วรรณคดีมรดก ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๖ โรงเรียนวีรนาทศึกษามูลนิธิ จัดทำโดย นายอนาวิล มากหนู นางถมยา อัณฑยานนท์
สารบัญ บทที่ ๑ ความรู้พื้นฐานวรรณคดี วรรณกรรมและวรรณคดี.....................................๒ ประเภทของวรรณคดี............................................๔ วรรณคดีมรดก.......................................................๘ วรรคทองของวรรณคดี........................................๑๒ บทที่ ๒ ทัศนีย์วรรณกรรม วิวัฒนาการวรรณคดี...........................................๑๕ ยอดของวรรณคดี.................................................๒๖ บทที่ ๓ งามล้ำคุณค่า การวิเคราะห์คุณค่าวรรณคดี.............................๓๑
๑หนังสือเรียนวิชาวรรณคดีมรดก ชนั้ มัธยมศกึ ษาปีที่ ๖ โรงเรียนวีรนาทศกึ ษามูลนิธิ จังหวัดพทั ลงุ
๒หนงั สือเรยี นวชิ าวรรณคดีมรดก ช้ันมัธยมศกึ ษาปที ่ี ๖ โรงเรยี นวรี นาทศึกษามลู นิธิ จังหวดั พทั ลงุ วรรณกรรมและวรรณคดี ความหมายของวรรณคดี วรรณคดี เป็นคาที่บัญญัติขึ้นเพื่อใช้แทนคา Literature ในภาษาอังกฤษ ปรากฏครั้งแรกใน พระราชกฤษฎีกา จัดต้ังเป็นวรรณคดีสโมสร เม่ือวันที่ ๒๓ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๕๗ ในรัชกาลพระบาทสมเด็จ พระมงกฎุ เกล้าเจ้าอยู่หัว วรรณคดี ประกอบข้ึนจากคา วรรณ ซึ่งเป็นคามาจากภาษาสันสกฤต แปลว่า หนังสือ ส่วนคาว่า คดี เป็นคาเดียวกับ คติ ซ่ึงเป็นคาบาลีและสันสกฤต แปลว่า เร่ือง ตามรูปศัพท์วรรณคดีจึงแปลว่า เร่ืองท่ีแต่ง เปน็ หนังสือ แต่ในปัจจบุ ันหมายเฉพาะหนงั สอื ท่แี ต่งดี พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.๒๕๕๔ ให้ความหมายของวรรณคดีว่า วรรณกรรมที่ได้รับ ยกย่องว่าแตง่ ดีมีคณุ ค่าเชงิ วรรณศลิ ป์ถงึ ขนาด เชน่ พระราชพิธี ๑๒ เดอื น มัทนะพาธา สามก๊ก วรรณคดี กล่าวโดยสรปุ หมายถึง หนงั สอื ที่ได้รับการยกยอ่ งว่าแตง่ ดี มคี ุณค่าทางวรรณศิลป์และคุณค่า ด้านอ่ืน ๆ ในอีกลักษณะอาจจะกล่าวได้ว่า วรรณคดี คือ หนังสือท่ีแต่งขึ้นก่อนสมัยรัชกาลที่ ๕ ขึ้นไป (เนอ่ื งต้ังแตส่ มยั รชั กาลท่ี ๕ ลงมาเร่ิมมีอทิ ธพิ ลวรรณกรรมตะวนั ตกเข้ามาเผยแพร่) ความหมายของวรรณกรรม วรรณกรรม มีปรากฏเป็นหลักฐานครั้งแรกในพระราชบัญญัติคุ้มครองศิลปะและวรรณกรรม พ.ศ.๒๔๗๔ คาน้ีแปลมาจากคา Literature เช่นเดียวกับคาว่า วรรณคดี วรรณกรรม มีความหมายที่ใช้กัน เปน็ ทีเ่ ขา้ ใจทว่ั ไป ๒ นัย คอื ๑. ความหมายใกล้เคียงกับวรรณคดีในความหมายอย่างกว้าง คือ หมายถึงสิ่งท่ีเขียนข้ึน ประพันธ์ข้ึน ทั้งหมด ไม่วา่ จะเป็นรูปแบบใด เพือ่ ความมุ่งหมายใด ไม่เน้นการแสดงออกวา่ มีคณุ คา่ ทางอารมณ์หรือไม่ ๒. หมายถึงส่ิงที่เขียน ประพันธ์ขึ้นเรื่องหนึ่ง ๆ ด้วยภาษาใดภาษาหนึ่งในสมัยหนึ่ง หรือในบ้านเมือง แห่งหน่ึง ๆ เปน็ รายเรื่องไป เช่นใช้วา่ วรรณกรรมสนุ ทรภู่ วรรณกรรมร่วมสมัย วรรณกรรมรัสเซีย วรรณกรรม สมัยรัตนโกสินทร์ คาว่าวรรณกรรมมีความหมายเป็นกลาง ๆ ไม่ประเมินคุณค่า จึงไม่เหมือนกับคาว่าวรรณคดี ในความหมายอย่างแคบ วรรณกรรมท่แี ต่งดี ไดร้ ับความยกยอ่ งจากคนทั่วไปจึงเรียกว่า วรรณคดี คุณสมบัติท่ีทาให้วรรณกรรม และวรรณคดีต่างกนั คอื วรรณศลิ ปห์ รือศิลปะแหง่ การเรยี บเรยี ง
๓หนังสอื เรยี นวชิ าวรรณคดีมรดก ชน้ั มัธยมศกึ ษาปีท่ี ๖ โรงเรียนวรี นาทศกึ ษามูลนิธิ จังหวัดพทั ลงุ วรรณกรรม คือ งานเขียนทุกประเภทที่ถ่ายทอดออกมาโดยใช้ศิลปะ ในการใช้ภาษา เช่น นวนิยาย เร่ืองส้ัน บทกลอน บทความ วรรณคดี คือ งานเขียน ที่ได้รับการยกย่องว่าแต่งดี โดยใช้กาลเวลาเป็นเคร่ืองพิสูจน์ว่าเป็นผลงานอมตะ และถ่ายทอดอย่างมีศิลปะ ไม่ทาลายศีลธรรมประเพณีอันดีงามของไทย มีความดีเด่น ดา้ นเนื้อหาและวรรณศลิ ป์ เชน่ อเิ หนา พระอภยั มณี สามก๊ก โคลงโลกนติ ิ เป็นตน้ วรรณคดีโบราณ วรรณกรรมปัจจุบนั
๔หนงั สือเรียนวชิ าวรรณคดีมรดก ชนั้ มัธยมศกึ ษาปีที่ ๖ โรงเรียนวีรนาทศกึ ษามลู นิธิ จังหวดั พัทลุง ประเภทของวรรณคดี การจาแนกประเภทของวรรณคดีสามารถจาแนกออกเป็นประเภทต่าง ๆ โดยใช้เกณฑ์การจาแนกท่ี แตกต่างกนั ไดแ้ ก่ จาแนกตามจุดมุ่งหมาย รูปแบบการประพันธ์ รูปแบบทั่วไป หรือจาแนกตามแนวคิดและ เนือ้ หาของวรรณคดี ดังนี้ จาแนกตามจดุ มุ่งหมาย จดุ มงุ่ หมายของการแต่งอาจแยกออกเป็นประเภทใหญ่ ๆ ๒ ประเภท คือ ๑. สารคดี (non-fiction) คือวรรณคดีท่ีมีจุดมุ่งหมายเพื่อความรู้หรือเป็นศาสตร์ เช่น ปฐมโพธิกถา พระราชพธิ สี บื สองเดือน เปน็ ตน้ ๒. บันเทิงคดี (fiction) คือวรรณคดีท่ีมุ่งหมายให้ผู้อ่านมีความเพลิดเพลิน เกิดอารมณ์ และจินตนาการคล้อยตามไปด้วยการเขียนอย่างมีศิลปะ ไพเราะร่ืนหู มีความสมดุล และมีเอกภาพ หรือมี แบบแผนและได้รบั ความนิยม เช่น เสภาเรื่องขนุ ชา้ งขุนแผน บทละครเร่ืองอเิ หนา เปน็ ตน้ จาแนกตามลักษณะของวรรณคดี ลกั ษณะของวรรณคดีสามารถแบง่ ประเภทของวรรณคดีได้เปน็ ๒ ประเภท คอื ๑. วรรณคดีมุขปาฐะ คือวรรณคดีแบบท่ีเล่ากันปากต่อปาก ซ่ึงเป็นลักษณะของนิทาน ตานาน หรือถ้อยคาท่ีกล่าวสืบต่อกันมาโดยไม่ได้บันทึกไว้เป็นลายลักษณ์อักษร เช่น เพลง พื้นบ้าน นิทาน ชาวบ้าน บทร้องเล่น เป็นตน้ ๒. วรรณคดีราชสานักหรือวรรณคดีลายลักษณ์อักษร คือวรรณคดีท่ีมีการจดบันทึก หรือจารึกไว้ ณ ที่ใดท่ีหนึ่งโดยอักษรรูปแบบต่าง ๆ ตามแต่ยุคสมัย และเหตุที่เรียกว่าวรรณคดีราชสานัก เน่ืองจากในสมัยโบราณความรู้เรื่องการจดบันทึกและการแต่งวรรณคดีต่าง ๆ จะรวมอยู่ที่ราชสานักมากกว่า ชาวบา้ นทว่ั ไป เช่น ไตรภูมิพระรว่ ง พระอภัยมณี อเิ หนา ลลิ ิต ตะเลงพา่ ย เป็นต้น
๕หนงั สอื เรียนวิชาวรรณคดมี รดก ชัน้ มธั ยมศกึ ษาปที ี่ ๖ โรงเรียนวรี นาทศกึ ษามลู นธิ ิ จังหวดั พัทลงุ จาแนกตามรูปแบบการประพันธ์ รูปแบบการประพนั ธข์ องการแต่งวรรณคดีไทย แบ่งได้เป็น ๒ รูปแบบ คอื ๑. ร้อยกรอง (prosody หรือ poetry) คือข้อเขียนท่ีมีการจากัดจานวนคา พยางค์ ความยาว เสียงสูงต่าหนักเบา เอกโท สัมผัส และจังหวะไว้อย่างแน่นอน วรรณคดีประเภทน้ีเรียกอีกอย่างว่า กวนี พิ นธ์ ๒. ร้อยแก้ว (prose หรือ essay) คือข้อเขียนท่ีไม่มีการกาหนดฉันทลักษณ์เหมือน ร้อยกรอง มีลักษณะเป็นความเรียงที่สละสลวยไพเราะเหมาะเจาะด้วยเสียงและความหมาย วรรณคดีที่แต่ง เปน็ ร้อยแก้ว เช่น นวนิยาย นิทาน นยิ าย เร่ืองส้นั บนั ทกึ บทละครสมยั ใหม่ เปน็ ต้น จาแนกตามรปู แบบท่วั ไป วรรณคดอี าจจาแนกออกเป็นประเภทต่าง ๆ ตามรปู แบบท่มี ีผ้กู าหนดข้นึ โดยทวั่ ไป ดังนี้ ๑. วรรณกรรมวรรณา (narrative literature) หรือ วรรณกรรมมุขปาฐะ (oral literature) ได้แก่ วรรณคดีที่ไม่มีตัวอักษรารจารึกไว้อย่างชัดเจน แต่เป็นการเล่าเรื่องต่อกันมาในลักษณะ นทิ าน ตานาน เป็นตน้ ๒. เรอื่ งสั้น (short story) เป็นเร่ืองบันเทิงคดีพวกหน่ึงท่ีประกอบด้วยลักษณะอันมีศิลปะ เช่น แสดงเรื่องของตัวละครอันตกอยู่ในสภาพแห่งความยากลาบาก หรืออยู่ในที่ขัดข้องอับจนแล้วต่อสู้ หรือแก้ไขพฤติการณ์น้ันจนบรรลุผลท่ีสุดอย่างใดอย่างหนึ่ง โดยทั่วไปเร่ืองสั้นมีลักษณะคล้ายนวนิยาย แต่มีขนาดนน้ั สน้ั และมีปมของเรอ่ื งหลกั (แกน่ เรอื่ ง) เพยี งประเดน็ เดียวเท่านั้น ๓. นวนิยาย (novel) คือเร่ืองท่ีสมมติข้ึนหรือใช้จินตนาการสร้างสรรค์ข้ึนโดยยึดหลัก ความสมจริงให้มากที่สุด โดยท่ัวไปนวนิยายจะมีขนาดยาว มีตัวละครมาก และมีแก่นเร่ืองหลักและมีปม ของเรอ่ื งยอ่ ยไดห้ ลากหลาย มากกวา่ ๑ ปมเสมอ ๔. บทละคร (Plays หรือ drama) เป็นวรรณคดีท่ีแต่งข้ึนเพ่ือการแสดงประเภทเน้ือเร่ือง โดยกาหนดบทบาทของผู้แสดงให้สมจริง มีท้ังละครร้อง ละครรา ละครพูด ละครดึกดาบรรพ์ ละครพันทาง ซง่ึ บทละครมกั ใชภ้ าษาเปน็ ธรรมชาตหิ รอื มีการประดษิ ฐ์ถ้อยคาท่สี วยงาม
๖หนงั สือเรยี นวชิ าวรรณคดมี รดก ชนั้ มัธยมศกึ ษาปีท่ี ๖ โรงเรยี นวรี นาทศกึ ษามลู นธิ ิ จงั หวัดพทั ลุง ๕. บทเรียงความ (essay) คือวรรณคดีท่ีผู้เขียนบรรยายถึงส่ิงที่คิดอย่างลึกซ้ึง มักมี ข้อเสนอเก่ียวกับการประพฤติปฏิบัติตนในการดาเนินชีวิตด้วย โดยท่ัวไปมีลักษณะเป็นข้อความสาหรับการส่ัง สอนหรอื เป็นคตเิ ตือนใจผู้อ่าน ๖. นิทาน (tales) คือเรอ่ื งเล่าท่ีประดษิ ฐ์ขึ้น โดยไม่ได้ต้ังใจจะให้ผู้ฟังเข้าใจว่าได้เกิดข้ึนจริง ซ่ึงโดยทั่วไปนิยมสรา้ งใหเ้ กิดเร่ืองเหนือความเปน็ จรงิ และมกั มตี ัวละครหลกั เปน็ ตวั ดาเนินเรื่อง จาแนกตามแนวคิดและเน้ือหา การจาแนกตามแนวคิดและเน้ือหา เป็นการพิจารณาโดยอาศัยแนวคิดและเน้ือหาหลักของวรรณคดี นัน้ ๆ มาเป็นเกณฑ์ จาแนกเป็นประเภทต่าง ๆ ดงั นี้ ๑. วรรณคดีประวัติศาสตร์หรือวรรณคดีราชสานัก ผู้แต่งมีจุดมุ่งหมายที่จะบันทึก เร่ืองราวทางประวัติศาสตร์และสดุดีเกียรติของวีรบุรุษหรือวีรสตรี เช่น โคลงภาพพระราชพงศาวดาร ลิลิตตะเลงพ่าย ลิลิตยวนพ่าย เฉลิมเกียรติกษัตรีคาฉันท์ เป็นต้น พงศาวดารจีน เช่น สามก๊ก ไซ่ฮั่น เป็นต้น พงศาวดารมอญ เชน่ ราชาธริ าช เปน็ ตน้ ๒. วรรณคดีท่ีเกี่ยวข้องกับศาสนา ผู้แต่งจะนาเรื่องราวจากคัมภีร์ต่าง ๆ ใน พระพุทธศาสนามาแต่งเป็นวรรณคดีและวรรณกรรมซึ่งส่วนใหญ่จะมุ่งสั่งสอนให้ประพฤติดี ละเว้นความช่ัว หรือสอนให้รู้จักบาปบุญ นรก สวรรค์ อบายภูมิ กฎแห่งกรรม เช่น ไตรภูมิพระร่วง พระมาลัยคาหลวง บางเรื่องเป็นการเล่าประวัติพระพุทธเจ้า เช่น มหาชาติคาหลวง ร่ายยาว มหาเวสสันดรชาดก ๑๓ กัณฑ์ พระปฐมสมโพธิกถา นอกจากน้ี ยังมีวรรณคดีและวรรณกรรมท่ีมีเน้ือหาจากนิทานชาดก ซึ่งให้คติสอนใจ และแฝงธรรมะไว้ด้วย เช่น สมทุ รโฆษคาฉันท์ จนั ทกนิ นรคาฉนั ท์ พระสธุ นคาฉนั ท์ กากคี ากลอน เป็นต้น ๓. วรรณคดีที่เก่ียวข้องกับประเพณีและพิธีกรรม ผู้แต่งมีจุดมุ่งหมายท่ีจะบันทึก ประเพณีต่าง ๆ ของไทยและพิธีกรรมศักด์ิสิทธ์ิ เช่น ลิลิตโองการแช่งน้า มีเน้ือหาเกี่ยวกับการสาบานตน ของข้าราชบริพารว่าจะจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์ เช่น กาพย์เห่เรือ มีเนื้อหากล่าวถึง พระราชพิธีเสด็จฯ โดยขบวนพยหุ ยาตราทางชลมารค พระราชพิธีสบิ สองเดือน มเี นื้ออธิบายประเพณไี ทยในเดือนตา่ ง ๆ เปน็ ตน้ ๔. วรรณคดีสุภาษิตคาสอน ผู้แต่งมีจุดมุ่งหมายท่ีจะสั่งสอนให้ข้อคิด หรือเสนอ แนวทางการปฏิบัติตนในการดาเนินชีวิต เช่น อิศรญาณภาษิต สุภาษิตสอนหญิง สวัสดิรักษา เพลงยาว ถวายโอวาท สภุ าษติ พระรว่ ง กฤษณาสอนนอ้ งคาฉันท์ โคลงโลกนิติ โคลงสุภาษิตโสฬสไตรยางค์ โคลงสุภาษิต นฤทุมนาการ เป็นต้น
๗หนงั สือเรียนวิชาวรรณคดมี รดก ชน้ั มัธยมศึกษาปีที่ ๖ โรงเรียนวีรนาทศึกษามลู นธิ ิ จังหวัดพทั ลุง ๕. วรรณคดที ี่เกย่ี วข้องกับการแสดง ผแู้ ต่งมจี ดุ มุง่ หมายจะให้เกิดความเพลิดเพลิน และความ จรรโลงใจ วรรณคดีและวรรณกรรมประเภทน้ีจะนามาแสดงเป็นมหรสพ โขน ละคร หุ่นกระบอก หนังใหญ่ เช่น รามเกยี รติ์ สาหรบั แสดงโขน พระอภัยมณี สาหรบั แสดงหุ่นกระบอก อิเหนา อณุ รุท สาหรับแสดงละครใน คาวี มณีพิชัย ไชยเชษฐ์ สังข์ทอง สาหรบั แสดงละครนอก เปน็ ต้น ๖. วรรณคดีท่ีบันทึกประสบการณ์และความรู้สึกระหว่างการเดินทาง วรรณคดี ประเภทนี้มุ่งที่จะบันทึกเส้นทางการเดินทาง สิ่งที่ได้พบเห็นไม่ว่าจะเป็นธรรมชาติหรือวิถีชีวิตของผู้คน และการพรรณนาอารมณ์ความรู้สึกนึกคิดของผู้แต่งระหว่างการเดินทาง เช่น นิราศนรินทร์ นิราศต่าง ๆ ของสุนทรภู่ นริ าศลอนดอน ไกลบา้ น เป็นตน้ ๗. วรรณคดีที่เกี่ยวข้องกับการปลุกใจให้รักชาติ วรรณคดีและวรรณกรรมประเภทน้ี มีจุดมุ่งหมายจะให้เกิดความรักชาติ จงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์ เช่น พระร่วง หัวใจนักรบ เลือดสุพรรณ เปน็ ตน้ ๘. วรรณคดีสื่ออารมณ์ขัน วรรณกรรมที่ผู้เขียนขึ้นโดยมุ่งให้ความขบขันหรือมุ่งเสนอ ความเพลิดเพลินแก่ผู้อ่านเป็นจุดประสงค์หลัก และความขบขันน้ันจะต้องมีลักษณะท่ีสืบเนื่องตั้งแต่ต้น จนจบเร่อื ง เชน่ ระเดน่ ลนั ได หมอ่ มเปด็ สวรรค์ พระมเหลเถไถ เป็นต้น ๙. วรรณคดีวิวิธ (เบ็ดเตล็ด) คาว่า วิวิธ หมายถึง ต่าง ๆ กัน ซึ่งวรรณคดีวิวิธ เปน็ วรรณคดหี รือวรรณกรรมทีเ่ กิดจากการรวบรวมหลายตอนหรือหลายเรื่องเข้ามาไว้ด้วยกัน เช่น นิทานอีสป อาหรบั ราตรี เปน็ ต้น หนังสอื บุดหรือสมุดข่อย เป็นหนงั สอื โบราณทาจากเยอ่ื ไมห้ รอื เยอื่ ของตน้ ข่อย ซง่ึ นิยมสาหรับการจดบนั ทึกเรือ่ งราว เหตกุ ารณ์ ตาราศาสตร์ ตา่ ง ๆ รวมไปถงึ วรรณคดโี บราณ หนังสือบุดบางฉบับมกี ารเขยี นสี หรือวาดภาพประกอบด้วย หนังสอื ใบลาน หรือที่นยิ มเรียกวา่ คมั ภรี ์ใบลาน เป็นหนังสือโบราณ ประเภทหน่ึงของไทย ทาขึ้นจากใบของตน้ ลาน โดยนยิ มจารึกเรือ่ งราว ทางศาสนาหรอื บคุ คลสาคัญ เช่น บทสวด ชาดก มหาชาติ เปน็ ต้น เน่ืองจากใบลานมคี วามคงทนมากกว่าหนงั สอื บุด
๘หนังสือเรยี นวิชาวรรณคดีมรดก ชนั้ มัธยมศกึ ษาปที ่ี ๖ โรงเรียนวีรนาทศึกษามูลนธิ ิ จังหวัดพทั ลงุ วรรณคดมี รดก ความหมายของวรรณคดมี รดก วรรณคดีมรดก เป็นคาท่ีกระทรวงศึกษาธิการกาหนดขึ้น เพ่ือให้เป็นรายวิชา ท ๓๓๐ ตามหลักสูตร ภาษาไทย พ.ศ. ๒๕๒๔ หมายถึง “วรรณคดีที่ได้รับการยกย่องกันมาหลายช่ัวอายุคนในด้านวรรณศิลป์กับ ในด้านท่ีแสดงค่านิยมและความเช่ือในสมัยของบรรพบุรุษส่งเสริมให้เปรียบเทียบชีวิตมนุษย์ ในสมัยของ บรรพบุรษุ กบั ชวี ิตในปัจจุบนั ” องค์ประกอบวรรณคดมี รดก ๑. มเี นือ้ หาและรูปแบบท่เี หมาะสม ไม่ว่าจะเป็นนทิ าน นยิ าย บทละคร นวนิยาย เป็นต้น ๒. มีศลิ ปะการใชภ้ าษาอย่างประณีต มคี ณุ คา่ ทางวรรณศิลป์ ๓. แสดงความนึกคดิ ที่เฉยี บแหลมของผแู้ ต่ง สอดแทรกประสบการณ์ชวี ติ และให้ความรู้ในเรื่องสามัญ ของคนทไ่ี ด้รับการศึกษา ๔. แสดงพฒั นาการทางอารมณ์ของผู้แต่งอย่างสูง ท้ังด้านความรัก ความทุกข์ ความสุข ความผิดหวัง เป็นต้น ๕. มีคุณคา่ ทางประวตั วิ รรณคดี แสดงให้เหน็ การแปรเปลยี่ นตามกาลสมยั ของการแต่งวรรณกรรม ๖. มคี ณุ คา่ ทางประวัติภาษาแสดงใหเ้ หน็ การแปรเปลยี่ นตามกาลสมัยของภาษาและการใช้ภาษา ดงั นั้นหนังสอื ใดที่มีคุณสมบตั ิ ๖ ประการดงั กล่าว จะได้รับยกย่องจากผู้ที่ศกึ ษาและจากผู้สนใจในศิลปะทางวรรณคดีว่า “สมควรรกั ษาไว้เปน็ มรดกวัฒนธรรมของชาติ” หรอื เรยี กว่า “วรรณคดมี รดก”
๙หนงั สอื เรียนวิชาวรรณคดีมรดก ชนั้ มัธยมศึกษาปีที่ ๖ โรงเรยี นวีรนาทศกึ ษามลู นธิ ิ จังหวดั พัทลุง คุณคา่ ของวรรณคดมี รดก ๑. คุณค่าทางศีลธรรม กวีสอดแทรกคติ คาสอนและศีลธรรมไว้ในเน้ือเร่ืองบ้าง ถ้อยคาบรรยาย บ้าง ในถอ้ ยคาสนทนาบ้าง ผอู้ า่ นจะได้รับคตหิ รอื ข้อคิดที่ดงี ามไปโดยไมร่ ตู้ ัว ๒. คุณค่าทางปัญญา ผู้อา่ นจะไดร้ บั ความร้เู พิม่ ข้ึน ไดข้ ้อคิดหรือขยายทศั นคตใิ หก้ ว้างขวางขน้ึ ๓. คุณค่าทางอารมณ์ ทาให้ผู้อ่านเข้าใจธรรมชาติของมนุษย์ในเรื่องความรู้สึกและอารมณ์ต่าง ๆ ของตัวละคร ทั้งความดีใจ ความเสียใจ ความโกรธ ความรัก ความกลัว เป็นต้น ทาให้ผู้อ่านเกิดอารมณ์ คล้อยตามหรืออารมณส์ ะเทอื นใจไปด้วย ๔. คุณค่าทางวัฒนธรรมวรรณคดี คือทาหน้าที่สืบต่อวัฒนธรรมของชาติจากคนรุ่นหนึ่งไป สู่อกี รุ่นหนึ่ง วรรณคดีจะสอดแทรกวฒั นธรรม ชวี ติ ความเปน็ มนษุ ย์ หรือประเพณีตา่ ง ๆ ของสังคม ๕. คุณค่าทางประวัติศาสตร์ ซึ่งถ้าอ่านประวัติศาสตร์จะเบ่ือหน่ายหรือหลงลืม แต่ถ้าอ่าน วรรณคดี เช่น ลิลิต ตะเลงพ่ายอาจทาให้ผู้อ่านจดจาเรื่องยุทธหัตถีได้ดีข้ึนและเห็นความสาคัญของเหตุการณ์ กบั บ้านเมือง ๖. คุณค่าทางจินตนาการ ผู้มีจินตนาการมักเป็นผู้มองเห็นการณ์ไกลทาส่ิงใดด้วยความรอบคอบ ซึ่งการอ่านวรรณคดีทาให้ผอู้ า่ นไดฝ้ ึกหรอื พัฒนาการคดิ จินตนาการตามเนื้อหาของเร่อื งได้ ๗. คุณค่าทางทักษะเชิงวิจารณ์การอ่านมาก ซึ่งเป็นการเพ่ิมพูนความรู้และประสบการณ์ชีวิต วรรณคดีเป็นสง่ิ ย่วั ยใุ ห้ผอู้ ่านใช้ความคิดตรึกตรองและตัดสินว่าส่ิงใดดีหรือไม่ดี เป็นการฝึกการใช้วิจารณญาณ กอ่ ใหเ้ กดิ ทักษะเชิงวจิ ารณ์ ๘. คุณค่าในด้านวรรณศิลป์ คือคุณค่าในด้านการใช้ถ้อยคาท่ีไพเราะ ซ่ึงเป็นการพรรณนาหรือ บรรยายการเปรียบเทียบเนื้อความได้ชัดเจน ทาให้ผู้อ่านเกิดจินตภาพ มีถ้อยคาสานวนท่ีให้แง่คิด คติสอนใจ ผอู้ า่ นสามารถนาไปประยุกต์ใชใ้ นชวี ติ ประจาวนั ได้ ๙. คุณค่าในด้านสภาพชีวิตสมัยบรรพบุรุษ ซ่ึงทาให้ผู้อ่านได้ทราบสภาพชีวิตความเป็นอยู่ ความรู้สึกนึกคิดของผู้คน และสภาพบ้านเมืองในสมัยนั้น และบางเรื่องกวีได้นาเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ มาเป็นข้อมลู ในการแต่ง ซ่งึ ผู้อ่านสามารถนามาเปรียบเทียบกับเหตกุ ารณ์ในชีวติ ประจาวันได้ ๑๐. คุณค่าในด้านศิลปะอ่ืน ๆ วรรณคดีแต่ละเร่ืองยังให้ความรู้ความเพลิดเพลินแก่ผู้อ่าน ในด้านศลิ ปะต่าง ๆ เช่น สถาปตั ยกรรม จติ รกรรม เพลง ละคร ภาพยนตร์ เปน็ ต้น จติ รกรรม ศลิ ปะการแสดง ประตมิ ากรรม
๑๐หนังสือเรียนวิชาวรรณคดมี รดก ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๖ โรงเรยี นวีรนาทศึกษามูลนธิ ิ จงั หวดั พทั ลงุ หลกั การพินิจวรรณคดมี รดก การพินจิ คือ การพิจารณาตรวจตรา พร้อมทง้ั วิเคราะห์แยกแยะและประเมนิ ค่าได้ ทั้งน้ีนอกจากจะได้ ประโยชน์ต่อตนเองแล้ว ยังมีจุดประสงค์เพ่ือนาไปแสดงความคิดเห็นและข้อเท็จจริงให้ผู้อ่ืนได้ทราบด้วย เช่น กา ร พิ นิ จ ว ร ร ณ ค ดีแ ล ะ ว ร ร ณ ก ร ร มเ พ่ื อ เ ป็ น ก า ร แ น ะน า ใ ห้ บุ ค ค ล ทั่ ว ไป ที่ เ ป็ น ผู้ อ่ า น ไ ด้รู้ จั ก แ ล ะ ไ ด้ ท ร า บ รายละเอียดที่เป็นประโยชน์ในด้านต่าง ๆ เช่น ใครเป็นผู้แต่ง เป็นเรื่องเก่ียวกับอะไร มีประโยชน์ต่อใครบ้ าง ทางใดบ้าง ผู้พินิจมีความเห็นว่าอย่างไรคุณค่าในแต่ละด้านสามารถนาไปประยุกต์ให้เกิดประโยชน์อย่างไร ในชีวิตประจาวันแนวทางในการพนิ จิ วรรณคดมี รดก การพินิจวรรณคดีมรดกมีแนวทางในการปฏิบัติอย่างกว้าง ๆ เพื่อให้ครอบคลุมงานเขียนทุกประเภท ซึ่งผู้พินิจจะต้องดูว่าจะพินิจหนังสือชนิดใด มีลักษณะอย่างไรซึ่งจะมีแนวทางในการพินิจที่จะต้องประยุกต์ หรอื ปรับใช้ให้เหมาะสมกบั งานเขยี นนัน้ ๆ หลักเกณฑ์ในการพินิจวรรณคดีมรดก มดี ังนี้ ๑. ความเป็นมาหรือประวัติของวรรณคดีมรดกและผแู้ ตง่ เพ่ือใหว้ ิเคราะหใ์ นส่วนอื่น ๆ ไดด้ ีขึน้ ๒. ลักษณะคาประพันธ์ว่าเป็นคาประพันธ์ลักษณะใด เนื่องจากคาประพันธ์แต่ละชนิดมีรูปแบบหรือ ความไพเราะทีแ่ ตกต่างกัน กวจี ึงมกั นยิ มเลอื กใช้คาประพนั ธใ์ ห้สอดคลอ้ งกับเรื่องราว ๓. เรื่องย่อ ๔. เน้ือเร่ืองให้วิเคราะห์เร่ืองตามหัวข้อตามลาดับ โดยบางหัวข้ออาจจะมีหรือไม่มีก็ได้ข้ึนอยู่กับ ความจาเป็น เช่น โครงเร่ือง ตัวละคร ฉาก วิธีการแต่ง ลักษณะการเดินเรื่อง การใช้ถ้อยคาสานวน กลวิธี การแตง่ วธิ กี ารคดิ ที่สรา้ งสรรค์ ทัศนะหรือมุมมองของผเู้ ขียน เป็นตน้ ๕. แนวคดิ จุดมุ่งหมาย เจตนาของผ้เู ขียนท่ฝี ากไวใ้ นเรือ่ งซึง่ จะต้องวิเคราะห์ออกมาให้ชดั เจน ๖. คุณค่าของวรรณคดีมรดก ซึ่งโดยปกติแล้วจะแบ่งออกเป็น ๔ ด้านใหญ่ ๆ เพื่อให้ครอบคลุมในทุก ประเด็น ซ่ึงผู้พินิจจะต้องไปแยกแยะหัวข้อย่อยให้สอดคล้องกับลักษณะของวรรณคดีท่ีพินิจ ตามความเหมาะสม การอ่านวรรณคดีมรดกต้องอ่านอย่างพินิจจึงจะเห็นคุณค่าของหนังสือ การอ่านพินิจวรรณคดี คือ การอ่านวรรณคดีอย่างใชค้ วามคดิ ไตร่ตรอง กลั่นกรอง แยกแยะ หาเหตุผลหาส่วนดีส่วนบกพร่องของหนังสือ เพอ่ื จะได้ประเมินค่าวรรณคดีเรื่องน้ัน ๆ อย่างถูกต้อง และมีเหตุผลประกอบการพินิจเสมอ การอ่านวรรณคดี ต้องวิเคราะห์แล้วมีประโยชนต์ ่อชวี ติ
๑๑หนงั สอื เรียนวชิ าวรรณคดีมรดก ช้ันมธั ยมศึกษาปีที่ ๖ โรงเรียนวีรนาทศกึ ษามูลนธิ ิ จงั หวัดพัทลุง วิธีการนาเสนอการพินิจวรรณคดมี รดก วิธีการนาเสนอการพินิจวรรณคดีเป็นการแนะนาหนังสือในลักษณะของการวิเคราะห์วิจารณ์หนังสือ อย่างง่าย ๆ โดยบอกเรื่องย่อ ๆ แนะนาข้อดีข้อบกพร่องของวรรณคดี บอกชื่อผู้แต่ง ประเภทของหนังสือ ลักษณะการแต่ง เน้ือเร่ืองโดยย่อ คุณสมบัติของหนังสือ ด้วยการวิจารณ์เก่ียวกับเนื้อหา ภาษา คุณค่า และข้อคิดต่าง ๆ ประกอบกับทัศนะของผู้พินิจ โดยแบ่งหลักการพินิจออกเป็นประเด็นต่าง ๆ เช่น โครงสร้าง ของวรรณคดี ความงดงาม ของวรรณคดีคุณค่าของวรรณคดี เป็นต้น ในที่น้ีของกล่าววิธีการนาเสนอการพินิจ วรรณคดีตามประเด็นตา่ ง ๆ ดังนี้ ๑. โครงสรา้ งของวรรณคดี การท่ีจะพินิจวรรณคดีเร่ืองใดน้ันจะต้องพิจารณาว่า เรื่องน้ันแต่งด้วยคาประพันธ์ชนิดใด โครงเร่ือง เนื้อเร่ืองเป็นอย่างไร มีแนวคิดหรือสาระสาคัญอย่างไร ตัวละครมีรูปร่างอย่างไร ลักษณะนิสัยอย่างไร ฉากมคี วามหมายเหมาะสมกบั เรอ่ื งหรือไม่ และมวี ิธีการดาเนนิ เร่ืองอยา่ งไร ๒. ความงดงามทางวรรณคดี วรรณคดีเป็นงานท่ีสร้างขึ้นอย่างมีศิลปะ โดยเฉพาะการใช้ถ้อยคาเพ่ือให้เกิดความไพเราะในอรรถรส ซึ่งจะพิจารณาได้จากการใช้คา มีท้ังการเล่นคา เล่นอักษร พิจารณาได้จากการใช้สานวนโวหาร ซ่ึงจะดูจาก การสร้างจินตนาภาพ ภาพพจน์ และพิจาณาจากการสร้างอารมณ์ในวรรณคดี สิ่งเหล่าน้ันเป็นความงดงาม วรรณคดีทั้งส้ิน ซ่ึงแบ่งเป็น การเล่นสัมผัส การเล่นคา โวหาร ภาพพจน์ วรรณศิลป์ รสทางวรรณคดีหรือ การสร้างอารมณ์ ๓. ภาพสะทอ้ นทางสังคม มีคนเคยกล่าวว่าวรรณคดีเป็นเสมือนกระจกสะท้อนภาพสังคมในสมัยหนึ่ง ๆ ตามที่วรรณคดีเรื่องนั้น ถูกประพันธ์ข้ึน ซ่ึงน่ันแสดงให้เห็นว่าวรรณคดีมรดกหรือวรรณกรรมใด ๆ ย่อมปรากฏหรือสะท้อนภาพ ของสังคมในยุคสมยั น้นั ๆ ได้ในทุก ๆ เรอ่ื ง ซึ่งบางครั้งอาจจะสะท้อนอยู่ในเนื้อหาของวรรณคดี เช่น ความเชื่อ ค่านิยม สภาพชีวิต ทัศนคติของตัวละคร สานวนหรือการใช้ภาษา เช้ือชาติ ประวัติศาสตร์ ช่ือบ้านนามเมือง เปน็ ตน้ และบางครัง้ อาจจะปรากฏอยู่ในแนวคดิ หรอื แก่นเรอื่ ง เช่น ความเชอื่ หรือทัศนคตขิ องผู้เขียน เป็นตน้ ๔. ความรูห้ รือข้อคิดทไี่ ด้รบั ในประเด็นน้ีผู้พินิจควรเสนอความรู้ แนวคิด ทัศนคติ หรือข้อคิดที่ได้รับจากการอ่าน ซ่ึงอาจจะมีได้ หลากหลายประเด็นแต่ในการพินิจควรมีการยกตัวอย่างเข้ามาประกอบเสมอ เพ่ือให้มีเหตุผลรองรับการพินิจ ของผพู้ ินจิ
๑๒หนงั สือเรยี นวิชาวรรณคดีมรดก ช้ันมัธยมศกึ ษาปีท่ี ๖ โรงเรยี นวรี นาทศึกษามูลนธิ ิ จงั หวดั พัทลุง วรรคทองของวรรณคดี วรรคทอง หมายถึง ข้อความหรือบทกวีบางช่วงบางตอนท่ีมีความหมายดี ไพเราะ ซาบซ้ึง ให้ภาพทางความรู้สึกที่ชัดเจน สะเทือนอารมณ์หรือกินใจ จนเป็นท่ีรู้จัก กันโดยท่ัวไป “เป็นท่ีนยิ มกนั ว่าแต่งดีและเนอื้ หาดี” เมื่อกล่าวถึงแล้วจะรู้จักกันโดยกว้าง สามารถตอบได้เลยว่า “วรรคน้ีเป็นวรรคในวรรณคดีเรื่องใด” และไม่เพียงแต่ใน วรรณคดีร้อยกรองเท่าน้ันที่จะมีวรรคทอง วรรณกรรมร้อยแก้วก็สามารถมีวรรคทองได้ เช่นกนั หากได้รับความนิยมสูง ตวั อยา่ งวรรคทองในวรรณคดีมรดก แลว้ สอนว่าอย่าไวใ้ จมนุษย์ มันยากสดุ ลึกลา้ เหลอื กาหนด ถงึ เถาวลั ยพ์ ันเก่ียวที่เลย้ี วลด ก็ไมค่ ดเหมอื นหนึ่งในนา้ ใจคน มนษุ ยน์ ท้ี ี่รกั อย่สู องสถาน บดิ ามารดารักมักเปน็ ผล ทพ่ี งึ่ หนึ่งพง่ึ ได้แต่กายตน เกิดเปน็ คนคดิ เห็นจงึ เจรจา แมน้ ใครรกั รกั ม่ังชังชงั ตอบ ใหร้ อบคอบคดิ อา่ นนะหลานหนา รู้ส่ิงไรไมส่ ูร้ ้วู ิชา รรู้ กั ษาตัวรอดเป็นยอดดี (พระอภยั มณี : พระสุนทรโวหาร (ภู่)) เรอ่ื ยเร่อื ยมารอนรอน ทิพากรจะตกต่า สนธยาจะใกล้ค่า คานงึ หน้าเจา้ ตราตรู นกบนิ เฉยี งไปทง้ั หมู่ เร่อื ยเรอื่ ยมาเรยี งเรยี ง เหมือนพอ่ี ยผู่ ู้เดียวดาย ตัวเดยี วมาพลัดคู่ (กาพย์เหเ่ รือ : เจ้าฟา้ ธรรมธเิ บศรไชยเชษฐสรุ ิยวงศ์)
๑๓หนังสอื เรยี นวชิ าวรรณคดีมรดก ชนั้ มธั ยมศกึ ษาปที ่ี ๖ โรงเรียนวีรนาทศกึ ษามลู นิธิ จงั หวดั พัทลงุ ความรักเหมอื นโรคา บนั ดาลตาให้มดื มน ไมย่ ินและไม่ยล อุปสรรคใดใด ความรักเหมอื นโคถกึ กาลงั คึกผขิ ังไว้ ก็โลดจากคอกไป บ่ยอมอยู่ ณ ท่ขี ัง ถึงหากจะผูกไว้ กด็ ึงไปด้วยกาลงั ย่ิงหา้ มก็ยิ่งคลงั่ บห่ วนคดิ ถงึ เจบ็ กาย (มัทนะพาธา : พระบาทสมเดจ็ พระมงกุฎเกลา้ เจา้ อยู่หัว) เสยี งฦๅเสียงเลา่ อา้ ง อนั ใด พี่เอย เสียงยอ่ มยอยศใคร ทวั่ หลา้ สองเขอื พี่หลับไหล ลืมต่นื ฤๅพ่ี สองพ่คี ดิ เองอ้า อย่าได้ถามเผือ (ลิลติ พระลอ : ไมป่ รากฏนาม) กา้ นบวั บอกลกึ ตนื้ ชลธาร มารยาทสอ่ สนั ดาน ชาตเิ ชือ้ โฉดฉลาดเพราะคาขาน ควรทราบ หย่อมหญ้าเห่ยี วแห้งเร้อื บอกรา้ ยแสลงดิน (โคลงโลกนติ ิ : สมเดจ็ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ กรมพระยาเดชาดิศร) จึ่งตรัสว่าโอ้โอ๋เวลาปานฉะนี้เอ่ยจะมิดึกดื่น จวนจะสิ้นคืนค่อนรุ่งไปเสียแล้วหรือกระไรไม่รู้ เลย พระพายราเพยพัดมารี่เร่ือยอยู่เฉ่ือยฉิว อกแม่น้ีให้อ่อนหิวสุดละห้อย ท้ังดาวเดือนก็เคล่ือนคล้อยลงลับไม้ สุดทีแ่ มจ่ ะติดตามเจ้าไปในยามน้ี ฝูงลิงค่างบ่างชะนีที่นอนหลับ ก็กล้ิงกลับเกือกตัวอยู่ย้ัวเย้ีย ทั้งนกหกก็งัวเงีย เหงาเงียบทุกรวงรัง แต่แม่เท่ียวเซซังเสาะแสวงทุกแห่งห้องหิมเวศท่ัวประเทศทุกราวป่า สุดสายนัยนาที่แม่ จะตามไปเล็งแล สุดโสตแล้วท่ีแม่จะซับทราบฟังสาเนียง สุดสุรเสียงที่แม่จะร่าเรียกพิไรร้อง สุดฝีเท้าท่ีแม่ จะเย้ืองย่องยกย่างลงเหยียบดิน ก็สุดส้ินสุดปัญญาสุดหาสุดค้นเห็นสุดคิด จะได้พานพบประสบรอย พระลกู นอ้ ยแต่สกั นิดไม่มีเลย จ่ึงตรัสว่าเจ้าดวงมณฑาทองท้ังคู่ของแม่เอ๋ย หรือว่าเจ้าทิ้งขว้างวางจิตไปเกิดอื่น เหมือนแม่ฝันเม่ือคืนนแี้ ลว้ แล (มหาเวสสันดรชาดก กัณฑ์มัทรี : เจา้ พระยาพระคลงั (หน))
๑๔หนงั สอื เรยี นวิชาวรรณคดมี รดก ชนั้ มธั ยมศึกษาปที ่ี ๖ โรงเรยี นวีรนาทศกึ ษามลู นธิ ิ จังหวดั พทั ลงุ
๑๕หนังสอื เรยี นวชิ าวรรณคดีมรดก ชั้นมธั ยมศกึ ษาปีท่ี ๖ โรงเรียนวรี นาทศึกษามูลนิธิ จงั หวัดพัทลุง วิวัฒนาการวรรณคดี วรรณคดีไทยนบั เปน็ มรดกทางภูมปิ ญั ญาและภาษาของคนไทยมาต้งั แตส่ มยั โบราณ ซ่ึงมีการพัฒนากัน มาอย่างต่อเนื่อง ท้ังเร่ืองเนื้อหา รูปแบบการประพันธ์ ตลอดจนแนวคิดของเรื่อง สร้างให้เกิดเป็นวิวัฒนาการ ของวรรณคดไี ทย ซ่ึงสง่ ผ่านและสืบทอดกนั มาจากรุ่นหนึ่งไปยังอีกรุ่นหนึ่ง การแบง่ ยคุ สมัยของวรรณคดนี ้นั จะยึดหลักเกณฑ์การแบ่งชว่ งเวลา ทางประวัติศาสตร์เป็นหลัก ซง่ึ นบั มาต้ังแต่สมัยสุโขทยั จนถึงรตั นโกสนิ ทร์ และคดั เลอื กเฉพาะวรรณคดีทีเ่ ป็นลายลักษณ์อักษร ไมน่ บั รวมวรรณคดี ประเภทมขุ ปาฐะเข้าด้วยกนั เนื่องจากไมม่ ีหลกั ฐานยืนยนั ได้อยา่ งชัดเจน ถงึ ประวัติความเป็นมาและยคุ สมยั ในการแตง่ การแบง่ ยุคของวรรณคดี วรรณคดีไทยเร่ิมมีขึน้ ตง้ั แตส่ มัยกรงุ สุโขทยั เป็นราชธานีของไทยมาจนกรุงรัตนโกสินทร์ วรรณคดีไม่ได้ เกิดขึ้นทุกรัชกาลเพราะฉะนั้นสมัยของวรรณคดีไทยอาจเรียกตามพระนามของพระมหากษัตริย์ที่มีวรรณ คดี เกิดข้ึนก็ได้ แต่ในที่น้ีจะแบ่งโดยอิงตามลาดับเวลาตามประวัติศาสตร์ของชาติไทยเป็นหลัก โดยถือเอา เมืองหลวงเปน็ จุดศนู ยก์ ลาง โดยสามารถแบ่งสมยั ทางวรรณคดีไดด้ ังต่อไปน้ี ๑. สมยั สุโขทัย ๒. สมยั กรุงศรีอยุธยา ๓. สมัยธนบุรี ๔. สมยั กรงุ รตั นโกสินทร์
๑๖หนงั สอื เรียนวชิ าวรรณคดมี รดก ช้ันมัธยมศกึ ษาปที ี่ ๖ โรงเรียนวีรนาทศึกษามลู นิธิ จงั หวดั พัทลุง วรรณคดีสมัยสโุ ขทยั วรรณคดีสมัยสโุ ขทัย เรม่ิ ตั้งแต่รัชกาลของพ่อขุนรามคาแหงมหาราช ซ่ึงมีการประดิษฐ์ลายสือไทยขึ้น ใน พ.ศ. ๑๘๒๖ จนถึงรัชกาลของพระมหาธรรมราชาที่ ๔ เม่ือสุโขทัยตกอยู่ใต้อานาจของกรุงศรีอยุธยา ซง่ึ ถือวา่ เปน็ การลดอานาจของกรุงสุโขทยั ใน พ.ศ. ๑๙๒๑ วรรณคดีสมัยสุโขทัยภาษาร้อยแก้วเป็นพ้ืน ท่ีปรากฏเป็นร้อยกรองบ้างน้ันน่าจะเป็นผลงานแต่งเสริม เพิ่มเติมข้ึนภายหลัง แม้ว่าถ้อยคาหรือการใช้ภาษาจะสอดคล้องกันก็ตาม แต่ก็ยังไม่ถือว่าเข้าลักษณะของบท ประพันธ์ประเภทร้อยกรองท่ีพบในสมัยหลังมากนัก เนื่องจากยังไม่มีลักษณะบังคับที่เป็นการกาหนด อยา่ งชดั เจนและเปน็ แบบแผน ด้านสานวนภาษาและการเรียบเรียงคานั้น ถ้อยคาส่วนมากเป็นคาพยางค์เดียวและเป็นคาไทยแท้ มคี าภาษาบาลีหรือสันสกฤตปะปนอยูบ่ ้างและอาจจะปรากฏคาภาษาเขมรอยู่บ้างแต่ไมม่ ากนัก กวแี ละวรรณคดที ีส่ าคญั ในสมัยสุโขทยั เช่น ยคุ สมยั วรรณคดี พ่อขนุ รามคาแหงมหาราช - จารกึ หลกั ท่ี ๑ พ่อขนุ รามคาแหงมหาราช พระยาลไิ ท - สุภาษิตพระร่วง - ไตรภมู พิ ระรว่ งหรอื เตภูมกิ ถา - ตารับทา้ วศรจี ฬุ าลักษณ์หรอื นางนพมาศ วรรณคดีสมัยอยุธยาตอนต้น คว า มเ จริ ญรุ่ งเ รือ งข อง ไท ยไ ด้เ ล่ื อ นจ าก กรุ งสุ โ ขทั ยม าเ ป็น คว าม เจ ริญ ขอ งก รุง ศรี อยุ ธ ย าตั้ งแ ต่ พ.ศ. ๑๘๙๓ จนถึงการเสียกรุงคร้ังที่ ๒ เม่ือ พ.ศ. ๒๓๑๐ รวมเวลาท้ังส้ิน ๔๑๗ ปี มีกษัตริย์ปกครอง ๕ ราชวงศ์ รวม ๓๓ พระองค์ กรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานีท่ีเจริญรุ่งเรืองเป็นที่รู้จักของประเทศต่าง ๆ ในเร่ือง การแต่งวรรณคดี อาจจะกล่าวไดว้ า่ มคี วามเจริญเป็นพัก ๆ และพระมหากษัตริย์มีความสนพระทัยในวรรณคดี ซ่ึงมที ง้ั ยคุ ทองและยุคเสือ่ มของวรรณคดสี ลับกันไป สมัยอยธุ ยาแบ่งเปน็ ยคุ ยอ่ ยไดอ้ กี ๓ สมัย คือ สมัยกรุงศรีอยุธยาตอนต้น เริ่มต้ังแต่สมัยสมเด็จพระรามาธิบดีท่ี ๑ (พระเจ้าอู่ทอง) จนถึงสมัย สมเดจ็ พระรามาธิบดีท่ี ๒ (บรมไตรโลกนาถ) พ.ศ. ๑๘๙๓ - ๒๐๗๒ เป็นระยะเวลา ๑๗๔ ปี จากนั้นวรรณคดี ว่างเวน้ ไป ๙๐ ปี เพราะบ้านเมอื งไมป่ กตสิ ุข เนอื่ งจากมีสงครามกบั พม่า ลกั ษณะของวรรณคดีสมยั อยุธยาตอนตน้ อาจจะยังไม่ปรากฏมากนัก ด้วยอาจจะเป็นยุคการสร้างบ้าน สร้างเมืองหรือหลักฐานของวรรณคดีมีการสูญหายไปมาก วรรณคดีสมัยน้ีเร่ิมปรากฏกาพย์ โคลง ฉันท์ ลิลิต และเกิดวรรณคดีลิลิตเรื่องแรกของไทยคือ ลิลิตโองการแช่งน้า และเนื้อหาวรรณคดีโดยส่วนใหญ่มีเนื้อเร่ือง
๑๗หนงั สอื เรยี นวิชาวรรณคดมี รดก ชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี ๖ โรงเรียนวีรนาทศกึ ษามลู นธิ ิ จังหวดั พทั ลงุ เกยี่ วกบั ศาสนา พธิ กี รรม และพระมหากษัตริยค์ ลา้ ยคลงึ กับสมยั สโุ ขทัย และในยคุ สมยั ดงั กล่าวเริ่มมีการปะปน ของภาษาตา่ งประเทศในวรรณคดมี ากข้นึ ท้ังยงั มีอิทธพิ ลของวฒั นธรรมและตัวอักษรของขอมเขา้ มาด้วย กวแี ละวรรณคดสี าคญั ในยุคอยธุ ยาตอนต้น เชน่ ยคุ สมัย วรรณคดี สมเด็จพระรามาธิบดที ่ี ๑ (พระเจา้ อู่ทอง) - ลลิ ิตโองการแชง่ น้า สมเดจ็ พระบรมไตรโลกนาถ - มหาชาติคาหลวง - ลลิ ิตยวนพ่าย - ลลิ ติ พระลอ สมัยกรุงศรีอยุธยาตอนกลาง เริ่มต้ังแต่ช่วงสมัยสมเด็จพระเจ้าทรงธรรมจนถึงช่วงสมัย สมเดจ็ พระนารายณม์ หาราช ซึ่งถอื วา่ เปน็ ยุคทองของวรรณคดี พ.ศ. ๒๕๕๓ – ๒๒๓๑ นับเป็นช่วงเวลา ๗๘ ปี หลังจากนั้นวรรณคดีว่างเว้นไปอีก ๔๔ ปี เนื่องจากเกิดความไม่สงบภายในราชสานัก มีการเปล่ียนแปลง ราชวงศแ์ ละปัญหาในการจัดการกบั ชาวต่างชาติ วรรณคดีในยุคน้ีมีความหลากหลายเป็นอย่างย่ิงทั้งด้านเน้ือหาและด้านรูปแบบการประพันธ์ ซ่ึง ปรากฏลักษณะคาประพันธ์ทุกประเภทของไทย ท้ังยังมีการพัฒนาโคลงล้านนาข้ึนใหม่ ซึ่งปรากฏในจินดามณี โดยเรียกว่า โคลงลาว นอกจากนี้ในสมัยน้ียังนิยมการแต่งโคลงและฉันท์ ในส่วนของโคลงนั้นมีความเคร่งครัด มากในการแต่ง แต่ฉันทไ์ มม่ ีความเครง่ ครัดในครลุ หุเท่าในสมยั ปัจจุบัน กวแี ละวรรณคดสี าคัญในสมัยอยธุ ยาตอนกลาง เช่น ยคุ สมยั วรรณคดี พระเจา้ ทรงธรรม สมเด็จพระนารายณม์ หาราช - กาพยม์ หาชาติ - โคลงพาลีสอนนอ้ ง พระมหาราชครู - โคลงทศรถสอนพระราม พระโหราธบิ ดี - โคลงราชสวัสดิ์ ศรปี ราชญ์ - สมทุ รโฆษคาฉนั ท์ (ตอนกลางของเร่ือง) - บทพระราชนิพนธ์โคลงโตต้ อบกับกวอี ่ืน ๆ - เสอื โคคาฉนั ท์ - สมทุ รโฆษคาฉนั ท์ (ตอนต้นของเรอื่ ง) - จนิ ดามณี - พงศาวดารฉบบั หลวงประเสรฐิ อักษรนิติ - อนริ ุทธ์คาฉันท์ - โคลงกาสรวล
๑๘หนังสือเรียนวิชาวรรณคดมี รดก ช้นั มธั ยมศึกษาปีท่ี ๖ โรงเรยี นวีรนาทศกึ ษามลู นธิ ิ จงั หวดั พทั ลงุ พระศรมี โหสถ - โคลงเฉลิมพระเกยี รตสิ มเดจ็ พระนารายณม์ หาราช ขนุ เทพกวี - กาพย์หอ่ โคลงพระศรมี โหสถ - โคลงอกั ษรสามหมู่ - นิราศนครสวรรค์ - คาฉันท์ดุษฎีสงั เวยกล่อมช้าง - ราชาพิลาปคาฉันท์ - โคลงทวาทศมาส - โคลงนิราศหริภญุ ไชย สมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย สมัยน้ีนับเร่ิมต้ังแต่ยุคสมัยของสมเด็จพระเพทราชา แต่เริ่มมีเรื่อง วรรณคดีสาคัญต้ังแต่สมัยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ จนถึงการเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ ๒ พ.ศ. ๒๒๒๗๕ - ๒๓๑๐ เป็นเวลา ๓๕ ปี กอ่ นเขา้ สูช่ ว่ งสมัยธนบรุ ตี ่อมา วรรณคดีในชว่ งสมยั นีม้ ีเนอื้ หาที่หลากหลาย เชน่ วรรณคดีเฉลมิ พระเกียรติ วรรณคดศี าสนา วรรณคดี พธิ ีกรรม วรรณคดปี ระวัติศาสตร์ รวมไปถึงวรรณคดีเพื่อความบันเทิงอีกเป็นจานวนมาก และมีรูปแบบของคา ประพันธ์ของไทยครบทุกชนิดท้ังโคลง ฉันท์ กาพย์ กลอน และร่าย รวมทั้งเกิดรูปแบบคาประพันธ์ชนิดใหม่ โดยเฉพาะกลบทและกลอกั ษร และมีการนามาใช้ในการแต่งบทละครอีกดว้ ย กวแี ละวรรณคดีสาคัญในสมยั กรงุ ศรอี ยุธยาตอนปลาย เชน่ ยคุ สมยั วรรณคดี สมเด็จพระเจา้ อยู่หวั บรมโกศ เจา้ ฟา้ อภัย - โคลงชะลอพระพุทธไสยาสน์ เจ้าฟา้ ธรรมธเิ บศรไชยเชษฐ์สุริยวงศ์ - โคลงนิราศเจา้ ฟา้ อภัย - นันโทปนันทสตู รคาหลวง เจา้ ฟา้ กุณฑล - พระมาลยั คาหลวง เจา้ ฟา้ มงกุฎ - กาพยเ์ หเ่ รือ พระมหานาค วดั ทา่ ทราย - กาพย์หอ่ โคลงประพาสธารทองแดง หลวงศรีปรชี า (เซ่ง) - กาพยห์ อ่ โคลงนริ าศธารโศก - เพลงยาวเจา้ ฟา้ ธรรมธเิ บศร - บทเห่เร่อื งกากี เหส่ งั วาส เห่ครวญ - ดาหลงั - อิเหนา - ปณุ โณวาทคาฉนั ท์ - โคลงนริ าศพระบาท - กลบทสิริวบิ ุลกติ ิ
๑๙หนังสือเรยี นวิชาวรรณคดมี รดก ชนั้ มัธยมศกึ ษาปที ี่ ๖ โรงเรียนวีรนาทศกึ ษามลู นิธิ จังหวดั พทั ลงุ วรรณคดสี มยั กรงุ ธนบุรี วรรณคดีสมัยกรุงธนบุรี เร่ิมต้ังแต่ พ.ศ. ๒๓๑๐ - ๒๓๒๕ ในช่วงสมัยแผ่นดินพระเจ้ากรุงธนบุรี หรือสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช พระองค์ทรงเป็นกษัตริย์นักรบแต่ก็ทรงสนพระทัยศิลปะและวัฒนธรรม โดยทรงอุปถัมภ์กวีและส่งเสริมการแต่งวรรณคดี นอกจากน้ีทรงพระราชนิพนธ์บทละครเร่ืองรามเกียรต์ิ ๔ ตอน โดยใช้เวลาเพยี ง ๒ เดอื นเท่าน้นั วรรณกรรมในสมัยธนบุรีหลายเรื่องได้สืบต่อมาจากสมัยอยุธยาและส่งต่อมายังสมัยรัตนโกสินทร์ ท้ังเร่ืองของคาประพันธ์ ขนบการแต่ง และด้านเนื้อหา ซึ่งปรากฏทั้งวรรณคดีประเภทนิทานนิยาย วรรณคดี ยอพระเกยี รติ วรรณคดคี าสอน และวรรณคดกี ารแสดง กวแี ละวรรณคดสี าคญั ในสมยั ธนบรุ ี เชน่ ยุคสมยั วรรณคดี สมเดจ็ พระเจ้าตากสนิ มหาราช - บทละครเรื่องรามเกียรต์ิ ๔ ตอน ได้แก่ ตอน หลวงสรวิชิต (หน) พระมงกุฎประลองศร ตอนหนุมานเกี้ยวนางวาริน นายสวน (มหาดเล็ก) ตอนท้าวมาลีวราชว่าความ ตอนทศกัณฐ์ต้ังพิธี พระภกิ ษุอิน ทรายกรด จนถงึ ตอนผกู ผมทศกณั ฐก์ บั นางมณโฑ พระยามหานุภาพ - ลลิ ิเพชรมงกฎุ - อเิ หนาคาฉนั ท์ - โคลงยอพระเกยี รตสิ มเด็จพระเจ้ากรุงธนบรุ ี - กฤษณาสอนน้องคาฉนั ท์ - นิราศกวางตุ้ง วรรณคดสี มัยกรงุ รัตนโกสินทร์ ราชอาณาจักรรัตนโกสินทร์เป็นราชอาณาจักรที่สี่ในยุคประวัติศาสตร์ของไทย เริ่มต้ังแต่การย้าย เมืองหลวงจากฝ่ังกรุงธนบุรีมายังกรุงเทพมหานคร ซึ่งตั้งอยู่ทางตะวันออกของแม่น้าเจ้าพระยา โดยมี พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรี เสด็จข้ึนครองราชสมบัติ เมื่อวันท่ี 5 เมษายน พ.ศ. ๒๓๒๕ การแบ่งยคุ สมัยของวรรณคดีแบง่ ออกเป็น ๓ ยุคสมยั คอื สมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น เริ่มต้ังแต่สถาปนากรุงรัตนโกสินทร์เป็นราชธานี ใน พ.ศ. ๒๓๒๕ จนกระท่ังปลายรัชกาลพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ในปี พ.ศ. ๒๓๖๗ ในยุคนี้ศิลปะวิทยาการ ต่าง ๆ ยงั คงสบื ทอดมาจากสมยั อยุธยาเป็นสาคัญ เนื่องจากยังคงแนวคิดเรื่องการสร้างกรุงศรีอยุธยาข้ึนมาใหม่ อกี ครง้ั
๒๐หนังสอื เรยี นวชิ าวรรณคดมี รดก ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๖ โรงเรยี นวรี นาทศกึ ษามลู นิธิ จังหวดั พัทลุง วรรณคดสี มยั กรุงรตั นโกสินทรต์ อนต้น มีลักษณะเป็นยุคการฟ้ืนฟูวรรณคดีท่ีกระจัดพลัดพรายมาจาก กรุงศรีอยุธยา จึงมีการรวบรวมและแต่งเสริมเพิ่มเติม นอกจากน้ียังมีการแปลวรรณคดีจากต่างชาติมากย่ิงข้ึน และมีรูปแบบการประพันธท์ ่หี ลากหลาย กวแี ละวรรณคดีสาคญั ในสมัยกรุงรตั นโกสนิ ทร์ตอนตน้ ยคุ สมยั วรรณคดี พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก - เพลงยาวรบพมา่ ทท่ี า่ ดนิ แดง มหาราช - บทละครเรื่องอณุ รุท - บทละครเรอ่ื งรามเกียรต์ิ - บทละครเรื่องดาหลัง - บทละครเรอื่ งอเิ หนา - กฎหมายตราสามดวง สมเด็จกรมพระราชวงั บวรมหาสุรสิงหนาถ - นิราศเสด็จไปรบพม่าทน่ี ครศรธี รรมราช เจ้าพระยาพระคลงั (หน) - เพลงยาวถวายพยากรณเ์ มื่อเพลิงไหม้ที่พระที่น่ัง อมรินทราภิเษกมหาปราสาท พระเทพโมลี (กล่นิ ) - เพลงยาวนิราศเสด็จไปตีเมอื งพมา่ - ราชาธิราช - สามก๊ก - สมบตั อิ มรินทร์คากลอน - บทมโหรเี ร่อื งกากี - ลิลิตพยุหยาตราเพชรพวง - ลิลติ ศรวี ชิ ัยชาดก - ร่ายยาวมหาเวสสันดรชาดก กัณฑ์มัทรีและกัณฑ์ กมุ าร - รา่ ยยาวมหาเวสสนั ดรชาดก กัณฑ์มหาพน - มหาชาติคาหลวง กัณฑ์ทานกณั ฑ์ - นิราศตลาดเกรียบ พระธรรมปรีชา (แก้ว) - ไตรภูมโิ ลกวนิ จิ ฉยั กถา สมเดจ็ กรมพระราชวังบวรสถานพิมุข - ไซฮ่ัน เจ้าพระยาพพิ ิธชัย - พระราชพงศาวดารฉบบั พนั จันทนมุ าศ พระบาทสมเด็จพระพทุ ธเลศิ หลา้ นภาลยั - บทละครเรื่องอเิ หนา - บทละครเรื่องรามเกียรติ์ - บทละครนอก ๕ เรื่อง คือ ไชยเชษฐ์ มณีพิไชย คาวี
๒๑หนงั สือเรียนวชิ าวรรณคดมี รดก ช้นั มัธยมศึกษาปีที่ ๖ โรงเรียนวรี นาทศกึ ษามูลนิธิ จงั หวัดพทั ลงุ นายนรนิ ทร์ธเิ บศร์ สงั ขท์ อง ไกรทอง พระสนุ ทรโวหาร (ภู่) - กาพย์เห่ชมเครอ่ื งคาวหวานและวา่ ดว้ ยงาน นักขัตฤกษ์ พระยาตรงั คภมู ิบาล - บทพากย์โขน ตอนนางลอย นาคบาศ พรหมาสตร์ และเอราวัณ - เสภาเร่ืองขุนช้างขุนแผน ตอนพลายแก้วเป็นชู้กับ นางพิม ขุนแผนข้ึนเรือนขุนช้าง ขุนแผนเข้าห้อง นางแก้วกิรยิ า และขุนแผนพานางวันทองหนี - โคลงนิราศนรนิ ทร์ - นิราศ ๙ เร่ือง คือ นิราศเมืองแกลง นิราศพระบาท นิราศภูเขาทอง นิราศวัดเจ้าฟ้า นิราศอิเหนา นิราศ สุพรรณ นิราศราพันพิลาป นิราศพระประธม นิราศเมอื งเพชร - โคบุตร - สงิ หไตรภพ - ลักษณวงศ์ - พระอภยั มณี - กลอนเสภาขุนช้างขนุ แผน ตอน กาเนิดพลายงาม - กลอนเสภาพระราชพงศาวดาร - สภุ าษิตสอนหญงิ - เพลงยาวถวายโอวาท - สวสั ดิรักษา - กาพย์พระไชยสุริยา - บทเห่ ๔ เรื่อง คือ กากี จับระบา พระอภัยมณี โคบตุ ร - บทละครอภัยนุราช - โคลงนิราศตามเสดจ็ ลานา้ นอ้ ย - โคลงนริ าศพระยาตรัง - โคลงดั้นเฉลมิ พระเกียรติ พระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธเลิศหล้านภาลยั - เพลงยาวพระยาตรงั คภมู บิ าล - โคลงกวีโบราณ
๒๒หนังสอื เรยี นวิชาวรรณคดมี รดก ชนั้ มธั ยมศึกษาปที ี่ ๖ โรงเรียนวรี นาทศกึ ษามลู นิธิ จงั หวัดพทั ลงุ สมัยรตั นโกสินทร์ตอนกลาง เรมิ่ ในระหว่างรชั กาลพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว จนกระทั่งถึง รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว คือระหว่าง พ.ศ. ๒๓๖๗ - พ.ศ. ๒๔๗๕ เป็นช่วงที่บ้านเมืองมี การเปลยี่ นแปลงในหลากหลายดา้ น วรรณคดใี นยุคนี้มีความหลากหลายเป็นอย่างย่ิงในด้านเนื้อหา ส่วนในด้านรูปแบบยังคงมีรูปแบบของ บทประพันธ์ตามลักษณะของคาประพันธ์ไทยด้ังเดิม แต่เริ่มมีการเปล่ียนแปลงเน่ืองจากมีการรับอิทธิพล วรรณกรรมตะวันตกเข้ามามากขึ้น โดยเฉพาะในยุครัชกาลที่ ๕-๗ เริ่มมีอิทธิพลมากขึ้นทั้งทางด้านภาษาและ แนวคดิ ของวรรณคดี กวีและวรรณคดีสาคญั ในสมยั รัตนโกสนิ ทร์ตอนกลาง เชน่ ยคุ สมัย วรรณคดี พระบาทสมเดจ็ พระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว - เสภาเร่ืองขุนช้างขุนแผน ตอน ขุนช้างขอนางพิม สมเด็จพระมหาสมณเจ้า และขุนชา้ งตามนางวนั ทอง กรมพระปรมานชุ ติ ชโิ นรส - โคลงยอพระเกยี รติ พระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธเลิศหล้านภาลัย - บทละครเรื่องสงั ข์ศิลป์ชัย - โคลงฤาษีดดั ตน (จารึกวัดพระเชตุพนฯ) - เพลงยาวกลบท - พระบรมราโชวาทและพระราชกระแสรบั สัง่ ตา่ งๆ - พระราชปจุ ฉาและพระราชปรารภตา่ ง ๆ - ประกาศหา้ มสบู ฝิน่ - นิทานแทรกในเรอ่ื งนางนพมาศ - ลิลิตตะเลงพา่ ย - สมทุ รโฆษคาฉนั ท์ - รา่ ยยาวมหาเวสสันดรชาดก - สรรพสทิ ธ์ิคาฉันท์ - กฤษณาสอนน้องคาฉนั ท์ - ลิลิตกระบวนพยุหยาตราเสด็จทางชลมารคและ สถลมารค - โคลงด้ันเรอ่ื งปฏิสงั ขรณ์วัดพระเชตพุ นฯ - เพลงยาวเจา้ พระ - กาพยข์ ับไมก้ ล่อมชา้ งพัง - พระปฐมสมโพธกิ ถา
๒๓หนังสอื เรยี นวชิ าวรรณคดมี รดก ช้ันมัธยมศึกษาปที ี่ ๖ โรงเรียนวรี นาทศกึ ษามูลนิธิ จังหวัดพัทลุง สมเด็จพระเจา้ บรมวงศ์เธอ - ตาราฉนั ทม์ าตราพฤติและวรรณพฤติ กรมพระยาเดชาดศิ ร - พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา พระเจ้าบรมวงศ์เธอ - โลกนติ ิคาโคลง กรมหลวงวงศาธิราชสนิท - โคลงนิราศเสดจ็ ไปทัพเวยี งจนั ทร์ พระเจ้าบรมวงศเ์ ธอ กรมหมนื่ ไกรสรวชิ ิต - ฉันท์ดุษฎีสังเวยตา่ งๆ พระมหามนตรี (ทรัพย)์ - โคลง (จารกึ วดั พระเชตพุ นฯ) พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจา้ อยู่หวั - นิราศพระประธม - โคลงจนิ ดามณี พระบาทสมเด็จพระจลุ จอมเกลา้ เจา้ อยูห่ ัว - นริ าศสุพรรณ - กลอนกลบทสิงโตเลน่ หาง - โคลงฤๅษีดัดตน - โคลงกลบทกบเตน้ ไตรยางค์ - เพลงยาวกลบท - บทละครเรื่องระเด่นลนั ได - เพลงยาวว่ากระทบพระยามหาเทพ - โคลงฤๅษีดดั ตน - บทละครเรื่องรามเกยี รติ ตอนพระรามเดนิ ดง - มหาชาติ ๕ กัณฑ์ คือ วนปเวสน์ จุลพน มหาพน สกั กบรรพ และฉกษตั ริย์ - ประกาศและพระบรมราชาธิบาย - บทจบั ระบาเรอื่ งรามสูรและเมขลา และนารายณ์ปราบนนทุก - บทพระราชนิพนธเ์ บ็ดเตลด็ - จารกึ วดั พระเชตุพน - พระราชพิธสี ิบสองเดอื น - ไกลบา้ น - พระราชวิจารณ์ - บทละครเรื่องเงาะป่า - ลลิ ิตนิทราชาคริต - บทละครเรื่องวงศเทวราช - กวีนิพนธ์เบ็ดเตล็ด เช่น กาพย์เห่เรือ โคลงสุภาษิต โคลงรามเกยี รติ์ - บันทึกและจดหมายเหตุต่าง ๆ
๒๔หนงั สอื เรียนวิชาวรรณคดีมรดก ชน้ั มธั ยมศึกษาปีท่ี ๖ โรงเรยี นวีรนาทศึกษามูลนธิ ิ จงั หวัดพทั ลงุ พระยาศรีสนุ ทรโวหาร (น้อย อาจารยางกรู ) - แบบเรียนภาษาไทย 5 เลม่ - พรรณพฤกษาและสัตวาภิธาน - คาฉันทก์ ลอ่ มชา้ ง - คานมัสการคณุ านุคณุ พระเจา้ บรมวงศ์เธอ - เฉลมิ พระเกยี รตกิ ษัตรยิ ค์ าฉันท์ กรมพระนราธิปประพันธพ์ งศ์ - ลิลิตมหามงกฎุ ราชคณุ านุสรณ์ - ลลิ ิตตานานพระแท่นมนังคศิลา - พระราชพงศาวดารพมา่ - บทละครเรอื่ งสาวเครอื ฟา้ - บทละครเรือ่ งพระลอ - บทละครเรอ่ื งไกรทอง - บทละครพงศาวดารเรื่องพนั ท้ายนรสงิ ห์ พระบาทสมเดจ็ พระมงกฎุ เกล้าเจา้ อยหู่ ัว - บทละครพูดหัวใจนักรบ - มัทนะพาธา - บทละครพูดพระร่วง - วิวาหพระสมทุ ร - เวนสิ วาณชิ - บทละครพดู เห็นแกล่ กู - บทละครเบิกโรงเรือ่ งดกึ ดาบรรพ์ - บทละครดึกดาบรรพ์ - บทละครรอ้ งสาวติ รี - บทละครรอ้ งทา้ วแสนปม - ศกุนตลา - บอ่ เกิดรามเกียรติ์ - เมืองไทยจงตื่นเถดิ - ลัทธเิ อาอยา่ ง - โคลนตดิ ลอ้ - พระนลคาหลวง สมเดจ็ พระเจา้ บรมวงศ์เธอ - พงศาวดารเรอื่ งไทยรบพมา่ กรมพระยาดารงราชานภุ าพ - นริ าศนครวัด - เที่ยวเมืองพมา่ - นทิ านโบราณคดี - ความทรงจา
๒๕หนงั สือเรยี นวชิ าวรรณคดีมรดก ชั้นมัธยมศกึ ษาปีท่ี ๖ โรงเรียนวีรนาทศึกษามลู นิธิ จงั หวดั พัทลงุ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ - สาสน์ สมเด็จ เจ้าฟ้ากรมพระยานรศิ รานวุ ัตวิ งศ์ - เสดจ็ ประพาสต้น - ประวตั ิกวแี ละวรรณคดวี จิ ารณ์ เจา้ พระยาธรรมศกั ดม์ิ นตรี - อุณรทุ ตอน สมอุษา - สังข์ทอง ตอน ถว่ งสังข์ พระยาอปุ กติ ศลิ ปสาร - อิเหนา ตอน เผาเมอื ง พระยาศรสี นุ ทรโวหาร (ผนั ) - บทเพลง เช่น เพลงเขมรไทรโยค เพลงสรรเสริญ นายชิต บรุ ทตั พระบารมี เพลงตบั ต่าง ๆ - กาพย์เหเ่ รอื - โคลงกลอนของครเู ทพ - บันเทิงคดตี า่ ง ๆ - บทละครพูด - แบบเรยี นธรรมจรยิ า - คาประพนั ธ์บางเร่อื ง - ชมุ นมุ นพิ นธ์ - สงครามมหาภารตะคากลอน - อลิ ราชคาฉันท์ - สามัคคเี ภทคาฉันท์ - กวีนิพนธบ์ างเรอื่ ง - พระเกียรตงิ านพระเมรทุ องท้องสนามหลวง สมัยรัตนโกสินทร์ปัจจุบัน (หลังการเปล่ียนแปลงการปกครอง) โดยเริ่มตั้งแต่การเปลี่ยนแปลง การปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชมาเป็นการปกครองแบบประชาธิปไตยใน พ.ศ. ๒๔๗๕ ถึงปัจจุบันนับตั้งแต่รัชกาลท่ี ๕ และ ๖ อิทธิพลของวรรณคดียุโรปได้แผ่เข้ามาในประเทศไทยเป็นผลให้ วรรณคดีไทยเปล่ียนแปลงรูปแบบและเนื้อหา เมื่อส้ินรัชกาลที่ ๖ วรรณกรรมตามแบบฉบับดั้งเดิม ขาดผู้อุปถัมภ์ค้าจุนอย่างจริงจัง ประกอบกับมีปัจจัยหลายอย่างเป็นมูลเหตุให้วรรณกรรมไทยมีวิวัฒนาการ อย่างรวดเร็วไปตามแนวตะวันตก อันเป็นลักษณะสาคัญของวรรณกรรมปัจจุบันซึ่งมีความล้าหน้าวรรณกรรม แบบดั้งเดิมไปเป็นอันมาก แต่อย่างไรก็ตามถึงแม้วรรณกรรมปัจจุบันจะรุดหน้าไปเพียงใด ใช่ว่าวรรณคดี แบบเดมิ จะเสือ่ มความนิยมไปจนหมดส้ิน แตเ่ พียงลดลงไปเท่านน้ั
๒๖หนังสอื เรยี นวิชาวรรณคดีมรดก ช้ันมัธยมศกึ ษาปีที่ ๖ โรงเรียนวรี นาทศกึ ษามลู นธิ ิ จังหวัดพัทลุง ยอดของวรรณคดี ภาษาไทยมีประวัติความเป็นมาอย่างยาวนาน อันก่อให้เกิดวรรณกรรมและวรรณคดีมากมาย ในบรรดาว รรณคดีเห ล่ านั้นได้มีการกล่ าว ยกย่องว รรณคดีบางเล่ มให้ กล า ยเป็นยอดของว รรณคดีไทย ซ่ึงหนว่ ยงานทม่ี ีหนา้ ทีใ่ นการพิจารณายอดของวรรณคดไี ทยได้ วรรณคดีสโมสร วรรณคดีสโมสร จัดตั้งขึ้นโดยพระราชกฤษฎีกาต้ังวรรณคดีสโมสร พ.ศ.2457 ตรงกับรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการแต่งหนังสือ ให้ถูกต้องตามหลักภาษาไทย โดยได้คัดเลือกหนังสือดีท่ีเป็นตัวอย่างชั้นเลิศในการประพันธ์ ประเภทต่าง ๆ ซ่ึงต้องเป็นหนังสือดีและแต่งดีวรรณคดีสโมสรจึงจะรับไว้พิจารณา หนังสือ ทพ่ี ิจารณาจัดไวท้ ง้ั สนิ้ 5 ประเภท ไดแ้ ก่ กวนี พิ นธ์ คือ งานประพนั ธโ์ คลง กลอน กาพย์ ฉันท์ ละครไทย คอื เน้อื เรอื่ งทีป่ ระพนั ธเ์ ป็นกลอนแปด นทิ าน คือ เนอ้ื เรือ่ งทป่ี ระพันธ์เป็นรอ้ ยแกว้ ละครพูด คอื เน้อื เร่อื งท่ีเขยี นข้ึนสาหรบั แสดงบนเวทีใช้หลกั การนา้ เสยี ง ความชดั เจน ความอธิบาย คือ การแสดงศิลปะด้วยวิธีใดวิธีหนึ่ง ที่ไม่ใช่แบบเรียน ตารา หนังสือ โบราณคดี หรอื พงศาวดาร ในการจัดต้งั วรรณคดสี โมสรนี้ พระบาทสมเดจ็ พระมงกฎุ เกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดใหส้ รา้ ง พระราชลัญจกรขึน้ ใหมเ่ ปน็ รูป พระคเณศร์ เพ่อื เปน็ เคร่ืองหมายของวรรณคดีสโมสรด้วย
๒๗หนงั สอื เรียนวิชาวรรณคดมี รดก ชนั้ มธั ยมศึกษาปที ่ี ๖ โรงเรียนวีรนาทศกึ ษามูลนธิ ิ จังหวัดพทั ลงุ ยอดของลิลิต : ลลิ ิตพระลอ ยอดของความเรียงนิทาน : สามก๊ก (ไมป่ รากฏนามผ้แู ตง่ ) (เจา้ พระยาพระคลัง (หน)) ยอดของความเรยี งอธิบาย : ยอดของกลอนนิทาน : พระอภยั มณี พระราชพิธีสิบสองเดอื น (พระสนุ ทรโวหาร (ภ)ู่ ) (พระบาทสมเดจ็ พระจุลจอมเกลา้ เจ้าอยหู่ วั )
๒๘หนงั สอื เรียนวิชาวรรณคดมี รดก ชั้นมธั ยมศึกษาปีท่ี ๖ โรงเรยี นวีรนาทศึกษามลู นธิ ิ จังหวัดพัทลงุ ยอดของฉนั ท์ : สมุทรโฆษคาฉันท์ ยอดของกาพย์ : มหาชาติกลอนเทศน์ (พระมหาราชครู สมเด็จพระนารายณม์ หาราช (มผี ู้แต่งหลายคน ซ่ึงมีการแยกการแต่ง และสมเด็จพระมหาสมณเจา้ กรมพระปรมานุชติ ชิโนรส) เปน็ เรื่องและเปน็ กณั ฑ์) ยอดของกลอนสุภาพ : ยอดของบทละครรา : อเิ หนา บทเสภาขุนช้างขนุ แผน (พระบาทสมเด็จพระพทุ ธเลิศหลา้ นภาลัย) (พระบาทสมเดจ็ พระพุทธเลิศหลา้ นภาลยั )
๒๙หนังสือเรยี นวิชาวรรณคดีมรดก ชนั้ มธั ยมศึกษาปีท่ี ๖ โรงเรยี นวรี นาทศกึ ษามลู นิธิ จงั หวดั พทั ลุง ยอดของบทละครร้อง : สาวเครือฟา้ ยอดของบทละครพดู : หวั ใจนักรบ (พระนิพนธ์ของพระเจ้าบรมวงศเ์ ธอ (พระบทสมเด็จพระมงกฎุ เกล้าเจ้าอยู่หวั ) กรมพระนราธปิ ประพันธ์พงศ)์ ยอดของบทละครพูดคาฉันท์ : มทั นะพาธา ยอดของกาพย์เหเ่ รือ : กาพยเ์ หเ่ รือ (พระบทสมเด็จพระมงกฎุ เกล้าเจา้ อยู่หวั ) (เจา้ ฟา้ ธรรมธิเบศรไชยเชษฐ์สรุ ยิ วงศ์)
๓๐หนงั สอื เรยี นวิชาวรรณคดมี รดก ชนั้ มธั ยมศึกษาปที ่ี ๖ โรงเรยี นวีรนาทศกึ ษามลู นธิ ิ จังหวดั พทั ลงุ
๓๑หนงั สอื เรียนวชิ าวรรณคดีมรดก ชน้ั มธั ยมศกึ ษาปที ่ี ๖ โรงเรยี นวรี นาทศกึ ษามลู นิธิ จงั หวดั พทั ลุง การวเิ คราะหค์ ณุ ค่าวรรณคดี วรรณคดมี คี วามสาคัญในฐานะเครอ่ื งมอื ความบันเทิงใจ ท้ังยังเป็นเครื่องบันทึก ทางสังคม ซ่ึงสะท้อนวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของคนในยุคนั้น ๆ ผ่านตัวละครที่สร้างตาม จินตนาการของผู้แต่ง ไม่ว่าจะเป็นพระราชา สามัญชน หญิง ชาย คนดี คนชั่ว หรือ เรื่องราวต่าง ๆ ผู้อ่านจึงสามารถเรียนรู้เรื่องราวและสัจธรรมของชีวิตได้จากวรรณคดี ที่อ่าน ทั้งยังได้ข้อคิดในการดาเนินชีวิต เช่น ความดีย่อมชนะความชั่ว รู้จักการให้อภัย และเอาใจเขามาใส่ใจเรา ดังน้ันวรรณคดีจึงให้ทั้งความเพลิดเพลินบันเทิงใจและช่วย กล่อมเกลาจิตใจมนษุ ย์ใหม้ คี วามดงี ามอกี ด้วย การพิจารณาคุณค่าของวรรณคดี เป็นการประเมินว่าบทประพันธ์นั้นดีหรือไม่ดี อย่างไร โดยพิจารณาเพ่ือให้เห็นความสาคัญและเกิดความซาบซ้ึงในวรรณคดี ซ่ึงสามารถพิจารณาได้หลายด้าน เช่น คุณค่าด้านเน้ือหาที่ทาให้ผู้อ่านได้รับความรู้และ เกิดอารมณ์ความรู้สึกตา่ ง ๆ คุณค่าด้านแนวคิดท่สี อดแทรกคุณธรรม จริยธรรมให้ผู้อ่าน นาไปประยุกต์ใช้ในการดาเนินชีวิต คุณค่าด้านวรรณศิลป์ท่ีทาให้ผู้อ่านได้รับรส ของภาษา และคุณค่าด้านสังคมท่ีทาให้ผู้อ่านได้รับความรู้ เข้าใจชีวิต ทัศนคติ ความเปน็ อยู่ วัฒนธรรมประเพณขี องผคู้ นในสงั คมยคุ น้นั
๓๒หนังสือเรยี นวชิ าวรรณคดีมรดก ชั้นมธั ยมศึกษาปีที่ ๖ โรงเรียนวรี นาทศึกษามูลนิธิ จงั หวัดพทั ลุง การวิเคราะห์ หมายถึง การพิจารณาตรวจตรา แยกแยะและ ป ร ะ เ มิ น ค่ า ซ่ึ ง จ ะ เ กิ ด ป ร ะ โ ย ช น์ต่ อ ผู้ วิ เ ค ร า ะ ห์ ใ น ก า ร น า ไ ป แ ส ด ง ความคิดเห็น อภิปรายข้อเท็จจริงให้ผู้อ่ืนทราบด้วยว่า ใครเป็นผู้แต่ง เป็นเร่ืองเก่ียวกับอะไร มีประโยชน์อย่างไร ต่อใครบ้าง ผู้วิเคราะห์ มีความเห็นอย่างไร เร่ืองที่อ่านมีคุณค่าด้านใดบ้างและแต่ละด้านสามารถ นาไปประยกุ ตใ์ หเ้ กิดประโยชนต์ ่อชีวติ ประจาวันอย่างไรบา้ ง ๑. คุณคา่ ดา้ นเน้ือหา เนื้อหา หมายถึง ใจความของเรื่องหรือรายละเอียดท่ีปรากฏอยู่ใน เหตุการณ์ของวรรณคดี เนื้อหาจึงประกอบด้วย ฉาก ตัวละคร เหตุการณ์ต่าง ๆ บทสนทนาของตัวละคร การพิจารณาคุณค่าด้านเนื้อหา จึงต้องพิจารณาองค์ประกอบเหล่าน้ีว่ามีครบถ้วนหรือไม่ สมจริงอย่างไร มีเหตผุ ลเพียงใด มีคุณค่าตอ่ ผ้อู า่ นอยา่ งไร ด้านเนื้อหานอกจากเนื้อเรื่องสนุกสนานแล้วยังต้องมีความไพเราะของคาประพันธ์ด้วย เน้ือหาท่ีดี จะต้องอ่านแล้วประทับใจในแง่มุมใดแง่มุมหน่ึงท่ีทาให้วรรณคดีเรื่องน้ัน จนอาจเรียกว่าเป็นอมตะ คือ ได้รับ ความนิยมและมีผู้ชื่นชอบมาตลอดจนถึงปัจจุบัน เช่น วรรณคดีเรื่องพระอภัยมณีท่ียังมีผู้สนใจนามาดัดแปลง เป็นการ์ตูน สร้างเป็นละครโทรทัศน์และนาไปสอดแทรกในนวนิยาย วรรณคดีบางเร่ืองทาให้ผู้อ่านรู้สึก อิ่มอารมณ์อิ่มใจ เพราะมีเนื้อหาน่าประทับใจ เช่น กาพย์ห่อโคลงประพาสธารทองแดงมีเนื้อหาเล่าเรื่อง การเดินทางไปพระพุทธบาทในจังหวัดสระบุรี และชมธรรมชาติอันงดงามระหว่างทาง ชมสัตว์บกสัตว์น้า ชมนกชมไม้ คณุ คา่ ด้านเน้อื หาจงึ ให้ความรู้เรอ่ื งธรรมชาตอิ นั เปน็ ลักษณะเดน่ ของวรรณคดีเรื่องน้ี ดงั นนั้ กลา่ วได้วา่ การพจิ ารณาคณุ ค่าวรรณคดีด้านเนื้อหา คอื การพิจารณาว่าเนอื้ หาของวรรณคดี นั้นมีจุดมุ่งหมายอย่างไร กล่าวถึงเรื่องใด มุ่งประเด็นสาคัญอย่างไร หรือมีประโยชน์อย่างไร เป็นต้น ซ่ึงผู้อ่านจะต้องแปลความหมายและจับใจความสาคัญของเนื้อหาให้ได้เสียก่อน จึงจะพิจารณาเนื้อหา ต่อไป
๓๓หนงั สือเรยี นวชิ าวรรณคดีมรดก ช้นั มธั ยมศึกษาปีที่ ๖ โรงเรียนวรี นาทศกึ ษามูลนิธิ จงั หวัดพทั ลงุ การพิจารณาคุณค่าด้านเน้ือหา จะมุ่งไปพิจารณาองค์ประกอบของเน้ือหาว่ามีจุดมุ่งหมายเพ่ือ ประการใด มเี นือ้ หาอย่างไร มีคุณคา่ หรอื เป็นประโยชน์อย่างไร เช่น ชายขา้ วเปลือกหญิงข้าวสารโบราณวา่ นา้ พง่ึ เรือเสอื พง่ึ ปา่ อชั ฌาสัย เรากจ็ ิตคิดดเู ลา่ เขาก็ใจ รักกนั ไวด้ ีกวา่ ชงั ระวงั การ (อศิ รญาณภาษติ : หมอ่ มเจา้ อศิ รญาณ) อิศรญาณภาษิตมีจุดมุ่งหมายเพ่ือสั่งสอนหรือให้ข้อคิดกับผู้อ่าน โดยการชี้ให้เห็นว่า มนุษย์ควร พึ่งพาซึ่งกันและกันเพราะไม่อาจอยู่คนเดียวในโลกได้ การเห็นอกเห็นใจ รู้จักเอาใจเขามาใส่ใจเราเป็นสิ่งดี ท่ีควรมใี หก้ ัน ๒. คุณค่าด้านแนวคิดหรือข้อคิด ตามพจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน แนวคิด หมายถึง ความคดิ ท่ีมแี นวทางปฏิบตั ิ แนวคิดทางวรรณคดีและวรรณกรรมจึงหมายถึง สารหรือความคิดสาคัญ ท่ีผู้เขียน ต้องการสื่อมาให้ผู้อ่านเพอื่ เปน็ แนวทางปฏบิ ัติ อาจจะสื่อผ่านพฤติกรรมตัวละคร เน้ือหา หรือเหตุการณ์ต่าง ๆ โดยให้ผู้อ่านพิจารณาเร่ืองทั้งหมด แล้วสรุปออกมาเป็นแนวคิดสาคัญ เช่น กลอนดอกสร้อยราพึงในป่าช้า มีแนวคิดสาคัญของเร่ือง คือ ความไม่แน่นอนของชีวิต มนุษย์ไม่อาจหลีกหนีความตายไปได้ ไม่ว่าบุคคลน้ัน จะเปน็ ใคร ดังบทกลอนตอ่ ไปนี้ ซากเอ๋ยซากศพ อาจเป็นซากนกั รบผู้กลา้ หาญ เช่นชาวบ้านบางระจนั ขนั ราบาญ กับหมูม่ ่านมาประทุษอยุธยา ไมเ่ ชน่ น้ันท่านกวเี ชน่ ศรีปราชญ์ นอนอนาถเลห่ ์ใบไ้ รภ้ าษา หรือผู้กบู้ า้ นเมืองเรืองปัญญา อาจจะมานอนจมถมดินเอย (กลอนดอกสรอ้ ยราพงึ ในปา่ ชา้ : พระยาอปุ กิตศลิ ปสาร) นอกจากนี้ ในวรรณคดีและวรรณกรรมที่มีเร่ืองขนาดยาวอาจมีสารที่แสดงแนวคิดหลักและแนวคิด รองได้ แนวคิดหลัก หมายถึง การพิจารณาสาระสาคัญที่ผู้เขียนสื่อมาถึงผู้อ่าน หรือความคิดสาคัญของเน้ือ เร่ืองโดยรวม ส่วนแนวคิดรอง หมายถึง การพิจารณาแนวคิดสาคัญเฉพาะตอนใดตอนหน่ึงของเรื่อง ซึ่ง วรรณคดแี ละวรรณกรรมแต่ละเรื่องอาจใช้แนวคดิ รองประกอบกบั แนวคดิ หลกั ได้
๓๔หนังสอื เรียนวชิ าวรรณคดีมรดก ชั้นมธั ยมศกึ ษาปีที่ ๖ โรงเรียนวรี นาทศกึ ษามลู นธิ ิ จังหวัดพัทลงุ ๓. คุณค่าด้านวรรณศิลป์ วรรณศิลป์ หมายถึง ศิลปะในการประพันธ์หนังสือ ให้เกิดอารมณ์ สะเทือนใจ โดยมากมักเน้นพิจารณาเร่ืองการแสดงออกโดยใช้ถ้อยคาท่ีมีสานวนโวหารไพเราะ มีลักษณะเด่น ในเชิงการประพันธ์ สามารถถ่ายทอดความคิดความรู้สึกของกวีได้จับใจผู้อ่านและผู้ฟัง ให้เกิดความรู้สึก คล้อยตามไปกับกวดี ้วย การพิจารณาคุณคา่ ดา้ นวรรณศลิ ป์สามารถพจิ ารณาไดห้ ลากหลาย ดังนี้ ๓.๑ การเล่นเสียงหรือการเล่นสัมผัส หมายถึง การนาเสียงสัมผัสพยัญชนะ สัมผัสสระ และ เสียงวรรณยกุ ต์ มาใช้เพอื่ ให้เกิดความไพเราะ และแสดงความสามารถของกวี โดยสามารถแบง่ ประเภทไดด้ งั นี้ ๑) เล่นเสียงสัมผัสพยัญชนะ คือ การใช้เสียงพยัญชนะต้นเสียงเดียวกันหลาย ๆ พยางค์ ในวรรคหรือบทเดยี วกัน เช่น แจ้วแจว้ จกั จนั่ จา้ จบั ใจ หริ่งหร่ิงเรื่อยเรไร ร่ารอ้ ง แซงแซวสง่ เสียงใส ทราบโสต แหนงนง่ิ นกึ นชุ น้อง นิม่ เนื้อนวลนาง (นริ าศสุพรรณ : สนุ ทรภู่) แถวโน้นกแ็ ก้วเกดพิกลุ แกมกับกาหลง (ร่ายยาวมหาเวสสนั ดรชาดก กณั ฑ์มัทรี : เจ้าพระยาพระคลัง (หน)) ๒) เล่นเสยี งสัมผัสสระ คือ การใชส้ มั ผัสสระหลายพยางคต์ ิดกนั สมั ผัสสระคือคาที่ใชส้ ระตัว เดียวกนั หรอื ถ้าคานน้ั มตี ัวสะกดจะต้องเปน็ คาทีม่ ีสระตัวเดียวกันและตัวสะกดตัวเดยี วกัน เชน่ เจ้าเคยเคียงเรยี งหมอนนอนแนบข้างทุกราตรี (ร่ายยาวมหาเวสสนั ดรชาดก กณั ฑ์มัทรี : เจา้ พระยาพระคลงั (หน)) คอกควายวัวรัวเกราะเปาะเปาะ! เพยี ง ร้วู า่ เสียงเกราะแว่วแผว่ แผว่ เอย (กลอนดอกสร้อยราพึงในปา่ ช้า : พระยาอุปกติ ศลิ ปสาร)
๓๕หนงั สือเรียนวิชาวรรณคดมี รดก ช้ันมธั ยมศกึ ษาปีที่ ๖ โรงเรียนวีรนาทศึกษามูลนธิ ิ จงั หวดั พัทลุง ๓) เล่นเสยี งวรรณยุกต์ คอื การใชค้ าที่มเี สียงวรรณยุกตต์ า่ งกนั เพื่อใหเ้ กิดความไพเราะ หรอื เพอื่ เนน้ ความ โดยจะต้องมีคาทมี่ ีเสียงวรรณยกุ ต์ไลร่ ะดับอยู่ตดิ กนั ตง้ั แต่ ๒ คาขึ้นไป เช่น กลองทองตีครมุ่ ครื้ม เดินเรียง ทา้ ตะเติงเตงิ เสยี ง ครมุ่ ครนื้ เสียงปี่ร่เี ร่ือยเพียง การเวก แตร้นแตร่นแตรฝรั่งขึน้ หวู่หวู่เสยี งสงั ข์ (กาพยห์ ่อโคลงประพาสธารทองแดง : เจ้าฟา้ ธรรมธิเบศร) ๓.๒ การเล่นคา หมายถึง การนาถ้อยคามาเล่นพลิกแพลงให้เกิดความหมายพิเศษ เกิดภาพ เกิดเสียงไพเราะ เป็นวิธีการท่ีนิยมใช้ในวรรณคดี เพ่ือให้เกิดศิลปะในการใช้ถ้อยคา มีท้ังเล่นคาพ้องรูป คาพอ้ งเสียง คาหลากความหมาย การซา้ คา เป็นตน้ ๑) การซ้าคา คอื การใช้คาเดยี วกนั ซา้ ๆ เพอื่ เน้นความหมาย เช่น สมเด็จอรไทเธอเที่ยวตะโกนกู่กู๋ก้อง พระพักตร์เธอฟูมฟองนองไปด้วยน้าพระเนตรเธอโศกา จึงตรัสว่าโอโ้ อ๋เวลาปานฉะน้เี อ่ยจะมดิ ึกด่ืน จวนจะสิ้นคืนค่อนรุ่งไปเสียแล้วหรือกระไรไม่รู้เลย พระพายราเพย พัดมารี่เร่ือยอยู่เฉื่อยฉิว อกแม่นี้ให้อ่อนหิวสุดละห้อย ท้ังดาวเดือนก็เคล่ือนคล้อยลงลับไม้ สุดที่แม่จะติดตาม เจ้าไปในยามน้ี ฝูงลิงค่างบ่างชะนีที่นอนหลับ ก็กลิ้งกลับเกลือกตัวอยู่ย้ัวเยี้ย ท้ังนกหกก็งัวเงียเหงาเงียบทุก รวงรัง แตแ่ ม่เทยี่ วเซซังเสาะแสวงทุกแห่งหอ้ งหมิ เวศ ทั่วประเทศทุกราวป่า สุดสายนัยนาที่แม่จะตามไปเล็งแล สดุ โสตแล้วท่ีแม่จะซับทราบฟังสาเนียง สุดสุรเสียงท่ีแม่จะร่าเรียกพิไรร้อง สุดฝีเท้าที่แม่จะเย้ืองย่องยกย่างลง เหยยี บดนิ กส็ ดุ ส้ินสดุ ปัญญาสดุ หาสดุ คน้ เห็นสดุ คิด จะได้พานพบประสบรอยพระลูกนอ้ ยแตส่ กั นิดไม่มเี ลย (รา่ ยยาวมหาเวสสนั ดรชาดก กัณฑ์มัทรี : เจา้ พระยาพระคลงั (หน)) จากบทประพันธ์ข้างต้นมีการใชค้ าว่า สุด ซ้ากนั เนอื่ งจากใหเ้ กดิ ความเขา้ ใจและเกิดจินตภาพวา่ สดุ ส้นิ ทุกสิ่งทุกอย่างในการค้นหาลกู คอื พระกญั หาพระชาลี
๓๖หนังสอื เรียนวิชาวรรณคดีมรดก ช้นั มธั ยมศกึ ษาปีที่ ๖ โรงเรียนวรี นาทศกึ ษามูลนิธิ จงั หวัดพัทลงุ ๒) การเล่นคาพ้อง หมายถึง การใช้คาพ้องในการแต่งบทร้อยกรองประเภทกลอนสุภาพ ซึ่งอาจจะ เปน็ คาพอ้ งเสียง คาพ้องรูป หรือคาพอ้ งความ เพ่ือสร้างให้เกดิ ความสรา้ งสรรคใ์ นการแต่งบทร้อยกรอง คาพ้องรปู เป็นการใช้คาทเ่ี ขียนเหมอื นกัน แตอ่ อกเสยี งต่างกันและมีความหมายตา่ งกนั เช่น แขกเตา้ จับเต่ารา้ งรอ้ ง เหมอื นรา้ งทอ้ งมาหยารัศมี นกแกว้ จบั แก้วพาที เหมอื นแกว้ พี่ทงั้ สามสงั่ ความมา (อิเหนา : พระบาทสมเด็จพระพุทธเลศิ หลา้ นภาลยั ) จากคาประพันธ์ปรากฏคาว่า ร้าง ซึ่งในบทประพันธ์คาว่าร้างมีความหมายแตกต่าง กันออกไป ได้แก่ เต้าร้าง ซึ่งหมายถึงช่ือต้นไม้ และคาว่าร้าง หมายถึงจากลา และคาว่า แก้ว ซ่ึงปรากฏใน คาวา่ นกแก้ว หมายถงึ นกชนิดหนง่ึ แกว้ หมายถึงต้นแก้ว และแก้วในวรรคสุดทา้ ย หมายถึง นางอันเป็นท่ีรัก คาพ้องเสียง เป็นการใช้คาท่ีมีเสียงเหมือนกัน แต่รูปการเขียนและความหมายแตกต่างกัน ออกไป ตวั อย่าง เบญจวรรณจบั วลั ยช์ าลี เหมือนวันพ่ีไกลสามสดุ ามา (อเิ หนา : พระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธเลิศหล้านภาลยั ) จากบทประพันธ์ข้างต้น จะเห็นว่ามีการใช้คาพ้องเสียงคือคาว่า เบญจวรรณ หมายถึงชื่อนก คาว่า วัลย์ หมายถงึ เถาวลั ย์ และคาวา่ วัน หมายถึงวันเวลา คาพ้องความหรือคาไวพจน์ เป็นการใช้คาท่ีเขียนต่างกัน แต่มีความหมายเหมือนกันหรือ ใกลเ้ คยี งกนั มาก ตัวอย่าง มดื ส้ินแสงเทียนประทีปสอ่ ง ก็ผ่องแสงจันทร์กระจ่างสว่างสง่ บปุ ผชาติสาดเกสรขจรลง บุษบงเบิกแบง่ ระบดั บาน (บทเสภาขุนชา้ งขนุ แผน : พระบาทสมเด็จพระพทุ ธเลศิ หลา้ นภาลยั ) จากบทประพันธ์ข้างต้น จะเห็นว่ามีการใช้คาพ้องความที่บอกถึงลักษณะหรือให้ความหมาย ของความสวา่ ง 3 คา ไดแ้ ก่ ผอ่ ง กระจ่าง สว่าง และมีคาพ้องความท่ีแปลว่าดอกไม้ 2 คา ได้แก่ บุปผชาติและ บุษบง
๓๗หนังสือเรยี นวิชาวรรณคดมี รดก ชน้ั มัธยมศกึ ษาปที ี่ ๖ โรงเรยี นวีรนาทศกึ ษามลู นิธิ จังหวัดพัทลุง ๓.๓ ภาพพจน์ โดยท่ัวไปภาพพจน์ในภาษาไทยมีมากมายหลากหลายชนิด ซึ่งการใช้ภาพพจน์ใน การแต่งบทร้อยกรองจะทาให้เกิดความสวยงามทางภาษาในการแต่งมากยิ่งข้ึน โดยตัวอย่างของการใช้ ภาพพจนท์ ่ไี ดร้ บั ความนิยมในปัจจุบันมดี งั น้ี ๑) ภาพพจน์อปุ มา เป็นการเปรยี บเทยี บสิ่งหน่ึงเหมือนอีกส่ิงหนึ่ง โดยทั่วไปมักจะปรากฏคา ที่มีความหมายในการเปรียบเทียบ เช่น ดั่ง ดุจ เหมือน ราวกับ ประหน่ึง ป้ิม เล่ห์ เป็นต้น ซ่ึงการใช้ภาพพจน์ อุปมาจะทาใหเ้ กิดความสวยงามทางภาษามากยงิ่ ขึ้นในการแต่งคาประพนั ธ์ เช่น สงู ระหงทรงเพรียวเรียวรดู งามละมา้ ยคลา้ ยอฐู กะหลาป๋า พศิ แต่หวั จรดเทา้ ขาวแต่ตา สองแก้มกลั ยาดั่งลูกยอ (ระเด่นลันได : พระมหามนตรี (ทรัพย์)) ๒) ภาพพจน์อุปลักษณ์ เป็นการเปรียบส่ิงหน่ึงเป็นอีกส่ิงหน่ึง โดยมักปรากฏคาว่า เป็น คือ และเทา่ ซงึ่ มีลักษณะการใชค้ ลา้ ยคลึงกบั ภาพพจน์อปุ มา เชน่ คอื นา้ ผ้งึ คอื นา้ ตาคอื ยาพษิ คือหยาดนา้ อมฤตอันชืน่ ชุม่ คือเกสรดอกไม้คือไฟรุม คอื ความกลุ้มคอื ความฝนั น่ันแหละรกั (รักคอื … : รยงค์ เวนุรกั ษ์) ๓) ภาพพจน์ปฏิปุจฉาหรือการใช้คาถามโดยไม่ต้องการคาตอบ เป็นการใช้คาถามที่ไม่ ต้องการคาตอบหรือไม่ได้ประสงค์ให้ผู้อ่านตอบคาถามนัน้ ๆ เปน็ เพียงการถามเพอื่ กระตนุ้ ความคดิ เท่านน้ั เช่น เดรัจฉานหรอื มารรา้ ยคล้ายมนุษย์ เปน็ ตวั จุดเพลงิ กาฬผลาญยุ่งเหยงิ ๔) ภาพพจน์สัทพจน์ เป็นการใชภ้ าษาเพื่อเลียนเสยี งธรรมชาติ เชน่ ระทึกท้นโทนทับฉง่ิ ฉบั ฉงิ่ ตงิ ทงั่ ตงิ ตงิ ทั่งตงิ ทัง่ ติงทั่ง เจา้ พลายงามศรมี าลาไมม่ าฟงั เพลงก็พรากจากวงั บางขุนพรหม (บทกวีบางขนุ พรหม : เนาวรัตน์ พงไพบลู ย)์ จากบทประพนั ธ์ขา้ งตน้ เปน็ การเลียนเสยี งเคร่ืองดนตรีของโทนและฉิ่ง
๓๘หนังสือเรยี นวิชาวรรณคดมี รดก ชั้นมัธยมศึกษาปที ่ี ๖ โรงเรยี นวีรนาทศึกษามูลนธิ ิ จงั หวัดพัทลงุ ๕) ภาพพจน์บุคคลวัต บุคคลสมมติ หรือบุคลาธิษฐาน การใช้ภาษาสมมติให้สิ่งต่าง ๆ ท่ี ไม่ใชม่ นษุ ย์หรอื ไม่มีตัวตน (นามธรรม) แสดงอากปั กริ ิยาเสมือนหน่งึ ว่าเปน็ มนุษย์ เช่น พูดได้ ร้องไห้ได้ เป็นต้น เชน่ นา้ เซาะรนิ รนิ หลากไหล ไมห่ ลับเลยช่ัวฟ้าดินหาย สรรพสตั วพ์ อฟ้นื กว็ ุ่นวาย สลายซากเป็นกากผงธุลี (ลานาภูกระดึง : องั คาร กัลยาณพงศ)์ จากบทประพันธข์ า้ งต้นมคี าวา่ น้าไมเ่ คยหลับ โดยคาว่า หลบั เปน็ อาการของมนษุ ย์ ๖) ภาพพจน์อติพจน์ การกล่าวเกินจริง โดยเป็นการกระทาหรือความรู้สึกของมนุษย์ท่ีเกิน จรงิ มักนยิ มใชก้ ันมากในตอนท่กี ลา่ วเก่ียวกบั ความรกั และความโศก ตัวอยา่ ง จะเจ็บจาไปถงึ ปรโลก ฤๅรอยโศกรรู้ ้างจางหาย จะเกดิ กี่ฟา้ มาตรมตาย อยา่ หมายวา่ จะใหห้ วั ใจ (เสยี เจ้า : อังคาร กัลยาณพงศ์) จากบทประพันธ์ขา้ งต้นเปน็ กล่าวถึงความเจ็บช้าจากความรัก ซึ่งได้กล่าวว่าจะจาไป จนถงึ ปรโลก ซง่ึ เป็นการกล่าวเกินความเป็นจรงิ ๗) ภาพพจน์สัญลักษณ์ หมายถึงการใช้คาที่มีความหมายในเชิงสัญลักษณ์มาใช้ในการแต่ง คาประพันธ์ โดยความหมายนน้ั จะเป็นความหมายโดยนัย และเปน็ ท่ที ราบโดยทว่ั ไปของคน เช่น พีห่ มายปองกุหลาบงามยามแยม้ กลีบ ไม่ใคร่รีบชิงฉวยดว้ ยนิสยั หากมแี มลงภผู่ ง้ึ มาคลงึ ไคล้ จะปดั ใหไ้ กลจากนางอย่างเบามือ จากบทประพันธ์ข้างต้น ใช้สัญลักษณ์ในการประพันธ์คือคาว่า กุหลาบ ซึ่งโดยท่ัวไปหมายถึง ความรัก แต่ในบทประพันธ์นี้หมายถึงผู้หญิงอันเป็นที่รัก คาว่ายามแย้มกลีบ หมายถึง วัยรุ่นหรือวัยสาว และ แมลงภผู่ ้ึง หมายถงึ ผูช้ ายอ่ืนทีเ่ ข้ามายงุ่ เกย่ี วกบั ผหู้ ญงิ อันเป็นทร่ี กั คนน้ัน
๓๙หนังสอื เรยี นวิชาวรรณคดีมรดก ชน้ั มัธยมศกึ ษาปีท่ี ๖ โรงเรียนวรี นาทศึกษามูลนธิ ิ จังหวัดพัทลงุ ๔. คุณค่าด้านสังคม คือ ภาพสะท้อนชีวิตความเป็นอยู่ของคนท่ีสะท้อนมาจากวรรณคดี และวรรณกรรมโดยกวีนิยมแทรกไว้ในเนื้อเร่ือง เช่น ประเพณี ความเช่ือ ค่านิยม ความเป็นอยู่ การประกอบ อาชีพ วรรณคดีและวรรณกรรมจึงเป็นเสมือนกระจกสะท้อนสภาพสังคมในแต่ละยุคสมัย ซ่ึงเป็นหลักฐาน ท่ีบอกเลา่ เร่อื งราวในอดตี แกค่ นรนุ่ หลังได้เป็นอย่างดี ตัวอย่างคุณค่าด้านสงั คมท่ีปรากฏในเสภาเร่ือง ขุนชา้ ง-ขนุ แผน ครนั้ ร่งุ เช้าขึน้ พลันเป็นวนั ดี ทองประศรีจัดเรือกญั ญาใหญ่ เอาขันหมากลงบรรทุกขลุกขลุ่ยไป หามโหรีใสท่ ้ายกญั ญา ขันหมากเอกเลือกเอาทร่ี ูปสวย นงุ่ ยกหม่ ผวยจับผวิ หน้า ก็ออกเรือด้วยพลันทนั เวลา ครูห่ นึง่ ถึงท่าศรปี ระจนั (เสภาเรอ่ื ง ขุนช้าง-ขุนแผน : พระบาทสมเด็จพระพทุ ธเลิศหล้านภาลัย) เน้ือเร่ืองขุนช้าง-ขุนแผนในตอนนี้กล่าวถึงการจัดขบวนขันหมากซ่ึงแห่ไปทางเรือ และพิธีสู่ขอตาม ประเพณีไทยของชาวบา้ นในสมัยน้ัน เม่ือผู้อ่านวรรณคดีได้ศึกษาก็จะเกิดความเข้าใจสภาพสังคม วิถีชีวิต และ ประเพณขี องคนไทย
แม้ก้อนหินสิ้นค่ายังซ่อนเพชร ทรายเรียงเม็ดยังก่อร่างสร้างหาดขาว เพียงละอองฟ่องฟ้านภาพราว เกิดเป็นดาวที่สดใสในค่ำคืน
Search
Read the Text Version
- 1 - 42
Pages: