Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore บทที่ 6 อุดมการณ์ทางการเมือง

บทที่ 6 อุดมการณ์ทางการเมือง

Published by sulai8444, 2019-09-25 03:27:34

Description: บทที่ 6 อุดมการณ์ทางการเมือง

Search

Read the Text Version

บทท่ี 6 อดุ มการณ์ทางการเมอื ง “อุดมการณ์” มีความหมายแตกต่างไปจากคาวา่ “อุดมคติ” ท้งั น้ี “อุดมคติ” มกั แปลความไปในเร่ือง ความคิดส่วนของบุคคล หากแต่คาวา่ “อุดมการณ์” ท่ีมาใช้ในทางรัฐศาสตร์จะมีความหมายเป็ นเรื่องของ ความคิดของคนส่วนรวม อนั เป็ นเร่ืองของคนในชาติ ดังน้นั คาว่า “อุดมการณ์ทางการเมือง” จะเน้นถึง เป้ าหมายหรือวตั ถุประสงคท์ างการเมืองเป็นหลกั ความหมายของอดุ มการณ์ทางการเมือง อุดมการณ์ทางการเมืองมีการให้ความหมายไวอ้ ย่างหลากหลาย ซ่ึงอาจหมายความได้ว่า การ ประมวลความเช่ือทางการเมือง ที่เกี่ยวขอ้ งกบั เป้ าประสงค์และวิธีการเพื่อบรรลุเป้ าประสงคท์ างการเมืองท่ี กาหนดความแตกตา่ งในการนาอุดมการณ์ทางการเมืองไปใชเ้ พ่ือวตั ถุประสงคต์ ามที่ตอ้ งการ อุดมการณ์ทาง การเมืองอาจประกอบดว้ ยความเชื่อของปัจเจกบุคคลหรือกลุ่มชนท่ีไม่จากดั ขนาด ซ่ึงจะแสดงออกถึงการ ประสมประสาน ความร่วมมือ ในมิติต่างๆ ในสงั คม ลิขิต ธีรเวคิน1 อธิบายว่า อุดมการณ์ทางการเมืองคือ ลทั ธิทางการเมืองที่อธิบายความเป็ นมาของ ระบบสังคมมนุษยใ์ นอดีต สภาพความเป็ นอยใู่ นปัจจุบนั และแนวโนม้ ในอนาคต วางแนวทางการประพฤติ ปฏิบตั ิสาหรับสมาชิกในปัจจุบนั และสาหรับการบรรลุความมุ่งหวงั ของอนาคต พร้อมท้งั ใหค้ วามหมาย แก่ ชีวติ แก่ความประพฤติและความสัมพนั ธ์ที่มนุษยม์ ีต่อสิ่งแวดลอ้ ม และระบบสงั คมท้งั มวล สมเกียรติ วนั ทะนะ2 ไดใ้ หค้ วามหมายถึงอุดมการณ์ทางการเมืองวา่ คือ ระบบคิดที่อธิบายถึงการ ดารงอยขู่ องสังคมการเมืองปัจจุบนั สังคมการเมืองท่ีพึงปรารถนาและวธิ ีการในการปฏิบตั ิเพอื่ ใหไ้ ดม้ าซ่ึง สงั คมการเมืองอนั พึงปรารถนาน้นั เดวดิ โรเบิร์ตสัน3 (David Robertson) กล่าวถึงอุดมการณ์ที่เช่ือมโยงถึงอุดมการณ์ทางการเมืองวา่ อุดมการณ์ หมายถึง มุมมองของบุคคลท่ีมีตอ่ โลกหรือสงั คม ซ่ึงเกี่ยวพนั กบั ความคิด ความเชื่อ ค่านิยมท่ีมีอยู่ 1 ลิขติ ธีรเวคิน, (2515). “อุดมการณ์ทางการเมืองและการพฒั นาประเทศ” ในอุดมการณ์กบั สงั คมไทย. หนา้ 117. 2 สมเกียรติ วนั ทะนะ.(2551), หนา้ 14. 3 David Robertson. (2002). pp. 232.

ของบุคคลน้นั ซ่ึงอาจจะแตกตา่ งจากบุคคลอ่ืน ๆ เน่ืองจากอุดมการณ์เป็นชุดของความคิดหน่ึงท่ีแตกต่างจาก ชุดความคิดอื่น หรืออุดมการณ์อ่ืน ดงั น้นั อุดมการณ์ทางการเมือง จึงหมายถึง ชุดของความคิดที่ล่งผลต่อ มุมมองทางการเมืองของบุคคล องค์ประกอบของอุดมการณ์ทางการเมอื ง อุดมการณ์มีหลากหลายแต่ท้งั หมดมีองคป์ ระกอบร่วมกนั ดงั น้ี4 1) ค่านิยม (Value) ทุกอุดมการณ์ต่างลว้ นเห็นวา่ ค่านิยมบางอยา่ งท่ีอุดมการณ์ตนเองยึดถือดีกวา่ ค่านิยมอ่ืนๆ และยงั ใช้ เป็ นเกณฑ์ในการตดั สินความคิด ความเช่ือและการกระทาของอุดมการณ์อื่น ๆ ด้วย อีกท้งั ยงั เป็ นขอ้ อา้ ง เพ่ือท่ีจะใชใ้ นการชกั จูงความคิดเห็น หรือเพ่อื ท่ีจะต่อตา้ นหรือยบั ย้งั ความคิดอื่น มีสาระและน้าเสียง หรือไป ในแนวท่ีเป็ นจริยธรรม ศีลธรรม หรือบรรทัดฐานให้คนยึดถือปฏิบตั ิตาม เช่น อุดมการณ์เสรีนิยม (Liberalism) มีค่านิยมวา่ การตระหนกั ถึงศกั ยภาพของมนุษยแ์ ต่ละคนเป็ นหน่ึงในเป้ าหมายสูงสุดของสังคม ซ่ึงจะปรากฏเป็ นจริงไดก้ ็แต่เฉพาะในระบอบการเมืองที่พลเมืองแต่ละคนต่างลว้ นมีอานาจในการกาหนด นโยบายของรัฐไม่แตกต่างกนั ตรงกนั ขา้ มกบั อุดมการณ์ฟาสซิสม์ (Fascism) ซ่ึงมองมนุษยไ์ ม่เท่าเทียมกนั บางคนฉลาดกว่าบางคน จึงให้ความสาคญั กับคนท่ีเก่งกว่าฉลาดกว่า และให้ความสาคญั กับผูน้ าหรือ ผปู้ กครองเหนือสิทธิ เสรีภาพของปัจเจกชน และความยงิ่ ใหญข่ องเช้ือชาติตนเหนือเช้ือชาติอื่น 2) วสิ ัยทศั น์ต่อสังคมการเมืองในอุดมคติ (Vision of the Ideal Polity) แต่ละอุดมการณ์ต่างมีวิสัยทศั น์ว่า สังคมการเมืองควรจะมีลกั ษณะอย่างไร หากมีโอกาสในการ บริหารจดั การสังคมการเมืองภายใตอ้ ุดมการณ์ของตน เช่น มาร์กซิสม์ (Marxism) เห็นวา่ หากสังคมไม่มีการ ถือครองกรรมสิทธ์ิในทรัพยส์ ินของปัจเจกชน (Private Property) ชนช้นั ในสังคมก็จะสูญสลายหายไป เม่ือ ไม่มีชนช้นั ใดท่ีมีอานาจและการกดขี่ขดู รีดเหนือชนช้นั อื่น ซ่ึงในทา้ ยที่สุดก็จะทาใหร้ ัฐสูญสลายตามไปดว้ ย 3) มโนทศั น์ว่าด้วยธรรมชาติของมนุษย์ (Conception of Human Nature) อุดมการณ์ท้งั หลายต่างลว้ นมีความคิด ความเช่ือถึงธรรมชาติของมนุษยว์ า่ เป็ นอยา่ งไร เช่น เสรีนิยม คลาสสิค (Classical Liberalism) เช่ือวา่ โดยธรรมชาติมนุษยท์ ุกคนตอ้ งการเลือกตวั แทนและนโยบายท่ีดีท่ีสุด เพื่อคุณภาพชีวติ ที่ดี ดงั น้นั เมื่อระบบการเมืองเปิ ดโอกาสใหม้ ีการเปิ ดเผยขอ้ มูล ขอ้ เท็จจริงของนโยบายและ ความคิดทางการเมืองของตวั นกั การเมืองผา่ นการหาเสียงเลือกต้งั ประชาชนยอ่ มตอ้ งเลือกแนวทางที่ดีท่ีสุด เพื่อประโยชนแ์ ก่ตนเองที่จะไดร้ ับ 4 http://www.chanchaivision.com

4) ยุทธศาสตร์ (Strategy of Action) แต่ละอุดมการณ์มียุทธศาสตร์ในการเปลี่ยนแปลงสังคมการเมืองท่ีเป็ นอยู่ให้เป็ นสังคมเมืองท่ี ตนเองใฝ่ ฝัน เช่น มาร์กซิสม์ พยายามสร้างจิตสานึกทางชนช้นั (Class Consciousness) ให้เกิดข้ึนในหมู่ กรรมกรผใู้ ชแ้ รงงานเพอื่ ลม้ ลา้ งระบบทุนนิยมแลว้ แทนที่ดว้ ยระบบสังคมนิยม หรือเสรีนิยมที่ไม่ตอ้ งการให้ รัฐเขา้ มาแทรกแซงกิจกรรมทางเศรษฐกิจของประชาชน ตลอดจนการดาเนินชีวติ ในดา้ นต่างๆ เช่น การกิน การด่ืม การแตง่ กาย หรือแมก้ ระทง่ั พฤติกรรมทางเพศดว้ ยเชื่อวา่ จะเป็ นหนทางที่ดีท่ีสุดตอ่ ชีวติ ของมนุษย์ 5) ยทุ ธวธิ ีทางการเมอื ง (Political Tactics) ในขณะท่ียุทธศาสตร์หมายถึง แผนแม่บทของการบรรลุสู่ความสาเร็จตามความใฝ่ ฝัน ยุทธวิธีคือ แผนการย่อยในทางปฏิบตั ิท่ีมาจากแผนแม่บทเพื่อบรรลุวตั ถุประสงค์ที่ตอ้ งการนั่นเอง อุดมการณ์ทาง การเมืองแต่ละประเภทต่างมียทุ ธวธิ ีทางการเมืองของตนเอง แมก้ ระทงั่ อุดมการณ์เดียวกนั แต่เมื่อแตกแขนง แยกย่อยออกไปยงั มียุทธวิธีที่แตกต่างกนั เช่น สังคมนิยม ซ่ึงแตกแขนงออกไปเป็ นสังคมนิยมมาร์กซิสต์ (Marxist Socialism) และสงั คมนิยมประชาธิปไตย (Social Democratic) เป็นตน้ ขณะท่ีสังคมนิยมมาร์กซิสต์ เห็นว่าระบบทุนนิยมจะล่มสลายได้ตอ้ งใช้กาลงั โค่นล้มโดยชนช้ันกรรมมาชีพเท่าน้ัน แต่สังคมนิยม ประชาธิปไตยปฏิเสธการใชค้ วามรุนแรง อีกท้งั ยงั ศรัทธาในสถาบนั ทางการเมืองในระบอบประชาธิปไตยวา่ จะทาใหอ้ ุดมการณ์สงั คมนิยมบรรลุผลได้ อดุ มการณ์ทางการเมืองทสี่ าคัญ 1. อนุรักษ์นิยม (conservatism) ลกั ษณะของอนุรักษน์ ิยมคือ พยายามที่จะป้ องกนั หรือลดความเร็ว ของการเปล่ียนแปลงจากสังคมเก่า ความเชื่อเก่า ช้นั ทางสังคมเก่า ไปสู่สังคมใหม่ อนุรักษน์ ิยมเช่ือวา่ ปัจเจก มีความไม่คงเส้นคงวาในการใช้เหตุผล (Consistently rational) เป็ นเพราะคนมีอารมณ์ซ่ึงบางคร้ังอยู่เหนือ เหตุผล เป็ นเหตุให้การตัดสินใจของคนอาจไม่เป็ นท่ียอมรับว่ามีเหตุผลเสมอไปอีกประการหน่ึง พวก อนุรักษน์ ิยมเช่ือวา่ ปัจเจก ไดร้ ับการถ่ายทอดความฉลาด ความชานาญ และแมแ้ ต่สถานะ แตกต่างกนั ปัจเจกหรือกลุ่มบางกลุ่มมีสถานะ ความรู้ความชานาญ สูงกวา่ และกลุ่มท่ีวา่ น้ีคือกลุ่มท่ีเป็ นผใู้ ชอ้ านาจใน สังคมหรือเป็นรัฐบาลความสัมพนั ธ์ระหวา่ งปัจเจกชนกบั สังคมอนุรักษน์ ิยมเป็ นไปภายใตค้ วามไม่เท่าเทียม กนั ระหวา่ งปัจเจกหรือกลุ่มในดา้ นอานาจ สถานภาพ และการถือครองทรัพยส์ ิน แต่ความเป็ นอนั หน่ึงอนั เดียวกนั ของคนในสังคมถูกกาหนดและช้ีนาโดย ค่านิยมด้งั เดิม จริยธรรมทางสังคม ซ่ึงเป็ นบทบาทในการ ช้ีนาของสถาบนั ทางสังคมเช่นครอบครัว วดั หรือแมแ้ ต่รัฐบาล ซ่ึงทาหน้าท่ีสื่อความหมาย หรือบงั คบั ใช้ ค่านิยมเหล่าน้นั เสรีภาพของปัจเจกชนในสังคมอนุรักษน์ ิยมมีก็จริง แต่ไม่มีปัจเจกหรือกลุ่มใด ๆ มีเสรีภาพ เตม็ ที่ที่จะทาอะไรตามใจไดต้ อ้ งตกอยภู่ ายใตป้ ระเพณีแห่งสังคม ศาสนาและประเพณีเป็ นที่มาแห่งการช้ีนา

สังคมมากกว่าความเป็ นเหตุเป็ นผลความเสมอภาคซ่ึงปกติถูกมองในแง่ของที่มีอยู่ในธรรมชาติของ สังคม สาหรับอนุรักษน์ ิยมแลว้ การใชอ้ านาจของรัฐบาลท้งั ปวงเพื่อรักษาไวซ้ ่ึงประเพณี และจริยธรรมทาง สงั คม มีผลเป็นความเสมอภาคในสงั คมเช่นเดียวกนั 5 ในทศั นะของการเมืองอนุรักษ์นิยม อาจพิจารณาในรูปแบบของการกาหนดลกั ษณะของอนุรักษ์ นิยมไดด้ งั น้ี (1) การสนบั สนุนความมีระเบียบวนิ ยั (Discipline) ซ่ึงหมายความวา่ มีการตีกรอบการปฏิบตั ิเพื่อ รั ก ษ า เ ส ถี ย ร ภ า พ โ ด ย วิ ธี ก า ร ใ ห้ ย อ ม รั บ อ า น า จ ใ น ค ว า ม ช อ บ ธ ร ร ม ที่ มี อ ยู่ แ ล้ว แ ต่ เ ดิ ม (Traditional authority) เช่น นบั ถือพวกเกิดในตระกลู เก่าท่ีรู้จกั กนั มาชา้ นาน ยอมรับในเรื่องเครื่องแบบและเหรียญตรา (2) การลงโทษบุคคลน้นั เป็น วธิ ีการท่ีจะขจดั ความชวั่ ร้ายที่เป็ นสันดานของมนุษย์ เพ่ือให้หลาบ จา (3) การเนน้ ประสบการณ์มากกวา่ เหตุผล หมายความวา่ ไมร่ ับทฤษฎีทางวชิ าการใหม่ๆ ท่ีไกลตวั และมกั จะเป็นพวกคิดชา้ ไม่กา้ วกระโดด (4) ไม่นิยมการเปลี่ยนแปลอยา่ งรุนแรงและรวดเร็ว ฉบั พลนั และการเปลี่ยนแปลงท่ีมีผลกระทบ สถานภาพเดิมอยา่ งมาก (5) ถือวา่ ความเสมอภาคเป็นอนั ตรายตอ่ เสรีภาพ เมื่อทุกคนมีความเสมอภาคแลว้ ยอ่ มสามารถใช้ เสียงส่วนใหญ่ หรือเสียงขา้ งมากในการจากดั เสรีภาพของบุคคลได้ อเลคซิสต์ เดอ ทอคเกอวลิ ส์ (Alexis de Tocqueville) ใหข้ อ้ คิดที่สาคญั โดยใหร้ ะวงั เรื่อง “ทรราชเสียงขา้ งมาก” (Tyranny of majority) อนั เกิดจาก ระบบความเสมอภาคอนั เป็นลกั ษณะความเสมอภาคเชิงจานวนเท่าน้นั (6) อนุรักษ์นิยมสนใจความเป็ นมาทางวฒั นธรรมและประวตั ิศาสตร์ การบงั คบั ใช้มาตรฐาน เดียวกนั ที่เป็นลกั ษณะสากล (universality) โดยไมพ่ จิ ารณาถึงความเป็ นมาของสังคมเป็ นส่ิงไม่สมควรอยา่ ง ยง่ิ เช่นบางสงั คมมีวฒั นธรรมจากดั สิทธิสตรีในทางการเมือง เป็นตน้ (7) สนบั สนุนรัฐบาลในความเชื่อที่วา่ รัฐบาลเป็นผพู้ ทิ กั ษแ์ ละรักสาเสถียรภาพของสงั คม นอกจากน้ี อาจพิจารณาในดา้ นมิติของอนุรักษน์ ิยมท่ีมีต่อสังคมไดอ้ ีกดา้ นหน่ึงของการศึกษา การ แบ่งมิติออกเป็ นสามส่วนคือ (1) มิติทางสังคม มีความเช่ือวา่ มนุษยใ์ นสภาพธรรมชาติ มีความชว่ั ร้ายจึงตอ้ งมีสญั ญาระหวา่ งกนั เพ่อื จดั ต้งั รัฐและรัฐบาล ซ่ึงเป็นความเห็นของโทมสั ฮอบส์ (Thomas Hobbes) (2) มิติทางสถาบนั สถาบนั ทางการเมืองตอ้ งก่อต้งั ข้ึนเพ่ือใหส้ อดคลอ้ งกบั วฒั นธรรมและความ เป็นมาของสังคม การลอกเลียนแบบมาจากสังคมอ่ืนที่มีความเป็นมาท่ีแตกต่างกนั เป็นส่ิงที่ไมถ่ ูกตอ้ ง 5 Roskin.ใน http://annmew123.blogspot.com. คน้ เม่ือ 1 กนั ยายน 2558.

(3) มิติทางการเมือง อนุรักษน์ ิยมยดึ ถือนโยบาย ผลการปฏิบตั ิ (Pragmatic) คือเลือกใน นโยบายท่ี ปฏิบตั ิได้ มากกว่าที่สูงเกินความสามารถ ไม่สนบั สนุนการกระทาใดๆ อนั ละเมิด ทรัพยส์ ินส่วนบุคคลและสนบั สนุนการคา้ เสรีเป็นตน้ 2. เสรีนิยม (liberalism) เป็ นอุดมการณ์ที่เนน้ เสรีภาพของปัจเจกชนอยา่ งสูงยงิ่ โดยบทบาทของ รัฐบาลควรจะไดถ้ ูกจากดั เช่น สถาบนั ท่ีอาจทาใหก้ ระทบกระเทือนเสรีภาพ ไดแ้ ก่ รัฐ องคก์ ารศาสนาและ แมแ้ ตก่ องทพั จะตอ้ งถูกจากดั อานาจลง อีกประการคือ เสรีนิยมเชื่อวา่ มนุษยโ์ ดยธรรมชาติมุ่งทาแต่ส่ิงท่ีดีมี หลัก สนับสนุนความเท่าเทียมกันในโอกาสและถือว่าค่านิยมบางอย่างถือเป็ นสากลเช่นสิ ทธิ มนุษยชน (Human rights) อยา่ งไรก็ดี เสรีนิยมก็ยงั ยอมรับวา่ มีความจาเป็ นตอ้ งมีรัฐบาล เสรีนิยมอาจแบ่ง ออกไดเ้ ป็นสองแนวคิด เสรีนิยมด้งั เดิมท่ีเรียกวา่ Classic liberalism ท่ีเนน้ เสรีภาพ ไม่ตอ้ งการให้รัฐเขา้ ไปยงุ่ เก่ียวกบั เอกชนโดยไม่จาเป็ น ส่วนเสรีนิยมใหม่ ท่ีมีลกั ษณะคลา้ ยกบั สังคมนิยมประชาธิปไตย (Democratic socialism) คือยินยอมให้รัฐบาลเขา้ มามีส่วนในกิจการบางอยา่ งที่เก่ียวขอ้ งโดยตรงกบั สาธารณประโยชน์ คุณภาพสินค้า และกิจการสวสั ดิการแรงงาน เป็ นต้น ท้ังน้ีรวมถึงเสรีนิยมด้านเศรษฐกิจ (Economic liberalism) ซ่ึงเราอาจพิจารณาแนวคิดของจอห์น ลอ็ ค (John Locke)ในศตวรรษท่ี 17 ไดด้ งั น้ี 2.1 เสรีนิยมด้ังเดิม (Classical liberality) มีองคป์ ระกอบดงั น้ี (1) การยอมรับ เสรีภาพของปัจเจกชน (Individualism) โดยรวม เช่น การเมือง เศรษฐกิจ และการเชื่อถือในลทั ธิใดๆ ในเวลาเดียวกนั จากดั อานาจของสถาบนั ทางการเมืองและสังคมทุกประเภทท่ี อาจทาให้กระทบต่อเสรีภาพ ส่วนบุคคล และในศตวรรษที่ 19 (จอห์น สจ็วต มิลล์) John Stuart Mill นกั ปราชญอ์ งั กฤษ ยนื ยนั วา่ รัฐไม่อาจละเลยเสียงขา้ งนอ้ ยแมว้ า่ จะมีเพียงเสียงเดียว (2) เคารพในเหตุผล (Rationalist) เช่ือวา่ ปัญหาในสังคมท้งั ปวงแกไ้ ดด้ ว้ ยเหตุและผล โดย ศึกษาใหไ้ ดค้ วามรู้ ความเขา้ ใจ และใหห้ ลกั เหตุผลในการแกป้ ัญหา (3) เชื่อในการเปล่ียนแปลง (Change) เสรี นิยมเช่ือว่าการเปล่ียนแปลงทาให้เกิด ความกา้ วหนา้ ไมย่ ดึ ติดอยใู่ นคา่ นิยม (4) เช่ือในหลกั สิทธิมนุษยชน (Human rights) และหลกั สากลของการใหโ้ อกาสในความ เสมอภาค อดมั สมิทธ (Adam Smith) เป็นผขู้ ยายความแนวคิดเสรีนิยมคลาสสิคจากแนวคิดทางการเมืองไปสู่ แนวคิดทางเศรษฐกิจ โดยแนวคิดของ สมิทธ ปรากฏในหนงั สือของเขาช่ือ The Wealth of Nations หรือ ความมน่ั คงของชาติ ซ่ึงสาระสาคญั คือ ความมนั่ คงของชาติไม่ไดเ้ กิดจากการสะสมทองคาและเงินอยา่ งท่ี ชาติท้งั หลายกระทากนั ภายใตแ้ นวคิดพาณิชยน์ ิยม หากแต่ความมนั่ คงของชาติท่ีแทจ้ ริงมาจากการเปิ ด โอกาสให้ปัจเจกชนผลิตสินค้าและบริการ และซ้ือขายแลกเปลี่ยนอย่างเสรีในระบบเศรษฐกิจ เพ่ือ สนองตอบต่อความตอ้ งการของปัจเจกชน โดยรัฐตอ้ งปล่อยใหป้ ัจเจกชนมีอิสระในการดาเนินกิจกรรมทาง

เศรษฐกิจ โดยไม่ตอ้ งวิตกกังวลว่าระบบเศรษฐกิจจะเกิดปัญหา เพราะเป็ นหน้าท่ีของกลไกตลาดตาม กฎอุปสงคแ์ ละอุปทาน ซ่ึงเปรียบเสมือน “มือที่มองไม่เห็น” เป็ นตวั กาหนดราคาและแกไ้ ขปัญหาเศรษฐกิจ เอง แนวคิดของสมิทธ จึงมีลกั ษณะเป็นเสรีนิยมทางเศรษฐกิจ หรือตลาดท่ีมีการแข่งขนั อยา่ งเสรี6 2.2 เสรีนิยมแนวใหม่ (Neo-liberalism) เสรีนิยมใหม่เกิดในศตวรรษท่ี 20 โดยมีแนวคิดไป ในทางประชาธิปไตยสังคมนิยม เช่น ยอมใหร้ ัฐเขา้ มากา้ วก่ายสิทธิเสรีภาพของเอกชนไดใ้ นกิจการท่ีเกี่ยวกบั สาธารณะ และรัฐสามารถวางมาตรการควบคุมดา้ นเศรษฐกิจและแรงงานไดด้ ว้ ย อาจพิจารณาเสรีนิยมใหม่ ในเน้ือหา ของเศรษฐกิจไดอ้ ีกดว้ ย เช่น รัฐบาลตอ้ งสงเคราะห์ประชาชนในเร่ือง การประกนั สุขภาพ การ จ่ายเงินทดแทนแรงงาน สนบั สนุนองคก์ ารกรรมกร การพิจารณาความเป็ นธรรมในเรื่องภาษี เป็ นตน้ อาจ กล่าวไดว้ า่ เสรีนิยมแนวใหม่มุ่งในปัจจยั ดา้ นเศรษฐกิจคู่ควบไปกบั ปัจจยั ท่ีไม่เก่ียวขอ้ งกบั เศรษฐกิจ (Non- economic liberalism) 3. สังคมนิยม (Socialism) เป็ นอุดมการณ์ท่ีเกิดข้ึนจากความไม่พึงพอใจท้งั ในเสรีนิยมและอนุรักษ์ นิยม เช่ือว่าอานาจทางเศรษฐกิจและการเมืองท่ีรัฐบาลได้ใช้ก็เพื่อประโยชน์ของคนทุกหมู่เหล่าใน สังคม รัฐบาลจะตอ้ งไม่ใชว้ ธิ ีรุนแรงเขา้ ดาเนินการในส่วนที่เก่ียวขอ้ งกบั การจดั สวสั ดิการต่างๆ รวมท้งั การ จดั การแรงงานและค่าจา้ ง และการจดั สวสั ดิการคนชราและคนว่างงานเป็ นหน้าท่ีของรัฐ ความสัมพนั ธ์ ระหวา่ งปัจเจกชนและสังคมในอุดมการณ์สงั คมนิยมน้นั พบวา่ รัฐมีหนา้ ท่ีตอ้ งประกนั ดา้ นคุณภาพการศึกษา ท่ีอย่อู าศยั การสาธารณสุข การมีงานทาและจดั การดา้ นการเงินในกรณีความไม่มนั่ คงทางเศรษฐกิจให้แก่ ประชาชน สังคมนิยมอาจแบ่งออกไดเ้ ป็ นสองแนวคิด แนวแรกเรียกวา่ สังคมนิยมแบบอุดมคติ (Utopian socialism) แนวคิดน้ีมีความเชื่อวา่ ถา้ สังคมเพียบพร้อมและนาความสุขมาให้สมาชิกในสังคมไดเ้ ท่าเทียมกนั แลว้ สมาชิกในสังคมจะไม่แข่งขนั แก่งแยง่ กนั ในการถือครองปัจจยั การผลิต ดงั น้นั รัฐจึงควรให้ประชาชน ทุกคนถือครองกรรมสิทธ์ิร่วมกนั และร่วมใจกนั ประกอบกิจการร่วมกนั รวมถึงการจดั สรรประโยชน์จึง เป็ นอนั วา่ กรรมสิทธ์ิส่วนตวั เป็ นอนั ยกเลิกไปท้งั สิ้นและไม่เป็ นท่ีพึงปรารถนาของสังคม สาหรับแนวคิดที่ สองคือ สังคมนิยมประชาธิปไตย(Democratic socialism) เชื่อวา่ การแข่งขนั ระหวา่ สมาชิกในเชิงเศรษฐกิจ ในสงั คมจะหมดไปโดยรัฐเขา้ ควบคุมกิจการขนาดใหญ่ดา้ นอุตสาหกรรมเสีย นอกจากน้นั ประชาชนคงยงั มี เสรีภาพ เสมอภาคในสังคมเช่นเดิม แนวคิดน้ีไดร้ ับการยอมรับกนั อยา่ งแพร่หลาย7 3.1 สังคมนิยมอุดมคติ (Utopia) โทมัส มอร์ (Thomas More) ผู้เขียนรัฐในอุดม คติ (Utopia, 1561) กล่าวว่าประชาชนทุกคนเป็ นเจา้ ของทรัพยส์ ินร่วมกนั ทางานร่วมกนั แมแ้ ต่แต่งกาย 6 Coulter, Roskin, Medeiros and Jones. อา้ งถงึ ในบฆู อรี ยหี มะ.(2554). หนา้ 73. 7 Baradat.ใน http://annmew123.blogspot.com. คน้ เมื่อ 1 กนั ยายน 2558.

เหมือนกัน ผู้แต่งงานแล้วมีเครื่ องหมายแสดงให้เห็นชัดเจน ทุกคนในรัฐไม่ใช้ของฟ่ ุมเฟื อย หรื อ เคร่ืองประดบั ผทู้ ่ีเห็นดว้ ยกบั ความคิดของมอร์ (More) เช่น ฟานซิสต์ เบคอน (Francis Bacon) ชงั ค์ ฌาคซ์ รุสโซ (Jean Jacques Rousseau) ท้งั หมดน้ีสนบั สนุนการไม่มีกรรมสิทธ์ิทรัพยส์ ินส่วนตวั และต่อตา้ นการ เอารับเอาเปรียบคนยากจน แสวงความรู้ในการจดั สังคมท่ีเหมาะสม นบั ไดว้ า่ ยากที่จะปฏิบตั ิไดจ้ ริงนอกจาก เป็นเพยี งรัฐในอุดมคติเท่าน้นั 3.2 สังคมนิยมประชาธิปไตย (Democratic socialism) แนวคิดน้ีเร่ิมต้งั แต่ปี ค.ศ.1883 ใน ประเทศองั กฤษ จอร์จ เบอร์นาต ชอว์ (George Bernard Shaw) เฮช จี เวลส์ (H.G.Wells) และ ซิดน่ีย์ เว บาร์ (Sidney Webba) เป็นสมาชิกสาคญั ของสมาคม สังคมนิยมเฟเบียน (Fabian Socialism) ลกั ษณะที่สาคญั คือ การเขา้ มีส่วนร่วมในกิจการสาคญั ของรัฐโดยใช้วธิ ีออมชอม และจดั สวสั ดิการต่างๆให้แก่กรรมกร ใน ที่สุดก็สามารถรวบรวมกนั จดั ต้งั พรรคเลเบอร์ข้ึนในองั กฤษ (Labor Party) องั กฤษไดน้ าแนวความคิดน้ีมาใช้ โดยกาหนดเป็ นนโยบายสาคญั ของรัฐบาลในยุคต่างๆ เช่น การจดั สวสั ดิการคนชราและอื่นๆ เช่นเดียวกบั แนวนโยบายของรัฐบาลในกลุ่มประเทศสแกนดิเนียเวีย โดยเฉพาะอยา่ งยง่ิ ประเทศสวเี ดน ซ่ึงนามาใชเ้ ป็ น พ้ืนฐานในการพฒั นาสังคมท่ีเรียกวา่ “รัฐสวสั ดิการ” ส่งผลต่อฐานะความเป็ นอยทู่ ่ีดีของประชาชนท้งั ทาง เศรษฐกิจและสังคม ความสาเร็จในการนาแนวนโยบายสวสั ดิการดงั กล่าวทาให้ไดร้ ับการยอมรับจากนานา ประเทศโดยเฉพาะอยา่ งยงิ่ ประเทศโลกที่สามที่พยายามนามาเป็นตน้ แบบในการพฒั นาสงั คมในปัจจุบนั 4. อานาจนิยม (authoritarianism) อุดมการณ์น้ีเช่ือวา่ รัฐบาลตอ้ งเขา้ กากบั ดูแลพฤติกรรมของประชาชนอย่างเบด็ เสร็จและเพื่อความ มนั่ คงของรัฐ จะตอ้ งสอดส่องโดยสงสัยว่าประชาชนจะคิดร้ายต่อรัฐ เขา้ แทรกกิจการของเอกชนโดยถือวา่ รัฐคือองคก์ ารท่ีใหญก่ วา่ บุคคล เหนือกวา่ บุคคล ตอ้ งมีคุณภาพดีกวา่ ถูกตอ้ งกวา่ เสมอ อานาจนิยมน้ีมีท้งั ซ้าย แ ล ะ ข ว า อ า น า จ นิ ย ม ฝ่ า ย ข ว า เ รี ย ก ว่ า ฟ า ส ซิ ส ต์ (Fascism) อ า น า จ นิ ย ม ฝ่ า ย ซ้ า ย เ รี ย ก ว่ า คอมมิวนิสต์ (Communism) ลกั ษณะของอานาจนิยมพิจารณาจากปัจจยั สาคญั เช่น เนน้ เรื่อง ชาตินิยม เนน้ ความมน่ั คงดา้ นการทหาร เนน้ สถานการณ์ทียงั ไม่เหมาะสมท่ีจะเป็ นประชาธิปไตย เน้นอานาจเด็ดขาดของผูน้ า เน้นระบบเศรษฐกิจสังคมนิยมและเน้นความเป็ นกลางในกิจการระหว่าง ประเทศ8 5. อดุ มการณ์ทางการเมืองในปัจจุบนั (Ideology in Our Day) การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองและเศรษฐกิจในประเทศยโุ รปตะวนั ออก และอดีตประเทศสหภาพ โซเวยี ต ทาใหเ้ กิดการเปลี่ยนแปลงทางอุดมการณ์ทางการเมืองขนานใหญ่ บรรดาผนู้ าของประเทศท้งั หลาย 8 Roskin. อา้ งแลว้ .

ในโลกคอมมิวนิสต์ ต่างเร่ิมคิดวา่ ระบบเศรษฐกิจอาจแขง็ ตวั เกินไป วิธีการลดระดบั การควบคุมของรัฐ การ เปิ ดเสรีทางการลงทุน เริ่มมีบทบาทข้ึน 5.1 สตรีนิยม (Feminism) แนวคิดความเสมอภาคในเร่ืองจิตวิทยา เศรษฐกิจ และ การเมืองของสตรี ในช่วงทศวรรษที่ 1970 ขบวนการสตรีเป็ นกาลงั ทางการเมืองท่ีเขม้ แข็งในสหรัฐอเมริกา และยโุ รปตะวนั ตก ปัญหาเกิดจากจิตวิทยาในเร่ืองความเป็ นผูช้ าย และความเป็ นผหู้ ญิง และในที่สุดขณะน้ี พบวา่ สังคมไดใ้ หค้ วามเท่าเทียมกนั ในโอกาสของเพศหญิงมากข้ึน เช่น สามีทางานบา้ นและดูแลลูกดว้ ย เป็ น ตน้ ส่วนเพศหญิงโอกาสในการดารงตาแหน่งสูงทางราชการหรือการเมืองมากข้ึนและในทางการเมือง สตรี เพศออกเสียงลงคะแนนใหพ้ รรคเดโมแครทโดยเฉพาะโหวตใหบ้ ิลส์ คลินตนั (Bill Clinton) ชนะถึงสองคร้ัง พฒั นาการของกระแสสตรีนิยมปรากฏผลในการช่วงชิงตาแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาอีกคร้ังในปี ค.ศ.2008 โดยเป็ นการแข่งขนั ระหว่างตวั แทนพรรคในเวลาน้นั ระหวา่ งโอบามา (Obama)จากพรรคเดโม แครต (Democrat Party) และนายจอห์น แมคเคน (John McCain) แห่งพรรครีพบั รีกนั (Republican Party) ซ่ึงในช่วงทา้ ยของการหาเสียงนายจอห์น แมคเคน ไดเ้ ลือกนางเพ ริน (Pa Lin)เป็นผดู้ ารงตาแหน่งรอง ประธานาธิบดีของตนเองหากประสบชยั ชนะในการเลือกต้งั โดยตอ้ งการไดเ้ สียงสนบั สนุนจากกลุ่มสตรีซ่ึง ถือเป็ นจุดอ่อนของตนและพรรครีพบั รีกัน ในขณะท่ีได้โอบามามีนางฮิลลารี (Hilary) ซ่ึงเป็ นผูท้ ี่มีเสียง สนับสนุนจากกลุ่มสตรีจานวนมากจากพรรคเดียวกนั และเคยเป็ นอดีตผูส้ มคั รตวั แทนพรรคในการชิง ตาแหน่งประธานาธิบดีของพรรคเดโมแครตเป็ นผูส้ นบั สนุน ผลปรากฏวา่ นายโอบามา ประสบชยั ชนะได้ เป็นประธานาธิบดีผวิ สีคนแรกของสหรัฐอเมริกา 5.2 อนุรักษ์ส่ิงแวดล้อมนิยม (Environmentalism) แนวคิดเร่ืองอนุรักษ์ส่ิงแวดล้อม แพร่หลายมากข้ึนจนกลายเป็ นสากลทวั่ โลกจนในที่สุดทราบว่ามีการจดั ต้งั พรรคการเมืองโดยมีนโยบาย อนุรักษส์ ่ิงแวดลอ้ ม ในยโุ รปตะวนั ตกมีพรรค Green และพรรค Citizen สาหรับพรรค Green ไดร้ ับเลือกเขา้ สภาและมีนโยบายหยดุ ย้งั อานาจนิวเคลียร์ เป็นตน้

เอกสารอ้างองิ ลิขิต ธีรเวคิน, (2515). “อุดมการณ์ทางการเมืองและการพฒั นาประเทศ” ในอุดมการณ์กับ สงั คมไทย. พระนคร : สมาคมสงั คมศาสตร์แห่งประเทศไทย สมเกียรติ วนั ทะนะ.(2551). อุดมการณ์ทางการเมืองร่วมสมยั . สานักพิมพ์อกั ษรข้าวสวย : กรุงเทพฯ David Robertson. (2002). A Dictionary of Modern Polit1ics. Third Edition London and New York : Europa Publications. http://annmew123.blogspot.com. คน้ เม่ือ 1 กนั ยายน 2558. http://www.chanchaivision.com. คน้ เมื่อ 1 กนั ยายน 2558.


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook