Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore chapter2

chapter2

Published by pratana.go, 2020-08-19 03:34:33

Description: chapter2

Keywords: research

Search

Read the Text Version

บทท่ี 2 ประเภทของการวิจยั 15 บทที่ 2 ประเภทของการวิจยั การจาแนกประเภทของการวิจัยน้ัน สามารถดาเนินการได้หลายลักษณะ ขึ้นอยู่กับผู้วิจัย หรือผู้จาแนกว่ายึดสิ่งใดหรือเกณฑ์ใดในการจาแนก/แบ่งประเภทของการวิจัย ซึ่งนักวิจัยแต่ละคน อาจมีมุมมองต่างกันในการยึดเกณฑ์ในการจาแนกได้ ด้วยเหตุนี้การจาแนกประเภทของการวิจัย จึงสามารถจาแนกได้หลายแบบขึ้นอยู่กับเกณฑ์ท่ีใช้ในการจาแนกประเภทของการวิจัยโดยพิจารณา จากประโยชน์ของการวิจัย พิจารณาจากลักษณะของข้อมูล พิจารณาจากระเบียบวิธีวิจัย พิจารณา จากจุดมุ่งหมายในการวิจยั พิจารณาจากความสามารถในการควบคุมตัวแปร และพิจารณาจากกรอบ เวลาของปรากฏการณ์ เพ่ือให้ผู้อ่านได้เข้าใจเก่ียวกับการจาแนกประเภทของการวิจัยในบทน้ี จะขอกล่าวถึง การจาแนกประเภทของการวิจัยโดยใช้เกณฑ์ในการพิจารณาจากประโยชน์ของการวจิ ัย พิจารณาจาก ลักษณะของข้อมูล พิจารณาจากระเบียบวิธีวิจัย พิจารณาจากจุดมุ่งหมายในการวิจัย พิจารณาจาก ความสามารถในการควบคุมตวั แปร และพิจารณาจากกรอบเวลาของปรากฏการณ์ (พวงรตั น์ ทวีรัตน์, 2543: 19-22; บุญเรียง ขจรศิลป์, 2543: 7-10; ศิริชัย กาญจนวาสี ดิเรก ศรีสุโข และทวีวัฒน์ ปิตยานนท์, 2547; วรรณี แกมเกตุ, 2555: 42-45) โดยจะอธิบายความหมาย และลักษณะ ของประเภทการวจิ ยั ดังนี้ ลักษณะท่ี 1 ประเภทของการวิจัยท่ีจาแนกโดยพิจารณาจากประโยชน์ของ การวิจยั การวิจยั ที่จาแนกโดยพจิ ารณาจากประโยชนข์ องการวิจัย สามารถแบ่งได้ 3 ประเภท ดังนี้ 1. การวิจัยบริสุทธ์ิ หรือการวิจัยพื้นฐาน (Pure or Basic Research) เป็นการวิจัย ทมี่ ุ่งเน้นในการหาความรู้ ความจริงเพื่อสร้างองคค์ วามรู้ใหม่ สูตร กฎ หรือทฤษฎีใหม่ๆ เพ่ือใช้ในศาสตร์ น้ัน ๆ โดยเฉพาะ ซ่ึงเป็นพ้ืนฐานการศึกษาเร่ืองอ่ืนๆ ต่อไป เช่น การวิจัยที่สร้างทฤษฎีความรู้ ทางการเรยี นสอนแบบใหม่ท่ยี งั ไม่เคยเกิดข้ึนมาก่อน 2. การวิจัยประยุกต์ (Applied Research) เป็นการวิจัยท่ีมุ่งเน้นการนาความรู้ ผลจาก การวิจัย ข้อค้นพบจากการวิจัยพื้นฐาน หรือ ข้อเท็จจริง กฎ ทฤษฎีต่าง ๆ ไปประยุกต์หรือดัดแปลง

16 บทที่ 2 ประเภทของการวิจัย ทดลองใช้กับกลุ่มตัวอย่าง หรือสถานการณ์ท่ีแตกต่างกันเพ่ือศึกษาว่าผลเป็นอย่างไร ซึ่งถ้าได้ ผลการวิจัยน้ันก็จะเกิดประโยชน์ต่อมนุษย์และสังคมต่อไป อาจสามารถนาไปแก้ไขปัญหาทางสังคม องคก์ ร หรอื การปรับปรงุ พัฒนางานให้ดียง่ิ ข้ึนตอ่ ไป 3. การวิจัยเชิงปฏิบัติการ (Action Research) เป็นการวิจัยประยุกต์ลักษณะหนึ่ง โดยมจี ุดมุ่งเน้นการนาองค์ความรู้ ทไี่ ดจ้ ากการวิจยั พ้ืนฐาน หรอื การวจิ ัยประยุกตไ์ ปแกป้ ญั หา ปรบั ปรุง หรือพัฒนางานท่ีปฏิบัติอยู่ ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด การวิจัยเชิงปฏิบัติการจะแตกต่างจากการวิจัย ประยุกต์ ตรงที่การวิจัยเชิงปฏิบัติการมุ่งท่ีจะแก้ปัญหา พัฒนางานงานเฉพาะหน่วยงาน องค์กร เพื่อนาผลการวิจัยไปปรับปรุงพัฒนาการปฏิบัติในทันทีทันใด ไม่ได้มุ่งหวังการอ้างอิงไปสู่ประชากร โดยทัว่ ไป ลักษณะที่ 2 ประเภทของการวิจัยที่จาแนกโดยพิจารณาจากลักษณะของ ข้อมูล การวจิ ยั ที่จาแนกโดยพจิ ารณาจากลกั ษณะของข้อมูล สามารถแบ่งเปน็ 2 ประเภท ดงั น้ี 1. การวิจัยเชิงปริมาณ (Quantitative Research) เป็นการวิจัยท่ีมุ่งเน้นข้อมูลท่ีได้ ในลักษณะของตัวเลข การรวบรวมข้อมูลในเชิงปริมาณเป็นหลัก การวิเคราะห์ข้อมูลใช้วิธีการทางสถิติ เป็นหลัก โดยผลของการวิเคราะห์จะเป็นตัวเลขแสดงถึงจานวนหรือปริมาณของสิ่งที่ต้องการศึกษา เพอื่ ตอบปัญหาการวิจัย 2. การวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) เป็นการวิจัยที่มุ่งเน้นการรวบรวม ขอ้ มลู เชิงคุณภาพเป็นหลัก ขอ้ มูลส่วนใหญ่เป็นข้อมูลเชิงคุณลกั ษณะ อาทิ ลักษณะของกลุ่มคน ชุมชน พฤติกรรม สภาพการณ์ หรือปรากฏการณ์ต่าง ๆ เป็นต้น การเก็บรวบรวมข้อมูลสามารถทาได้ หลากหลายวิธี อาจใช้การสังเกต สัมภาษณ์ การจดบันทึก ส่วนการวิเคราะห์ข้อมูลใช้การวิเคราะห์ เน้ือหา ตีความ การสร้างข้อสรุปของปัญหาวิจัย ซ่ึงต้องอาศัยประสบการณ์ หรือความเช่ียวชาญ ของผ้วู จิ ัยรวมถงึ อาศยั ข้อมลู อยา่ งรอบด้านในการสรุปเพ่ือตอบปัญหาวจิ ยั ได้อยา่ งถกู ต้องและลึกซึ้ง ลักษณะท่ี 3 ประเภทของการวจิ ัยโดยพิจารณาจากระเบียบวธิ ีวิจัย การวิจยั ที่จาแนกโดยพิจารณาจากระเบียบวธิ ีวิจยั สามารถแบง่ ได้ 3 ประเภท ดงั น้ี 1. การวิจัยเชิงประวัติศาสตร์ (Historical Research) เป็นการวิจัยท่ีมุ่งเน้นการศึกษา เรื่องราว เหตุการณ์ท่ีเกิดขึ้นในอดีต ประวัติศาสตร์ โดยศึกษาถึงองค์ความรู้ในแง่ของพัฒนาการ หรือ

บทที่ 2 ประเภทของการวิจัย 17 เร่ืองราวต่าง ๆ ที่ผ่านมาในอดีต โดยอาศัยหลักฐานจากเอกสาร หรือข้อมูล หลักฐานต่าง ๆ ในอดีต การวิจัยเชงิ ประวัติศาสตร์จะมีระเบียบวิธี 3 ขั้นตอน คือ ข้ันเกบ็ รวบรวมข้อมูล ขนั้ วิพากษ์ ตีความ ข้อมูล และขั้นนาเสนอข้อมูล ประโยชน์ของวิจัยน้ีคือผลการวิจัยที่ได้จากข้อมูล ข้อเท็จจริงต่าง ๆ ท่ีเกิดขึ้นในอดีต สามารถนามาใช้เป็นแนวทางในการศึกษาเหตุการณ์ในปัจจุบัน หรือสามารถนาไป ประกอบการตัดสินใจเพ่ือแก้ปัญหาต่าง ๆ ได้ นอกจากนั้นผลของการวิจัยเชิงประวัติศาสตร์ทาให้ ได้รบั ทราบข้อมูลแนวโน้มของเหตุการณ์ต่าง ๆ ท่ีเกิดขึ้นในอดตี ซ่ึงสามารถนามาวางแผนในอนาคตได้ อีกด้วย ตัวอย่างของงานวิจัยเชิงประวัติศาสตร์ เช่น วิวัฒนาการของเคร่ืองเงินล้านนาต้ังแต่สมัย สโุ ขทยั ถงึ ปจั จุบัน หรือการศึกษาของไทยในสมยั รัตนโกสนิ ทรต์ อนต้น 2. การวิจัยเชิงบรรยาย (Descriptive Research) เป็นการวิจัยที่มุ่งเน้นการศึกษา รวบรวมข้อมูลต่าง ๆ ในปัจจุบัน เพื่อให้ได้องค์ความรู้ โดยการใช้เพื่อบรรยายลักษณะ หรือ ส่วนประกอบ หรือความสัมพันธ์ของตัวแปรต่าง ๆ วา่ เป็นอย่างไร การวิจยั เชิงบรรยายจะแตกต่างจาก การวิจัยเชิงประวัติศาสตร์ท่ีข้อมูลท่ีได้ในการวิจัยเชิงบรรยายจะเป็นข้อมูลในปัจจุบันไม่ใช่ข้อมูล ในอดีตเช่นเดียวกับการวิจัยเชิงประวัติศาสตร์ เช่น นักวิจัยต้องการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างเพศ กับการศึกษาต่อในระดับมัธยมศึกษาตอนปลายของนักเรียนไทย หรือการสารวจความพึงพอใจ ตอ่ การจัดการเรยี นการสอนในมหาวทิ ยาลยั เป็นตน้ 3. การวิจัยเชิงทดลอง (Experimental Research) เป็นการวิจัยท่ีมุ่งเน้นศึกษาว่าตัวแปร ที่ศึกษาน้ันเป็นสาเหตุให้เกิดผลอย่างไร การวิจัยเชิงทดลองจึงเป็นงานวิจัยท่ีหาความสัมพันธ์เชิงเหตุ-ผล ของตัวแปรในปรากฏการณ์ต่าง ๆ เป็นการหาความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรตง้ั แต่ 2 ตัวข้ึนไป โดยการวิจัย เชิงทดลองจะมีระเบียบวิธีวิจัยแตกต่างจาก 2 ประเภทแรก คือ ศึกษาว่าตัวแปรต้นมีผลต่อตัวแปรตาม อย่างไร โดยอาจสร้างเงื่อนไข เหตุการณ์ โดยมีการควบคุมตัวแปรแทรกซ้อนต่าง ๆ เพ่ือให้มั่นใจว่า ตัวแปรตาม หรือผลที่เกิดขึ้นจากการวิจัยเป็นส่ิงที่เกิดจากตัวแปรต้นที่จัดกระทาเข้าไปในการทดลอง จริง ๆ เช่น การเปรยี บเทยี บวิธกี ารสอนแบบโครงการเปน็ ฐานกับการสอนแบบปกติ ที่มีต่อผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนในวิชาวิทยาศาสตร์ของนกั เรยี นช้ันมัธยมศึกษาปที ี่ 3 เป็นต้น

18 บทที่ 2 ประเภทของการวิจยั ลักษณะท่ี 4 ประเภทของการวิจัยที่จาแนกโดยพิจารณาจากจุดมุ่งหมายใน การวิจยั การวิจยั ท่ีจาแนกโดยพจิ ารณาจากจดุ มงุ่ หมายในการวจิ ยั สามารถแบ่งได้ 3 ประเภท ดงั นี้ 1. การวิจัยมุ่งบรรยาย เป็นการวิจัยท่ีมุ่งบรรยาย ลักษณะของประชากรหรือกลุ่มตัวอย่าง บรรยายลกั ษณะของตวั แปรทศ่ี ึกษาหรือบรรยายความสมั พันธ์ของตวั แปรต้ังแต่ 2 ตวั แปรขน้ึ ไป 2. การวิจัยมุ่งเปรียบเทียบความแตกต่าง เป็นการวิจัยท่ีมุ่งเปรียบเทียบ ทดสอบ ความแตกตา่ งของประชากรทีศ่ กึ ษา หรือเปรียบเทยี บความแตกตา่ งของประชากรท่ตี ่างกลุม่ กนั 3. การวิจัยมุ่งหาความสัมพันธ์หรือทานาย เป็นการวิจัยท่ีมุ่งทานายความสัมพันธ์ ของตวั แปร โดยสามารถแบ่งวจิ ัยประเภทน้ีออกเป็น 2 ลักษณะ ดงั น้ี 3.1 การวิจัยมุ่งอธิบายความสัมพันธ์ของตัวแปร เป็นการวิจัยที่มุ่งหาความสัมพันธ์ ของตัวแปรระหว่างกลุ่มต่าง ๆ หาความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรหน่ึงกับอีกตัวแปรหน่ึง โดยมีการควบคุม อิทธิพลของตัวแปรบางตัวแปรมิให้แทรกซ้อน เพื่อจะได้อธิบายความสัมพันธ์ของตัวแปรที่สัมพันธไ์ ด้อย่าง ถูกตอ้ ง 3.2 การวิจัยมุ่งทานายตัวแปร การวิจัยที่มุ่งทานายตัวแปรตามว่าเกิดจากตัวแปรใด หรือพยากรณ์หาความสัมพันธ์ของตัวแปรว่าเป็นอย่างไร หรือหากการเปล่ียนแปลงค่าของตัวแปรหนึ่ง แลว้ ทาใหค้ ่าของอกี ตวั แปรหน่งึ เปลี่ยนแปลงหรือไม่อยา่ งไร สามารถทานายหรือพยากรณไ์ ด้ เปน็ ตน้ 4. การวิจัยมุ่งจัดระบบโครงสร้างของกลุ่มตัวแปร เป็นการวิจัยท่ีมุ่งจัดระบบ จาแนก ประเภทของตัวแปรท่ีสนใจ หรือศึกษาความสัมพันธ์ของโครงสร้างของกลุ่มตัวแปรว่าประกอบด้วย องค์ประกอบใดบ้าง 5. การวิจยั มุ่งหาความสมั พันธ์เชิงสาเหตุ เป็นการวจิ ัยที่มุ่งแสวงหาความสมั พันธ์เชิงสาเหตุ วา่ มีความเปน็ เหตุเป็นผลอย่างไร โดยสามารถแบ่งการวจิ ยั ประเภทน้ีออกเป็น 2 ลักษณะ ดงั น้ี 5.1 การวิจัยเชิงสาเหตุในสภาพท่ีไม่ใช่การทดลอง เป็นการวิจัยท่ีมุ่งแสวงหา ความสัมพันธ์ของตัวแปรเชิงสาเหตุ โดยใช้หลักการหรือแนวคิดทางทฤษฎี การออกแบบการวิจัย เพ่ือศึกษา ค้นหาความสัมพันธ์เชิงสาเหตุระหว่างตัวแปรภายใต้สภาพการณ์ตามธรรมชาติ เช่น การศึกษาปัจจัยท่ีเอื้อต่อคุณภาพของสถานศึกษาระดับการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน ตามระบบการประเมิน คุณภาพภายนอกรอบท่ีสอง เพื่อสรุปว่าผลของคุณภาพของสถานศึกษาท่ีเกิดข้ึนนั้นมาจากปัจจัย หรอื สาเหตุใด เปน็ ตน้

บทท่ี 2 ประเภทของการวิจัย 19 5.2 การวิจัยเชิงสาเหตุในสภาพการทดลอง เป็นการวิจัยท่ีมุ่งแสวงหาความสัมพันธ์ ของตัวแปรเชิงสาเหตุ โดยใช้หลักการออกแบบการทดลอง (Experimental Design) มีการสุ่ม กลุ่มตัวอย่างที่นามาจากการศึกษาจากประชากร (Random Selection) และมีการสุ่มตัวอย่างเข้า การทดลอง (Random Assignment) เพ่ือสังเกตผลว่าตัวแปรตามเกิดผลจากการจัดกระทาของตัวแปร อิสระหรือไม่เพ่ือสรุปผลในเชิงสาเหตุ เช่น การศึกษาผลการใช้ระบบ e–learning และการสอนแบบ ปกติท่ีมีผล ต่อผลการเรยี นของนักศึกษาในวชิ าวจิ ัยเพอ่ื พัฒนาการเรยี นรู้ เปน็ ตน้ 6. การวิจัยมุ่งพัฒนา การทดสอบทฤษฎี หรือการสร้างสิ่งประดิษฐ์ เป็นการวิจัยทมี่ ุ่งศึกษา พัฒนาหรือทดสอบหลักการ แนวคิด ทฤษฎี โดยอาศัยการจาลองรูปแบบตามทฤษฎีเพ่ือสรุปผลการวิจัย หรอื อาจเปน็ การสร้างสิ่งประดิษฐ์ใหม่ ๆ ขน้ึ มา โดยสามารถแบ่งวจิ ัยประเภทนี้ออกเป็น 3 ลักษณะ ดังน้ี 6.1 การวิจัยสถานการณ์จาลองจากประชากรจริง เป็นการวิจัยท่ีมุ่งศึกษา พัฒนา หรือทดสอบหลักการ แนวคิด ทฤษฎีต่าง ๆ ท่ีสนใจ โดยทาการศึกษาจากประชากรจริงและดาเนินการสุ่ม ตัวอย่างตามเงื่อนไขต่าง ๆ ตามรูปแบบจาลองตามทฤษฎีหรือตามสิ่งที่คาดว่าจะเกิดขึ้นจริง เพ่ือแสวงหา ข้อสรุปผลการวิจัยเก่ียวกับเร่ืองที่ศึกษาว่าหลักการหรือรูปแบบจาลองตามทฤษฎีกับส่ิงท่ีเกิดข้ึนจริง จากการเก็บข้อมลู จากกลุ่มตวั อยา่ งผลเป็นอย่างไร เปน็ ไปตามทฤษฎหี รือไม่อย่างไร 6.2 การวิจัยสถานการณ์จาลองจากประชากรจาลอง เป็นการวิจัยที่มุ่งศึกษา พัฒนา หรือทดสอบหลักการ แนวคิด ทฤษฎีต่าง ๆ ท่ีสนใจ โดยทาการศึกษาจากประชากรจาลองท่ีกาหนดข้ึน ตามเงื่อนไข ซ่ึงสามารถสร้าง (Generate) ประชากรโดยอาศัยสถานการณ์จาลองจากคอมพิวเตอร์ (Computer Simulation) ให้ได้ประชากรตามลักษณะเง่ือนไขท่ีกาหนด เพ่ือใช้ในการศึกษาเพื่อแสวงหา ข้อสรุปผลการวิจัยในแง่มุมต่าง ๆ ท่ีต้องการ การวิจัยในลักษณะนี้รู้จักกันแพร่หลายในนามของ “Monte Carlo Simulation” 6.3 การวิจัยสร้างสิ่งประดิษฐ์ เป็นการวิจัยท่ีมุ่งพัฒนา หรือสร้างสิ่งประดิษฐ์ใหม่ ๆ เพ่ือส่งเสริม สนับสนุนคุณภาพชีวิตที่ดีของคนในสังคม การสร้างส่ิงประดิษฐ์ใหม่ ๆ ในการปฏิบัติกิจกรรม หรอื เพ่ือการแกป้ ัญหาต่าง ๆ ในสังคม

20 บทท่ี 2 ประเภทของการวิจัย ลักษณะที่ 5 ประเภทของการวิจัยที่จาแนกโดยพิจารณาจากความสามารถ ในการควบคุมตัวแปร การวิจัยท่ีจาแนกโดยพิจารณาจากความสามารถในการควบคุมตัวแปร สามารถแบ่งได้ 3 ประเภท ดังนี้ 1. การวิจัยเชิงทดลอง (Experimental Research) เป็นการวิจัยท่ีมุ่งศึกษาตัวแปร อย่างน้อย 2 ตัว ว่า ตัวแปรต้นและตัวแปรตามมีความสัมพันธ์กันหรือไม่ หรือตัวแปรต้นเป็นเหตุ ให้เกิดผล หรือส่งผลต่อตัวแปรตามจริงหรือไม่ โดยผู้วิจัยจะต้องสร้างสถานการณ์ หรือเง่ือนไข หรือ ควบคุมตวั แปรแทรกซ้อนตา่ ง ๆ ท่ไี ม่ตอ้ งการใหม้ ีผลต่อการวิจยั นั้นออกไปให้หมด 2. การวิจัยเชิงก่ึงทดลอง (Quasi Experimental Research) เป็นการวิจัยที่มุ่งศึกษา ความสัมพันธ์ของตัวแปรอย่างน้อย 2 ตัว เช่นกัน แต่จะมีความแตกต่างจากการวิจัยเชิงทดลอง คือ ผู้วิจัยสามารถสร้าง หรือควบคุมสถานการณ์ หรือควบคุมตัวแปรแทรกซ้อนได้เพียงบางส่วน เทา่ นัน้ 3. การวิจัยเชิงธรรมชาติ (Naturalistic Research) เป็นการวิจัยท่ีไม่สามารถสร้าง หรือ ควบคุมสถานการณ์ หรือไม่มีการควบคุมตัวแปรใด ๆ ท้ังสิ้น ผู้วิจัยปล่อยให้กลุ่มตัวอย่าง หรือส่ิงที่ สนใจศึกษาเปน็ ไปตามปกติท่เี ปน็ อยู่ หรอื เปน็ ไปตามธรรมชาติ ลกั ษณะท่ี 6 ประเภทของการวิจัยท่ีจาแนกโดยพิจารณาจากกรอบเวลาของ ปรากฏการณ์ การวิจัยที่จาแนกโดยพิจารณาจากกรอบเวลาของปรากฏการณ์ สามารถแบ่งได้ 3 ประเภท ดังนี้ 1. การวิจัยเชิงประวัติศาสตร์ (Historical Research) เป็นการวิจัยท่ีมุ่งเน้นการศึกษา เกี่ยวกับเรื่องราว เหตุการณ์ท่ีเกิดข้ึนในอดีต ประวัติศาสตร์ โดยใช้กระบวนการสืบสวน สอบสวน บันทึก วิเคราะห์ และแปลความหมายของปรากฏการณ์ในอดีต เพื่อหาข้อสรุปผลปรากฏการณ์ในอดีต ได้ข้อค้นพบใหม่ๆ จากการวิจัยเพ่ือนามาใช้เป็นแนวทางในการศึกษาเหตุการณ์ในปัจจุบัน หรือ สามารถนาไปประกอบการตัดสินใจเพ่ือแก้ปัญหาต่าง ๆ รวมถึงอาจนามาทานายหรือคาดคะเน ปรากฏการณ์ในอนาคตได้

บทที่ 2 ประเภทของการวิจัย 21 2. การวิจัยเชิงปัจจุบัน (Contemporaneous Research) เป็นการวิจัยที่มุ่งเน้น การศึกษาปรากฏการณ์ทางสังคมท่ีเกิดข้ึนในสภาพปัจจุบัน หรือท่ีเรียกว่าการวิจัยเชิงบรรยายน่ันเอง ซงึ่ ครอบคลุมการวิจยั ประเภทต่าง ๆ หลายประเภทดงั ทก่ี ล่าวแลว้ ข้างตน้ 3. การวิจัยเชิงอนาคต (Future Research) เป็นการวิจัยท่ีมุ่งเน้นการสารวจ ศึกษาแนวโน้ม ท่ีเป็นไปได้ของเรื่องราว ปรากฏการณ์ในอนาคตท่ีต้องการศึกษา ท้ังทางด้านบวกและด้านลบ ทั้งท่ี พึงประสงค์และไม่พึงประสงค์ เพ่ือหาแนวทางท่ีทาให้เกิดแนวโน้มที่พึงประสงค์ รวมถึงป้องกันหรือขจัด แนวโน้มท่ีไม่พึงประสงค์ให้หมดไป ดังนั้นข้อมูลที่ได้จากการวิจัยเชิงอนาคตจึงเป็นประโยชน์โดยตรง ต่อการวางแผน การกาหนดนโยบาย การตัดสินใจ การหายุทธวิธี ที่จะนาไปสู่การสร้างอนาคตที่ต้องการ และขจดั ปรากฏการณ์ที่ไมต่ ้องการทจี่ ะเกิดในอนาคตใหห้ มดไปได้ การวจิ ยั เชงิ อนาคตสามารถทาได้หลายวิธีการ เช่น 1) การคาดการณ์แนวโน้ม (Trend Projection) เป็นการศึกษาที่ใช้ข้อมูลท่ีเกิดขึ้น แล้วท้ังในอดีต ปัจจุบัน แล้วนาข้อมูลมาวิเคราะห์หาความเหมือนและความต่าง หรือขนาดและ ทิศทางการเปล่ียนแปลงของสิ่งน้ัน ๆ เพื่อทานายส่ิงท่ีจะเกิดขึ้นในอนาคต ด้วยวิธีการวิเคราะห์ทาง สถิติ เช่น การวิเคราะห์ถดถอย (Regression Analysis) การวิเคราะห์อนุกรมเวลา (Time Series Analysis) เพื่อใช้ในการพยากรณ์ หรือวางแผนสาหรับอนาคต เช่น การศึกษาแนวโน้มด้าน ตลาดแรงงาน ก็จะเป็นประโยชน์ต่อการวางแผนการจัดการศึกษาในการที่จะผลิตกาลังคนให้ตรงตาม ความต้องการของตลาดและการศึกษาแนวโน้มการขยายตัวของสังคมเมือง ก็จะเป็นประโยชน์ต่อ การวางแผนในการจัดผังเมอื งระบบจราจร และการสาธารณูปโภค เป็นตน้ 2) การเขียนภาพอนาคต (Scenario Writing) เป็นการมองภาพความเป็นไปได้ของ ปรากฏการณ์ เหตุการณ์ที่จะเกิดข้ึนในอนาคต บนพื้นฐานข้อมูลที่ทราบและมี วิธีน้ีจะทาให้นักวิจัย ทราบลกั ษณะของผลทอ่ี าจเกิดขนึ้ ในอนาคตได้ 3) เทคนิคเดลฟาย (Delphi Technique) เป็นการสารวจความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญ ท่ีเกี่ยวข้องกับเร่ืองใดเรื่องหน่ึงท่ีผู้วิจัยทาการวิจัย เพ่ือต้องการหาฉันทามติ (Consensus) ของ ความคิดเห็นเกีย่ วกับเรื่องน้นั ๆ สาหรบั นาไปใช้ในการตัดสนิ ใจ การวางแผนเกยี่ วกบั เรอื่ งใดเร่อื งหนง่ึ 4) การจาลองโดยคอมพิวเตอร์ (Computer Simulation) เป็นการจาลองโดยใช้ โมเดล สมการทางคณติ ศาสตรท์ ี่แสดงถึงความสัมพันธ์ของตัวแปรต่าง ๆ ทีเ่ กี่ยวข้อง ภายใตข้ ้อมลู และ เงื่อนไขต่างๆ ท่ีกาหนด แล้วใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ประมวลผลแนวโน้มท่ีอาจจะเกิดข้ึน ในอนาคต เช่น ถ้าค่าแรงขึ้นต่าเพ่ิมข้ึน 3 % คอมพิวเตอร์อาจแสดงผลว่าจะทาให้เกิดเงินเฟ้อ 7% ประชาชนเพม่ิ การซ้อื สินค้าฟุ่มเฟอื ยเพิม่ ขนึ้ 30 % เปน็ ตน้

22 บทท่ี 2 ประเภทของการวิจยั สรุป การแบ่งประเภทวิจัยน้ันดาเนินการเพ่ือสะดวกในการพิจารณาธรรมชาติของปัญหาวิจัย ที่ผู้วิจัยสนใจทา การจัดเก็บข้อมูล ดังน้ันจึงไม่สามารถสรุปได้ว่าระเบียบวิธีวิจัยใดดีกว่ากัน ขึ้นอยู่ที่ ปัญหาวิจัย วัตถุประสงค์ของการวิจัยของผู้วิจัยว่าควรเลือกดาเนินการวิจัยประเภทใดจึงจะเหมาะสม ท่ีจะได้ข้อมูลท่ีลุ่มลึก เหมาะกับสภาพปัญหา วัตถุประสงค์ของการวิจัยเพื่อจะได้รับองค์ความรู้ที่เกิด ประโยชน์สูงสุดตอ่ ไป แบบฝกึ หดั บทที่ 2 1. ให้นักศึกษาวิเคราะหป์ ระเภทของการวิจัยท่ีกาหนดให้วา่ มีความเหมอื น และมีความแตกตา่ งกันใน ประเดน็ ใดบา้ ง พรอ้ มใหเ้ หตผุ ลประกอบ 1.1 การวจิ ัยบรสิ ทุ ธิ์ และวิจัยประยกุ ต์ 1.2 วจิ ัยเชงิ คณุ ภาพ และวิจยั เชงิ ปริมาณ 1.3 วจิ ยั เชิงประวัติศาสตร์ และวจิ ัยเชงิ บรรยาย 1.4 วจิ ยั เชงิ ทดลอง และวิจัยธรรมชาติ 2. ใหน้ ักศึกษาวเิ คราะห์ชื่อเร่ืองวจิ ัยทีก่ าหนดใหด้ งั น้ี 2.1 ช่ือเร่ือง “การใช้บทเรียนคอมพิวเตอร์เพ่ือการพัฒนาทักษะการพูดภาษาอังกฤษของ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนแสงดาว”หากวิเคราะห์โดยพิจารณาจาก ประโยชนข์ องการวจิ ัยแลว้ วจิ ยั เร่ืองนี้จัดได้ว่าเปน็ วิจยั ประเภทใด โปรดให้เหตผุ ลประกอบ 2.2 ช่ือเร่ือง “การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง ธาตุและสารประกอบของนักเรียน ระดับช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 2 โรงเรียนแสนสุข” หากวิเคราะห์โดยพิจารณาจากลักษณะของ ขอ้ มูลแลว้ วจิ ยั เร่อื งนี้จดั ไดว้ า่ เปน็ วิจัยประเภทใด โปรดใหเ้ หตุผลประกอบ


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook