Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore หลักการใช้กล้องจุลทรรศน์เบื้องต้น

หลักการใช้กล้องจุลทรรศน์เบื้องต้น

Published by nongna78, 2022-01-12 03:50:17

Description: กล้องจุลทรรศน์ (Compound Light Microscope)

Search

Read the Text Version

กล้องจุลทรรศน์ (Compound Light Microscope) กาญจนา สรุ าภา : ตาแหน่งนักวิทยาศาสตร์

TABLE OF CONTENTS ประวตั คิ วามเป็นมาของกล้องจลุ ทรรศน์ 1 ชนิดของกล้องจลุ ทรรศน์ 2 สว่ นประกอบที่สาคญั ของกล้องจลุ ทรรศน์ 3 ขนั้ ตอนการใช้กล้องจลุ ทรรศน์ 4 ข้อควรระวงั อ่ืนๆ ในการใช้กล้องจลุ ทรรศน์ แหลง่ อ้างอิง

กล้องจุลทรรศน์ (Microscope) กล้องจลุ ทรรศน์เป็นเครื่องมือวิทยาศาสตร์ที่สาคญั และจะเป็น ในการขยายภาพของสง่ิ มีชีวิตตา่ ง ๆ ท่ีมีขนาดเลก็ จนไมส่ ามารถ มองเหน็ ได้ด้วยตาเปลา่ ให้สามารถมองเหน็ ได้ชดั และมีการแจกแจง รายละเอียดหรือมีความคมชดั สงู (high resolution) กล้องจลุ ทรรศน์มีหลายชนิด แบง่ อออกเป็นประเภทใหญ่ๆ ได้ 2 ชนิด คือ กล้องจลุ ทรรศน์ใช้แสง (light microscope) และ กล้องจลุ ทรรศน์อิเลคตรอน (electron microscope)

ประวตั คิ วามเป็ นมาของกล้องจุลทรรศน์ ส่ิงมีชวี ติ ขนาดเล็กท่ไี ม่สามารถมองเห็นดว้ ยตาเปลา่ เดมิ ใช้เพยี งแว่นขยายและเลนส์ อันเดยี วส่องดู คงเชน่ เดยี วกบั การใชแ้ ว่นขยายสอ่ งดูลายมอื ในระยะต่อมา กาลิเลอิ กาลิเลโอ ได้สรา้ งแวน่ ขยายสอ่ งดูสิง่ มีชีวิตเล็กๆในราวปี พ.ศ. 2153 ในชว่ งปี พ.ศ. 2133 ชา่ งทาแวน่ ตาชาวฮอลนั ดา ชอื่ แจนเสน ประดิษฐ์กล้องจุลทรรศน์ชนดิ เลนส์ประกอบ ประกอบดว้ ยแวน่ ขยายสองอันในปี พ.ศ. 2208 โรเบิร์ต ฮกุ ได้ประดิษฐก์ ล้องจุลทรรศน์ ชนิดเลนส์ประกอบทีม่ ขี ากล้องรูปร่างสวยงาม ป้องกันการรบกวนจากแสงภายนอกได้ และ ไมต่ อ้ งถือเลนส์ให้ซอ้ นกัน เขาส่องดไู ม้คอรก์ ฝานบางๆ แล้วพบชอ่ งเล็กๆ มากมาย เขาเรยี กช่องเหลา่ นน้ั ว่าเซลล์ ซ่ึงหมายถงึ หอ้ งว่างๆ หรือหอ้ งขงั เซลล์ที่ฮุกเห็นเป็นเซลลท์ ี่ ตายแลว้ เหลอื แต่ผนงั เซลล์ของพชื ซง่ึ แข็งแรงกวา่ เยอ่ื หมุ้ เซลลใ์ นสตั ว์ จงึ ทาให้คงรปู ร่าง อยู่ได้ ฮกุ จงึ ไดช้ ื่อวา่ เป็นผตู้ ง้ั ชือ่ เซลล์ในปี พ.ศ. 2215 แอนโทนี แวน ลวิ เวนฮุค ชาวฮอลนั ดา สรา้ งกล้องจุลทรรศนช์ นิดเลนสเ์ ดียวจาก แว่นขยายท่เี ขาฝนเอง แวน่ ขยาย บางอนั ขยายไดถ้ ึง 270 เท่า เขาใชก้ ล้องจลุ ทรรศน์ตรวจดูหยดนา้ จากบงึ และแมน่ ้า และจากน้าฝนที่รองไวใ้ นหม้อเหน็ สง่ิ มีชวี ิตเลก็ ๆมากมายนอกจากน้ันเขายงั ส่องดูส่ิงมชี วี ติ ตา่ งๆ เช่น เม็ดเลือดแดง, เซลลส์ ืบพนั ธ์สุ ัตวต์ ัวผู้, กลา้ มเนือ้ เป็นต้น เม่ือเขาพบสง่ิ เหลา่ นี้ เขารายงาน ไปยงั ราชสมาคมแห่งกรุงลอนดอนจึงไดร้ ับการยกย่องว่าเปน็ ผปู้ ระดษิ ฐก์ ลอ้ ง จุลทรรศนป์ ี พ.ศ. 2367 ดโู ธรเชต์ นกั พฤกษศาสตร์ ชาวฝร่ังเศสศกึ ษาเนอ้ื เยือ่ พืช และสตั ว์ พบวา่ ประกอบด้วยเซลล์

ปี พ.ศ. 2376 โรเบิรต์ บราวน์ นักพฤกษศาสตรช์ าวองั กฤษ เปน็ ค้นแรกทีพ่ บวา่ เซลลม์ พี ืช มีนวิ เคลียสเปน็ ก้อนกลมๆ อย่ภู ายในเซลล์ ปี พ.ศ. 2378 เฟ-ลิกซ์ ดือจาร์แดง นักสัตวศาสตร์ชาวฝรัง่ เศส ศึกษาจุลนิ ทรีย์ และส่งิ มีชีวิตอนื่ ๆ พบว่าภายในประกอบดว้ ยของเหลวใสๆ จึงเรยี กวา่ ซารโ์ คด ซ่ึงเปน็ ภาษาฝรง่ั เศสมาจากศพั ท์ กรกี ว่า ซารค์ (Sarx) ซึง่ แปลวา่ เนอื้ ปี พ.ศ. 2381 ชไลเดน นักพฤกษศาสตรช์ าวเยอรมนั ศึกษาเนื้อเย่ือพชื ชนดิ ต่างๆ พบว่า พืชทกุ ชนิดประกอบด้วยเซลล์ ปี พ.ศ. 2382 ชไลเดรนและชวาน จงึ รว่ มกันต้ังทฤษฎีเซลล์ ซง่ึ มใี จความสรุปไดว้ ่า \"สิง่ มชี วี ิตทกุ ชนดิ ประกอบไปดว้ ยเซลลแ์ ละผลติ ภณั ฑ์จากเซลล์\" ปี พ.ศ. 2382 พวั กนิ เย นักสัตวิทยาชาวเชคโกสโลวาเกยี ศกึ ษาไข่และตัวอ่อน ของสัตว์ชนดิ ตา่ งๆ ระบุว่าภายในมีของเหลวใส เหนียว ออ่ นน่มุ เป็นวนุ้ เรียกว่าโปรโตพลาสซมึ ต่อจากน้นั มนี กั วทิ ยาศาสตรอ์ กี มากมายทาการศกึ ษาเก่ียวกบั เซลล์ด้วยกล้องจุลทรรศน์ ชนิดเลนส์ประกอบ และได้พัฒนาใหด้ ียงิ่ ขนึ้ จนกระทั่งปี พ.ศ. 2475 นกั วทิ ยาศาสตรช์ าว เยอรมัน คือ อี.รสุ กา และแมกซ์นอลล์ ไดเ้ ปลีย่ นแปลงกระบวนการของกลอ้ งจุลทรรศนท์ ่ีใช้แสง และเลนสม์ าใช้ลาอเิ ล็กตรอนทาใหเ้ กดิ กลอ้ งจุลทรรศนอ์ ิเลก็ ตรอนขึน้ ในระยะตอ่ ๆ มา ปัจจบุ ัน มีกาลังขยายกวา่ 5 แสนเทา่

ชนดิ ของกลอ้ งจุลทรรศน์ กล้องจลุ ทรรศน์สามารถแบง่ ออกเปน็ ประเภทใหญ่ ๆ ได้ 2 ประเภท คอื ก. กลอ้ งจลุ ทรรศนแ์ บบใช้แสง (Optical microscopes) กล้องจลุ ทรรศน์ใช้แสงมคี ่า resolving power ประมาณ 250 นาโนมเิ ตอร์ หมายความว่า กล้องจะสามารถแยกแยะจดุ 2 จดุ ท่ีอยใู่ กลก้ ันและมีระยะหา่ งมากกวา่ 250 นาโนมิเตอรข์ ึน้ ไปออก จากกนั ได้ แตไ่ มส่ ามารถแยกจดุ สองจดุ ท่ีมรี ะยะห่างกันน้อยกว่า 250 นาโนมเิ ตอร์ออกจากกนั ได้ โดยผ้สู งั เกตจะมองเหน็ จดุ ท้ังสองรวมเสมอื นเปน็ จดุ เดยี วกนั เชน่ 1. Compound microscope เป็นกล้องจลุ ทรรศน์ท่พี บอยทู่ ั่วไป โดยเวลาส่องดูจะเหน็ พื้น หลงั เปน็ สขี าว และจะเหน็ เชื้อจลุ ินทรยี ม์ สี เี ขม้ กว่า 2. Stereo microscope เปน็ กลอ้ งจลุ ทรรศน์ทใี่ ชส้ าหรับสอ่ งศึกษาตัวอยา่ งทม่ี ขี นาดใหญ่ เพื่อใหเ้ ห็นลายละเอยี ดท่ีชดั เจน 3. Dark field microscope เปน็ กลอ้ งจุลทรรศน์ทม่ี พี ืน้ หลงั เปน็ สีดา เหน็ เชื้อจลุ นิ ทรีย์สว่าง เหมาะสาหรับใช้ส่องจุลนิ ทรยี ์ท่ีมีขนาดเลก็ ทตี่ ิดสยี าก 4. Phase contrast microscope ใชส้ าหรับสอ่ งเชือ้ จลุ นิ ทรีย์ท่ียงั ไม่ไดท้ าการยอ้ มสี จะเห็นชดั เจนกว่า Light microscope 5. Fluorescence microscope ใช้แหล่งกาเนดิ แสงเป็น อลั ตราไวโอเลต ส่องดจู ุลินทรีย์ ทยี่ ้อมด้วยสารเรืองแสง ซึง่ เม่ือกระทบกบั แสง UV จะเปลีย่ นเปน็ แสงชว่ งที่มองเห็นได้ แล้วแต่ชนดิ ของสารทีใ่ ช้ พน้ื หลงั มักมีสีดา

ชนดิ ของกล้องจุลทรรศน์ กลอ้ งจุลทรรศน์สามารถแบง่ ออกเป็นประเภทใหญ่ ๆ ได้ 2 ประเภท คอื ข. กล้องจุลทรรศน์อเิ ล็กตรอน (Electron microscope) เปน็ กลอ้ งจุลทรรศนท์ ่มี กี าลงั การขยายสงู มาก เพราะใชล้ าแสงอเิ ล็กตรอนแทนแสงปกติ และใช้สนามแมเ่ หลก็ ไฟฟ้าแทนเลนสแ์ กว้ เป็นกล้องท่ีใชใ้ นการศกึ ษาโครงสร้าง และส่วนประกอบ ของเซลล์ ไดอ้ ยา่ งละเอยี ด ที่กลอ้ งชนิดอนื่ ไม่สามารถทาได้ มคี วามสามารถในการแจกแจงรายละเอยี ด ได้มากกวา่ กลอ้ งจลุ ทรรศน์ใชแ้ สงประมาณ 1,000 เทา่ มี 2 ชนิด คือ TEM และ SEM 1. TEM (Transmission Electron Microscope) เปน็ กล้องจุลทรรศน์อิเลคตรอนท่ีใช้การยงิ อเิ ลคตรอนผา่ นตวั อยา่ งบางๆ มรี ะบบเลนส์ตา่ งๆ เป็นสนามแมเ่ หล็กไฟฟ้า ภาพที่เห็นเป็นภาพ 2 มติ ิ และมคี วามสามารถขยายภาพ ไดม้ ากกวา่ 1 ลา้ นเท่า ทาใหน้ กั ชวี วิทยามคี วามรู้ ความเข้าใจเกยี่ วกับโครงสรา้ งและการทางาน ของโครงสร้างของเซลลม์ ากขึน้ 2. SEM (Scanning Electron Microscope) เปน็ กล้องจุลทรรศน์อเิ ลคตรอนท่ีมหี ลักการใหล้ าอิเลคตรอนตกบนตัวอยา่ ง ท่เี คลอื บดว้ ยสารโลหะหนกั บางๆ แลว้ ถกู สะท้อนไปยงั จอรบั ภาพทาใหเ้ หน็ พ้นื ผิวของตัวอยา่ งนน้ั เปน็ ภาพ 3 มติ ิ ภาพจาก SEM มีความคมชดั น้อยกว่าภาพจาก TEM แตจ่ ะเห็นภาพของผวิ วัตถุ ความลกึ และลักษณะรูปรา่ งแบบ 3 มิติ

สว่ นประกอบท่สี ำคัญของกลอ้ งจลุ ทรรศน์

ส่วนประกอบท่ีสำคัญของกลอ้ งจุลทรรศน์ ท่มี ำ : Olympus, http://www.alanwood.net/downloads/olympus-st-hs-hsc- instructions.pdf, 2015.

ส่วนประกอบทสี่ ำคัญของกล้องจุลทรรศน์ ท่มี ำ : กล้องจลุ ทรรศน์, http://classfifth53.darkbb.com/t6-topic, 2558.

สว่ นประกอบทีส่ ำคญั ของกลอ้ งจุลทรรศน์ ส่วนประกอบของกล้องจลุ ทรรศน์ประกอบ แบบ Binocular microscope ท่มี ำ : Olympus, http://www.alanwood.net/downloads/olympus-ch30-ch40-nstructions.pdf, 2015.

สว่ นประกอบที่สำคัญของกล้องจุลทรรศน์ ส่วนประกอบของกล้องจุลทรรศน์ประกอบ แบบสำมมติ ิ (Stereo microscope) ที่มำ : Stereo microscope, http://www.microscope.com/education-center/ microscopes-101/stereo-microscope-parts/, 2015.

ส่วนประกอบท่ีสำคญั ของกล้องจุลทรรศน์ 1. สว่ นทเี่ ป็นตัวกลอ้ ง ประกอบดว้ ย 1.1 ลำกลอ้ ง (Body tube) เป็นสว่ นทเี่ ช่ือมโยงระหว่างเลนส์ใกลต้ ากบั เลนส์ใกลว้ ัตถุ และ ชว่ ยป้องกันการรบกวนของแสงจากภายนอก 1.2 ท่หี นีบสไลด์ (Stage clip) เปน็ แผ่นโลหะบนแท่นวางวัตถุใช้หนีบสไลดใ์ ห้แนน่ อยู่กบั ท่ี 1.3 แทน่ วำงวัตถุ (Stage) มีช่องตรงกลางสาหรบั ให้แสงผ่าน และใชว้ างสไลด์แกว้ เปน็ อปุ กรณ์ท่ีเคลือ่ นทไ่ี ด้ (mechanical stage) ดว้ ยการหมุนปมุ่ บงั คับ อุปกรณด์ ังกลา่ วมีคลปิ เกาะ สไลด์ และมีสเกลบอกตาแหนง่ ของสไลดบ์ นแท่นวางวตั ถุ ฉะน้ันอุปกรณ์น้ีจะช่วยอานวยความสะดวก ในการเลื่อนสไลดไ์ ปทางขวา ซ้าย หน้า และหลังได้ในขณะท่ีตามองภาพในกล้อง ช่วยให้หาภาพ ไดร้ วดเร็ว และมสี เกลบอกตาแหนง่ ของวตั ถบุ นสไลด์ 1.4 แขน (Arm) เป็นสว่ นท่ยี ึดลากล้องและฐาน ใชเ้ ป็นทจ่ี ับเวลาเคล่อื นยา้ ยกลอ้ ง จลุ ทรรศน์ 1.5 ฐำน (Base) เป็นสว่ นที่ใช้วางบนโตะ๊ ทาหน้าทรี่ ับนา้ หนกั ทง้ั หมดของกลอ้ งจุลทรรศน์ 1.6 แผ่นหมุน (revolving nosepiece) คือแผ่นกลมหมนุ ได้ มเี ลนส์ใกลว้ ัตถตุ ดิ อย่เู พือ่ หมนุ เปล่ยี นกาลงั ขยายของเลนสต์ ามความต้องการ

ส่วนประกอบทส่ี ำคัญของกลอ้ งจลุ ทรรศน์ 2. สว่ นท่ีทำหนำ้ ที่รบั แสง ประกอบดว้ ย 2.1 แหลง่ กำเนิดแสง (Light source) อาจจะเป็นแสงจากดวงอาทิตย์ หรอื อาจจะใช้ กระจกเงา 2 ดา้ น ทาหน้าท่ีในการรวมแสงและส่องไปยงั วัตถทุ อ่ี ย่บู นแผน่ สไลดก์ ระจกเงา ด้านเรยี บใช้ สาหรับรบั แสงตามปกติ แต่ถ้ามีแสงน้อยควรใช้ กระจกเงาด้านโค้งเว้าเพือ่ ชว่ ยรวมแสง บางกลอ้ ง ใช้หลอดไฟเป็นแหลง่ กาเนิดแสงแทน 2.2 เลนสร์ วมแสง (Condenser lens) อย่ใู ตแ้ ท่นวางวัตถุ (Stage) ทาาหนา้ ท่ีรวมแสง ท่ีผ่านมาใหเ้ ขม้ ข้นยิ่งขน้ึ เพื่อสอ่ งไปยงั วัตถุ มปี ุม่ ปรบั ความสูงต่าของ condenser 2.3 ไดอะแฟรม (Iris Diaphragm) เป็นม่านปรบั รูเปิดเพื่อให้แสงผา่ นเขา้ condenser และมปี ุ่มสาหรับปรบั iris diaphragm ใหแ้ สงผา่ นเข้ามากน้อยตามตอ้ งการ 3. สว่ นทีท่ ำหนำ้ ท่ีขยำยภำพ ประกอบด้วย 3.1 เลนส์ใกล้วตั ถุ (Objective lens, Eyepiece) อยใู่ กลว้ ัตถุทาหนา้ ทขี่ ยายภาพ มีประมาณ 3-4 อนั แต่ละอันมีกาลงั บอกเอาไว้ เชน่ 4 x, 10 x, 40 x และ 100 x ทาให้เกิดภาพจรงิ หวั กลับ

ส่วนประกอบท่ีสำคัญของกล้องจุลทรรศน์ ในกรณที ี่ใชเ้ ลนสใ์ กล้วัตถกุ าลังขยาย x100 ต้องใช้นา้ มันเป็นตัวกลางระหว่างเลนส์ และวตั ถุ จึงจะเหน็ ภาพ นอกจากน้ี ดา้ นขา้ งของเลนส์ใกลว้ ตั ถุมตี วั เลขแสดงคา่ N.A. (numerical aperture) กากับอยู่ (รปู ท่ี 1.2) ค่า N.A. (ความสามารถของเลนส์ท่รี วบรวมแสงทหี่ กั เหผา่ นวตั ถเุ ขา้ กลอ้ งมาก ท่ีสดุ ) มคี วามสัมพันธ์กบั resolving power ดงั น้ี R = resolving power λ = ความยาวคลน่ื แสง * ถ้า N.A. มคี า่ สงู resolving power มคี า่ น้อย แสดงว่ากล้องมีการแจกแจง รายละเอียดได้ดี

ส่วนประกอบทสี่ ำคญั ของกล้องจุลทรรศน์ 3.2 เลนส์ใกลต้ ำ (Eye piece) ขยายภาพสดุ ทา้ ยที่ไดจ้ ากเลนสว์ ตั ถใุ ห้เป็นภาพเสมือน หวั กลับโดยทงั่ ไปมีกาลงั ขยาย 10x หรอื 15 x 3.3 ส่วนที่ทำหน้ำท่ีปรับภำพ ประกอบด้วย ปุ่มปรบั ภาพ (adjustment knob) สาหรับปรบั ระยะหา่ งระหว่างวตั ถุกบั เลนส์ใกล้วัตถุ เพอ่ื ปรบั ภาพใหเ้ หน็ ชัด ซึง่ ระยะห่างทีท่ าให้เหน็ ภาพชัด เรยี กวา่ ระยะการทางานของกล้อง (working distance) หรอื ระยะโฟกัสของกล้อง ปุ่มปรบั ภาพดงั กลา่ วมี 2 ชนิด คอื ชนิดปรับภาพ หยาบ (coarse adjustment knob) และชนดิ ปรับภาพละเอียด (fine adjustment knob) 3.3.1 ปมุ่ ปรบั ภำพหยำบ (Coarse adjustment knob) ทาหนา้ ทป่ี รับภาพ โดยเปล่ียนระยะโฟกัสของเลนสว์ ัตถุ (เลอื่ นกระบอกกลอ้ งหรือ แท่นวางวัตถขุ ึน้ ลง) เพ่อื ทาใหเ้ หน็ ภาพ ได้ชดั เจน 3.3.2 ป่มุ ปรบั ภำพละเอยี ด (Fine adjustment knob) ทาหนา้ ท่ีปรบั ภาพ เชน่ เดยี วกบั ปุม่ ปรับภาพหยาบ แตช่ ่วงการเล่อื นสั้นกวา่ จึงทาใหส้ ะดวกและไดภ้ าพท่ีชัดเจนมากย่ิงข้นึ

ขนั้ ตอนกำรใช้กล้องจลุ ทรรศน์ มีดงั นี้ 1.ตง้ั กล้องจลุ ทรรศนบ์ นโตะ๊ ทม่ี น่ั คง แขง็ แรง ในสภาพที่เหมาะสมกับการศึกษา มแี สงสว่าง เพียงพอ โดยใหม้ รี ะดับความสงู ทพี่ อดี ไมต่ อ้ งก้ม หรอื เอียงตัวมากเกนิ ไป พรอ้ มกับจดั ท่ีน่งั ใหห้ มาะสม โดยไม่ตอ้ งเขยง่ ยืน หรอื ยดื ตวั ข้นึ -ลง 2. หมุน Objective อนั ทม่ี กี าลังขยายตา่ ทส่ี ดุ เขา้ ที่ หันกระจกเว้ารบั แสงสวา่ ง เปิด Iris diaphragm เตม็ ที่ ใหแ้ สงผ่านมากทส่ี ุด ตามองดทู ี่ Ocular lens มอื ขยบั กระจกรับแสง จนแสงสว่าง เขา้ สู่จอภาพดี (ไม่มีภาพอนื่ มารบกวน) 3.มองผ่านเลนส์ตา โดยลมื ตาทง้ั สองข้าง ถา้ เปน็ กลอ้ งชนดิ Binocular microscope ให้จับเลนสต์ าทง้ั สองแยกออกจากกันให้พอดีกับชว่ งกว้างของกระบอกตาของผใู้ ช้ ปรบั แสงให้เขา้ สู่ กล้อง ให้มีความสวา่ งทเ่ี หมาะสม โดยปรับกระจกด้านเวา้ หรอื คนั โยกของไอริสไดอะแฟรม วงกลมสวา่ งทเี่ หน็ ในกล้องจลุ ทรรศน์ เรียกว่า พ้นื ภาพ (Field of vision) บนพน้ื ภาพอาจเหน็ เส้นสดี า ซึ่งเรยี กว่า เขม็ ชี้ (Pointer) เสน้ น้จี ะชว่ ยใหช้ ถี้ ามสง่ิ ทีด่ ู 4.นาแผ่นสไลด์ซึง่ เตรยี มวัตถทุ ต่ี อ้ งการศกึ ษา และด้วยกระจกปดิ แผน่ สไลด์ ไว้เรียบร้อยแล้ว วางบนแทน่ วางสไลด์ กะใหว้ ัตถทุ ี่ตอ้ งการศึกษาอยบู่ นเลนส์รวมแสงของคอนเดนเซอร์พอดี หมุน Objective กาลงั ขยาย 4 เท่า เข้าที่ (ดงั กร๊กิ ) ใชม้ อื หมนุ Coarse adjustment อย่างชา้ ๆ ให้ Objective จรดลงสวู่ ัตถุมากทส่ี ดุ ขณะน้ีตามองอยู่ท่ี Objective ระวงั อย่าให้ Objective ชนแผ่นสไลด์ เพราะจะทาใหว้ ัตถเุ สียได้ 5.ค่อยๆ หมุน Coarse adjustment ข้นึ ทลี ะนอ้ ย ขณะน้ตี ามองที่ Ocular ใช้ตาซา้ ย มองท่ี Ocular สว่ นตาขวาอยา่ หลบั เพราะถ้าหลับตาขวาเสียข้างหนึง่ ท่านจะดกู ลอ้ งจุลทรรศน์ไปได้ ไม่นานจะเม่อื ย และปวดตามาก หดั ให้ชนิ โดยลืมตา ทัง้ 2 ขา้ ง เล่อื น Coarse adjustment ขึ้นจน สามารถเห็นภาพของวัตถปุ รากฏในจอภาพแบบรางๆ แล้วเปดิ หรอื หรี่ Diaphragm ตามสมควร ปรบั ภาพให้ชัดทีส่ ดุ ดว้ ย Fine adjustment

ขนั้ ตอนกำรใช้กล้องจลุ ทรรศน์ มีดงั นี้ 6.ถา้ ตอ้ งการขยายภาพวัตถใุ หโ้ ตกวา่ นี้ ก็ให้หมุน Revolving nosepiece ให้ Objective ทม่ี กี าลงั ขยายมากกวา่ เขา้ มาแทนท่ี มองดูจะเหน็ ภาพโตขึน้ แต่ยงั ไมช่ ดั ปรบั ให้ชัดดว้ ย Fine adjustment จนภาพชดั ทสี่ ุด หรี่ หรือเปิด Diaphragm จนแสงสวา่ งพอดกี บั ความตอ้ งการ หมายเหตุ ทกุ คร้ังที่ท่านหมนุ Coarse adjustment ลง ตาจะต้องอย่นู อก Ocular เสมอ ดรู ะวงั อย่าให้ Objective ชนแผ่นสไลด์ ซึง่ อาจทาให้แผน่ สไลดแ์ ตก และเลนส์วตั ถเุ สียหายได้ เน่อื งจากปลายของเลนสว์ ตั ถจุ ะอยชู่ ดิ กบั แผ่นสไลด์มาก 7.หัดใช้ตาซ้ายในการดภู าพใต้กล้องแบบ Monocular microscope และใชต้ าขวาในขณะท่ี วาดรปู ต้องฝึกลมื ตาทงั้ สองข้างขณะดภู าพใต้กล้อง จนติดเป็นนสิ ยั

ข้อควรระวงั อนื่ ๆ ในกำรใชก้ ลอ้ งจลุ ทรรศน์ เน่ืองจากกลอ้ องจลุ ทรรศนเ์ ปน็ อุปกรณ์ทีม่ รี าคาสงู และมสี ว่ นประกอบทอ่ี าจเสยี หายง่าย โดยเฉพาะเลนส์ จึงต้องใช้และเกบ็ รักษาด้วยความระมัดระวงั ให้ถกู วิธี ซึ่งมวี ิธปี ฏบิ ตั ดิ งั นี้ 1.เมอ่ื ยกกลอ้ งจลุ ทรรศนจ์ ากท่ีหนง่ึ ไปยังอีกท่ีหนึ่ง ตอ้ งยกให้กลอ้ งอยู่ในตาแหน่งท่ตี งั้ ตรงเสมอ โดยใชม้ อื ท่ถี นดั จบั ทีแ่ ขนของกลอ้ ง และใชฝ้ ่ามอื ของมืออกี ข้างรองรับทีฐ่ าน เพื่อปอ้ งกัน มิใหก้ ลอ้ งแกว่งไปมา จนหลุดตก 2.การวางกล้องตอ้ งคอ่ ยๆ วาง ไม่ให้กล้องกระแทกกับพ้ืนโตะ๊ และไมล่ ากกลอ้ งขณะท่วี างอยู่ บนพน้ื โตะ๊ 3.ไม่ใชม้ ือแตะเลนส์ การทาความสะอาดเลนสข์ องกล้อง ตอ้ งใช้กระดาษเชด็ เลนสเ์ ช็ดเท่านั้น หา้ มใช้ผ้า หรือกระดาษอยา่ งอ่ืนเช็ด วธิ เี ช็ดควรเชด็ ไปทางเดียวกัน และนอ้ ยครัง้ ทสี่ ุด ไม่ถูย้อนไปมา เพราะฝุ่นละอองตดิ อยู่บนกระดาษเช็ดเลนส์ จะไปบดกับเลนสท์ าใหเ้ กิดรอยขีดข่วนได้ 4.สไลดแ์ ละกระจกปดิ สไลดต์ ้องไมเ่ ปียก เพราะอาจทาให้แท่นวางเกิดสนมิ และทาใหเ้ ลนส์ใกล้ วัตถุชนื้ อาจเกดิ ราทเ่ี ลนส์ได้ 5.ขณะท่ตี ามองผ่านเลนส์ใกลต้ า เมอื่ จะต้องหมนุ ป่มุ ปรบั ภาพหยาบ ต้องหมุนขึน้ เทา่ น้ัน หา้ มหมุนลง เพราะเลนสใ์ กล้ตาอาจกระทบกระจกสไลด์ทาให้เลนส์แตกได้ 6.การหาภาพตอ้ งเรมิ่ ต้นด้วยเลนสว์ ัตถุกาลังขยายต่าสุดก่อนเสมอ เพราะปรับหาภาพสะดวก ท่สี ุด 7.เม่อื ใช้เสร็จแลว้ ตอ้ งเอาวัตถุที่ศกึ ษาออกเช็ดแทน่ วางวตั ถแุ ละเชด็ เลนสใ์ หส้ ะอาดหมนุ เลนส์ ใกลว้ ัตถกุ าลังขยายต่าสดุ ให้อยตู่ รงกับลากลอ้ ง และเลอ่ื นลากล้องลงต่าสดุ ปรบั กระจกให้อยใู่ นแนวตัง้ ไดฉ้ ากกับแท่นวางวัตถุเพอ่ื ไมใ่ ห้ฝุน่ ลงแลว้ เก็บใสก่ ลอ่ งหรือใสต่ ใู้ หเ้ รียบรอ้ ย

แหล่งอำ้ งองิ 1. Stereo microscope, http://www.microscope.com/education-center/ microscopes-101/stereo-microscope-parts/, 2015. 2. Olympus, http://www.alanwood.net/downloads/olympus-ch30-ch40-instructions.pdf, 2015. 3. Olympus, http://www.alanwood.net/downloads/olympus-st-hs-hsc-instructions.pdf, 2015. 4. กล้องจุลทรรศน์, http://classfifth53.darkbb.com/t6-topic, 2558. 5. กล้องจลุ ทรรศ์แบบใชแ้ สงttp://www.khu.ac.th/partda55/un1typelight.html#t22 6.ส่วนต่างๆ ของกล้องจุลทรรศน์. www.biology.sc.chula.ac.th/2303106/2303106BU.pdf 7.กลอ้ งจลุ ทรรศน์. https://www2.si.mahidol.ac.th/siriraj130years/media/timeline/441/2454_Microscope.pdf


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook