หน้า 1 คมู่ ือนักวิทยาศาสตร์ หลกั การใช้งานเครอ่ื งกล่นั ระเหยแบบหมนุ ภายใตร้ ะบบสญุ ญากาศ Rotary Evaporator โดย นายไพศาล เอื้อสนิ ทรพั ย์ นกั วิทยาศาสตร์ ศูนย์วิทยาศาสตรแ์ ละวิทยาศาสตรป์ ระยกุ ต์ มหาวิทยาลยั ราชภฏั หมู่บา้ นจอมบงึ 2563 ������������������������������������
หน้า 2 คานา คู่มือนักวิทยาศาสตร์ หลักการใช้เครื่องกลั่นระเหยแบบหมุน ภายใต้ระบบสุญญากาศ Rotary Evaporator ฉบับน้ี ใช้เป็นคู่มือปฏิบัติงานในตาแหน่งนักวิทยาศาสตร์ โดยใช้ร่วมกับเครื่อง Buchi Rotavapor R-300 ซ่ึงเครื่องตัวน้ีต้ังประจา ณ ห้องปฏิบัติการเครื่องมือเคมี อาคาร 5 ตึกวิทยาศาสตร์ สังกัดคณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึง จัดทาข้ึนเพ่ือให้เจ้าหน้าที่ อาจารย์ นักศึกษา ตลอดจนบุคคลที่เกี่ยวข้องใช้เป็นแนวทางปฏิบัติ เพื่อสนับสนุนการเรียนการสอน งานวจิ ัย และการบริการสังคมแกผ่ รู้ บั บรกิ าร อันได้แก่คณาจารย์ นิสิต นักศกึ ษา หรือบคุ คลอ่ืนท่ีเกี่ยวข้อง ทั้งและนอกคณะวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี หรอื บคุ คลภายนอกมหาวทิ ยาลัย ได้ยึดถือและปฏิบัติเพื่อให้ การทางานทีถ่ กู ตอ้ งและมีประสทิ ธิผลสูงสดุ หวังว่าคู่มือนักวิทยาศาสตร์ หลักการใช้เคร่ืองกลั่นระเหยแบบหมุนภายใต้ระบบสุญญากาศ Rotary Evaporator ฉบับน้ีจะเกิดประโยชน์อย่างยิ่งต่อการเรียนการสอนของอาจารย์ นักศึกษา และบุคลากรท่ีเก่ียวข้อง เพ่ือให้เกิดความม่ันใจในการใช้เครื่องมือได้อย่างถูกต้องและปลอดภัย สอดคล้องกับนโยบายและวตั ถปุ ระสงค์ของศนู ย์วิทยาศาสตร์และวิทยาศาสตรป์ ระยุกต์ คณะวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึง และผู้เขียนหวังเป็นอย่างย่ิงว่าคู่มือฉบับนี้จะเป็น ประโยชนอ์ ยา่ งสงู สุดแกอ่ งค์กรอีกด้วย ไพศาล เอ้อื สินทรัพย์
สารบญั หนา้ 3 คานา หน้า สารบญั 4 บทที่ 1 บทนา 5 1.1 ความเปน็ มา/ความจาเป็น/ความสาคัญ 5 1.2 วัตถุประสงคข์ องคมู่ อื 5 1.3 ประโยชน์ที่คาดว่าจะไดร้ ับ 5 1.4 ขอบเขตของค่มู ือปฏบิ ตั ิงาน 1.5 นิยามศัพท์ 6 6 บทที่ 2 โครงสร้างและหนา้ ที่ความรับผดิ ชอบ 7 2.1 โครงสรา้ งและหน้าที่ความรับผดิ ชอบ 7 ปรชั ญา ปณิธาน วิสยั ทัศน์ อัตลกั ษณ์ เอกลกั ษณ์ 8 พันธกิจ 9 ประเดน็ ยุทธศาสตร์ 10 โครงสรา้ งองค์กร (Organization Chart) 13 โครงสรา้ งของการบรหิ าร (Administration Chart) 14 โครงสรา้ งการปฏบิ ตั งิ าน (Activity Chart) 14 2.2 ภาระหน้าทขี่ องหนว่ ยงาน 2.3 บทบาทหนา้ ท่ีความรับผิดชอบของตาแหนง่ 15 2.4 ลกั ษณะงานที่ปฏบิ ตั ิ 15 19 บทที่ 3 หลกั เกณฑ์การปฏบิ ัติงาน วิธีการปฏิบตั ิงาน และเงื่อนไขการปฏบิ ัตกิ าร 23 3.1 หลกั เกณฑ์การปฏบิ ัติงาน 3.2 วธิ ีการปฏบิ ัตงิ าน/วิธกี ารคานวณ/วิธกี ารวิเคราะห์ 27 3.3 เงอ่ื นไข/ข้อสงั เกต/ข้อควรระวงั /สงิ่ ท่คี วรคานึงในการปฏิบตั งิ าน 28 3.4 แนวคดิ และงานวิจยั ทีเ่ กี่ยวข้อง 37 37 บทที่ 4 เทคนิคในการปฏิบัตงิ านและการนาคูม่ ือไปใช้ 4.1 เทคนิคในการปฏิบัติงานและการนาคู่มือไปใช้ 38 4.2 ขั้นตอนการปฏบิ ตั งิ านและวธิ กี ารปฏบิ ัติแตล่ ะข้ันตอนโดยละเอยี ด 38 4.3 วิธีการติดตามและประเมินผลการปฏิบัติงาน 39 4.4 จรรยาบรรณ/จริยธรรมในการปฏิบตั งิ าน 40 บทท่ี 5 ตวั บ่งชคี้ วามสาเร็จของการทางานแตล่ ะขัน้ ตอน ผลการทดลองใช้คมู่ ือ 41 5.1 ผลการทางานตามตวั บง่ ชี้โดยเปรยี บเทยี บก่อน/หลังใชค้ มู่ อื 49 5.2 อภปิ รายผลและให้ข้อเสนอแนะในการนาคมู่ ือไปใช้และการพัฒนางาน 5.3 ปัญหาอุปสรรคในการปฏิบัติงาน บรรณานกุ รม ภาคผนวก ประวัติผู้เขียน
หน้า 4 บทที่ 1 บทนา 1.1 ความเปน็ มา/ความจาเป็น/ความสาคัญ ศูนย์วิทยาศาสตร์และวิทยาศาสตร์ประยุกต์ คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ได้มุ่งเน้น ให้คนมีคุณภาพด้านวิทยาศาสตร์และวิทยาศาสตร์ประยุกต์ โดยเป้าหมายคือการเป็นศูนย์ที่ให้บริการ ทางวิชาการด้านวิทยาศาสตร์และวิทยาศาสตร์ประยุกต์ที่มีคุณภาพ และพัฒนาการบริการทางวิชาการ ด้านวิทยาศาสตร์และวิทยาศาสตร์ประยุกต์แก่สถาบันและท้องถ่ินให้มีคุณภาพ ดังน้ัน การบริการจะมี ประสิทธิภาพไปไม่ได้หากทางศูนย์วิทยาศาสตร์และวิทยาศาสตร์ประยุกต์ ไม่ได้รับการสนับสนุน จากข้าราชการสายวิชาการและสายสนับสนุน และเน่ืองจากทางศูนย์วิทยาศาสตร์และวิทยาศาสตร์ ประยุกต์ เป็นหน่วยงานหนึ่งของมหาวิทยาลัยทางด้านวิทยาศาสตร์ จึงมีความจาเป็นอย่างย่ิงท่ีต้องมี นักวิทยาศาสตร์คอยช่วยเหลือและสนับสนุนการเรียนการสอนให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น การปรับปรุง โครงสร้างตาแหนง่ ขา้ ราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษา ตามพระราชบัญญัติระเบียบราชการพลเรือน ในสถาบันอุดมศึกษา พ.ศ. 2547 มาตรา 18 (ค) ได้กาหนดตาแหน่งนักวิทยาศาสตร์เป็นตาแหน่งกลุ่ม สายงานท่ีเป็นตาแหน่งเช่ียวชาญเฉพาะ ปฏิบัติหน้าที่สนับสนุนการเรียนการสอน ซ่ึงเป็นภารกิจหลัก ของสถาบันอุดมศึกษาโดยตาแหน่งนักวิทยาศาสตร์ ประจาอาคาร 5 ตึกวิทยาศาสตร์ ได้รับการบรรจุ แต่งต้ังต้ังแต่วันท่ี 1 มิถุนายน พ.ศ. 2554 เป็นต้นมา ซึ่งสังกัดคณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดยบทบาทหนา้ ที่รับผดิ ชอบคือ 1) การเตรียมความพร้อมของห้องปฏิบัติการทางวิทยาศาสตร์ เครื่องมือ สารเคมี วัสดุ หรอื อปุ กรณ์ต่างๆ ของหอ้ งปฏบิ ัติการทางวิทยาศาสตร์ ใหส้ ามารถใชง้ านไดต้ ลอดเวลา 2) การควบคุม ดูแล รักษา การใช้ห้องปฏิบัติการทางวิทยาศาสตร์ เครื่องมือ สารเคมี วัสดุ อุปกรณ์ตา่ งๆ 3) การบรกิ ารการเรยี นการสอนทางวิทยาศาสตรใ์ นรายวิชาตา่ งๆ รวมไปถึงงานวิจยั 4) การศกึ ษาคน้ ควา้ วิเคราะห์ วิจัย ความรใู้ หมๆ่ 5) การเป็นผูช้ ่วยสอนในบทปฏบิ ตั ิการทางวิทยาศาสตร์ 6) การบริการสังคม และ งานอื่นๆ ท่ีได้รับมอบหมาย โดยผู้รับบริการ ได้แก่ คณาจารย์ นกั ศกึ ษา หรอื บุคคลที่เก่ยี วข้องทัง้ ในและนอกมหาวทิ ยาลัยฯ จากเหตุผลดงั กล่าวข้างต้น ผ้เู ขียนจงึ เขียนคู่มอื นกั วิทยาศาสตร์ หลักการใช้งานเครื่องกล่ันระเหย แบบหมุน ภายใต้ระบบสุญญากาศ Rotary Evaporator เพื่อให้อาจารย์และนักศึกษาถือเป็นแนวปฏิบัติ ในการเข้ามาใช้บริการเครื่องมือทางด้านวิทยาศาสตร์ จะได้เกิดความสะดวก รวดเร็ว และถูกต้องในการ ขอรบั บรกิ าร
หน้า 5 1.2 วตั ถุประสงค์ของคู่มอื เพ่ือใช้เป็นคู่มือปฏิบัติงานของนักวิทยาศาสตร์และผู้รับบริการ ซ่ึงได้แก่ อาจารย์ บุคลากร และนักศกึ ษา ได้เกดิ ความม่ันใจในการใช้เคร่อื งมอื ทถี่ ูกต้องมีคุณภาพและมีความปลอดภัย สามารถศึกษา ข้อมูลเพอ่ื แกไ้ ขปัญหาเฉพาะหน้าเบื้องตน้ ได้ รวมไปถึงขั้นตอนการดูแล รักษา ทาความสะอาดเบื้องต้นได้ และเพื่อให้สอดคล้องกับนโยบาย และวัตถุประสงค์ของศูนย์วิทยาศาสตร์และวิทยาศาสตร์ประยุกต์ คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยราชภฏั หมบู่ ้านจอมบงึ 1.3 ประโยชน์ทค่ี าดว่าจะไดร้ บั อาจารย์ บุคลากร และนักศึกษา มีแนวทางในการใช้เครื่องกลั่นระเหยแบบหมุน ภายใต้ระบบ สุญญากาศ Rotary Evaporator ทถ่ี กู ตอ้ งและปลอดภยั มีข้ันตอนการดูแล รักษาทาความสะอาดท่ีถูกต้อง เพ่ือเป็นการถนอมเครื่องมือและยืดอายุการ ใชง้ าน 1.4 ขอบเขตของคมู่ ือปฏิบตั งิ าน คู่มือนักวิทยาศาสตร์ หลักการใช้งานเครื่องกล่ันระเหยแบบหมุน ภายใต้ระบบสุญญากาศ Rotary Evaporator สาหรับเครื่อง Buchi Rotavapor รุ่น R-300 เป็นคู่มือปฏิบัติงานในตาแหน่ง นกั วทิ ยาศาสตร์ ซ่งึ เป็นสว่ นหน่ึงในสงั กัดคณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ให้บริการแก่อาจารย์ นักศึกษา และบุคลากรทเี่ กย่ี วข้อง 1.5 นิยามศพั ท์ “การกลั่น” หมายถึง กระบวนการทางเคมีในการแยกของเหลว 2 ชนิดหรือมากกว่าโยอาศัย คุณสมบัติจุดเดือดที่ต่างกัน เมื่อให้ความร้อนกับของเหลวจนถึงอุณหภูมิจุดเดือด สารชนิดน้ันจะระเหย ออกมาเป็นไอ ผ่านท่อทม่ี กี ารลดอุณหภมู ิทาให้เกดิ การควบแน่น กลับมาเปน็ ของเหลวอกี คร้งั “Solvent” หมายถึง ตัวทาละลาย ตัวอย่างท่ีเราคุ้นเคยมากสุดและใช้ในชีวิตประจาวันคือ น้า นอกจากนี้ยังใช้ Ethanol Acetone Dichloromethane และสารอน่ื ๆ เปน็ Solvent ได้ “Condenser” หมายถึง อุปกรณ์ท่ีใช้ในกระบวนการกลั่น มีหน้าที่ทาให้ไอของสารควบแน่น กลั่นตัวเปน็ ของเหลว “B-300 Base” หมายถงึ อ่างให้ความรอ้ นควบคมุ อุณหภมู ิ สามารถจนุ า้ ได้ 5 ลติ ร “Interface I-300” หมายถึง ชุดควบคุมการทางานหลักของตัวเครื่องกลั่นระเหยแบบหมุน ภายใต้ระบบสุญญากาศ Rotary Evaporator “ฟลาสก์ (Evaporating Flask)” หมายถึง ขวดระเหยใช้งานร่วมกับเคร่ืองกล่ันระเหยแบบหมุน ภายใต้ระบบสุญญากาศ มีลักษณะเปน็ ขวดทรงหยดนา้ ก้นขวดกลม มีหลายขนาดความจุใหเ้ ลอื กใช้
หน้า 6 บทที่ 2 โครงสรา้ งและหน้าท่ีความรบั ผิดชอบ 2.1 โครงสรา้ งหนว่ ยงาน (องคก์ ร/การบริหาร/การปฏิบตั งิ าน) คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ได้จัดทากรอบโครงสร้างองค์กร และโครงสร้างการบริหาร รวมถึงบทบาทหน้าท่ีและภาระของหน่วยงานขึ้น เพ่ือเป็นประโยชน์ในการบริหารงานราชการให้เป็นไป ตามวตั ถุประสงคข์ องมหาวทิ ยาลัยราชภฏั หมบู่ า้ นจอมบึง ปรัชญา ปณธิ าน วิสยั ทศั น์ อัตลักษณ์ เอกลกั ษณ์ และพันธกิจของคณะวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี ปรัชญา (Philosophy) “สร้างคนใหม้ ีคุณค่าด้วยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเพอื่ การพฒั นาทีย่ ัง่ ยืน” ปณธิ าน (Determination) คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมุ่งผลิตบัณฑิตด้านวิทยาศาสตร์ ด้านเทคโนโลยี และ ด้านการศึกษาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ให้มีความรู้ความเชี่ยวชาญในการปฏิบัติงาน มีคุณธรรม จริยธรรม มีความใฝ่ดี ใฝ่รู้ สู้งาน ให้บริการวิชาการ วิจัยสร้างสรรค์และพัฒนาองค์ความรู้ เพ่ือสนอง ตอ่ ทอ้ งถ่นิ อย่างย่ังยืน วสิ ยั ทศั น์ (Vision) เป็นองค์กรที่สร้างคนสร้างงานให้มีคุณค่าและพัฒนางานด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ใหเ้ ปน็ เลศิ สู่สังคมและประชาคมอาเซียน อตั ลกั ษณ์ ใฝ่ดี ใฝ่รู้ สู้งาน ใฝด่ ี : มคี ณุ ธรรม จริยธรรมและจรรยาบรรณในวชิ าชีพ ใฝ่รู้ : ศกึ ษา ค้นควา้ หาความรู้ใหม่ๆ รูเ้ ทา่ ทนั การเปลย่ี นแปลงของโลก ส้งู าน : ขยัน อดทน กระตือรือรน้ มนี ้าใจ เอกลกั ษณ์ เป็นแหล่งวิทยาการด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในภูมิภาคตะวันตก (ค่ายวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี, ครูพันธุ์บึง)
หน้า 7 พันธกิจ (Mission) 1. จัดการศึกษาเพ่ือสร้างและพัฒนาบัณฑิตด้านวิทยาศาสตร์ ด้านเทคโนโลยีและด้านการศึกษา วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีให้บรรลุมาตรฐานการเรียนรู้ตามกรอบมาตรฐานคุณวุฒิระดับอุดมศึกษา แห่งชาติ 2. วิจัยเพื่อสร้างสรรค์นวัตกรรม พัฒนาองค์ความรู้ บูรณาการในการเรียนการสอน การบริการ วิชาการ ต่อทอ้ งถน่ิ 3. ให้บริการวิชาการในเชิงรุก เพื่อให้ท้องถิ่นและสังคมได้ใช้ประโยชน์และตระหนักถึงบทบาท ของวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ต่อการพัฒนาเศรษฐกิจ สังคมและสิ่งแวดล้อมของท้องถ่ินตาม แนวปรชั ญาเศรษฐกิจพอเพียงและตอบสนองโครงการอนั เนื่องมาจากพระราชดาริ 4. สง่ เสรมิ และทานบุ ารุงศลิ ปวฒั นธรรมไทย 5. พัฒนาระบบบริหารจัดการและทรัพยากรให้มีประสิทธิภาพ เป็นธรรม โปร่งใส และ ตรวจสอบได้ ประเดน็ ยทุ ธศาสตร์ ยุทธศาสตร์ที่ 1 : มุ่งเน้นการผลิตและพัฒนาบัณฑิตที่มีคุณภาพตามาตรฐานวชิ าชพี ยทุ ธศาสตร์ท่ี 2 : ส่งเสรมิ สนบั สนุนงานวจิ ัยและผลักดันสูร่ ะบบสากล ยทุ ธศาสตรท์ ่ี 3 : บริการทางวิชาการเพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งของชุมชน และเสริมสร้าง ความเข้มแข็งของวชิ าชพี ยุทธศาสตรท์ ่ี 4 : ทานบุ ารงุ สืบสานและเผยแพร่ศิลปวฒั นธรรมท้องถิ่น ยุทธศาสตร์ท่ี 5 : พัฒนาระบบบริหารจัดการให้มีคุณภาพและสามารถเช่ือมโยงกับหน่วยงาน ภายนอก ได้อย่างมปี ระสทิ ธิภาพ
หน้า 8 โครงสรา้ งองคก์ ร (Organization Chart)
หน้า 9 โครงสร้างของการบริหาร (Administration Chart)
หน้า 10 โครงสร้างการปฏิบตั งิ าน (Activity Chart) ภาพท่ี 1 ขั้นตอนการขอใช้ห้องปฏิบัติการทางวิทยาศาสตร์ เครื่องมือ สารเคมี วัสดุ หรืออุปกรณ์ต่างๆ ของหอ้ งปฏบิ ตั กิ ารทางวทิ ยาศาสตร์ โดยคณาจารย์ นกั ศึกษา ในคณะวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี
หน้า 11 ภาพที่ 2 ขั้นตอนการขอใช้ห้องปฏิบัติการทางวิทยาศาสตร์ เครื่องมือ สารเคมี วัสดุ หรืออุปกรณ์ต่างๆ ของห้องปฏิบตั กิ ารทางวทิ ยาศาสตร์ โดยคณาจารย์ นกั ศกึ ษา ภายนอกคณะวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี
หน้า 12 ภาพที่ 3 ขั้นตอนการขอใช้บริการด้านการเรียนการสอน การทาปัญหาพิเศษ ของคณาจารย์ นักศึกษา ในคณะวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี และขอใหน้ ักวทิ ยาศาสตรเ์ ปน็ ผชู้ ่วยสอน
หน้า 13 2.2 ภาระหนา้ ที่ของหน่วยงาน คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เป็นส่วนราชการหนึ่งในมหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึง ทต่ี ง้ั ขนึ้ ตาม พระราชบัญญัตสิ ถาบนั ราชภัฏ พ.ศ. 2538 ซง่ึ มคี วามเปน็ มาดังนี้ - พ.ศ. 2518 เปล่ียนจากหมวดวิชาเป็นคณะวิทยาศาสตร์ตามพระราชบัญญัติ วิทยาลัยครู 2518 ซ่ึงคณะวิทยาศาสตร์ประกอบด้วย 9 ภาควิชา ดังน้ี ภาควิชาเคมี ชีววิทยา ฟิสิกส์ วิทยาศาสตร์ ทั่วไป สุขศึกษา คณิตศาสตร์ เกษตรศาสตร์ คหกรรมศาสตร์ หัตถศึก ษาและอุตสาหกรรม และปี พ.ศ. 2521 ขยายเปิดสอนระดับปริญญาตรี หลักสูตร 2 ปีหลัง สาขาการศึกษาวิชาเอก วิทยาศาสตรท์ ว่ั ไป และคณิตศาสตร์ - พ.ศ. 2528 คณะวิทยาศาสตร์เปล่ียนเป็นคณะวิชาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ตามพระราชบัญญัติวิทยาลัยครู 2518 (ฉบับท่ี 2) แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. 2527 จึงมีการ ขยายการเปิดสอน สาขาวทิ ยาศาสตร์ ระดบั อนุปริญญา และปริญญาตรีสาขาการศึกษา - พ.ศ. 2542 ได้มีการปรับเปล่ียนโครงสร้างบริหารจากภาควิชาเป็นโปรแกรมวิชา ประกอบด้วย 10 โปรแกรมวิชา และมีศูนย์วิทยาศาสตร์และวิทยาศาสตร์ประยุกต์ซ่ึงเป็นศูนย์ส่งเสริม สนับสนุนการผลิตบัณฑิตสาขาวิทยาศาสตร์และสาขาการศึกษาและบริการชุมชน รวมทั้งงานวิจัย ทางวทิ ยาศาสตรท์ ี่อย่ภู ายใตก้ ารบรหิ ารของคณะวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี - พ.ศ. 2545 คณะวิทยาศาสตร์มีโครงสร้างการบริหารเป็นโปรแกรมวิชาในการ ผลิตบัณฑิต สาขาวิทยาศาสตร์ ประกอบด้วย 6 โปรแกรมวิชา ดังนี้ โปรแกรมวิชาเกษตรศาสตร์ เคมี ชีววิทยา ประยุกต์ วิทยาการคอมพิวเตอร์ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีการอาหาร และเทคโนโลยีอุตสาหกรรม สว่ นการผลติ บัณฑติ สาขาการศึกษานัน้ คณะวิทยาศาสตร์รว่ มผลติ บัณฑิตกบั คณะครศุ าสตร์ ปัจจุบันคณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มีโปรแกรมวิชาที่เปิดสอนในสังกัดคณะ จานวน 9 สาขาวิชา ดังนี้ - หลักสูตรครุศาสตรบณั ฑิต (ค.บ.) สาขาวชิ าคณติ ศาสตร์ 5 ปี - หลักสตู รครศุ าสตรบณั ฑิต (ค.บ.) สาขาวชิ าคอมพิวเตอร์ศึกษา 5 ปี - หลกั สตู รครุศาสตรบณั ฑิต (ค.บ.) สาขาวชิ าฟสิ ิกส์ 5 ปี - หลกั สตู รครุศาสตรบณั ฑิต (ค.บ.) สาขาวิชาวิทยาศาสตร์ท่ัวไป 5 ปี - หลักสตู รครุศาสตรบณั ฑิต (ค.บ.) สาขาวิชาชีววทิ ยา 5 ปี - หลกั สตู รวทิ ยาศาสตรบณั ฑิต (วท.บ.) สาขาวิชาเทคโนโลยแี ละนวตั กรรมคอมพวิ เตอร์ 4 ปี - หลกั สูตรวทิ ยาศาสตรบณั ฑิต (วท.บ.) วิทยาการเคมี 4 ปี - หลักสตู รวทิ ยาศาสตรบัณฑิต (วท.บ.) สาขาวชิ าเทคโนโลยีการแปรปู อาหาร 4 ปี - หลักสูตรวทิ ยาศาสตรบัณฑิต (วท.บ.) สาขาวิชาสตั วศาสตร์ 4 ปี
หน้า 14 2.3 บทบาทหนา้ ท่คี วามรบั ผดิ ชอบของตาแหน่ง 1. จัดทาระบบบริการการใช้หอ้ งปฏิบตั ิการ สาขา ฟิสกิ ส์ เคมี ชวี วทิ ยา 2. จัดเตรียมเครื่องมือ อุปกรณ์ เคมีภัณฑ์ และตัวอย่างสด ท่ีใช้ทาการทดลองในห้องปฏิบัติการ ให้แก่นักศึกษา อาจารย์ และผู้ขอรับการบริการในรายวิชาต่างๆ ท่ีเก่ียวข้องกับวิทยาศาสตร์ โดยเฉพาะ เครอื่ งมือ อุปกรณ์ เคมีภณั ฑ์ ทีอ่ ยทู่ ่ตี กึ 5 3. จัดเตรียมเครื่องมือ อุปกรณ์ เคมีภัณฑ์ และตัวอย่างสดท่ีใช้ทาการทดลองในห้องปฏิบัติการ ในกรณี ที่จัดอบรมต่างๆ การทาค่ายวิทยาศาสตร์ รวมไปถึงการบริการวิชาการ ของสาขา ฟิสิกส์ เคมี ชีววิทยา 4. จัดเก็บดูแล บารุงรักษาอุปกรณ์เครื่องมือ เครื่องใช้ และเคมีภัณฑ์ในห้องปฏิบัติการให้พร้อม ในสภาพใช้งาน 5. ควบคุมดูแล การใช้เคร่ืองมือและอุปกรณ์ในการเรียนการสอนของนักศึกษา ตลอดระยะเวลา ของการใช้งาน 6. จดั ทารายงานผลการใหบ้ ริการเครอื่ งมอื อุปกรณ์ เคมภี ัณฑ์ และการใช้ห้องปฏบิ ัติการ 7. จดั ทาบัญชรี ายการวสั ดุอุปกรณ์ เคมภี ัณฑ์ ครุภณั ฑป์ ระจาห้องปฏิบตั กิ าร 8. แนะนาวิธกี ารใช้เคร่ืองมอื และอปุ กรณ์ในหอ้ งปฏบิ ัตกิ ารใหก้ บั นักศึกษาและผสู้ นใจทัว่ ไป 9. ประสานงานกับช่างผู้ชานาญการในการซ่อมบารุงอุปกรณ์และเคร่ืองมือในห้องปฏิบัติการ ทางฟิสิกส์ เคมี ชวี วทิ ยา โดยเฉพาะท่ตี กึ 5 10. อานวยความสะดวกในการใช้อุปกรณ์และเคร่ืองมือในห้องปฏิบัติการ ให้กับนักศึกษา และผู้สนใจท่ัวไป 11. ควบคมุ ดูแลรักษา หอ้ งพิพธิ ภณั ฑ์สตั ว์ และสัตว์ดอง 12. ดูแลรกั ษาพนั ธไ์ุ มท้ ่ีใช้ในการเรียน การสอนภายในโรงเรอื นต้นไม้ของสาขาชีววิทยา 13. ปฏิบตั งิ านช่วยรวบรวมขอ้ มลู งานวิจัยเบ้ืองต้น 2.4 ลกั ษณะงานท่ีปฏบิ ตั ิ ปฏิบตั งิ านในฐานะผู้ปฏิบัติงานระดับท่ีต้องใช้ความรู้ความสามารถทางวิชาการด้านวิทยาศาสตร์ ในการทางาน และปฏิบัติงานเกี่ยวกับด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สาขาต่างๆ เช่นการวิเคราะห์ วัตถุดิบ แร่ธาตุ อาหาร และผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม การวิจัยทรัพยากรธรรมชาติเกษตรกรรมการวิจัย เรื่องการถนอมอาหาร เป็นต้น และปฏิบัติงานอ่ืนตามที่ได้รับมอบหมาย รวมทั้งมีส่วนร่วมในการ ดาเนนิ งานวจิ ัยเกี่ยวกบั ดา้ นวทิ ยาศาสตร์
หน้า 15 บทท่ี 3 หลกั เกณฑ์การปฏิบัตงิ าน วิธีการปฏิบัติงาน และเงื่อนไขการปฏิบัตกิ าร 3.1 หลกั เกณฑ์การปฏิบตั ิงาน หลักเกณฑ์การปฏิบัติงานอ้างอิงจากพระราชบัญญัติและกฎกระทรวงท่ีเกี่ยวกับการใช้เครื่องมือ หรือสารเคมที างวิทยาศาสตร์เพื่อความปลอดภัย - พระราชบัญญัติ ควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 - พระราชบัญญตั ิ ควบคุมยุทธภณั ฑ์ พ.ศ. 2530 - พระราชบัญญตั ิ วตั ถุอันตราย พ .ศ. 2535 - พระราชบญั ญัติ วัตถุอนั ตราย (ฉบบั ที่ 2) พ.ศ. 2544 - พระราชบญั ญัติ วตั ถุอนั ตราย (ฉบบั ที่ 3) พ.ศ. 2551 - พระราชบัญญัติ ความปลอดภยั อาชีวอนามยั และสภาพแวดลอ้ มในการทางาน พ.ศ. 2554 - กฎกระทรวง กาหนดมาจรฐานในการบริหาร จัดการ และดาเนินการด้านความปลอดภัย อาชวี อนามัย และสภาพแวดลอ้ มในการทางานเก่ียวกบั การปอ้ งกันและระงบั อัคคีภัย พ.ศ. 2555 3.2 วธิ ีการปฏบิ ัติงาน/วธิ กี ารคานวณ/วิธีการวเิ คราะห์ 1. วธิ ีการปฏิบัตงิ าน 1.1 เปดิ เคร่ืองทาความเยน็ หมนุ เวียน (recirculating Chiller), อ่างให้ความร้อน และตั้งอุณหภูมิ ทต่ี ้องการ ก่อนการใชง้ านประมาณ 15 นาทีถึงครึง่ ช่ัวโมง 1.2 นาตัวอย่างบรรจุในฟลาสก์ใส่สารตัวอย่าง (หมายเลข 3) (evaporating flask) และต่อเข้า กับ vapor duct (หมายเลข 2) ที่เคร่ือง Rotavapor และหมุน combi clip (หมายเลข 1) ข้ึนในทิศทาง ยอ้ นเขม็ นาฬิกาอยา่ งเหมาะสม และประกอบขวดรองรับสารตวั อยา่ ง (receiving flask) 1.3 ปรับมุม (immersion angle) ของฟลาสก์ใส่สารตัวอย่างในอ่างให้ความร้อนตามความ เหมาะสม โดยกดปุ่มหมายเลข 2 ค้างไว้ พร้อมใช้มืออีกข้างประคองมอเตอร์และขวดกล่ัน และปล่อยปุ่ม ดังกล่าวเมื่อได้มุมที่เหมาะสม โดยมุมที่แนะนาหรับฟลาสก์ขนาด 1 ลิตร คือมุม 25° หรือคอนเดนเซอร์ อย่ใู นรปู ตั้งตรง (vertical)
หน้า 16 1.4 ปรบั Handle lift manual หรือ auto เพ่ือเลื่อนฟลาสก์ใส่สารตัวอย่างตามความเหมาะสม และกดปุ่ม stop-position ค้างไว้ (ดูวิธีการต้ังค่าได้จากการใช้งาน Rotavapor R-300 ข้อท่ี 4 หน้า 18) เพื่อเซตค่าระดับความสูงของฟลาสก์ใส่สารตัวอย่างให้เหมาะสมกับการใช้งานและขนาดของ Evaporation flask 2. การกลั่นระเหยส่ังงานผ่าน Interface I-300 2.1 เปิดปั๊มลดความดัน V-300 และเลือก mode การทางานเช่น manual mode, time mode, drying mode และ AutoDest (กรณีต่ออุปกรณเ์ ซนเซอร์การกลนั่ อัตโนมัต)ิ 2.2 ต้ังคา่ พารามิเตอรต์ ่างๆ โดยผ่าน Interface I-300 2.2.1 ตั้งค่าความดัน, ความเร็วรอบของ evaporating flask และอุณหภูมิอ่างให้ ความร้อน โดยหมุน knob ท่ี Interface จะแสดงแถบสีเขียว เลื่อนไปยังพารามิเตอร์ที่ต้องการตั้งค่า กดปุ่ม push knob ปรับค่าตามความเหมาะสม หน้าจอจะแสดงแถบสีดา และกดปุ่ม push start knob เพอ่ื ย่ืนยนั
หน้า 17 2.2.2 กด start ที่ Interface โดย Rotary drive จะเลื่อนตัวลงโดยอัตโนมัติ (ในกรณี ที่ต้ังค่าไว้) ฟลาสก์ใส่สารตัวอย่างจะเล่ือนตัวลง ฟลาสก์จะหมุนโดยอัตโนมัติและปั๊มสุญญากาศเร่ิมลด ความดันลงตามค่าทตี่ ้งั ไว้ (หน้าจอแสดงสาดา แสดงสถานการณ์กลั่นระเหยสาร) (การตงั้ ค่าพารามเิ ตอร์จะใช้หลกั ความแตกตา่ งอณุ หภมู ิ 20 องศาเซลเซียส) T3 (∆T=min 20 องศา) T2 (∆T=min 20 องศา) T1 ตัวอยา่ งเช่น - ตัง้ คา่ อณุ หภูมิอ่างให้ความร้อน = 60 องศาเซลเซยี ส - ค่าอณุ หภมู ิไอของสารตัวอย่าง = 40 องศาเซลเซียส - อณุ หภมู นิ า้ หล่อเย็น = 20 องศาเซลเซียส หมายเหตุ : กรณีใช้โหมด solvent library เคร่ืองจะทางานด้วยระบบไดนามิคแบบอัตโนมัติ กล่าวคือ ตัวเครื่องจะเริ่มการทางานทันทีเม่ือกดปุ่ม start ท่ี Interface ในโหมด solvent library ทั้งน้ี ไม่จาเป็นต้อง warm up อ่างให้ความร้อน หรือ cool down เคร่ืองทาความเย็นระบบหมุนเวียน (กรณีใช้เคร่ืองทาความเย็นยี่ห้อ Buchi) นอกจากน้ันระบบจะปรับค่าความดันให้เหมาะสมกับอุณหภูมิ ณ ขณะน้นั ๆ อยา่ งอตั โนมตั ิ
หน้า 18 2.3 ถ้าต้องการเปลี่ยนค่าความดันระหว่างการทางานหรือปรับค่าพารามิเตอร์อื่นๆ ให้หมุน knob ท่ี Interface มาที่ค่าพารามิเตอร์น้ัน และกดปุ่ม push start ปรับค่าตามความเหมาะสม และกดปุ่ม push start เพือ่ ยื่นยนั 2.4 ถ้าระหว่างการกลั่นระเหย สารตัวอย่างเกิด bump หรือ foaming ต้องการระบายอากาศ เข้ามาในระบบ ให้กด AERATE โดยหน้าจอจะแสดงแถบสีเหลืองข้ึน เม่ือต้องการกลับไปลดความดัน ต่อให้เกดิ HOLD OFF ปัม๊ จะเร่มิ ลดความดนั ไปยงั ค่าที่ต้ังไว้ 2.5 เม่ือส้ินสุดการทางาน (หน้าจอจะแสดงสีขาว) เม่ือส้ินสุดการทางาน กดปุ่ม stop ท่ี Interface, Rotary drive จะยกตัวข้ึนอัตโนมัติ ฟลาสก์ใส่สารตัวอย่างจะยกข้ึนอัตโนมัติ ฟลาสก์ จะหยดุ หมนุ และป๊มั สญุ ญากาศจะหยุดการทางานและคลายความดันออก 2.6 ถอดฟลาสก์ใส่สารตัวอย่างออก โดยหมุน combi clip ลงในทิศทางตามเข็มนาฬิกา พรอ้ มยกคลปิ ส่วนทล่ี อ๊ คกับปากขวด Evaporation flask สเี ทา ขึ้นเลก็ นอ้ ย 2.7 เมอ่ื เริ่มทาการระเหยตวั อย่างต่อไป ให้ทาซา้ เชน่ เดิมจากขอ้ 1.1–1.4 และ 2.1–2.6 อีกครัง้ 2.8 กรณีมกี ารใช้ AutoDest sensor หรอื ต่ออปุ กรณ์เซนเซอร์การกลนั่ อตั โนมตั ิ (หมายเลข 1, 2 และ 3) สามารถกด start เร่มิ การกล่ันระเหยไดท้ นั ทีหลังจาก warm อุณหภูมิอ่างให้ความร้อนและ cool down อุณหภูมิเคร่ืองทาความเย็นระบบหมุนเวียน ท้ังน้ีเคร่ืองจะจับอุณหภูมิของน้าหล่อเย็นขาเข้า ขาออก และอุณหภมู ิไอของสารในขวด Evaporation flask แบบอัตโนมัติ หมายเหตุ : 1. โพรบวดั ไอสาร (vapor temperature sensor) 2. เซนเซอรต์ รวจจบั (AutoDest sensor) 3. สายเชอื่ มตอ่ ระหว่าง AutoDest Sensor และ VacuBox 4. Cooling Condenser 5. ทอ่ ต่อนา้ เยน็ ขาเขา้ 6. ทอ่ ต่อนา้ เยน็ ขาออก 2.9 กรณีมีการใช้งาน Foam Sensor หรือโพรบตรวจจับโฟมอัตโนมัติ (หมายเลข 1) จะใช้ใน กรณีท่ีตัวอย่างมีลักษณะเป็นฟอง (Foaming หรือ Bumping) เพื่อการลดฟองอากาศในขวดระเหยสาร เปน็ การป้องกันการปนเป้ือนข้าม โดยเมื่อฟองตัวอย่างมากระทบกับเซนเซอร์ที่อยู่ภายในอุปกรณ์ Foam sensor ตัวเครอื่ งจะเพม่ิ ความดนั อัตโนมตั เิ พือ่ ลดฟองอากาศ โดยการทางานสามารถเข้าสู่โหมด Manual ตามข้อ 2.1-2.3 เพื่อการทางาน และในระหว่างปฏิบัติงานตัวเคร่ืองจะตรวจจับโฟมหรือฟองอากาศ แบบอตั โิ นมตั โิ ดยทไี่ มต่ ้องต้งั คา่ ใด
หน้า 19 3.3 เงอื่ นไข/ข้อสังเกต/ขอ้ ควรระวัง/สง่ิ ทีค่ วรคานงึ ในการปฏบิ ัติงาน ข้อควรระวงั ควรจดั การชนิ้ ส่วนทเ่ี ป็นแก้วอยา่ งระมัดระวงั เบามอื และนุ่มนวล การติดต้ัง ควรล้างให้แห้งหรือ อบแห้งก่อน ทาจาระบีบริเวณผิววงแหวนซีล ตามข้อต่อต่างๆ ก่อนการเปิดป๊ัมสุญญากาศ จาเป็นต้อง ตรวจสอบว่าขอ้ ตอ่ ต่างๆประสานกันดีแลว้ ไม่มรี อยรว่ั ชิน้ สว่ นแกว้ ไมม่ รี อยแตกรา้ ว การเชค็ คา่ vacuum ว่ามจี ดุ ไหนรัว่ หรอื ไม่ มขี น้ั ตอนดงั นี้ - ถอดสาย vacuum ออกจาก condenser - เปิดปั๊ม - ใช้มือปดิ รไู ว้ แล้วดูที่หน้าจอ ถ้ามคี า่ Pressure ท1ี่ 0 mber. แสดงว่าไมร่ ่วั - เชค็ ซีลทกุ รอยตอ่ เนื่องจากตัวเคร่ืองมือมีอ่างน้าร้อนเป็นส่วนประกอบ จึงควรระมัดระวังอ่างน้าร้อนที่ต้ังค่า อณุ หภูมสิ ูงๆ เพือ่ ปอ้ งกนั อันตรายจากนา้ ร้อนลวก สิง่ ที่ควรคานงึ ในการปฏบิ ตั งิ าน การเลือกพารามิเตอรท์ ่ีเหมาะสมสาหรบั การระเหย สภาวะที่เหมาะสมสาหรับการระเหยตัวทาละลายแต่ละชนิด ควรมีค่าความต่างระหว่างอุณหภูมิ ของ Water bath กับ Solvent ใน evaporating flask ควรต่างกันอย่างน้อย 20 องศาฯ (∆T1) และ Solvent ใน evaporating flask กับ Condenser ควรต่างกันอย่างน้อย 20 องศาฯ (∆T2) ตาม diagram โดยอณุ หภมู ขิ อง solvent ในฟลาสกใ์ สส่ ารตัวอย่าง จะสมั พนั ธก์ ับค่า pressure ทเ่ี ลอื ก T3 (∆T=min 20 องศา) T2 (∆T=min 20องศา) T1
หน้า 20 ตัวอยา่ งการต้งั อุณหภูมิและความดนั เม่อื Solvent เปน็ Ethanol อณุ หภมู ิของ bath : 60 องศาฯ ความดนั : 174 mbar (เท่ากบั จดุ เดอื ดของ ethanol ที่ 40 องศาฯ) อณุ หภูมขิ อง condenser : 20 องศาฯ ทง้ั น้สี ามารถใช้ pressure ต่ากว่าน้ีได้ เพอื่ ทาให้การระเหยเกดิ ไดจ้ าก Solvent table ข้างล่าง หรือเลือก จาก Solvent library ท่อี ยใู่ นชุดควบคมุ ปัม๊ สญุ ญากาศ V-850/885 Solvent Table Formula Molar Evaporation Boiling point Density in Vacuum in Massing/mol energy in J/g in At 1013 g/cm3 mbar for 40 solvent CH3H6O boiling point C3H12O 58.1 553 mbar 0.790 Acetone C6H6 88.1 595 0.814 556 n-pentanol C4H10O 78.1 548 56 0.877 11 Benzene C4H10O 74.1 620 37 0.810 236 n-butanol C6H5CI 74.1 590 80 0.789 25 Tert-butanol CHOI3 112.3 377 118 1.106 130 Chlorobenzene C6H12 119.4 264 82 1.483 36 Chloroform C4H10O 84.0 389 132 0.779 Cyclohexane C2H4CI2 74.0 389 0.741 474 Diethyl ether C2H2CI2 99.0 335 62 1.235 235 1,2-dichloroethane 97.0 322 81 1.284 850 Cis-1, 2- C2H2CI2 35 210 dichloroethane 84 479 Trans-1, 2- C6H14O 60 dichloroethane C4H8O2 Di-isopropyl ether C3H7NO 97.0 314 48 1.257 751 Dioxane DMF (dimethyl C2H4O2 102.0 318 68 0.724 375 for-mamide) C2H6O 88.1 406 101 1.034 107 Acetic acid C4H8O2 73.1 -- 153 0.949 11 Ethanol C7H16 Ethylacetate C6H14 60.0 695 118 1.049 44 Heptane C3H8O 46.0 879 79 0.789 175 Hexane C5H12O 88.1 394 77 0.900 240 Isopropanol C4H8O 100.2 373 98 0.684 120 Isopentanol CH4O 86.2 368 69 0.660 360 Methylethylketone CH2CI2 60.1 966 82 0.786 137 Methanol C5H12 88.1 595 129 0.809 14 Dichloromethane C3H8O 72.1 473 80 0.805 243 Pentane CH2CI2 32.0 1227 65 0.791 337 n-propanaol C2H2OI4 84.9 373 40 1.327 850 Pentachloroethane 72.1 381 36 0.626 850 1,1,2,2-tetra- CCI4 60.1 787 97 0.804 67 chloroethane C2H2CI3 202.3 201 162 1.680 13 Tetrachloromethane 167.9 247 146 1.595 20 1,1,1-trichloroethane 153.8 226 77 1.594 271 133.1 251 74 1.339 300
หน้า 21 solvent Formula Molar Evaporation Boiling point Density in Vacuum in Massing/mol energy in J/g in At 1013 g/cm3 mbar for 40 Tetrachloroethene C2CI4 boiling point THF (tetrahydrofuran) C4H8O 165.8 231 mbar 1.623 Toluene C7H8 72.1 - 121 0.889 53 Trichloroethene C2HCI3 92.2 427 67 0.867 374 Water H2O 131.3 264 111 1.464 77 Xylene (mixture) C8H10 18.0 2261 1.000 o-xylene C8H10 106.2 389 87 183 m-xylene C8H10 106.2 - 100 - 72 p-xylene C8H10 106.2 - - 0.880 25 106.2 - 144 0.864 - 139 0.861 - 138 - วิธีการดแู ลรักษาเครอื่ งมอื เบอ้ื งต้น การทาความสะอาดตวั เครือ่ ง ใช้ผ้าชุบน้าหมาดๆ เช็ดทาความสะอาดตัวเคร่ือง หรืออาจใช้ผ้าและ Ethanol เช็ดทาความ สะอาดตัวเครื่องได้ การตรวจสอบความดันในระบบ หรือ Leak test ให้เลื่อนแถบมาที่ Configuration Servicing Leak test จากนั้น กดปุ่ม Start ระบบจะลดความดันมาท่ี 50 mbar และจับเวลาถอยหลังอีก 2 นาที เพื่อวัดอัตราการร่ัว ภายในระบบ และหลังจากระบบนิ่งอกี 30 วนิ าที เครื่องจะแสดงหนา้ จอค่าทว่ี ดั ได้และค่าที่แนะนา การทาความสะอาด Gasket Seal สามารถถอดออกทาความสะอาดดว้ ยนา้ และ detergent ออ่ นๆ ไมแ่ นะนาให้สมั ผัสกับ grease อ่างให้ความรอ้ น 1. เปลี่ยนถา่ ยน้าในอา่ งให้ความร้อนเมือ่ มสี ง่ิ สกปรกเจือปน 2. กรณีใช้น้า DI แนะนาให้เติม Borax จานวน 0.5 กรัม เนื่องจากน้ามีปราศจากการเติมสาร จาพวกไอออน จะทาให้เกิดการกดั กรอ่ น 3. ในกรณีตง้ั ความร้อนทอ่ี า่ งใหค้ วามรอ้ นสูงเกนิ กว่า 95℃แนะนาใหใ้ ช้สารตวั กลาง polyethleneglycol (PEG)
หน้า 22 ชดุ แกว้ 1. อุปกรณ์จาพวกแก้ว ใช้น้ายาล้างจานหรือน้าสบู่และล้างตามด้วยน้าสะอาด แล้วเช็ดด้วยผ้า สะอาดหรือตากใหแ้ ห้ง 2. หอกลั่น ถอดทาความสะอาดด้วยน้าสะอาด แนะนาให้ใช้สาร Ethanol ล้างภายในชุดแก้ว ที่ต่อกับระบบน้าเย็น ในกรณีท่ีมีคราบสกปรกหรือตะไคร่น้าเกิดขึ้น แนะนาให้ทาความสะอาดด้วยสาร ที่เป็นดา่ งหรือลา้ งดว้ ยไฮโครคลอริก 10% การทาความสะอาด Vacuu, pump V-300 1. ใชผ้ า้ ชุบน้าหมาดๆ เชท็ าความสะอาดตวั เครื่อง 2. ตรวจสอบแผน่ ไดอะแฟรมผา่ นหนา้ ต่างด้านหนา้ ของป๊ัมดว้ ยสายตา 3. เม่ือพบสารเคมตี ดิ เป็นคราบ หรือเป็นน้าอยู่ภายในแผ่นไดอะแฟรม ให้ทาการทาความสะอาด เพอื่ ไล่สารเคมีท่อี ยู่ในป๊ัมออก ด้วยการใช้ Ethanol อย่างน้อย 70% ข้ึนไปล้างทาความสะอาดภายในปั๊ม โดยฉีด Ethanol เข้าสู่ปั๊มท่ีช่อง Inlet และเปิดปั๊มให้ทางานด้วยโหมด Pump continuous (เข้าไปท่ี ฟงั กช์ นั่ การทางาน ตามรูปดา้ นลา่ ง) จากนั้นใช้กระดาษทิชชู หรือผ้าแห้งมาลองรับสารที่ออกจากป๊ัมที่ช่อง Outlet โดยระหว่างการ ทาความสะอาดให้ทาการฉีด Ethanol แล้วปล่อยให้อากาศเข้าสลับกับการฉีด พร้อมกับใช้นิ้วปิดท่ีช่อง Inlet เปน็ ครั้งคราว จนกระท่ังแผนไดอะแฟรมด้านหน้าของป๊ัมสะอาดและไม่มีสารติดค้าง จึงถือเป็นการ เสร็จส้นิ การทาความสะอาดแผ่นไดอะแฟรม
หน้า 23 3.4 แนวคิดและงานวิจยั ท่เี กี่ยวข้อง อภิวัฒน์ ทูลไธสง, อธิป เหลืองไพโรจน์ และขนิษฐา คาวิลัยศักด์ิ ได้มีการศึกษาเร่ืองการศึกษา ความเป็นไปได้ในการนาสารละลาย N-Methy-Pyrrolidone และ Acetone กลับมาใช้ใหม่ The Feasibility Study of Recovery N-Methyl-Pyrrolidone and Acetone ไว้ว่า งานวิจัยน้ีมีจุดประสงค์เพื่อศึกษาหาความเป็นไปได้ในการนาสารละลาย N-Methyl- Pyrrolidone และ Acetone ในกระบวนการผลิตฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์ (Hard Disk Drive) ที่อยู่ในส่วน ของกระบวนการล้างหัวสไลเดอร์ (Slider) กลับมาใช้ใหม่ ด้วยวิธีการกล่ัน โดยตัวแปรที่ศึกษา คือ ความ ดันในการกล่ันที่ 50, 100, 200, 300, 400, และ 500 มิลลิบาร์ อุณหภูมิในการกล่ันท่ี 60, 70, 80, 90, 100 และ 110 องศาเซลเซียส และเวลาที่ใช้ในการกลั่นที่ 20, 30, 40, 50, 60 และ 70 นาที ตามลาดับ ซึ่งตัวแปรดังกล่าวจะมีผลต่อปริมาณสารละลายท่ีกล่ันได้และความบริสุทธิ์ของสาร โดยผลจากการวิจัย พบว่าท่ีอุณหภูมิในการกล่ันที่ 110 องศาเซลเซียสได้ความบริสุทธิ์ท่ี 98.12 เปอร์เซ็นต์ โดยใช้ความดัน ท่ี 200 มิลลิบาร์และเวลาในการกล่ันท่ี 30 นาที ซ่ึงในการกลั่นจะใช้เวลา 3 ชั่วโมงต่อลิตร จากงานวิจัย พบว่าสารละลายที่ได้น้ันมีบริสุทธ์ิท่ีสูงและเพียงพอท่ีจะนากลับมาใช้ โดยค่าใช้จ่ายท่ีใช้ในการกล่ัน 405 บาทต่อลิตร (ไม่รวมค่าการลงทุน) ซ่ึงจะช่วยลดต้นทุนในการซื้อสารละลายได้ถึง 564 บาทต่อลิตร และไม่เป็นอันตรายต่อส่ิงแวดลอ้ ม การกลั่นที่อุณหภูมิ 110 องศาเซลเซียส ที่ความดัน 200 มิลลิบาร์ เป็นเวลา 30 นาที ทาให้ได้ สารละลาย N Methyl-Pyrolidone ท่ีมีความบริสุทธ์ิสูงถึง 98.12 เปอร์เซ็นต์ พบว่าสารละลายที่ได้นั้น เพียงพอที่จะนากลบั มาใช้ โดยค่าใชจ้ ่ายท่ใี ช้ในการกลั่น 405 บาทตอ่ ลติ ร (ไม่รวมค่าการลงทุน) ซ่ึงจะช่วย ลดต้นทุนในการซื้อสารละลายได้ถึง 564 บาทต่อลิตร (เมื่อนามาเปรียบเทียบกับการสารละลายใหม่ ที่ต้องซ้ือ) ซึ่งการนากลับมาใช้ใหม่นี้จะช่วยลดต้นทุนใน การผลิตและยังช่วยไม่ให้เกิดอันตราย ตอ่ สิง่ แวดลอ้ ม ดร.อรุษา เชาวนลิขิต และ ดร.ธีรารัตน์ อิทธิโสภณกุล ได้มีการศึกษาเร่ือง สีธรรมชาติ จากเปลือกมงั คดุ Natural Colorants from Mangosteen Rinds ไว้ว่า งานวิจัยน้ีศึกษาผลของกระบวนการระเหยและกรดแอสคอร์บิกต่อปริมาณแอนโธไซยานิน ของสารสกัดจากเปลือกมังคุด และศึกษาผลของ Maltodextrin (DE10 และ DE18) ต่อปริมาณแอนโธ ไซยานินของผงสีจากเปลือกมังคุดท่ีผ่านการทาแห้งแบบสุญญากาศและการทาแห้งแบบพ่นฝอย พบว่า กรดแอสคอร์บิกมีผลต่อปริมาณแอนโธไซยานินของสารสกัดจากเปลือกมังคุดอย่างมีนัยสาคัญ (<0.05)โดยการระเหยในสภาวะสุญญากาศหรือการใส่กรดแอสคอร์บิคสามารถรักษาแอนโธไซ ยานิน ได้มากกว่าการระเหยในสภาวะความดันอากาศปกติ สารสกัดท่ีได้จากการระเหยด้วยเคร่ือง Rotary evaporator ร่วมกับการเติมกรดแอสคอร์บิก 0.19% มีปริมาณสารแอนโธไซยานินมากที่สุด คือ 14.61 +0.60 mg/100 ml เม่ือนาสารสกัดผสมกับ Maltodextrin (DE10 และ DE18) และทาแห้งด้วย เครื่องทาแห้งแบบสุญญากาศและเคร่ืองทาแห้งแบบพ่นฝอย พบว่า Maltodextrin มีผลต่อการรักษา แอนโธไซยานินในระหว่างการอบแห้งอย่างมีนัยสาคัญ (p<0.05) โดยผงสีจากสารสกัดที่ผสม Maltodextrin และผ่านการอบแห้งแบบสุญญากาศสามารถรักษาปริมาณแอนโธไซยานิน ได้ถึง 65-829% ในขณะที่ผงสีจากสารสกัดท่ีผสม Maltodextrin และผ่านการอบแห้งแบบพ่นฝอยสามารถ รักษาปริมาณ แอนโธไซยานินได้เพียง 19-31% หลังจากน้ันนาผงสีไปละลายน้าและผ่านความร้อน ที่อุณหภูมิ 70 80 และ 90 องศาเซียสเป็นเวลา 120 นาที พบว่า อุณหภูมิและระยะเวลามีผลทาให้ ปริมาณแอนโธไซยานิน ลดลงอย่างมีนัยสาคัญ (p<0.05) และ ผงสีที่เติม maltodextrin มีค่าคร่ึงชีวิต ของปริมาณแอนโธไซ ยานินสูงกว่า 102 นาที หรือ 1 ชั่วโมง 42 นาที ที่ความร้อนระดับพาสเจอร์ไร เซช่นั
หน้า 24 กระบวนการผลิตผงสีจากเปลือกมังคุดเริ่มต้นด้วยเอทานอลและนามาระเหย โดยวิธีการระเหย เอทานอลด้วย Rotary evaporator ภายใต้สภาวะสุญญากาศร่วมกับการเติมกรดแอสคอร์บิคสามารถ รักษา ปริมาณแอนโธไซยานินได้ดี แต่ในการผลิตระดับครัวเรือนนั้นเครื่อง Rotary evaporator มีราคา แพงดงั นั้น การระเหยด้วยสภาวะปกติ ร่วมกับการเติมกรดแอสคอร์บิกจะสามารถรักษาปริมาณแอนโธไซ ยานินได้เทียบเท่ากับการใช้เคร่ือง Rotary evaporator เพียงอย่างเดียว ในการทาแห้งน้ัน Maltodextrin จะช่วยรักษาปริมาณแอนโธไซยานินได้เพราะคุณสมบัติในการเป็น Encapsulate ซึง่ จะเกิดลกั ษณะเปน็ ฟิล์มบางๆ เคลือบที่แกรนูลของสาร ให้สีและเม่ือนาไปให้ความร้อน Maltodextrin ที่เคลอื บไว้จะทาหน้าทีป่ ้องกัน ความร้อนไม่ให้เข้าไปทาลายสารให้สีได้ง่าย Matodextrin DE 10 จะช่วย รักษาปริมาณแอนโธไซยานินได้ ดีเม่ือผ่านการอบแห้งแบบสุญญากาศ ในขณะท่ีMatodextrin DE 18 จะช่วยรักษาปริมาณแอนโธไซยานิน ได้ดีเม่ือผ่านการอบแห้งแบบพ่นฝอย ผงสีที่ได้จากการอบแห้ง ท้ัง 2 แบบ มีสีแดง ชมพู แตกต่างกันตรงขนาดของอนุภาคจากการสังเกตด้วยตาเปล่า มีความชื่น ประมาณ 5.66-6.53 % ละลายน้าได้ดี เม่ือนาผงสี ไปละลายน้าและให้ความร้อน 70-90 องศาเซลเซียส พบว่า อุณหภูมิและระยะเวลาท่ีให้ความร้อนมีผลต่อปริมาณแอนโธไซยานินอย่างชัดเจน ผงสีจาก Maltodextrin DE 10 ท่ีผลิตจากเคร่ืองอบแห้งสุญญากาศและเคร่ืองอบแห้งแบบพ่นฝอนจะมีความ คงตัวสูงท่ีสุด เมื่อนาผงสีทั้งสองไปให้ความร้อนระดับมาสเตอร์ไรซ์ ประมาณ 90 องศาเซลเซียส พบว่า ผงสที งั้ 2 ชนิด มคี ่าครง่ึ ชีวิต ไม่ต่ากว่า 100 นาที หรือ 1 ชั่วโมง 40 นาที จึงมีความเป็นไปได้ที่จะนาผงสี ทีไ่ ดไ้ ปใช้ตอ่ ยอดในผลิตภณั ฑ์ต่อไป มยุรา วชิรศักดิ์ชัย, อรวัลภ์ อุปถัมภานนท์ และสุนัน ปานสาคร ได้มีการศึกษาเรื่องผล ของเอนไซม์เพคติเนส อุณหภูมิและระยะเวลาในการบ่มต่อคุณภาพไซรัปจากตะขบ The results of pectinase enzyme temperature and incubation time on the quality Muntingia Calabura L.syrup ไว้ว่า งานวิจัยน้ีมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของเอนไซม์เพลติเนส อุณหภูมิและระยะเวลา ในการบ่มต่อคุณภาพ ไซรัปจากตะขบ ดาเนินการทดลองโดย 1) กั้นน้าตะขบจากผลสุกสีแดง โดยการ ป่ันแยก 2) นาน้าตะขบมาทาการศึกษา สภาวะท่ีเหมาะสมในการทางานของเอนไซม์เพคติเนส ซึ่งปัจจัย ที่ทาการศกึ ษามี 3 ปจั จัย ได้แก่ ปรมิ าณเอนไซม์เพคติ เนส (0.5 และ 1% โดยปริมาตรน้าหนัก) อุณหภูมิ ในการบ่ม 40 และ 60 องศาเซลเซียส) และ ระยะเวลาในการบ่ม (120 และ 240 นาที) วางแผน การทดลองแบบ 2x2x2Factoriatin Completely Randomized Design (CRD) มี 8 ทรีทเมนท์ โดยในแต่ละทรีทเม้นต์ทาการวัดค่าละ 3 ช 3) นาไปวิเคราะห์คุณภาพทางกายภาย ได้แก่ ร้อยละของน้า ตะขบที่สกัด ได้ (%Yield) ความสว่าง และการส่องผ่านแสง จากน้ันทาน้าตะขบให้เข้มข้นโดยวิธีระเหย แบบสุญญากาศที่อุณหภูมิ 60 องศาเซลเซียส เพื่อให้ได้ไซรัปก่อนนาไปวิเคราะห์ คุณสมบัติทางกายภาพ ได้แก่ ความสว่าง การส่องผ่านแสง และความ หนืด ผลการทดลองพบว่า สภาวะที่เหมาะสมในการ ตกตะกอนน้าตะขบ คือ ปริมาณเอนไซม์เพคติเนสท่ีความเข้มข้น 1% นุ่มท่ีอุณหภูมิ 40 องศาเซลเซียส เป็นเวลา 240 นาที ซึ่งให้ปริมาณผลผลิตของน้าตะขบ 81 98% จากการวิเคราะห์คุณภาพ ทางกายภาย พบว่า น้าตะขบมีค่าความสว่าง (L”) เท่ากับ 43.23 และมีค่าการส่องผ่านแสง (% ) เท่ากับ 52.63 เมื่อ นาไประเหย ไซรัปจากตะขบที่ได้มีค่าความสว่าง (LF) เท่ากับ 30.44 ค่าการส่องผ่านแสง (LT} เท่ากบั 10.33 และมีค่า ความหนืด เท่ากับ 731.83 เซนติพอยส์ จากการศึกษาวิจัยผลของเอนไซม์เพคติเนส อุณหภูมิ และระยะเวลาในการบ่มต่อคุณภาพไซรัป จากตะขบ พบว่า สภาวะท่ีเหมาะสมในการผลิตไซรัป จากตะขบ คือ ปริมาณเอนไซม์เพคติเนสท่ีความ เข้มข้น 1% อุณหภูมิ 40 องศาเซลเซียส เวลา 240 นาที และ เมื่อนามาทาการวิเคราะห์คุณสมบัติทาง กายภาพ ดา้ นความสว่าง (L *) การสอ่ งผา่ นแสง (%T ) และ ความหนืด พบว่า น้าตะขบที่ตกตะกอนด้วย
หน้า 25 เอนไซม์เพคติเนส และไซรัปจากตะขบ ทรีทเมนต์ท่ี 6 มีค่าความ สว่าง (30.44) ค่าการส่องผ่านแสงสูง ทส่ี ุด (10.33) และ มีคา่ ความหนดื น้อยท่ีสดุ (731.83 cP) ซงึ่ มีความ เหมาะสมในการนามาผลติ ไซรปั นายสุรวิทย์ นันทการัตน์, ผู้ช่วยศาสตราจารย์ภาณุภัทร ตางาม, นางสาวอนัญญา ไทยบุญนาค นายบุญชัย ด้วงสวัสดิ์ และนางสาวสุวรรณา รุ่งเรือง ได้มีการศึกษาเรื่องการผลิตผงสีจากวัสดุธรรมชาติ เพ่อื ผลิตภัณฑอ์ าหาร The Pigment Production from Natural Materials for Food Products ไวว้ า่ งานวจิ ัยนมี้ วี ัตถปุ ระสงค์ เพื่อศกึ ษาการสกัดสารสที ี่ได้จากวสั ดุธรรมชาติและนาไปผลิตผงสี ที่เหมาะสาหรับใช้ในผลิตภัณฑ์อาหาร โดยมุ่งศึกษาเฉพาะการสกัดสีจากวัสดุธรรมชาติหรือผลิตผล ทางการเกษตรท่ีมีสีเหมือนหรือใกล้เคียงกับแม่สีหลักที่ใช้ในระบบการพิมพ์ ได้แก่ สีม่วงแดง สีเหลือง สีน้า เงินเขียว และสีดา ที่เหมาะสาหรับใช้ในผลิตภัณฑ์อาหาร และหาอัตราส่วนที่เหมาะสมในการ นาไปใช้ ของสารละลายสี โดยสังเกตจากค่าความแตกต่างสี (AE) ของสารละลายสีท่ีมีความใกล้เคียงกับ คา่ สี ตามมาตรฐาน ISO 12647-6 และนามาตรวจสอบสารตกค้างในผงสี ผลการวิจัยพบว่าการสกัดสารสี ด้วยวิธีการต้มวัสดุธรรมชาติในตัวทาละลายน้าเป็นวิธีการ สกัดสารสีที่เหมาะสมท่ีสุดในงานวิจัยนี้ และวัสดุธรรมชาติท่ีให้สารสีม่วงแดง สีเหลือง สีน้าเงินเขียว และสีดา ท่ีมีค่าสีใกล้เคียงกับค่าสีมาตรฐาน มากที่สุด ได้แก่ ดอกกระเจี๊ยบแดง ดอกคาฝอย ดอก อัญชันแห้ง และกาแฟผสมกับดอกอัญชันแห้ง ตามลาดับ และเมื่อนาสารสีท่ีได้จากวัสดุธรรมชาติไป ทาการผลิตเป็นผงสี พบว่า เมื่อเติมสารตัวพา จาพวกมอลโตเดก็ ซ์ตรนิ ลงในสารสกดั สกี อ่ นการทาแหง้ พน่ ฝอยจะทาให้ไดป้ รมิ าณผงสีสีมว่ งแดง สีเหลือง สีน้าเงินเขียว และสีดา เพิ่มขึ้นร้อยละ 71, 49, 15 และ 8 ตามลาดับ แต่ส่งผลให้มีค่าความแตกต่างสี เพ่ิมข้ึน ยกเว้นสีน้าเงินเขียวท่ีมีค่าความแตกต่างสี ลดลง และจากการตรวจสอบปริมาณสารพิษตกค้าง ในผงสี พบว่า มีเฉพาะผงสสี มี ว่ งแดงและสีเหลือง ตรวจพบแคดเมียมตกค้างแต่อยู่ในเกณฑ์มาตรฐานการ ผลติ ผงสเี พ่ืออุตสาหกรรมอาหาร ดงั น้ัน ผงสที ่ี ผลิตไดจ้ งึ สามารถนาไปใชเ้ พอื่ ผลิตภัณฑ์อาหารได้ จากการทาโครงการวิจัยเรื่องการผลิตผงสีจากวัสดุธรรมชาติเพื่อผลิตภัณฑ์อาหาร โดยมี กระบวนการทาโครงการวิจัยเร่ิมต้ังแต่ การสืบค้นข้อมูลเกี่ยวกับวัสดุธรรมชาติท่ีจะนามาใช้ในการสกัด เป็นสารให้สี จากนั้นนามาสกัดด้วยวิธีการต้มด้วยตัวทาละลายน้าและแอลกอฮอล์ตามอัตราส่วน ที่เหมาะสม เพ่ือหาอัตราส่วนที่มีค่าความแตกต่างสี (AE) ใกล้เคียงกับค่าสีตามมาตรฐาน ISO 12647-6 จากนั้นนาสารสกัดสีท่ีได้ไปทาการผลิตเป็นผงสี และทาการตรวจสอบสารตกค้างต่อไป จากผล ของการศกึ ษาสามารถสรปุ ไดด้ งั นี้ 1. การสกัดสารสีม่วงแดง (Magenta) จากวัสดุธรรมชาติ ได้แก่ ฝาง หมากเม่า และ กระเจ๊ียบ แดง พบว่าเม่ือนาค่าสีของสารสีที่ได้มาเปรียบเทียบกับค่าสีมาตรฐาน ซ่ึงมีค่า Lab เท่ากับ 54, 58, -2 สารสีที่สกัดด้วยตัวทาละลายน้าท่ีได้จากกระเจี๊ยบแดง มีค่าความแตกต่างสี (AE) ต่าที่สุด คือ มีค่าสี เท่ากับ 24.9 ซง่ึ มคี ่าสใี กล้เคียงกับค่าสีมาตรฐานมากที่สดุ 2. การสกัดสารสีเหลือง (Yellow) จากวัสดุธรรมชาติ ได้แก่ แฮ่ม ดอกคาฝอย และ เมล็ดพุดจีน พบว่าเม่ือนาค่าสีของสารสีท่ีได้มาเปรียบเทียบกับค่าสีมาตรฐาน ซึ่งมีค่า Lab เท่ากับ 86, 4, 75 สารสี ทสี่ กัดด้วยตัวทาละลายน้าที่ได้จากดอกคาฝอย มีค่าความแตกต่างสี (AE) ํต่าท่ีสุด คือ มีค่าสีเท่ากับ 22.2 ซ่งึ มีค่าสีใกลเ้ คียงกับคา่ สมี าตรฐานมากทสี่ ดุ 3. การสกัดสารสีน้าเงินเขียว (Cyan) จากวัสดุธรรมชาติ ได้แก่ ดอกอัญชันสดและดอก อัญชัน แห้ง พบว่าเมื่อนาค่าสีของสารสีที่ได้มาเปรียบเทียบกับค่าสีมาตรฐาน ซ่ึงมีค่า Lab เท่ากับ 58, -25, 43 สารสีที่สกัดด้วยตัวทาละลายน้าท่ีได้จากดอกอัญชันแห้ง มีค่าความแตกต่างสี (AE) ต่าที่สุด คือ มีค่าสี เท่ากบั 47.3 ซึ่งมีค่าสีใกล้เคียงกับค่าสีมาตรฐานมากท่สี ุด
หน้า 26 4. การสกัดสารสีน้าเงินเขียว (Cyan) จากวัสดุธรรมชาติ ได้แก่ กาแฟและหล่อฮังก๊วย พบว่า เมื่อนาค่าสีของสารสีที่ได้มาเปรียบเทียบกับค่าสีมาตรฐาน ซึ่งมีค่า Lab เท่ากับ 31, 1, 1 สารสีที่สกัด ด้วยตัวทาละลายน้าท่ีได้จากกาแฟ มีค่าความแตกต่างสี (AE) ต่าท่ีสุด คือ มีค่าสีเท่ากับ 48.5 ซ่ึงมีค่าสี ใกล้เคียงกับค่าสีมาตรฐานมากที่สุด แต่เนื่องจากค่าความแตกต่างของสีท่ีได้มีค่าค่อนข้างสูง จึงทาการ ปรับปรุงด้วยวิธีการนาไปผสมกับสารสีท่ีสกัดด้วยตัวทาละลายน้าที่ได้จากดอกอัญชันแห้ง ท่ีมีค่าความ แตกตา่ งสี (AE) ต่าท่สี ดุ คอื มคี ่าสีเทา่ กับ 47.3 ในอตั ราสว่ นสารสีดาที่สกัดด้วยตัวทาละลายน้าจากกาแฟ และหล่อฮั่งก้วยต่อสารสีน้าเงินเขียวที่สกัดด้วยตัวทาละลายน้าที่ได้จากดอกอัญชันแห้ง เท่ากับ 75:25 พบว่า เมอื่ นาค่าสีของสารสีที่ได้มาเปรยี บเทยี บกบั ค่าสีมาตรฐาน สารสที สี่ กัดด้วยตัวทาละลายน้าท่ีได้จาก กาแฟผสมกับอัญชันแห้ง ท่ีอัตราส่วน 75:25 มีค่าความ แตกต่างสี (AE) ต่าลง คือ มีค่าสีเท่ากับ 39.7 ซงึ่ มคี า่ สใี กล้เคยี งกบั ค่าสีมาตรฐานมากที่สดุ 5. การผลิตผงสีจากวัสดุธรรมชาติ โดยนาสารสกัดสีที่ได้ไปผ่านกระบวนการทาผงโดย เคร่ืองทา แหง้ แบบพน่ ฝอยจากสารสกดั สปี ริมาณ 100 มลิ ลิลิตร พบวา่ สารสกดั สที ่ีไดจ้ ากวสั ดุ ธรรมชาติท่ีสกัดด้วย นา้ สามารถผลติ เปน็ ผงสไี ด้ปริมาณมากที่สดุ ในแต่ละสซี ึ่งสามารถระบุแบง่ ตามสาร สกดั สไี ด้ดังต่อไปน้ี 1) สีมว่ งแดง ได้แก่ สารสกัดสีจากดอกกระเจ๊ยี บแดง ท่ใี หป้ ริมาณผงสี เทา่ กบั 7.28 กรัม 2) สีเหลอื ง ได้แก่ สารสกดั สจี ากดอกคาฝอยและเมด็ พดุ จีน ท่ใี หป้ ริมาณผงสี เท่ากบั 0.93 กรมั 3) สีน้าเงินเขียว ได้แก่ สารสกดั สจี ากดอกอัญชันแห้ง ท่ใี ห้ปรมิ าณผงสี เท่ากับ 5.16 กรัม 4) สีดา ได้แก่ สารสกัดสจี ากกาแฟผสมดอกอัญชันแหง้ ทใี่ หป้ รมิ าณผงสี เท่ากบั 11.41 กรัม และเมอ่ื ทาการผสมสารตัวพาจาพวกมอลโตเด็กซต์ รนิ ซึ่งชว่ ยเพิม่ ปรมิ าณของผงสี ได้มากข้ึนในปริมาณ 5 กรัม ลงในสารสกัดสี และเม่ือนาไปผลิตเป็นผงสี พบว่า สีม่วงแดง สีเหลือง สี น้าเงินเขียว และสีดา สามารถนาไปผลิตเป็นผงสีได้ปรมิ าณเพม่ิ ข้นึ เทา่ กบั 71, 49, 15 และ 8 เปอรเ์ ซ็นต์ ตามลาดับ เม่ือนาผงสีไปทาการละลายน้าในอัตราส่วนต่างๆ ต้ังแต่ 0.1, 0.2, 0.3 และ 0.4 กรัม ต่อน้า 5 มิลลิลิตร แล้วนาไปวัดค่าสีเพ่ือเปรียบเทียบกับค่าสีตามมาตรฐาน ISO 12647-6 พบว่า ปริมาณผงสี ทใ่ี หค้ ่าความแตกต่างสีที่ดีทส่ี ุดของผงสีสีม่วงแดงและสีดา คือ ผงสีที่ไม่ใส่สารมอลโตเด็กซ์ ตในที่ปริมาตร 0.4 กรัม ยกเว้นในส่วนของสีเหลือง อยู่ที่ 0.3 กรัม แต่ในส่วนผงสีสีน้าเงินเขียว คือ ผง สีที่ใส่สารมอลโต เดก็ ซ์ตรินท่ีปรมิ าตร 0.4 กรมั โดยมคี า่ ความแตกตา่ งสี เทา่ กับ 25.9, 44.9, 22.2 และ 51.0 ตามลาดับ 6. การตรวจสอบสารตกค้างจาพวก ปรอท ตะก่ัว แคดเมียม และสารหนูในผงสีแต่ละสี พบว่า ผงสีสีน้าเงินเขียวและสีดาตรวจไม่พบสารตกค้างดังกล่าว ส่วนผงสีสีม่วงแดงตรวจพบสาร จาพวกแคดเมียม มีค่าเท่ากับ 0.045 mg/kg และผงสีสีเหลืองตรวจพบสารคาพวกตะก่ัวและแคดเมียม มีคา่ เท่ากับ 0.108 และ 0.034 mg/kg ตามลาดับ
หน้า 27 บทที่ 4 เทคนคิ ในการปฏิบตั งิ านและการนาคมู่ ือไปใช้ 4.1 เทคนคิ ในการปฏบิ ตั งิ านและการนาคู่มอื ไปใช้ เครอื่ งกล่นั ระเหยแบบหมุน ภายใต้ระบบสุญญากาศ Rotary Evaporator เป็นเครื่องท่ีใช้ระเหย สารตัวทาละลายออกจากสารละลายตัวอย่าง เพ่ือให้ปริมาณสารละลายตัวอย่างท่ีต้องการน้ันเข้มข้นขึ้น ด้วยการให้ความร้อนจากอ่างน้าควบคุมอุณหภูมิ และระบบสุญญากาศ เพ่ือลดจุดเดือดของสาร ตัวทาละลายตวั อย่างให้ตา่ ลง สามารถปรับอัตราความเร็วรอบของการหมุนต้ังแต่ 0 ถึง 280 รอบต่อนาที (rpm) เป็นเคร่ืองมือที่ใช้ระเหยสารตัวอย่างที่เป็นของเหลวโดยการกล่ันเพื่อแยกตัวทาละลายท่ีผสมอยู่ ออก คู่มือนักวิทยาศาสตร์ หลักการใช้งานเคร่ืองกลั่นระเหยแบบหมุน ภายใต้ระบบสุญญากาศ Rotary Evaporator สาหรับเครื่อง Buchi Rotavapor R-300 จัดทาข้ึนเพื่อแนะนาการใช้งานให้กับ เจ้าหน้าท่ีผู้รับผิดชอบได้มีความเข้าใจ และสามารถใช้เครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ดังกล่าวได้อย่างถูกต้อง และปลอดภัย ซง่ึ มกี ารอธิบายการทางานของเครอ่ื งมืออยา่ งเปน็ ข้ันตอน โดยมีขนั้ ตอนดงั ตอ่ ไปน้ี องค์ประกอบของเคร่ืองมอื หลกั การใชง้ านเคร่ืองมอื วธิ กี ารปฏบิ ตั งิ านของเครอ่ื งมอื การเลอื กพารามิเตอรท์ ่ีเหมาะสมสาหรบั การระเหย วิธกี ารดูแลรกั ษาเครื่องมือเบ้ืองตน้
หน้า 28 4.2 ข้นั ตอนการปฏิบตั งิ านและวิธกี ารปฏิบัติแตล่ ะข้นั ตอนโดยละเอียด องค์ประกอบของเครอื่ งมือ 1. ส่วนให้ความร้อนและกล่ันแยกสารพรอ้ มชุดควบคมุ (Buchi Rotavapor R-300, Interface I-300 รปู ท่ี 1 แสดงส่วนประกอบของเคร่ือง Rotavapor R-300 และ Interface ปมุ่ ปรบั มุมของ Evaporation flask (Immersion Angle) ปมุ่ เริม่ /หยดุ /ปรบั ความเร็วรอบการหมนุ ของ Evaporator flask Combi clip สาหรับใส/่ ถอด ฟลาสก์ ใส่สารกบั vapor duct หนา้ จอแสดงอุณหภูมจิ ริงและอณุ หภมู ิ ทต่ี ้งั คา่ ของอา่ งใหค้ วามร้อน ปมุ่ เร่มิ /หยดุ /ปรบั อณุ หภมู แิ ละตัง้ ล็อค อุณหภูมขิ องอ่างให้ความร้อน ปุ่ม Stop-position สาหรับตัง้ ค่าความสูงของ Handle lift ชุดควบคมุ ระบบ ไดแ้ ก่ ความดัน, อา่ งใหค้ วามรอ้ น, เคร่ืองทา ความเยน็ ระบบหมุนเวียน (Buchi chiller) และความเรว็ รอบ การหมุน ลฟิ ท์มอื จับ สาหรบั การปรับเลอื นขวด Evaporator flask
หน้า 29 รปู ที่ 2 แสดงสว่ นประกอบของอ่างให้ความร้อน Heating Bath รุ่น B-300 Base อ่างให้ความรอ้ น B-300 Base ความจุ 5 ลิตร Max. Temperature = 220℃ ปมุ่ เปดิ /ปดิ เครื่อง ปมุ่ Knob หมุนเพื่อต้งั อณุ หภูมิอา่ งใหค้ วามรอ้ น พร้อมทงั้ ตงั้ ลอ็ คอณุ หภมู ิ และปลดล็อคอุณหภูมิ หน้าจอแสดงคา่ อณุ หภมู ิ (องศา) โดยแสดงค่าทตี่ ้ัง และค่าท่ีเปน็ จริงเปน็ ตัวเลขไฟฟา้ พร้อมกนั หน้าจอแสดงความสูงของ lift (Electronic lift)
หน้า 30 2. ปมั๊ สญุ ญากาศและชุดควบคุมการทางานระบบแยกสาร รูปที่ 3 แสดงส่วนประกอบของป๊ัมสุญญากาศ V-300 และชดุ ควบแน่นสารระเหยหลังออกจากป๊ัม (Secondary Condenser) ชดุ ควบแน่นไอสารหลงั ออกจากปม๊ั ปุม่ เปดิ /ปดิ รปู ที่ 4 แสดงสว่ นประกอบของชุดควบคุมการทางาน Interface I-300 หน้าจอแสดงค่าความดัน, ความเร็วรอบการหมุน, ปุ่มสาหรับต้ังค่าการทางาน ได้แก่ ปิดวาล์ว, อุณหภูมิอ่างให้ความร้อน, อุณหภูมิไอสาร และอุณหภุมิ เปิดให้อากาศเข้าระบบ, เลื่อนเคอเซอร์ไปยัง เครอ่ื งทาความเย็นระบบหมนุ เวียน เมนู แ ละ ปุ่มห ยุดก ารทา งานขอ งระ บ บ (อุณหภูมิไอ และอุณหภูมิเคร่ืองทาความเย็นระบบ Ratavapap และปม๊ั สญุ ญากาศ ตามลาดบั หมุนเวียน จะแสดงผลเม่ือมีการต่อโพรบวัดไอสารและ เคร่อื งทาความเยน็ ยห่ี ้อ Buchi) ปุ่มหยุดการทางานท้ังระบบการ ปุ่ม (knob) สาหรับเลือก/เลื่อนไปยังตาแหน่ง ระเหยสาร ในกรณีฉกุ เฉนิ ค่าทต่ี อ้ งการ
หนา้ 31 หลกั การใชง้ านเครือ่ งมือ 1. อา่ งใหค้ วามร้อน B-300 Base สาหรบั ขวดกลน่ั ระเหยสารขนาดไม่เกนิ 5 ลติ ร และใชก้ ับน้าหรือน้ามัน (PEG) 2. การตัง้ อุณหภมู อิ า่ งใหค้ วามร้อน 2.1 การต้ังอุณหภูมอิ ่างใหค้ วามร้อน กดปมุ่ เปิด เพ่ือเร่ิมการทางานของอ่างให้ความร้อน หมุนปมุ่ ปรบั อุณหภมู อิ ่างให้ความรอ้ น เพ่ือตง้ั อุณหภมู ติ ามต้องการ 2.2 การเปลีย่ นอณุ หภูมสิ งู สุดและการต้ังล็อคอณุ หภมู ิอา่ งให้ความรอ้ น (“max.95°, max.180°, max.220°, ) กดปุ่ม knob ทอี่ า่ งใหค้ วามร้อนคา้ งไว้ จนข้นึ คาวา่ “max.95°, max.180°, max.220°, ” ท่หี น้าจอ อ่างให้ความร้อน หมุนปุ่ม knob เลือ่ นมายงั อุณหภูมสิ งู สดุ ท่ีต้องการ เชน่ max.95° จากนัน้ กดปุ่ม knob อกี ครั้งเพอื่ บันทกึ ความจา และสามารถปรับอุณหภมู ิอา่ งให้ความร้อนไปยังคา่ ทีต่ ้องการ หมนุ ปุ่ม knob เล่อื นมายงั เครือ่ งหมายล็อค และกดปุ่ม knob เพ่ือบันทึกความจาท่ีต้องการล็อค ทีอ่ ณุ หภมู นิ น้ั ๆ และจะมเี คร่ืองหมายลอ็ คขึ้นด้านบนขวา ท่ีหน้าจอของอ่างให้ความรอ้ น ในกรณที ่ีตอ้ งการปลดลอ็ คอุณหภมู ิอา่ งใหค้ วามร้อน ใหก้ ดปมุ่ knob ค้างไว้ จนกระท้งั เครือ่ งหมายล็อค หายจากบนหน้าจอ 3. การปรับมมุ ขวดกลั่นระเหยสาร (immersion angle) กดปมุ่ หมายเลข 2 ค้างไว้ พร้อมใชม้ ืออีกขา้ งประคองมอเตอรแ์ ละขวดกลนั่ ปล่อยปุ่มดังกล่าวเมอื่ ได้มุมทเี่ หมาะสม โดยมมุ ที่แนะนาสาหรับฟลาสกข์ นาด 1 ลติ ร คือมุม 25° หรือ คอนเดนเซอร์อยูใ่ นรูปตงั้ ตรง (vertical) หมายเลข 1 หมายเหตุ : 1. Condenser 2. ปุ่มสาหรบั ปรับมุมของขวดสารระเหย (Immersion angle)
หน้า 32 4. การปรบั ความสูงของขวดกล่นั ระเหยสาร (Lift) Electronic lift : สาหรับการตง้ั ค่าความสงู ของ Handle lift แบบ Electronic ให้กดปุม่ Stop-position ค้างไว้ จนขึ้นหนา้ จอคาวา่ “Set” ทอ่ี า่ งให้ความร้อน จากนน้ั ปลอ่ ยปุ่ม Stop-position ออก (ดูรปู ประกอบที่ 1 หนา้ 14 ปมุ่ Stop-position) ในกรณที ่ีต้องการปลดลอ็ คระดับความสูงของ Handle lift ใหก้ ดปมุ่ Stop-position คา้ งไว้ จนข้นึ เครอื่ งหมาย “_ _ _” ทห่ี น้าจออ่างใหค้ วามรอ้ น Manual lift : สาหรบั การตัง้ คา่ ความสงู ของ Handle lift แบบ Manual ให้กดปมุ่ Stop-position คา้ งไว้ พรอ้ มปรบั ระดับความสูงที่ handle lift ไปพร้อมกบั การกดปุ่ม Stop-position (ดูรูปประกอบท่ี 1 หนา้ 14 ปุ่ม Stop-position) ในกรณีท่ีตอ้ งการปลดลอ็ คระดับความสูงของ Handle lift ใหก้ ดปุ่ม Stop-position ค้างไว้ พรอ้ มเลื่อน เตรยี มความพร้อม 1.1 เปดิ เคร่ืองทาความเยน็ หมุนเวียน (recirculating Chiller), อ่างให้ความร้อน และตั้งอุณหภูมิ ทต่ี ้องการ ก่อนการใช้งานประมาณ 15 นาทถี ึงครึ่งชัว่ โมง 1.2 นาตัวอย่างบรรจุในฟลาสก์ใส่สารตัวอย่าง (หมายเลข 3) (evaporating flask) และต่อเข้า กับ vapor duct (หมายเลข 2) ท่ีเคร่ือง Rotavapor และหมุน combi clip (หมายเลข 1) ข้ึนในทิศทาง ยอ้ นเข็มนาฬกิ าอย่างเหมาะสม และประกอบขวดรองรับสารตัวอยา่ ง (receiving flask) 1.3 ปรับมุม (immersion angle) ของฟลาสก์ใส่สารตัวอย่างในอ่างให้ความร้อน ตามความ เหมาะสม โดยกดปุ่มหมายเลข 2 ค้างไว้ พร้อมใช้มืออีกข้างประคองมอเตอร์และขวดกล่ัน และปล่อยปุ่ม ดังกล่าวเม่ือได้มุมท่ีเหมาะสม โดยมุมท่ีแนะนาหรับฟลาสก์ขนาด 1 ลิตร คือมุม 25° หรือคอนเดนเซอร์ อยู่ในรปู ตั้งตรง (vertical) 1.4 ปรับ Handle lift manual หรือ auto เพื่อเล่ือนฟลาสก์ใส่สารตัวอย่างตามความเหมาะสม และกดปุ่ม stop-position ค้างไว้ (ดูวิธีการตั้งค่าได้จากการใช้งาน Rotavapor R-300 ข้อที่ 4 หน้า 18) เพ่ือเซตค่าระดับความสูงของฟลาสก์ใส่สารตัวอย่างให้เหมาะสมกับการใช้งานและขนาดของ Evaporation flask
หน้า 33 การกลน่ั ระเหยส่งั งานผา่ น Interface I-300 1. เปิดปั๊มลดความดัน V-300 และเลอื ก mode การทางานเช่น manual mode, time mode, drying mode และ AutoDest (กรณตี ่ออุปกรณ์เซนเซอร์การกลัน่ อตั โนมัต)ิ 2. ตั้งค่าพารามิเตอรต์ ่างๆ โดยผา่ น Interface I-300 2.1 ตั้งค่าความดัน, ความเร็วรอบของ evaporating flask และอุณหภูมิอ่างให้ความ ร้อน โดยหมุน knob ที่ Interface จะแสดงแถบสีเขียว เลื่อนไปยังพารามิเตอร์ที่ต้องการต้ังค่า กดปุ่ม push knob ปรับค่าตามความเหมาะสม หน้าจอจะแสดงแถบสีดา และกดปุ่ม push start knob เพ่ือยืน่ ยนั 2.2 กด start ที่ Interface โดย Rotary drive จะเลือ่ นตวั ลงโดยอัตโนมัติ (ในกรณีท่ีตั้ง ค่าไว้) ฟลาสก์ใส่สารตัวอย่างจะเล่ือนตัวลง ฟลาสก์จะหมุนโดยอัตโนมัติ และปั๊มสุญญากาศเร่ิมลดความ ดนั ลงตามค่าทีต่ ้งั ไว้ (หนา้ จอแสดงสาดา แสดงสถานการณก์ ล่นั ระเหยสาร) (การต้ังคา่ พารามเิ ตอร์จะใชห้ ลกั ความแตกต่างอุณหภูมิ 20 องศาเซลเซยี ส)
หน้า 34 T3 (∆T=min 20 องศา) T2 (∆T=min 20 องศา) ตวั อยา่ งเช่น T1 - ต้งั คา่ อณุ หภูมิอ่างใหค้ วามรอ้ น = 60 องศาเซลเซียส - ค่าอุณหภมู ิไอของสารตัวอยา่ ง = 40 องศาเซลเซยี ส - อณุ หภมู ินา้ หล่อเย็น = 20 องศาเซลเซยี ส หมายเหตุ : กรณีใช้โหมด solvent library เคร่ืองจะทางานด้วยระบบไดนามิคแบบอัตโนมัติ กล่าวคือ ตัวเคร่ืองจะเริ่มการทางานทันทีเมื่อกดปุ่ม start ที่ Interface ในโหมด solvent library ท้ังนี้ไม่ จาเป็นต้อง warm up อ่างให้ความร้อน หรือ cool down เคร่ืองทาความเย็นระบบหมุนเวียน (กรณีใช้ เครื่องทาความเย็นยี่ห้อ Buchi) นอกจากนั้นระบบจะปรับค่าความดันให้เหมาะสมกับอุณหภูมิ ณ ขณะนัน้ ๆ อยา่ งอตั โนมตั ิ 2.3 ถ้าต้องการเปลี่ยนค่าความดันระหว่างการทางานหรือปรับค่าพารามิเตอร์อ่ืนๆ ให้หมุน knob ท่ี Interface มาที่ค่าพารามิเตอร์นั้น และกดปุ่ม push start ปรับค่าตามความเหมาะสม และกด ปุ่ม push start เพ่อื ยนื่ ยัน 2.4 ถ้าระหว่างการกลั่นระเหย สารตัวอย่างเกิด bump หรือ foaming ต้องการระบายอากาศ เข้ามาในระบบ ให้กด AERATE โดยหน้าจอจะแสดงแถบสีเหลืองขึ้น เม่ือต้องการกลับไปลดความดัน ต่อให้เกิด HOLD OFF ปัม๊ จะเร่ิมลดความดนั ไปยงั ค่าท่ีตั้งไว้ 2.5 เมื่อส้ินสุดการทางาน (หน้าจอจะแสดงสีขาว) เม่ือสิ้นสุดการทางาน กดปุ่ม stop ที่ Interface, Rotary drive จะยกตัวข้ึนอัตโนมัติ ฟลาสก์ใส่สารตัวอย่างจะยกข้ึนอัตโนมัติ ฟลาสก์ จะหยดุ หมุน และปม๊ั สุญญากาศจะหยดุ การทางานและคลายความดันออก 2.6 ถอดฟลาสกใ์ ส่สารตัวอย่างออก โดยหมนุ combi clip ลงในทศิ ทางตามเข็มนาฬิกาพร้อมยก คลิปส่วนท่ลี อ๊ คกับปากขวด Evaporation flask สีเทา ขนึ้ เล็กนอ้ ย 2.7 เม่อื เร่ิมทาการระเหยตัวอยา่ งตอ่ ไป ใหท้ าซา้ เช่นเดมิ จากข้อ 1.1–1.4 และ 2.1–2.6 อีกครัง้ 2.8 กรณีมีการใช้ AutoDest sensor หรือต่ออุปกรณเ์ ซนเซอร์การกลน่ั อตั โนมตั ิ (หมายเลข 1, 2 และ 3) สามารถกด start เร่ิมการกลั่นระเหยได้ทันทีหลังจาก warm อุณหภูมิอ่างให้ความร้อน และ cool down อุณหภูมิเครื่องทาความเย็นระบบหมุนเวียน ท้ังนี้เครื่องจะจับอุณหภูมิของน้าหล่อเย็น ขาเขา้ ขาออก และอุณหภูมไิ อของสารในขวด Evaporation flask แบบอัตโนมัติ
หน้า 35 หมายเหตุ : 1. โพรบวดั ไอสาร (vapor temperature sensor) 2. เซนเซอร์ตรวจจับ (AutoDest sensor) 3. สายเชื่อมต่อระหว่าง AutoDest Sensor และ VacuBox 4. Cooling Condenser 5. ทอ่ ต่อน้าเยน็ ขาเข้า 6. ท่อต่อนา้ เยน็ ขาออก 2.9 กรณีมีการใช้งาน Foam Sensor หรือโพรบตรวจจับโฟมอัตโนมัติ (หมายเลข 1) จะใช้ใน กรณีที่ตัวอย่างมีลักษณะเป็นฟอง (Foaming หรือ Bumping) เพ่ือการลดฟองอากาศในขวดระเหยสาร เปน็ การป้องกันการปนเป้ือนข้าม โดยเม่ือฟองตัวอย่างมากระทบกับเซนเซอร์ที่อยู่ภายในอุปกรณ์ Foam sensor ตัวเครื่องจะเพม่ิ ความดันอตั โนมัตเิ พ่ือลดฟองอากาศ โดยการทางานสามารถเข้าสู่โหมด Manual ตามข้อ 2.1-2.3 เพ่ือการทางานและในระหว่าง ปฏบิ ัตงิ านตัวเคร่อื งจะตรวจจับโฟมหรอื ฟองอากาศแบบอตั โิ นมัตโิ ดยท่ไี ม่ตอ้ งตง้ั ค่าใด
หน้า 36 หมายเหตุ : 1. Foam Sensor 2. ขวดกลนั่ ระเหสาร (Evaporation Flask) 3. Cooling Condenser 4. ตัวยึดจับ Foam Sensor 5. Clamp nut
หน้า 37 4.3 วิธีการติดตามประเมนิ ผล คู่มือฉบับนี้มีเน้ือหาท่ีแสดงข้ันตอนการใช้งานเคร่ืองมืออย่างละเอียด พร้อมภาพประกอบ คาแนะนาจนส้นิ สดุ การใชเ้ ครือ่ งมอื นกั ศึกษา อาจารย์ และผู้มาขอใช้งานเคร่ืองมือจากภายนอก สามารถ ปฏิบัติงานตามคู่มือได้อย่างถูกต้อง รวดเร็ว และปลอดภัย โดยติดตามปรับปรุง และแก้ไขภายหลังให้ ผู้ใชง้ านทดลองใช้ จากการสอบถามและจัดทาคู่มือการใช้งานใหม่ ให้เข้าใจได้ง่ายข้ึน สอดแทรกปัญหาที่ เจอจากประสบการณ์ใช้งานจรงิ และแนวทางแกไ้ ขปญั หาเพ่อื ให้ นกั ศกึ ษา อาจารย์ หรือผู้มาขอใช้บริการ เคร่ืองมือท่ียังขาดความรู้ ทักษะ การใช้เคร่ืองมือสามารถทางานได้อย่างถูกต้อง และรวดเร็ว นกั วทิ ยาศาสตร์ หรอื เจ้าหนา้ ที่ ทเ่ี กี่ยวข้อง สามารถปฏิบัติงาน ทดแทนกันได้ สามารถแก้ไขปัญหาเฉพาะ หน้าได้ และมีการจัดคู่มือการใช้งานเคร่ืองมือ ด้วยระบบสแกน QR CODE นักศึกษา อาจารย์ และผู้มา ขอรบั บริการ สามารถเรียกใช้คู่มือได้อย่างสะดวก รวดเร็ว และยังป้องกันการสูญหายของคู่มือการใช้งาน เครอื่ ง สามารถดาวนโ์ หลดเพื่อนาคู่มือการใชง้ านเครื่องมือกลับมาแก้ไข ปรับปรุง หรืออัพเดตข้อมูลใหม่ๆ เพิม่ เตมิ ได้ หรือดาวนโ์ หลดคู่มือเพ่ือใชศ้ ึกษาทาความเข้าใจในการใช้งานเคร่ืองมือล่วงหน้าก่อนการใช้งาน จริง เพ่ือให้สามารถใช้งานเคร่อื งมอื ไดอ้ ย่างถกู ตอ้ ง ลดความผดิ พลาด ลดความเสี่ยงการเสียหายของ วัสดุ และเครอื่ งมอื 4.4 จรรยาบรรณ/จริยธรรมในการปฏบิ ตั งิ าน การปฏิบัติงานในตาแหน่งนักวิทยาศาสตร์มีหลักการปฏิบัติงานด้วยคุณธรรม จริยธรรม ปฏิบัติงานด้วยความซื่อสัตย์ สุจริต โปร่งใส ตามนโยบายของรัฐบาลและมหาวิทยาลัย โดยยึดหลัก จรรยาบรรณของราชการ นอกจากน้ันยังมีการปฏิบัติตามหลักเกณฑ์การรับทรัพย์สินหรือสิทธิประโยชน์ อ่ืนใดโดยเจ้าหน้าท่ีของรัฐ พ.ศ. 2543 ตามนโยบายของรัฐบาลในการป้องกันและปราบปรามการทุจริต ในส่วนราชการ และการป้องกันการทุจริตภายในสถาบัน โดยการประกาศค่านิยมสร้างสรรค์ของราชการ และพนกั งานหรอื ลกู จ้างของรฐั และมาตรการค้มุ ครองขา้ ราชการผ้ใู ห้ขอ้ มลู ทเ่ี ป็นประโยชน์ตอ่ ราชการ
หน้า 38 บทที่ 5 ตวั บ่งชีค้ วามสาเร็จของการทางานแต่ละขน้ั ตอน ผลการทดลองใชค้ ู่มือ 5.1 ผลการทางานตามตัวบง่ ชโ้ี ดยเปรียบเทยี บกอ่ น/หลงั ใชค้ มู่ ือ คู่มือฉบับนี้มีเน้ือหาท่ีแสดงข้ันตอนการใช้งานเครื่องมืออย่างละเอียด พร้อมภาพประกอบ คาแนะนาจนสิ้นสดุ การใชเ้ ครอื่ งมือ นักศึกษา อาจารย์ และผู้มาขอใช้งานเครื่องมือจากภายนอก สามารถ ปฏิบัติงานตามคู่มือได้อย่างถูกต้อง รวดเร็ว และปลอดภัย โดยติดตามปรับปรุง และแก้ไขภายหลังให้ ผูใ้ ชง้ านทดลองใช้ จากการสอบถามและจัดทาคู่มือการใช้งานใหม่ ให้เข้าใจได้ง่ายข้ึน สอดแทรกปัญหาที่ เจอจากประสบการณใ์ ชง้ านจริง และแนวทางแกไ้ ขปัญหาเพอ่ื ให้ นกั ศกึ ษา อาจารย์ หรือผู้มาขอใช้บริการ เครื่องมือท่ียังขาดความรู้ ทักษะ การใช้เคร่ืองมือสามารถทางาน ได้อย่างถูกต้อง และรวดเร็ว นกั วทิ ยาศาสตร์ หรอื เจา้ หนา้ ท่ี ที่เกีย่ วขอ้ ง สามารถปฏิบัติงาน ทดแทนกันได้ สามารถแก้ไขปัญหาเฉพาะ หน้าได้ และมีการจัดคู่มือการใช้งานเครื่องมือ ด้วยระบบสแกน QR CODE นักศึกษา อาจารย์ และผู้มา ขอรบั บริการ สามารถเรียกใช้คู่มือได้อย่างสะดวก รวดเร็ว และยังป้องกันการสูญหายของคู่มือการใช้งาน เคร่ือง สามารถดาวน์โหลดเพื่อนาคมู่ อื การใชง้ านเคร่ืองมือกลับมาแก้ไข ปรับปรุง หรืออัพเดตข้อมูลใหม่ๆ เพมิ่ เตมิ ได้ หรือดาวน์โหลดค่มู อื เพื่อใช้ศกึ ษาทาความเขา้ ใจในการใช้งานเครื่องมือล่วงหน้าก่อนการใช้งาน จรงิ เพ่ือให้สามารถใชง้ านเคร่ืองมือได้อย่างถูกต้อง ลดความผิดพลาด ลดความเสี่ยงการเสียหายของวัสดุ และเครือ่ งมือ ท้ังนี้ ผู้จัดทาคู่มือการใช้งานเครื่อง Rotary Evaporator หวังอย่างย่ิงว่า ผู้ใช้คู่มือทุกท่านจะเกิด ความพึงพอใจในการใช้คู่มือเล่มน้ี เพ่ือสามารถใช้เครื่องมือได้อย่างมีประสิทธิภาพถูกต้อง รวดเร็ว และ เกดิ ความปลอดภยั ในการทางาน 5.2 อภปิ รายผลและใหข้ ้อเสนอแนะในการนาค่มู อื ไปใช้และการพัฒนางาน 1. จัดอบรมทาความเข้าใจ แนะนา ถึงหลักการใช้งานของเครื่องมือ Rotary ที่ถูกต้องให้กับ ผู้ปฏบิ ัติงานกอ่ นใชง้ านเคร่อื งจรงิ 2. จัดทาคู่มือเคร่ือง Rotary Evaporator เพื่อไว้ใช้ศึกษาก่อนลงมือปฏิบัติงานจริง และเป็น แนวทางในการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า เมอื่ เกิดปัญหาขณะปฏิบัตงิ าน 3. แนะนาการใช้งานเคร่ืองมือท่ีถูกต้อง สาธิตการใช้งานเครื่องมือและเป็นพ่ีเลี้ยงคอยควบคุม ดูแล นกั ศึกษาทไี่ มก่ ลา้ ใชง้ านเครอ่ื งมือ เพราะเคร่อื งมือมรี าคาสูง 4. ตัง้ งบประมาณในการซ่อมบารุง ในกรณที ่ีเครื่องมือชารุดต้องเปลีย่ นชิ้นสว่ นหรือซื้ออุปกรณ์เพิ่ม 5. ติดต้ังแบตเตอรี่สารองไฟ เพอ่ื ลดปัญหาระบบไฟฟ้าขดั ข้อง
หน้า 39 5.3 ปัญหาอปุ สรรคในการปฏิบตั งิ าน คู่มือนักวิทยาศาสตร์ หลักการใช้งานเครื่องกล่ันระเหยแบบหมุน ภายใต้ระบบสุญญากาศ Rotary Evaporator มุ่งเน้นการทาความเข้าใจในการใช้เคร่ืองกล่ันระเหยฯ เพ่ือให้อาจารย์ นักศึกษา และบคุ ลากรได้ใชง้ านได้อย่างถูกต้อง ตลอดจนการเก็บรกั ษา ดูแล และการทาความสะอาดเคร่อื ง การปฏิบัติงานในแต่ละขั้นตอนมีปัญหาและอุปสรรคที่เกิดขึ้นแตกต่างกันออกไป จึงต้องมีการ สรุปปัญหาและอุปสรรคและหาแนวทางแก้ไข พร้อมข้อเสนอแนะเพื่อให้การดาเนินงานเป็นไปด้วย ความคล่องตวั มปี ระสทิ ธภิ าพ จงึ ตอ้ งมขี ั้นตอนเพื่อรองรบั ปญั หาท่ีอาจเกิดขึ้นในภายภาคหน้าได้ ดังนี้ 1. ผปู้ ฏบิ ัติงานใช้เครือ่ ง Rotary Evaporator ขาดทกั ษะความรูค้ วามเขา้ ใจในการใชเ้ ครือ่ งมือ 2. เน่ืองจากเคร่ือง Rotary Evaporator มีราคาสูง นักศึกษาที่ใช้เครื่องมือจึงเกิดความกลัว ไม่กล้าใชเ้ ครอ่ื งมือ 3. เคร่ือง Rotary Evaporator ประกอบด้วยหลายส่วน คือ อ่างให้ความร้อน ตัวป๊ัมสุญญากาศ ตัวเครือ่ งทาความเยน็ และตัวเครอื่ งกลั่นแยกสารและแผงชดุ ควบคมุ จึงมีความซับซ้อนและการดูแลรักษา ทีจ่ าเพาะ ซึง่ ตอ้ งอาศยั ความเขา้ ใจในการใช้งาน 4. ขาดงบประมาณในการซอ่ มแซมเครื่องมือ เมือ่ เครือ่ งมือเกิดการชารุด และช้นิ สว่ นเสื่อมสภาพ 5. เน่ืองจากพ้ืนที่อาคาร 5 ท่ีต้ังประจาการเคร่ืองมืออยู่ติดกับเขา จึงมีลิงมารบกวนทาให้ระบบ ไฟฟ้าขัดข้อง ทาให้เกดิ ปัญหาในการใช้เครอื่ งมือ
หน้า 40 บรรณานุกรม บรษิ ัท Buchi Rotavapor® R-300 : คู่มือประกอบการใชง้ านเครื่องระเหยสารแบบหมนุ ด้วยระบบ สญุ ญากาศ Version A http://labsafety.nrct.go.th : สานกั งานคณะกรรมการวิจยั แหง่ ชาติ (วช.) National Research Council of Thailand (NRCT) 196 Paholyotin rd., Chatuchak, Bangkok 10900 http://www.sec.psu.ac.th : ศูนย์เครือ่ งมือวิทยาศาสตร์มหาวทิ ยาลยั สงขลานครินทร์ อภิวัฒน์ ทูลไธสง, อธิป เหลืองไพโรจน์ และ ขนิษฐา คาวิลัยศักดิ์.การศึกษาความเป็นไปได้ในการนา สารละลาย N-Methy-Pyrrolidone และ Acetone กลับมาใช้ใหม่ The Feasibility Study of Recovery N-Methyl-Pyrrolidone and Acetone.ภาควิชาวิศวกรรมเคมี คณะ วศิ วกรรมศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยขอนแกน่ จังหวัดขอนแกน่ ดร.อรษุ า เชาวนลิขิต และดร. ธรี ารตั น์ อทิ ธิโสภณกุล.สธี รรมชาตจิ ากเปลือกมังคดุ Natural Colorants from Mangosteen Rinds.มหาวทิ ยาลัยศรนี ครินทรวิโรฒ,2554 มยุรา วชิรศักด์ิชัย , อรวัลภ์ อุปถัมภานนท์ และ สุนัน ปานสาคร.ผลของเอนไซม์เพคติเนส อุณหภูมิและ ระยะเวลาในการบ่มต่อคุณภาพไซรัปจากตะขบ The results of pectinase enzyme temperature and incubation time on the quality Muntingia Calabura L. syrup. สาขาวิชาเทคโนโลยคี หกรรมศาสตร์ คณะเทคโนโลยคี หกรรมศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยเทคโนโลยีราช มงคลธัญบุรี จ.ปทุมธานี 12110 Home Economics Technology, Faculty of Home Economics Technology, Rajamangala University of Technology Thanyaburi, Pathum Thani 12110 ภาควิชาวิศวกรรมเกษตร คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัย เทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี จ.ปทุมธานี 12110 Agricultural Engineering, Faculty of Engineering, Rajamangala University of Technology Thanyaburi, Pathum Thani 12110 นายสรุ วทิ ย์ นนั ทการตั น์, ผู้ช่วยศาสตราจารยภ์ าณภุ ทั ร ตางาม, นางสาวอนัญญา ไทยบุญนาค, นายบุญชยั ดว้ งสวสั ด์ิ, นางสาวสุวรรณา รุ่งเรอื ง.การผลิตผงสจี ากวสั ดธุ รรมชาติ เพอ่ื ผลติ ภณั ฑ์ อาหาร The Pigment Production from Natural Materials for Food Products. มหาวิทยาลัยเทคโนโลยรี าชมงคลกรุงเทพ,2559
หน้า 41 ภาคผนวก รปู ถ่ายเครอื่ งกล่นั ระเหยแบบหมนุ ภายใต้ระบบสุญญากาศ Rotary Evaporator
หนา้ 42
หนา้ 43
หนา้ 44
หนา้ 45
หนา้ 46
หนา้ 47
หนา้ 48
หน้า 49 ประวตั ผิ ้เู ขยี น ช่ือ-สกลุ : นายไพศาล เอือ้ สินทรพั ย์ วนั เดอื นปีเกดิ : 24 ตุลาคม พ.ศ. 2528 ทอี่ ยู่ปจั จุบัน : 26 หมู่ 19 ตาบลดา่ นทับตะโก อาเภอจอมบงึ จังหวัดราชบุรี 70150 โทร. 091-8702670 E-mail : [email protected] สถานทีท่ างาน : ศูนยว์ ิทยาศาสตร์และวิทยาศาสตรป์ ระยกุ ต์ คณะวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี มหาวทิ ยาลยั ราชภัฏหมบู่ า้ นจอมบึง 46 หมู่ 3 ตาบลจอมบึง อาเภอจอมบึง ประวัติการศึกษา : จงั หวดั ราชบุรี 70150 พ.ศ. 2547 จบการศกึ ษามัธยมศึกษา โรงเรียนครุ ุราษฎรร์ ังสฤษฏ์ จงั หวัดราชบรุ ี การรับราชการ : พ.ศ. 2551 จบการศึกษาระดับปรญิ ญาตรี วุฒิ วท.บ. (วิทยาศาสตรบัณฑติ ) สาขาวชิ าเกษตรศาสตร์ คณะวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี มหาวิทยาลยั ราชภฏั ตาแหน่งปัจจบุ ัน : หมบู่ ้านจอมบึง อาเภอจอมบึง จงั หวัดราชบรุ ี 70150 1 ธันวาคม 2551 เข้าปฏบิ ัตงิ านลูกจ้างชั่วคราวรายเดือน ตาแหนง่ เจ้าหนา้ ท่ปี ฏิบตั ิการ วทิ ยาศาสตร์ 1 มิถุนายน 2554 สอบบรรจเุ ป็นพนกั งานมหาวทิ ยาลัย ตาแหน่งนกั วทิ ยาศาสตร์ ระยะเวลาในการปฏิบตั ิงานจนถึงปัจจบุ ัน 11 ปี 5 เดอื น นกั วทิ ยาศาสตร์ ประจาศูนย์วิทยาศาสตร์และวทิ ยาศาสตร์ประยุกต์ คณะวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวทิ ยาลยั ราชภัฏหมบู่ า้ นจอมบงึ
Search
Read the Text Version
- 1 - 49
Pages: