GUIDANCE ACTIVITIES กิจกรรมแนะแนว เพื่อพัฒนาทกั ษะชีวิตของนกั เรียน ม.4 นางสาวรตั ตกิ าล ยศสขุ ตําแหน่งครู RATTIKAN YOUTSOOK โรงเรยี นราชประชานเุ คราะห์31 จงั หวดั เชยี งใหม่ สังกดั สาํ นกั บรหิ ารงานการศึกษาพิเศษ
แกนแทข องการเรยี นรทู ักษะชีวิต แกนแทของการเรียนรทู กั ษะชวี ิต คอื การยดึ เอาชีวติ เปนศูนยกลาง หรือเปนตัวตั้งในการเรียนรู เพื่อใหเกิดความสามารถในการสรางคณุ ลักษณะ ที่จำเปนสำหรับการดำเนินชวี ิตอยางเต็มตามศักยภาพ ของตนเอง ทำใหช ีวติ เกดิ การพัฒนาอยา งตอ เน่อื งไปตลอดชวี ิต การเรียนรูที่เอาชีวิตเปนตัวตัง้ ไมไดหมายความวา วิชาหรือความรูไมสำคญั แตการเรียนรูท ี่เอา วิชาเปนตวั ต้งั อาจทำใหเกิดการทอดทง้ิ ความเปน “คน” หรือ “ชีวิต” แตการเรยี นรทู ่ี “คน” หรอื “ชวี ิต” เปนตวั ตงั้ จะไมทอดทิ้งวชิ า เพราะคนจะแสวงหาวิชา หรอื ความรทู ีส่ อดคลอ งกับความเปนคน หรือสราง วชิ าขึ้นมาเพือ่ ใชป ระโยชนต อ ชีวิต และการอยูรว มกนั เพราะสง่ิ สำคญั ทสี่ ุด ของความเปน คน คือการมีชีวิต ที่เจรญิ และมกี ารอยูร ว มกันดวยสนั ติ ทั้งระหวางมนุษยก ับมนษุ ย และมนษุ ยก ับธรรมชาตแิ วดลอม ประเวศ วะสี. ปฏริ ปู การเรยี นรู เพอื่ แกความทกุ ขยากของคนท้ังแผน ดนิ สานปฏริ ูป. 24 (มีนาคม), หนา 62 –64 ; 2543 รัตติกาล ยศสขุ 1
คำนำ ปจ จุบันสภาพสงั คมไทยมีการเปล่ียนแปลงในดานตา ง ๆ อยางรวดเร็ว มีความซับซอ น มตี ัวอยาง ท่เี หมาะสมและไมเ หมาะสม มกี ารแขง ขันทงั้ ดา นการศึกษาและเศรษฐกิจ ทำใหม ีผลกระทบตอ การดำเนนิ ชวี ิตของนักเรยี น นักเรยี นจงึ ตองพยายามปรบั ตัวเพื่อดำเนินชีวติ อยูใ นสังคมไดอ ยางราบรนื่ และมคี วามสุข การจัดกิจกรรมแนะแนวเพื่อพัฒนาทักษะชีวิต เปนวิธีหนึ่งที่จะชวยสงเสริมและพัฒนาทักษะชีวิตของ นกั เรยี นในการนำกระบวนการตา ง ๆ ไปใชใ นการดำเนินชีวติ ประจำวนั การเรียนรดู วยตนเอง การเรียนรู อยางตอเนื่อง การทำงานและอยูรวมกันในสังคม การสรางเสริมความสัมพันธอันดีระหวางบุคคล การ จัดการปญ หาและความขัดแยง ตาง ๆ อยา งเหมาะสม การปรบั ตวั ใหท นั กบั การเปล่ยี นแปลงของสังคมและ สภาพแวดลอม และการรูจักหลีกเลี่ยงพฤติกรรมไมพึงประสงคที่สงผลกระทบตอตนเอง และผูอื่น โดย สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขน้ั พ้ืนฐานไดก ำหนดองคป ระกอบทสี่ ำคญั 4 ดา น คือ 1. การตระหนักรแู ละเหน็ คณุ คา ในตนเองและผูอ ื่น 2. การคดิ วเิ คราะห ตัดสนิ ใจ และแกปญหาอยา งสรา งสรรค 3. การจดั การกบั อารมณแ ละความเครียด 4. การสรางสัมพนั ธภาพทดี่ กี ับผูอ่ืน ขาพเจาไดดำเนินการพัฒนาชุดกิจกรรมแนะแนวเพื่อพัฒนาทักษะชีวิตของนักเรียนช้ัน มธั ยมศกึ ษาปที่ 4 โรงเรียนราชประชานเุ คราะห 31 จังหวดั เชยี งใหม ตามองคป ระกอบท้ัง 4 ดานขึ้น เพ่ือ นำมาใชเปนแนวทาง ในการจัดกิจกรรมแนะแนวในคาบกิจกรรมพัฒนาผูเรียนตามหลักสูตรแกนกลาง การศกึ ษาขั้นพ้ืนฐาน พทุ ธศกั ราช 2551 ขาพเจาหวังเปนอยางยิ่งวา ชุดกิจกรรมแนะแนวเพื่อพัฒนาทักษะชีวิตของนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปที่ 4 โรงเรียนราชประชานุเคราะห 31 จังหวัดเชียงใหม สังกัดสำนักบริหารงานการศึกษา พิเศษ สามารถชวยใหนักเรียนเกิดการเรียนรูในการพัฒนาทักษะชีวิต สามารถนำไปประยุกตใชในการ จดั การกบั ปญ หาตาง ๆ รอบตัวในสภาพสงั คมปจจุบนั และเตรียมพรอมสำหรบั การปรบั ตวั ในอนาคตตอไป นางสาวรตั ติกาล ยศสขุ ครูชำนาญการโรงเรียนราชประชานเุ คราะห 31 จังหวัดเชยี งใหม รตั ติกาล ยศสุข 2
สารบัญ หนา ก คำนำ ข สารบญั ค คำชีแ้ จงเบอื้ งตน สำหรับนกั เรยี น โครงสรา งการจัดกิจกรรมแนะแนวเพ่ือพฒั นาทกั ษะชวี ิตของนักเรียน 8 ชดุ กจิ กรรมตามองคประกอบทกั ษะชวี ติ 18 ชดุ ท่ี 1 ดา นการตระหนักรแู ละเห็นคุณคา ในตนเองและผอู นื่ 22 กิจกรรม ปฐมนเิ ทศ 32 ชุดท่ี 2 ดา นการคิดวิเคราะห ตดั สนิ ใจ และแกป ญ หาอยางสรางสรรค กจิ กรรม คดิ ใหดี มีชยั ชนะ ชดุ ท่ี 3 ดา นการจัดการกบั อารมณและความเครียด กิจกรรม รจู ักขจัดเครยี ด ชดุ ท่ี 4 ดา นการสรา งสัมพันธภาพทดี่ ีกบั ผอู น่ื กจิ กรรม สมั พันธ ผูกใจ รตั ตกิ าล ยศสุข 3
คําชแ้ี จง การจัดกิจกรรมแนะแนว ดวยชุดกิจกรรมแนะแนวเพื่อพัฒนาทักษะชีวิตของนักเรียน ชั้น มัธยมศึกษาปท ี่ 4 โรงเรียนราชประชานุเคราะห 31 จังหวัดเชียงใหม ชุดนี้จะชวยพัฒนาใหนักเรียนเกดิ ทักษะชีวิตตามองคประกอบของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ทั้ง 4 องคประกอบ คือ การตระหนักรูและเหน็ คุณคาในตนเองและผูอืน่ การคิดวิเคราะห ตัดสนิ ใจและแกปญ หาอยางสรางสรรค การจดั การกับอารมณแ ละความเครียด และการสรางสัมพนั ธภาพที่ดกี บั ผูอนื่ นกั เรียนจะตอ งศึกษาไปทลี ะ กิจกรรมเรียงตามลำดับ เพื่อจะทำใหนักเรียนสามารถพัฒนาตนเองใหมีความสามารถในการจัดการกับ ปญหาตา ง ๆ รอบตวั ในสภาพสังคมปจ จุบันและเตรียมพรอมสำหรบั ปรับตวั ในอนาคต ซงึ่ ชดุ กิจกรรมแนะ แนวเพ่อื พัฒนาทักษะชวี ติ ของนกั เรียน ประกอบดวย 1. ดา นการตระหนกั รูแ ละเห็นคณุ คา ในตนเองและผูอ ื่น ประกอบดว ย กจิ กรรมท่ี 1 ปฐมนเิ ทศ กจิ กรรมที่ 2 ตามฝน ใหเ จอ กิจกรรมที่ 3 มมุ มองทน่ี า สนใจ กจิ กรรมท่ี 10 ปจ ฉมิ นเิ ทศ 2. ดา นการคิดวเิ คราะห ตดั สินใจและแกปญหาอยา งสรางสรรค กิจกรรมท่ี 4 นแี่ หละ ใชเ ลย กจิ กรรมท่ี 5 คิดใหดี มชี ยั ชนะ 3. ดา นการจดั การกบั อารมณแ ละความเครยี ด กจิ กรรมท่ี 6 มมุ มองแหงตน กิจกรรมท่ี 7 รูจ ักขจดั เครียด 4. ดา นการสรางสมั พนั ธภาพทด่ี กี บั ผอู ื่น กจิ กรรมท่ี 8 สมั พนั ธผกู ใจ กิจกรรมท่ี 9 รหู นา ไมร ใู จ บทบาทของนักเรียน 1. เร่มิ กจิ กรรมท่ี 1 นักเรยี นตองทำแบบประเมนิ พฤติกรรมทักษะชวี ติ ทั้ง 4 ดา น เพอ่ื ประเมิน พฤติกรรมทักษะชีวิตของนกั เรียนกอนการรว มกิจกรรมแนะแนวเพ่อื พัฒนาทกั ษะชวี ิตของนกั เรียนช้ัน มัธยมศึกษาปท ่ี 4 โรงเรยี นราชประชานุเคราะห 31 จังหวัดเชียงใหม 2. ใหน ักเรยี นเขา รวมกจิ กรรมทุกครง้ั 3. นักเรียนทุกคนสามารถแสดงความคิดเห็นในทุกกจิ กรรมทง้ั การทำงานรายบคุ คล หรอื การ ทำงานเปนกลมุ 4. เมอ่ื สนิ้ สดุ การทำกิจกรรมนกั เรยี นตอ งทำแบบประเมนิ พฤตกิ รรมทักษะชีวติ และแบบประเมิน ความพึงพอใจของนักเรียนที่มีตอการใชชุดกิจกรรมแนะแนวเพื่อพัฒนาทักษะชีวิต ของนักเรียนช้ัน มัธยมศกึ ษาปท ี่ 4 เพ่ือประเมนิ พฤตกิ รรมทกั ษะชีวิตหลังการรว มกจิ กรรมแนะแนว เพอื่ พัฒนาทักษะชีวิต ของนักเรยี นชัน้ มธั ยมศึกษาปท ี่ 4 รัตติกาล ยศสขุ 4
โครงสรา งการจัดกจิ กรรมแนะแนวเพอื่ พฒั นา ทกั ษะชวี ติ ของนกั เรียน ช้ันมธั ยมศึกษาปท ่ี 4 กจิ กรรม องคประกอบทกั ษะชวี ติ จุดประสงคก ารเรยี นรู คาบ ปฐมนิเทศ การตระหนักรูและเห็น 1. เพื่อเสริมสรางความรัก และ 1 ตามฝนใหเจอ คุณคา ในตนเองและผูอนื่ ภาคภูมิใจในสถาบันการศึกษาของ มมุ มองที่นา สนใจ ตนเอง 2. เพื่อใหนักเรียนทราบจุดมุงหมาย นแี่ หละ...ใชเ ลย ความสำคัญ และประโยชนของ การ พัฒนาทักษะชวี ิต 3. เพ่อื ใหนักเรียนไดเ ตรียมความพรอม ในการทำกิจกรรมรว มกนั การตระหนักรูและเห็น 1. กำหนดเปา หมายความสำเร็จ ตาม 2 คุณคา ในตนเองและผอู ืน่ คุณคาของตนเอง 2. มีแนวทางการวางแผนชีวิต สู เปาหมาย การตระหนักรูและเห็น 1. บอกความสนใจของตนเอง ดานการ 2 คุณคา ในตนเองและผูอืน่ เรียนและอาชีพ 2.บอกความถนดั ของตนเอง ดานการ เรยี นและอาชพี 3.บอกความสามารถของตนเอง ดาน การเรียนและอาชพี 4. ภมู ใิ จในความถนดั และ ความสามารถของตนเอง 5.ยินดีกบั ความถนดั และความสามารถ ของเพือ่ น การคิดวิเคราะหตดั สนิ ใจ 1. วิเคราะหค วามสามารถทาง การ 2 และ แก ปญ หาอ ย า ง เรียน ความถนดั ความสนใจ ของ สรา งสรรค ตนเอง 2. ระบกุ ารเลือกกลมุ สาขาวชิ า ท่ี สอดคลอ งกบั ความสามารถ ดานตาง ๆ ของตนเอง รัตตกิ าล ยศสุข 5
กจิ กรรม องคประกอบทกั ษะชีวติ จุดประสงคก ารเรยี นรู คาบ คิดใหด ี มีชัยชนะ 3. บอกความสมั พันธร ะหวา งสาขาการ เรียนกับแนวทางการเลือกอาชีพของ มมุ มองแหง ตน ตนเองได การคิดวิเคราะหตดั สนิ ใจ 1. อธบิ ายหลกั การคิดและลักษณะ 2 รจู กั ขจัดเครยี ด และ แก ปญ หาอ ย า ง ของคนคดิ เปน สมั พนั ธ ผกู ใจ สรา งสรรค 2. มที กั ษะในการคิดเชงิ วิเคราะห รูหนาไมรูใ จ สาเหตุของปญ หา 3. วางแผนแกป ญ หาเมอ่ื เผชญิ กบั สถานการณต าง ๆ ไดอ ยางมีข้นั ตอน 4. นากระบวนการคดิ ไปประยุกตใ ช อยา งเหมาะสม การจัดการกับอารมณ 1. สงั เกตอารมณข องตนเองและผูอื่น 2 และความเครยี ด จากสถานการณต างๆ 2. จาแนกความคิด อารมณดา นบวก และดา นลบได 3. บอกเหตแุ หง ความคดิ อารมณของ ตนเองและผอู นื่ ท้งั ดานบวกและดาน ลบ การจัดการกับอารมณ 1. รสู าเหตุของความเครยี ดท่ีสงผล 2 และความเครียด กระทบตอ ตนเองและผอู ่ืน 2. วางแผนจัดการกับความเครยี ดที่ เกิดข้นึ การสรางสัมพนั ธภาพท่ีดี 1. บอกวิธีการสรางสมั พนั ธที่ดตี อผูอ ่ืน 2 กบั ผูอ่นื 2. วิเคราะหบุคลกิ ภาพของตนตาม ทฤษฎขี อง TA 3. มีทกั ษะในการใชค ำพดู อยาง สรางสรรค การสรางสัมพนั ธภาพท่ดี ี 1. วเิ คราะหปญ หาพฤติกรรมของวยั รนุ 2 กบั ผูอ ื่น กบั การคบเพอ่ื น 2. รวู ิธกี ารวางตนในสถานการณการ คบเพอ่ื นตางเพศไดเหมาะสม 3. ปฏิบตั ติ ามบทบาททางเพศไดอยาง เหมาะสมกบั วยั รัตติกาล ยศสุข 6
กจิ กรรม องคป ระกอบทกั ษะชวี ติ จุดประสงคก ารเรยี นรู คาบ ปจ ฉมิ นเิ ทศ 4. มที กั ษะในการปฏเิ สธในสถานการณ ตา งๆ การตระหนักรูและเห็น 1. เพือ่ ใหนักเรียนเห็นความสำคญั ของ 1 คณุ คาในตนเองและผอู นื่ การพฒั นาทักษะชีวติ 2. เพอื่ ใหนักเรยี นบอกประโยชนและ ขอ คดิ ทีไ่ ดจากการเขารว มกิจกรรม แนะแนวเพือ่ พฒั นาทักษะชีวติ ของ นักเรยี น 3. เพอื่ ประเมนิ พฤตกิ รรมทักษะชีวิต ของนกั เรียนหลังการเขารวมกิจกรรม แนะแนวเพือ่ พฒั นาทักษะชวี ติ ของ นกั เรียน รัตติกาล ยศสุข 7
ชุดที่ 1 ด้านการตระหนักรู้ กจิ กรรมท่ี 1 และเห็นคุณค่าในตนเอง ปฐมนเิ ทศ และผู้อ่ืน เวลา 1 คาบ สาระสำคัญ การแนะแนวเพ่ือพัฒนาทักษะชีวิต เปนกระบวนการที่สรางเสริมใหนักเรียนมีคุณภาพเหมาะสม ตามความแตกตางระหวางบคุ คล คนพบและพัฒนาศักยภาพของตน มีทักษะการดำเนนิ ชวี ิต มีวุฒิภาวะ ทางอารมณ ศลี ธรรม จรยิ ธรรม รจู ักการเรยี นรใู นเชิงพหปุ ญญา รจู กั คดิ ตัดสนิ ใจ แกปญหาในชวงวิกฤต วางแผนการศกึ ษาตอและการพัฒนาตนเองสูโลกอาชพี และการมีงานทำ รวมทง้ั ดำเนินชวี ิตอยูในสังคมได อยางมีความสุข ทักษะชีวิตจึงเปนความสามารถของบคุ คลที่จะจัดการกับปญหาตาง ๆ รอบตัวในสภาพ สังคมปจจบุ นั และเตรยี มพรอ มสำหรับการปรบั ตัวในอนาคต จดุ ประสงคการเรียนรู 1. เพือ่ เสริมสรางความรัก และภาคภมู ิใจในสถาบันการศกึ ษาของตนเอง 2. เพอ่ื ใหน กั เรียนทราบจุดมุงหมาย ความสำคัญ และประโยชนข องการพฒั นาทักษะชีวติ 3. เพือ่ ใหน ักเรียนไดเ ตรยี มความพรอมในการทำกจิ กรรมรวมกัน พฤตกิ รรมทักษะชวี ติ มที กั ษะในการกำหนดเปา หมาย และทศิ ทางการดำเนนิ ชีวิตไปสคู วามสำเร็จ แนวทางการดาเนนิ กิจกรรม 1. ครูกลาวตอนรบั และใหนักเรียนฟงเพลง “มารชราชประชาฯ” แลวใหนักเรยี นรว มกันรอ ง เพลงและถามนักเรียนวา “รูสึกอยางไรที่ไดมาเปนนักเรียนโรงเรียนราชประชานุเคราะห 31 จังหวัด เชียงใหม” 2. ครกู ลา วแสดงความยนิ ดีกบั นกั เรยี นทุกคนทไี่ ดเขามาเปนนกั เรยี นของโรงเรียน และใหตงั้ ใจ เขารวมกิจกรรมแนะแนวเพื่อพัฒนาทักษะชีวิต เพื่อใหเกิดการพัฒนาทั้งทางดานรางกาย อารมณ สังคมและสตปิ ญ ญา เปน ที่ยอมรับของทกุ คน ปรบั ตัวและอยูรวมกบั ผอู ่ืนในสังคมไดอยา งมคี วามสขุ รตั ติกาล ยศสุข 8
3. ครูช้ีแจงจุดมุงหมายในการจัดกิจกรรมแนะแนวโดยใชชุดกิจกรรมแนะแนวเพื่อพัฒนา ทกั ษะชีวิตของนกั เรยี นชัน้ มธั ยมศึกษาปที่ 4 4. ใหนักเรียนทำแบบประเมินพฤติกรรมทักษะชีวิตเพื่อประเมินพฤติกรรมทักษะชีวิตของ นกั เรียน กอ นการรว มกิจกรรมแนะแนวเพ่อื พฒั นาทักษะชวี ิตของนกั เรียนช้ันมธั ยมศึกษาปท่ี 4 5. ครูใหนักเรยี นน่ังเปนวงกลม โดยหันหนาเขา หากนั และแนะนำตัวเองใหเ พื่อนรูจัก พรอม ทั้งบอกถึงอาชีพที่อยากทำจนครบทุกคน ครูสุมถามนักเรียน 4-5 คน ใหบอกสิ่งเพื่อนพูดและ ให นกั เรยี นรวมกันแสดงความรูสึกทม่ี ตี อ กจิ กรรมทที่ ำ 6. ใหน กั เรยี นศกึ ษาใบความรู เรื่อง ทักษะชวี ติ 7. ครูใหนักเรียนรวมกันสรุปในประเด็น ความสำคัญของทักษะชีวิต ประโยชนที่นักเรียนจะ ไดรับจากการรว มกิจกรรมและการนำไปใช รัตตกิ าล ยศสุข 9
à¾Å§ÁÒêì âçàÃÂÕ ¹ÃÒª»ÃÐªÒ¹àØ ¤ÃÒÐË3ì 1 ¹Óé à§¹Ô -àËÅÍ× § àÃÍ× §Ãͧ¼Íè §ãÊ ¤Í× ¸§ªÂÑ á˧è 㨪ÒÇÃÒª»ÃÐªÒ 31 à´¹è ª´Ñ ¡ÒÃÈ¡Ö ÉÒ ¾²Ñ ¹Ò¤ÇÒÁäéÙ ¤èÙ ÇÒÁ´Õ ͺÙè ¹´ÍÂâ´´à´¹è à¹¹é ¤³Ø ¤Òè ÊÃÒé §¨ÃÃÂÒ§ÒÁÅÓé ໹ç È¡Ñ ´ÈÔì ÃÕ ÊÃÒé §ÍÒª¾Õ ãËªé ´Ñ à¨¹à»¹ç ¤¹´Õ ¤ÇÒÁÃÙÁé µÕ ÒÁËÅ¡Ñ ÊµÙ Ãà¹¹é ¤³Ø ¸ÃÃÁ Í¹ÃØ ¡Ñ ÉÇì ²Ñ ¹¸ÃÃÁÍ¹Ñ ÅÓé ¤Òè ʧÔè áÇ´ÅÍé ÁàÃÒÊº× ÊÒ¹¨´¨Ó ¡Òçҹã´àÃÒ¾ÃÍé ÁÃÇè Áã¨·Ó ÈÉÔ Â¹ì Íé Á¹Ó¤ÓÊ͹¤ÃÊÙ ãèÙ ¨µ¹ ¹Óé à§¹Ô àËÅÍ× §àÃÍ× §Ãͧ¼Íè §ãÊ È¹Ù ÂÃì ÇÁ㨪ÒÇ´ÍÂÍ¹Ô ·¹¹·ì àÁÍ× §áÁáè ¨Áè á¨Áè ¨Òé »ÞÑ ÞÒª¹ ÊÃÒé §ÊÃä¤ì ¹ àÊÃÁÔ ¤³Ø ¤Òè ÇªÔ Ò¡Òà รัตติกาล ยศสขุ 10
à¾Å§ÁÒêì ÁÅÙ ¹¸Ô ÃÔ Òª»ÃÐªÒ¹àØ ¤ÃÒÐËì Ï Ã¡Ñ ÉÈì ¡Ñ ´ÈÔì ÃÁÕ ¤Õ ³Ø ¸ÃÃÁ ¹ÓÇªÔ Ò¡ÒÃÊº× ÊÒ¹§Ò¹¾ÃÐÃÒª´ÓÃÔ à»¹ç ʧÔè ·ÃèÕ Òª»ÃÐªÒ¹àØ ¤ÃÒÐ˺ì Áè à¾ÒÐãËé ·Ñ§é à·´Ô ·¹Ù ʶҺ¹Ñ à˹Í× Í¹è× ã´ ¾²Ñ ¹Òà´¡ç ä·Âà»¹ç ¤¹´Õ ¨ÐÍÂàèÙ ÁÍ× §ËÃÍ× Í»Ùè Òè ·ÐàÅÀàÙ ¢Ò Ê·Ô ¸àÔ ·Òè âÍ¡ÒÊÁ´Õ àÕ ´¹è ä´é âçàÃÂÕ ¹ÃÒª»ÃÐªÒ¹àØ ¤ÃÒÐË·ì ÇÑè ¶¹èÔ ä·Â ʧè àÊÃÁÔ ãËàé »¹ç ¤¹´ÁÕ ¤Õ ³Ø ¸ÃÃÁ ¸ ·Ã§â»Ã´¾ÃÐÃÒª·Ò¹¹ÒÁ¨´Ñ µ§Ñé ÊÃÒé §¤ÇÒÁËÇ§Ñ ãËàé ´¡ç ä·Â»ÃÐàÊÃ°Ô ÅÓé à´¹è ¤ÇÒÁ´ÁÕ ¤Õ ÇÒÁÃàÙé »¹ç ʧèÔ ¹Ó ¾ÃÐÁËÒ¡Ã³Ø Ò¸¤Ô ³Ø ´¨Ø ½¹©Óè »°Ñ ¾Õ ¨ÐµÒÁ¾Íè µÒÁÃ;ÃÐÂ¤Ø ÅºÒ· ¹Ó¾ÒªÒµÃÔ Çè ÁÊÃÒé §ä·Â»ÃÐàÊÃ°Ô ÈÃÕ âçàÃÂÕ ¹ÃÒª»ÃÐªÒ¹àØ ¤ÃÒÐË¡ì Íè à¡´Ô à¾ÃÒоÃкÒÃÁÕ ¢Í¾ÃÐÀÁÙ ¨Õ §·Ã§¾ÃÐà¨ÃÞÔ รตั ตกิ าล ยศสขุ 11
ใบความรเู้ รอ่ � ง...ทกั ษะชวี ต� การตระหนักรูและเห็นคุณคา ในตนเองและผูอนื่ หมายถึง การรูจักความถนัด ความสามารถ จุดเดน จุดดอยของตนเอง เขาใจความแตกตางของ แตละบุคคล รูจักตนเอง ยอมรับ เห็นคุณคา และ ภาคภูมิใจ ในตนเองและผูอน่ื มเี ปา หมายในชวี ติ และ มคี วามรับผดิ ชอบตอสังคม การคดิ วเิ คราะห ตัดสินใจ และแกปญหาอยางสรา งสรรค หมายถึง การแยกแยะขอมลู ขาวสาร ปญ หา และ สถานการณรอบตัว วิพากษวิจารณและประเมิน สถานการณรอบตัวดวยหลักเหตุผลและขอมูลที่ ถูกตอง รับรู ปญหา สาเหตุของปญหา หาทางเลือก และตดั สนิ ใจแกป ญ หาใน สถานการณตา ง ๆ รัตติกาล ยศสุข 12
การจดั การกบั อารมณและความเครียด หมายถึง ความเขาใจและรูเทาทันภาวะ อารมณของบุคคล รูสาเหตุของ ความเครียด รูวิธีการควบคุมอารมณและความเครียด รูวิธี ผอ นคลาย หลกี เลยี่ งและ ปรบั เปลยี่ นพฤตกิ รรม ที่จะกอ ใหเกดิ อารมณไ มพ ึงประสงคไ ปในทางท่ดี ี การสรางสัมพันธภาพท่ดี ีกบั ผอู ื่น หมายถึง การเขาใจมุมมอง อารมณ ความรูสึก ของผูอื่น ใชภาษาพูดและ ภาษากาย เพื่อสื่อสาร ความรูสึกนึกคิดของตนเอง รับรูความรูสึกนึกคิด และ ความตองการของผูอื่น วางตัวไดถูกตอง เหมาะสมในสถานการณตาง ๆ ใชการสื่อสารที่ สรางสมั พันธภาพที่ดี สรา งความรวมมอื และทำงาน รว มกับผอู นื่ ไดอ ยางมีความสขุ รัตตกิ าล ยศสขุ 13
ชุดที่ 2 ด้านการคิด กจิ กรรมที่ 2 วเ� คราะห์ ตัดสินใจ และ แก้ป�ญหา อย่างสรา้ งสรรค์ คิดใหด ี มีชัยชนะ เวลา 2 คาบ สาระสำคญั การเปล่ยี นแปลงของสงั คม สง ผลใหค นตองเผชญิ กบั ปญหาตา ง ๆ บคุ คลทจ่ี ะอยใู นสังคมได อยา ง มีความสุขจะตองรูจักใชกระบวนการคิดในการแกปญหาที่เกิดขึ้น ถาวัยรุนขาดความสามารถ ใน กระบวนการคิดวิเคราะห อาจถูกชักจูงไปในทางทผ่ี ิดไดงาย ดงั น้ัน ในการจัดการปญ หาควรใชขอมูลของ ตนเอง ขอมูลทางสังคมและขอมูลดานวิชาการ ประกอบการคิดและตัดสินใจ จะชวยในการแกปญหาท่ี เกดิ ขึ้นไดอยา งเปนระบบ จดุ ประสงคก ารเรียนรู 1. อธบิ ายหลักการคิดและลักษณะของคนคดิ เปน 2. มที กั ษะในการคดิ เชิงวเิ คราะหส าเหตุของปญหา 3. วางแผนแกปญหาเมอ่ื เผชญิ กบั ปญ หาตา งๆไดอ ยา งมีขน้ั ตอน 4. นำกระบวกการคดิ ไปประยุกตใ ชอยางเหมาะสม พฤตกิ รรมทักษะชวี ิต มีหลกั คดิ ท่ีเปนระบบ แนวทางการดำเนินกจิ กรรม คาบที่ 1 1. ครสู นทนากบั นกั เรียนถึงขาวดารา นักรอ งทีใ่ ชยาเสพติดแกปญหาชวี ติ ซงึ่ เปนวธิ ีทไ่ี มเหมาะสม (ขาวสามารถเปล่ียนไปตามเหตุการณปจจุบันที่อยูในความสนใจของนักเรียน) ครูสอบถามความคิดเหน็ และความรูส ึกของนกั เรยี น 2. จากกรณีตัวอยางครูกระตุนใหนักเรียนตระหนักถึงการไมรูจักใชกระบวนการคิด ในการ แกปญ หาชวี ิตทด่ี ี โดยใชค าถาม “ถาเปน นักเรยี น ๆ จะทำอยางไร” 3. ครูใหนักเรียนศึกษาใบความรู เร่ือง การคิดเปน และทำใบงาน เรอ่ื ง การคดิ เปน 4. ครแู ละนักเรียนรวมกนั สรุปลกั ษณะของคนคดิ เปน ทจี่ ะดำรงชวี ติ ในปจ จบุ ันใหมคี วามสุข รตั ติกาล ยศสุข 14
คาบที่ 2 5. ทบทวนเร่ืองลกั ษณะของคนคดิ เปน จากคาบทแี่ ลว 6. ครใู หน กั เรยี นศกึ ษาใบความรู เรอ่ื ง กระบวนการคิดเปน 7. นกั เรยี นเขากลุมๆ ละ 5- 6 คน สง ตวั แทนมาจบั ฉลากกรณีศกึ ษาจากปญหาที่กำหนดให แลว ตอบคำถามลงในใบงาน เรื่อง ปญ หามีทางออก พรอ มสง ตวั แทนออกมานำเสนอหนา ชั้นเรยี น ปญหาที่ 1 เรอ่ื งของนิดหนอย ปญ หาที่ 2 เรื่องของแดงตอ ย ปญ หาท่ี 3 เร่อื งของทรงพล ปญ หาที่ 4 เรอ่ื งของเจษฎา 8. ครแู ละนกั เรียนรวมกนั สรปุ กระบวนการคดิ อยางมีระบบตามหลักของคนคิดเปน รตั ติกาล ยศสุข 15
ใบความรู้เรอ่ื งการคดิ เป็น ความหมายของ “คดิ เป็น” ดร. โกวทิ วรพิพัฒน์ ได้ให้คำอธิบายเก่ียวกบั “คดิ เปน็ ” วา่ “บุคคลท่ี คดิ เปน็ จะสามารถเผชิญปัญหาในชวี ิตประจาวันได้อย่างมีระบบบุคคล ผู้น้จี ะสามารถพนิ ิจพิจารณาสาเหตขุ องปญั หาทเี่ ขากาลังเผชิญอยู่และ สามารถรวบรวมขอ้ มลู ตา่ ง ๆ ได้อย่างกวา้ งขวางเกีย่ วกบั ทางเลือก เขาจะพจิ ารณาข้อดขี อ้ เสียของแต่ละเรื่องโดยใชค้ วามสามารถเฉพาะตัวคา่ นิยมของตนเอง และสถานการณ์ทตี่ นเองกำลงั เผชิญอยปู่ ระกอบการพจิ ารณา” หลกั การของการคิดเปน็ 1. คิดเป็น เชือ่ วา่ สงั คมเปลย่ี นแปลงอยูต่ ลอดเวลา ก่อให้เกดิ ปญั หา ซึง่ ปญั หาน้นั สามารถแกไ้ ขได้ 2. คนเราจะแก้ไขปัญหาต่างๆได้อย่างเหมาะสมทีส่ ดุ โดยใชข้ ้อมลู มาประกอบการ ตดั สินใจ อย่างน้อย 3 ประการ คอื ขอ้ มลู เกยี่ วกับตนเอง สงั คม และวชิ าการ 3. เม่ือได้ตัดสินใจแก้ไขปญั หาดว้ ยการไตรต่ รองรอบคอบ โดยใช้ขอ้ มลู เก่ยี วกับ ตนเอง สังคมและวิชาการทงั้ 3 ดา้ นนแ้ี ลว้ ย่อมกอ่ ใหเ้ กิดความพอใจในการ ตดั สนิ ใจนน้ั และควรรบั ผดิ ชอบตอ่ การตดั สินใจนนั้ 4. แตส่ ังคมเปล่ยี นแปลงอยตู่ ลอดเวลา การคิดตัดสนิ ใจอาจจะต้องเปลี่ยนแปลง ปรับปรงุ ใหม่ ให้เหมาะสมกบั สภาพและสถานการณ์ทีเ่ ปลีย่ นไป ลกั ษณะของการคดิ เป็น มี 8 ประการ 1. มคี วามเชือ่ วา่ ปญั หาทเี่ กดิ ขึ้นเปน็ สงิ่ ธรรมดา สามารถแกไ้ ขได้ 2. การคิดทดี่ ีตอ้ งใหข้ ้อมูลหลาย ๆ ด้าน (ตนเอง สงั คม วิชาการ) 3. รวู้ ่าขอ้ มลู เปลีย่ นแปลงอยเู่ สมอ 4. สนใจที่จะวเิ คราะห์ข้อมูลอยู่เสมอ 5. รู้วา่ การกระทำของตนมผี ลตอ่ สังคม รตั ติกาล ยศสุข 16
ใบความรเู้ รอ่ื งการคดิ เปน็ (ต่อ) 6. ทำแลว้ ตดั สนิ ใจแลว้ สบายใจ และเตม็ ใจรบั ผดิ ชอบ 7. แก้ปญั หาชีวติ ประจำวันอยา่ งมรี ะบบ 8. รูจ้ ักช่งั น้ำหนักของส่งิ รอบๆด้าน สมรรถภาพของคนคดิ เปน็ 1. เผชิญปัญหาในชวี ติ ประจาวนั อยา่ งมีระบบ 2. สามารถที่จะแสวงหาและใชข้ ้อมูลหลายๆดา้ นในการ คิดแก้ไขปญั หา 3. รู้จักชั่งน้าหนกั คุณคา่ และตัดสนิ ใจหาทางเลือกให้ สอดคลอ้ งกบั ค่านยิ ม ความสามารถ และสถานการณ์ หรอื เงอ่ื นไขส่วนตวั และระดับความเปน็ ไปไดข้ อง ทางเลอื กต่างๆ รัตติกาล ยศสุข 17
ใบความรเู้ ร่อื ง...กระบวนการคดิ เปน็ กระบวนการคิดเป็น อาจจำแนกให้เห็นขั้นตอนต่าง ๆ ที่ประกอบกันเข้าเป็น กระบวนการคิด ได้ดงั น้ี ขั้นที่ 1 ขั้นสำรวจปัญหา เมื่อเกิดปัญหา ย่อมต้องเกิดกระบวนการคิดแก้ปัญหา นั้นคือ การรับรู้ปญั หาที่กำลังเผชิญและคิดแสวงหาทางแกไ้ ขปญั หาน้ันๆ ขน้ั ท่ี 2 ข้นั หาสาเหตขุ องปญั หา เป็นการศึกษารวบรวมข้อมูลเกี่ยวกบั ปัญหา เพ่ือทำความ เข้าใจปญั หา และสถานการณน์ ัน้ ๆ โดยจำแนกข้อมลู เปน็ 3 ประเภท คอื ขอ้ มูลตนเอง : ได้แก่ ขอ้ มลู เกี่ยวกับตัวบุคคลซ่ึงจะเปน็ ผู้ตดั สินใจ เป็นทงั้ ข้อมูลทั้ง ทางกายภาพ พ้ืนฐานของชวี ิต ครอบครวั อาชพี ความพรอ้ มทั้งทางอารมณ์ จติ ใจ เป็นตน้ ขอ้ มูลสังคม : ไดแ้ ก่ ขอ้ มลู เก่ียวกบั สภาพแวดล้อมท่ีอยู่รอบๆตัว ปญั หาสภาพสังคม ของแต่ละบคุ คล ตั้งแต่ครอบครวั ชมุ ชน และสงั คมในแง่เศรษฐกจิ การเมอื งการปกครอง ส่ิงแวดลอ้ ม วัฒนธรรม ประเพณี ความเชอื่ ค่านิยม เป็นตน้ ข้อมูลวิชาการ : ได้แก่ ข้อมูลทางความรู้ทางวิชาการที่จะช่วยสนับสนุนในการคิด การดำเนินงานยังขาดวิชาการความรูต้ า่ ง ๆ ทีเ่ กี่ยวข้องกบั ปญั หาในเร่อื งใดบ้าง ขัน้ ท่ี 3 ขั้นวเิ คราะห์หาทางแกป้ ญั หา เปน็ การวเิ คราะห์ทางเลือกในการแก้ปัญหาหรอื การ ประเมินค่าข้อมูล 3 ด้าน คือ ข้อมูลด้านตนเอง สังคม วิชาการ มาประกอบในการ วเิ คราะห์ ชว่ ยในการคดิ หาทางแก้ปัญหาภายในกรอบแหง่ คณุ ธรรม ประเด็นเด่นของขนั้ ตอน นี้ คือ ระดับของ การตัดสินใจที่แตกต่างกันไปแต่ละคน อันเป็นผลเนื่องมาจากข้อมูลใน ข้ันท่ี 2 ความแตกต่างของ การตดั สนิ ใจดังกลา่ วมงุ่ ไปเพอ่ื ความสขุ ของแตล่ ะคน ขั้นท่ี 4 ขน้ั ตัดสนิ ใจ เม่อื ได้ทางเลือกแล้วจึงตัดสินใจเลือกแก้ปัญหาในทางที่มีข้อมูลต่าง ๆ พร้อมสมบูรณ์ที่สุด การตัดสินใจถือเป็นขั้นตอนสำคัญของแต่ละคนในการเลือกวิธีการ หรือทางเลือก ในการแก้ปัญหา ขึ้นอยู่กับว่าผลของการตัดสินใจนั้นพอใจหรือไม่ หากไม่ พอใจจะตอ้ งทบทวนใหม่ ขั้นที่ 5 ขั้นตัดสินใจไปสู่การปฏิบัติ เมื่อตัดสินใจเลือกทางใดแล้ว ต้องยอมรับว่าเป็น ทางเลอื กทด่ี ีทส่ี ดุ ที่มใี นขณะน้ัน ในกาละนัน้ และในเทศะน้นั เปน็ การปฏิบัติตามสิ่งที่ได้คิด และตัดสินใจแล้วหากพอใจยอมรับผลการตัดสินใจ มีความสุขก็เรียกได้ว่า “คิดเป็น” แต่ รตั ตกิ าล ยศสุข 18
หากตดั สนิ ใจแล้วผลออกมายังไม่พอใจ ไมม่ คี วามสุข อาจเปน็ เพราะขอ้ มลู ทมี่ ีไมร่ อบด้าน ไม่ มากพอ ต้องหาขอ้ มลู คิดใหมต่ ัดสินใจใหม่ แต่ไม่ถอื ว่าคิดไม่เปน็ ใบงาน...การคดิ เป�น ชอื่ – นามสกลุ ……………………………………………………………………..ชัน้ ……………เลขท่ี.................. ใหนกั เรยี นตอบคาถามในประเด็นตอ ไปนี้ 1.จงอธิบายหลักของคนคิดเปน ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… 2.นักเรยี นคดิ วาตนเองมีลกั ษณะของคนคดิ เปน อยางไร ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… 3.ใหน กั เรียนวเิ คราะหข อความตอ ไปน้ี ขอใดมีลักษณะของคนคดิ เปน ใหกาเคร่อื งหมาย หนา ขอความ หากไมม ีลักษณะของคนคดิ เปนใหกาเครื่องหมาย หนาขอความ ………………….3.1 สมควรเปนลูกชายคนโตของครอบครวั ซึ่งครอบครวั ตองการใหเ รยี นตอ ดานธุรกจิ เพ่อื นามาชว ยทางานของครอบครวั ซงึ่ สมควรอยากเรียนดานศิลปะ แตกเ็ ลอื กเรียน ตามความตอ งการของครอบครวั ………………….3.2 สมฤทธ์ิเลอื กเรียนตอ ในมหาวทิ ยาลัยตามเพ่อื นสนทิ ………………….3.3 สมศักด์มิ ีปญหาเร่อื งเรียนคณิตศาสตรไ มรูเรื่อง จึงขอใหเ พ่อื นและครูสอนเพิ่มเติม ………………….3.4 สมชายเชอื่ วา ในโลกน้คี นทาดีไดดี คนทาช่ัวไดชว่ั ………………….3.5 สมฤทยั เกรงใจเพ่ือนจงึ ออกไปเท่ยี วนอกบา นดวย รัตตกิ าล ยศสขุ 19
กรณศี ึกษา กรณที ี่ 1 เร่ืองของนิดหนอ่ ย นิดหนอยกำลังเรียนอยูชั้นมัธยมศึกษาปที่ 6 แผนการเรียนวิทยาศาสตร – คณิตศาสตร ใน โรงเรียนที่มีชื่อเสียงแหงหนึ่ง ผลการเรียนอยูในระดับชั้นปานกลาง นิดหนอยไมรูจุดมุงหมายในชีวิต ของตนเอง วาเม่อื จบชั้นมัธยมศึกษาปท ่ี 6 แลวจะเขา ศึกษาตอที่ไหนดี พอแมใหอ สิ ระในการเลือก แตม ี ขอ แมว าไมอยากใหไปไกลบา น ชวยนิดหนอยคิดแกป ญ หา กรณีท่ี 2 เร่อื งของแดงต้อย แดงตอ ยเขามาเรียนตอในโรงเรียนมธั ยมศึกษาแหง หนงึ่ ในเมือง แลว พกั ในหอพักเดียวกัน กับ เพื่อนที่มาจากโรงเรียนเดียวกัน เพราะคิดวาการอยูดวยกันในกลุมเพื่อนจะทำใหรูสึกอบอุน และ สามารถชวยเหลือกันไดตลอดเวลา ทุก ๆ วัน เพื่อน ๆ จะรวมตัวกันจับกลุมพูดคุยกันดวยเรื่อง สพั เพเหระมากมายและแดงตอ ยก็ถูกใหเขากลมุ ดว ยทุกครงั้ ไป บางครั้งมีการนัดหมายกันออกไปเท่ียว ตามที่ตาง ๆ เมือ่ เธอถูกคะยนั้ คะยอ เธอกอ็ ดไมไดทจ่ี ะไปกับเขา ทัง้ ๆ ทเี่ ปน หวงงานที่คา งอยู บางครั้ง มีรายงานที่ถึงกำหนดตองสงครู แตเธอก็ไมกลาที่จะปฏิเสธเพื่อน จนเปนเหตุใหเธอตอง ถูกทำโทษ และถกู ลอเลยี นจากเพ่ือนเปนประเด็นวา “แดงตอย...ชา” กรณที ่ี 3 เร่อื งของทรงพล ทรงพลเปน ลกู ชายคนเดยี วของครอบครวั พอและแมข องทรงพลเปนหมออยูในโรงพยาบาลท่ี มีชือ่ เสยี งแหงหนึ่ง ทั้งสองตองการใหทรงพลเปน หมอเชนเดยี วกับตน แตทรงพลตองการที่จะเปนจิตร กรเชนเดียวกับอาของเขา เปนเหตุใหพ อแมไมพอใจมาก และจา งครูคณติ ศาสตร วทิ ยาศาสตร มาสอน พเิ ศษใหเ ขาทกุ วนั ไมเ ปดโอกาสใหท รงพลวาดรปู ตามท่ีใจรกั เขารสู กึ เครยี ดและหงดุ หงิดมากที่ตองทำ ตามความตองการของพอ แม และไมร วู า จะระบายความรูสกึ น้ีกับใคร อยางไร ผลการสอบครัง้ ทผี่ านมา ทรงพลสอบวิชาคณติ ศาสตรและวทิ ยาศาสตร ไดค ะแนนเฉลี่ย 1.5 กรณที ี่ 4 เรื่องของเจษฎา เจษฎาเปน คนขยันและตัง้ ใจเรยี นมาก เขาคิดวาในอนาคตเขาอยากเปน ทหาร บานของเจษฎา อยูในชุมชนแออัดที่เตม็ ไปดวยความวุนวาย นอกจากนี้เขายังตอ งดูแลนอ ง ๆ ที่กำลังซุกซนอีก 2 คน เขาแทบจะหาเวลาหรือสถานท่ีเงียบ ๆ ดหู นงั สือไมไดเลยในแตละวนั ส่ิงเหลา นที้ ำใหเขารูสึกหงุดหงิด และมผี ลทำใหการเรยี นของเขาตกตำ่ ลง รัตติกาล ยศสขุ 20
ใบงานเรือ่ ง...ปญหามีทางออก สมาชกิ กลุม 1………………………………………..……………… 3…………………………..…………………………. 2………………………………………………..……… 4…………………..…………………………………. ใหนักเรยี นรว มกันวิเคราะหก รณศี กึ ษาท่กี ลุมไดรับแลว แกป ญหาดว ยกระบวนการคดิ ตามข้นั ตอน ที่ กำหนดให การแกป ญ หาดวยกระบวนการคิดเปน ขัน้ ที่ 1 สำรวจปญ หา ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ข้ันท่ี 2 หาสาเหตขุ องปญหา ขอ มลู ตนเอง ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ขอมูลสังคม ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ขอ มลู วชิ าการ ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ขน้ั ที่ 3 วิเคราะหท างแกป ญ หา ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ขน้ั ท่ี 4 ตัดสินเลอื กทางแกปญ หา ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ขั้นที่ 5 การปฏบิ ตั ิตน ……………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………… รัตตกิ าล ยศสุข 21
ชุดที่ 3 ด้านการจดั การกับ กจิ กรรมที่ 3 อารมณ์และความเครย� ด รูจกั ขจัดเครยี ด เวลา 2 คาบ สาระสำคัญ ความเครียดเปนภาวะท่ีคนเรารูสึกไมม ีความสขุ ซึ่งเกิดจากการเปลี่ยนแปลงของสิ่งแวดลอม ทัง้ จากภายในและภายนอกตวั บุคคล เชน จากการเรียน การทำงาน การเจ็บปวยของรางกาย ทำใหเ กิด การปรบั ตัวตอเหตุการณน้ัน ๆ ทเี่ ขา มากดดนั และหากบุคคลนั้นไมสามารถปรับตัวได อยางเหมาะสม จะทำใหเกดิ ความไมสบายใจ รวมท้ังเกดิ ผลเสยี ตอรา งกายและจิตใจ จุดประสงคการเรยี นรู 1. รูสาเหตุของความเครยี ดทสี่ ง ผลกระทบตอ ตนเองและผูอืน่ 2. วางแผนจดั การความเครียดที่เกิดขึน้ ได พฤติกรรมทกั ษะชวี ิต รูสาเหตขุ องความเครียดและจัดการกบั ความเครยี ดไดอ ยางเหมาะสม แนวทางการดำเนนิ กจิ กรรม คาบท่ี 1 1. ครูใหนักเรียนจับคูกับเพื่อน แตละคนผลัดกันเลาเรื่องที่ทาใหตนเองไมสบายใจ/เกิด ความเครยี ด และบอกแนวทางการแกไข 2. ครใู หนกั เรียนศกึ ษาใบความรู เรือ่ ง เพชฌฆาตความเครียด พรอมทั้งอธิบายเพิม่ เติม ตามท่ี เหน็ สมควร แลวทาใบงานเรื่อง รเู ทา ทนั สุมถามนักเรียนจานวน 2 – 3 คน 3. ครแู ละนกั เรยี นรว มกันสรปุ ถึงแนวทางการหลีกเลยี่ งความเครียดท่สี ามารถนำไปประยกุ ตใช ได คาบที่ 2 4. ทบทวนเรือ่ งแนวทางการหลกี เล่ยี งความเครียดจากคาบทีแ่ ลว 5. ครใู หน ักเรยี นทำใบงาน เร่อื ง คลายเครยี ดของฉนั 6. ครสู รปุ วิธกี ารคลายเครยี ดวา มีหลากหลายวธิ ี นกั เรียนแตล ะคนไมจ ำเปน ตอ งใชวธิ เี ดียวกนั 7. ใหนักเรียนศกึ ษาใบความรู เรือ่ ง แนะนำ 10 วิธีคลายเครียดที่นา รู โดยนกั เรยี นสามารถ แสดงความคิดเห็นและขอคำแนะนาเพ่ิมเติมได 8. ครูและนกั เรยี นรวมกันสรปุ วิธีคลายเครยี ดทนี่ ักเรียนสามารถนำไปใชในชีวติ จรงิ ได รัตตกิ าล ยศสุข 22
ใบความรเ�ู รือ่ ง เพชฌฆาตความเครียด ในสภาพการณป จจบุ นั มนษุ ยต องมกี ารตอสูด้ินรนเพื่อใหตนเองสามารถดำรงตน และดำเนิน ชีวิตอยูในสังคมปจจุบัน และจะตองมีการปรับตัวใหเขากับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึน้ อยูตลอดเวลาใน ทุกๆดาน รวมถึงการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในการปฏิบัติงาน เพื่อใหตนเองสามารถปฏิบัติงานใน องคการไดอยางมีประสิทธิภาพซึ่งการปรับเปลี่ยนดังกลาวที่เกิดขึ้นอยูตลอดเวลา จึงเปนปญหา กอใหเกดิ ความเครียด (Stress) ซึง่ เปนเหตุการณท ่เี กิดข้ึนไดเสมอกบั มนษุ ยทุก ๆ คน ไมมีใครสามารถ หลีกเลี่ยงได ความเครียดจึงเปนปญหาที่ไดรับความสนใจศึกษาในทุกสายอาชีพ เพื่อหาทางปองกัน แกไข หรอื ใหเ กดิ ผลกระทบตอบคุ คลหรอื สว นรวมใหไดน อ ยทีส่ ดุ ความหมายของความเครยี ด ความเครียด หรือ Stress ที่มีรากศัพทมาจากภาษาลาตินวา “Stringers” ความเครียด คือ สภาวะจิตใจที่ขาดความอดทน อดกลั้น และเต็มไปดวยความคิดที่ไรประโยชน อันเนื่องมาจากความ กดดนั จากสภาวะหนาทก่ี ารงาน การเงนิ ความสัมพันธท ี่ขัดแยง รวมทงั้ ความไมถูกตอง ความกาวราว รุนแรง และสภาพแวดลอมที่เปนพิษ เปนตน สรุปไดวา “ความเครียด” เปนการตอบสนองตอสิ่งท่ี คกุ คามหรอื กดดัน ซ่งึ แบง เปน 2 องคประกอบ คอื 1. องคป ระกอบดา นรา งกาย (Physiological Stress) เชน เหงอื่ แตก หายใจถี่ขึน้ กลา มเนอื้ เกรง็ ปวดศีรษะ ปวดหลงั ปากแหง อึดอดั ในทอง กระเพาะอาหารปน ปว น เปนตน 2. องคประกอบดา นจติ ใจ (Psychological Stress) แบง ออกเปน - ดานพฤติกรรม เชน ปากสั่น มอื สนั่ เสยี งสนั่ พดู เรว็ เดินตวั เกรง็ นอนไมหลบั ฯลฯ - ดา นความคดิ เชน คดิ อะไรไมอ อก ไมม สี มาธิ จำอะไรไมคอ ยได - ดา นอารมณ เชน อารมณกลัว วติ กกงั วล เศรา โกรธ คับขอ งใจ เปนตน สาเหตุของความเครยี ด เกิดจากสาเหตุตางๆ ดงั นี้ 1. สาเหตุจากจิตใจ เชน ความตอ งการตางๆทีเ่ กดิ ขึน้ ในจิตใจและกลัววาจะไมไดด่งั ท่ีตองการ ที่หวังไว จะทาใหคน ๆ นั้นเกิดความเครียด เชน กลัวสอบไมผาน กลัวทำงานที่ไดรับมอบหมายไม สำเร็จ ปมดอ ยตา ง ๆ ท่ีเกิดในจติ ใจ เชน ตนไมสวยอยา งคนอนื่ ตนไมร วยเทาคนอ่นื ฯลฯ 2. สาเหตุจากการเปลี่ยนแปลงในชีวิตความเปลี่ยนแปลงตาง ๆ สถานการณที่ทำใหคนเรา เกิดความเครียด เชน เมื่อตองเขาโรงเรียนใหม เขาทำงานใหม เมื่อตองเปลี่ยนงาน ยายงาน ยายบาน ความตายของคนทร่ี ัก ฯลฯ 3. สาเหตุจากความเจ็บปว ย เชน การเจบ็ ไขไ ดปวยทวั่ ไป การปว ยดว ยโรคเรื้อรัง เชน มะเร็ง โรคหวั ใจ โรคถุงลมโปง พอง โรคเอดส ฯลฯ รัตติกาล ยศสขุ 23
ผลกระทบของความเครยี ด เมื่อเกดิ ความเครยี ดจะมีผลกระทบตอตอ สภาวะทั้งรางกายและจิตใจดงั น้ี 1. ความเครียดของกลามเนื้อ ไดแก พฤติกรรมสีหนาเครียด ปวดกลามเนื้อ หนังตากระตุก กระวนกระวาย สะดงุ และตกใจงาน 2. ระบบประสาท ไดแก พฤติกรรมเหงือ่ ออกมากผดิ ปกติ หัวใจเตนแรงและเร็ว มือเย็นและ ชื้น วงิ เวียนศีรษะ ทอ งปนปว น รูส ึกหนาว ๆ รอน ๆ ปสสาวะบอ ย ชีพจรเตน เร็วผิดปกติ 3. เกิดความคิดคาดหวังผิดปกติ ไดแก พฤติกรรมวิตกกังวลเกิดความกังวลในเหตุการณ ตาง ๆ กระวนกระวาย และคดิ คาดหวังวา จะเกดิ เหตเุ คราะหร ายกับตนเองหรอื บคุ คลใกลชิด 4. เกิดความไมสบายใจ ไดแก ขาดสมาธิ นอนไมหลบั กระวนกระวายใจ รัตตกิ าล ยศสุข 24
ใบงานเรื่องรเ�ู ท�าทนั ชือ่ …………………………………………………………………..เลขที…่ ……………………. คชแ้ี จง ใหนกั เรยี นระบุความเครยี ดท่เี คยเกิดขน้ึ กบั ตนเองแลว วิเคราะหตามประเดน็ ขางลางน้ี ความเครยี ดของฉนั …………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………… สาเหตมุ าจาก …………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………… รางกาย จติ ใจ บคุ คลอื่น ………………………………………… ………………………………………… ………………………………………… ………………………………………… ………………………………………… ………………………………………… ………………………………………… ………………………………………… ………………………………………… ………………………………………… ………………………………………… ………………………………………… ………………………………………… ………………………………………… ………………………………………… ………………………………………… ………………………………………… ………………………………………… แนวทางแกไ ขความเครยี ด …………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………… รัตติกาล ยศสขุ 25
ใบงานเร่ืองวธิ คี ลายเครยี ด ช่ือ………………………………………………………………………………เลขท…ี่ …….................… ใหนกั เรียนทำเครอ่ื งหมาย ลงในชองที่ตรงกับพฤตกิ รรมทนี่ ักเรยี นใชเมอื่ เกิดความเครยี ด วิธผี อนคลายความเครียด พฤติกรรมทใี่ ช 1. นอนหลับพกั ผอ น 2. ออกกาลังกาย 3. ฟงเพลง รองเพลง เลน ดนตรี 4. เทคนิคความเงียบ 5. ดูโทรทศั น ดภู าพยนตร 6. ทำงานศลิ ปะ งานฝม อื งานประดษิ ฐต า งๆ 7. ใชเ ทปเสยี งคลายเครยี ด 8. เลน กบั สัตวเลย้ี ง 9. จดั หอ งตกแตง บาน 10. อา นหนงั สอื เขยี นหนังสอื เขยี นบทกลอน 11. การนวดเพื่อคลายเครียด 12. ถา ยรูป จดั อลั บัม้ 13. เลน เกมคอมพิวเตอร ทอ งอนิ เตอรเ น็ต 14. พดู คยุ พบปะสงั สรรคก บั เพื่อนฝงู 15. ไปซ้อื ของ 16. อยกู บั ธรรมชาติ 17. ทำสมาธิ 18. ฝกการหายใจ 19. การผอนคลายกลา มเนื้อ 20. การจินตนาการ 21. อืน่ ๆ ……………… รตั ตกิ าล ยศสขุ 26
ใบความรเ�ู ร่ือง 10วธิ คี ลายเครียด 1.ออกกาํ ลงั กาย ควรจะหาเวลาของแตละวันอยางนอย 30 นาที ในการออกกาลังกาย โดยเลือกกิจกรรม ที่ เหมาะสมกบั คุณทส่ี ดุ หากอยากมแี รงจูงใจในการออกกำลงั กาย ขอแนะนำกีฬาท่เี ลน เปน หมูคณะ ไดแ ก แบดมินตัน กอลฟ ฟุตบอล หรือเทนนิส ที่กำลังฮติ อยูในขณะนี้ กีฬาจะทำใหเราไดระบายออกซึ่งแรง ขับของจิตใจในดานตาง ๆ เชน ความคับของใจ ความโกรธ ความเสียใจ ไมพอใจ แถมยังไดสารส่ือ ความสขุ หรือสารเอนโดฟน กลับมาดว ยแลว คณุ ก็จะรูส ึกสดชืน่ และหลบั สบายอีกดว ย 2.พดู ระบายความเครยี ด การพดู เปนการระบายความเครียดออกมา แตตองเลอื กบุคคลที่คุณคิดวา ปลอดภัย หวังดี ไม มีพษิ ภยั กบั ตวั คณุ และควรมีความอดทนสูงในการฟง หรือถา หาไมไดก็หาสตั วเ ล้ยี งตาง ๆ ไมวาจะเปน หมา แมว ปลาทอง จง้ิ จก แมลงตาง ๆ ก็ได ระบายใหมนั ฟง เพราะเวลาทเี่ ราไดร ะบายออก เทา กบั เรา ไดทบทวนตนเองไปดวย นอกจากนีย้ งั มีบริการใหคำปรกึ ษาแนะนำ ทางโทรศพั ทจากหนวยงานตาง ๆ ใหบ ริการดวย รตั ติกาล ยศสขุ 27
3.นอนหลบั พกั ผอ� นใหเ� พยี งพอ จะชวยใหค ุณสดชืน่ ขึ้นไดมาก เมื่อไดชารจแบตเตอรีใ่ นรางกายใหม แตควรเลือกสถานที่และ เครื่องนอนสะอาด อากาศถายเทสะดวก อุณหภมู พิ อเหมาะ มเี สียงหรอื แสงท่ีรบกวนคณุ ไมมากนักโดย กำหนดจิตใจกอนนอนวา ใหเราสดชื่น ผอนคลาย เอาเรื่องเครียดหรือปญ หาตา ง ๆ วางไว นอกตวั ไม เอามาคดิ ตอนนอนหลบั 4.อาหารคลายเครยี ด อาหารสามารถลดความเครียดของคณุ ไดด ว ย ไดแก 1. ทรปิ โตฟาน (1-2 กรัมกอ นนอน) พบในไข ถ่ัวเหลือง นมวัว เนอ้ื สัตว 2. วิตามนิ บี 6 (40 มิลลกิ รมั ตอวัน) พบในธญั พืชตาง ๆ ยีสต ราขาว เครอื่ งใน เนือ้ ถวั่ ผัก 3. วติ ามินบี 3 (1000 มิลลกิ รมั ตอ วนั ) พบในตบั เครื่องใน เนอื้ เปด ไก ปลา ถ่วั ยีสต 4. สารอาหารอ่ืน ๆ เชน แคลเซียม กระเทยี ม ดอกไมจนี รตั ติกาล ยศสขุ 28
5.พกั ผอ� น ทอ� งเทย่ี ว การที่ไดไปทองเที่ยวเห็นบรรยากาศทิวทัศนสวยงานแปลกหูแปลกตา ไปเจอผูคน ก็ชวย กระตุนมุมมองชีวิตใหม ๆ เมื่อกลับมาจากการทองเที่ยวแลว คุณก็จะกลับมาทำงาน อยางมี ประสิทธิภาพ 6.ดนตรคี ลายเครยี ด ดนตรีทำใหคุณอารมณเยือกเย็นลง ผอนคลาย ใจสงบ ดนตรีบำบัดมีทั้งเพลงบรรเลงดวย เครอื่ งดนตรีชนิดเดียว หรอื หลายชนิด เพลงท่ีมเี สียงคลื่นทะเล เสียงนก เสยี งนา ไหล ฯลฯ หากคุณได ปดไฟ จุดเทียน และฟงเพลงเบาๆ หลังจากนั้นก็หลับไปแลวละ ก็ตื่นขึ้นมานาจะสดใสหายเครียด ได เยอะเลย รัตติกาล ยศสุข 29
7.กลน่ิ บาํ บดั อโรมาเทอราป� กลนิ่ เปนสิง่ หนง่ึ ของการรบั รู ทางสมั ผสั ที่สอ่ื ถึงอารมณ และความรสู ึกไดดี คุณอาจลองจุดธูป หอมกลิ่นที่สดชื่น หรือหยดนามันหอมระเหย ในขณะนอนหรือทำงานเพื่อเปนการผอนคลายไปดวย หรือจะแชน ้ำอนุ ๆ กลน่ิ ท่ีเหมาะสมแลว แตชอบ และรูสึกผอ นคลาย โดยเลอื กจากการดมกลิ่นวากล่ิน ไหนทำใหรูสึกดี ใหพลัง หรือชวยผอนคลาย กลิ่นที่นาสนใจ เชน กลิ่นไมจันทรหอม กลิ่นกำยาน สำหรบั ผอ นคลาย กล่ินการบูร กลนิ่ สม กลนิ่ มะนาว สำหรับสรางความสดชนื่ 8.ฝก� หายใจคลายเครยี ด การหายใจชวยนาอากาศบริสุทธิ์ เขาสูปอด แลวเดินทางสูสมองไปสูรางกาย ลองหายใจโดย การหายใจเขาลกึ ๆชา ๆ สงั เกตวากระบงั ลมขยายออก ทองปอ งออก จากนนั้ คอย ๆ หายใจออกชา ๆ ไลลมใหออกมากที่สุด ตอนนี้กระบังลมจะหดสั้นลง ทองจะแฟบ ถาชวงแรกไมถนัดกเ็ อามอื แตะทอง เพ่ือปรับและเขา ใจสภาพปองแฟบของทองจากการหายใจกอ นแลวฝก ไปเรือ่ ย ๆ รัตติกาล ยศสุข 30
9.ฝก� การผอ� นคลายกลา� มเนอ้ื โดยนำเอาหลักการฝกหายใจมาประยุกตใชรวมดวย เริ่มดวยการนั่งหรือนอนในทาสบาย ๆ จากนั้นคอย ๆ เกร็งกลามเนื้อสวนตาง ๆ ขึ้นมา โดยอาจไลจากปลายเทา ขอเทา นอง ตนขา ลำตัว แขน มือ นิ้ว ไหล คอ ศีรษะ และใบหนา เกร็งไวสักอดึ ใจหนึง่ จากนั้นคอย ๆ ผอนคลายยอนกลับไป โดยเริ่มจากใบหนาจนถึงปลายเทา คุณสามารถใชการฝกผอนคลายกลามเนื้อในยามที่รูสึกตึงเครียด อึดอดั ไมส บายใจ หรอื แมแตยามทค่ี ณุ ตองการใหสมาธกิ ลับคนื 10.คลายเครยี ดดว� ยการนวด การนวดไมวาจะเปนนวดแผนไทย นวดเทา นวดน้ำมัน นวดรักษาโรคเฉพาะที่ การนวดเปน การฝก ผอ นคลายกลามเนื้อและทำใหเลอื ดลมสูบฉีด ทำใหผ ทู ่ีถกู นวดรสู กึ ผอนคลายและสบายข้นึ รัตตกิ าล ยศสุข 31
ชุดท่ี 4 ด้านการสรา้ ง กจิ กรรมที่ 4 สัมพันธภาพท่ีดีกับผู้อ่ืน สัมพันธ ผูกใจ เวลา 2 คาบ สาระสำคัญ การสรางสัมพนั ธภาพที่ดีกับผูอื่นจะชวยใหเ กิดการเรียนรูเก่ียวกับการตดิ ตอสัมพันธกัน และ อยรู วมกนั ในสังคมไดอยางมีความสุข มนุษยไ มสามารถทีจ่ ะอยอู ยา งโดดเด่ียวตามลำพังได จำเปนตอง อยูร ว มกบั บคุ คลอนื่ ในสงั คม ดงั นนั้ บุคคลตองรูจ กั และเขาใจตนเอง รวมทัง้ รจู กั และเขา ใจผูอ่ืนดวย ซ่ึง ถือเปนการสรา งสมั พนั ธภาพท่ดี ีตอผูอน่ื จดุ ประสงคก ารเรียนรู 1. บอกวธิ ีการสรา งสัมพันธท ่ีดตี อ ผอู ่นื 2. วิเคราะหบุคลกิ ภาพของตนตามทฤษฎีของ TA 3. มีทกั ษะในการใชค าพดู อยางสรางสรรค พฤตกิ รรมทักษะชวี ิต สรางปฏิสมั พันธก บั บคุ ลท่วั ไป แนวทางการดำเนนิ กิจกรรม คาบท่ี 1 1. ครูยกตัวอยา งสถานการณ ถา นกั เรยี นตอ งไปงานเล้ียงสังสรรค ซง่ึ นกั เรียนไปไมรจู ักใครเลย นักเรยี นจะทำอยา งไร และมีวธิ ีใดทจ่ี ะอยงู านเลย้ี งอยางสนกุ 2. ครูกระตนุ ในนกั เรยี นเห็นวา ในสังคมนักเรียนจะอยูคนเดียวไมไ ด ดังนั้นนกั เรียนจะตองรูวิธี ในการสรา งสัมพนั ธภาพท่ีดีตอผอู ่นื 3. นักเรยี นศกึ ษาใบความรู เรื่อง การสรางสมั พันธภาพท่ดี ี 4. นกั เรยี นแบง กลุม ๆ ละ 5 - 6 คน ทำใบงานเร่ือง การสรา งสมั พันธภาพที่ดี แลวสงตัวแทน ออกมานำเสนอหนาชน้ั 5. ครูและนักเรียนรวมกันสรปุ วิธีการสรางสัมพันธภาพท่ีดตี อ บุคคลอ่ืน เพื่อนำไปประยุกตใช ในการดำเนนิ ชีวิต รัตติกาล ยศสุข 32
คาบที่ 2 6. ทบทวนเรอ่ื งการสรา งสมั พนั ธภาพที่ดจี ากชว่ั โมงทีแ่ ลว 7. ครูใหนักเรียนทำแบบสำรวจบุคลิกภาพการสื่อสารตามทฤษฎี TA โดยชี้แจงวัตถุประสงค และวิธีการทำแบบสำรวจ เนนใหนักเรียนไดส ำรวจตนเองตามความจรงิ พรอมแจกเฉลย ใหนักเรียน ตรวจคำตอบดว ยตนเอง 8. นักเรียนแบงกลุม ๆ ละ 5 - 6 คน ชวยกันวิเคราะหสถานการณตามแบบTA ลงในใบงาน เรื่อง สรา งสรรคค ำพดู 9. ครูและนักเรียนชว ยกันสรปุ ถงึ บุคลิกภาพท่ีไดจ ากทฤษฎี TA และทักษะของการส่ือสาร ที่ จาเปนในการดำเนนิ ชีวติ รตั ติกาล ยศสุข 33
ใบความรเ�ู ร่ืองการสร�างสัมพันธภาพทด่ี ี มนุษยสัมพันธ หมายถึง กระบวนการของศาสตรที่ใชศิลปะสรางความพอใจ รักใคร ศรัทธา เคารพนบั ถอื โดยแสดงพฤติกรรม ใหเหมาะสมทั้งกาย วาจา และใจ เพื่อโนมนำใหมีความรูสึกใกลชิด เปน กันเอง จงู ใจใหร วมมอื รวมใจ ในอันที่จะบรรลุส่ิงซ่ึงพงึ ประสงคอยา งราบร่นื และอยูในสังคมไดอ ยาง สนั ติสขุ องคป ระกอบท่ดี ใี นการสรา งสัมพันธภาพ มดี งั นี้ 1. การติดตอพูดคุย ในการสรางสัมพันธภาพกับผูอื่นนั้นขั้นแรก คือ การรูจักเขาไปทักทาย และพดู คุยกับคนท่เี ราตองการจะสรางสมั พนั ธภาพ 2. มีประสบการณรวมกัน คนที่มีความสนใจในเรื่องเดียวกัน มักจะมีเรื่องที่จะคุยกันได งายดายเพราะทั้งสองฝายมีบทสนทนาที่สามารถแลกเปลี่ยนความคิดเห็น และเปดโอกาสใหคนทั้งคู รูจักกนั มากขนึ้ 3. ความเชื่อทคี่ ลา ยกัน ในการดำเนนิ ชีวิตที่ใกลเคยี งกัน มักจะเปนมติ รที่ดีตอ กัน แตคนสวน ใหญกจ็ ะรสู ึกสบายอกสบายใจ ทไี่ ดอยรู วมกับคนท่ีใหก ารสนับสนุนแนวคดิ ของตนเอง สิ่งสำคญั ในการสรา งและรักษาสมั พนั ธภาพท่ีดีตอกัน 1. การเคารพนบั ถือ คือ การรจู ักและเคารพในส่งิ ทบ่ี ุคคลนัน้ เปน อยู 2. ความรับผิดชอบ คือ การที่เราสามารถดูแลตนเอง เปนที่พึง่ พิงไวเนื้อเชื่อใจของคนอื่นได สามารถแยกแยะถูกผดิ ได 3. ความเขาใจ คอื การรจู ักผูอ ื่นโดยเขาใจถงึ อารมณ และความรสู ึกของผอู นื่ 4. การสานตอ ความสัมพันธ คือ ความพยายามท่จี ะรกั ษาความสมั พนั ธไว อดทนและต้งั ใจ ท่ี จะแกป ญ หาดวยกนั โดยไมเ ปนฝายรอใหอ กี ฝายหนึ่งเรมิ่ ตน กอ น 5. การดแู ลเอาใจใส คอื การคิดถึงความรูสกึ และความตองการของอกี ฝายหนึ่งและพยายาม ปฏิบตั สิ ง่ิ ดี ๆ ใหก นั รตั ตกิ าล ยศสุข 34
ใบงานเรอ่ื งการสรา� งสมั พนั ธภาพทด่ี ี สมาชิกกลมุ 1……………………………………….………………… 4……………………………….…………………... 2…………………………………………….…………… 5………………………………………………..….. 3………………………………………….……………… 6………………………………….………………… ใหน ักเรยี นวเิ คราะหสถานการณ แลวตอบคำถามตามประเดน็ ตอไปนี้ สถานการณใ นหอ งเรียน ตน : หญงิ ดนิ สอเราตกใตโ ตะ เธอ หยิบดินสอใหเ ราหนอ ย หญิง : เราไมวา ง ชายอยูใกลกวาใหช ายหยบิ เถอะ 1. จากสถานการณด ังกลาว ถา นกั เรียนเปนหญงิ นกั เรยี นจะพดู หรือแสดงพฤติกรรมอยา งไร …………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………............… ………………………………………………………………………………………………………………………………………............… ………………………………………………………………………………………………………………………………………............… ………………………………………………………………………………………………………………………………………............… การแสดงออกของหญงิ เปนการทำลายมิตรภาพหรอื ไม อยา งไร …………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………...........……… ………………………………………………………………………………………………………………………………………….....…… ………………………………………………………………………………………………………………………………………….....…… ………………………………………………………………………………………………………………………………………............… ………………………………………………………………………………………………………………………………………............… รัตตกิ าล ยศสขุ 35
สถานการณในโรงเรียน ครูกาลังถอื หนังสอื ไปหองพกั หน่งึ : ครูขา ใหหนชู วยถือของไปสงหอ งพกั ไหมคะ ครู : ขอบใจหนูมากนะจะ ชา งเปน คนมีนำ้ ใจมาก ครูอยากใหเพื่อน ๆ เอา เปน ตวั อยางจงั เจนกับไมค : ดหู นง่ึ สิ ประจบเอาใจครทู ำตัวเดน นา หม่นั ไสจงั 2. จากสถานการณด งั กลาว ถา นกั เรยี นเปนเจนกบั ไมค นกั เรียนจะพดู หรอื แสดงพฤตกิ รรมอยา งไร ……………………………………………………………………………………………………………………………………………….…… ………………………………………………………………………………………………………………………………….............……… …………………………………………………………………………………………………………………………………....………...…… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………….…… …………………………………………………………………………………………………………………………………...........….…… …………………………………………………………………………………………………………………………………....………….… …………………………………………………………………………………………………………………………………....………….… การแสดงออกของเจนกบั ไมคเปนการทำลายมติ รภาพหรือไม อยา งไร ……………………………………………………………………………………………………………………………………………….…… ………………………………………………………………………………………………………………………………….............……… …………………………………………………………………………………………………………………………………....………...…… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………….…… …………………………………………………………………………………………………………………………………...........….…… …………………………………………………………………………………………………………………………………....………….… …………………………………………………………………………………………………………………………………....………….… …………………………………………………………………………………………………………………………………....………….… ถานกั เรียนเปนเจนกับไมค นักเรียนจะทำอยา งไร ……………………………………………………………………………………………………………………………………………….…… ………………………………………………………………………………………………………………………………….............……… …………………………………………………………………………………………………………………………………....………...…… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………….…… …………………………………………………………………………………………………………………………………...........….…… …………………………………………………………………………………………………………………………………....………….… …………………………………………………………………………………………………………………………………....………….… รตั ติกาล ยศสุข 36
ใหน กั เรยี นบอกถงึ การสรา งและการรกั ษาสมั พันธภาพตามหัวขอตอไปนี้ ครอบครวั ........................................................................... ........................................................................... ........................................................................... ........................................................................... ........................................................................... เพือ่ น ........................................................................... ........................................................................... ........................................................................... ........................................................................... ........................................................................... ผใู หญ ........................................................................... ........................................................................... ........................................................................... ........................................................................... ........................................................................... รตั ติกาล ยศสุข 37
แบบสำรวจบุคลกิ ภาพการสอ่ื สารตามทฤษฎีของ TA ชื่อ –สกลุ ……………………………………………………………..ชนั้ ……….…….เลขที่……….…… คำชี้แจง ใหนักเรียนพิจารณาขอความตอไปนี้ แลวสำรวจตนเองวามีความคิดเห็น ความรูสึก และ พฤติกรรมอยูในระดับใด แลวทำเครื่องหมาย ลงในชองคะแนนที่ตรงกับลักษณะของตนเองมากท่ีสดุ โดยเร่มิ จากระดับนอยท่สี ดุ (1) ไปจนถงึ ระดบั มากสุด (7) ขอความ 1234567 1. เอื้อเฟอเผอ่ื แผ 2. เมตตา 3. มเี หตุผล 4. ชอบคาดคะเน 5. เอาใจตนเกง 6. ใจเร็วดวนได 7. เห็นอกเหน็ ใจผูอื่น 8. ชอบแสดงความรูดกี วา คนอนื่ 9. ชอบการประเมิน 10. ยดึ ถอื ขอเทจ็ จริง 11. แสวงหาสง่ิ ใหมๆ เสมอ 12. ตามใจตนเอง 13. ชอบใชอำนาจ 14. ยดึ ถอื ประเพณี 15. ชอบคนควาทดลอง 16. ชอบหาแนวทางแกไขปญหา 17. กาวราว 18. มีความคดิ ริเร่ิม 19. ชอบแนะนำ 20 ยอมรับฟงผอู ่นื 21. มักคลอ ยตามผูอน่ื 22. ชอบตำหนติ เิ ตยี น 23. มีความรอบคอบและใจเยน็ 24. ขอ้ี าย 25. พิจารณาสงิ่ ตางๆโดยยดึ ถอื ขอ มลู 26. มักมีขอ หา มเสมอ 27. มีอารมณส นกุ สนาน ราเริง 28. หาสาเหตุของปญหา 29. ไมคงเสนคงวา 30. ใจออน รัตตกิ าล ยศสุข 38
ใหนกั เรียนนำคะแนนท่ีไดใ นแตล ะขอ มากรอกลงในตารางตอไปนี้ หมายเลขขอ คะแนน หมายเลขขอ คะแนน หมายเลขขอ คะแนน 5 13 6 24 11 79 12 8 10 17 13 15 18 14 16 21 19 20 24 22 23 27 26 25 30 29 28 รวมคะแนน รวมคะแนน รวมคะแนน บคุ ลิกภาพแบบพอ แม P บคุ ลิกภาพแบบผใู หญ A บุคลกิ ภาพแบบเด็ก C รตั ติกาล ยศสขุ 39
ใบงานเรื่อง...สรา งสรรคค าํ พูด ใหน กั เรยี นวิเคราะหค าพดู ตามรปู แบบการสอ่ื สารตามทฤษฎขี อง TA จากสถานการณ ทีก่ าหนด สถานการณที่ 1 นกั เรียนตอ งการออกไปหาเพ่ือน และตองขออนญุ าตผูปกครอง รปู แบบ P…………………………………………….………………………………………………………………… รูปแบบ A……………………………….……………………………………………………………………………... รปู แบบ C……………………………………………….……………………………………………………………… สถานการณท่ี 2 นักเรียนตอ งการยืมสมดุ จดงานของเพ่ือน รปู แบบ P…………………………………………….………………………………………………………………… รปู แบบ A……………………………….……………………………………………………………………………... รปู แบบ C……………………………………………….……………………………………………………………… สถานการณที่ 3 นักเรยี นสง งานไมท ันตามกาหนดเวลา รูปแบบ P…………………………………………….………………………………………………………………… รูปแบบ A……………………………….……………………………………………………………………………... รูปแบบ C……………………………………………….……………………………………………………………… รัตตกิ าล ยศสุข 40
Search
Read the Text Version
- 1 - 41
Pages: