บทที่ 4 อำนำจกบั กำรเมือง อานาจเป็นสง่ิ ท่ีมนษุ ยป์ ุถุชนท่ัวไปปรารถนาทจ่ี ะมีไว้ในครอบครอง โดยเฉพาะอานาจในความหมาย ของ “อิทธิพลเหนือบุคคลอนื่ ” ท้งั ในรปู แบบของอานาจทางการเมือง อานาจบังคบั บัญชา อานาจบาตรใหญ่ อานาจมดื ฯลฯ โดยแทจ้ ริงแลว้ คาวา่ “อานาจ” น้นั เปน็ ส่งิ ท่ีเปน็ นามธรรมไมอ่ าจจบั ตอ้ ง สัมผัส หรือมไี ว้ใน ครอบครองได้ และอานาจกไ็ มอ่ าจอย่ไู ดด้ ้วยตวั เอง จงึ มีการนาอานาจไปผูกติดกบั ส่งิ ทีน่ ามธรรมบา้ ง สง่ิ ทเ่ี ป็น รูปธรรมบา้ ง เพ่อื สรา้ งความมีอยใู่ ห้แก่อานาจ ไมว่ า่ จะเปน็ ตาแหนง่ หน้าที่ ทรัพย์สิน บรวิ าร อาวธุ สิ่งศักดิส์ ทิ ธ์ิ รวมไปถงึ กฎหมาย และกฎหมายท่เี ปน็ เจตนารมณข์ องประชาชนเปน็ ท่มี าทีส่ าคัญของอานาจ โดยเฉพาะ อานาจของผูป้ กครอง ผู้ปกครองเป็นผูใ้ ช้อานาจตามกฎหมาย แตใ่ ชว่ า่ ผปู้ กครองจะใช้อานาจอยา่ งไรกไ็ ด้ การ ใชอ้ านาจของผปู้ กครองต้องอยภู่ ายใต้กรอบทกี่ ฎหมายกาหนด เชน่ น้ีกฎหมายจึงเป็นทั้งที่มาและขอ้ จากดั การ ใช้อานาจของผปู้ กครอง หากผู้ปกครองใชอ้ านาจเกนิ กว่าขอบเขตทกี่ ฎหมายกาหนด การใชอ้ านาจนัน้ ย่อมไม่ ชอบด้วยกฎหมาย และต้องมีการควบคมุ ตรวจสอบการใช้อานาจ ดังนนั้ ผู้ปกครองต้องพึงระวังในเร่อื งดังกลา่ ว อย่างถี่ถ้วน ใชอ้ านาจของตนภายใต้กรอบแห่งกฎหมายและคุณธรรม ความหมายของอานาจ อานาจ หมายถึง ความสามารถของบุคคลหน่ึงบคุ คลใดหรือกลุ่มหน่ึงกลุ่มใดท่ที าให้บุคคลอ่นื หรือกลมุ่ อ่นื เปล่ียนแปลงแนวทางปฏบิ ัติหรือวถิ ชี วี ิตได้ หรอื อาจกล่าวอีกนยั หน่งึ คือ พลังหรือความสามารถที่มอี ิทธิพล กอ่ ใหเ้ กิดการเปลย่ี นแปลงพฤตกิ รรมและทศั นคตนิ ั่นเอง (อรณุ รกั ธรรม, 2539, หนา้ 29) อานาจ หมายถึง การที่บุคคลหนงึ่ สามารถทจี่ ะทาให้บคุ คลอกี บุคคลหนงึ่ ทาบางส่งิ บางอยา่ งตามท่ี ตนเองต้องการ ทั้งน้ี เพ่ือใหเ้ ปา้ หมายท่ตี ง้ั ไว้บรรลุผล (จมุ พล หนิมพานชิ ,2547, หน้า 75) Blevins (อ้างถึงใน ติน ปรชั ญพฤทธ์ิ, 2544, หน้า 312) ให้ความหมายของอานาจวา่ หมายถงึ ความสามารถของบุคคลในการหนั เหความคิดเห็นของบุคคล องคก์ าร หรือสถานการณ์ของบคุ คลอน่ื ให้ เบี่ยงเบนไปในทิศทางที่เป็นประโยชนแ์ ก่ตนเอง Kanter (1977, p 166) ใหค้ วามหมายของอานาจว่า หมายถงึ ความสามารถในการระดมทรัพยากร และใช้ทรัพยากรนั้นตามทต่ี ้องการหรือปรารถนาเพอื่ ให้บรรลเุ ปา้ หมายท่ีตง้ั ไว้
Pfeffer (1981, p 2) กล่าวว่า อานาจ หมายถึง ความสามารถของบุคคลในการเอาชนะเหนืออปุ สรรค เพอ่ื บรรลุถึงวัตถปุ ระสงคห์ รือผลลัพธ์ทีป่ รารถนาดงั นั้น อานาจ หมายถึง ความสามารถในการที่บุคคลใดบคุ คล หน่ึงสามารถทจ่ี ะทาให้อีกบคุ คลหน่งึ กระทาตามส่งิ ที่ตนปรารถนาได้ แม้วา่ บุคคลนั้น จะไมม่ ีความปรารถนาที่ จะกระทาตามก็ตาม คณุ ลกั ษณะของอานาจ ความเขา้ ใจถงึ คุณลกั ษณะท่ีสาคัญของอานาจ จะช่วยทาให้สามารถเขา้ ใจความหมายทแี่ ท้จรงิ ของคา ว่า “อานาจ” ไดช้ ดั เจนขึ้น ซ่ึง จมุ พล หนิมพานชิ (2547, หนา้ 95-97) กลา่ วว่า คุณลักษณะของอานาจ ประกอบด้วยลกั ษณะสาคญั ๆ ดังนี้ 1. มคี วามสัมพนั ธ์ (relation) หมายถึง อานาจของบคุ คลหน่ึงจะเกดิ ข้ึนก็ต่อเม่ือบุคคลมี ความสมั พันธก์ นั ทางสงั คม 2. มีลักษณะของการพงึ่ พา (dependence) หมายถึง การท่ีบุคคลหนงึ่ มีอานาจเหนือบุคคล หนงึ่ เนอ่ื งมาจากการทบ่ี ุคคลหนงึ่ ต้องพึง่ พาอีกบุคคลหน่ึงน่ันเอง 3. มีลกั ษณะของความน่าจะเปน็ (probability) หมายถึง ความเป็นไปได้หรือความน่าจะเปน็ ที่บคุ คลใดบุคคลหน่ึงจะปฏิบัติตามผูท้ ี่ใช้อานาจ 4. มีการขยายเขตอานาจ (power expansion) หมายถึง อานาจนน้ั สามารถเพิ่มหรอื ขยาย ได้ เพราะยง่ิ มีอานาจมากก็ยงิ่ มแี นวทางที่จะเลือกปฏิบตั ิได้มากขึน้ 5. มรี ะดับหรือข้นั ของอานาจ (degree) ซึง่ สามารถรับรู้ไดโ้ ดยบุคคลอ่นื 6. มกี ารแลกเปลี่ยนหรือมคี วามสมั พนั ธร์ ะหวา่ งกนั 7. มคี วามเฉพาะเจาะจง (specificity) คือ อานาจมกั เปน็ เร่ืองเฉพาะเจาะจงตอ่ ประเด็นใด ประเด็นหนงึ่ สถานการณ์ใดสถานการณ์หน่ึง หรือเรื่องใดเร่ืองหนึง่ เม่ือคนเราไดร้ บั อานาจและมีการใช้อานาจนนั้ มักจะมองตนเองในทางท่ดี ีในขณะเดยี วกัน จะมอง ผใู้ ต้บงั คับบญั ชาในเชิงลบ และอาจทาใหผ้ บู้ ังคับบัญชามกี ารตรวจสอบและควบคุมลูกน้องมากข้ึน ลดการมี สว่ นรว่ มในการตดั สินใจ และมคี วามห่างเหนิ หรือแปลกแยกทางสังคมเพมิ่ ขึน้ (Mitchell, Hopper, Daniels,
Falvy, & Ferris, 1998, p 500) ทาเพื่อประโยชนแ์ ละสร้างโอกาสใหก้ ับตนเอง จนในบางคร้ังอาจทาในสง่ิ ท่ีผดิ กฎหมายได้ (Mitchell et al., 1998, p 513)ประเภทของอานาจ อานาจมีความสาคัญต่อองค์การและผู้บรหิ าร เพราะการกระทาหรือการดาเนนิ การใด ๆ ให้บรรลุ วัตถุประสงค์และเป้าหมายขององค์การน้นั ยอ่ มข้ึนอยูก่ บั อานาจเป็นสาคัญ(จุมพล หนิมพานชิ , 2547, หนา้ 91) แต่อานาจทจ่ี าเป็นดงั กลา่ วนนั้ จะมปี ริมาณเท่าใด23ข้นึ อยกู่ ับภารกิจหรืองาน ทีผ่ ้รู บั ผิดชอบจะดาเนนิ การ ใหส้ าเรจ็ รวมถึงความชานาญและทกั ษะในการใชอ้ านาจของผนู้ า ถา้ ผนู้ าทม่ี ที ักษะและความชานาญสูง อาจไม่ จาเปน็ ตอ้ งใช้อานาจมาก สว่ นผ้นู าหรอื ผู้บริหารทม่ี ีทักษะหรือความชานาญน้อย ความตอ้ งการเรอื่ งอานาจ อาจเป็นเรอ่ื งทจ่ี าเป็น ดงั น้นั ผู้นาขององค์การควรรู้และเข้าใจในเรือ่ งของอานาจตลอดจนต้องเข้าใจ คุณลกั ษณะและแหล่งทม่ี าของอานาจด้วย Gallagher (1991, p 28) จาแนกอานาจออกเปน็ 2 ประเภท คือ อานาจส่วนบคุ คล(personal power) และอานาจทางอาชีพ (professional power) โดยอานาจสว่ นบุคคลเปน็ อานาจที่บุคคลนาเข้ามาสู่ใน ตาแหน่ง ส่วนอานาจทางอาชีพเป็นสิง่ ทบ่ี ุคคลได้รบั มาจากการดารงตาแหน่งใดตาแหนง่ หนึง่ และเม่ือบุคคลมี อานาจทเี่ พิ่มขนึ้ หมายความว่า ความรบั ผดิ ชอบของบคุ คลกจ็ ะสูงข้ึนดว้ ย ฉะน้นั การใช้อานาจจงึ เกีย่ วพนั กับ ความรับผดิ ชอบ(responsibility) หากบุคคลมีความรสู้ ึกม่ันใจในความเป็นอสิ ระของตนเองและความสามารถ ของตนเองในการกาหนดทางเลือกท่ีมปี ระสทิ ธิผล บคุ คลน้นั กจ็ ะมีการใช้อานาจอยา่ งมคี วามรบั ผดิ ชอบ สว่ น คนท่ีมักใช้อานาจในทางทีผ่ ดิ จะมคี วามรสู้ ึกไม่มั่นคงเก่ยี วกับความสาคญั ของตนเอง ดังนั้น จึงยงั คงใชอ้ านาจ แบบเดมิ ๆ เพ่ือแสดงให้เหน็ ว่า ตนเองเป็นผคู้ วบคุมสถานการณ์ French and Raven (2001, pp 321-326) กลา่ วไวว้ า่ อานาจแบ่งออกเปน็ 5 ประเภทคือ (1) อานาจการให้รางวัล (reward power) ซึง่ หมายถึง ความสามารถของผนู้ าในการให้รางวัลท่มี ีคณุ คา่ แกบ่ คุ คล อน่ื เช่น การข้นึ เงินเดือน เล่อื นขัน้ เล่ือนตาแหน่ง การยกย่องการฝกึ อบรมพิเศษ และการมอบหมายงานที่ ผใู้ ต้บังคบั บัญชาต้องการ หากผบู้ รหิ ารมกี ารควบคุมการใหร้ างวัลมาก อานาจการให้รางวัลของผบู้ รหิ ารก็จะยง่ิ สงู ขึ้น ในทางกลบั กันหากผู้ใต้บังคับบญั ชารับรู้ว่า ผู้บริหารควบคมุ การใหร้ างวัลไดน้ ้อย ผู้บริหารก็จะมีอานาจ การใหร้ างวัลน้อย (2) อานาจการบงั คบั (coercive power) เป็นความสามารถของผ้นู าท่ีจะ ตาหนิ ลด ตาแหน่ง ไม่ข้ึนเงนิ เดือน หรือใช้วธิ อี ยา่ งอน่ื ในการลงโทษบุคคล (3) อานาจตามกฎหมาย (legitimate power) คอื อานาจหน้าทีท่ ่เี ป็นสิทธติ ามตาแหน่งขององค์การดังนั้น ผ้บู รหิ ารสามารถสงั่ การผใู้ ต้บังคบั บัญชาได้อยา่ ง ชอบธรรม (4) อานาจการอ้างอิง(referent power) คือ ความสามารถของผูน้ าทจี่ ะสามารถปลุกเรา้ ความ เคารพ ความชื่นชมและความจงรักภกั ดี มักเกดิ ขึ้นจากคุณสมบตั ิของบคุ คลโดยตรง และ (5) อานาจจากความ
เชี่ยวชาญ (expert power) คอื ทักษะ ความรูแ้ ละประสบการณ์ส่วนบุคคลของผู้นาอานาจน้จี ะเกย่ี วพนั กบั ความสามารถของบคุ คลทจี่ ะเขา้ ถงึ หรือใชข้ ้อมลู บุคคล ณ ทุกระดับขององคก์ าร ผ้บู ริหารจะมอี านาจความ เชยี่ วชาญมากข้นึ เมื่อพนักงานยอมรับความสามารถและความเชย่ี วชาญของพวกเขา อย่างไรก็ตาม ในปี ค.ศ. 2004 Raven ไดร้ ว่ มกบั นักวิชาการทา่ นอน่ื คอื Pierro และ Kruglanski เพมิ่ ประเภทของอานาจขึน้ มาอีกหนง่ึ ประเภท คืออานาจทางข้อมลู (informational power) คอื ความสามารถของผนู้ าทีจ่ ะเขา้ หาข้อมูลท่ีสาคัญ เกย่ี วกับการดาเนนิ งานและแผนงานของหน่วยงานหรือองค์การ สมาชิกขององค์การและสภาพแวดลอ้ ม ภายนอก เม่ือผู้บรหิ ารมีตาแหนง่ งานสูงข้ึน สามารถจะหาข้อมูลสาคัญได้มากข้ึน (สมยศ นาวีการ, 2546, หนา้ 244) จมุ พล หนมิ พานชิ (2547, หน้า 97-102) กล่าววา่ โดยท่ัวไปแลว้ อานาจทางการเมืองจะมาจากอานาจ ประเภทตา่ ง ๆ ดงั นี้ 1. อานาจหนา้ ท่ี (authority) หรอื อานาจตามกฎหมาย (legitimate power) เปน็ อานาจที่ เกดิ จากกฎเกณฑ์ ข้อบังคบั กฎหมาย สถาบัน ขนบธรรมเนียมประเพณี คา่ นยิ มหรอื วัฒนธรรม เปน็ อานาจท่ี บุคคลสว่ นใหญ่ยอมรบั เปน็ อานาจท่ขี ึ้นอยกู่ บั ตาแหนง่ เปน็ สาคญั แตก่ ารท่ผี บู้ ริหารจะได้มาซึ่งอานาจตาม ตาแหน่งได้นน้ั ผ้บู ริหารควรดาเนนิ การดงั นี้ (1) เพ่ิมบทบาทในงานท่ีรับผิดชอบตรงส่วนกลางให้มากขน้ึ คือ ต้องให้ความสาคญั กบั บทบาทสว่ นกลางตามการไหลของงาน (workflow) และต้องมโี อกาสในการกลนั่ กรอง ข้อมลู (2) เพ่ิมการพินจิ พจิ ารณาหรือการไตรต่ รองสว่ นตวั พยายามขยายงานให้มลี กั ษณะหลากหลาย (3) สรา้ งงานท่ีมีความยงุ่ ยากโดยการทาให้การบรรยายลกั ษณะงานมีความคลมุ เครือ (ambiguous) (4) เพม่ิ วสิ ยั ทัศน์ในงานท่รี ับผดิ ชอบโดยการตดิ ต่อกับบุคลากรที่มอี าวโุ สให้มากข้นึ มสี ว่ นร่วมในการแก้ไขปัญหา และ เผยแพรค่ วามสาเรจ็ ภายในองคก์ ารเพ่ือแสวงหาการยอมรบั และ (5) เพม่ิ ความเก่ยี วข้องระหวา่ งงานอืน่ กับงาน ที่ตนรบั ผิดชอบ 2. อานาจบังคบั (coercive power) เปน็ อานาจท่ีเกิดจากกาลัง ไม่วา่ จะเป็นกาลงั กายกาลงั อาวุธ หรอื กาลงั ทางใจ เปน็ การใชก้ าลงั บบี ค้นั ให้ผู้อ่นื ยอมตามหรอื หวาดกลวั อย่างไรก็ตาม อานาจประเภทน้ี จะพบน้อยมากในองค์การ เน่ืองจากเป็นการกระทาที่ขัดตอ่ กฎหมาย เป็นอานาจท่ีพึงประสงคน์ ้อยที่สดุ 3. อานาจในการให้รางวลั หรอื ลงโทษ (reward and punishment power) ตน้ กาเนดิ ของ อานาจประเภทน้ีมาจากทรพั ยากร สิทธิพเิ ศษ เงิน ความสะดวกสบาย ผู้ที่อยู่ในตาแหนง่ น้ัน สามารถให้ ประโยชน์หรอื ความดคี วามชอบแกบ่ ุคคลอน่ื ได้ อานาจประเภทนี้ถือว่าเปน็ แหล่งอานาจที่มปี ระสิทธผิ ลมาก ทสี่ ุด เน่ืองจากคนท่ีเก่ยี วขอ้ งยนิ ดี ท่ีจะปฏิบัตติ ามมากท่สี ุด
4. อานาจอ้างองิ (referent power) หมายถึง อานาจท่ขี ้นึ อยู่กบั บุคลกิ ลกั ษณะส่วนบุคคล เชน่ การเป็นคนท่มี ีเสนห่ ด์ ึงดูด มีลักษณะพเิ ศษ (charisma) เป็นที่รูจ้ กั ชอบพอของคนอ่ืนในองค์การ เปน็ ต้น 5. อานาจในฐานะผู้เช่ียวชาญ (expert power) เปน็ ความสามารถทเ่ี กดิ จากความรูค้ ุณวุฒิ และความเชยี่ วชาญ เป็นอานาจท่เี กิดจากการเรียนรู้ การศึกษา การอบรมและประสบการณ์ในการทางาน จาก การพจิ ารณาการจาแนกประเภทของอานาจตามความคิดเหน็ ของนักวชิ าการแตล่ ะทา่ น พบวา่ มลี กั ษณะท่ี คลา้ ยคลงึ กนั แตอ่ าจมคี วามแตกต่างกนั ในเรื่องของการใชศ้ ัพท์และขอบเขตของการแบ่งแยกประเภท แหล่งท่ีมาของอานาจ เมื่อกลา่ วถึงคาวา่ “อานาจ” คาถามท่จี ะเกดิ ข้นึ ตามมา คือ อานาจมแี หลง่ ทม่ี าอย่างไรอะไรเปน็ ส่ิงทท่ี าให้ บคุ คลมีอานาจ ซ่ึงตามทศั นะของ Morgan (1986, pp. 158-185) จาแนกแหลง่ ที่มาของอานาจในองค์การ ออกเปน็ 14 ประเภท แต่ในที่น้ีจะกลา่ วถงึ เฉพาะที่สาคญั 5 ประเภท ดังนี้ 1. แหลง่ อานาจทมี่ าจากอานาจหน้าที่ทเ่ี ปน็ ทางการ (formal authority as a source of power) เป็นรปู แบบของอานาจท่ีถูกต้องตามกฎหมายซ่ึงเปน็ ที่เคารพ ยอมรับ และรับรู้ไดโ้ ดยบุคคลอืน่ ๆ ทมี่ ี ปฏสิ ัมพนั ธด์ ว้ ย 2. แหล่งอานาจท่มี าจากการควบคมุ ข้อมูลและความรู้ (control of information and knowledge as a source of power) นกั การเมอื งในองค์การทม่ี ีความเช่ยี วชาญมักใชเ้ คร่อื งมือนี้ ในการเปดิ หรือปดิ ช่องทางการสื่อสาร การกล่นั กรอง สรปุ วิเคราะหแ์ ละกาหนดรูปรา่ งของความรูใ้ ห้เป็นไปในทิศทางที่ ตนเองปรารถนา 3. แหลง่ ท่ีมาของอานาจจากการควบคมุ เทคโนโลยี (control of technology as asource of power) ท้งั น้ี เนอ่ื งจากเทคโนโลยชี ว่ ยใหผ้ ้ทู ่ีใชส้ ามารถสร้างสรรคผ์ ลงานท่นี ่าทึง่ ในกิจกรรมการผลิต และ ยังช่วยให้สามารถควบคมุ อานาจในการผลิตดงั กล่าว และใชอ้ านาจเพ่ือให้ได้ผลประโยชน์ตามทีม่ ่งุ หวัง ดังนั้น เมอื่ มีการเปล่ยี นแปลงเทคโนโลยดี ุลของอานาจกจ็ ะเปลี่ยนแปลงไปดว้ ย 4. แหล่งที่มาของอานาจจากบทบาทของเครือข่ายท่ีไม่เป็นทางการ (the role of informal network as a source of power) ชีวิตและความสมั พันธ์ระหว่างบคุ คลในองค์การขนาดใหญจ่ ะถูกครอบงา
โดยประเพณี ความเชื่อ ค่านยิ ม ปทสั ถาน ซึ่งบางคร้งั จะให้ความสาคญั กบั เพศชายมากกวา่ เพศหญงิ ดงั นนั้ ลักษณะความสมั พนั ธ์ที่ไม่เป็นทางการดังกล่าว จงึ เปน็ แหลง่ ทมี่ าของอานาจของเพศชาย ในขณะท่เี พศหญงิ ถกู กนั ออกมาจากเครอื ข่ายท่ีไมเ่ ปน็ ทางการดังกล่าว ซ่ึงจากการศึกษาของ Krackhardt (1990, p 349) พบว่า เครอื ข่ายทไี่ ม่เป็นทางการมีความสมั พันธ์กบั อานาจอยา่ งชัดเจน 5. อานาจทีม่ าจากสญั ลักษณ์ (symbol as a source of power) หมายถงึ ลกั ษณะทาง กายภาพ สิง่ ที่ปรากฏภายนอก รวมถงึ ลกั ษณะของพฤติกรรม เชน่ การมาถงึ ทปี่ ระชุมชา้ เปน็ ต้น การใชอ้ านาจ แนวทางการใช้อานาจตามทศั นะของ Yukl, Falbe, and Youn (1993, p 7) ซ่งึ เปน็ นักวิชาการดา้ น การเมืองในองค์การ กล่าววา่ มีกลยทุ ธ์ในการใชอ้ านาจท่ีสาคัญ 9 แนวทางคือ (1) การจงู ใจด้วยเหตผุ ล (rational persuasion) (2) การสร้างแรงจูงใจ (inspirationalappeals) (3) การใหค้ าปรึกษา (consultation) (4) การประจบประแจง (ingratiation)(5) การใช้แรงดงึ ดดู สว่ นบุคคล(personal appeals) (6) การแลกเปล่ียนผลประโยชนซ์ ่ึงกนั และกัน (exchange) (7) การสรา้ งพนั ธมติ ร (coalition tactics) (8) การใชก้ ลยุทธ์ทางดา้ นความชอบธรรม (legitimating tactics) และ (10) การใช้การกดดัน (pressure) ซง่ึ จาก การศกึ ษาของ Yukl, Guinan, and Sottolano (1995, pp 294-295) พบว่า การใช้อานาจน้นั จะแตกต่างกัน ไป ขึ้นอยู่กบั วตั ถปุ ระสงค์ของผใู้ ช้อานาจเปน็ หลกั สว่ นกลยุทธ์ทมี่ ีการใช้บ่อยท่ีสุดอาจไม่ใช่กลยทุ ธท์ ี่มี ประสิทธิผลสูงสดุ ก็ได้ การใชอ้ านาจดว้ ยกลยุทธต์ ่าง ๆ ทกี่ ล่าวมานัน้ อานาจการให้รางวลั เปน็ อานาจทีใ่ ชง้ ่าย ทสี่ ดุ ผบู้ รหิ ารสามารถเพิ่มอานาจการใหร้ างวัลได้ โดยต้องมกี ารตรวจสอบการปฏบิ ัติตามก่อนทจ่ี ะให้รางวลั คาส่งั ท่ใี ช้ต้องมเี หตุผลและมีความเปน็ ไปได้ และต้องสามารถสร้างความม่นั ใจแก่ผ้ใู ต้บงั คับบัญชาว่าผู้บรหิ าร สามารถใหร้ างวลั ได้จริง ๆ การปกครองในระบอบประชาธิปไตยเป็น การปกครองโดยกฎหมายหรือทเ่ี รยี กวา่ การปกครองโดยใช้ หลักนิติรัฐ ดงั ทกี่ ลา่ วมาแลว้ ซ่งึ ผทู้ จ่ี ะมีอานาจและหนา้ ที่ในการปกครองและบรหิ ารประเทศ จะต้องมี กฎหมายให้ อานาจและหนา้ ทไ่ี ว้และกฎหมายนน้ั จะต้องเป็นกฎหมายท่บี ัญญัติ โดยประชาชนหรือโดยตัวแทน ของ ประชาชนในการให้อานาจและหนา้ ทีด่ ังกล่าว เพื่อให้ผู้ปกครองใชอ้ านาจตามกฎหมายนัน้ ในการทา หน้าท่ีให้เปน็ ไปตามเจตนารมณข์ องประชาชน ทบ่ี ญั ญัติไว้ในกฎหมายเทา่ นั้น ตวั อยา่ งเชน่ ตามบทบัญญตั ิของ ฉบับ ปัจจุบันกฎหมายรฐั ธรรมนูญ มาตรา 72 ซึ่งบญั ญัติไว้ความวา่ \"รัฐตอ้ งจดั ใหม้ ีกาลัง ทหารไวเ้ พ่ือพิทักษ์ รักษาเอกราช ความมนั่ คง ของรฐั พระมหากษัตรยิ ์ ผลประโยชนแ์ หง่ ชาติ และการปกครองในระบอบ
ประชาธปิ ไตย อันมีพระมหากษัตริยเ์ ป็นประมขุ และเพื่อพัฒนาประเทศ\" จากบทบญั ญัติดังกล่าว กฎหมายไม่ ไดบ้ ญั ญัติไว้ถงึ ปรมิ าณหรือแสนยานภุ าพของกาลงั ทหารว่าต้องมีมากน้อยเพียงใด เพียงแตบ่ ัญญัตวิ า่ ให้รฐั เป็น ผู้จัดสรรให้มกี าลงั ทหารไว้เพื่อพิทักษ์รักษาเอกราช ความมั่นคงของรฐั และของสถาบนั ต่าง ๆ ดังกลา่ ว ซง่ึ เจตนารมณข์ องกฎหมายเพ่ือใหร้ ัฐพิจารณาจดั ใหม้ ีกาลังทหารให้มีความเหมาะสมกับกจิ การดังกลา่ วหากรฐั ทมุ่ เทในการสร้าง กาลงั ทหารมากจนเกินความจาเป็น หรือมิได้จัดให้มกี าลงั ทหารในปริมาณทีเ่ หมาะสม หรอื ไม่มีแสนยานภุ าพทเ่ี พียงพอในการกระทาการ ตามทีบ่ ัญญัติไว้ในรฐั ธรรมนูญแลว้ นัน้ ถือไดว้ ่าลักษณะของ การบรหิ ารประเทศตามความใน มาตรา น้ี ไมเ่ ป็นการบรหิ ารและปกครองประเทศตามอานาจและหน้าที่ ที่มี อยู่ใหบ้ รรลผุ ลได้ ตามที่กฎหมายได้ตัง้ เป้าประสงค์ไว้ หรือตัวอยา่ งหน่งึ เช่น พระราชบญั ญตั ิระเบียบบริหาร ราชการแผน่ ดิน พ.ศ. 2534 มาตรา 11 ได้บญั ญัติไว้ถงึ การให้อานาจและหน้าที่ของนายกรฐั มนตรไี ว้ โดย เจตนาของกฎหมาย ต้องการให้การบรหิ ารราชการแผ่นดินเป็นไปดว้ ยความเรียบร้อย โดยมีนายก รฐั มนตรีใน ฐานะหัวหนา้ รฐั บาลเป็นผูม้ ีอานาจและหน้าทต่ี ามกฎหมายบัญญัติ ฉะนนั้ การใช้อานาจและหนา้ ท่ีของ นายกรฐั มนตรีนน้ั จะต้องทาใหบ้ รรลุผลและเป็น ไปตามเจตนารมณ์ของกฎหมาย คือต้องบริหารราชการ แผน่ ดนิ ใหต้ รงตามเป้าประสงคท์ ก่ี ฎหมายต้องการ หรอื ในกรณีอ่นื ๆ ทีเ่ ปน็ เร่ืองของการ มอบหมายอานาจ และหนา้ ท่ีก็ต้องยึดหลกั ดังกล่าวนเ้ี ช่นเดียวกัน ท้ังนเี้ น่อื งจากกฎหมายมหาชนนนั้ เป็นเร่ืองของการที่ใช้อานาจ และหน้าที่ตามกฎหมาย ฉะนั้นการทจ่ี ะใช้อานาจและหน้าทต่ี ามที่กฎหมายบัญญัตนิ น้ั จึงตอ้ งเปน็ ไปตาม เจตนารมณ์และ ตามความต้องการของกฎหมายเท่านั้น หากการใช้อานาจและหน้าที่ตาม หลักกฎหมาย มหาชนของผปู้ กครอง ไม่เปน็ ไปตามเจตนารมณ์ของกฎหมายแล้ว กฎหมายมหาชนก็ยงั มีบท บญั ญตั ิถงึ กระบวนการควบคมุ การใชอ้ านาจน้ันด้วย ดังน้นั ในการใชอ้ านาจและหน้าที่ ของรัฐ ของหน่วยงานของรัฐและ ของเจ้าหน้าที่ของรัฐน้ัน จะต้องเป็นไปตาม เจตนารมณข์ องกฎหมายและเพื่อประโยชนแ์ ละเป็นไปตามความ ต้องการของ ประชาชนส่วนใหญเ่ ป็นสาคัญ ซ่ึงหลักการดงั กลา่ วคอื หลักการของระบอบ ประชาธิปไตยหรอื หลกั นิติรฐั การพิจารณาถงึ เกณฑ์ของความ เหมาะสมและความสมควรในการใช้อานาจตามกฎหมายของรัฐ ของ เจา้ หน้าที่ของรัฐ หรือของหน่วยงานของรฐั น้นั เป็นเร่ืองทีห่ าขอ้ ยุติไดย้ าก ทง้ั น้เี น่ืองจาก ไมม่ หี ลักเกณฑ์อันใด ที่จะใชเ้ ป็นเกณฑ์ได้อย่างเทยี่ งตรง เพราะในเรือ่ งของการ ใช้อานาจดงั กล่าวน้นั เปน็ เรอ่ื งของการใชด้ ลุ ยพินิจ และการใชด้ ุลยพนิ ิจนม้ี ีองค์ประกอบและเงอ่ื นไขหลายประการ ในแตล่ ะบุคคล แตล่ ะสถานการณ์และในแตล่ ะ ส่ิงแวดล้อม ฯลฯ ซ่ึงสง่ิ เหล่าน้ีล้วนแลว้ แตม่ ผี ลตอ่ การตัดสินใจ ของผมู้ ีอานาจและหน้าท่ีดังกลา่ ว แต่อย่างไรก็ดี การพิจารณาในเรื่อง ของความเหมาะสมและสมควรในการใชอ้ านาจและหน้าท่ีนนั้ จะต้องพิจารณาจากผลท่ี เกิดขน้ึ จากการใช้อานาจและหนา้ ท่ีนัน้ วา่ มีความเหมาะสมและสมควรกับ ประโยชน์ของสาธารณะชนหรือของ
ประชาชนโดยรวมหรือไม่เพราะการทีก่ ฎหมายบญั ญตั ใิ ห้อานาจ และหนา้ ทีแ่ ก่ผ้ปู กครองและผู้ทบ่ี รหิ าร ประเทศไว้นน้ั มจี ุดมุ่งหมายเพ่ือการบริการแกส่ าธารณชน และเพื่อการปกครองท่ีกระทาเพอ่ื ประโยชน์ของคน ส่วนใหญ่ ดงั น้ันหากการกระทาตามอานาจและ หนา้ ทเ่ี พ่ือประโยชน์ของประชาชนส่วนรวมเป็นไปเพ่ือ สาธารณะและประโยชนข์ องคนโดยส่วนรวมแลว้ ถือไดว้ า่ เป็นการกระทาทส่ี มควรและเหมาะสม อาทิเช่น การ เวนคนื ท่ดี นิ เพื่อทาถนนสาธารณะ ดงั นีถ้ ือวา่ เป็นการใชอ้ านาจและหนา้ ที่ที่มคี วามเหมาะสมและสมควร แต่ หาก การเวนคืนท่ีดนิ ดงั กล่าวเพอ่ื ท่ีจะนามาสร้างสนามกอล์ฟ ถือว่าการใชอ้ านาจและหน้าท่ีดังกล่าวไม่สมควร และไม่เหมาะสมเพราะ การสร้างสนามกอลฟ์ ไม่เป็นเพือ่ ประโยชนส์ าธารณะ อยา่ งไรก็ตามการพิจารณาวา่ การกระทาตามอานาจและหน้าทใี่ ดจะเป็นการสมควรหรอื มคี วามเหมาะสมหรือไม่อยา่ งไรนน้ั ก็ต้องพจิ ารณา จากองคป์ ระกอบขณะน้นั เปน็ สาคญั ดว้ ย เพราะหลกั การและเหตุผลในการใช้ ดลุ ยพนิ ิจในยุคหนง่ึ สมัยหนง่ึ อาจมีความเหมาะสมและเปน็ การสม ควร หรือไม่มีความเหมาะสมและเปน็ การไม่สมควรก็ตาม แต่ในอีกยุค หน่งึ สมัยหนงึ่ อาจจะเป็นในทางตรงกันข้ามก็ได้ ทง้ั น้ีขน้ึ อยู่กับองค์ประกอบ ส่งิ แวดล้อม และปัจจัยตา่ ง ๆ หลายอยา่ ง สาหรบั กาลสมยั น้ัน ๆ จากแนวคดิ เรื่องอานาจและการใชอ้ านาจ จะเหน็ วา่ อานาจ หมายถึง ความสามารถใดๆ ทจ่ี ะทาให้ เกดิ การสรา้ งอทิ ธิพล ผลกระทบ และการควบคุมทีม่ ีต่อประชาชน วตั ถสุ งิ่ ของ และทรัพยส์ นิ ทางปัญญา ทัง้ หลาย การใชอ้ านาจเปน็ การจัดแบ่งอานาจเพ่ือสง่ ไปยงั บุคคลหรือกลมุ่ บุคคลซ่ึงต้องปฏิบัติตามแนวนโยบาย ท่ีไดร้ บั อานาจนไ้ี ด้มาจากหลายสว่ น ไม่วา่ จะเป็นอายุ เพศสภาพ การสบื ทายาท การเป็นสมาชกิ หรอื การ แข่งขนั เพื่อทีจ่ ะไดต้ าแหนง่ การใชอ้ านาจมากหรือน้อยขึ้นอยกู่ ับบคุ คล หรือกล่มุ บุคคลซง่ึ ต้องการควบคุม ทรัพยากรท่ีมคี ่า ในบางสังคม ความเข็มแขง็ และระยะเวลาการครองอานาจมผี ลตอ่ การพัฒนาทศิ ทางและ รูปแบบทางการเมือง แนวคิดเกยี่ วกับการเมือง มนษุ ย์นัน้ โดยธรรมชาตเิ ป็นสัตว์สงั คม ท่ตี ้องอาศยั อยู่รวมกันเปน็ กลมุ่ เป็นหมู่คณะ เม่ือมนุษยม์ าอยู่ ร่วมกนั หากมิไดก้ าหนดกติกาอะไรสกั อยา่ งข้ึนมากากบั การอยูร่ ่วมกันของมนุษยแ์ ลว้ นน้ั มนุษยด์ ้วยกันเองยัง เชือ่ ว่าน่าจะก่อให้เกดิ ความสับสนวุน่ วายขึน้ ในสังคมและการอยู่ร่วมกันของมนษุ ย์ เน่ืองจากโดยธรรมชาติของ มนุษย์นน้ั ปา่ เถ่ือน ขลาดกลัวและไม่เปน็ ระเบียบดงั ที่ โธมสั ฮอบส์ (Thomas Hobbes) นกั ปรชั ญาการเมือง โบราณ ซง่ึ มีชวี ิตอยใู่ นช่วงปี ค.ศ. 1588-1679 ไดเ้ คยกลา่ วไวใ้ นผลงานปรัชญาการเมืองเลื่องช่อื เรื่อง “Leviathan” ตพี ิมพ์ในปี ค.ศ. 1651 วา่ เม่อื มนุษย์จาต้องอาศยั อยู่ร่วมกนั ในสังคมภายใต้กติกาแล้ว กจ็ าเปน็
จะต้องกาหนดตวั ผูน้ ามาทาหน้าทค่ี วบคุมดูแลใหส้ ังคมหรือการอยรู่ ว่ มกันของมนุษย์ดาเนินไปไดด้ ้วยความ เรยี บร้อย เช่นที่กล่าวมาเราคงพอจะทราบบ้างแล้ววา่ เหตใุ ดจึงเกิดมีระบบการปกครองขึ้น ในทางทฤษฎีรฐั ศาสตร์มุมมองทใี่ ช้พจิ ารณาการเมอื งหรือพูดเปน็ ศพั ท์ทางวิชาการกค็ ือ แนวการศกึ ษา วิเคราะหก์ ารเมือง (Approach to Political Analysis) ก็ย่อมแตกต่างกันออกไปบา้ งตามแตใ่ ครจะเหน็ วา่ แนว การมองการเมอื งนั้นเป็นสิ่งท่ใี กลเ้ คียงต่อการอธิบายความเปน็ การเมืองได้มากท่สี ุด โดยคาว่า “การเมือง” น้ี นกั วิชาการดา้ นรัฐศาสตร์ ได้ใหค้ วามหมายไวแ้ ตกตา่ งกนั ไปบ้างในรายละเอียด ตามแต่จะใช้ตัวแบบใดใน การศกึ ษาวิเคราะหป์ รากฏการณ์ทางการเมือง และดว้ ยตัวแบบทีเ่ ปน็ กรอบในการศึกษาวเิ คราะหน์ ้ี จะยังผลให้ กรอบการมองคาวา่ การเมืองตา่ งกนั ไป ในขณะที่สาระสาคัญของคาจากัดความเป็นไปในทานองเดียวกนั กลา่ วคอื เปน็ เร่ืองของการใช้อานาจแบบสองทางระหวา่ งฝา่ ยท่ีเป็นผู้ปกครอง (Rulers) และฝา่ ยผูถ้ กู ปกครอง (Ruled) ณรงค์ สนิ สวัสด์ิ (2539, หนา้ 3) กลา่ วว่า การเมืองเปน็ การตอ่ สชู้ ว่ งชิง การรักษาไว้และการใชอ้ านาจ ทางการเมอื ง โดยที่อานาจทางการเมืองหมายถงึ อานาจในการท่ีจะวางนโยบายในการบริหารประเทศหรือ สงั คม อานาจที่จะแต่งตัง้ บุคคลเพอื่ ชว่ ยในการนานโยบายไปปฏบิ ตั ิ และ อานาจทีจ่ ะใชข้ ้าราชการ งบประมาณ หรือเครื่องมืออน่ื ๆ ในการนานโยบายไปปฏบิ ตั ิ แนวการมองการเมืองเป็นเร่ืองของอานาจ (Power Approach) ชัยอนันต์ สมทุ วณิช (2517, หนา้ 61) กลา่ ววา่ การเมืองเป็นเรอ่ื งเกี่ยวกบั รูปของรัฐและการจัดระเบยี บ ความสมั พนั ธ์ภายในรัฐระหว่างผู้ปกครองและผู้ถกู ปกครอง โดยเมื่อสงั คมมนุษย์ยังมีความจาเป็นที่จะต้องมี รัฐบาล คนเราจงึ ต้องแบ่งออกเป็นสองพวกใหญ่ ๆ คือ ผ้ทู ที่ าหนา้ ที่บงั คบั กบั ผูถ้ ูกบงั คับเสมอ Pennock and Smith (1964, 9) กล่าววา่ การเมอื ง หมายถึง ทุกสิ่งทุกอยา่ งที่เก่ยี วกบั อานาจ สถาบันและองค์กรในสงั คม ซ่ึงได้รบั การยอมรับว่ามอี านาจเด็ดขาดครอบคลุมสังคมน้ัน ในการสถาปนาและ ทานุรักษาความเป็นระเบยี บเรยี บรอ้ ยของสงั คม มีอานาจในการทาให้จุดประสงค์รว่ มกันของสมาชิกในสงั คมได้ บังเกิดผลขนึ้ มา และมีอานาจในการประนปี ระนอมความคิดเหน็ ทีแ่ ตกต่างกนั ของคนในสังคม ความสัมพันธข์ องอานาจกบั การเมอื ง ในทุกสงั คมการเมืองตงั้ แต่อดีตจนถึงปจั จบุ นั จะดารงอยู่ได้ก็ด้วยการจดั การของอานาจการเมอื งท่ี รับภาระดแู ลผลประโยชน์ของส่วนรวม แต่อานาจการเมืองนี้ก็มีรูปแบบทีแ่ ตกตา่ งกันแลว้ แตล่ ะยุคแตล่ ะสมัย
เชน่ ในกลุ่มชนโบราณ อานาจดงั กล่าวนไ้ี ดร้ ับความยินยอมและยอมรับจากกลุ่มชนในเผา่ อันเนอ่ื งมาจาก อานาจน้ีไปผูกติดหรอื ยึดอยู่กับจารตี ประเพณแี ละความเชอื่ ความศรัทธาที่ผู้คนในเผ่าน้นั ยอมให้อยเู่ หนือ ตนเอง และถ้ามาในยุคสังคมท่พี ัฒนาขน้ึ มาอีก ความจาเป็นทางเศรษฐกจิ และความมั่นคง การอยรู่ อดและ ความปลอดภัยในชวี ติ ท่ที าให้ตอ้ งมหี วั หนา้ กลุ่มที่มตี วั อานาจเสยี เอง มอี ภิสทิ ธ์ิเหนือคนอ่ืนใดและมเี อกสิทธิ์ เฉพาะตวั เทา่ น้นั ท้ังนี้เปน็ เพราะวา่ อาศัยคณุ สมบัติส่วนตวั เทา่ นนั้ ท่เี ป็นฐานแห่งอานาจ เอกสทิ ธ์ิ และอภสิ ทิ ธ์ิ ดงั นัน้ ในยคุ ดังกลา่ วอานาจการเมืองจึงผูกติดอยู่กบั คุณสมบัติสว่ นบคุ คลเป็นสาคัญ อานาจดงั กลา่ วนี้จึงไดช้ ื่อว่า เป็นอานาจของบุคคลที่มคี วามแตกตา่ งจากบุคคลอน่ื อันเน่ืองมาจากคุณสมบตั (ิ Le Pouvoir individualisé หรือle Pouvoir personalisé) บุคคลทีถ่ ืออานาจนไี้ มส่ ามารถดารงอยู่ได้ถา้ ผู้ทอ่ี ย่ภู ายใต้อานาจนี้ไม่ยอมรบั บคุ คลน้ันมกี ารต่อต้านเกิดข้ึนหรือมบี ุคคลทีม่ ีความเข้มแขง็ กวา่ มาล้มลา้ ง เม่ือบุคคลสลายไปอานาจก็สลายตาม ไปดว้ ย ดงั นน้ั อานาจการเมืองในรปู แบบดังกลา่ วจงึ ขาดความต่อเน่ือง การท่นี าอานาจไปผกู ยดึ ตดิ กบั คุณสมบัติ ของบุคคลนัน้ บคุ คลนนั้ จงึ เป็นเจ้าของอานาจหรือเป็นผู้ทรงสทิ ธจ์ิ ะใช้อานาจอยา่ งไรก็ได้หรอื จะไม่ใชอ้ านาจ เลยกไ็ ด้ขนึ้ อยกู่ ับความพงึ พอใจของบุคคลเปน็ ทต่ี ั้ง อานาจดังกลา่ วจงึ ขาดความชอบธรรมและขาดเสถยี รภาพ เม่อื เป็นดังน้ีอานาจการเมืองในยุคนี้จึงมิได้เป็นอานาจสูงสุด (la souveraineté) ทีเ่ รียกว่าอานาจอธิปไตย การ ท่นี าอานาจการเมืองดังกลา่ วไปยดึ ติดอยู่กบั ตวั บคุ คลนน้ั มีทั้งผลดีและผลเสยี กลา่ วคือ ถา้ บคุ คลดงั กล่าวเปน็ คนดี มศี ลี ธรรมแลว้ โดยตรรกะก็จะปกครองโดยใช้อานาจการเมืองไปในทางทีด่ ีและก่อประโยชนใ์ หก้ บั ผู้ทอ่ี ยู่ใต้ การปกครองไปดว้ ยแต่ถ้าบคุ คลนัน้ เป็นคนไม่ดกี ็อาจใชอ้ านาจการเมืองไปในทางท่ไี ม่ดกี ่อความเดือดร้อนและ เสยี หายให้แก่ผ้ทู ี่อยู่ใต้การปกครองไปดว้ ย ดังนนั้ การทนี่ าอานาจการเมอื งไปยึดติดอยู่กับตวั บุคคลก็จะทาให้ เกดิ การเสย่ี งแก่ผู้ที่อยใู่ ต้การปกครองเพราะทุกส่ิงทุกอย่างน้ันขนึ้ อยู่กับผู้ปกครองเปน็ สาคญั ต่อมาจงึ เกิด แนวความคิดทจ่ี ะแยกอานาจการเมืองดงั กลา่ วออกจากตวั บคุ คลไปใหก้ บั รัฐ เม่ือนาอานาจการเมืองมามอบใหก้ ับรัฐแล้ว อานาจการเมืองดังกลา่ วจงึ แปรสภาพของตนเองจาก ความไม่แน่นอนในสถานะของอานาจการเมืองในยคุ ก่อนกาเนดิ รัฐที่อานาจดังกล่าวขึน้ อยกู่ บั บคุ คลซ่ึงไม่มี ความแน่นอนมาสูค่ วามมน่ั คงและแน่นอนและสงู สุดเมอื่ อานาจดงั กลา่ วตกเปน็ ของรัฐ ณ.จดุ ดังกลา่ วน้ีทาให้ อานาจการเมอื งทเ่ี ปน็ ของรัฐในรูปแบบนีไ้ ดร้ ับการเรียกเสียใหม่วา่ อานาจอธิปไตย (la souveraineté) ดงั น้ัน อานาจการเมอื งสงู สดุ หรืออานาจอธิปไตยจงึ เป็นของรฐั การแสดงออกซ่ึงลักษณะของอานาจดังกลา่ วจึง ปรากฏผา่ นทางกฎหมายของรฐั ที่ได้รบั การยอมรบั จากคนในประชาคมแห่งรฐั ตามแนวคิดสญั ญาประชาคม กฎหมายดงั กล่าวไดจ้ ดั วางระเบียบว่าด้วยการปกครองรัฐ องคก์ รของรัฐ ประมขุ แหง่ รฐั การปกป้องคมุ้ ครอง สทิ ธิเสรภี าพของประชาชน เป็นตน้ กฎหมายดงั กล่าวก็คอื รัฐธรรมนูญ (la Constitution) ท่ีรจู้ ักกันอยา่ งดีว่า เป็นกฎหมายสูงสุดของรัฐทีว่ ่าด้วยระเบยี บแบบแผนการปกครองประเทศ การใช้อานาจสงู สดุ ของรัฐหรอื
อานาจอธิปไตยดังกลา่ ว รัฐธรรมนูญจะเปน็ ผ้กู าหนดใหใ้ ช้ผ่านตัวแทนของรฐั หรอื ผา่ นทางองค์กรของรฐั ถ้า ปรากฏว่ากษัตรยิ ์เป็นผ้ใู ช้อานาจอธิปไตยดงั กลา่ วแต่ผู้เดยี วและเป็นผกู้ าหนดระเบยี บแบบแผนการปกครอง สังคมนัน้ ๆ กษตั รยิ ก์ ็เปน็ รัฏฐาธปิ ตั ยท์ เี่ รยี กว่าการปกครองแบบสมบูรณาญาสิทธริ าชย์ (la monarchie absolue) ถา้ ประชาชนเป็นผใู้ ช้อานาจอธิปไตยและเป็นผกู้ าหนดระเบยี บแบบแผนการปกครองสงั คมนัน้ ประชาชนก็เป็นรัฏฐาธิปัตยท์ เ่ี รยี กว่าการปกครองแบบประชาธปิ ไตย (la democratie) และถา้ กลุม่ คนขนุ นาง เป็นผูใ้ ช้อานาจอธิปไตยและเป็นผู้กาหนดระเบียบแบบแผนการปกครองสงั คมน้ัน กล่มุ คนดงั กลา่ วกเ็ ป็นรัฏฐาธิ ปตั ยท์ เ่ี รียกวา่ การปกครองแบบอภชิ นาธิปไตย (la aristocratie) เปน็ ตน้ ไมว่ ่าใครจะเป็นผใู้ ชอ้ านาจอธปิ ไตย อานาจดงั กล่าวกย็ งั เป็นของรัฐอยู่ รัฏฐาธิปัตยท์ ่ีมาใช้อานาจดังกล่าวจงึ เป็นผแู้ ทนของรัฐในการใช้อานาจ อธปิ ไตยแทนรัฐ ในประเทศที่มีการปกครองในระบอบประชาธปิ ไตย รัฏฐาธิปตั ย์ คอื ประชาชน และกาหนดแนวคดิ วา่ อานาจสูงสุดดงั กลา่ วแบง่ แยกตามหน้าทเ่ี ป็นสามประเภทคือ หน้าทน่ี ติ ิบญั ญัติ หนา้ ทบี่ ริหารและและหนา้ ที่ ตุลาการและได้จดั แยกองคก์ รทท่ี าหนา้ ที่ออกเปน็ สามองคก์ รด้วยกันตามทฤษฎีการแบ่งแยกอานาจ (la séparation du pouvoir) ท้ังสามองคก์ รจึงเปน็ องคก์ รท่ีทาหนา้ ทตี่ ามทร่ี ัฏฐาธปิ ตั ยก์ าหนด ทั้งสามองคก์ รจึง เป็นผ้แู ทนของประชาชนและกระทาการแทนรฐั การแสดงออกซึง่ ภาระหน้าท่ที ้ังสามดังกลา่ วนกี้ ็โดยผ่านทาง รฐั ธรรมนูญซึ่งเป็นกฎหมายสูงสดุ ของรฐั รฐั ธรรมนูญได้จัดสรา้ งองค์กรผูใ้ ช้อานาจอธิปไตยแทนรฐั ขึ้นโดย เปน็ ไปตามทฤษฎีการจัดตั้งองค์กรสงู สดุ ทางการการเมือง(le pouvoir constituant) หรือทฤษฎอี านาจในการ จดั ใหม้ ีรฐั ธรรมนูญ (บวรศกั ดิ์ อุวรรณโณ, 2538, หน้า19-22) สรปุ จากความสาคัญทงั้ ในสว่ นของอานาจและการเมอื งข้างตน้ จะเหน็ วา่ ในทุกสงั คมการเมืองต้งั แต่อดีต จนถงึ ปัจจุบนั จะดารงอยู่ได้ก็ด้วยการจดั การของอานาจการเมืองทรี่ ับภาระดแู ลผลประโยชนข์ องส่วนรวม แต่ อานาจการเมืองนี้กม็ รี ูปแบบทแี่ ตกต่างกนั แล้วแตล่ ะยคุ แต่ละสมัย เช่น ในกลมุ่ ชนโบราณ อานาจดงั กลา่ วนี้ ไดร้ บั ความยินยอมและยอมรับจากกล่มุ ชนในเผา่ อันเน่อื งมาจากอานาจน้ไี ปผกู ตดิ หรือยึดอยกู่ ับจารีตประเพณี และความเช่ือ ความศรัทธาที่ผู้คนในเผา่ นนั้ ยอมให้อยเู่ หนือตนเอง และถา้ มาในยคุ สังคมท่ีพฒั นาขน้ึ มาอกี ความจาเปน็ ทางเศรษฐกิจและความมัน่ คง การอยรู่ อดและความปลอดภัยในชวี ติ ทที่ าให้ต้องมหี ัวหนา้ กลุ่มที่มี ตวั อานาจเสียเอง มีอภสิ ทิ ธเิ์ หนอื คนอื่นใดและมเี อกสทิ ธิเ์ ฉพาะตัวเทา่ นัน้ ทั้งน้ีเป็นเพราะว่าอาศัยคุณสมบัติ ส่วนตวั เท่านั้นทีเ่ ป็นฐานแหง่ อานาจ เอกสิทธิ์ และอภสิ ทิ ธ์ิ ดังนัน้ ในยุคดงั กลา่ วอานาจการเมอื งจึงผูกติดอยู่กบั
คณุ สมบัตสิ ว่ นบุคคลเปน็ สาคัญ อานาจดังกลา่ วนจี้ ึงได้ชื่อว่าเป็นอานาจของบุคคลท่ีมคี วามแตกต่างจากบุคคล อ่นื อนั เนื่องมาจากคุณสมบัติ(Le Pouvoir individualiséหรือle Pouvoir personalisé) บคุ คลทถ่ี ืออานาจน้ี ไม่สามารถดารงอย่ไู ด้ถา้ ผู้ที่อยภู่ ายใตอ้ านาจนี้ไมย่ อมรับบุคคลนนั้ มีการต่อต้านเกิดข้ึนหรอื มีบุคคลทีม่ ีความ เขม้ แข็งกว่ามาล้มล้าง เมื่อบคุ คลสลายไปอานาจกส็ ลายตามไปดว้ ย ดังนัน้ อานาจการเมืองในรปู แบบดังกลา่ ว จงึ ขาดความต่อเน่ือง การท่ีนาอานาจไปผูกยดึ ติดกบั คุณสมบัตขิ องบุคคลนน้ั บคุ คลนนั้ จึงเป็นเจา้ ของอานาจ หรอื เปน็ ผทู้ รงสทิ ธ์จิ ะใช้อานาจอยา่ งไรกไ็ ด้หรือจะไม่ใชอ้ านาจเลยกไ็ ดข้ ึ้นอยู่กบั ความพงึ พอใจของบคุ คลเป็น ที่ต้งั อานาจดังกล่าวจงึ ขาดความชอบธรรมและขาดเสถียรภาพ เมื่อเป็นดังน้อี านาจการเมืองในยุคนจ้ี งึ มิไดเ้ ปน็ อานาจสงู สุด(la souveraineté)ทเ่ี รียกว่าอานาจอธิปไตย การทีน่ าอานาจการเมอื งดงั กล่าวไปยดึ ตดิ อยู่กับตัว บคุ คลน้ันมีท้ังผลดีและผลเสีย กล่าวคือ ถา้ บุคคลดงั กลา่ วเป็นคนดี มีศีลธรรมแล้วโดยตรรกะกจ็ ะปกครองโดย ใช้อานาจการเมืองไปในทางท่ีดแี ละก่อประโยชนใ์ หก้ ับผู้ท่ีอย่ใู ตก้ ารปกครองไปดว้ ยแต่ถ้าบุคคลนัน้ เป็นคนไมด่ ี กอ็ าจใช้อานาจการเมืองไปในทางท่ีไม่ดีก่อความเดือดร้อนและเสียหายใหแ้ ก่ผูท้ ่ีอย่ใู ต้การปกครองไปดว้ ย ดังนน้ั การทน่ี าอานาจการเมืองไปยึดติดอยู่กับตวั บุคคลกจ็ ะทาให้เกดิ การเสี่ยงแกผ่ ทู้ ี่อย่ใู ตก้ ารปกครองเพราะ ทกุ สงิ่ ทุกอยา่ งนนั้ ขน้ึ อยู่กับผู้ปกครองเปน็ สาคญั ต่อมาจึงเกิดแนวความคิดที่จะแยกอานาจการเมืองดงั กล่าว ออกจากตัวบุคคลไปให้กับรฐั
Search
Read the Text Version
- 1 - 12
Pages: