Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore พัฒนาการของเด็กวัยประถมศึกษา

พัฒนาการของเด็กวัยประถมศึกษา

Published by saibautornattaporn, 2020-07-31 01:16:19

Description: พัฒนาการของเด็กวัยประถมศึกษา

Search

Read the Text Version

พฒั นาการของเด็กวัย ประถมศึกษา

ก หนังสือเลม่ นจ้ี ดั ทาข้นึ เพื่อเปน็ สว่ นหน่ึงของวิชา พัฒนาการและการเรียนรู้ของเด็กประถมศึกษา เพือ่ ใหไ้ ดศ้ ึกษาหาความรู้ในเรอ่ื งพฒั นาการของ เด็กประถมศกึ ษา เพอ่ื เป็นประโยชน์กับนักเรียน นักศึกษา ผ้จู ัดทาหวังว่า หนังสือเล่มนจี้ ะเป็นประโยชน์ กับผอู้ า่ นทก่ี าลงั หาข้อมลู เร่อื งนี้อยู่ หากมี ข้อแนะนาหรอื ขอ้ ผิดพลาดประการใดผูจ้ ดั ทาขอ น้อมรบั ไว้และขออภยั มา ณ ทน่ี ้ีด้วย

ข หน้า คานา ก สารบญั ข สารบัญ(ตอ่ ) ค ความหมายของ 1 เดก็ วยั ประถมศึกษา พัฒนาการทางกาย 2 พฒั นาการทางอารมณ์ 3 พฒั นาการทางสังคม 4 พฒั นาการทางสติปัญญา 5

ค การสง่ เสรมิ พฒั นาการ หน้า ของวัยเดก็ ตอนปลาย 6-8 ความปลอดภยั สาหรับเดก็ 9 วยั เรยี น 6-12 ปี 10 การออกกาลงั กายและการเล่น 11 บรรณานุกรม

1 เด็กวยั ประถมศึกษา หมายถึง เดก็ วัยประถมศกึ ษา (อายุ 6 - 12 ป)ี เป็นวยั แหง่ ความพากเพยี รวิริยะอุตสาหะ เพราะ มหี น้าที่สาคัญท่ี เพ่ิมเตมิ เข้ามามากกว่าวยั อนบุ าลอย่างเหน็ ได้ชัด น่นั คอื การเรียน เด็กเขา้ สกู่ ระบวนการอ่าน เขยี น คานวณ เรยี นรู้ วชิ าตา่ งๆอย่างเป็นรปู ธรรม ในแง่ทักษะชีวติ นัน้ เด็ก สามารถช่วยเหลอื ตนเองได้มากขนึ้ พดู คุยส่ือสารความคิด และความรู้สกึ ได้มีประสทิ ธิภาพมากขึน้ มที กั ษะการคิด วิเคราะห์ คิดมีเหตุมีผลมากขึ้นตามลาดับ

2 พัฒนาการทางกาย เดก็ ผู้หญงิ ช่วงอายุ 8-12 ปจี ะมี ลกั ษณะเพศขัน้ ทส่ี องปรากฏขึน้ ไดแ้ ก่ ตะโพกขยายออก ทรวงอกขยายโตขน้ึ มี ขนขึน้ ทบ่ี ริเวณรักแรแ้ ละอวยั วะเพศ เดก็ ผู้ชาย จะมีการเปล่ียนแปลงดา้ น ร่างกาย ได้แก่ ไหลก่ ว้างขึน้ มือและเทา้ ใหญ่ข้นึ มีขนข้ึนทร่ี กั แร้และอวยั วะเพศ และมกี ารหล่ังอสจุ เิ รม่ิ เกิดข้ึนครัง้ แรก ในชว่ งอายุ 12-16 ปี

3 พฒั นาการทางอารมณ์ เดก็ วยั นี้จะมีลกั ษณะเปน็ กลาง ๆ คอื ไม่ดีหรือรา้ ยจนเกนิ ไป เดก็ วยั น้มี ี ความคดิ ทล่ี ะเอยี ดอ่อนมากข้นึ สามารถเข้าใจอารมณ์ของตนเองและ ผู้อน่ื ได้ดีขึ้น ควบคุมอารมณข์ องตน ได้ เรียนร้ทู ีจ่ ะแสดงอารมณ์ได้ เหมาะสมในรปู แบบท่สี ังคมยอมรบั ได้

4 พฒั นาการทางสังคม เดก็ วยั นเ้ี ดน่ ชดั มาก เดก็ จะให้ ความสาคญั ตอ่ สมั พันธภาพระหว่าง บคุ คล ทั้งต่อบุคคลใกล้ชดิ และบุคคลอ่ืน ท้ังวยั เดียวกนั และต่างวัยกัน เดก็ วยั นี้ ตอ้ งการเพอื่ นมาก เด็กจะแสวงหาเพ่อื นท่ี มคี วามคล้ายคลึงกันในดา้ นของ บคุ ลิกลักษณะ ความชอบ และเปน็ เพอื่ น ท่สี ามารถไว้วางใจได้ เข้าใจกนั มกั ยึดม่ัน กบั กลมุ่ เพือ่ น สงั คมรอบข้าง

5 พฒั นาการทางสติปญั ญา เด็กวยั นสี้ ามารถคิด วเิ คราะห์ และ แกป้ ญั หาได้ชัดเจนมากข้นึ รจู้ ักการใช้ เหตุผลในการแกป้ ัญหา รับผดิ ชอบและ ตดั สินใจได้ด้วยตนเอง รบั ฟังคนอื่นมาก ข้ึน กระตือรือรน้ ในการแสวงหาความรู้ จากแหลง่ ตา่ ง ๆ

6 การส่งเสรมิ พัฒนาการของวยั เด็กตอนปลาย ด้านรา่ งกาย 1.แนะนาในเร่ืองการออกกาลงั กาย การเลน่ กีฬา การใชเ้ วลาว่างใหเ้ กดิ ประโยชนเ์ พือ่ ให้มี สขุ ภาพร่างกายท่แี ข็งแรง 2.แนะนาเรือ่ งการรบั ประทานอาหารท่ีเปน็ ประโยชน์ เพราะอาหารมคี วามสาคญั ต่อการ เจริญเติบโตของเด็กวยั น้ี เด็กจะตอ้ งไดร้ ับ สารอาหารครบทุกหมใู่ นปริมาณทเ่ี พียงพอ โดยเฉพาะวัยนม้ี กั สนใจการเล่นกบั กลุ่มเพอื่ น มากกวา่ การรบั ประทานอาหาร

7 ด้านจติ ใจ 1.แนะนาเรอ่ื งการรจู้ กั ตนเอง การมองตนเองตามความเป็นจรงิ ดว้ ยการบริหารจิตใจ การทา สมาธิ การเสยี สละเพือ่ ผ้อู ่ืนอย่าง เหมาะสม 2.ฝึกการผอ่ นคลาย ความเครียดในลักษณะตา่ ง ๆ เช่น การผอ่ นคลายกลา้ มเนอ้ื ทกุ ส่วนของร่างกาย จนิ ตภาพบาบดั หรือการทางาน อดเิ รกท่ชี อบ เชน่ ฟังเพลง เลน่ ดนตรี อ่านหนังสือที่ชอบ วาด ภาพ เปน็ ต้น

ดา้ นสงั คม 8 1.แนะนาเร่ืองการปรบั ตัวให้เขา้ กับเพื่อนได้ อยา่ งเหมาะสม ใหร้ ู้จักการยืดหยุน่ รู้จกั การแพ้ ชนะ และใหอ้ ภัย เขา้ ใจความแตกตา่ งระหว่าง บุคคลตามสภาพความเปน็ จริง เพอ่ื ลดความ คาดหวงั จากผู้อน่ื ในทุก ๆ ด้าน 2.ฝึกพฤติกรรมการแสดงออกอยา่ งเหมาะสมใน สถานการณ์ต่าง ๆ ทง้ั พฤติกรรมทางดา้ นรา่ งกาย และคาพูด การจัดให้มีการแสดงบทบาทสมมติ สถานการณต์ า่ ง ๆ เพื่อให้เกดิ ทกั ษะนาไปสู่การ ปฏิบตั ิตอ่ ไป

9 ความปลอดภยั สาหรับเด็กวัยเรียน 6-12 ปี 1.ทีพ่ กั อาศัยมปี ระตหู น้าต่างที่แขง็ แรง สามารถ ป้องกนั การบุกรกุ จากบุคคลภายนอกได้ 2.ไมใ่ ห้เล่นของเล่นอันตราย เชน่ ของเลน่ มคี ม ปนื อดั ลม พลุดอกไมไ้ ฟ 3. ฝกึ สอนใหเ้ ด็กรู้จักการปฏิเสธไมย่ อมทาตามแม้จะ เปน็ คนใกล้ชิดเมอ่ื ไม่มน่ั ใจว่าสงิ่ ทถ่ี ูกชกั ชวน ให้ปฏิบตั นิ ้นั จะนาไปสู่อนั ตรายหรอื ไมฝ่ กึ ให้มที ักษะการ จดั การความขดั แยง้ อยา่ งเหมาะสมหลายรปู แบบ โดยไม่ใชค้ วามรุนแรง เชน่ เช่น รบั ฟังความคิดเห็น ยอมรบั ผิด ปรบั ปรุงตวั 4.เดก็ ต้องไดร้ บั ความร้สู อนทกั ษะการป้องกนั อนั ตราย และการหนจี ากภัยธรรมชาติท่พี บได้บ่อย ในเขตชมุ ชน เช่น นา้ ท่วม ไฟไหม้คลื่นยกั ษ์สนึ าม

10 การออกกาลงั กายและการเลน่ 1. ควรจดั เวลาเพอ่ื ใหเ้ ดก็ ออกกาลังกาย อย่างนอ้ ย 30 ถึง 60 นาทตี ่อเน่ืองอยา่ งนอ้ ย 3ครัง้ ตอ่ สัปดาห์เพอื่ พัฒนากลา้ มเนื้อให้สมบรู ณแ์ ขง็ แรง เพมิ่ ความสงู โดยเฉพาะในเด็กผู้หญิงซง่ึ เขา้ สู่วยั รุ่นเรว็ ประมาณอายุ10 ปีจะมชี ่วงสงู ต่อไปได้หลงั มี ประจาเดือนไม่เกิน 2 ปี 2.กจิ กรรมในแต่ละวนั ควรจะเริ่มจากระดบั เบา ปาน กลางและหนักตามลาดับ 3.จัดสถานท่ที ี่บ้านหรอื พาไปทากิจกรรมเพ่อื ส่งเสรมิ ให้เดก็ ไดอ้ อกกาลังกายแบบแอโรบกิ เช่น เล่นกฬี า วิง่ กระโดดเชือก ตีแบดมินตัน หรือวา่ ยน้า ฯลฯ 4.สนามทเ่ี ล่นควรมีขนาดใหญ่สภาพแวดลอ้ มดีโล่ง แจง้ อากาศถา่ ยเท

11 บรรณานุกรม http://www.thaipediatrics.org/Media/media -20171010123138.pdf http://elementarymn.blogspot.com/


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook