ห น่ ว ย กา รเ รีย นรูท้ ี่ 3 • พระรตั นตรยั • อรยิ สจั 4 • การปฏบิ ตั ติ นตามหลกั ธรรม
พระรตั นตรัย พระรัตนตรยั แปลวา่ แก้วประเสริฐ 3 ดวง ได้แก่ พระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ พระพทุ ธ พระพทุ ธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ ผทู้ รงคน้ พบสจั ธรรมโดยการตรัสร้เู อง และสอนใหผ้ อู้ ่นื รู้ตาม หลกั ธรรมคาสง่ั สอนของพระพทุ ธเจ้า ผู้ทศ่ี กึ ษาและปฏบิ ัตติ ามคาสอนของพระพทุ ธเจา้ และเผยแผ่คาสอนแกค่ นท่ัวไป ซ่งึ เปน็ ผู้ประพฤติดีปฏบิ ัติชอบ ควรแก่การเคารพ คุณของพระสงฆ์ มี 9 ประการ เรยี กวา่ “สงั ฆคณุ 9”
พระรัตนตรัย สังฆคุณ 9 คือ คณุ ลกั ษณะของพระสงฆ์ 9 ประการ ได้แก่ 1. สุปฏิปนโฺ น เป็นผปู้ ฏิบตั ิดี ประพฤตปิ ฏิบัติ 2. อุชุปฏิปนโฺ น ตามหลกั พระธรรมวินัยประพฤติ 3. ญายปฏิปนโฺ น 4. สามีจปิ ฏปิ นโฺ น ปฏบิ ตั ติ ามหลกั ธรรมวนิ ยั เปน็ ผปู้ ฏบิ ตั ติ รง ตอ่ หน้าปฏิบตั ิเช่นใด ลับหลังก็ปฏิบตั ิเช่นน้นั เป็นผปู้ ฏิบตั เิ ปน็ ธรรม เป็นผู้ปฏิบตั ิสมควร ควรค่าแกก่ าร เคารพนบั ถือ
5. อาหเุ นยโฺ ย พระรัตนตรัย 6. ปาหเุ นยฺโย เป็นผคู้ วรแก่ของคานับ/ของไหว้ ทมี่ ผี ู้นามาถวาย เป็นผคู้ วรแก่ของต้อนรบั 7. ทกฺขเิ ณยฺโย เป็นผู้ควรแก่ของทาบุญหรือเครื่องไทยธรรม ทมี่ ีผู้นามาถวาย 8. อญฺชลิกรณโี ย เป็นผคู้ วรกราบไหว้ 9. อนตุ ฺตร ปุญฺญกฺเขตตฺ โลกสสฺ าติ เป็นเน้อื นาบุญอนั เยี่ยมยอดของชาวโลก หากเราได้กราบไหว้ ไดท้ าบุญกบั ท่าน ความเจรญิ ก็จะงอกงาม เช่นเดยี วกบั เมล็ดพนั ธพุ์ ืชที่หว่านลงไปในนาท่ีอุดมสมบูรณ์
อรยิ สจั 4 หลักธรรมทเี่ ปน็ ความจรงิ อนั ประเสริฐ 4 ประการ ซ่งึ ถอื เปน็ หวั ใจสาคญั ของพระพุทธศาสนา ประกอบดว้ ย 1. ทกุ ข์ (ธรรมทค่ี วรรู้) อรยิ สจั 4 2. สมทุ ัย (ธรรมทคี่ วรละ) 3. นิโรธ (ธรรมทคี่ วรบรรล)ุ 4. มรรค (ธรรมทคี่ วรเจรญิ )
อรยิ สัจ 4 ทุกข์ (ธรรมทค่ี วรรู้) 1. ทุกข์ คือ ความไมส่ บายกาย ไมส่ บายใจ หลักธรรมทค่ี วรรู้เพอ่ื ให้รคู้ วามจริงของการเกดิ ทกุ ข์ ไดแ้ ก่ ขนั ธ์ 5 และไตรลักษณ์ ร่างกาย ความรูส้ กึ ความจาได้ (สบายใจ ไม่สบายใจ เฉยๆ) (แยกแยะได้วา่ อะไรเปน็ อะไร) 1) ขันธ์ 5 1. รูป 2. เวทนา 3. สัญญา องค์ประกอบ 5 ประการ 4. สงั ขาร 5. วิญญาณ ท่รี วมกนั เข้าเปน็ ชวี ติ สิง่ ท่ีปรงุ แต่งจติ ใจ การรับรผู้ า่ นประสาทสมั ผสั ทง้ั 5 และใจ (แรงจูงใจให้มนษุ ย์ทาส่งิ ใดสง่ิ หนึง่ (ตา หู จมูก ลิน้ กาย และใจ) เชน่ คดิ ดี/คิดไมด่ )ี
อรยิ สัจ 4 ทุกข์ (ธรรมทคี่ วรรู้) ไตรลักษณ์ คือ ลกั ษณะของสง่ิ ต่าง ๆ ทีเ่ ปน็ ความจรงิ มี 3 ประการ ไดแ้ ก่ ภาวะที่ไมค่ งทนถาวรหรอื ภาวะท่ไี ม่เทีย่ ง ภาวะท่ีไมม่ ีตัวตน เชน่ ผูห้ ญิงคนหน่งึ เคยสวยมากแต่ปัจจุบนั ผมหงอก ผวิ หนังเหย่ี วย่นจงึ ทกุ สิ่งมกี ารเกดิ ข้นึ มีต้ังอยู่ และดบั ไป เช่น การสญู เสยี ไปทาศลั ยกรรม เธอต้องเปน็ ทกุ ข์เพราะภาวะทไี่ ม่คงทนของรา่ งกาย คนทร่ี กั ทาใหเ้ ราต้องเสยี ใจมากจนเป็นทกุ ข์เพราะความ 1. อนจิ จตา ไม่มีตัวตน 3. อนตั ตา 2) ไตรลักษณ์ **หลกั ธรรมท่ชี ่วยเตอื นสติเราว่าทกุ ส่ิง 2. ทุกขตา ล้วนมกี ารเปลยี่ นแปลง อยา่ ยดึ ม่นั ถอื ภาวะที่ทนไม่ไดห้ รอื ภาวะท่ขี ัดแย้งไมส่ มบรู ณ์ ม่ันจนเกินไป เช่น ผูห้ ญิงคนหน่ึงอว้ นมากจึงกนิ ยาลดความอว้ นจนป่วย เธอจงึ เป็นทกุ ข์ ถ้าไม่รจู้ ักปลอ่ ยวางกจ็ ะทาใหช้ วี ิตมี ความทกุ ข์
อรยิ สัจ 4 สมุทยั (ธรรมทค่ี วรละ) 2. สมุทยั คอื สาเหตุแหง่ การเกดิ ความทกุ ข์ หลกั ธรรมทค่ี วรละเพอ่ื ไม่ให้เกดิ ความทุกข์ ได้แก่ หลักกรรม (วฏั ฏะ 3) และปปัญจธรรม 3 วฏั ฏะ 3 คือ ตน้ เหตทุ ่ที าเกดิ กรรม เชน่ นายทอยตดิ การพนนั แต่ไม่มี กิเลสวฏั ฏะ เงนิ ใช้หนี้ จึงคิดทาการทจุ ริต การเวียนว่ายตายเกดิ เรยี กว่า กเิ ลส เกิดขึ้น เมอ่ื ลงมือ การไมห่ ลุดพน้ จากกิเลส วนเวียน 1) หลักกรรม ทาการทุจรติ เรยี กวา่ กรรม ไปเร่ือยๆ จนกวา่ บคุ คลจะดับกิเลส (วัฏฏะ 3) แต่ถูกจับได้และไล่ออกจากงาน ได้หมดส้นิ จึงจะหลุดพน้ จากการ เรียกว่า วบิ าก เม่อื ไม่มงี านไมม่ ีเงิน กค็ ิดทาการทจุ รติ อีก ก็เกิดกเิ ลส เวยี นวา่ ยตายเกดิ วนเวยี นไปเรือ่ ย ๆ วบิ ากวฏั ฏะ กรรมวฏั ฏะ ผลของการกระทา การกระทาทเ่ี กดิ จากกเิ ลส
อริยสจั 4 สมทุ ยั (ธรรมทค่ี วรละ) 2) ปปัญจธรรม 3 เครอ่ื งทท่ี าให้เน่ินช้า คือ กเิ ลสทท่ี าใหก้ ารศึกษาและปฏบิ ตั ติ าม หลักธรรมไมด่ าเนนิ ไปด้วยดี มี 3 ประการ 1. ตณั หา • ค ว า ม เ ห็ น แ ก่ ตั ว มี ค ว า ม โ ล ภ อ ย า ก ไ ด้ ข อ ง ข อ ง ผู้ อ่ื น โ ด ย มิ ช อ บ จะทาอะไรจะก็คดิ ถึงแตใ่ นประโยชนข์ องตน 2. มานะ • ความถือตัว คิดวา่ ตนเองเหนือกวา่ เด่นกว่าผอู้ ่นื แสดงตนขม่ ข่ผู ู้อ่ืน คิดวา่ ตวั เองดที ่ีสดุ 3. ทฏิ ฐิ • ค ว า ม ยึ ด ติ ด ใ น ค ว า ม เ ห็ น ข อ ง ต น ง ม ง า ย โ ด ย ป ร า ศ จ า ก เ ห ตุ ผ ล ไมย่ อมรบั ฟงั ความเห็นของผู้อน่ื คดิ ว่าความเช่อื ของตนเองถกู เสมอ กกิ กิเลสทง้ั สามน้ีขดั ขวางการเข้าใจและปฏบิ ตั ิตามหลกั ธรรมคาสอน ทาให้เกดิ ความทุกข์ในใจ ซึง่ เราน้นั ไมค่ วรปฏบิ ัติ
อริยสัจ 4 นิโรธ (ธรรมทีค่ วรบรรล)ุ 3. นิโรธ คือ การดบั ทกุ ข์ หลักธรรมท่ีควรบรรลุเพื่อดบั ทกุ ข์ ได้แก่ อัตถะ อตั ถะ ประโยชน์ของการปฏบิ ตั ติ ามพระธรรมคาสอนของพระพทุ ธเจา้ ท่ีผูป้ ฏิบตั ิธรรมพงึ ได้รับ แบง่ เปน็ 3 ประเภท สูงต่าตามภูมธิ รรมที่ปฏิบัติ 1. ทฏิ ฐธมั มกิ ตั ถะ (ประโยชน์ขน้ั ตน้ ) • ประโยชน์เฉพาะหน้า เป็นผลท่ีมองเห็นในชีวิตประจาวันที่คน ทว่ั ไปปรารถนาจะได้รบั เช่น ความสุข โชคลาภ ชีวิตคทู่ ่ีเปน็ สุข 2. สัมปรายิกตั ถะ (ประโยชนข์ นั้ สูง) • ประโยชนเ์ บอ้ื งหนา้ เปน็ ประโยชนท์ ี่เป็นคุณค่าของชวี ติ เช่น ความเป็นคนมีเหตุผล มีความฉลาดรอบรู้ แก้ไขปัญหาชีวิตได้ อยา่ งถกู ต้อง 3. ปรมัตถะ (ประโยชน์ขัน้ สูงสุด) • ประโยชน์ที่เป็นสาระแท้จริงของชีวิต เรียกว่า นิพพานหรือการดับ กเิ ลสไดโ้ ดยส้ินเชงิ โดยปฏบิ ัติตามหลกั มรรค 8
อรยิ สจั 4 มรรค (ธรรมท่คี วรเจรญิ ) 4. มรรค คือ วิธีการไปสู่ทางดับทุกข์ หลักธรรมท่ีควรปฏิบัติเพ่ือไปสู่ทางดับทุกข์ ได้แก่ มรรค 8 ปัญญา 3 , บญุ กริ ยิ าวัตถุ 10 , อบุ าสกธรรม 7 , มงคล 38 1) มรรคมอี งค์ 8 วธิ กี าร/หนทางทน่ี าไปสู่ทางดบั ทกุ ข์ ดงั น้ี 1. สัมมาทิฐิ (ความเห็นชอบ) 5. สัมมาอาชีวะ (เล้ียงชีพชอบ) มคี วามเขา้ ใจในทางทถี่ กู ตอ้ ง ร้วู ่าสงิ่ ไหนดี สิ่งไหนไมด่ ี การทามาหากินท่สี จุ รติ 2. สมั มาสังกัปปะ (ความดารชิ อบ) 6. สัมมาวายามะ (พยายามชอบ) มคี วามคดิ ในทางที่ดี ไม่คิดโลภอยากไดข้ องคนอน่ื ความเพยี รพยายามทางจติ ไมใ่ ห้ทาความชวั่ 3. สัมมาวาจา (เจรจาชอบ) 7. สมั มาสติ (ต้งั สติชอบ) งดเว้นจากการพูดจาในทางที่ไมด่ ี การมีสติ พิจารณาและร้เู ท่าทน้ สิ่งต่างๆตามความเปน็ จริง 4. สัมมากัมมันตะ (กระทาชอบ) 8. สัมมาสมาธิ (ตง้ั จิตมั่นชอบ) มคี วามประพฤตดิ ี เชน่ ไมล่ กั ขโมย การตงั้ จติ ใหแ้ น่วแน่ ต้งั ใจทาในสิ่งทีด่ งี าม
อรยิ สัจ 4 มรรค (ธรรมท่คี วรเจรญิ ) ความรู้ทไี่ ดจ้ ากการได้ยิน ได้ฟงั ทาให้เปน็ 2. จินตามยปญั ญา ความรทู้ ี่ไดจ้ ากการลงมอื ทา คนหตู ากวา้ งไกล ไดร้ ับยกย่องว่าเป็น และรู้ผลของสิง่ ต่างๆ ดว้ ยตนเอง พหูสตู ผู้คงแก่เรียน ซึ่งการศึกษาตาม ปญั ญาท่ีเกดิ จากการคิด “หลกั พหสู ูต” ประกอบด้วย 5 ขั้น คอื 3. ภาวนามยปัญญา ฟงั มาก จาได้ คลอ่ งปาก เจนใจ ความรู้ทไี่ ด้จากการคดิ หลายเร่อื งที่ไดย้ ิน ประยุกต์ใชไ้ ด้ ไดฟ้ ัง ไดอ้ ่าน อาจไม่เข้าใจ แตเ่ มือ่ นามา ปญั ญาทเี่ กิดจากการลงมอื ทา 1. สุตมยปัญญา คิดอย่างรอบคอบกย็ อ่ มเขา้ ใจ และหายสงสยั ได้ ปญั ญาที่เกดิ จากการฟงั 2) ปัญญา 3 ความรอบรู้ ซึง่ เกดิ ข้ึนได้ 3 ทาง ดังนี้
อรยิ สัจ 4 มรรค (ธรรมทีค่ วรเจรญิ ) 3) บญุ กิรยิ าวตั ถุ 10 การทาบุญ/การทาความดี สามารถทาได้ 10 ทาง ดังน้ี 1. ทาบุญดว้ ยการให้ (ทานมยั ) 6. ทาบุญดว้ ยการเฉล่ียสว่ นความดใี ห้ผอู้ นื่ (ปัตตทิ านมยั ) เชน่ การถวายส่ิงของแด่พระสงฆ์ เชน่ การชวนเพือ่ นทาความสะอาดห้องเรียน 2. ทาบุญด้วยการรักษาศีล (สลี มัย) 7. ทาบญุ ดว้ ยการยินดีในความดีของผูอ้ นื่ (ปัตตานโุ มทนามยั ) เช่น การรกั ษาศีล 5 เปน็ ประจา เชน่ การร่วมยินดี เมอ่ื เหน็ ผู้อ่ืนทาความดี 3. ทาบุญด้วยการอบรมจติ ใจ (ภาวนามยั ) 8. ทาบญุ ดว้ ยการฟงั ธรรม (ธัมมสั สวนมยั ) เชน่ การฝึกฝนอบรมจิตใจให้สงบ เชน่ การรบั ฟงั ความรทู้ ี่เป็นประโยชน์ และค้นคว้าหาความรอู้ ยู่เสมอ 4. ทาบญุ ด้วยการประพฤติอ่อนนอ้ ม 9. ทาบญุ ดว้ ยการส่งั สอนธรรม (ธมั มเทสนามยั ) (อปจายนมยั ) เชน่ การเป็นคนสุภาพ มีสัมมาคารวะ 5. ทาบญุ ด้วยการรบั ใช้ (เวยยาวัจจมยั ) เช่น การถา่ ยทอดความรทู้ ี่เป็นประโยชนแ์ กผ่ ู้อื่น เช่น การชว่ ยเหลอื พอ่ แมท่ างานบ้าน 10. ทาบุญดว้ ยการทาความเหน็ ใหต้ รง (ทิฏฐชุ กุ มั ม)์ เชน่ การใช้ปญั ญาไตร่ตรองวา่ สิ่งใดผิด สงิ่ ใดถูก
อริยสจั 4 มรรค (ธรรมทีค่ วรเจรญิ ) 4) อุบาสกธรรม 7 1. หม่ันไปวดั พบปะพระสงฆ์ การทาบญุ 2. หม่ันฟงั ธรรม ศึกษาหาความร้ทู เี่ ปน็ ประโยชน์ หลักธรรมสาหรบั ผู้ครองเรือน 3. ฝึกตนเองให้มรี ะเบียบวินยั มศี ีล ประพฤตใิ นสิง่ ทด่ี ีงาม และบ่งบอกหนา้ ท่ขี องพุทธศาสนิกชน 4. สร้างความรูส้ ึกดงี าม มคี วามเล่ือมใสต่อพระสงฆ์ 5. ต้งั ใจฟังธรรมดว้ ยความเคารพ ไมฟ่ งั เพราะตง้ั ใจจบั ผิด ที่พึงปฏิบตั ิต่อพระพทุ ธศาสนา 6. ไมแ่ สวงหาเขตบุญนอกหลกั พระพทุ ธศาสนา 7. เอาใจใสท่ านุบารงุ รักษาพระพุทธศาสนาดว้ ยวิธีการตา่ งๆ
อริยสจั 4 มรรค (ธรรมท่ีควรเจรญิ ) 5) มงคล 38 ธรรมอนั นามาซึ่งความสขุ ความเจริญ มีทง้ั หมด 38 ประการ ยกตัวอยา่ งเช่น 1. มศี ลิ ปวทิ ยา 2. พบสมณะ การมีความรู้ทั้งด้านทฤษฎีและทักษะปฏิบัติท่ีช่วย การพบสมณะซ่ึงถือเป็นผู้ทรงศีล นับเป็นมงคล ในการทางาน สามารถประกอบอาชีพ สร้างรายได้ และ แก่ชีวิต เนื่องจากได้มีโอกาสสนทนาหรือฟังธรรมจาก ดารงชีวิตเพ่ือเล้ียงดูตนเองและครอบครัวได้อย่างมี ท่าน ทาให้เราได้พบหนทางสว่าง และมีจิตใจสารวม ความสขุ เช่นเดียวกับท่าน เป็นผลให้นามาซ่ึงความสุขความ เจรญิ แหง่ ชีวติ
อรยิ สจั 4 มรรค (ธรรมท่ีควรเจรญิ ) 5) มงคล 38 ธรรมอันนามาซง่ึ ความสุขความเจริญ มที ้งั หมด 38 ประการ ยกตัวอย่างเช่น 3. ฟงั ธรรมตามกาล 4. การสนทนาธรรมตามกาล การรู้จักหาโอกาสไปเข้าวัดฟังธรรม เช่น วันสาคัญ การหาโอกาสสนทนาธรรมกับผู้รู้ หรือเมื่อมีข้อ สงสัยในธรรมข้อใด ก็นาข้อธรรมนั้นไปปรึกษาผู้รู้ ทางพระพุทธศาสนา ซึ่งถือเป็นการสร้างมงคลให้แก่ชีวิต เพื่อให้เข้าใจชัดเจน อันนามาซึ่งสติปัญญาและช่วย ขอ้ ควรปฏบิ ตั ิในการฟังธรรม มดี งั น้ี ยกระดบั จติ ใจให้สงู ขน้ึ 1. ควรมศี รัทธาในตวั ผูแ้ สดงธรรม 2. ไม่ดูหมน่ิ ธรรมทท่ี ่านแสดง 3. ฟังดว้ ยความตงั้ ใจ 4. นาเอาหลักธรรมไปปฏบิ ตั ิ มงคลทง้ั 4 ประการดงั กลา่ ว เป็นมงคลท่ีเกดิ จากการ เรียนรดู้ ว้ ยการฟงั หากฟงั ในสง่ิ ทดี่ ี ฟงั ด้วยความตัง้ ใจ ย่อมจะนาประโยชนแ์ ละความสุขมาสู่ชวี ติ
❖ ขนั ธ์ 5 : องคป์ ระกอบ 5 ประการทร่ี วมกันเข้า ❖ วฏั ฏะ 3 : การเวยี นว่ายตายเกดิ (กิเลส กรรม วิบาก) ❖ ปปญั จธรรม 3 : กเิ ลสที่ทาใหเ้ กิดความเน่ินชา้ (ตณั หา มานะ เปน็ ชีวิต ได้แก่ รปู เวทนา สญั ญา สังขาร วญิ ญาณ ทฏิ ฐิ) ❖ ไตรลกั ษณ์ : ลักษณะของส่ิงต่างๆ ที่เป็นความจรงิ 3 ประการ ได้แก่ อนจิ จตา ทุกขตา อนตั ตา 1. ทุกข์ (ธรรมที่ควรรู้) อรยิ สจั 4 2. สมทุ ัย (ธรรมทคี่ วรละ) 3. นโิ รธ (ธรรมทีค่ วรบรรล)ุ 4. มรรค (ธรรมทค่ี วรเจรญิ ) ❖ อตั ถะ : ประโยชน์ของการปฏบิ ัติตามหลกั ธรรม ❖ มรรค 8 : วธิ กี ารไปสูท่ างดบั ทกุ ข์ ❖ ปัญญา 3 : ความร้ทู ีเ่ กดิ จากการฟัง การคดิ การลงมือทา (ประโยชน์ขน้ั ต้น ขน้ั สงู ขนั้ สงู สดุ ) ❖ บุญกิรยิ าวตั ถุ 10 : การทาบญุ /การทาความดี ❖ อบุ าสกธรรม 7 : หน้าทีข่ องชาวพทุ ธทพ่ี ึงปฏบิ ัติ ❖ มงคล 38 : ธรรมอนั นามาซง่ึ ความสขุ ความเจริญ
การปฏิบตั ิตนตามหลกั ธรรมในการพัฒนาตน เพื่อเตรยี มพร้อมสาหรับการทางานและการมคี รอบครวั การปฏบิ ตั ติ นตาม หลกั ธรรมในการ พัฒนาตน เพ่ือการทางานและ การมคี รอบครวั
1. คบหาสัตบรุ ษุ และบณั ฑติ 1. วุฑฒิธรรม 4 2. เอาใจใส่เลา่ เรยี นหาความจรงิ (สัปปรุ สิ สงั เสวะ) หลักการสรา้ งปญั ญา (สทั ธมั มสั สวนะ) การคบเพอื่ นเป็นเรือ่ งสาคญั เราจะต้องแนใ่ จวา่ การหาความรู้จะบรรลุผลก็ต่อเมอ่ื เราต้งั ใจ ผู้ที่เราจะคบหาหรอื ไปหาความรู้น้ันเป็นบคุ คล เป็นธรรมทพี่ าไปสคู่ วามเจรญิ และเอาใจใส่ โดยการฝึกฝนดว้ ยตนเองให้ 4 ประการ ประเภทใด มากท่ีสุด ถ้าประสบการณเ์ รายังน้อยไม่แนใ่ จว่าใครเป็น 2 อย่างไร กค็ วรเชอ่ื คาแนะนาจากผู้ท่ีหวงั ดกี อ่ น 4 เชน่ พอ่ แม่ ครู เปน็ ตน้ 1 4. ปฏิบัตติ นตามทานองคลองธรรม 3 (ธมั มานธุ มั มปฏปิ ตั ต)ิ 1. ไมน่ าความร้ทู เี่ รียนมาไปใชใ้ นทางทุจริต 3. ใชเ้ หตุผลไตรต่ รอง 2. ไม่นาความร้ไู ปกอ่ ประโยชนแ์ กต่ นเอง โดยไมค่ านงึ ถงึ ความเดอื ดร้อนของผอู้ ืน่ (โยนโิ สมนสกิ าร) ซงึ่ การกระทาเชน่ น้เี รียกว่าใชค้ วามรใู้ นทางท่ีผดิ ความรู้จะเกิดขึน้ เมอื่ ใชค้ วามคิดทีถ่ กู วธิ ี พิจารณาไดว้ า่ ส่ิงใดถูกสง่ิ ใดผิด อย่าเชือ่ อะไร งา่ ยๆ ใหด้ เู หตุผลและวิเคราะห์ปัญญาให้ถถ่ี ้วน
ใชส้ ติปญั ญาคิดทบทวน ไตรต่ รองงานทีท่ า หากมี 2 ขอ้ บกพรอ่ งกป็ รบั ปรุงแกไ้ ข จนสาเรจ็ วิรยิ ะ 4 (ความเพียร) วมิ งั สา 2. อิทธบิ าท 4 1 เมอื่ มคี วามสุขกับการทางาน (การพจิ ารณา จะทาด้วยความตง้ั ใจ ไมย่ ่อทอ้ ไตร่ตรอง) หลกั การสรา้ งความสาเร็จในการทางาน ฉันทะ มี 4 ประการ ต่ออปุ สรรค (ความพอใจ) 3 พอใจที่จะทา มใี จรักที่จะทางาน จติ ตะ หากส่งิ ท่ที าเกิดจากใจรักจะทาให้มี (การต้งั จิตใจ ความสุขกบั การได้ทางานน้ัน ใหแ้ นว่ แน)่ จดจอ่ อยู่กับสิ่งที่ทา ยอ่ มทาให้ส่งิ ทท่ี านน้ั สาเรจ็ ได้
3. สัปปุริสธรรม 7 หลกั การสรา้ งตนเป็นคนดี มี 7 ประการ ดงั นี้ 1. รู้จักเหตุ รูว้ ่าสิง่ ต่างๆ เกิดขน้ึ จากเหตุ เช่น เห็นเพ่ือนหลบั ในเวลาเรยี น ก็รวู้ า่ จะตอ้ งเกดิ จากพักผอ่ นไม่เพียงพอ 2. ร้จู กั ผล ร้วู า่ ทาส่ิงนน้ั แลว้ จะเกดิ ผลอยา่ งไร เชน่ รวู้ ่านอนดกึ จะทาใหเ้ สยี สขุ ภาพ จงึ เขา้ นอนเรว็ 3. รู้จกั ตน รู้วา่ ตนเองเปน็ ใคร แล้วประพฤตติ นได้อยา่ งเหมาะสม 4. รู้จักประมาณ รจู้ ักความพอดี ทาสง่ิ ตา่ งๆ อย่างเปน็ กลาง เชน่ การไม่ใชจ้ า่ ยฟมุ่ เฟือย 5. ร้จู ักกาล รู้เวลาอันเหมาะสม ว่าเวลาไหนควรทาส่งิ ใด/ไมค่ วรทาสงิ่ ใด 6. ร้จู ักชมุ ชน ร้วู ่าชมุ ชนมรี ะเบยี บแบบแผนหรอื วัฒนธรรมอยา่ งไร แล้วปฏิบตั ิตนใหถ้ กู ตอ้ งเหมาะสม 7. รู้จักบคุ คล รู้ว่าคนใดควรคบ/ไม่ควรคบ ถ้าคบคนผิดแลว้ ยอ่ มหาความเจรญิ ไดย้ าก ผู้ท่สี ามารถปฏิบตั ติ าม 7 ขอ้ ดังกลา่ วได้ จึงจะได้ถอื วา่ เปน็ คนดอี ยา่ งสมบูรณ์
การปฏบิ ัตติ ามหลักธรรมสาหรบั การทางานและการมคี รอบครัว หลกั การสรา้ งตนเปน็ คนดี (สัปปุรสิ ธรรม 7) สปั ปุรสิ ธรรม 7 ธรรมทที่ าให้คนเปน็ คนดี มี 7 ประการ 1. ร้จู ักเหตุ • รู้จักคดิ วา่ สรรพสงิ่ ทีเ่ กดิ ข้นึ ลว้ นแตม่ เี หตุ มใิ ชเ่ กดิ ขน้ึ ลอยๆ 2. ร้จู ักผล • รูว้ า่ เหตเุ กดิ จากอะไรแลว้ กค็ านึงถึงผลที่ตามมา เช่น เกเร ตดิ ยาเสพตดิ ชวี ติ ในอนาคตกจ็ ะมืดมน 3. รู้จักตน • รจู้ ักฐานะของตน มคี วามรู้ความสามารถแคไ่ หน วางตนใหเ้ หมาะสม 4. ร้จู กั ประมาณ • ร้จู กั พอดี การเรยี น การกิน การเทยี่ ว การนอน การจบั จา่ ยใช้สอยทุกอยา่ งล้วนต้องใหพ้ อดี พอเหมาะ 5. รูจ้ กั กาล • ต้องปรับตัวเองและการทางานใหเ้ หมาะสมกบั กาลเวลา รู้จกั ใชเ้ วลาใหเ้ ปน็ ประโยชน์ 6. รูจ้ ักชุมชน • รู้จกั วา่ ชุมชนหรอื สังคมมีระเบียบแบบแผนหรือวัฒนธรรมอยา่ งไร แลว้ ปฏบิ ตั ิตนให้ถกู ต้อง 7. รู้จกั บคุ คล • ร้จู ักเลอื กคนว่า คนใดควรคบไมค่ วรคบ ถ้าคบคนผดิ แลว้ ยอ่ มหาความเจริญได้ยาก
Search
Read the Text Version
- 1 - 22
Pages: