บทท่ี 2 ทฤษฎีการเมืองและรปู แบบการปกครอง ทฤษฎีการเมืองและรูปแบบการปกครองเป็นความสัมพันธ์ต่อกันสาหรับการศึกษา กล่าวคือ ทฤษฎี การเมืองเป็นผลมาจากการศึกษาค้นคว้าหาทางแก้ไขปัญหาทางการเมืองท่ีเกิดข้ึนในแต่ละยุคแต่ละสมัย โดย การตงั้ สมมตฐิ าน การรวบรวมข้อมูล การวิเคราะห์ การสรุปผล การตีความ การอธิบายและการเสนอแนะ เก่ียวกับข้อเท็จจริงทางการเมืองท่ีเกิดขึ้นซ้า ๆ กัน จนกลายเป็นกฎเกณฑ์หรือทฤษฎีทางการเมืองข้ึนมา เฉก เช่นเดียวกันกับรูปแบบการปกครองที่มีพัฒนาการต่อเน่ืองมาอย่างยาวนาน ซ่ึงรูปแบบการปกครองท่ีปรากฏ ตามพัฒนาการนน้ั กม็ อี ยู่ด้วยกันหลากหลายรูป อาทิ ราชาธิปไตย คณาธิปไตย ประชาธิปไตย เป็นต้น หากแต่ ตวั แบบทฤษฎีการเมืองและรูปแบบการปกครองในปัจจุบันจะเป็นการแสวงหาความรู้หรือความจริงค่อนข้างมี ความชัดเจนและสามารถอธิบายหรือทานายปรากฎการณ์ทางการเมืองท่ีเกิดข้ึนได้ใกล้เคียง ความเป็นจริง ดงั นั้นการวิวฒั นาการของทฤษฎกี ารเมืองและรปู แบบการปกครองในยคุ ปจั จุบันก็มีความเก่ยี วเนื่องต่อกนั ความหมายของทฤษฎีการเมอื ง ความหมายของทฤษฎีการเมืองนั้นมีนักคิดหลายท่านด้วยกันที่ได้ให้ทัศนะไว้ ท้ังน้ีก็ขึ้นอยู่กับการ ตีความและมุมมองของแต่ละท่าน ซึ่งพอทีจ่ ะประมวลไดด้ งั น้ี จรูญ สุภาพ (2528 : 1) ได้ให้ทัศนะว่า ทฤษฎีการเมืองมีลักษณะชัดเจนและแน่นอนกว่าปรัชญา การเมือง โดยเฉพาะอย่างย่ิงในส่วนที่เก่ียวกับสาระ คาอธิบายและความหมาย โดยทั่วไปทฤษฎีการเมืองจะ เป็นผลเนื่องมาจากการศึกษาค้นคว้าและพิสูจน์ได้ว่าเป็นความจริงที่อาจรับกันได้ แต่อาจไม่เป็นความจริงแท้ สมบูรณ์เหมือนวิทยาศาสตร์ ทฤษฎีการเมืองจะมีลักษณะที่สาคัญอย่างน้อย 3 ประการ คือ ข้อเท็จจริงหรือ ข้อมูลต่าง ๆ ที่ได้มาจากการศึกษารวบรวมความเป็นจริง หลักท่ัวไปซึ่งได้มาจากการวิเคราะห์ข้อมูล และ ทดสอบข้อมูลเหล่าน้ันจากสภาพท่ีเป็นจริงในสังคม คุณค่าซึ่งหมายถึงประโยชน์ท่ีจะพึงบังเกิดข้ึนได้ และน่าที่ จะเปน็ เหตุผลเพยี งพอทีจ่ ะใช้เปน็ แนวทางปฏิบตั ิ รอเบอร์ต อี. เมอร์ฟ่ี (Robert E. Murphy, 1970 : 37) ให้ทัศนะว่า ทฤษฎีการเมืองเป็นเรื่องที่ เกีย่ วข้องกับการวเิ คราะห์ความคิด หรือปรัชญาเกี่ยวกับการเมือง การปกครอง นักทฤษฎีการเมืองมุ่งมั่นท่ีจะ
ทาความเขา้ ใจและตคี ่าข้อมลู ความจรงิ ท่วั ไปทม่ี ีความสมั พันธก์ บั การกาหนดสมมติฐาน (hypothesis) เก่ียวกับ พฤตกิ รรมทางการเมอื งและคุณค่าทางสงั คม เอ็ดเวอร์ด ซี. สมิธ (Edward C. Smith) และอาร์โนลด์ เจ. เซอร์เชอร์ (Arnold J. Zurcher, 1968 : 288) เสนอคาจากัดความที่ดูจะครอบคลุมลักษณะและขอบเขตของทฤษฎีการเมืองไว้ได้ทั้งหมด โดยให้ไว้ว่า ทฤษฎีการเมืองคือ “ส่วนท้ังหมดของคาสอน (doctrine) ที่เกี่ยวข้องกับกาเนิด, รูปแบบ, พฤติกรรม และ จุดมุ่งหมายของรัฐ ส่วนของคาสอนนี้อาจแบ่งลักษณะออกเป็นประเภทได้ดังนี้ จริยธรรม, จินตนาการ, สังคม วทิ ยา, กฎหมาย, และวิทยาศาสตร์” สมิธและเซอรเ์ ชอร์ให้อรรถาธบิ ายเกีย่ วกบั ลกั ษณะตา่ งๆ ดงั น้ี 1) ลักษณะแบบจริยธรรม (Ethical) ได้แก่ ส่วนของทฤษฎีการเมืองที่เก่ียวข้องกับส่ิงใดควร ทาหรือไมค่ วรทา ถกู ต้องหรอื ไมถ่ กู ตอ้ งในกจิ กรรมทางการเมอื ง 2) ลักษณะแบบจินตนาการ (Speculative) คือส่วนที่เป็นความคิดฝัน หรือมโนภาพที่ยังไม่ ปรากฏเป็นจรงิ ขนึ้ มา เชน่ การใฝ่ฝันถึงรัฐในอุดมคติ หรือการวาดภาพเลศิ นครในจินตนาการ 3) ลักษณะเชิงสังคมวิทยา (Sociological) เป็นส่วนของทฤษฎีการเมืองที่เก่ียวข้องกับการ วิเคราะห์หรือทดลองเปรียบเทียบเพ่ือแสวงหาความสัมพันธ์ระหว่างรัฐกับส่วนอื่นๆ ของสังคม หรือการ วเิ คราะห์รัฐในรปู ของการรวมตัวทางสังคม 4) ลักษณะแบบกฎหมาย (Legal) ได้แก่ส่วนที่ศึกษาเกี่ยวกับธรรมชาติของกฎหมาย สังกัป ของกฎหมาย และสถานะทางกฎหมาย ซ่ึงเกิดขึ้นมาจากสถาบันต่างๆ และเป็นเสมือนเครื่องมือที่จะกระจาย และควบคมุ การใช้อานาจทางการเมอื ง 5) ลักษณะแบบวิทยาศาสตร์ (Scientific) ได้แก่ทฤษฎีที่เกิดจากการสังเกตการณ์ การ ทดลอง เปรียบเทียบพฤติกรรมการเมืองเพื่อจะค้นหาแนวโน้มและความน่าจะเป็นไป การศึกษาสาเหตุและ ธรรมชาตขิ องการเปล่ยี นแปลงทางการเมือง ฯลฯ เปน็ ตน้ (อ้างจาก สขุ มุ นวลสกุลและโกศล โรจนพันธ์ุ, 2544 :3–4) ทั้งนี้ สมบัติ จันทรวงศ์ (2527 : 26) นักปรัชญาการเมืองผู้มีช่ือเสียงในวงการวิชาการไทยได้ให้ ความหมายไวว้ ่า ทฤษฎีการเมืองหมายถึง กฎแหง่ พฤติกรรมทางการเมืองซ่ึงเป็นสากล ที่นักรัฐศาสตร์สามารถ จะนามาใช้ประโยชน์ในการทานายเหตุการณ์ในอนาคตได้ จะเห็นได้ว่า “ทฤษฎีการเมือง” ตามความหมายน้ี เป็นผลสบื เนือ่ งโดยตรงมาจากการทนี่ กั สงั คมศาสตร์ พยายามทาให้ความรู้ทางสังคมศาสตร์ เป็นความรู้ที่อาจ มีการพิสูจน์ หรือทดลองอย่างใดอย่างหนึ่งได้ เช่นเดียวกับกฎทางวิทยาศาสตร์ ดังท่ีได้กล่าวมาแล้วนั่นเอง
ในทางปฏิบัติ ทฤษฎีการเมืองตามนัยน้ี ให้ความสาคัญอย่างย่ิงยวดแก่วิธีการเก็บและวิเคราะห์ข้อมูล และ หลีกเลี่ยงที่จะเข้าไปยุ่งเก่ียวในการประเมินค่านิยม (value judgement) ทฤษฎีการเมืองซ่ึงพยายามอธิบาย ถึงความสัมพันธ์ระหว่างปรากฏการณ์ต้ังแต่สองอย่างข้ึนไป โดยนาข้อเสนอต่างๆมาวางเป็นกฎเกณฑ์ จึง สามารถมไี ด้หลายระดับ ตามความน่าเชื่อถือได้ของข้อมูลที่ได้มาจากการสังเกตและพิสูจน์ และอาจมีขอบเขต กว้างขวางครอบคลุมทั้งระบบ เช่น ทฤษฎวี ่าด้วยระบบการเมอื ง หรือเฉพาะบางส่วนของกิจกรรมทางการเมือง เช่น ทฤษฎพี รรคการเมือง ทฤษฎภี าวะผู้นา เปน็ ต้น ตามความหมายที่กล่าวมาข้างต้นพอสรุปได้ว่า ทฤษฎีการเมือง เป็นหลักเกณฑ์หรือกฎเกณฑ์ทาง การเมืองที่เกิดจากการศึกษา ค้นคว้า และพิสูจน์ว่าเป็นความจริงและมีคุณค่าเพียงพอท่ีจะใช้เป็นแนวทางใน การนาไปปฏบิ ัติหรอื ใชอ้ ธิบายปรากฏการณท์ างการเมอื ง ศพั ท์ทีเ่ ก่ียวข้องกับทฤษฎกี ารเมือง ศัพท์ที่มีความเกี่ยวข้องกับทฤษฏีการเมืองจะมีลักษณะเฉพาะท่ีมีความเกี่ยวข้องสัมพันธ์เฉพาะกับ ศาสตร์ทางการเมือง เช่น ปรัชญาทางการเมือง ความคิดทางการเมือง อุดมการณ์ทางการเมือง ลัทธิการเมือง และสงั กัปทางการเมอื ง 1. ปรชั ญาการเมือง (Political Philosophy) เฮนรี บี เมโย (Henry B. Mayo, 1960 อ้างถึงใน จรญู สภุ าพ, 2522) ให้ความหมายว่า หมายถึงหลัก จริยธรรมซ่ึงถือเปน็ แนวทางในการกาหนดนโยบายสังคม ปรัชญาทางการเมืองเป็นเสมือนหลักการหรือเหตุผล หรือความยึดมั่นของรัฐ หรือถ้าจะอธิบายอีกแง่หนึ่ง ปรัชญาทางการเมืองเป็นเสมือนรากฐานของระบบ การเมือง ระบบการเมอื งท่วั ไปแต่ละแบบก็มกั จะมีปรชั ญาการเมอื งของตวั เองทเี่ หมาะสมกับความต้องการและ สงิ่ แวดลอ้ ม สมพงษ์ เกษมสิน (อ้างถึงในสุขุม นวลสกุลและโกศล โรจนพันธ์ุ , 2544 หน้า 2 ) ได้ให้ความหมาย ของปรัชญาการเมืองไว้ว่า ปรัชญาการเมือง (Political Philosophy) เป็นการศึกษาการเมืองในระดับลึกซ้ึง และเก่ียวโยงกับสาขาอ่ืนด้วย เพื่อให้รู้แจ้ง ปรัชญาการเมืองมักเน้นหลักจริยธรรมซ่ึงเป็นเสมือนหลักการหรือ เหตุผลที่ถูกต้องและมีคุณธรรม ถือเป็นรากฐานของระบบการเมืองแต่ละแบบ ปรัชญาการเมือง “อาจมี ลักษณะทไ่ี มเ่ ปน็ วทิ ยาศาสตร์ คือเปน็ ขอ้ คดิ ทอี่ าจพิสูจน์ไม่ได้ และมุ่งค้นหาสิ่งต่างๆ หรือหาความสัมพันธ์ต่างๆ ในสว่ นทวี่ ิทยาศาสตรเ์ ขา้ ไปไมถ่ งึ ” 2. ความคดิ ทางการเมอื ง (Political Thought)
จรูญ สุภาพ (2522 หน้า 7) ได้ให้ความหมายว่า ความคิดทางการเมือง หมายถึงความคิดความเช่ือ ของมนุษย์กลุ่มใดกลุ่มหน่ึงในยุคใดยุคหน่ึง แนวความคิด ลัทธิการเมืองท่ีสาคัญๆ ในปัจจุบันน้ีเกิดขึ้นจาก แนวความคิดของบุคคลที่มีสติปัญญา สามารถนาเอาความรอบรู้ ประสบการณ์ และข้อสังเกตเก่ียวกับ ปรากฏการณ์ของสังคม เชน่ พฤตกิ รรมของบุคคล ความปรารถนา ความต้องการ ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล ที่อยู่ในสังคมเดียวกัน ความร่วมมือหรือความขัดแย้งกัน รวมตลอดถึงปัจจัยที่ก่อให้เกิดความสงบสุข หรือ ปัญหาต่างๆที่ทาให้หลักประกันในชีวิตของบุคคลต้องเสื่อมคลายลง ทาให้เกิดความไม่ม่ันคงในการดารงชีวิต นอกจากนั้น ก็เป็นข้อคิดเกี่ยวกับการมีและการใช้อานาจการปกครองในสังคมว่าควรจะเป็นไปในแนวใด เพอื่ ให้บังเกดิ ผลหรือประโยชน์สูงสุดต่อบรรดาผเู้ ป็นสมาชกิ แห่งสงั คมน้ัน สุขุม นวลสกุลและโกศล โรจนพันธุ์ (2544 หน้า 1) ได้ให้ความหมายของความคิดทางการเมืองว่า ความคิดทางการเมือง หมายถึง ความคิดที่เก่ียวกับเร่ืองการเมืองอย่างกว้างๆ ความคิดทางการเมืองท่ีใช้ตาม นยั แห่งภาษาองั กฤษ เปน็ เสมอื นยาหมอ้ ใหญท่ รี่ วมหลายๆอยา่ งเข้าด้วยกัน ความคิดทางการเมืองมีแนวโน้มไป ในทางด้านพรรณนา (descriptive) และมักเน้นหนักความคิดเชิงประวัติศาสตร์ คือเรียงลาดับว่าใครคิดอย่าง ใด เมือ่ ใด ปกติไมค่ อ่ ยมกี ารแยกหวั ข้อวเิ คราะห์ 3. อดุ มการณท์ างการเมือง (Political Ideology) อดุ มการณ์ทางการเมืองมักใช้ในรูปความเชื่อและความคิดในระดับท่ีไม่ลึกซึ้งนัก เน้นความเช่ือศรัทธา มากกว่าเหตุผล แต่อุดมการณ์ทางการเมืองมีผลในการยึดถือและมักเป็นพลังผลักดันให้เกิดการกระทา หรือ ความเคลื่อนไหวทางการเมือง อุดมการณ์ไม่จาเป็นต้องเป็นสิ่งที่ถูกต้องหรือยึดหลักศีลธรรมและคุณธรรม แต่ เป็นความคิดหรือความเช่ือที่ปลูกฝังเพ่ือให้เกิดผลทางการเมือง (สุขุม นวลสกุลและโกศล โรจนพันธ์ (2544 หนา้ 2) C.J. Friedrich and Z.K. Brzinski (1961) ได้ให้ความหมายว่า อุดมการณ์ทางการเมืองเป็นเสมือน เป้าหมาย หรืออุดมคติทางการเมืองท่ีเป็นพลังผลักดันให้มนุษย์มีพฤติกรรมอย่างใดอย่างหน่ึง หรือปฏิบัติการ อย่างใดๆ เพือ่ ให้เป็นไปตามเป้าหมาย (อา้ งจาก จรูญ สภุ าพ, 2522) ทั้งนี้สมบัติ จันทรวงศ์ (2527 หน้า 25) ได้ให้ทรรศนะไว้ว่า อุดมการณ์ทางการเมือง (Political Ideology) ซ่ึงอาจกล่าวได้ว่า เป็นความคิดทางการเมืองที่มุ่งผลในทางปฏิบัติ ไม่ว่าจะเป็นการปกปักรักษา ระบบการเมืองอย่างที่เป็นอยู่ หรือการวิพากษ์ระบบท่ีเป็นอยู่ เพื่อนาไปสู่การเปล่ียนแปลงและการเกิดของ ระบบใหม่ โดยเฉพาะอย่างย่ิงความคิดทางการเมืองท่ีมีฐานอยู่บนความเช่ือที่ว่า การเปลี่ยนแปลงโครงสร้าง ของสถาบนั ทางสงั คมเสยี ใหมใ่ หส้ มบรู ณ์ จะยงั ผลใหม้ นษุ ย์บรรลุถงึ ความสมบูรณไ์ ด้โดยอัตโนมตั ิ
4. ลัทธกิ ารเมอื ง (Political Ism) ลัทธิการเมือง (Political Ism) ได้แก่ หลักการทางการเมืองซึ่งมีลักษณะผสมผเสจากความคิดหรือ ทฤษฎีของเมธีหลายท่านประกอบกันเป็นแนวความคิดเก่ียวกับระบบการเมือง ช้ีแนะและการจัดวางอานาจ , โครงสร้างทางการเมอื ง, ความเก่ยี วพนั ระหว่างองคก์ รทใี่ ชอ้ านาจกบั บคุ คล และประโยชน์คุณค่าท่ีจะบังเกิดข้ึน ในการปฏิบัติตามลัทธิ อย่างไรก็ตาม “ลัทธิการเมืองหนึ่งๆ อาจนาเอาความคิดจากปรัชญาการเมืองหลาย ความคิดมาผสมผสานกันก็ได้ หรือปรัชญาการเมืองหน่ึงๆ อาจก่อนให้เกิดลัทธิการเมืองมากกว่าหน่ึงลัทธิได้” (ชัยอนันต์ สมทุ วณิช อ้างจากสขุ ุม นวลสกลุ และโกศล โรจนพันธุ์, 2544 หนา้ 2) จรูญ สภุ าพ (2528 หน้า 1) ได้ให้ความหมายลัทธิการเมืองไว้ว่า ลัทธิการเมือง หมายถึงแนวความคิด เกี่ยวกับระบบการเมือง โดยมุ่งอธิบายสาระสาคัญแห่งระบบการเมือง อันได้แก่ อานาจทางการเมืองและ อานาจของรัฐ ขอบเขต ทม่ี า ที่ตั้งของอานาจดังกล่าวน้ี และความเกี่ยวพันระหว่างองค์การหรือหน่วยงานที่ใช้ อานาจรัฐกับบุคคล ซ่ึงเป็นองค์ประกอบแห่งรัฐนั้น ตลอดถึงผลประโยชน์และคุณค่าที่จะบังเกิดข้ึนต่อบุคคล ซึ่งรวมกันขึ้นเป็นสังคมหรือชุมชน ดังนั้น จึงปรากฏว่าลัทธิบางลัทธิสนับสนุนให้อานาจรัฐหรืออานาจทาง การเมืองมีมาก ซ่ึงมีผลทาให้สิทธิและบทบาทของประชาชนมีน้อยลง แต่บางลัทธิได้สนับสนุนให้บทบาทและ อานาจของบุคคลมีมากและมุ่งจากัดอานาจทางการเมืองหรืออานาจรัฐไม่ให้มากจนเกินไป ผลที่เกิดขึ้นก็คือ ความสัมพันธ์ระหว่างรัฐและบุคคลจึงมีลักษณะแตกต่างกันออกไปตามแบบลัทธิท่ีได้เกิดขึ้นท่ีสาคัญก็คือ ทุก ลัทธิมีเหตุผลที่จะสนับสนุนคุณประโยชน์แห่งลัทธิ ซ่ึงหมายถึงคุณค่าที่อาจเกิดข้ึนได้จากการใช้ลัทธิน้ันในการ กาหนดวถิ ีชวี ิตความเป็นอยรู่ ว่ มกันของมนุษยใ์ นสงั คมเสมอ 5. สงั กัปทางการเมือง (Political Concepts) สงั กปั ทางการเมือง หมายถงึ ความคดิ หรอื ทรรศนะเกี่ยวกับศัพท์เชงิ นามธรรมทางการเมือง เช่น ความ ยุติธรรม, จุดมุ่งหมายแห่งรัฐ, ผู้ปกครองท่ีดี, สิทธิ, ความม่ันคงแห่งรัฐ เป็นต้น ศัพท์เหล่าน้ีมีความหมายไป หลายทางตามความเข้าใจหรือการพิจารณาของแต่ละคน ทฤษฎีการเมืองเป็นการพยายามหาความเกี่ยวโยง ระหว่างสังกัปต่างๆ ดังกล่าวโดยให้ต้องด้วยเหตุผลและความเหมาะสม (สุขุม นวลสกุลและโกศล โรจนพันธ์ุ, 2544 หนา้ 2) หนา้ ทข่ี องทฤษฎกี ารเมอื ง ทนิ พนั ธ์ุ นาคะตะ (2541 หน้า 41) ได้กล่าวถึงหนา้ ทีข่ องทฤษฎกี ารเมืองในปัจจบุ นั ไว้อยา่ งน่าสนใจว่า
หน้าท่ีของทฤษฎีการเมืองปัจจุบันควรมีดังนี้คือ ประการแรก ช่วยรวบรวมความรู้ต่างๆ เข้าด้วยกัน โดยทา หนา้ ท่เี ปน็ กรอบแหง่ แนวความคิด ท่ีชว่ ยกาหนดความหมาย และจัดระเบียบขอ้ มลู เกย่ี วกบั ปรากฏการณ์ต่างๆ ท่ีมีอยู่มากมาย รวมทั้งช่วยให้เกิดความเข้าใจปรากฏการณ์ทางการเมืองต่างๆ ได้ดีข้ึน ประการที่สอง ช่วย จัดลาดับความสาคัญเร่งด่วน เก่ียวกับเรื่องที่จะทาการศึกษาวิจัยกันต่อไป โดยใช้เป็นเกณฑ์ในการมองปัญหา และตัวแปรต่างๆ ประการท่ีสาม ช่วยเป็นแนวทางสาหรับการจัดระเบียบ และการวิเคราะห์ข้อเท็จจริงต่างๆ ในรูปของคากล่าวเก่ียวกับส่ิงท่ีได้ค้นพบกันแล้ว เป็นการประมวลความรู้ต่างๆ ประการท่ีส่ี ช่วยให้มี แนวความคิดท่ที ดสอบไดเ้ กย่ี วกับโลกแห่งความเป็นจริง และประการสุดท้าย ช่วยให้มีกรอบแห่งแนวความคิด มีเคร่ืองมอื สาหรับการวเิ คราะห์ รวมท้ังมีตัวแบบสาหรับการมองตัวแปรต่างๆ ในจานวนที่จากัด ประโยชนข์ องทฤษฎกี ารเมอื ง สมพงศ์ เกษมสิน (2519 หน้า 8) ได้กล่าวถึงประโยชน์ของทฤษฎีการเมืองไว้ว่า ปัจจุบันนี้ทฤษฎี การเมืองวิวัฒนาการมาสู่รูปแบบท่ีมีลักษณะการใช้หลักเกณฑ์การพิสูจน์ทฤษฎี หรือสมมติฐานที่ต้ังข้ึน โดย วิธีการแบบวิทยาศาสตร์ ใช้วิธีการวิจัยจากข้อมูลที่รวบรวมตามหลักการ ทาให้ผลลัพธ์หรือข้อสรุปมีความ แม่นยามากข้ึน แม้จะไม่แน่นอนเหมือนกับทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์ธรรมชาติ (Nature Science) แต่ก็นับว่ามี ความถูกต้องสูงกว่าวิธีการแบบเดิมที่ใช้เพียงวิธีการสังเกตการณ์และเปรียบเทียบ เพราะฉะนั้นจึงอาจกล่าวได้ วา่ ทฤษฎีการเมอื งมีคุณคา่ ทส่ี าคัญอกี ประการหนง่ึ คือช่วยให้วชิ าการปกครองหรือวิชารฐั ศาสตร์มีลักษณะเป็น ปึกแผน่ มีกฎเกณฑแ์ ละแน่นอนมากขึน้ ลอเรนซ์ ซี. แวนลาสส์ (Lawrence C. Wanlass, 1953 p 14) กล่าวถึงคุณค่าและประโยชน์ของ ทฤษฎกี ารเมือง ดังน้ี 1. ทฤษฎีการเมืองช่วยให้คาจากัดความท่ีถูกต้องแก่ศัพท์ทางการเมือง เช่น คาว่า เสรีภาพ, ประชาธิปไตย ฯลฯ คาจาพวกน้ีนิยมใช้กันโดยทั่วไปไม่เฉพาะแต่นักศึกษารัฐศาสตร์เท่าน้ัน ทฤษฎีการเมือง สอนให้ร้ซู ง้ึ ถงึ ความหมายที่แท้จริงของศัพท์เฉพาะเหลา่ น้ี ซง่ึ จะมสี ่วนช่วยเป็นอย่างมากในการแสดงโวหารทาง การเมอื ง โนม้ น้าวความคิดเหน็ ของผ้อู ืน่ 2. ทฤษฎกี ารเมืองมีสว่ นช่วยอย่างมากในการทาใหเ้ ขา้ ใจประวัตศิ าสตร์ เพราะนาผู้ที่ศึกษาให้ เข้าสู่บรรยากาศความคิดในสมัยก่อน ช่วยให้เข้าใจถึงพลังผลักดันที่ก่อให้เกิดการเคลื่อนไหวหรือเปลี่ยนแปลง ทางการเมืองที่สาคัญๆ เพราะเหตุที่ว่าปรากฏการณ์ในอดีตเป็นผลมาจากการกระทาของมนุษย์ จึงเป็นการ จาเป็นทจ่ี ะต้องทราบถงึ ความคิดที่ชักจูงให้เกิดการกระทานั้น เช่น การท่ีจะเข้าใจถ่องแท้ถึงประวัติศาสตร์โลก
สมัยกลาง (Middle Ages) น้ัน จาเป็นต้องทราบถึงการพิพาทแย่งความเหนือกว่าในการปกครองคนระหว่าง จักรพรรดกิ ับสนั ตปาปา เป็นต้น 3. ความรู้ในความคดิ ทางการเมืองแห่งอดีตน้ันมีส่วนช่วยให้เข้าใจถึงการเมืองในสมัยปัจจุบัน เพราะปัญหาทางการเมืองในปัจจุบันล้วนเกิดข้ึนจากสถานการณ์ในอดีต หรืออาจเทียบเคียงได้กับ ปรากฏการณ์ในอดีต และหลักการเมืองต่างๆ ที่นามาใช้เป็นผลจากวิวัฒนาการของความคิดทางการเมือง สมัยก่อน เช่น ทฤษฎีการแบ่งแยกอานาจในระบบการปกครองของสหรัฐอเมริกา มีรากฐานมาจากความคิด ของเมธีการเมอื งสมยั กลาง เปน็ ต้น 4. ทฤษฎีการเมืองสอนใหม้ ีความเข้าใจในนโยบายและการปรับปรุงโครงร่างทางการปกครอง เพราะประเทศทุกประเทศต้องมีหลักการอันเกิดจากปรัชญาการเมืองใดปรัชญาหนึ่งเป็นส่ิงนารัฐบุรุษและ ประชาชน ในการวางนโยบายหรือปฏิรูปการปกครอง ความก้าวหน้าหรือประสบความสาเร็จของระบบ การเมืองในประเทศเป็นผลมาจากการวางโครงร่างการปกครองอยู่ทฤษฎีการเมืองที่เหมาะสมกับสภาพการณ์ และความต้องการของประเทศนั้น 5. คุณค่านอกเหนือไปจากที่กล่าวมาแล้ว ได้แก่ การท่ีทฤษฎีการเมืองเป็นเสมือนตัวแทน แสดงใหเ้ ห็นถงึ ความรุ่งโรจน์แห่งอาณาจักรทางปัญญาในสมัยต่างๆ รัฐในอุดมคติหรือเลิศนครแห่งจินตนาการ ล้วนแต่เป็นสิ่งที่สะท้อนให้เห็นถึงความคิดสร้างสรรค์ของมนุษย์และความพยายามท่ีจะใช้ความรู้ความเฉลียว ฉลาดเสนอแนะรูปแบบที่ดีท่ีสุดแห่งการปกครอง (อ้างจาก สุขมุ นวลสกุล และโกศล โรจนพันธุ์, 2544 หนา้ 6) กลา่ วไดว้ ่า ทฤษฎีการเมืองโบราณมีลักษณะเป็นปรัชญาการเมืองมากกว่า เพราะเป็นการเน้นรูปแบบ การเมืองในลกั ษณะของอุดมคติ อุดมการณ์ แนวคิด การศึกษาวิเคราะห์ โดยยึดหลัก จริยธรรมและคุณธรรม ของผู้ปกครองว่าท่ีดีที่สุดหรือท่ีเลวท่ีสุดเป็นอย่างไร รูปแบบการปกครองที่พึงประสงค์และไม่พึงประสงค์เป็น อย่างไร โดยเกิดจากการศึกษา ค้นคิดขึ้นมาเองของนักปราชญ์เป็นส่วนมาก โดยไม่ได้มีการศึกษาทดสอบ วิเคราะห์ในเชิงวิทยาการท่ีเป็นที่ยอมรับได้ในหลักการว่า ถูกต้องเที่ยงตรง เพียงแต่อาศัยความมีชื่อเสียงและ น่าเช่ือถือของเจ้าของแนวความคิดเท่านั้น ก็นาไปสู่แนวทางการปฏิบัติ ซ่ึงผลท่ีตามมาจึงเกิดการเมืองการ ปกครองในหลากหลายรูปแบบ หลายระบบ และหลายลัทธิ ซึ่งการศึกษาทฤษฎีการเมืองในสมัยโบราณนี้จึงมี ลักษณะเหมาะท่ีจะเป็นการศึกษาปรัชญา หรือประวัติศาสตร์มากกว่ารัฐศาสตร์ การศึกษาทฤษฎีการเมือง สมัยใหม่เร่ิมจากหลังสงครามโลกครั้งท่ีสองมีความเป็นทฤษฎีมากข้ึน มีความน่าเช่ือถือค่อนข้างมีความ เท่ียงตรงตามหลักวิธีการทางวิทยาศาสตร์มากข้ึน การแสวงหาข้อเท็จจริงและการวิเคราะห์ข้อเท็จจริงโดยวิธี ทางศาสตร์ การสร้างทฤษฎีทางการเมือง จึงยึดหลักความเป็นจริงท่ีเป็นผลมาจากการวิจัย จึงมีข้อเท็จจริง
หลักการและคุณค่า น่าจะเป็นเหตุผลเพียงพอที่จะใช้เป็นแนวทางในการปฏิบัติได้ อย่างไรก็ตาม แม้ทฤษฎี การเมืองจะใช้วิธีการทางวิทยาศาสตร์ในการสร้างทฤษฎี แต่ไม่อาจถือว่าเป็นวิทยาศาสตร์แบบวิทยาศาสตร์ ธรรมชาติได้ เพราะข้อเท็จจริงของพฤติกรรมทางการเมืองน้ันเปลี่ยนแปลงได้ ต่างจากข้อเท็จจริงทาง วทิ ยาศาสตร์ธรรมชาติซ่งึ มคี วามเที่ยงตรงอาจพิสจู นไ์ ด้ตลอดเวลา รูปแบบการปกครอง จากทฤษฎีการเมืองท่ีกล่าวผ่านมาจะเห็นได้ถึงความสาคญั ตอ่ การศกึ ษาวิชารัฐศาสตร์ เพราะ การศกึ ษาทฤษฎีการเมืองจะนามาสกู่ ารพเิ คราะห์ถึงความเหมาะสมถงึ รูปแบบการปกครองที่จะนาไปใช้กบั รัฐซึ่งส่งผลโดยตรงต่อความเป็ นอยู่ร่วมกันของคนในรัฐ ทัง้ นีห้ ากนาฐานคิดของทฤษฎีการเมืองมา ประยกุ ต์กบั การปกครองก็นบั ว่าเป็ นความจาเป็ นอีกประการหนึ่ง ซึ่งหากจะกล่าวถึงรูปแบบการปกครอง นนั้ ในทางทฤษฎีก็สามารถจาแนกได้หลายรูปแบบขนึ ้ อยกู่ บั วา่ จะใช้หลกั เกณฑ์ใดมาพิจารณาแยกย่อยแจก แจง อาทิเชน่ เกณฑ์ของจานวนผ้ปู กครอง หรือการใช้หลกั เกณฑ์ของสิทธิเสรีภาพของประชาชนและสงั คม วา่ มีมากน้อยเพียงไร ซง่ึ พอที่จะจาแนกได้ดงั นี ้ 1. รูปแบบการปกครองท่จี าแนกตามจานวนผู้ปกครอง การจาแนกรูปแบบการปกครองรูปแบบหน่ึงท่ีได้ รับความนิยมในการศึกษากันมากที่สุดรูปแบ บ หนงึ่ คอื รูปแบบการแบง่ การปกครองของอริสโตเตลิ ้ ท่ีเป็ นการจาแนกด้วยการดจู านวนผ้ปู กครอง หรือดวู ่า ใครเป็นผ้ปู กครองและใครได้รับประโยชน์จากการปกครอง โดยอริสโตเตลิ ้ จาแนกจานวนผ้ปู กครองออกเป็ น 3 ประเภท คือ คนเดยี ว จานวนน้อย และจานวนมาก และจาแนกถึงผ้ไู ด้รับประโยชน์จากการปกครองเป็ น 3 ประเภทเช่นเดียวกนั ทงั้ นีก้ ล่าวได้ว่า การแบง่ รูปแบบการปกครองโดยการยึดหลกั จานวนหรือปริมาณ ของผ้มู ีอานาจในการปกครองก็ไม่สามารถบง่ บอกได้ว่ารูปแบบการปกครองนนั้ จะเป็ นรูปแบบการปกครอง ท่ีดหี รือเลว
ตารางที่ 1 ตารางแสดงรูปแบบการปกครองของอริสโตเตลิ ้ จานวนอานาจ รูปแบบการปกครอง รูปแบบการปกครอง เพื่อคนส่วนใหญ่ (ดี) เพ่อื ตนหรือกลุ่ม (เลว) คนเดียว ราชาธิปไตย ทรราชย์ (Monarchy) (Tyranny) คนจานวนนอ้ ย (กลุ่ม) อภิชนาธิปไตย คณาธิปไตย (Aristocracy) (Oligarchy) คนจานวนมาก รูปแบบการปกครอง ประชาธิปไตย (Polity) (Democracy) ท่ีมา : ปรับจาก ไชยนั ต์ ไชยพร,การปกครองตามแนวคดิ ของอริสโตเตลิ ้ , ม.ป.ป., หน้า 8. รูปแบบการปกครองทงั้ 6 รูปแบบสามารถเป็ นรูปแบบการปกครองเป็ นเครื่องบง่ ชีใ้ ห้เห็นวา่ การใช้ อานาจของผ้ปู กครองมีโอกาสที่จะทาให้การปกครองดีหรือเลวก็ได้ โดยรูปแบบการปกครอง 3 รูปแบบแรก ได้แก่ ระบอบราชาธิปไตย ระบอบอภิชนาธิปไตย และระบอบแห่งรูปแบบการปกครอง เป็ นรูปแบบการ ปกครองท่ีดีได้ ถ้าผ้มู ีอานาจทาการปกครองโดยคานึงถึงความดีส่วนรวม และความดีส่วนรวมนีต้ ้องอย่ใู น กรอบของความยตุ ธิ รรมสมบรู ณ์ด้วย การปกครองท่ีอานาจอยใู่ นมือคน ๆ เดียว หรือกล่มุ คน หรือมหาชน โดยผู้มีอานาจคานึงถึงความดีส่วนรวมในการปกครองย่อมถือเป็ นรูปแบบการปกครองท่ีดีทงั้ สิน้ ส่วน รูปแบบการปกครองท่ีเลว ได้แก่ ระบอบทรราชย์ ระบอบคณาธิปไตย และระบอบประชาธิปไตย โดยผ้มู ี อานาจในแตล่ ะระบอบตา่ งปกครองโดยคานงึ ถงึ แตป่ ระโยชน์ของตนเท่านนั้ 1 1 ดไู ชยนั ต์ ไชยพร. (ม.ป.ป.), เอกสารคาสอนวชิ าปรัชญาการเมืองกบั การเมืองการปกครองไทย. หลกั สูตรปรัชญาดุษฎีบณั ฑิต สาขาวชิ า การเมือง คณะรัฐศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั รามคาแหง.
การจาแนกการปกครองตามรูปแบบการปกครองท่ีดี – เลว ตามทัศนะของอริสโตเติล้ สามารถ ขยายความพอสงั เขปคอื 1. รูปแบบการปกครองท่ีดี 1.1 ราชาธิปไตย (Monarchy) เป็ นรูปแบบการปกครองโดยคน ๆเดียวที่เป็ นผ้มู ี อานาจสูงสุดในรัฐในทกุ ๆ ด้าน ในการขึน้ มามีอานาจปกครองนนั้ อาจมาจากการสืบทอดทางสายเลือด หรือตามหลกั การสืบสนั ตติวงศ์ หรืออาจเป็ นการสถาปนาอานาจขึน้ มาใหม่แทนท่ีราชวงศ์เดิมที่สูญเสีย อานาจหรือถกู ล้มล้าง 1.2 อภิชนาธิปไตย (Aristocracy) หมายถึง รูปแบบการปกครองที่ปกครองโดย คนท่ีดีท่ีสดุ หรือมีความสามารถที่พิเศษท่ีสดุ เดิมในนครรัฐเอเธนส์ใช้อธิบายถึงทหารหนมุ่ ท่ีนากองทพั ชนะ การรบด้วยความกล้าหาญ ซึ่งความกล้าหาญแบบนกั รบเป็ นส่ิงท่ีถือว่าเป็ นคณุ ธรรมอนั สูงส่งในยุคกรีก โบราณ หากแตใ่ นระยะตอ่ มาสงั คมเปล่ียนแปลงไปจงึ แปรสภาพไปตามสถานภาพที่ติดตวั มาจากการเกิด ในตระกลู ชนชนั้ สงู หรือตระกลู ขนุ นาง หรือ อาจแปรเปลี่ยนไปในทิศทางของอภิชน ตามทศั นของอริสโตเตลิ ้ จะหมายถึง รูปแบบการปกครองที่มีคณะผ้ปู กครองจานวนน้อยที่มาจาก คนท่ีดที ี่สดุ หรือมีความสามารถพเิ ศษสดุ ในสงั คม เป็นการปกครองท่ีวางอยบู่ นหลกั คณุ ธรรม จริยธรรม โดย ความสามารถอนั สงู สง่ ของผ้ปู กครองนีม้ ีเป้ าหมายเพื่อคนทงั้ ปวง 1.3 ระบอบการปกครอง (Polity) ตามทศั นะของอริสโตเติล้ ถือเป็ นระบอบการ ปกครองที่ดีที่สดุ ถือวา่ เป็นทางสายกลางท่ีปกครองด้วยชนชนั้ กลางที่มีความสามารถ และถือเป็ นชนชนั้ ท่ีมี คณุ ภาพมากที่สดุ เพราะชนชนั้ กลางไม่มงุ่ ผลประโยชน์เฉพาะหน้า และไมอ่ ิจฉาริษยาชนชนั้ สงู เหมือนชน ชนั้ ล่าง ในขณะเดียวกันก็ไม่เหมือนชนชนั้ สงู ท่ีห่างไกลจากชีวิตความเป็ นอย่ขู องชนชนั้ ล่างและไม่มีความ เข้าใจชนชนั้ ลา่ ง 2. รูปแบบการปกครองท่เี ลว 2.1 ทรราชย์ (Tyranny) หมายถึงบคุ คลท่ีล้มล้างรัฐบาลด้วยความถูกต้องชอบ ธรรมแล้วสถาปนาตนเองเป็ นผู้ปกครองแบบเผด็จการแทนที่โดยได้รับการรับรองหรือสนับสนุนจาก ประชาชน ด้วยหวงั วา่ ผ้ปู กครองคนใหมจ่ ะเข้ามาชว่ ยแก้ไขปัญหาได้ หากแต่ ทรราชย์ ในทศั นะของอริสโต
เติล้ เป็ นการอธิบายถึงการปกครองโดยคน ๆเดียวท่ีขาดคณุ ธรรม จริยธรรม ใช้อานาจฉ้อฉล ม่งุ ประโยชน์ สว่ นตนหรือพวกพ้อง โดยไมใ่ สใ่ จตอ่ ความทกุ ข์ยากของผ้ใู ต้ปกครอง 2.2 คณาธิปไตย (Oligarchy) เป็ นการปกครองโดยคนจานวนน้อยที่มีความ ใกล้เคียงกบั อภิชนาธิปไตย หากแต่แตกต่างกันตรงท่ีคณาธิปไตยม่งุ ผลประโยชน์ไปเฉพาะแต่พรรคพวก ของตนโดยไมย่ ดึ ถือความทกุ ข์ยากของประชาชนใต้ปกครอง การเกิดขนึ ้ ของคณาธิปไตยสามารถเกิดมาได้ จากความได้เปรียบทางความมน่ั คงโดยมีกาลงั ทหาร หรืออาจเป็ นคนที่มีชาตติ ระกลู สงู สง่ ที่กมุ อิทธิพลทาง การเมือง 2.3 ประชาธิปไตย (Democracy) ก่อนอื่นต้องกล่าวก่อนว่าประชาธิปไตยในที่นี ้ มีความแตกต่างจากประชาธิปไตยในปัจจุบัน กล่าวคือ ประชาธิปไตยโบราณในสมัยกรีกจะเป็ น ประชาธิปไตยทางตรงท่ีเปิ ดโอกาสให้พลเมืองจานวนมากเข้ามามีส่วนร่วมทางการเมือง โดยการประชมุ กาหนดกฎเกณฑ์นโยบายและตดั สินปัญหาสาคญั ตา่ ง ๆของบ้านเมือง โดยยดึ มติเสียงสว่ นมากเป็ นเกณฑ์ ซง่ึ ตามทศั นะของอริสโตเตลิ ้ เห็นวา่ ด้วยลกั ษณะท่ีอาศยั ความเห็นความรู้สึกของคนหม่มู ากในตดั สินปัญหา ตา่ ง ๆของบ้านเมือง เป็ นสิ่งซ่ึงขาดซึง่ คณุ ภาพเน่ืองจาก ปราศจากความเป็ นระเบียบ ความมีเหตผุ ล และ ปราศจากซง่ึ ฐานความรู้และคณุ ธรรม 2. รูปแบบการปกครองท่จี าแนกตามสิทธิเสรีภาพของประชาชน การปกครองยคุ สมยั ใหม่ มีการใช้หลกั เกณฑ์ในการพิจารณาถึงรูปแบบการปกครองในลกั ษณะของการ พิจารณาถึงสิทธิเสรีภาพของประชาชนที่มีมากกว่า หรือแตล่ ะรูปแบบมีมากน้อยเพียงไร ด้วยทงั้ นีเ้ ราพอ จาแนกอย่างสังเขปได้เป็ น 3 รูปแบบด้วยกันคือ เผด็จการเบ็ดเสร็จ เผด็จการอานาจนิยม และ ประชาธิปไตย (Roskin, Cord, Medeiros, Jones, อ้างในบฆู อรี ยีหมะ, 2554 : 58-59.) 1) เผด็จการเบ็ดเสร็จนิยม (Totalitarianism) เป็ นการปกครองท่ีไม่ยอมรับความเท่า เทียมกนั ทางการเมือง หรือการปกครองโดยคนส่วนใหญ่ แตม่ ่งุ ความสาคญั ของอานาจไปอยทู่ ่ี กลมุ่ ชนชนั้ นา กล่มุ พรรคการเมือง หรือผ้นู าเผด็จการ กล่าวได้ว่า สงั คมท่ีปกครองภายใต้ระบอบเผดจ็ การเบ็ดเสร็จ นิยมนนั้ รัฐจะมีเป้ าหมายม่งุ ควบคุมอุดมการณ์ทางการเมืองของประชาชนอยา่ งเข้มงวดและบงั คบั ไม่ให้ หลีกเล่ียงได้ ดงั นนั้ ประชาชนจงึ ไร้สนิ ้ ซงึ่ สิทธิ เสรีภาพ ในแทบทกุ ด้าน อีกทงั้ กิจกรรมตา่ ง ๆทงั้ ทางการเมือง เศรษฐกิจ สงั คมและวฒั นธรรมจะถกู ควบคมุ ดแู ลสงั่ การโดยผ้มู ีอานาจอยา่ งเคร่งครัด
รัฐบาลนาซีของเยอรมนั คือตวั อยา่ งรัฐที่ถกู ปกครองด้วยระบอบเผดจ็ การเบ็ดเสร็จนิยม ด้วยสงั คม เยอรมนั ท่ีประสบปัญหาเศรษฐกิจตกต่าจากการพ่ายแพ้สงครามโลกครัง้ ที่ 1 จึงเกิดความรู้สึกต่าต้อยใน เกียรตภิ ูมิ ด้วยพรรคนาซีท่ีนาโดยอดอล์ฟ ฮิตเลอร์ (Adolph Hitler) มีนโยบายเป็ นไปในทางที่พยายาม ปลกุ เร้าสร้างความรู้สกึ ชาตนิ ิยมจงึ ทาให้พรรคนาซีได้รับความนิยมสงู สดุ อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ (Adolph Hitler) ผู้ซ่ึงเป็ นหวั หน้าพรรคสังคมนิยมแห่งชาติ คือ ผู้นาที่ดารง ตาแหน่งประธานาธิบดี พร้อมควบตาแหน่งนายกรัฐมนตรีและผ้บู ญั ชาการสงู สดุ เขาได้ใช้อานาจยกเลิก พรรคการเมืองตา่ ง ๆ ให้เหลือเพียงพรรคนาซีเป็ นพรรคการเมืองที่ถกู กฎหมายเพียงเพียงพรรคเดียว สง่ ผล ให้สภาพสงั คมภายใต้การปกครองของฮิตเลอร์ เป็ นไปในทิศทางท่ีประชาชนถกู บงั คบั ด้วยการใช้กลไกการ กาลงั อาวธุ ปราบปรามและควบคมุ กลไกด้านความคิด ด้วยการสร้างความเชื่อความศรัทธาให้เกิดกับตวั ผ้นู าวา่ เป็ นศนู ย์รวมของเจตนารมณ์ของประชาชน จึงทาให้ฐานะของผ้นู ามีสถานะเหนือกว่าประชาชนจึง จาเป็นต้องเชื่อฟังคาสง่ั ผ้นู า 2) เผด็จการอานาจนิยม (Authoritarianism) มีความแตกต่างจากระบอบเผด็จการ เบ็ดเสร็จนิยมตรงที่ความเข้มข้น รัฐหรือผู้มีอานาจมีเป้ าหมายเพียงให้ประชาชนเช่ือฟัง ไม่ท้าทายหรือ ประท้วงในสิง่ ที่รัฐดาเนินการ ไมม่ ่งุ หวงั ท่ีจะปลกู ฝังอดุ มการณ์หรือเปล่ียนแปลงความคิดทางการเมืองเดิม กลา่ วได้วา่ ประชาชนมีสิทธิเสรีภาพอย่บู ้างในบางระดบั เช่น การนบั ถือศาสนา หรือการรวมกลมุ่ เป็ นกล่มุ ผลประโยชน์ตา่ ง ๆ 3) ประชาธิปไตย (Democracy) ประชาธิปไตยสมยั ใหม่ยึดหลกั สิทธิ เสรีภาพ ความเสมอ . ภาค และเหตผุ ล ทงั้ นีเ้น้นถงึ ความเทา่ เทียมกนั ของคนในสงั คม ซง่ึ ปัจจบุ นั ระบอบประชาธิปไตยเป็ นระบอบ ที่ทวั่ โลกให้การยอมรับมากท่ีสดุ อีกทงั้ ยงั เป็นเคร่ืองหมายแสดงถงึ ความเป็นอารยะอีกด้วย 3. รูปแบบการปกครองในสมัยนิยม การกลา่ วถงึ การปกครองในสมยั นยิ ม คงมิอาจปฏิเสธการปกครองในระบอบประชาธิปไตยได้ ทงั้ นี ้ เพราะกระแสของประชาธิปไตยได้มีการแผ่ขยายไปทวั่ โลก ด้วยหลกั ของเหตผุ ล สิทธิ เสรีภาพ และความ เสมอภาค ดูจะเป็ นสิ่งท่ีตอบสนองต่อความต้องการในสมัยนิยมสูงสุดมากกว่าระบบการปกครองใน ประเภทอื่น ๆ หากแตภ่ ายใต้การปกครองในระบอบประชาธิปไตย
คาถามทา้ ยบท 1.จงอธิบายความหมายและความสาคญั ของทฤษฎีการเมือง มาพอเขา้ ใจ 2.ทฤษฎีการเมืองกับการศกึ ษาวชิ าสขารฐั ศาสตรม์ ีความสมั พนั ธ์กันอยา่ งไร 3.การศึกษาทฤษฎีการเมืองสามารถนาไปวิเคราะห์สถานะการณ์ทางการเมืองได้อยา่ งไร 4.จงอธิบายความหมายของปรชั ญาทางการเมือง มาพอเข้าใจ 5.จงอธิบายความหมายของความคดิ ทางการเมือง มาพอเขา้ ใจ 6.จงอธิบายความหมายของอดุ มการณท์ างการเมือง มาพอเข้าใจ 7.จงอธบิ ายความหมายของลทั ธิการเมอื ง มาพอเขา้ ใจ 8.จงอธบิ ายเนือ้ หาสาระสาคญั ของแนวความคดิ ท่ีมีความเก่ียวข้องกับทฤษฎีการเมือง มาโดย ละเอียด
Search
Read the Text Version
- 1 - 13
Pages: