผลิต การที่จะไดส้ ่ิงจาเป็น รวมท้งั ส่ิงฟ่ ุมเฟื อย มากินมาใชต้ อ้ งพ่ึงพาผอู้ ื่น แต่เศรษฐกิจพอเพียงมีการพ่ึงตนเองมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ หากผลิตมากจนเหลือกินเหลือใชก้ ็นาไปขาย
ลกั ษณะของเศรษฐกจิ พอเพยี ง เศรษฐกิจพอเพียง หมายถึง “รู้จกั พอ” คือ รู้วา่ แค่ ไหนพอดี พอเหมาะ และพอเพียงสาหรับตนเอง ปัญหาทาง เศรษฐกิจน้นั เกิดข้ึนเม่ือเราไม่ไดก้ ิน ไมไ่ ดอ้ ยตู่ ามท่ีเราอยาก การรู้จกั พอ รู้จกั ยบั ย้งั ความอยาก เป็นทAางหน่ึงที่ทาใหป้ ัญหา ทางเศรษฐกิจเบาบางลง ทางแกท้ างหน่ึง คือ ไม่ตอ้ งลดความอยาก แต่ พยายามดิ้นรนหาสิ่งของมาสนองความอยาก อยา่ งน้ีเรียกวา่ อยอู่ ยา่ งไม่รู้จกั พอหรือไมร่ ู้จกั พอเพียง
ลกั ษณะพงึ่ ตนเอง เศรษฐกิจพอเพียง คือ เศรษฐกิจท่ีเล้ียงตวั เองไดห้ รือพ่ึง ตวั เองได้ โดยผลิตเพื่อพอกินพอใช้ ในครัวเรือนหรือในชุมชน ที่เหลือ ก็เอาออกขายหรือแลกเปล่ียนกบั สินคา้ อยา่ งอ่ืนท่ีตนผลิตไม่ได้
ลกั ษณะการเดนิ สายกลาง เศรษฐกิจพอเพียงน้นั เดินสาย กลาง คือ ความพอประมาณเป็นสาคญั ความเป็นอยทู่ างเศรษฐกิจน้นั เป็นส่ิง สาคญั และเป็นความจาเป็นพ้ืนฐาน แตช่ ีวติ จะตอ้ งมีสมดุล มีส่ิงตา่ งๆ อีกหลายอยา่ งที่มีคา่ ไม่นอ้ ยกวา่ การ บริโภค เช่น ความสงบสุข ศิลปะ กีฬา เป็นตน้
ไม่เน้นการแข่งขัน เศรษฐศาสตร์กระแสหลกั เป็นการ ผลิตและการบริโภคทางวตั ถุ แตเ่ ศรษฐกิจ พอเพียงจะเนน้ การแขง่ ขนั กบั ตนเอง เพื่อใหช้ ีวติ เกิดความมนั่ คง โดยการใช้ ทรัพยากรที่มีอยใู่ หเ้ กิดประโยชน์ ไม่ ฟ่ มุ เฟื อย พ่ึงพาตนเองมากกวา่ ที่จะพ่ึงพา วตั ถุอยา่ งอื่น รวมถึงการเดินสายกลางดว้ ย ดงั น้นั การร่วมมือกนั จะช่วยใหค้ น ในชุมชนสามารถพ่ึงตนเองและเดินสาย กลางได้
๒. พระพุทธศาสนากับการพฒั นาที่ยง่ั ยืน ความหมายของการพฒั นาทย่ี งั่ ยืน การพฒั นาท่ยี ง่ั ยืน หมายถึง การตอบสนองความตอ้ งการของคนรุ่นปัจจุบนั โดยไมม่ ีผลกระทบในทางลบต่อความตอ้ งการของคนรุ่นต่อไปในอนาคต เป็นการ พฒั นาที่ดาเนินไปไดโ้ ดยตลอด การพฒั นาน้นั ตอ้ งใชห้ รือทาลายทรัพยากรที่มีอยู่ ถา้ เราซ่ึงเป็นคนรุ่นปัจจุบนั ไมด่ ูแลทรัพยากรท่ีมีอยกู่ ็จะร่อยหรอหมดไป ทรัพยากรท่ีใชไ้ ปแลว้ อาจเสื่อมโทรมลง จนฟ้ื นฟูไมไ่ ด้ การพฒั นาก็ตอ้ งยตุ ิลง แตถ่ า้ เราดูแลรักษาทรัพยากรใหเ้ หมาะสม การ พฒั นาก็สามารถดาเนินไปไดต้ ลอด การพฒั นาอยา่ งน้ีเราเรียกวา่ “การพฒั นาที่ยงั่ ยนื ”
หลกั ธรรมทสี่ อดคล้องกบั การพฒั นาที่ยงั่ ยืน การพฒั นาท่ียง่ั ยนื ตามแนวทางของพระพทุ ธศาสนา เป็นการพฒั นามนุษย์ เป็นหลกั ที่ทาใหม้ นุษยร์ ู้จกั สิ่งตา่ งๆ และสามารถปฏิบตั ิต่อสิ่งน้นั ไดอ้ ยา่ งไร โดย หลกั ธรรมที่มีความสอดคลอ้ งกบั การพฒั นาท่ียงั่ ยนื ไดแ้ ก่ ไตรสิกขา อริยสัจ ๔ ทิฏฐธัมมกิ ตั ถ ประโยชน์ ๔
ไตรสิกขา ไตรสิกขาเป็นหลกั ในการพฒั นาชีวติ โดยพฒั นาในดา้ นศีล สมาธิ ปัญญา ซ่ึงไตรสิกขาเป็นขอ้ ปฏิบตั ิที่ควรศึกษา ๓ ประการ ศีล เป็นการพฒั นาดา้ นพฤติกรรมหรือวธิ ีการใชช้ ีวิต เพื่อพฒั นาใหค้ นมีวนิ ยั ในตนเอง มีระเบียบ ปฏิบตั ิตนตามศีล เป็นการจดั ระเบียบของชีวิต สมาธิ เป็นการพฒั นาดา้ นจิตใจ เพอ่ื ใหเ้ รามีจิตใจที่มน่ั คง เขม้ แขง็ และมีความสุข เพราะเมื่อสมาธิเกิด ปัญญาก็จะเกิดข้ึน ทาให้เรามีสติในการคิดพิจารณาสิ่งตา่ งๆ ปัญญา เป็นการพฒั นาดา้ นปัญญา เพื่อใหเ้ กิดความรู้ความเขา้ ใจต่างๆ รวมท้งั การ ฝึกฝนหรือพฒั นาดา้ นความรู้ ความเขา้ ใจ โดยมีการวนิ ิจฉยั ไตร่ตรองโดยใชเ้ หตุผล
อริยสัจ ๔ อริยสจั ๔ คือ ความจริงอนั ประเสริฐ ๔ ประการ ทุกข์ คือ ความจริงวา่ ดว้ ยความทุกข์ สมุทยั คือ ความจริงท่ีวา่ ดว้ ยเหตแุ ห่งความทุกข์ นิโรธ คือ ความจริงท่ีวา่ ดว้ ยการดบั ทุกข์ มรรค คือ ความจริงท่ีวา่ ดว้ ยวถิ ีทางแห่งการดบั ทุกข์
ทางทจ่ี ะดบั ทุกข์ มรรค ๘ สัมมาทฏิ ฐิ คือ การเห็นชอบ สัมมาสังกปั ปะ คือ การดาริชอบ สัมมาวาจา คือ การเจรจาชอบ สัมมากมั มนั ตะ คือ การกระทาชอบ สัมมาอาชีวะ คือ การเล้ียงชีพชอบ สัมมาวายามะ คือ การพยายามชอบ สัมมาสติ คือ การระลึกชอบ สัมมาสมาธิ คือ การต้งั จิตมน่ั ชอบ
อทิ ธิบาท ๔ อทิ ธิบาท ๔ เป็นหลกั ธรรมเพื่อใหเ้ กิดความสาเรจ็ ตามท่ตี นประสงคไ์ ว้ มี ๔ ประการ ดงั นี้ ฉันทะ • ความพึงพอใจ วริ ิยะ • ความพากเพียร จิตตะ • ความมีใจฝักใฝ่ วมิ งั สา • ความมีเหตผุ ล
ทฏิ ฐธัมมกิ ตั ถประโยชน์ ๔ ทิฏฐธมั มิกตั ถประโยชน์ ๔ คือ ประโยชนอ์ นั พึงไดร้ ับจากการประกอบกิจการ หรือมีอาชีพท่ีสุจริต ถูกตอ้ งตามกฎหมายและศีลธรรม การท่ีบุคคลใดบุคคลหน่ึงจะสามารถ ไดม้ าซ่ึงประโยชนน์ ้นั จะตอ้ งแสวงหาอยา่ งมีหลกั การและมีแผนการ เรียกวา่ ธรรมที่เป็นไป เพ่ือใหไ้ ดม้ าซ่ึงประโยชน์ในปัจจุบนั ซ่ึงมีอยู่ ๔ ประการ ดงั น้ี ทฏิ ฐธมั มิกตั ถ อฏุ ฐานสัมปทา คือ ความขยนั หมนั่ เพียร ประโยชน์ ๔ อารักขสัมปทา คือ การรู้จกั รักษาทรัพยแ์ ละประหยดั กลั ยาณมติ ตตา คือ การคบคนดีเป็นมิตร สมชีวติ า คือ การเล้ียงชีพตามสมควรแก่กาลงั ทรัพยท์ ี่หาได้
๓. พทุ ธธรรมกับเศรษฐกจิ พอเพยี ง ความสาคญั ของพุทธธรรมกบั เศรษฐกจิ พอเพยี ง แนวความคิดของเศรษฐกิจพอเพียงสอดคลอ้ งกบั หลกั คาสอนของพระพทุ ธศาสนา ดงั น้ี • พุทธธรรมสอนใหพ้ ่ึงตวั เองใหม้ ากท่ีสุด ไม่พ่ึงสิ่งศกั ด์ิสิทธ์ิใดๆ • พระพุทธศาสนาสอนใหเ้ ราเดินทางสายกลาง และเรียกหลกั น้ีวา่ “มชั ฌิมาปฏิปทา” • พระพทุ ธศาสนามิไดป้ ฏิเสธความมง่ั คง่ั หากไดม้ าจากการไมเ่ บียดเบียนตนเองและผอู้ ื่น • พระพุทธศาสนาไมไ่ ดเ้ ชิดชูความยากจน แต่การท่ีจะพน้ จากความจนตอ้ งเป็นไปโดยชอบ • พระพุทธศาสนาสอนเรื่องสนั โดษ คือ ยนิ ดีในส่ิงที่ตนหาไดแ้ ละเป็นคนอยา่ งชอบธรรม • พระพุทธศาสนาสอนใหค้ นแขง่ ขนั กนั ในเร่ืองของการทาความดี มีความเอ้ือเฟ้ื อต่อผอู้ ่ืน • พระพทุ ธศาสนาสอนใหร้ ะงบั และลดความโลภเพื่อความเป็นศตั รูในหมู่มนุษยจ์ ะไดน้ อ้ ยลง
หลกั ธรรมท่ีสอดคล้องกบั เศรษฐกจิ พอเพยี ง ความสนั โดษ คือ การรู้จกั ยบั ย้งั ความปรารถนาของตนใหอ้ ยใู่ นขอบเขต ที่เหมาะสม พระราชวรมุนี (ประยทุ ธ์ ปยตุ ฺโต) ไดใ้ หค้ าจากดั ความของสนั โดษไวว้ า่ “ความ เอิบอ่ิมพึงพอใจในผลสาเร็จท่ีไดส้ ร้างข้ึน หรือในปัจจยั ลาภที่แสวงหามาไดด้ ว้ ยเร่ียวแรง ความเพียรพยายามของตนเองโดยทางชอบธรรม” ความสนั โดษมิไดห้ มายถึงการอยเู่ ฉย ไม่ขวนขวาย ไมก่ ระตือรือร้นท่ีจะสร้าง ชีวติ ใหก้ า้ วหนา้ ข้ึนไปเรื่อยๆ แตห่ มายถึงความยนิ ดีในสิ่งที่ตนมีอยแู่ ละไมด่ ิ้นรนเกินไป เพื่อแสวงหาสิ่งตา่ งๆ โดยถกู ตอ้ งตามทานองคลองธรรม
สันโดษ ๓ ยถาลาภสันโดษ • ความยนิ ดีตามท่ีไดม้ า ยถาพลสันโดษ โดยชอบธรรม ยถาสารุปปสันโดษ • ความยนิ ดีตามกาลงั ที่ตนมีอยู่ • ความยนิ ดีตามสมควร แก่ภาวะความเป็ นอยู่ ของตน
คุณค่าของความสันโดษ ความสันโดษ คนสันโดษ คนสันโดษ • เป็นจุดเร่ิมตน้ ให้ • เป็นคนท่รี ู้จกั ยบั ย้งั • มกั จะเอ้อื เฟ้ื อเห็นฃ คนเราทาประโยชน์ ความอยากและ อกเห็นใจเพื่อน ใหแ้ ก่เพื่อนมนุษย์ แสวงหาสิ่งต่างๆ มนุษย์ ความสนั โดษ มาใหต้ นเองใน จึงเป็ นคุณธรรมที่มี ขอบเขตท่ีเหมาะสม คุณค่าท้งั แก่ตวั เอง และสงั คม
การพฒั นาความสันโดษ เริ่มจากการใชเ้ หตุผลพิจารณาความเป็นจริงของชีวติ วา่ มนุษยไ์ ม่สามารถสนองความอยากของตนไดเ้ สมอไป พยายามหาความสุขประเภทที่ไมข่ ้ึนอยกู่ บั วตั ถุสิ่งของ เช่น การอา่ นหนงั สือ การสนทนา การฟังดนตรี เป็นตน้ พยายามฝึ กฝนใหม้ ีความพอใจกบั ตนเอง มากกวา่ ท่ีจะ พอใจกบั ส่ิงท่ีอยนู่ อกกาย เช่น เล่นกีฬา วาดรูป เล่นดนตรี เป็นตน้
ความมกั น้อย ความมกั นอ้ ย มีศพั ทท์ างพระพทุ ธศาสนาคาหน่ึง คือ “อปั ปิ จฉตา” แปลวา่ ความ ตอ้ งการนอ้ ยหรือความมกั นอ้ ย ธรรมขอ้ น้ีพระพทุ ธเจา้ ทรงบญั ญตั ิใหพ้ ระภิกษุสงฆย์ ดึ ถือ พระสงฆจ์ าตอ้ ง “มกั นอ้ ย” มิฉะน้นั จะไมม่ ีเวลาศึกษาพระธรรมคาสอนและเผยแผพ่ ระพทุ ธศาสนา คฤหสั ถไ์ ม่จาเป็นตอ้ งมกั นอ้ ย คนทวั่ ไปสามารถแสวงหาเงิน แสวงหาเกียรติได้ หากไดม้ าโดยวธิ ีการท่ีชอบ พระพทุ ธศาสนามิไดส้ อนใหค้ นทว่ั ไป “มกั นอ้ ย” และก็มิไดส้ อนให้ “มกั มาก” จนตอ้ งทุจริต หรือทาเกินวสิ ยั ของตน แตส่ อนใหอ้ ยากไดใ้ นส่ิงท่ีควรได้ คือ สนั โดษนนั่ เอง
Search
Read the Text Version
- 1 - 19
Pages: