บทท่ี 5 อานาจกบั กฎหมาย ในบทนีจ้ ะเป็ นการศกึ ษาความสมั พนั ธ์ระหว่างอานาจกบั กฏหมาย โดยทว่ั ไปนกั สงั คมวิทยา นิยาม อานาจ ว่า เป็ นความสามารถในการกาหนดให้ผ้อู ื่นเป็ นหรือกระทาตามความต้องการของตนเอง แม้วา่ ผ้อู ่ืนจะขดั ขืนก็ตาม\"อานาจ หมายถึงโอกาสท่ีมีอย่ใู นความสมั พนั ธ์ทางสงั คม ท่ีทาให้บางคนสามารถกระทาตามความตงั้ ใจ แม้ว่าจะมีการขดั ขวาง โดยไมข่ นึ ้ กบั หลกั การทร่ี องรับโอกาสนนั้ ๆ ดงั นนั้ \"อานาจ\" ในแนวคิดทางสงั คมวทิ ยา จึงมคี วามหมายครอบคลมุ ถึงอานาจ ทางกายภาพและ อานาจการเมืองในภาษาที่ใช้กนั ในชีวิตประจาวนั คาวา่ \"อานาจ\" จะมีความหมายใกล้เคียงกบั คาว่า \"อิทธิพล\" (influence) ถ้าจะกลา่ วในกรณีทวั่ ไปมากกว่านี ้เราสามารถนิยาม \"อานาจ\" ว่าเป็ นความสามารถฝ่ ายเดียว หรือเกือบจะฝ่ ายเดียว, หรือศกั ยภาพในการทาให้เกิดการเปลยี่ นแปลงของอะไรบางอยา่ ง ซง่ึ มกั จะเป็ นชีวิตของผ้คู น ผา่ น ทางการกระทาของตนเอง รือผ้อู ่ืน การใช้อานาจดูเหมือนจะเป็ นสิ่งที่เกิดขึน้ เฉพาะกับมนษุ ย์ท่ีเป็ นส่งิ มีชีวิตที่มีลกั ษณะ ต้องการสงั คม และอยรู่ วมเป็ นกลมุ่ หลักการใช้อานาจ การปกครองในระบอบประชาธิปไตยเป็ น การปกครองโดยกฎหมายหรือที่เรียกวา่ การปกครองโดยใช้หลกั นิติรัฐ ดงั ที่กลา่ วมาแล้ว ซงึ่ ผ้ทู ี่จะมอี านาจและหน้าท่ใี นการปกครองและบริหารประเทศ จะต้องมีกฎหมายให้ อานาจและหน้าที่ ไว้และกฎหมายนนั้ จะต้องเป็ นกฎหมายที่บญั ญตั ิ โดยประชาชนหรือโดยตวั แทนของ ประชาชนในการให้อานาจและหน้าท่ี ดงั กลา่ ว เพือ่ ให้ผ้ปู กครองใช้อานาจตามกฎหมายนนั้ ในการทาหน้าท่ีให้เป็ นไปตามเจตนารมณ์ของประชาชน ท่บี ญั ญตั ิไว้ ในกฎหมายเทา่ นนั้ ตวั อยา่ งเชน่ ตามบทบญั ญตั ิของฉบบั ปัจจุบนั กฎหมายรัฐธรรมนญู มาตรา 72 ซึ่งบญั ญตั ิไว้ความวา่ \"รัฐต้องจดั ให้มีกาลงั ทหารไว้เพื่อพทิ กั ษ์รักษาเอกราช ความมน่ั คง ของรัฐ พระมหากษัตริย์ ผลประโยชน์แหง่ ชาติ และการ ปกครองในระบอบประชาธิปไตย อนั มีพระมหากษัตริย์เป็ นประมุข และเพ่ือพฒั นาประเทศ\" จากบทบัญญัติดงั กล่าว กฎหมายไม่ ได้บญั ญตั ิไว้ถึงปริมาณหรือแสนยานภุ าพของกาลงั ทหารว่าต้องมีมากน้อยเพียงใด เพียงแตบ่ ญั ญตั ิวา่ ให้รัฐ เป็ นผ้จู ดั สรรให้มีกาลงั ทหารไว้เพ่อื พทิ กั ษ์รักษาเอกราช ความมนั่ คงของรัฐ และของสถาบนั ตา่ ง ๆ ดงั กลา่ ว ซงึ่ เจตนารมณ์ ของกฎหมายเพอื่ ให้รัฐพิจารณาจดั ให้มกี าลงั ทหารให้มคี วามเหมาะสมกบั กิจการดงั กลา่ วหากรัฐท่มุ เทในการสร้าง กาลงั ทหารมากจนเกินความจาเป็ น หรือมิได้จดั ให้มีกาลงั ทหารในปริมาณท่ีเหมาะสม หรือไมม่ ีแสนยานภุ าพที่เพียงพอในการ กระทาการ ตามท่บี ญั ญตั ไิ ว้ในรัฐธรรมนญู แล้วนนั้ ถือได้วา่ ลกั ษณะของการบริหารประเทศตามความใน มาตรา นี ้ไม่เป็ น การบริหารและปกครองประเทศตามอานาจและหน้าที่ ท่ีมีอย่ใู ห้บรรลผุ ลได้ ตามท่ีกฎหมายได้ตงั้ เป้ าประสงค์ไว้ หรือ ตวั อยา่ งหนงึ่ เชน่ พระราชบญั ญตั ริ ะเบยี บบริหารราชการแผน่ ดนิ พ.ศ. 2534 มาตรา 11 ได้บญั ญตั ิไว้ถึงการให้อานาจและ หน้าท่ีของนายกรัฐมนตรีไว้ โดยเจตนาของกฎหมาย ต้องการให้การบริหารราชการแผน่ ดนิ เป็ นไปด้วยความเรียบร้อย โดย
มีนายก รัฐมนตรีในฐานะหวั หน้ารัฐบาลเป็ นผ้มู ีอานาจและหน้าท่ีตามกฎหมายบญั ญตั ิ ฉะนนั้ การใช้อานาจและหน้าทข่ี อง นายกรัฐมนตรีนนั้ จะต้องทาให้บรรลผุ ลและเป็ น ไปตามเจตนารมณ์ของกฎหมาย คือต้องบริหารราชการแผ่นดินให้ตรง ตามเป้ าประสงค์ท่ีกฎหมายต้องการ หรือในกรณีอ่ืน ๆ ที่เป็ นเรื่องของการ มอบหมายอานาจและหน้าท่ีก็ต้องยึดหลกั ดงั กลา่ วนเี ้ช่นเดยี วกนั ทงั้ นเี ้น่อื งจากกฎหมายมหาชนนนั้ เป็ นเรื่องของการท่ีใช้อานาจและหน้าท่ตี ามกฎหมาย ฉะนนั้ การท่ี จะใช้อานาจและหน้าท่ีตามที่กฎหมายบญั ญัตินนั้ จึงต้องเป็ นไปตามเจตนารมณ์และ ตามความต้องการของกฎหมาย เทา่ นนั้ หากการใช้อานาจและหน้าทีต่ าม หลกั กฎหมายมหาชนของผ้ปู กครอง ไมเ่ ป็ นไปตามเจตนารมณ์ของกฎหมายแล้ว กฎหมายมหาชนก็ยงั มบี ท บญั ญตั ิถึงกระบวนการควบคมุ การใช้อานาจนนั้ ด้วย ดงั นนั้ ในการใช้อานาจและหน้าท่ี ของรัฐ ของหน่วยงานของรัฐและของเจ้าหน้าท่ีของรัฐนนั้ จะต้องเป็ นไปตาม เจตนารมณ์ของกฎหมายและเพ่ือประโยชน์และ เป็ นไปตามความต้องการของ ประชาชนสว่ นใหญ่เป็ นสาคญั ซ่งึ หลกั การดงั กลา่ วคือหลกั การของระบอบ ประชาธิปไตย หรือหลกั นติ ิรัฐดงั ท่ีเคยกลา่ วมาแล้ว การใช้อานาจและหน้าท่ขี อง รัฐ หน่วยงานของรัฐ การพจิ ารณาถงึ เกณฑ์ของความ เหมาะสมและความสมควรในการใช้อานาจตามกฎหมายของรัฐ ของเจ้าหน้าท่ี ของรัฐ หรือของหน่วยงานของรัฐนนั้ เป็ นเรื่องท่ีหาข้อยตุ ิได้ยาก ทงั้ นีเ้ น่ืองจาก ไมม่ ีหลกั เกณฑ์อันใดท่ีจะใช้เป็ นเกณฑ์ได้ อย่างเที่ยงตรง เพราะในเร่ืองของการ ใช้อานาจดังกล่าวนนั้ เป็ นเรื่องของการใช้ดุลยพินิจ และการใช้ดุลยพินิจนีม้ ี องค์ประกอบและเง่ือนไขหลายประการ ในแตล่ ะบคุ คล แตล่ ะสถานการณ์และในแต่ละส่งิ แวดล้อม ฯลฯ ซึง่ ส่งิ เหลา่ นีล้ ้วน แล้วแตม่ ผี ลตอ่ การตดั สนิ ใจ ของผ้มู อี านาจและหน้าท่ดี งั กลา่ ว แตอ่ ยา่ งไรก็ดกี ารพจิ ารณาในเรื่อง ของความเหมาะสมและ สมควรในการใช้อานาจและหน้าท่ีนัน้ จะต้องพิจารณาจากผลที่เกิดขึน้ จากการใช้อานาจและหน้าที่นัน้ ว่า มีความ เหมาะสมและสมควรกบั ประโยชน์ของสาธารณะชนหรือของประชาชนโดยรวมหรือไมเ่ พราะการท่ีกฎหมายบญั ญตั ิให้ อานาจ และหน้าที่แก่ผ้ปู กครองและผ้ทู ่ีบริหารประเทศไว้นนั้ มีจุดม่งุ หมายเพ่ือการบริการแก่สาธารณชน และเพ่ือการ ปกครองทก่ี ระทาเพ่อื ประโยชน์ของคนสว่ นใหญ่ ดงั นนั้ หากการกระทาตามอานาจและ หน้าท่ีเพอ่ื ประโยชน์ของประชาชน สว่ นรวมเป็ นไปเพือ่ สาธารณะและประโยชน์ของคนโดยสว่ นรวมแล้ว ถือได้วา่ เป็ นการกระทาท่ีสมควรและเหมาะสม อาทิ เช่น การเวนคนื ท่ดี นิ เพอื่ ทาถนนสาธารณะ ดงั นถี ้ ือวา่ เป็ นการใช้อานาจและหน้าท่ีที่มีความเหมาะสมและสมควร แต่หาก การเวนคืนท่ีดินดงั กลา่ วเพือ่ ทจ่ี ะนามาสร้างสนามกอลฟ์ ถือวา่ การใช้อานาจและหน้าทดี่ งั กลา่ วไมส่ มควรและไมเ่ หมาะสม เพราะ การสร้ างสนามกอล์ฟไม่เป็ นเพื่อประโยชน์สาธารณะ เนื่องจากกฎหมายมหาชนเป็ น กฎหมายที่ให้อานาจและ หน้าท่แี ก่รัฐ แก่หนว่ ยงานของรัฐ และแกเ่ จ้าหน้าทข่ี องรัฐ ในการบริหารประเทศและในการบริการสาธารณะและเนื่องจาก การ ที่ผ้ปู ก ครองมีอานาจและหน้าทีท่ ี่มากกวา่ และเกินกวา่ ทปี่ ระชาชนมี หรือทีเ่ รียกกนั วา่ มคี วามไมเ่ สมอภาคกนั ในฐานะ หรือสถานภาพนี่เอง จึงอาจทาให้สิทธิและ ประโยชน์บางประการของประชาชน บางคน บางส่วน หรือบางกล่มุ ต้อง สญู เสยี ไปหรือเรียกได้วา่ เกิดภาระขนึ ้ ฉะนนั้ จงึ เป็ นเรื่องปกติธรรมดาท่ีว่า ประชาชนอาจจะต้องเกิดภาระขนึ ้ บ้าง จากการ ใช้อานาจและหน้าที่เพอ่ื ให้บรรลเุ ป้ าหมาย ในการปกครองและบริหารประเทศของผ้ปู กครอง แตอ่ ย่างไรก็ดีการใช้อานาจ
และหน้าที่ดงั กลา่ วนนั้ ในการบริหารและการปกครอง จะต้องไมม่ ีผล กระทบหรือสร้างภาระแก่ประชาชนมากจนเกินควร เพราะมิ ฉะนนั้ แล้วจะเป็ นการขดั ต่อหลกั การของกฎหมายรัฐธรรมนญู ซ่งึ เน้นและยึดหลกั ในเรื่อง ของความสขุ สงบและ ความเป็ นธรรมของคนในสงั คม ตวั อยา่ งเช่น รัฐหรือคณะรัฐบาล ซงึ่ เป็ นผ้ใู ช้อานาจบริหารและปกครองประเทศตามบทบญั ญัติของรัฐธรรม นญู และตามกฎหมายอ่ืน เพื่อให้บรรลตุ ามแนวนโยบายและตามเจตนารมณ์ เป้ าประสงค์ของกฎหมายนนั้ ๆ แต่หากการ ใช้ อานาจตามหน้าท่ีของรัฐบาลดงั กลา่ วมีผลทาให้เศรษฐกิจตกตา่ เกิดปัญหาคนวา่ งงาน เกิดภาวะเงินเฟ้ อ ฯลฯ ซงึ่ สง่ิ ต่าง ๆ เหลา่ นนั้ ได้ สง่ ผลกระทบไปยงั ประชาชน สว่ นใหญ่ทงั้ ทางตรงและทางอ้อมลกั ษณะของผลกระทบดงั กลา่ วถือ ได้ว่าเป็ น การสร้างภาระแก่ประชาชน และเม่ือเศรษฐกิจตกต่าแล้ว รัฐบาลได้แก้ปัญหาโดยการออกกฎหมาย เพ่ิมอตั ราภาษีท่ีสงู เกินไปกบั ประชาชน ลกั ษณะเช่นนถี ้ ือได้วา่ เป็ นการใช้อานาจและหน้าท่ีซง่ึ มีผลในการสร้าง ภาระให้แก่ประชาชนมากเกิน สมควร ความหมายของกฎหมาย คาว่า กฎหมาย ตามพจนานกุ รมฉบบั ราชบณั ฑิตยสถาน พ.ศ. 2542 (ราชบณั ฑิตยสถาน, 2546, หน้า 4) นนั้ หมายถงึ กฎทส่ี ถาบนั หรือผ้มู ีอานาจสงู สดุ ในรัฐตราขนึ ้ หรือท่ีเกิดขนึ ้ จากจารีตประเพณีอนั เป็ นที่ยอมรับนบั ถือ เพื่อใช้ใน การบริหารประเทศ เพื่อใช้บงั คบั บคุ คลให้ปฏิบตั ติ าม หรือเพ่อื กาหนดระเบยี บแหง่ ความสมั พนั ธ์ระหวา่ งบคุ คลหรือระหวา่ ง บคุ คลกบั รัฐ นอกจากนี ้ยงั มีนกั วิชาการและผ้ทู รงคณุ วฒุ ิหลายทา่ น ได้ให้ความหมายของกฎหมายไว้ดงั นี ้ ศาสตราจารย์ ดร. หยดุ แสงอทุ ยั (หยดุ แสงอทุ ยั , 2552, หน้า 36-43) ได้พิจารณากฎหมายใน 2 ลกั ษณะ คือ กฎหมายตามเนอื ้ ความ และกฎหมายตามแบบพิธี โดยกฎหมายตามเนือ้ ความ หมายความถึง กฎหมายซ่ึงบทบญั ญตั ิ มี ลกั ษณะเป็ นกฎหมายแท้ กลา่ วคือ มีลกั ษณะเป็ นข้อบงั คบั ซง่ึ กาหนดความประพฤติของมนษุ ย์ ถ้าฝ่ าฝื นจะได้รับผลร้าย หรือถกู ลงโทษ ในสมยั ใหมส่ ว่ นใหญ่เป็ นข้อบงั คบั ของรัฐ สว่ นกฎหมายตามแบบพิธี หมายความถงึ กฎหมายท่ีออกมาโดย วธิ ีบญั ญตั กิ ฎหมาย ทงั้ นี ้โดยไมต่ ้องคานงึ วา่ กฎหมายนนั้ เข้าลกั ษณะเป็ นกฎหมายตามเนอื ้ ความหรือไม่ มานิตย์ จุมปา (มานิตย์ จุมปา, 2555, หน้า 30) อธิบายไว้ว่า กฎหมาย หมายถึง กฎเกณฑ์ที่กาหนดความ ประพฤติของบคุ คลในสงั คมซงึ่ บคุ คลจะต้องปฏบิ ตั ติ ามหรือควรจะปฏบิ ตั ิตาม มิฉะนัน้ จะได้ รับผลร้ ายหรือไม่ ได้รับผลดีทเี่ ป็ นสภาพบงั คบั โดยเจ้าหน้าทีใ่ นระบบกฎหมาย สมยศ เชือ้ ไทย (สมยศ เชือ้ ไทย, 2553, หน้า 64) อธิบายไว้ว่า กฎหมาย คือ กฎเกณฑ์ท่ีเป็ นแบบแผนความ ประพฤติของมนษุ ย์ในสงั คมซงึ่ มีกระบวนการบงั คบั ทเี่ ป็ นกิจจะลกั ษณะ
จะเห็นได้ว่า กฎหมายนัน้ มีความหมายในหลายแง่มุม ซ่ึงการนิยามความหมายจะแปรเปล่ียนไปตาม แนวความคดิ และความเช่ือท่ีแตกตา่ งกนั ตามลกั ษณะของสงั คมและสถานการณ์ท่ีเปล่ียนแปลงไป รวมทงั้ ความต้องการ ของประชาชนในสงั คมนนั้ ๆ ทงั้ นี ้ จากความหมายของกฎหมายข้างต้น สามารถจาแนกลกั ษณะของกฎหมายได้ 4 ประการ (มานติ ย์ จมุ ปา, บรรณาธิการ, 2555, หน้า 30-39) คอื 1. กฎหมายต้องมีลกั ษณะเป็ นกฎเกณฑ์ หมายความว่า กฎหมายต้องเป็ นข้อบงั คบั ท่ีเป็ นมาตรฐานที่ ใช้วดั และใช้กาหนดความประพฤตขิ องสมาชิกของสงั คมได้วา่ ถกู หรือผดิ ทาได้หรือทาไมไ่ ด้ 2. กฎหมายต้องกาหนดความประพฤติของบุคคล ความประพฤติในที่นี ้ได้แก่ การเคลือ่ นไหวหรือไม่ เคลอื่ นไหวร่างกายภายใต้การควบคมุ ของจิตใจ ซึ่งความประพฤติของมนษุ ย์ที่จะอยภู่ ายใต้การควบคมุ ของกฎหมายนนั้ ต้องประกอบด้วยเง่ือนไข 2 ประการ คอื ต้องมกี ารเคลื่อนไหวหรือไมเ่ คลอื่ นไหวร่างกาย และต้องกระทาภายใต้การควบคมุ ของจิตใจ 3. กฎหมายต้องมีสภาพบงั คบั ในกรณีท่มี กี ารฝ่ าฝื นกฎเกณฑ์ กฎหมายจะมีสภาพบงั คบั เพื่อให้มนษุ ย์ จาต้องปฏิบตั ติ ามกฎเกณฑ์นนั้ โดยสภาพบงั คบั ของกฎหมายมที งั้ สภาพบงั คบั ท่เี ป็ นผลร้ายและสภาพบงั คบั ทเ่ี ป็ นผลดี 4. กฎหมายต้องมกี ระบวนการที่แนน่ อน เนือ่ งจากปัจจบุ นั การบงั คบั ใช้กฎหมายต้องกระทาโดยรัฐหรือ เจ้าหน้าท่ขี องรัฐผา่ นองค์กรตา่ ง ๆ เชน่ ตารวจ อยั การ ศาล ราชทณั ฑ์ เป็ นต้น การบงั คบั ใช้กฎหมายจึงต้องมีกระบวนการ ทแี่ นน่ อน ท่มี าของกฎหมาย ทม่ี าของกฎหมายหรือบ่อเกิดของกฎหมาย หมายถึง รูปแบบการแสดงออกซง่ึ กฎหมายสาหรับกฎหมายไทยซงึ่ ใช้ระบบ กฏหมายซีวิลลอว์ (civil law) กฎหมายมที มี่ า 3 ประการ คอื 1. กฎหมายลายลกั ษณ์อกั ษร ได้แก่ กฎหมายท่ีรัฐได้ตราขนึ ้ ไว้เป็ นข้อบงั คบั กาหนดความประพฤติของ บุคคล และประกาศให้ราษฎรทราบ สาหรับประเทศไทย โดยปกติกฎหมายได้ประกาศให้ราษฎรทราบในราชกิจจา นเุ บกษา 2. จารีตประเพณี หมายถึง ทางปฏิบตั ิหน้าท่ีประพฤตสิ บื ตอ่ กนั มาในสงั คมหนง่ึ จนกลมุ่ คนในสงั คมนนั้ มคี วามรู้สกึ ร่วมกนั วา่ จาเป็ นต้องปฏบิ ตั ิตาม เพราะมผี ลผกู พนั ในฐานะเป็ นกฎหมาย จารีตประเพณีสามารถใช้ในฐานะบท สารอง ถ้าไม่มีกฎหมายลายลกั ษณ์อกั ษรบญั ญัติไว้ก็นามาใช้ได้ทนั ที ทงั้ นี ้ในระบบกฎหมายไทยจารีตประเพณีมีทงั้ ท่ี บญั ญตั ิไว้และมไิ ด้บญั ญตั ิไว้ในกฎหมายลายลกั ษณ์อกั ษร
3. หลกั กฎหมายทว่ั ไป หมายถึง หลกั กฎหมายที่ยอมรับนับถือกนั อย่ทู ว่ั ไป ไม่เฉพาะในประเทศใด ประเทศหนง่ึ เทา่ นนั้ หลกั กฎหมายทว่ั ไปจึงมีลกั ษณะกว้างกวา่ หลกั กฎหมายธรรมดา กว้างกวา่ บทบญั ญัติกฎหมาย เมื่อ หลกั กฎหมายทว่ั ไปเป็ นหลกั ท่ีกว้างมาก ผ้ทู ี่มีหน้าที่ในการค้นหาหลกั กฎหมายทว่ั ไปก็คือผ้พู ิพากษาในฐานะศาลซ่งึ จะ ค้นหาจากแหลง่ ตา่ ง ๆ เพอื่ นามาใช้บงั คบั ในระบบกฎหมาย ลาดบั ศักด์ิของกฎหมาย ศกั ด์ิของกฎหมายเป็ นการพิจารณาลาดบั ชนั้ แหง่ คา่ บงั คบั ของกฎหมาย ทงั้ นี ้เพราะกฎหมายลายลกั ษณ์อกั ษรท่ี ใช้บงั คบั อยมู่ ีหลายประเภท และมีชื่อเรียกแตกตา่ งกนั การจดั ศกั ดขิ์ องกฎหมายจงึ มีความสาคญั ตอ่ กระบวนวิธีการต่าง ๆ ทางกฎหมาย ไมว่ า่ จะเป็ นการใช้ การตีความ และการยกเลกิ กฎหมาย ซึ่งเกณฑ์ท่ีใช้ในการกาหนดศกั ดิ์ของกฎหมายนนั้ จะพิจารณาจาก ศกั ดิข์ องกฎหมายเป็ น (ดิเรก ควรสมาคม, 2554, หน้า 80) ดงั นี ้ 1. รัฐธรรมนูญเป็ นกฎหมายสงู สดุ ที่กาหนดรูปแบบการปกครองและระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน ตลอดจนสทิ ธิตา่ ง ๆ ของประชาชนทงั้ ประเทศ นอกจากนี ้รัฐธรรมนญู ยงั เป็ นกฎหมายแมบ่ ทของกฎหมายทกุ ฉบบั ดงั นนั้ กฎหมายฉบบั อ่ืนท่ีมีลาดับชัน้ ต่ากว่าจะมีเนือ้ หาที่ขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญไม่ได้ หากขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญ กฎหมายฉบบั นนั้ จะถือวา่ ไมม่ ีผลบงั คบั 2. พระราชบญั ญัติประกอบรัฐธรรมนญู เป็ นกฎหมายที่อธิบายขยายความเพ่ือประกอบเนือ้ ความใน รัฐธรรมนญู ให้สมบรู ณ์ ละเอียดชดั เจน ตามที่รัฐธรรมนญู กาหนด โดยถือวา่ กฎหมายประเภทนีม้ ีลกั ษณะและหลกั เกณฑ์ พิเศษแตกตา่ งจากกฎหมายธรรมดา ภายใต้รัฐธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจกั รไทยได้มีการกาหนดกระบวนการใน การตรา พระราชบญั ญตั ิประกอบรัฐธรรมนญู ให้แตกตา่ งไปจากพระราชบญั ญตั ิทว่ั ไป โดยกาหนดในลกั ษณะที่ให้ความสาคญั กบั พระราชบญั ญตั ปิ ระกอบรัฐธรรมนญู มากกวา่ พระราชบญั ญตั ิทว่ั ไป 3. พระราชบัญญัติ/พระราชกาหนด / ประมวลกฏหมายพระราชบัญญัติ เป็ นกฎหมายลาดับชัน้ รองลงมาจากรัฐธรรมนญู เพราะพระราชบญั ญตั อิ อกมาเป็ นกฎหมายโดยอาศยั อานาจรัฐธรรมนญู โดยตรง ซ่งึ องค์กรท่ีทา หน้าที่ในการตราพระราชบญั ญัติ คือ รัฐสภาซ่งึ เป็ น ฝ่ ายนิติบญั ญัติโดยรัฐสภาจะตราพระราชบญั ญตั ิท่ีมีเนือ้ หาขดั หรือ แย้งกบั รัฐธรรมนญู ไมไ่ ด้ ประมวลกฎหมาย เป็ นกฎหมายในลาดบั เดยี วกบั พระราชบญั ญตั ิ องค์กรทท่ี าหน้าท่ใี นการตราประมวลกฎหมาย คือ รัฐสภา ซึ่งเป็ นฝ่ ายนิติบัญญัติ มีลักษณะเรียบเรียงเรื่องราวไว้อย่างเป็ นหมวดหมู่เดียวกันและมีความสัมพันธ์ เก่ียวเน่ืองกนั ปัจจุบนั มีประมวลกฎหมายที่สาคญั ได้แก่ ประมวลกฏหมายอาญา ประมวลกฏหมายแพ่งและพาณิชย์ ประมวลกฏหมายทด่ี นิ ประมวลกฏหมายรัษฎากร เป็ นต้น พระราชกาหนด เป็ นกฎหมายที่รัฐธรรมนญู มอบอานาจในการ
บญั ญัติให้กับ ฝ่ ายบริหารคือ คณะรัฐมนตรีโดยคณะรัฐมนตรีจะมีอานาจในการออกพระราชกาหนดเพ่ือใช้บงั คบั แทน พระราชบัญญัติได้ในกรณีพิเศษตามท่ีรัฐธรรมนญู มอบอานาจไว้เป็ นการชวั่ คราว เพ่ือแก้ไขสถานการณ์เฉพาะหน้าท่ี ต้องการการดาเนินการทีจ่ าเป็ นและเร่งดว่ น เพอื่ ประโยชน์ของประเทศชาตโิ ดยสว่ นร่วม โดยหลงั จากมีการประกาศใช้ พระ ราชกาหนดนนั้ แล้ว จะต้องนาพระราชกาหนดมาให้รัฐสภาพิจารณาเพอ่ื ขอความเห็นชอบ ถ้ารัฐสภาให้ความเหน็ ชอบ พระ ราชกาหนดก็จะกลายเป็ นกฎหมายถาวร แต่หากรัฐสภาไม่ให้ความเห็นชอบ พระราชกาหนดก็จะสิน้ ผลไป โดยการ ดาเนินการใด ๆ ก่อนท่ีพระราชกาหนดจะสนิ ้ ผลไป ถือวา่ ชอบด้วยกฎหมาย แม้ภายหลงั จะปรากฏว่าพระราชกาหนดสนิ ้ ผลไป 4. พระราชกฤษฎีกาเป็ นกฎหมายท่ีกาหนดรายละเอียดซึ่งเป็ นหลกั การย่อย ๆ ของพระราชบญั ญัติ พระราชกาหนด โดยพระราชบญั ญตั ิ พระราชกาหนด ได้กาหนดหลกั การใหญ่ ๆ ไว้ ซงึ่ เป็ นสาระสาคญั โดยรวมและให้ออก พระราชกฤษฎีกาโดยอาศัยอานาจพระราชบัญญัติ พระราชกาหนด เพ่ืออธิบายรายละเอียดต่าง ๆ ตามหลกั การใน พระราชบญั ญตั ิ พระราชกาหนดนนั้ เมื่อพระราชกฤษฎีกาเป็ นกฎหมายท่อี อกมาโดยอาศยั อานาจจากกฎหมายแมบ่ ท คือ รัฐธรรมนูญและกฎหมายอื่น ๆ เช่น พระราชบัญญัติ พระราชกาหนดแล้ว พระราชกฤษฎีกาจะมีเนือ้ หาที่ขดั แย้งต่อ รัฐธรรมนญู และกฎหมายอ่ืน ๆ เช่น พระราชบญั ญัติ พระราชกาหนดไม่ได้ รวมทงั้ จะบญั ญัติเนือ้ หาที่เกินขอบเขตของ กฎหมายแมบ่ ทที่ให้อานาจไว้ไมไ่ ด้ด้วย 5. กฏกระทรวง /ประกาศกระทรวง กฎกระทรวง เป็ นกฎหมายที่ออกโดยฝ่ ายบริหารและไม่ต้องผ่าน การพจิ ารณาเห็นชอบจากรัฐสภา ซง่ึ มลี กั ษณะคล้ายกบั พระราชกฤษฎกี า แตม่ ีศกั ดิ์ของกฎหมายท่ตี ่ากวา่ การดาเนินการ ออกกฎกระทรวงนนั้ รัฐมนตรีซงึ่ เป็ นฝ่ ายบริหารจะบญั ญัติกฎกระทรวงออกมาโดยมีพระราชบญั ญัติหรือพระราชกาหนด ฉบบั ใดฉบบั หนึ่งให้อานาจไว้ ประกาศกระทรวง เป็ นกฎหมายที่ออกโดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเช่นเดียวกนั กับ กฏ กระทรวงแต่มีความแตกต่างกนั ที่ประกาศกระทรวงไม่ต้องได้รับความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรีเหมือนกบั กฎกระทรวง แตต่ ้องประกาศในราชกิจจานเุ บกษา จึงจะมผี ลใช้บงั คบั เป็ นกฎหมายได้ 6. ข้อบญั ญัติท้องถิ่น เป็ นข้อบญั ญัติที่กฎหมายให้องค์กรปกครองสว่ นท้องถิ่นมีอานาจบญั ญตั ิขนึ ้ ใช้ บงั คบั คือ มีอานาจในการออกข้อบญั ญัติได้ด้วยตนเอง ซ่ึงอานาจในการที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ใช้ในการตรา กฎหมายเพ่ือใช้บงั คบั ในท้องถ่ินในรูปแบบของข้อบญั ญัติท้องถ่ินนนั้ จะเป็ นอานาจที่ได้รับมาจากพระราชบญั ญัติจดั ตงั้ องค์กรปกครองสว่ นท้องถ่ินนนั้ ๆ โดยทว่ั ไปองค์กรปกครองสว่ นท้องถ่ินมีอานาจในการตราข้อบญั ญัติต่าง ๆ ได้ ดงั นี ้คือ ข้ อบัญญัติองค์การบริหารส่วนตาบล ข้ อบัญญัติ องค์การบริหารส่วนจังหวัด ข้ อบัญญัติเทศบาล ข้ อบัญญัติ กรุงเทพมหานคร และข้อบญั ญตั เิ มืองพทั ยา
สรุป อานาจเป็ นส่ิงที่มนุษย์ปุถุชนทวั่ ไปปรารถนาที่จะมีไว้ในครอบครอง โดยเฉพาะอานาจในความหมายของ “อิทธิพลเหนือบคุ คลอื่น” ทงั้ ในรูปแบบของอานาจทางการเมือง อานาจบงั คับบญั ชา อานาจบาตรใหญ่ อานาจมืด ฯลฯ โดยแท้จริงแล้วคาวา่ “อานาจ” นนั้ เป็ นสงิ่ ทเ่ี ป็ นนามธรรมไมอ่ าจจบั ต้อง สมั ผสั หรือมีไว้ในครอบครองได้ และอานาจก็ไม่ อาจอย่ไู ด้ด้วยตวั เอง จึงมีการนาอานาจไปผูกติดกับส่ิงที่นามธรรมบ้าง สิง่ ที่เป็ นรูปธรรมบ้าง เพื่อสร้ างความมีอยใู่ ห้แก่ อานาจ ไมว่ า่ จะเป็ นตาแหนง่ หน้าที่ ทรัพย์สนิ บริวาร อาวธุ สง่ิ ศกั ดส์ิ ทิ ธิ์ รวมไปถึงกฎหมาย กฎหมายท่เี ป็ นเจตนารมณ์ของ ประชาชนเป็ นท่มี าทส่ี าคญั ของอานาจ โดยเฉพาะอานาจของผ้ปู กครอง ผ้ปู กครองเป็ นผ้ใู ช้อานาจตามกฎหมาย แต่ใช่วา่ ผ้ปู กครองจะใช้อานาจอยา่ งไรก็ได้ การใช้อานาจของผ้ปู กครองต้องอยภู่ ายใต้กรอบท่ีกฎหมายกาหนด เช่นนีก้ ฎหมายจึง เป็ นทงั้ ที่มาและข้อจากดั การใช้อานาจของผ้ปู กครอง หากผ้ปู กครองใช้อานาจเกินกว่าขอบเขตท่ีกฎหมายกาหนด การใช้ อานาจนนั้ ย่อมไม่ชอบด้วยกฎหมาย และต้องมีการควบคมุ ตรวจสอบการใช้อานาจดงั กลา่ ว ทงั้ นีเ้ พื่อสร้ างสมดลุ ให้แก่ อานาจ ซงึ่ จะนาไปสคู่ วามเจริญรุ่งเรืองและความสงบเรียบร้อยแก่สงั คม นอกจากนผี ้ ้ปู กครองในฐานะผ้ทู รงอานาจจะต้อง ไมอ่ าศยั อานาจท่ีตนมี ไมว่ ่าจะเป็ นอานาจในทางกฎหมายหรืออานาจในความเป็ นจริง สร้างความชอบด้วยกฎหมายแก่ การใช้อานาจของตนเองหรือที่เรียกวา่ ใช้อานาจสร้างความชอบด้วยกฎหมาย ถ้าเป็ นเช่นนนั้ แล้ว แม้การใช้อานาจนนั้ จะ ชอบด้วยกฎหมาย แตก่ ็ขดั ต่อหลกั คณุ ธรรม หลกั นิติธรรม อย่ดู ีและยงั ทาให้เกิดความเดือดร้อนเสียหายแก่สงั คมอย่าง หลกี เลยี่ งไมไ่ ด้ ดงั นนั้ ผ้ปู กครองต้องพึงระวงั ในเรื่องดงั กลา่ วอย่างถี่ถ้วน ใช้อานาจของตนภายใต้กรอบแหง่ กฎหมายและ คณุ ธรรม
Search
Read the Text Version
- 1 - 7
Pages: