Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore เทคนิคการจัดการฟาร์มเพาะเลี้ยงกบให้ปลอดจากเชื้อแบคทีเรีย (สมเกียรติ ตันตา, 2562)

เทคนิคการจัดการฟาร์มเพาะเลี้ยงกบให้ปลอดจากเชื้อแบคทีเรีย (สมเกียรติ ตันตา, 2562)

Published by RMUTL Knowledge Book Store, 2021-05-07 08:00:31

Description: นักวิจัยพัฒนาเทคนิคการจัดการฟาร์มเพาะเลี้ยงกบในการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไมโคแบคทีเรียม ลดอัตราการตายโดยไม่ทราบสาเหตุของลูกกบ โดยมีมาตรการ 4 ขั้นตอน ได้แก่ 1.กำจัดกบและฆ่าเชื้อบริเวณฟาร์มเพาะเลี้ยงกบด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อแบคทีเรีย 2.นำพ่อแม่พันธุ์เข้ามาเลี้ยงใหม่โดยต้องผ่านการตรวจชันสูตรโรคโดยวิธี PCR 3.ทำการเปลี่ยนถ่ายน้ำกบพ่อแม่พันธุ์ก่อนและหลังให้อาหารทุกมื้อและลดการสัมผัสกบโดยตรงด้วยมือเปล่าควรใส่ถุงมือและรองเท้าบู้ทขณะจัดการสุขาภิบาลฟาร์มเพาะเลี้ยงกบ 4.ตรวจโรคลูกกบและพ่อแม่พันธุ์กบเป็นประจำทุกๆ 6เดือนโดยวิธี PCR หาเชื้อไมโคแบคทีเรีย ในพื้นที่ทดลองที่มีการระบาดของเชื้อ ประกอบด้วย 1.พื้นที่ฟาร์มในจังหวัดชลบุรี 2.พื้นที่ฟาร์มในจังหวัดพิษณุโลก 3.พื้นที่ฟาร์มในจังหวัดชัยนาท มีผลทำให้ฟาร์มเพาะเลี้ยงกบมีรายได้จากการจำหน่ายลูกอ๊อดและลูกกบเพิ่มมากขึ้น

Keywords: Mycobacterium spp.,เทคนิคการเลี้ยงพ่อแม่พันธุ์กบ,Breeding Frog Culture Techniques,วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี​การเกษตร,ลำปาง

Search

Read the Text Version

รายงานวิจยั ฉบับสมบรู ณ์ เทคนคิ การจัดการฟารม์ เพาะเลี้ยงกบให้ปลอดจากเชือ้ แบคทเี รีย(Mycobacterium spp.) Management techniques for diseases caused by bacteria (Mycobacterium spp.) in frog farms คณะผู้วิจยั สมเกียรติ ตนั ตา โครงการวจิ ัยสนบั สนุนงานวิจัยของมหาวทิ ยาลัยเทคโนโลยรี าชมงคลลา้ นนา งบประมาณแผ่นดนิ ปี พ.ศ. 2562 มหาวิทยาลยั เทคโนโลยีราชมงคลล้านนา ลำปาง

กิตติกรรมประกาศ การศึกษางานวิจัยในครั้งนี้ได้รับการสนับสนุนเงินจากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล ล้านนา งบประมาณประจำปี 2562 ซึ่งระหว่างการดำเนินงานได้รับการสนับสนุนอุปกรณ์เครื่องมือและสถานที่ใน การทดลองจากหลักสูตรประมง สาขาสัตวศาสตร์และประมง คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีการเกษตร ของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา ลำปาง รวมถึงฟาร์มทดลองจาก 3 ภูมิภาค ได้แก่ฟาร์ม ทดลองพื้นที่ภาคเหนือตอนล่างคุณยุทธพงษ์ ภัทรวงศ์วิสุทธิ์ ภาคกลางคุณบุญเรือง น่วมภักดี ภาค ตะวันออกคุณฐาปนีย์ คำดี และขอขอบคุณหน่วยชันสูตรโรคสัตว์ ศูนย์บริการสุขภาสัตว์ คณะสัตวแพทย์ มหาวทิ ยาลยั เชียงใหมท่ ่ีช่วยตรวจโรค รวมถึงการกำจัดซากให้กับทางทมี งานเสมอมา และท้ายนี้ขอขอบคุณ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลลา้ นนา ที่สนับสนุนทุนอุดหนุนการวิจัยงบประมาณแผ่นดินประจำปี พ.ศ 2562

เทคนคิ การจดั การฟารม์ เพาะเลย้ี งกบให้ปลอดจากเช้อื แบคทเี รยี (Mycobacterium spp.) สมเกยี รติ ตนั ตา บทคดั ย่อ การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1.หาวิธีการจัดการฟาร์มเพาะเลี้ยงกบเพื่อป้องกันการแพร่ระบาด ของเชื้อ Mycobacterium spp. 2.เพื่อแก้ปัญหาการติดเชื้อแบคทีเรียMycobacterium spp. ในกบทุก ระยะ 3.เพื่อเผยแพร่วิธีการจัดการฟาร์มเพาะเลี้ยงกบที่ถูกต้องให้กับเกษตรกรที่ประสบปัญหา ทดลองใน พื้นที่ ที่มีการระบาดของเชื้อ Mycobacterium spp. ทั้งหมด 3 ฟาร์ม 3 ภูมิภาค โดยเก็บข้อมูลการ เพาะเลี้ยงก่อนและหลังจากการนำมาตรการ 4 ขั้นตอนไปใช้ในการเพาะเลี้ยงกบในพื้นที่ เมื่อสิ้นสุดการ ทดลองนำข้อมูลด้านร้อยละการตายของลูกอ๊อดในช่วง 7-10 วัน, ร้อยละอัตราขาหน้าไม่งอกของลูกอ๊อด, จำนวนการตายของพ่อแม่พันธ์กบ, น้ำหนักลูกอ๊อดที่ได้, จำนวนลูกกบที่, ลูกกบที่ตายโดยไม่ทราบสาเหตุ และจำนวนเงินที่ขายลูกอ๊อดและลูกกบได้ นำมาวิเคราะห์ความแปรปรวน (Analysis of Variance) และ เปรียบเทียบความแตกต่างค่าเฉลี่ยข้อมูลก่อนและหลังจากใช้มาตราการ 4 ขั้นตอนด้วย Duncan’s New Multiple Range Test ที่ระดับความเชื่อมัน่ ร้อยละ 95 โดยใช้โปรแกรม สำเร็จรูป พร้อมทั้งส่งตัวอย่างกบ ก่อนและหลังจากใช้มาตราการไปตรวจชิ้นเนื้ออวัยวะต่างๆโดยวิธี PCR (Polymerase Chain Reaction) ที่หน่วยชันสูตรโรคสตั ว์ คณะสัตวแพทย์ มหาวิทยาลัยเชยี งใหม่ พื้นที่ทดลองประกอบด้วย 1.พื้นที่ฟาร์มใน จังหวดั ชลบุรี 2.พืน้ ทีฟ่ าร์มในจังหวัดพิษณุโลก 3.พน้ื ทฟี่ ารม์ ในจงั หวัดชัยนาท โดยนำมาตราการ 4 ขั้นตอน ไปใช้ดั้งนี้ 1.กำจัดกบและฆ่าเชื้อบริเวณฟาร์มเพาะเลี้ยงกบดว้ ยน้ำยาฆ่าเชื้อแบคทีเรีย 2.นำพ่อแม่พันธุ์เข้า มาเลี้ยงใหม่โดยต้องผ่านการตรวจชันสูตรโรคโดยวิธี PCR 3.ทำการเปลี่ยนถ่ายน้ำกบพ่อแม่พันธุ์ก่อนและ หลังให้อาหารทุกมื้อและลดการสัมผัสกบโดยตรงด้วยมือเปล่าควรใส่ถุงมือและรองเท้าบู้ทขณะจัดการ สุขาภิบาลฟาร์มเพาะเลี้ยงกบ 4.ตรวจโรคลูกกบและพ่อแม่พันธุ์กบเป็นประจำทุกๆ 6เดือนโดยวิธีPCR หา เชื้อไมโคแบคทีเรีย ทำการทดลอง 9 เดือน ผลการทดลองพบว่า ร้อยละลูกอ๊อดตายช่วง 7-10วัน หลังจาก ใช้มาตรการมีผลให้การตายของลูกอ๊อดในช่วง 7-10 วันลดน้อยลงซึง่ ฟารม์ เพาะเลี้ยงกบพื้นที่จังหวัดชลบุรี พบการตายลดลงมากที่สุดจากเดิม ร้อยละ 93.33 เหลือเพียง ร้อยละ 2.22 ร้อยละขาหน้าไม่งอก พบว่า หลังจากใช้มาตรการมีผลให้ไม่พบอาการลูกอ๊อดขาหน้าไม่งอกจากฟาร์มทดลองทั้ง 3 แห่งพ่อแม่พันธุ์ตาย (ตัว) พบว่าหลังจากใช้มาตรการ 4 ขั้นตอนมีผลให้การตายของพ่อแม่พันธุ์กบลดลงซึ่งฟาร์มเพาะเลี้ยงกบ พื้นที่จังหวัด พิษณุโลก ไม่พบการตายหลังจากการใช้มาตรการจากเดิมมีการตายของพ่อแม่พันธุ์ 8.33 ตวั นำ้ หนักลกู อ๊อดที่ได้ (กก.) พบวา่ หลังจากใช้มาตรการมผี ลให้น้ำหนักลูกอ๊อดท่ีได้เพิ่มขึ้น ซึ่งฟาร์มเพาะเลี้ยง กบพ้นื ที่จงั หวดั ชัยนาทมกี ารเพ่ิมขึ้นของนำ้ หนังลูกอ๊อดมากทีส่ ุด จากเดิม 2.39 กก. หลังเขา้ รว่ มการทดลอง ได้น้ำหนักลูกอ๊อด 82.78 กก. จำนวนลูกกบท่ีได้ (ตัว) พบว่าหลังจากใช้มาตรการมีผลให้ทั้ง 3 พื้นท่ี เพาะพันธลุ์ ูกกบได้เพ่ิมมากข้ึนซึ่งฟาร์มทดลองพื้นท่ีจงั หวัดชัยนาทเพาะพันธล์ุ ูกกบเพ่ิมขึ้นมากท่ีสุดจากเดิม 135.11 ตัว หลังเข้าร่วมการทดลองจำนวนลูกกบที่ไดเ้ พิ่มขึ้นเปน็ 16,781.67ตัว เป็นตัวกบแล้วตายโดยไม่

ทราบสาเหตุ (ตัว) พบว่าหลังจากใช้มาตรการผลให้ทั้ง 3 พื้นที่ไม่พบการตายโดยไม่ทราบสาเหตุของลูกกบ จำนวนเงินท่ีได้จากการจำหน่ายลูกอ๊อด ลูกกบ (บาท) พบว่าหลังจากเข้าร่วมโครงการทดลอง ฟาร์ม เพาะเลย้ี งกบทัง้ 3 พนื้ ทีม่ รี ายไดจ้ ากการจำหนา่ ยลูกอ๊อดและลูกกบเพมิ่ มากข้ึนโดยฟาร์มทดลองจากจังหวัด ชัยนาทมีรายได้จากการจำหน่ายลูกอ๊อดลูกกบเพิ่มขึ้นมากที่สุดจากเดิม 121บาทหลังจากเข้าร่วมงาน ทดลองมไี ดถ้ งึ 16,781.67 บาท/รอบการผลิต ผลการตรวจชิ้นเน้ือเพือ่ หาเชื้อ Mycobacterium spp. จากห้องปฏิบัตกิ ารของหน่วยชันสูตรโรค สัตว์ คณะสัตวแพทย์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ด้วยวิธี PCR (Polymerase Chain Reaction) ปรากฎว่า หลงั จากการใช้มาตราการ4ขน้ั ตอนไม่พบเช้ือ Mycobacterium spp.จากฟาร์มทดลองท้ัง 3 แห่ง ผลการศึกษาครั้งนี้แสดงให้เห็นว่าการใช้มาตรการ 4 ขั้นตอน มีผลต่อภาวะการติดเชื้อ Mycobacterium spp.ในอวัยวะภายในรวมถึงร้อยละการตายของลูกอ๊อดในช่วง 7-10 วัน, ร้อยละอัตรา ขาหนา้ ไม่งอกของลูกอ๊อด, จำนวนการตายของพ่อแม่พันธ์กบ, น้ำหนกั ลกู อ๊อดท่ีได้, จำนวนลูกกบท่ี, ลูกกบ ที่ตายโดยไม่ทราบสาเหตุและจำนวนเงินที่ขายลูกอ๊อดและลูกกบได้ การเพิ่มขึ้นของน้ำหนักและอัตราการ รอดตาย คำสำคญั : Mycobacterium spp.,เทคนคิ การเล้ียงพ่อแม่พนั ธุ์กบ

Management techniques for diseases caused by bacteria (Mycobacterium spp.) in frog farms Somkiat Tanta Abstract This Research was aimed 1) to find solutions to the frog farm management and prevention of Mycobacterium spp. outbreak; 2) to solve problems of infection of Mycobacterium spp. at all phases of frog culture; 3) to disseminate the correct method of frog farm management to farmers who encountered problems and to experiment in areas of Mycobacterium spp. outbreak in 3 farms of 3 different Regions. The Researcher collected the data of frog culture before and after the implementation of 4-step measures to the frog culture in the areas. Upon completion of the trial thereof, the Researcher took the data relating to the mortality rates of tadpoles during the first 7-10 days, rates of undeveloped front legs of tadpoles, mortality rates of breeding frogs, weights of tadpoles gained, numbers of young frogs with unidentified causes of death and the gross sales of tadpoles and young frogs, for analysis of variance, and compared the difference of averages of data of pre/post implementation of 4-step measures by using the Duncan’s New Multiple Range Test at the level of 95% confidence by using package software and sent samples of frogs under pre/post implementation of measures for biopsy of organs by using PCR method (Polymerase Chain Reaction) at the Animal Disease Autopsy Unit of the Faculty of Veterinary Science, Chiang Mai University. The test areas consisted of 1) farm areas in Chonburi Province; 2) farm areas in Phitsanulok Province; farm areas in Chainat Province. 4-Stage measures were implemented, as follows: 1) Eliminate frogs and sterilize areas of frog farms with disinfectant liquid; 2) Re-culture of breeding frogs through disease analysis by using PCR method; 3) refill water for the breeding frogs before and after all meals and avoid direct bare-hand contact with frogs by wearing gloves and boots while managing the sanitation of frog farms; 4) Diagnose diseases of young frogs and breeding frogs on a monthly basis by using PCR method; detect Mycobacterium spp. and conduct a 9-month experiment. According to the test result, it was found that after the implementation of 4-step measures:

1) the mortality rates of tadpoles during the first 7-10 days decreased; whereas, frog farms in areas of Chonburi Province had the largest decrease of the mortality rates thereof from 99.33% to 2.22%; 2) there was no case of undeveloped front legs of tadpoles in all 3 test farms; 3) the mortality rates of breeding frogs decreased; whereas, there was no case of mortality in frog farms in areas of Phitsanulok Province (from the initial death of 8.33 breeding frogs); 4) weights of tadpoles (kg) increased; whereas, frog farms in areas of Chainat Province had the largest increase of weights of tadpoles (from the initial weight of 2.39 kg to 82.78 kg; 5) the number of young frogs increased in all 3 areas of young frog culture; whereas, test farms in areas of Chainat Province had the largest increase of young frog culture (from the initial number of 135.11 frogs to 16,781.67 frogs; 6) there was no case of unidentified causes of death of young frogs in all 3 areas; 7) incomes from selling of tadpoles and young frogs increased in all 3 areas; whereas, the test farm in Chainat Province had the largest increases of incomes from selling of tadpoles and young frogs (from the initial income of 121 Baht/production cycle to 16,871.67 Baht/production cycle. According to the Mycobacterium spp. biopsy result from the Laboratory of the Animal Disease Autopsy Unit of the Faculty of Veterinary Science, Chiang Mai University by using PCR method (Polymerase Chain Reaction), it was found that after the implementation of 4-step measures, there was no infection of Mycobacterium spp. from all 3 test farms. According to this research result, it showed that the implementation of 4-step measures had impacts on the infection of Mycobacterium spp. in inner organs of frogs, including the mortality rates of tadpoles during the first 7-10 days, rates of undeveloped front legs of tadpoles, mortality rates of breeding frogs, weights of tadpoles gained, numbers of young frogs with unidentified causes of death and the gross sales of tadpoles and young frogs, and increases of weights of frogs and their survival rates. Key words: Mycobacterium spp., Breeding Frog Culture Techniques

สารบัญ เร่อื ง หนา้ กติ ติกรรมประกาศ...................................................................................................................................(ก) บทคัดย่อ ................................................................................................................................................. (ข) ABSTRACT .............................................................................................................................................(ค) สารบัญตาราง ...........................................................................................................................................(ง) สารบญั ตาราง......................................................................................................................................... (จ) สารบัญภาพ............................................................................................................................. ...................(ฉ) บทที่ 1บทนำ............................................................................................................................................. 1 บทที่ 2การทบทวนวรรณกรรม .................................................................................................................. 3 บทที่ 3เนอื้ หางานวิจัย ............................................................................................................................... 1 บทที่ 4 ผลการวจิ ยั และวิจารณผ์ ล ........................................................................................................... 16 บทท่ี 5 สรปุ ผลการวิจัยและข้อเสนอแนะ ................................................................................................ 31 บรรณานกุ รม........................................................................................................................................... 33 ภาคผนวก................................................................................................................................................ 36

สารบญั ตาราง หนา้ ตารางที่ 20 25 1 แสดงผลการทดลองเปรยี บเทยี บกอ่ นและหลังการใช้4มาตรการ 30 ในการเพาะเล้ยี งกบพื้นทจี่ ังหวัดชลบุรี 2 แสดงผลการทดลองเปรยี บเทยี บกอ่ นและหลงั การใช้4มาตรการ ในการเพาะเลย้ี งกบพืน้ ที่จังหวดั พษิ ณุโลก 3 แสดงผลการทดลองเปรยี บเทียบก่อนและหลงั การใช4้ มาตรการ ในการเพาะเลี้ยงกบพ้นื ท่จี งั หวดั ชยั นาท ง

สารบญั ภาพ หนา้ ภาพที่ 16 . 16 1 ลกู อ๊อดตายอายุ 7-10 วนั 2 ลูกออ๊ ดท่กี ำลงั พัฒนาเป็นตัวกบขาหน้าไม่งอก 17 3 อวยั วะภายในพอ่ แม่พันธุ์กบทต่ี าย ตับมลี กั ษณะเปน็ จุดสีขาว 17 18 เนือ่ งจากการติดเชอ้ื โคแบคทีเรียม 19 4 ลกู อ๊อดอายุ 20 วนั 19 5 ลกู กบทีเ่ พาะพันธไุ์ ด้ในพน้ื ทท่ี ดลองจงั หวัด ชลบุรี 21 6 ผลการตรวจ PCR กอ่ นการใช้มาตรการพ้ืนทจ่ี งั หวัดชลบรุ ี 21 7 ผลการตรวจ PCR หลังการใชม้ าตรการพ้นื ทช่ี ลบุรี 22 8 ลูกอ๊อดพฒั นาเป็นตวั กบตายขาหนา้ ไมง่ อก 22 9 อาการปว่ ยของพ่อพนั ธุเ์ นอ่ื งจากการติดเช้ือไมโคแบคทีเรยี ม 23 10 การขนย้ายลกู อ๊อดเพอ่ื จำหนา่ ย 24 11 ลกู กบที่เพาะพันธ์ุได้ในพืน้ ท่ีทดลองจังหวดั พษิ ณโุ ลก 24 12 ลูกกบตายโดยไม่ทราบสาเหตุ 26 13 ผลการตรวจ PCR กอ่ นการใช้มาตรการในพน้ื ทจี่ ังหวัดพิษณุโลก 14 ผลการตรวจ PCR หลังการใช้มาตรการในพนื้ ทีจ่ ังหวดั พิษณโุ ลก 15 ลกู ออ๊ ดทเ่ี รม่ิ พฒั นาเป็นตัวกบไม่พบอาการขาหนา้ ไมง่ อก จ

ภาพท่ี หนา้ 16 อาการป่วยตายของพ่อพนั ธก์ุ บเนอ่ื งจากตดิ เช้อื ไมโคแบคทีเรยี ม 26 17 ลูกอ๊อดอายุ 15 วนั จากชุดการทดองที่ 1,3,4,5 27 18 ลกู กบท่ีเพาะพนั ธุ์ไดจ้ ากพื้นทีท่ ดลองจังหวัด ชัยนาท 27 19 ลูกกบตายโดยไมท่ ราบสาเหตุ 28 20 ผลตรวจ PCR กอ่ นการใช้มาตรการในพนื้ ทีจ่ ังหวัดชัยนาท 29 21 ผลตรวจ PCR หลังการใชม้ าตรการในพ้ืนทจ่ี งั หวดั ชยั นาท 29 ภาพผนวกที่ หน้า 1 ผู้เข้ารว่ มโครงการทดลอง 37 2 พ้ืนทีท่ ดลองจังหวดั ชลบรุ ี 37 3 พืน้ ทีท่ ดลองจังหวัดพิษณโุ ลก 38 4 พน้ื ท่ที ดลองจงั หวดั ชัยนาท 39 5 การเพาะพันธก์ุ บ 40 6 ไข่กบอายุ 1 วัน 40 7 ลกู ออ๊ ดตายอายุ 7-10 วัน 40 8 ลูกออ๊ ดมีอาการขาหน้าไม่งอก 41 9 ลูกออ๊ ดเริม่ พัฒนาเปน็ ตวั กบ 41 10 ลูกกบทเ่ี พาะพันธุ์ได้ 42 11 ลูกกบตายอยา่ งไม่ทราบสาเหตุ 42 12 ลกู อ๊อดมอี าการขาหนา้ ไม่งอก 43 13 การขนสง่ ลูกออ๊ ด 43 14 สญั ญาหา้ มเปดิ เผยขอ้ มลู นายยทุ ธพงษ์ ภทั รวงศว์ ิสุทธิ์ 44 15 สัญญาห้ามเปิดเผยข้อมูลนางสาวฐาปนีย์ คำดี 44 16 สัญญาห้ามเปิดเผยขอ้ มลู นาย บญุ เรอื ง นว่ มภกั ดี 45 17 ข้อมูลเบอ้ื งต้นของผู้เขา้ รว่ มโครงการคณุ ฐาปนยี ์ คำดี 46 18 สญั ญาห้ามเปิดเผยขอ้ มูลนาย ยทุ ธพงษ์ ภัทรวงศ์วสิ ุทธิ์ 47 19 สัญญาห้ามเปิดเผยข้อมลู นาย บญุ เรอื ง น่วมภักดี 48 20 แบบทดสอบก่อนเขา้ รว่ มโครงการวิจัยโดย คุณฐาปนยี ์ 49 ฉ

ภาพผนวกท่ี หน้า 21 แบบทดสอบหลงั เข้ารว่ มโครงการวจิ ยั โดย คณุ ฐาปนยี ์ 50 22 แบบทดสอบหลังเขา้ รว่ มโครงการวิจัยโดยคณุ ยทุ ธพงศ์ 51 23 แบบทดสอบหลังเข้ารว่ มโครงการวจิ ัยโดยคณุ ยุทธพงศ์ 52 24 แบบทดสอบก่อนเขา้ รว่ มโครงการวจิ ัยโดยคณุ บญุ เรอื ง 53 25 แบบทดสอบหลังเข้าร่วมโครงการวิจัยโดยคณุ บญุ เรือง 54 ช

1 บทที่ 1 บทนำ กบนา (Hoplobatrachus rugulosus) เป็นสัตว์ที่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจชนิดหนึ่ง ซึ่งกำลัง เป็น ทน่ี ิยมบริโภคกนั อย่างแพรห่ ลายในประเทศไทยคนไทยนยิ มบรโิ ภคกบเปน็ อาหารกันมากขนึ้ ซึง่ เป็นเน้ือ ที่มีปริมาณของคอเลสเตอรอลต่ำและความต้องการสูงในการบริโภคสัตว์ประเภทเนื้อขาวเช่น เนื้อไก่ เนื้อ ปลาและเนื้อกบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในปัจจุบันมีการคำนึงถึงอาหารเพื่อสุขภาพเน่ืองจากกบเป็นอาหารที่มี โปรตีนสูง-ไขมันต่ำ ( Dani et al.1966 ) ได้รายงานว่า ส่วนของน่องกบนามีโปรตีนสูงร้อยละ 83 และ ไขมันร้อยละ 5.8 ของน้ำหนักแห้ง มีกรดอะมิ โนที่สำคัญ 2 ชนิดคือ ไลซีน และเมทไธโอนีน รวมทั้งมี วติ ามนิ แรธ่ าตุ คือ เหลก็ 2.1 มิลลกิ รัมเปอร์เซ็นต์ และไนอาชนิ 2.0 มลิ ลิกรัมเปอรเ์ ซน็ ต์ อาชีพการเพาะเลี้ยงกบในปัจจุบันสร้างรายได้ให้กับเกษตรกรอย่างมากมาย และกำลังเป็นที่สนใจของ ผู้ประกอบการรายใหม่ที่อยากจะมีอาชีพและรายได้เหมือนกับกลุ่มคนที่ประสบผลสำเร็จ ในความเป็นจริง แล้วมีเกษตรกรอีกไม่น้อยที่ต้องพบกับปัญหาในการเพาะเลี้ยงสัตว์ชนิดนี้เนื่องจากโรคระบาดในฟาร์ม เพาะเลี้ยงซึ่งเชื้อโรคในปัจจุบันก็มีการพัฒนาด้านความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆเช่นกัน สวนทางกับเกษตรกร ยังมีความรู้และความเข้าใจในการจัดการด้านสุขาภิบาลนอ้ ยมากอาจเป็นเพราะมุง่ เนน้ ในเชิงธุรกิจมากกวา่ ความยั่งยืนทำให้มีการปล่อยพันธุ์กบลงเลี้ยงหนาแน่นเกินไป บางรายก็มีการจัดการด้านสุขาภิบาลฟาร์ม อยา่ งไมถ่ ูกต้องหรืออาจเล้ียงกบผิดวิธีซ่งึ ปจั จยั เหล่านี้ก่อใหเ้ กิดโรคตามมาหลายโรค บางโรคสามารถติดต่อ ส่คู นได้ถา้ ไม่มีความรู้ความเขา้ ใจในการป้องกันตวั เองยกตัวอย่างโรคทีเ่ กิดจากเชื้อ Mycobacterium spp. ถ้าหากปล่อยไว้โดยไม่มีหน่วยงานใดเข้าไปชี้แจงหรือให้ความรู้ก็จะทำให้ประชาชนผู้ผลิต และผู้บริโภค ไดร้ บั อนั ตรายจากเช้ือนี้ ดังนั้นทางคณะทำงานวิจัยได้เล็งเห็นความสำคัญทั้งด้านสุขภาพ เศรษฐกิจ สังคมที่อาจเกิด ผลกระทบในวงกว้างจึงให้ความสนใจทำงานวิจัยเรื่องนี้เพื่อจะได้เป็นกระบอกเสียงหยุดยั้งการระบาดของ โรคนตี้ ่อไป วตั ถปุ ระสงค์ 1.เพื่อหาวิธีการจัดการฟาร์มเพาะเลี้ยงกบเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อ Mycobacterium spp. 2.เพื่อแกป้ ญั หาการตดิ เชอ้ื แบคทเี รีย Mycobacterium spp. ในกบทุกระยะ 3.เพือ่ เผยแพรว่ ิธกี ารจดั การฟาร์มเพาะเลยี้ งกบทถี่ กู ตอ้ งให้กบั เกษตรกรทีป่ ระสบปัญหา

2 ขอบเขตการทำวิจัย ทำการศกึ ษาในฟารม์ ตวั อย่างทมี่ ปี ญั หาทงั้ หมด 3 ฟารม์ ท่วั ประเทศทถ่ี กู คัดเลือก 1.ยทุ ธพงษ์ฟาร์ม กบ จงั หวัดพิษณุโลก 2.บุญเรืองฟาร์มกบ จงั หวัดชยั นาท 3.ฐาปนยี ฟ์ ารม์ กบ จงั หวัดชลบุรี ขอบเขตของตัวแปรทีศ่ ึกษา ตัวแปรต้นคือขั้นตอนการจดั การฟาร์มเพาะเลีย้ งตัวแปรตามคอื อัตรา การติดเช้อื แบคทเี รียในพนื้ ทเ่ี พาะเลย้ี งกบ ประโยชน์ท่ีคาดวา่ จะไดร้ ับ 1.ลดการระบาทของเชอ้ื Mycobacterium spp. ในฟาร์มเพาะเลีย้ งกบ 2.ทำให้ทราบถึงวิธกี ารจัดการฟาร์มในการแกไ้ ขปญั หาการระบาดของเช้ือ Mycobacterium spp. 3.เปน็ แนวทางในการช่วยอนรุ กั ษพ์ นั ธุ์กบ 4.ทำให้เกดิ ความปลอดภยั ต่อชีวติ สำหรับผู้ทม่ี คี วามเกีย่ วข้องต่อกิจกรรมการเพาะเลี้ยงกบ 5.เพ่ิมขดี ความสามารถในการแข่งขันด้านการเพาะเลี้ยงกบ

3 บทที่ 2 การทบทวนวรรณกรรม กบ สตั ว์สะเทนิ น้ำสะเทนิ บก สัตว์สะเทินน้ำสะเทินบก (amphibians) เป็นสัตว์ที่มีกระดูกสันหลังพวกแรกที่มีวิวัฒนาการ เพื่อ อาศัยอยบู่ นบก และสัตว์ทเี่ ป็นตวั เชอ่ื มระหว่างสตั ว์ที่อาศัยอยู่ในนํ้า (water dwelling animals) กับสัตว์ท่ี อาศัยอยู่บนบก (land dwelling animals) ทำให้วงจรชีวิตของสัตว์กลุ่มนี้ช่วงหนึ่งอาศัยอยู่ในนํ้าและอีก ช่วงหนึ่งอาศัยอยู่บนบก คำว่า amphibians จึงมีความหมายว่า มีชีวิตอยู่ได้ทั้งสอง แบบทั้งบนบกและใน น้ำสัตว์กลุ่มน้ีมีรยางค์ 2 คู่ ใช่ในการเคลื่อนท่ีมีปุ่มท่ีฐานกะโหลก 2 ปุ่ม และ มีกระดูกก้นกบเพียงชิ้นเดียว จัดเป็นสัตว์เลือดเย็น เช่นเดียวกับสัตว์เลื้อยคลานและปลา โดยอุณหภูมิของร่างกายเปลี่ยนแปลงไปตาม อุณหภูมิของสิ่งแวดล้อม ผิวหนังไม่มีขนหรือเกล็ดปกคลุม แต่เต็มไปด้วยเส้นเลือดฝอยและต่อมเมือก ซ่งึ เปน็ ประโยชนต์ อ่ การหายใจและการแลกเปลย่ี นกา๊ ซ บางชนิดมีตอ่ มพษิ ทีผ่ ิวหนัง (ถาวร สุภาพพรม; และ คนอื่นๆ. 2538) ความชุ่มชื้นของผิวหนังที่มี หน้าที่จับกับก๊าซออกซิเจนในอากาศหรือในนํ้าสำหรับหายใจ (Zug.1993 and Leutscher.1963) กบนา เป็นกบที่อยู่ใน Kingdom: Animalia Phylum: Chordata Class: Amphibia Order: Anura, Family: Ranidae Genus: Rana และ species: Hoplobatrachus rugulosus ซึ้งลักษณะ เดน่ ของ กบนาคอื มตี ัวขนาดใหญ่ ขาคอ่ นขา้ งส้นั รมิ ฝีปากล่างสขี าว คางและลำคอมีแถบสีนำ้ ตาลเขม้ ส่วน ลักษณะทั่วไปคือ หัวกว้างมากกว่าความยาวเยื้อแก้วหูมีขนาดใหญ่มองเห็นชัดเจน มีขนาดความกว้าง เท่ากับความกว้างของตามีสันจากขอบตาทอดไปท่ีด้านบนของขอบหกู บตัวผู้มีถงุ ลม สำหรับขยายเสียงร้อง 2 ถุง ช่องเปิดจมูกอยู่ใกล้ปลายสุดของหัวมากกว่าใกล้ตา สีบนหัวด้านหลัง และด้านข้างลำตัวมีสีน้ำตาล คล้ำ ลำตวั และขามีแถบสดี ำเป็นลายตามขวาง ใต้คางใต้ทอ้ งสขี าวครีม สแี ละลายของกบแต่ละตวั จะมีความ แตกต่างกัน นิ้วมอื และนว้ิ เท้าพองออก ฝ่ามอื และฝา่ เท้ามสี ีด่า ดา้ นขา้ งและดา้ นหน้าของต้นขาส่วนปลายมี สีเหลอื งครีม ดา้ นหลังของต้นขาจะมีจุดสีดำกระจายอยทู่ ัว่ (วฒั นา โฆษิตานนท์.2527 )

4 ชวี วิทยาของกบนา ประวตั แิ ละความเป็นมา กบนา Hoplobatrachus rugulosus เป็นสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำชนิดหนึ่ง ในวงศ์กบนา (Ranidae) ลำดับอนกุ รมวธิ านของกบนาถูกจัดอันดบั ทางอนุกรมวธิ านไวด้ ังน้ี (Wiegmann, 1834) Phylum : Chordata Class : Amphibia Order : Anura Family : Ranidae Genus : Hoplobatrachus Species : H. rugulosus กบ (Hoplobatrachus rugulosus) เปน็ สัตวค์ ร่งึ บกครงึ่ นำ้ ลำตัวคอ่ นข้างกลมรี มีขา 2 คู่ คหู่ น้า ส้นั คู่หลงั ยาว หวั มสี ว่ นกว้างมากกวา่ ความยาวจะงอยปากสั้นทู่ จมูกต้ังอยู่บริเวณโคง้ ตอนปลายของจะงอย ปาก นัยน์ตาโต และมีหนังตาปิดเปิดได้ ปากกว้างมีฟันเป็นแผ่น ๆ อยู่บนกระดูกเพดาน ตัวผู้มีกล่องเสียง อยู่ใต้คางและจะมีขนาดเล็กกว่าตัวเมีย ขาคู่สั้นมีนิ้ว 4 นิ้ว ปลายนิ้วเป็นตุ่มกลม ขาคู่หลังยาวมี 5 น้ิว ระหว่างนิ้วมีหนังเป็นพังผืด ผิวมีสีน้ำตาลปนเขียว อาจจะแตกต่างกันบ้างตามแหล่งที่อยู่อาศัย ลักษณะ โดยท่ัวไปสังเกตได้คือ ขาหน้าสั้นอยู่ระหว่างไหล่กับตา ปุ่มกระดูกเท้าล่างไม่แหลมคม มีสีคล้า และมีลา ย พาดสจี างๆ (สมพงษ,์ 2553) ลกั ษณะทว่ั ไปของกบนา ลักษณะทางสัณฐานวิทยาและกายวิภาคของกบนา (กัมพล อิศรางกรู ณ อยุธยา; และคน อื่นๆ. 2532) มีดังนี้คือ ด้านหลังส่วนใหญ่มีสีเขียวจุดด่าอยู่ทั่วไป ผิวหนังด้านท้องมีสีขาวและขาว อมเหลือง หัว สั้นรูปทรงสามเหลี่ยมที่มีสว่ นสูงเกอื บเท่าสว่ นฐาน ความกว้างของหนงั ตาบนเท่ากบั

5 ระยะห่างระหว่างรูจมูกและเท่ากับระยะห่างระหว่างรูจมูกถึงริมฝีปาก ใต้คางจะมีจุดสีดำและเส้นดำ ตรง กึ่งกลาง บางตัวอาจจะไม่มีและที่ขากรรไกรมีแถบขาวดำ ช่วงขาหลังยาวเป็นหนึ่ง เท่าครึ่งของ ช่วงลำตัวและ ยาวเปน็ 2 เท่าของขาหน้า กบนาจะมีอวัยวะต่างๆ ภายนอกทีม่ สี ัดส่วนสัมพันธก์ ับ น้ำหนกั ตัว กบเพศเมียท่ีโต เต็มวัยจะมีนํ้าหนักมากกว่ากบเพศผู้ที่โตเต็มวยั ประมาณ 2 เท่า เพศผู้ ที่มีขนาดโตเต็มวัยจะเห็นถุงลม (vocal sac) เป็นหนังย่นสีคล้ำอยู่ใต้คางทั้ง 2 ข้าง กบนาที่พบ ทั่วไปจะมีลักษณะที่ปรับตัวให้เข้ากับธรรมชาติได้ เหมาะสมและมีการผสมพนั ธว์ุ า่ งไขใ่ นต้นฤดูฝน (พฤษภาคม- กรกฎาคม) กบนาเป็นกบขนาดกลาง เมื่อโตเต็มที่มีน้ำหนักประมาณ 160 - 170 กรัม ผิวสีน้ำตาลปน ดำ มีแถบสีดำคาด เปน็ ตอน ๆ ประมาณ 10 แถวบนสว่ นหลัง ขอบในของดวงตาแคบกว่าเปลอื กตา บนด้านหน้าและด้านหนา้ หลัง ของขามีสีนำ้ ตาล และมีลายพาดขวาง สีนำ้ ตาล บริเวณใต้คางมจี ุด สเี ทากระจายอยทู่ ่วั ไป ขาหนา้ และขาหลังมี ขนาดยาวปานกลาง มีแผ่นหนงั เช่ือมระหวา่ งน้วิ เกือบ ถึงสดุ ปลายน้วิ ปลายนวิ้ เทา้ โป่งออกเป็นตุ่มขนาดเล็ก ไม่ มีกระลกู ฝา่ เท้า (สุภาพร อารกี จิ . 2540) กบนาเป็นสัตว์ที่มีกระดูกสันหลังกลุ่มแรกที่มีวิวัฒนาการมาจากปลาร่างกายของกบแบ่งเป็น 2 ส่วน ใหญ่ (ผุสตี ปริยานนท์; และคนอื่นๆ. 2535) คือ ส่วนหัวและส่วนลำตัว โดยส่วน หัวติดกับลำตัวไม่มีคอ ประกอบด้วยปากซึ่งมีขากรรไกรบนและล่าง และมีฟันซี่เล็ก ๆ ที่ขากรรไกรบน และด้านหน้าของเพดานปาก เพื่อป้องกันไม่ให้เยื่อหรืออาหารหลุดออกจากปาก มีลิ้นแบนใหญ่ ท่ีพื้นของช่องปากซึ่งมีตุ่มรับรสและเมือก เหนยี ว ส่วนของตาค่อนข้างโตโปนและมองเห็นได้ดใี นที่มดื หกู บมี 2 ส่วน คอื หูสว่ นกลางและหสู ว่ นใน มีจมูก 2 รูอยู่เหนือบริเวณปาก สามารถปิดเปิดให้ อากาศภายนอกผ่านเข้าสู่ปากได้ และภายในรจู มกู มีอวัยวะในการ ทำหน้าที่รับกลิน่ ส่วนลำตัวมี ลักษณะพองออก บริเวณท้องกว้างโดยเฉพาะกบเพศเมีย ขณะที่กบเพศผู้มักจะ คอดเล็ก โดยที่ เพศผู้มีขาหรือรยางค์ 2 คู่ ขาคู่หน้าสั้นมี 4 นิ้วมีตุ่มเล็กๆ ด้านใน และที่ด้านในของนิ้วจะมีตุ่ม ขนาดใหญ่เพ่อื ในการจบั เพศเมยี ขณะผสมพนั ธ์ุ ขาหลงั มนี ้วิ 5 นวิ้ มแี ผน่ หนงั บางๆ เช่อื มต่อกัน ระหว่างน้วิ เพ่ือ ใช้ในการวา่ ยนำ้ ผิวหนงั กบมีลักษณะบางอ่อนนมุ่ ชน้ั ลา่ งช่วยในการหายใจ และ ดดู ซมึ นำ้ โดยผิวหนงั ช้ันนอกมี เมด็ รงควตั ถกุ ระจายอยู่ทว่ั ไปซงึ่ มรี ะบบประสาทอัตโนมัตแิ ละต่อมใตส้ มองเป็นตวั ควบคุมการเปลยี่ นสผี ิว ลำตัว กบเป็นสีต่างๆ โดยทั่วไปมีสีเหลืองปนแดง น้ำเงิน- เทา, น้ำตาล-ดำ กบหายใจได้ 2 วิธี คือ ทางผิวหนัง โดย บริเวณผิวหนังของกบจะชุ่มชื้นและมีเส้น เลือดฝอยจำนวนมากซึ่งช่วยในการแลกเปลี่ยนก๊าซและปอดซึ่งมี ลักษณะเป็นถุงบางหยุ่นคล้ายฟองน้ำอยู่ 2 ข้างของหัวใจและมีทางติดต่อกับช่องปากและรูจมูกของ ส่วนหัว ส่วนระบบอื่นๆ ได้แก่ ระบบหมุนเวียนเลือด ระบบโครงกระดูก ระบบประสาท คล้ายคลึงกับสัตว์ที่อยู่ในกลมุ่ เดยี วกัน ทศพร วงศ์รัตน์. (2534) ได้รายงานเกี่ยวกับลักษณะทางสรีรวิทยา ที่มีผลต่อการปรับตัว และการ ดำรงชีวิตของกบในสภาพแวดล้อมไว้ดังนี้ คือ กบเป็นสัตว์มีกระดูกลันหลังที่จัดว่ามีขนาด เล็กที่สุดซึ่งถูก เรียกวา่ พวกสะเทินน้ำสะเทนิ บก หรอื Amphibian กบมหี วั ใจ 3 หอ้ ง โดยหอ้ งบน ขวาจะแยกรับเลอื ดดำที่มา จากส่วนต่าง ๆ ทั่วร่างกายและห้องบนซ้ายรับเลือดแดงจากปอด เลือด จะมาร่วมกันในห้องล่างซ้ายซึ่งมีห้อง เดียวแล้วส่งไปทั่วร่างกาย ดังนั้น กบจึงต้องการออกซิเจนผ่านเข้าผิวหนังเป็นจำนวนมาก และนำเอาของเสีย

6 คือก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ออกทางผิวหนัง พวกนี้ ยังคงอาศัยอยู่ในน้ำมากกวา่ บนบกเพราะจะทนการระเหย ของน้ำทางผิงหนังไม่ได้มากผิวหนังจะบาง มาก เพราะต้องใช้ในการหายใจจึงมีคุณสมบัติของการซึมเข้าออก (permeability) ของกา๊ ซและ ความชน้ื ไดด้ ี แต่ขณะออกหากินหรือเคล่ือนไหวหรืออยู่ในน้ำจะใช้ปอดเป็นส่วน ใหญ่ เมอ่ื อยบู่ นบก จะใช้ผวิ หนังและเย่ือในปากเท่านั้น เพอื่ ลดการทำงานของกล้ามเนื้อซ่ึงต้องใช้พลังงานมาก และมี ส่วนของปอดช่วยในการถ่ายเทความร้อน มีส่วนของตาอยู่มุมห่างกัน 2 ข้างของหัวทำให้มองเห็น ภาพ ต่างกันและเกิดปัญหาในการเพ่งมองการที่กบจำเป็นต้องอยู่อาศัยอย่างจำกัดและจำเป็นต้องอยู่ในที่ชื้นแฉะมี รม่ เงา เพื่อให้เกิดการทดแทนของน้ำที่ระเหยออกจากร่างกายประมาณ 1 ใน 4 ของน้ำหนักตัวในแต่ละวัน และอัตราการเผาผลาญอาหารของร่างกายสัตว์พวกนี้ช้าหรือ ตํ่ากว่า สัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนมและนกซึ่งเป็น สตั วเ์ ลือดอนุ่ ประมาณ 18-80 เทา่ การพฒั นาตัวออ่ นจนถงึ ตวั เต็มวยั ของกบ ลักษณะการพัฒนาคัพภะ กบนา (เต็มดวง สมคิริ; และคนอื่นๆ. 2538) มีดังนี้ คือ ไข่กบจะ ได้รับการ ผสมโดยกบเพศเมียจะปล่อยไข่ออกมาทางช่องทวาร และกบเพศผู้จะปล่อยน้ำเชื้อออกมา ผสมกับไข่กบที่อยู่ ในน้ำนอกร่างกาย ซึ่งเป็นการผสมแบบภายนอก (external fertilization) ไข่กบ เป็นไข่จมติดกับวัสดุ และไข่ ที่ได้รับการผสมกับน้ำเชื้อจะมีลักษณะกลมโดยไข่แต่ละฟองมีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 1-2 มิลลิเมตร มีส่วนท่ี เป็นรงควัตถุสีน้ำตาลเข้ม ครึ่งด้านบนของไข่เรียกว่า animal pole ส่วนครึ่งด้านล่างมีสีเหลืองจาง เรียกว่า vegetal pole รอบนอกไข่มีสารที่มีลักษณะ คล้ายวุ้นหุ้มอยู่โดยรอบ เรียกว่า albumen มีไข่แดงปานกลาง 2.3-5.0 มิลลิเมตร เมื่อไข่ถูกน้ำเชื้อ ไข่จะพองชื้นหลายเท่าหรือเพ่ิมชืน้ 1-1.5 เท่าของไข่ที่ยังไม่ได้รับการผสม ไข่จะเกดิ การแบ่งเซลล์ แบบตลอดทงั้ ใบ (holoblastic cleavage) ไข่จะมกี ารเปลี่ยนแปลงรูปรา่ งจากทรงกลม ไปเป็นรูป ไข่ยาวชื้นตามลำดับ ใช้เวลาในการพัฒนาแบ่งเซลล์และเนื้อเยื่อเป็นตัวอ่อนประมาณ 18-28 ชม. ที่ อุณหภูมิของน้ำ 28-30 องศาเซลเซียส และหลังจากไข่ได้รับการผสมแล้วเป็นเวลาประมาณ 3 วัน ตัวอ่อนจะ ออกจากถุงที่หุ้มตัวเกิดเป็นลูกอ๊อด และจะใช้อวัยวะเกาะดูด (sucker) เกาะพักนิ่งอยู่กับ ใบไม้หรือพืชน้ำ จากนน้ั จะเริม่ หายใจและวา่ ยน้ำไดด้ ีชึ้น ระยะเมทามอโฟซิส (metamorphosis) ลูกอ๊อดจะเจริญเติบโตและอาศัยอยู่ในน้ำระยะหนึง่ จนกระ ทั้งมีลำตัวค่อนข้างกลม หางยาว ว่ายน้ำรวดเร็ว จะมีขาคู่หลังงอกออกมาข้าง ๆ ทวารหนัก ข้างละ 1 ขา การ เปลี่ยนแปลงเกิดชึ้นในระยะเวลา 20-23 วัน และขาคู่หน้าจะเจริญออกมาพร้อมๆ กัน แต่ไม่สามารถมองเห็น ได้ ซึ่งจะปรากฏให้เห็นเมื่อขาคู่หลังเจริญเต็มทีใช้เวลา 27-30 วัน หลังจากไข่ได้รับการผสม โดยระยะนี้ปอด ของลูกอ๊อดเริ่มทำงาน ดังนั้น ลูกกบจึงหายใจทั้งทาง ปอดและทางเหงือก ลูกอ๊อดโผล่มาหายใจเหนือผิวน้ำ บ่อยๆ เหงือกจะค่อยๆ หายไป มีนัยน์ตา ขนาดใหญ่ชึ้นทางเดินอาหารเจริญชึ้นมากพร้อมหางหดสั้นเข้าและ หายไปหมดลกู กบระยะน้เี รยี กว่า ตวั สำเร็จรวมระยะเวลาต้งั แต่ไขผ่ สมกับนำ้ เชื้อจนกระทั้งเป็นตวั สำเรจ็ ใช้เวลา ประมาณ 30-45 วัน

7 การเจรญิ พันธุข์ องกบนา ธีรวรรณ รัศมีทัต; และคนอื่นๆ. (253 ) ได้รายงานผลการศกึ ษาตัวอยา่ งกบนาทีเ่ ลี้ยงใน ฟาร์ม พบวา่ ความยาวลำตัวของกบนาเพศผู้ที่มีอายุ 6, 12, 18 และ 24 เดือนไม่แตกต่างกัน แต่มีน้ำหนักแตกต่างกัน โดยนํ้าหนักจะเพิ่มขึ้นเมื่ออายุเพิ่มขึ้นตามลำดับ นํ้าหนักและขนาดของอัณฑะ จะเพิ่มขึ้นตามอายุที่เพิ่มข้ึน เช่นกัน แต่กบเพศเมียที่มีอายุ 6 และ 12 เดือน มีความยาวลำตัวไม่แตกต่างกัน ขณะที่นํ้าหนักของรังไข่ แตกต่างกนั ทุกกลมุ่ อายุ คอื มนี ํ้าหนักเพ่ิมขน้ึ ตามอายุทเ่ี พ่ิมขึ้น ซึง่ กบนาเพศผูท้ พ่ี ร้อมจะผสมพันธ์ุได้ควรมีอายุ ตัง้ แต่อายุ 6 เดอื นขึน้ ไป ซึ่งอณั ฑะมกี ารสรา้ งอสจุ ิ แลว้ โดยลักษณะภายนอกจะเห็นถุงลม (vocal sac) เปน็ ถงุ ดำใต้คางได้ชัดเจน หรือควรมี น้ำหนักอย่างน้อย 88.0 ± 18.7 กรัม ส่วนรังไข่ของกบนาเพศเมียอายุ 6 เดือน จะพบ follicle ขนาดเล็กจำนวนมาก และเมื่ออายุมากขึน้ จะพบ follicle ขนาดใหญ่ขึ้นตามลำดบั นั่นคือ กบ เพศเมียที่เหมาะสมจะนำมาใช้ในการผสมพันธุ์ควรมีอายุมากกว่า 18 เดือนหรือมีน้ำหนักอย่างน้อย 151.1±29.1 กรัม อาหารเปน็ ปัจจยั ท่มี ีความสำคญั ตอ่ การเจรญิ พันธุ์ของกบ เขน่ กัน ศภุ ชัย ชาติวรกุล. (2537) กลา่ ววา่ แมพ่ ันธก์ุ บนาที่พร้อมจะผสมพันธุ์ ลักษณะของท้องจะ อูมผิวหนัง ตึงและใส จะสังเกตเห็นเส้นเลือดใต้ผิวหนังไดอ้ ย่างชัดเจน ด้านข้างของลำตัวมีลักษณะ เป็นเม็ดหยาบจบั ดูจะ รู้สึกสากมือ ส่วนกบพ่อพันธุ์กบนาที่พร้อมจะผสมพันธุ์นั้น สังเกตที่บริเวณขา ด้านหน้าจะมีปุ่มหยาบๆ ที่จะ ช่วยในการยึดเกาะแม่พันธุ์ อวัยวะสืบพันธุ์จะมีการเปลี่ยนแปลงอย่าง เป็นช่วง ๆ คือ ช่วงที่มีการจำศีลมีการ เปลี่ยนแปลงน้อยมาก อุณหภูมิที่ตํ่าลงเป็นปัจจัยที่สำคัญ ที่เป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลง และอาหารก็มี ความสำคัญต่ออวัยวะสืบพันธุ์เพราะตอ้ งมีการพัฒนาระบบอวัยวะสืบพันธุก์ ่อนถึงฤดูกาลผสมพันธ์ุ ในกบนาที่ สมบูรณ์ดีแล้วจะผลิตและสร้างเซลล์ สืบพันธุ์โดยมีอวัยวะสืบพันธุ์ที่เจริญเติบโตอย่างรวดเร็วซึ่งระบบสืบพันธุ์ เพศผปู้ ระกอบดว้ ยกลีบมัน ไต ทอ่ ไต และอณั ฑะ สว่ นระบบสบื พันธเ์ุ พศเมยี ประกอบดว้ ย รงั ไข่ ไต ต่อมหมวก ไต มดลกู และท่อนำไข่ การแพร่กระจายของกบนา กบนา เป็นกลมุ่ ท่รี ู้จักดีท่ีสุดของกลุ่มซาเลียนเทีย (Salientia) ทม่ี อี ยูใ่ นประเทศไทยกบนาอาจมีการ แพร่กระจายในท้องถิ่นแถบที่มีพื้นที่ล้อมรอบด้วยน้ำบางส่วน (peninsula)โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริเวณเขต ประเทศไทยมากกว่าทางใต้ลงไปจากแถบดังกล่าวและยังจะพบว่ากบนาที่เป็น Subspecies Pantherina ถูก พบได้ตั้งแต่ประเทศพม่า ไทยจนถึงอินโดจีน น่าจะเป็น ผลจากการนำกบเข้าไปเลี้ยง ซึ่งอาจจะไม่ได้เป็นกบท่ี นำมาแพรก่ ระจายอยู่ตามธรรมชาตขิ องท้องท่ี แถบดังกลา่ ว เทเลอร.์ (Tayler. 1962)ในประเทศไทยกบนาเป็น กบท้องถิ่นที่มีลักษณะพิเศษ พบ ได้ตามทุ่งนาแทบทุกจังหวัดของประเทศ มีชุกชุมและหาง่ายในฤดูฝน (พฤษภาคม-ตุลาคม) และ ชอบอยูใ่ นท่ีร่มแสงแดดไม่จัด โดยอาศัยอยู่ตามกอหญ้าริมสระ และบริเวณที่มีน้ําขัง หรอื แอง่ นำ้ ตาม ธรรมชาติ ในฤดูหนาวหรือฤดแู ลง้ (พฤศจกิ ายน-เมษายน) กบจะจำศีลอยนู่ ่ิง และหลบซ่อนอยู่ ใน หลมุ หรือโพลงไม้ใต้ดิน (ผสุ ดี ปริยานนท์; และคนอ่นื ๆ. 2528)

8 ขนาดของกบนา จากการศึกษาตัวอยา่ งกบนาธรรมชาติในเขตภาคกลาง โดย กัมพล อศิ รางกูร ณ อยธุ ยา; และคนอืน่ ๆ. (2532) พบว่า กบนาเป็นกบขนาดกลาง ที่มีความยาวลำตัวเฉลี่ยจากริมปากถึง ทวาร 92.76 มิลลิเมตร และ ยาวสงู สุด 150 มลิ ลิเมตร น้ำหนักเฉลย่ี 99.6 กรมั โดยขนาดเลก็ -ใหญ่ สดุ มคี ่าน้ําหนักอยรู่ ะหวา่ ง 5-448 กรัม เพศเมียมีขนาดและนํ้าหนักมากกว่าเพศผู้ และกบเพศเมีย ในจังหวัดอ่างทองมีขนาดใหญ่มากหนัก 448 กรัม ซึ่งมากกว่ากบภูเขาที่พบในจังหวัดแม่ฮ่องสอน ขาหลังเป็นส่วนที่มีนํ้าหนักมากที่สุด 16.37 กรัม ซึ่งมีนํ้าหนัก มากกว่าขาหน้า (3.34 กรมั ) 5 เท่า โดยขาหลงั เป็นส่วนท่ีมีนํ้าหนักของเนื้อโคนขา 8.43 กรัม และเป็นน้ำหนัก เน้ือนอ่ ง 3.01 กรัม การแยกเพศกบ โดยทั่วไปกบเพศผู้มีขนาดเล็กกว่าเพศเมียแต่เพศผู้มีกล่องเสียง (external vocal sac) อยู่ ใต้คาง และมีสีเหลืองเข้ม-ส้มจางในช่วงฤดูผสมพันธุ์ การแยกเพศกบที่มีขนาดใกล้เคียงกันหรือกบ ที่ยังไม่โตเต็มวัย คือ ความกว้างของหัว ระยะห่างระหว่างตาและแผ่นหูในเพศเมียจะกว้างหรือห่างกว่าในเพศผู้ (กัมพล อิศราง กรู ณ อยธุ ยา; และคนอ่นื ๆ. 2532) การกินอาหารของกบ จากพฤติกรรมการกินอาหารและชนิดของอาหารที่มีความแตกต่างกันระหว่างระยะลูกอ๊อด และตัว เตม็ วยั ทำใหน้ อกจากจะมลี กั ษณะโครงสรา้ งปากแตกต่างกนั แล้ว ระบบทางเดนิ อาหารก็มี ลักษณะแตกตา่ งกัน ด้วย โดยเริ่มมีลักษณะการเปลี่ยนแปลงลักษณะท่อทางเดินอาหารจากของระยะ ลูกอ๊อดไปเป็นของในตัวเต็ม วยั เม่อื มีการเจรญิ ของตุ่มขาหลัง (limb bud) โยโกยามา; และคนอน่ื ๆ. (Yogoyama et al. 1998) สว่ นฮูดาย; และคนอ่นื ๆ. (Hourdry et al. 1996) ทำการศึกษาการ เปล่ยี นแปลงทอ่ ทางเดินอาหารและพฤติกรรมการกิน อาหารของสัตว์สะเทินน้ำสะเทินบกระหว่างการเปลี่ยนรูปร่าง พบว่า ลำไส้มีการเปลี่ยนแปลงอย่างมาก โดย ช่วงแรกของ การเปลี่ยนรปู ร่าง จะ มีความยาวมากและมีลักษณะขดเป็นวง จากนั้นในช่วงขั้นตอนสดุ ท้ายของ การเปลี่ยนรูปร่างจะหด สั้นลงอย่างมากและไม่ขดเป็นวงอีก รวมทั้งมีการเปลี่ยนแปลงเยื่อบุผิวลำไส้ ส่วน กระเพาะอาหาร และกล้ามเนื้อผนังกระเพาะ จะมีการเจริญมากขึ้น มีการพัฒนาต่อมผลิตน้ำย่อย เนื่องจาก เยือ่ บผุ วิ ของลำไสเ้ พื่อการดูดซึมสารอาหารยังไม่พฒั นาสมบูรณ์ ตอ้ งมีการปรับตัวให้มีการสร้างเอนไซม์ ได้แก่ ทริปชิน (trysin) จากตับอ่อน เปปชิน (pepsin) และไคติเนส (chitinase) จากกระเพาะอาหารเพื่อใช้ในการ ย่อยอาหารประเภทเนื้อสัตว์หรือแมลง ทำให้ช่วงขั้นตอนสุดท้ายของการเปลี่ยน รูปร่างจนกระทั้งเป็นกบวัย อ่อนจะหยุดกินอาหาร นอกจากนั้นใน ช่วงนี้ยังมีการพัฒนาส่วนของลิ้น ขึ้นมา นิชิกาวา; และคนอื่น ๆ. (Nishikawa et al. 1991) อีกประการหนึ่งคือการปรบั ปรงุ ในเร่ือง การรับภาพเพื่อการจับแมลง แก๊ซ; และคน อืน่ ๆ. (Gaze et al. 1974) อัตราการกินอาหารและปริมาณพลังงานที่กินโดยกบนาเมื่อได้รับอาหารระดับโปรตีนต่างกัน แม้ว่ามี ค่าไมแ่ ตกตา่ งกนั ทางสถิติแต่จะส่งผลให้ค่าปริมาณโปรตนี ท่กี ินมคี ่าแตกตา่ งกนั ทางสถิติกลา่ วคือ กบที่เลี้ยงด้วย อาหารโปรตนี ร้อยละ 30 กนิ โปรตนี นอ้ ยทสี่ ุด และน้อยกว่าอย่างมีนัยสำคญั ทางสถิติจากกบที่เล้ียงด้วยอาหาร

9 โปรตนี รอ้ ยละ 35, 40 และ 45 ตามลำดับ แสดงให้เห็นว่ากบทเี่ ล้ียงดว้ ย อาหารโปรตีนต่ําแม้ว่าจะกินปริมาณ พลังงานในอาหารเขา้ ไปมากพอแตป่ ริมาณโปรตีนตํ่าและไม่เพียงพอจึงส่งผลให้การเจริญเติบโตด้อยกว่ากบนา ทีไ่ ดร้ ับโปรตนี สงู ขึน้ อาจเป็นผลจากความจำกัดของกรดอะมโิ นท่ีจำเปน็ บางตวั ในอาหารระดับโปรตนี ตํ่า ซึ่งเปน็ ขอ้ จำกัดทำให้การสร้างโปรตนี เพื่อการเจริญเตบิ โตน้อยตามไปด้วยท้งั ๆ ที่กบนาสามารถนำโปรตีนในอาหารที่ มีโปรตีนตํ่าไปสะสม ในตัวมากกว่าอาหารโปรตนี สูง วลิ สนั ; และคนอื่นๆ. (Wilson et al. 1986) ค่าอัตราการเปลี่ยนอาหารเป็นเนื้อ และค่าประสิทธิภาพของโปรตีนในอาหาร จะให้ผลใน แนวทาง เดยี วกันคอื อาหารที่มรี ะดบั โปรตีนสูงสง่ ผลให้ค่าของอัตราการเปลี่ยนอาหารเป็นเนื้อและค่าประสิทธิภาพของ โปรตีนในอาหารดีขึ้นกล่าวคืออาหารที่มีระดับโปรตีนร้อยละ 40 ทำให้การใช้ประโยชน์ จากอาหารได้มี ประสทิ ธภิ าพดที ่ีสุด จากคา่ อตั ราแลกเนื้อทต่ี ่ําสดุ และค่าประสิทธภิ าพโปรตีนสูงแต่ เมื่อระดับโปรตีนสูงข้ึนเกิน ระดับที่เหมาะสมส่งผลให้ค่าอัตราการเปลี่ยนอาหารเป็นเนื้อ และค่าประสิทธิภาพของโปรตีน มีแนวโน้มด้อย ลงเชน่ เดียวกันกับท่ีมกี ารศึกษาในปลาช่อน วิลสนั ; และคน อื่นๆ. (Wilson et al. 1986) สูตรอาหารที่ทำให้กบนามีอตั ราการเจริญเตบิ โตได้ดนี ั้น ควรที่จะมีปริมาณโปรตีนในอาหารถงึ ร้อยละ 40 และ ปริมาณอาหารที่กบต้องการในแต่ละครั้งนั้น จะต้องมีปริมาณถึงร้อยละ 10 ของน้ำหนักตัว ของกบอย่างไรก็ ตามยังพบว่า เมื่อกบนาได้รับอาหารท่ีมีโปรตนี สูงถึงรอ้ ยละ 45 จะส่งผลให้ค่าการเจริญเติบโตของกบนาลดลง ทั้งนี้อาจจะเป็นผลเนื่องมาจากกบต้องสูญเสียพลังงานส่วนหนึ่งในการ จำกัดกรดอะมิโนส่วนเกินออกจาก ร่างกาย ทำให้สญู เสยี พลังงานส่วนทส่ี ามารถนำไปใช้ (สุชาติ อปุ กัมภ.์ 2538) ปัจจัยทม่ี ผี ลตอ่ การเลี้ยงกบ สภาพแวดล้อมได้แก่ ความหนาแน่น สารอาหาร อุณหภูมิ อาจเป็นปัจจัยที่มีอิทธิพล ต่อการ เจริญเติบโตของลูกกบ โมฮานตี; และคนอน่ื ๆ. (Mohanty et al. 1968) โดยพบวา่ ลูกออ๊ ดที่ รวบรวมมาเล้ียง ในห้องปฏิบัติการกึ่งธรรมชาติเปรียบเทียบกับที่เลี้ยงภายใต้สภาวะธรรมชาติ พบว่า อัตราการเจริญเติบโต สูงสุดของน้ำหนักและความยาวก่อนมีการเปลี่ยนรูปร่าง จากลูกอ๊อดเป็นลูกกบ ไม่ต่างกัน ขณะที่ช่วงที่มีการ เปลี่ยนแปลงรูปร่างจากลูกอ๊อดเป็นลูกกบ มีผลทำให้น้ำหนักหายไปร้อยละ 32 และความยาวหายไปร้อยละ 67 และลูกอ๊อดจากแหล่งน้ำธรรมชาติ จะมีขนาดโตกว่าท่ีเล้ยี งใน ห้องปฏบิ ัติการ ที่อย่ใู นระยะเดียวกนั ซ่งึ อาจ เป็นผลมาจากความหนาแน่น สารอาหาร อุณหภูมิ หรือปัจจัยอื่น อันที่มีผลต่อการเจรญิ เตบิ โต แม้ว่าจะมีการ กินกันเองของ ลูกอ๊อดก่อนช่วงการ เปลี่ยนแปลงรูปร่างแต่ไม่พบว่าเป็นพวกกินเนื้อสัตว์อย่างแท้จริง คุณภาพ และลกั ษณะทางกายภาพของวัสดุ ในการผลิตอาหารควรมีคุณภาพทสี่ มํา่ เสมอ เน่ืองจากหากมคี ุณภาพบางประการท่เี ปลย่ี นไป เช่น กลน่ิ ความอ่อนแข็ง หรือความยดื หยุน่ ตา่ งกนั กบจะไม่กิน อาหารทำให้ การเจริญเติบโตชะงักลงได้ และอาหารที่เตรียมไว้ใช้เลี้ยง หากฝึกกบให้กินตั้งแต่เล็กๆ จะหมด ปัญหาในการหาอาหารที่เคลื่อนที่ได้แต่ในช่วงแรกจะมีปัญหาบ้างคือ ลูกกบไม่กินอาหารหรือกินน้อยมาก แต่ เมื่อลูกกบหิวมากๆ ก็จะกินกันเอง การฝึกลูกกบที่หางหด เกือบหมดให้กินอาหารในสภาพนิ่งจะค่อนข้างยาก แต่ถ้าลูกกบโตขนาด 1.5 ซม. หรือ 2 ซม. จะ ฟักได้ง่ายขึ้น หลังจากที่ลูกกบมีอายุได้ 1 เดือน จะมีความยาว ตั้งแต่ 1 นิ้วขึ้นไป ต้องมีการคัด ขนาดเพื่อต้องการไม่ให้กบรังแกและกินกันเอง (วิทย์ ธารชลานุกิจ. 2529 )

10 นอกจากน้ี คณุ ภาพ ของอาหารทางด้านกายภาพสำหรับเลย้ี งกบ ควรคำนึงถึงมากกว่าอาหารกงุ้ และปลา ทั้งน้ี เนื่องจาก ลักษณะนิสัยการมองเห็นของกบที่แตกต่างกันออกไป โดยสีที่กระตุ้นการกินอาหารของกบที่ดีที่สุด ควรเป็น สคี ่อนขา้ งแดงและเปน็ สีทส่ี ะท้อนแสงได้ ขนาดของเมด็ ของอาหารต้องให้พอดีกบั ขนาด ของลำคอกบ (รณชยั หมอด.ี 2536 ) อนุวัติ อุปนนไชย และคณะ ได้ศึกษาการเลี้ยงกบนาในบอซีเมนต์ด้วยอัตราความหนาแนนท่ีแตกตาง กันผลการทดลองพบวา ชวงอายุการเลี้ยงที่ 1 คือ กบนาอายุ 50 วัน ถึง 80 วัน กบนาที่เลี้ยงดวยอัตราความ หนาแนน 25 ตัว/ตารางเมตร มีนํ้าหนักเฉลี่ยสุดทาย ความยาวเฉลี่ยสุดทาย นํ้าหนักเพิ่มตอวัน อัตราการ เจรญิ เตบิ โตจาํ เพาะ และอัตรารอดตายมากกว่าทุกชุดการทดลองอยางมีนยั สําคัญทางสถิติ (p<0.05) ช่วงอายุ การเลี้ยงที่ 2 คือ กบนาท่ีเลี้ยงด้วยอัตราความหนาแนน 15 ตัว/ตารางเมตร มีนํ้าหนักเฉลี่ยสุดทาย ความยาว เฉลีย่ สดุ ทาย นาํ้ หนกั เพม่ิ ตอ่ วัน และอัตราการเจรญิ เติบโตจําเพาะมากกวาทุกชุดการทดลองอยางมีนัยสําคัญ ทางสถิติ (p<0.05) อัตรารอดตายของกบนาที่เลี้ยงดวยอัตราความหนาแนน 15 ตัว/ตารางเมตร มากกวากบ นาที่เลี้ยงด้วยอัตรา ความหนาแนน 30, 60 และ 75 ตัว/ตารางเมตร อยางมีนัยสําคัญทางสถติ ิ(p<0.05) และ ช่วงอายุ การเลย้ี งที่ 3 คือ กบนาอายุ 110 วัน ถงึ 140 วนั พบว่ากบนาทเี่ ลี้ยงดวยอตั ราความหนาแนน 10 ตัว/ ตารางเมตร มีการเจริญเติบโต โดยนํ้าหนักเฉลีย่ สุดทาย น้ำหนักเพิ่มตอวัน และอัตราการเจริญเติบโตจําเพาะ มากกวาทุกชุดการทดลอง อยางมนี ัยสาํ คัญทางสถิติ (p<0.05) สารอาหาร ได้แก่ วิตามินและแร่ธาตุจากการรายงานของ บาเดช; และคนอื่นๆ. (Badach et al. 1992) กลา่ ววา่ การให้ตัวออ่ นของแมลงและจ้งิ หรดี เป็นอาหารแก่กบสเี ขียว (green frog) และในกบเลียวปาด (Leopard) ได้ผลดี แต่พบว่า ในกบพิคเคอเรล (Pickerel) และ กบพันธุ์เล็กบางชนิดแสดงอาการขาดวิตามิน และมีอัตราการรอดตายที่มีปริมาณมาก แม้ว่าการใช้ แสงอัลตราไวโอเลต (Ultraviolet) จะช่วยได้บ้างก็ตาม แต่ก็ไม่มีประสิทธิภาพเท่ากับการใช้ปลาป่น แปรรูปบดเป็นผงผสมคับวิตามินรวม 10 ชนิดและแร่ธาตุพวก แคลเซยี ม แมกนเี ซยี มรวมทงั้ พวก ธาตอุ าหารทีม่ คี วามสำคัญต่อการเจรญิ เติบโตของกบ (trace mineral) อาหารและโรคกับศัตรูกบเป็นปัจจยั สำคัญท่มี ผี ลต่อการเลี้ยงกบจะเป็นทพ่ี ักของโรค พยาธิบางชนิดทำให้กบเป็นโรคต่าง ๆ ได้เช่น โรคขาแดง สำหรับศัตรูของกบนั้นมีมาก เช่น งู ปลา ที่กินเนื้อ เป็นอาหาร สุนัข แมว นกบางชนดิ เตา่ ตะพาบนำ้ หนแู ละกบทีม่ ีขนาดตา่ งกันกก็ ินกันเอง แตก่ ารตายสว่ นใหญ่ ของกบอยทู่ ่นี ำ้ เสียเปน็ เวลาหลาย ๆ วัน โดยทกี่ บไม่มีโอกาสได้ขึ้นมาอยูบ่ น พนื้ ดิน บางครงั้ คนไปรบกวนทำให้ กบตกใจเกิดการกล้ามเน้อื เกร็งขาหนา้ และขาหลังจะเหยียดตรงตัวแข็งและตายในทสี่ ุด (กรมประมง. 2536) กบเป็นสัตว์ที่ชอบกินอาหารที่มีชีวิตเคลื่อนไหวได้ เช่น แมลง ไส้เดือนดิน หนอน ลูกปลา และลูกกบ ตวั เล็ก ๆ กบทอี่ ยใู่ นระยะกบรนุ่ จนถึงระยะกบโต อาหารอาจจะใหอ้ าหารจำพวกแมลงท่ี เพาะเล้ียงเอาไว้ หรือ บางครงั้ อาจจะใช้ไฟล่อแมลงเป็นอาหารของกบ (ศภุ ชยั ใหม่คริ .ิ 2544)

11 โรคในกบ กรมประมง(2541) โรควัณโรคปลา เป็นโรคที่พบมากในปลากัดมีสาเหตุมาจากเชื้อแบคทีเรียที่มีชื่อ วิทยาศาสตร์ว่า Mycobacterium piscium ลักษณะอาการ ปลากัดมีน้ำหนักลดลง ไม่กินอาหาร สีซีด เกล็ด หลุด ผิวหนังเป็นแผล ครีบเปื่อย ขากรรไกรและกระดูกสันหลังบิดงอ ตาโปน และตาอาจหลุดออกมา ว่ายน้ำ ผิดปกติ เชน่ หงายท้องข้ึน วา่ ยนำ้ ไรท้ ศิ ทางหรอื เกิดจุดขาวตามอวัยวะภายใน การป้องกนั รักษา เปน็ โรคทย่ี งั ไม่มีวธิ รี กั ษา ดงั น้ันผเู้ ลย้ี งจงึ ควรปฏิบัติดงั นี้ 1. ควรแยกปลาที่เปน็ โรคนี้ออก แล้วฆา่ เชอ้ื ภายในบ่อ โดยการตากบ่อให้แห้งและสาดด้วยสารละลาย ด่างทบั ทมิ 1 กรัม ต่อน้ำ 1 ลิตร ใหท้ ่วั บอ่ 2. ไมค่ วรเลี้ยงปลากดั หนาแน่นเกนิ ไป 3. ควรเลย้ี งปลากัดในนำ้ ทีส่ ะอาด 4. ผู้เลี้ยงควรป้องกันตัวเองหากต้องใช้มือสัมผัสโดยตรงกับปลาที่เป็นโรคนี้ เพราะพบว่ามีผู้เลี้ยงบาง คนมอี าการของหดู เกิดข้นึ บริเวณมือ โรควัณโรคปลาหรือไมโคแบคเทอริโอซีส (Fish tuberculosis หรือ Mycobacteriosis) สาเหตุ เกิด จากเชื้อ Mycobacterium species ตาง ๆ ไดแก M. marinum, M. chelonei and M.fortuitum ลักษณะ ของเชื้อ เปนแบคทีเรียแกรมบวก ติดสีแอสิดฟาส (Acid fast positive bacteria)ชนิดของสัตว์น้ำที่ติดเชื้อได ปลาทุกชนิดสามารถติดเชื้อนี้ไดทั้งปลาน้ำาจืดและปลาน้ำาเค็มอาการและรอยโรค อาการค่อนข้างไม่แนอน อาการโดยทั่วไปมักพบได้แก่ เบื่ออาหาร (anorexia) ผอมโซ (emaciation) กระดูกสันหลังผิดรูป (vertebral deformities) ตาโปน (exophthalmus) และ สีซีดลง (loss of normal coloration) พบก้อน granulomas หลายขนาดและจำนวนมากตามอวัยวะต่าง ๆ เชน ตับ ม้าม ไต และอวัยวะภายในต่าง ๆ การวินิจฉัยโรค ทำ ได้โดยสังเกตจากอาการและรอยโรค การทำการเพาะแยกและพิสูจน์เชื้อแบคทีเรีย ทำการย อมสี Acid fast จากก้อน granuloma ที่พบตามอวัยวะตาง ๆ และการตรวจสอบหาเชื้อกอโรคโดยใชเทคนิคทางอณูชีววิทยา เชน เทคนิคปฏิกิริยาลูกโซโพลี่เมอเรส [PolymeraseChain Reaction (PCR) technique] การแพรกระจาย ของโรค เกิดโดยการแพรกระจายผานทางน้ำปลาที่ป่วยเป็นโรคและอาหารปลาการติดตอสู่คน (Zoonotic potency) อาจกอโรคในคนได้ในกรณีท่ีคนปว่ ยมภี าวะบกพรองของระบบภมู ิคุ้มกนั (Immunocompromised patient) หรือคนทีม่ บี าดแผลทผี่ วิ หนังกส็ ามารถติดเชื้อMycobacterium เขาทางบาดแผลทีผ่ วิ หนังได้ มักพบ ในคนที่มีบาดแผลที่มือขณะที่ทำความสะอาดแทงคหรือภาชนะที่ใชเลี้ยงปลาจึงเรียกโรคนี้กันวา fish tank granuloma เมื่อติดเชื้อ ทผ่ี วิ หนงั จะพบลกั ษณะท่ีเรียกการติดเชื้อนี้วา Atypical mycobacteriosis ซ่ึงมักพบ เป็น cutaneous noduleตามมือและนิ้วมือ และเมื่อการติดเชื้อลุกลามไปอาจพบการบวมโตของต อม น้ำเหลืองขางเคียง (lymphadenitis) และอาจพบเยื่อหุ้มกระดูกอักเสบ (osteomyelitis) และข้ออักเสบ (arthritis) ด้วย อ.น.สพ.ดร. ชาญณรงค์ รอดคำ โรคติดเชื้อเอ๊ดเวอร์ดเซลล่า (Edwardsiella septicemia) สาเหตุ เกิดจากเช้อื Edwardsville tarda ลักษณะของเช้ือ เปน็ เชอ้ื แบคทเี รยี แกรมลบ รูปร่างแท่ง โค้งงอเลก็ น้อย แต่

12 ก็อาจมีรูปร่างที่ไมแ่ น่นอน (Pleomorphic) แบคทีเรียมักอาศัยอยู่ภายในเซลล์ ของปลาป่วย ชนิดของสัตว์นำ้ ที่ติดเชื้อได้ มักพบการติดเชื้อในปลาดุก channel catfish แต่ก็อาจจะพบการติด เชื้อได้ในปลาทอง (goldfish), golden shiners, largemouth bass, และ brown bullhead เชื้อนี้เป็นเชื้อที่มีผลกระทบมาก ต่ออตุ สาหกรรมการเลี้ยงปลาไหล (eel) ในเอเชยี อาการและรอยโรค คล้ายกบรอยโรคติดเชื้อ Aeromonas hydrophila ซึ่งรอยโรคเดน่ ชัดท่ีพบได้แก่ การติดเชือ้ ในกระแสโลหิตซึง่ ก่อให้เกิดจุดหรือป้ืนเลอื ดออกที่อวัยวะต่าง ๆ โดยเฉพาะคลีบและ หาง และอาจ พบแผลหลุมที่ผวิ หนัง ทีก่ ล้ามเน้ือมักพบช่องว่างทม่ี ีแกส๊ อย่ภู ายใน [large gas filled(malodorous) cavities] ปลาป่วยจะไม่สามารถควบคุมบริเวณส่วนท้ายของลำตัวได้ และไม่กินอาหารการวินิจฉัยโรค ทำได้โดยสังเกต จากอาการและรอยโรค การทำการเพาะแยกและพิสูจน์เช้ือแบคทีเรยี และการตรวจสอบหาเช้ือก่อโรคโดยใช้ เทคนิคทางอณูชีววิทยา เช่น เทคนิคปฏิกิริยาลูกโซ่โพลี่เมอเรส [Polymerase Chain Reaction (PCR) technique]การแพรก่ ระจายของโรค เกิดโดยการแพร่กระจายผ่านทางนำ้ หรือปลาท่ีปว่ ยเป็นโรค การติดต่อสู่ คน (Zoonotic potency) อาจก่อโรคในคนได้ในกรณีที่คนป่วยมีภาวะบกพร่องของระบบภูมิคุ้มกัน (Immunocompromised patient) กรมประมง (2541) โรควัณโรคปลา เป็นโรคที่พบมากในปลากัดมีสาเหตุมาจากเชื้อแบคทีเรียที่มีช่ือ วิทยาศาสตร์ว่า Mycobacterium piscium ลักษณะอาการ ปลากัดมีน้ำหนักลดลง ไม่กินอาหาร สีซีด เกล็ด หลุด ผิวหนังเป็นแผล ครีบเปื่อย ขากรรไกรและกระดูกสันหลังบิดงอ ตาโปน และตาอาจหลุดออกมา ว่ายน้ำ ผดิ ปกติ เชน่ หงายทอ้ งข้นึ วา่ ยน้ำไรท้ ิศทางหรือเกดิ จดุ ขาวตามอวยั วะภายใน การป้องกนั รักษา เป็นโรคทยี่ ังไม่มวี ิธรี ักษา ดงั นั้นผูเ้ ลี้ยงจึงควรปฏบิ ัตดิ งั น้ี 1. ควรแยกปลาทเี่ ป็นโรคนี้ออก แลว้ ฆ่าเช้อื ภายในบ่อ โดยการตากบ่อให้แห้งและสาดด้วยสารละลาย ดา่ งทับทมิ 1 กรัม ต่อนำ้ 1 ลิตร ให้ท่ัวบอ่ 2. ไมค่ วรเลี้ยงปลากดั หนาแน่นเกนิ ไป 3. ควรเลีย้ งปลากดั ในนำ้ ทส่ี ะอาด 4. ผู้เลี้ยงควรป้องกันตัวเองหากต้องใช้มือสัมผัสโดยตรงกับปลาที่เป็นโรคนี้ เพราะพบว่ามีผู้เลี้ยงบาง คนมีอาการของหดู เกิดข้ึนบริเวณมอื โรควัณโรคปลาหรือไมโคแบคเทอริโอซีส (Fish tuberculosis หรือ Mycobacteriosis) สาเหตุ เกิด จากเชื้อ Mycobacterium species ตาง ๆ ไดแก M. marinum, M. chelonei and M.fortuitum ลักษณะ ของเชื้อ เปนแบคทเี รยี แกรมบวก ติดสีแอสดิ ฟาส (Acid fast positive bacteria)ชนิดของสตวั นา้ํ ท่ตี ิดเช้อื ได ปลาทุกชนิดสามารถติดเชื้อนี้ไดทั้งปลาน้ำจืดและปลาน้ำเค็มอาการและรอยโรค อาการคอนขางไมแนนอน อาการโดยทั่วไปมักพบได้แก่เบื่ออาหาร(anorexia) ผอมโซ (emaciation) กระดูกสันหลังผิดรูป (vertebral deformities) ตาโปน (12xophthalmos) และ สีซีดลง (loss of normal coloration) พบกอน granulomas หลายขนาดและจํานวนมากตามอวัยวะตาง ๆ เชน ตับ มาม ไต และอวัยวะภายในต่าง ๆ การวินิจฉัยโรค ทํา ไดโดยสังเกตุจากอาการและรอยโรค การทําการเพาะแยกและพิสูจนเชื้อแบคทีเรีย ทําการยอมสี Acid fast

13 จากกอน granuloma ที่พบตามอวัยวะตาง ๆ และการตรวจสอบหาเชื้อกอโรคโดยใชเทคนิคทางอณูชีววิทยา เชน เทคนิคปฏิกิริยาลูกโซโพลี่เมอเรส [PolymeraseChain Reaction (PCR) technique] การแพรกระจาย ของโรค เกิดโดยการแพรกระจายผานทางน้ำของปลาที่ปวยเป็นโรค และอาหารปลา การติดต อสูคน (Zoonotic potency) อาจก อโรคในคนได ในกรณีที่คนป วยตามภาวะบกพร องของระบบภูมคุ มกัน (Immunocompromised patient) หรือคนที่มีบาดแผลที่ผิวหนังก็สามารถติดเชื้อ Mycobacterium เขา ทางบาดแผลที่ผิวหนังได มักพบในคนที่มีบาดแผลที่มือขณะที่ทําความสะอาดแทงคหรือภาชนะที่ใชเลี้ยงปลา จงึ เรียกโรคนก้ี ันวา fish tank granuloma เม่อื ตดิ เชอื้ ทผี่ วิ หนงั จะพบลักษณะทเ่ี รียกการตดิ เช้ือน้ีวา Atypical mycobacteriosis ซ่ึงมักพบเปน cutaneous nodule ตามมือและนิ้วมือ และเมื่อการติดเชื้อลุกลามไปอาจ พบการบวมโตของต อมน้ำเหลืองข างเคียง (lymphadenitis) และอาจพบเยื่อหุ มกระดูกอักเสบ (osteomyelitis) และขออักเสบ (arthritis) ดวยอ.น.สพ.ดร. ชาญณรงค์ รอดคํา โรคติดเชื้อเอ๊ดเวอร์ดเซลล่า (Edwardsiella septicemia) สาเหตุ เกิดจากเชื้อ Edwardsville tarda ลักษณะของเชื้อ เป็นเชื้อแบคทีเรีย แกรมลบ รูปร่างแท่ง โค้งงอเล็กน้อย แต่ก็อาจมีรูปร่างที่ไม่แน่นอน (Pleomorphic) แบคทีเรียมักอาศัยอยู่ ภายในเซลล์ ของปลาป่วย ชนิดของสัตว์น้ำที่ติดเชื้อได้ มักพบการติดเชื้อในปลาดุก channel catfish แต่ก็ อาจจะพบการติด เชื้อได้ในปลาทอง (goldfish), golden shiners, largemouth bass, และ brown bullhead เชื้อนี้เป็นเชื้อที่มีผลกระทบมากต่ออุตสาหกรรมการเลี้ยงปลาไหล (eel) ในเอเชียอาการและรอย โรค คล้ายกบรอยโรคติดเชื้อ Aeromonas hydrophila ซึ่งรอยโรคเด่นชัดที่พบได้แก่การติดเช้ือในกระแส โลหิตซึ่งก่อให้เกิดจุดหรือปื้นเลือดออกที่อวัยวะต่างๆ โดยเฉพาะครีบและ หาง และอาจพบแผลหลุมทีผ่ วิ หนงั ที่กล้ามเนื้อมักพบช่องว่างที่มีแกสอยู่ภายใน [large gas filled(malodorous) cavities] ปลาป่วยจะไม สามารถควบคุมบริเวณสวนท้ายของลําตัวได้ และไม่กินอาหารการวินิจฉยั โรค ทําได้โดยสังเกตุจากอาการและ รอยโรค การทําการเพาะแยกและพิสูจน์เชื้อแบคทีเรีย และการตรวจสอบหาเชือ้ ก่อโรคโดยใชเ้ ทคนคิ ทางอณู ชีววิทยา เช่น เทคนิคปฏิกิริยาลูกโซ่โพลี่เมอเรส [Polymerase Chain Reaction (PCR) technique]การ แพร่กระจายของโรค เกิดโดยการแพร่กระจายผ่านทางน้ำหรือปลาที่ป่วยเป็นโรค การติดต่อสู่คน (Zoonotic potency) อาจก่อโรคในคนได้ในกรณที ่คี นปว่ ยมภี าวะบกพร่องของระบบภมู ิคุ้มกนั (Immunocompromised patient) โ ร ค Chytridiomycosis เ ป ็ น โ ร ค อ ุ บ ั ต ิ ใ ห ม ่ ท ี ่ เ ก ิ ด จ า ก เ ช ื ้ อ ร า Batrachochytrium dendrobatidis(Berger and Speare, 1998) กอ่ ให้เกิดภาวะการลด จำนวนประชากรของสัตว์สะเทินทั่วโลก ทำให้สัตว์สะเทินสูญพันธุ์ไปกว่า 120 ชนิดพันธุ์ ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ทางองค์การโรคระบาดสัตว์ระหว่าง ประเทศ (World Organization for Animal Health; OIE) กำหนดใหโ้ รคเช้ือราชนิดน้ีอยู่ในบญั ชีโรคติดต่อท่ี ต้องมีการรายงานในสัตว์สะเทินในปี ค.ศ. 2010 (Schloegel et al., 2010) ในต่างประเทศมีรายงานการเกิด โรคในหลายทวีป ได้แก่ ทวีปอเมรกิ า ทวีปออสเตรเลีย ทวปี แอฟรกิ า ทวีปยุโรป (Berger et al., 1999;Bosch et al., 2001, Hopkins and Channing, 2003;Garner et al., 2005) รวมถึงทวีปเอเชีย เช่น ประเทศญี่ปุ่น อนิ โดนเี ซยี เกาหลี และจีน (Yumi et al., 2008;Kusrini et al., 2008; Yang et al., 2009; Bai et al.,2010) ประเทศเกาหลีนัน้ รายงานพบการเกิดโรคสูงถึง38.8% จากตวั อย่างกบ 3 ชนดิ ในธรรมชาตไิ ดแ้ ก่ Asiatic toad

14 (Bufo gargarizan) Japanese Tree frog(Hyla japonica) แ ล ะ อ เ ม ร ิ ก ั น บ ู ล ฟ ร ็ อ ก ( North Americanbullfrogs; Rana catesbeiana) (Yang et al., 2009) การรายงานโรคนั้นไม่ได้มีเพียงแต่สัตว์ สะเทินที่อยู่ในธรรมชาติเท่านั้น แต่มีรายงานการติดเชื้อราในสัตว์สะเทินที่นำมาเป็นสัตว์เลี้ยง และสวนสัตว์ (Pessier et al.,1999; Raverty and Reynolds, 2001; Yumi et al.,2008) ประเทศญี่ปุ่นนั้น มีรายงานการ พบโรคจากกบที่นำเข้าจากต่างประเทศเพื่อเป็นสัตว์เลี้ยงหลายชนิดซึ่งแม้จะไม่ได้มีรายงานถึงแหล่งที่มา แต่ พบว่า เขียดจะนา (Common Puddle Frog; Occidozyga lima) ซึ่งพบได้ในประเทศไทยและเป็นสัตว์ ส่งออกที่สำคัญของไทยเป็นสัตว์ที่มีรายงานการติดเชื้อราในประเทศญี่ปุ่นด้วย (Yumi et al., 2008) ใน ประเทศจีนมีรายงานการเกดิ โรคทัง้ ในกบประจำถน่ิ ท่ีอยู่ธรรมชาติและอเมริกนั บูลฟร็อก ทีอ่ ยู่ในธรรมชาติและ ตลาดค้าสัตว์เลี้ยง (Bai et al., 2010) ในประเทศไทยนั้นเคยมีรายงานศึกษาย้อนหลังในสัตว์สะเทินประจำถน่ิ จำนวน 123 ตัวอย่าง ด้วยวิธีทางจุลพยาธิวิทยาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1957-1960 แต่ไม่พบอุบัติการณ์การเกิดโรค ดังกล่าว (McLeod et al., 2008) เชื้อราชนิดนี้จะมีผลต่อผิวหนงั ท่ีมชี ั้นเคอราติน (keratinized skin) บริเวณ ส่วนล่างของลำตัว (ventralside) ขาหนีบและพังผืดระหว่างนิ้วเท้าของขาหลัง (Longcore et al., 1999) อาการทางคลินิกของโรคมีความหลากหลายในแต่ละชนดิ พันธุข์ องสัตว์ ตั้งแต่ซึม ไม่กินอาหาร ผิวหนังบรเิ วณ ทอ้ งมีสีแดง ชักและมีการเหยยี ดเกร็งของขาหลัง มกี ารหนาตัวขึน้ ของผิวหนงั สัตวม์ กั ตายหลังจากแสดงอาการ ป่วยใน 1-2 วัน (Berger et al., 1999) แต่สัตว์สะเทินบางชนิดไม่แสดงอาการป่วยทำให้เป็นรังโรคที่ดีในการ แพร่กระจายของเชื้อรา เชน่ อเมริกันบูลฟร็อก (Mazzoni et al., 2003)

15 บทที่ 3 เน้อื หางานวจิ ยั วธิ ดี ำเนินการวิจัย เทคนิคการจดั การฟารม์ เพาะเลีย้ งกบใหป้ ลอดภัยจากเช้ือไมโคแบคทเี รีย ทำการลงพื้นที่ศึกษาในฟาร์มตวั อยา่ งที่ประสบปัญหาทั้ง3ฟาร์มทวั่ ประเทศส่งตรวจตวั อย่างเพื่อยืนยัน ผลการติดเชื้อบันทึกข้อมูลและทดลองการใช้เทคนิคการจัดการฟาร์มแบบพิเศษ จากนั้นทำการเลี้ยงกบเป็น ระยะเวลา9เดอื นส่มุ ตวั อยา่ งตรวจหาเชอื้ จากฟารม์ ทงั้ หมดบนั ทึกการทดลองสรุปผล เก็บข้อมูลและบันทึกผล ร้อยละลูกอ๊อดตายช่วง7-10วัน,ร้อยละขาหน้าไม่งอก,พ่อแม่พันธุ์ตาย(ตัว), น้ำหนักลูกอ๊อดที่ได(้ กก),จำนวนลูกกบที่ได้(ตัว),ลูกกบตายโดยไมท่ ราบสาเหตุ(ตวั ),เงินที่ขายได้ลกู อ๊อด+ลูกกบ (บาท) และ ผลการตรวจเชื้อแบบ PCR ทำการศึกษา สถานที่เกิดการระบาดของเชื้อ Mycobacterium spp. 3 ภูมิภาค ได้แก่ ภาคกลางพื้นที่จังหวัดชัยนาท ภาคตะวันออกพื้นที่จังหวัดชลบุรี ภาคเหนือจังหวัดพิษณุโลก ระยะเวลาในการศึกษา 1 ตุลาคม 2561 วนั ท่ีส้นิ สดุ 30 กนั ยายน 2562 ทดลองโดยการใชม้ าตรการ 4 ขั้นตอนในการจัดการฟาร์มเพาะเลี้ยงกบทีพ่ บการระบาดของเช้ือไมโค แบคทีเรียมดงั น้ี 1. กำจดั กบและฆ่าเช้ือบรเิ วณฟารม์ เพาะเลยี้ งกบด้วยน้ำยาฆา่ เชอ้ื แบคทีเรีย 2. นำพอ่ แม่พันธ์ุเข้ามาเล้ียงใหมโ่ ดยตอ้ งผา่ นการตรวจชนั สูตรโรคโดยวธิ ี PCR 3. ทำการเปลี่ยนถ่ายน้ำกบพ่อแม่พันธุ์ก่อนและหลังให้อาหารทุกมื้อและลดการสัมผัสกบโดยตรงด้วย มือเปล่า ควรใสถ่ งุ มอื และรองเท้าบทู้ ขณะจัดการสขุ าภบิ าลฟาร์มเพาะเลี้ยงกบ 4. ตรวจโรคลูกกบและพอ่ แมพ่ นั ธกุ์ บเปน็ ประจำทกุ ๆ 6เดือนโดยวิธี PCR หาเช้อื ไมโคแบคทีเรีย 5. การวิเคราะหข์ ้อมลู เมื่อสิ้นสุดการทดลองนำข้อมูลร้อยละลูกอ๊อดตายช่วง7-10วัน,ร้อยละขาหน้าไม่งอก,พ่อแม่ พันธุ์ตาย(ตัว),น้ำหนักลูกอ๊อดที่ได้(กก),จำนวนลูกกบที่ได้(ตัว),ลูกกบตายโดยไม่ทราบสาเหตุ(ตัว),เงินที่ขายได้ ลูกอ๊อด+ลูกกบ (บาท) และ ผลการตรวจเชื้อแบบ PCR มาวิเคราะห์ความแปรปรวน (Analysis of Variance) และเปรียบเทียบความแตกต่างค่าเฉลี่ยของข้อมูลก่อนและหลังการใช้มาตรการ 4 ขั้นตอนด้วย Duncan’s New Multiple Range Test ที่ระดับความเชื่อมั่นร้อยละ 95 โดยใช้โปรแกรม สำเร็จรูป พร้อมทั้งส่งตัวอย่าง กบไปตรวจชิ้นเนื้ออวัยวะต่างๆโดยวิธี PCR (Polymerase Chain Reaction) ที่หน่วยชันสูตรโรคสัตว์ คณะ สตั วแพทย์ มหาวิทยาลยั เชียงใหม่

16 บทที่ 4 ผลการวิจยั และวจิ ารณ์ผล เทคนิคการจัดการฟารม์ เพาะเล้ียงกบให้ปลอดภัยจากเช้ือไมโคแบคทีเรยี พ้นื ที่การทดลองท่ี 1 พ้ืนท่ีภาคตะวนั ออกจงั หว้ดชลบรุ ี คณุ ฐาปนยี ์มีผลการทดลองดังน้ี 1. ร้อยละการตายของลูกอ๊อดในชว่ ง 7-10 วนั พบว่าร้อยละการตายของลูกอ๊อดในช่วง 7-10 วัน ก่อนและหลังการใช้มาตรการ 4 ขั้นตอนเท่ากับ ร้อยละ 93.33และ 2.22 ตามลำดับ โดยหลงั จากการใชม้ าตรการ 4 ข้นั ตอนมผี ลทำให้ร้อยละการตายของลูกอ๊ อดในชว่ ง 7-10 วันลดลงอยา่ งมคี วามแตกต่างกนั ทางสถติ ิ (p<0.05) (ตารางท่ี 1) รูปท่ี1 ลูกอ๊อดตายอายุ 7-10 วัน 2. รอ้ ยละขาหน้าไม่งอก พบว่าร้อยละขาหน้าไม่งอก ก่อนและหลังการใช้มาตรการ 4 ขั้นตอนเท่ากับ ร้อยละ54.44และ0.00 ตามลำดับโดยหลังจากการใช้มาตรการ 4 ขั้นตอนมีผลทำให้อัตราร้อยละขาหน้าไม่งอกลดลงอย่างมีความ แตกตา่ งกนั ทางสถิติ (p<0.05) (ตารางท่ี 1) รปู ที่ 2 ลกู อ๊อดท่ีกำลงั พฒั นาเปน็ ตัวกบขาหน้าไมง่ อก

17 3. อัตราการตายของพอ่ แมพ่ ันธุ์ พบว่าอัตราการตายของพ่อแม่พันธุ์ ก่อนและหลังการใช้มาตรการ 4 ขั้นตอนเท่ากับร้อยละ 9.65และ 0.33ตามลำดับโดยหลังจากการใช้มาตรการ 4 ขั้นตอนมีผลทำให้อัตราการตายของพ่อแม่พันธุ์ลดลงอย่างมี ความแตกตา่ งกนั ทางสถิติ (p<0.05) (ตารางท่ี 1) รปู ท่ี 3 อวยั วะภายในพ่อแม่พันธ์กุ บทต่ี าย ตบั มีลักษณะเปน็ จดุ สขี าวเน่ืองจากการตดิ เชื้อโคแบคทีเรยี ม 4. น้ำหนกั ลกู อ๊อด พบว่าน้ำหนักลูกอ๊อดก่อนและหลังการใช้มาตรการ 4 ขั้นตอนเท่ากับ 2.386 กก.และ12.961 กก. ตามลำดับโดยหลังจากการใช้มาตรการ 4 ขั้นตอนมีผลทำให้น้ำหนักลูกอ๊อดที่ได้เพิ่มขึ้นอย่างมีความแตกต่าง กันทางสถติ ิ (p<0.05) (ตารางท่ี 1) รูปท่ี 4 ลูกอ๊อดอายุ 20 วัน

18 5. จำนวนลกู กบท่ีได้ พบว่าจำนวนลูกกบทีไ่ ด้ก่อนและหลังการใช้มาตรการ 4 ขั้นตอนเท่ากับ 221.78ตัวและ11972.22ตัว ตามลำดับโดยหลังจากการใช้มาตรการ 4 ขั้นตอนมีผลทำให้จำนวนลูกกบที่เพาะได้เพิ่มขึ้นอย่างมีความ แตกต่างกนั ทางสถิติ (p<0.05) (ตารางที่ 1) รูปท่ี 5 ลกู กบทีเ่ พาะพนั ธ์ุได้ในพ้นื ท่ที ดลองจงั หวดั ชลบรุ ี 6. เปน็ ตัวกบแล้วตายโดยไมท่ ราบสาเหตุ (ตวั ) พบว่าจำนวนลูกอ๊อดที่พัฒนาเป็นตวั กบแลว้ ตายโดยไม่ทราบสาเหตุที่ได้ก่อนและหลังการใช้มาตรการ 4 ข้ันตอนเทา่ กบั 123.44 ตัวและ0.00 ตัว ตามลำดับโดยหลงั จากการใช้มาตรการ 4 ข้ันตอนมีผลทำให้ลูกอ๊อด ท่ีพัฒนาเปน็ ตัวกบแลว้ ตายโดยไม่ทราบสาเหตุลดลงอย่างมคี วามแตกต่างกันทางสถติ ิ (p<0.05) (ตารางที่ 1) 7. เงินทขี่ ายได้ลกู ออ๊ ด ลกู กบ(บาท) พบวา่ จำนวนเงินที่ได้จากการจำหน่ายลูกอ๊อด ลกู กบ กอ่ นและหลังการใช้มาตรการ 4 ข้ันตอนเท่ากับ 178.11บาทและ1972.22บาท ตามลำดับโดยหลังจากการใช้มาตรการ 4 ขั้นตอนมีผลทำให้รายได้จากการ จำหนา่ ยลูกอ๊อด ลูกกบเพิม่ ขึน้ อย่างมีความแตกต่างกนั ทางสถติ ิ (p<0.05) (ตารางที่ 1) 8. ผลการตรวจเชอื้ แบบ PCR พบว่าก่อนการใช้มาตรการ 4ขั้นตอนพบการติดเชื้อไมโคแบคทีเรียมในพ่อแม่พันธุ์และลูกกบและหลังจากการ ใช้มาตรการ 4ขั้นตอนเมื่อนำไปตรวจเชื้อแบบPCRไปผลการตรวจปรากฏว่าพ่อแม่พันธุ์และลูกกบจากฟาร์ม เพาะเลยี้ งกบของคุณธาปนี จากจงั หวัดชลบรุ ีไม่พบการตดิ เช้อื ไมโคแบคทีเรียม

19 รูปที่ 6 ผลการตรวจpcr กอ่ นการใชม้ าตราการพน้ื ท่ีจังหวัดชลบุรี รปู ที่ 7 ผลการตรวจpcr หลงั การใชม้ าตราการพน้ื ทีช่ ลบรุ ี

20 ตารางที่ 1 แสดงผลการทดลองเปรียบเทยี บก่อนและหลังการใช4้ มาตรการในการเพาะเลี้ยงกบพนื้ ทีจ่ ังหวดั ชลบุรี การทดลอง การเปรียบเทียบ จำนวนครั้ง ค่าเฉล่ยี S.D. T Sig 9 93.33 6.124 42.891 0.000 ร้อยละลูกอ๊อดตายช่วง กอ่ นเขา้ รว่ ม 9 2.22 1.202 9 54.44 33.114 4.932 0.001 7-10วัน หลังเข้ารว่ ม 9 0.00 0.000 รอ้ ยละขาหนา้ ไม่งอก กอ่ นเขา้ ร่วม หลังเขา้ รว่ ม พอ่ แม่พันธต์ุ าย(ตวั ) ก่อนเข้ารว่ ม 9 9.56 4.613 5.974 0.000 9 0.33 0.707 -17.592 หลงั เขา้ รว่ ม 9 3.28 2.386 -11.121 0.000 9 83.00 12.961 3.187 น้ำหนักลูกอ๊อดที่ได้ กอ่ นเขา้ ร่วม 9 221.78 138.955 -11.167 0.000 9 11972.22 3126.199 พบเชื้อ (กก) หลงั เขา้ ร่วม 9 123.44 116.197 ไมพ่ บ 0.013 9 0.00 0.000 จำนวนลูกกบที่ได(้ ตัว) กอ่ นเข้าร่วม 9 178.11 106.782 0.000 หลงั เขา้ ร่วม 9 1972.22 3126.199 พบ เชือ้ เป็นตัวกบแล้วตายโดย กอ่ นเข้าร่วม 9 พบเช้อื พบเชอ้ื ไมพ่ บ ไมท่ ราบสาเหตุ(ตวั ) หลงั เขา้ ร่วม 9 ไมพ่ บ ไมพ่ บ เงินที่ขายได้ลูกอ๊อด+ กอ่ นเขา้ รว่ ม ลูกกบ(บาท) หลังเข้าร่วม ผลการตรวจเชื้อแบบ กอ่ นเข้ารว่ ม PCR หลังเข้ารว่ ม

21 พน้ื ทกี่ ารทดลองท่ี 2 พนื้ ทีภ่ าคเหนอื จงั หวด้ พษิ ณุโลก คณุ ยุทธพงษ์ มีผลการทดลองดังนี้ 1. รอ้ ยละการตายของลูกอ๊อดในชว่ ง 7-10 วัน พบว่าร้อยละการตายของลูกอ๊อดในช่วง 7-10 วัน ก่อนและหลังการใช้มาตรการ 4 ขั้นตอนเท่ากับ ร้อยละ 90.56และ 2.89 ตามลำดับ โดยหลังจากการใชม้ าตรการ 4 ข้นั ตอนมีผลทำใหร้ ้อยละการตายของลูกอ๊ อดในช่วง 7-10 วันลดลงอยา่ งมคี วามแตกตา่ งกันทางสถติ ิ (p<0.05) (ตารางท่ี 2) 2. ร้อยละขาหน้าไมง่ อก พบว่าร้อยละขาหน้าไม่งอก ก่อนและหลังการใช้มาตรการ 4 ขั้นตอนเท่ากับ ร้อยละ15.89และ0.00 ตามลำดับโดยหลังจากการใช้มาตรการ 4 ขั้นตอนมีผลทำให้อัตราร้อยละขาหน้าไม่งอกลดลงอย่างมีความ แตกต่างกันทางสถติ ิ (p<0.05) (ตารางท่ี 2) รปู ท่ี 8 ลกู อ๊อดพัฒนาเป็นตัวกบตายขาหน้าไม่งอก 3. อตั ราการตายของพ่อแม่พันธุ์ พบว่าอัตราการตายของพ่อแม่พันธ์ุ ก่อนและหลังการใช้มาตรการ 4 ขั้นตอนเท่ากับร้อยละ 8.33และ 0.00ตามลำดับโดยหลังจากการใช้มาตรการ 4 ขั้นตอนมีผลทำให้อัตราการตายของพ่อแม่พันธุ์ลดลงอย่างมี ความแตกต่างกันทางสถิติ (p<0.05) (ตารางท่ี 2) รูปที่ 9 อาการปว่ ยของพอ่ พันธ์ุเนือ่ งจากการตดิ เช้ือไมโคแบคทเี รยี ม

22 4. น้ำหนักลูกอ๊อด พบว่าน้ำหนักลูกอ๊อดก่อนและหลังการใช้มาตรการ 4 ขั้นตอนเท่ากับ 8.67 กก.และ75.78 กก. ตามลำดับโดยหลังจากการใช้มาตรการ 4 ขั้นตอนมีผลทำให้น้ำหนักลูกอ๊อดที่ได้เพิ่มขึ้นอย่างมีความแตกต่าง กนั ทางสถติ ิ (p<0.05) (ตารางที่ 2) . รูปที่ 10 การขนย้ายลูกอ๊อดเพอ่ื จำหน่าย 5. จำนวนลกู กบทไี่ ด้ พบว่าจำนวนลูกกบทีไ่ ดก้ อ่ นและหลงั การใช้มาตรการ 4 ข้นั ตอนเท่ากับ 1,044.44 ตวั และ 14,525.22 ตัว ตามลำดับโดยหลังจากการใช้มาตรการ 4 ขั้นตอนมีผลทำให้จำนวนลูกกบที่เพาะได้เพิ่มขึ้นอย่างมีความ แตกต่างกันทางสถติ ิ (p<0.05) (ตารางท่ี 2) รปู ที่ 11 ลูกกบทเี่ พาะพันธไ์ุ ด้ในพนื้ ที่ทดลองจงั หวัด พิษณุโลก

23 6. เป็นตัวกบแลว้ ตายโดยไม่ทราบสาเหตุ (ตวั ) พบว่าจำนวนลูกอ๊อดที่พัฒนาเปน็ ตวั กบแลว้ ตายโดยไม่ทราบสาเหตุที่ได้ก่อนและหลังการใช้มาตรการ 4 ขนั้ ตอนเทา่ กบั 31.33 ตัวและ0.00 ตวั ตามลำดบั โดยหลังจากการใช้มาตรการ 4 ข้ันตอนมีผลทำให้ลูกอ๊อดท่ี พัฒนาเปน็ ตวั กบแลว้ ตายโดยไม่ทราบสาเหตุลดลงอยา่ งมคี วามแตกตา่ งกันทางสถิติ (p<0.05) (ตารางท่ี 2) รูปท่ี 12 ลูกกบตายโดยไม่ทราบสาเหตุ 7. เงนิ ท่ีขายได้ลูกอ๊อด ลูกกบ (บาท) พบวา่ จำนวนเงินที่ไดจ้ ากการจำหน่ายลูกอ๊อด ลกู กบ กอ่ นและหลังการใช้มาตรการ 4 ขั้นตอนเท่ากับ 1,102บาทและ14,525.22บาท ตามลำดับโดยหลังจากการใช้มาตรการ 4 ขั้นตอนมีผลทำให้รายได้จากการ จำหนา่ ยลูกออ๊ ด ลูกกบเพมิ่ ขนึ้ อย่างมคี วามแตกตา่ งกันทางสถิติ (p<0.05) (ตารางท่ี 2) 8. ผลการตรวจเชือ้ แบบ PCR พบว่าก่อนการใช้มาตรการ 4ขั้นตอนพบการติดเชื้อไมโคแบคทีเรียมในพ่อแม่พันธุ์และลูกกบและ หลงั จากการใชม้ าตรการ 4ขน้ั ตอนเมื่อนำไปตรวจเชื้อแบบPCRไปผลการตรวจปรากฏว่าพ่อแม่พันธ์ุและลูกกบ จากฟารม์ เพาะเลี้ยงกบของคุณยุทธพงษ์ จากจังหวัดพษิ ณโุ ลกไมพ่ บการตดิ เชือ้ ไมโคแบคทีเรยี ม (ตารางที่

24 รปู ที่ 13 ผลการตรวจpcr ก่อนการใช้มาตราการในพนื้ ที่จังหวัดพิษณุโลก รูปที่ 14 ผลการตรวจpcr หลังการใชม้ าตราการในพ้ืนที่จังหวดั พิษณโุ ลก

25 ตารางที่ 2 แสดงผลการทดลองเปรียบเทียบก่อนและหลังการใช้4มาตรการในการเพาะเลี้ยงกบพื้นที่จังหวัด พิษณโุ ลก การทดลอง การเปรยี บเทยี บ จำนวนครั้ง ค่าเฉล่ีย S.D. T Sig 90.56 0.000 ร้อยละลูกอ๊อดตายช่วง ก่อนเขา้ ร่วม 9 2.89 7.683 31.435 15.89 1.054 0.003 7-10วัน หลงั เข้าร่วม 9 0.00 8.33 0.000 ร้อยละขาหนา้ ไม่งอก กอ่ นเขา้ ร่วม 9 0.00 11.634 4.097 หลงั เข้ารว่ ม 9 8.67 0.000 0.000 75.78 พ่อแม่พนั ธุ์ตาย(ตวั ) กอ่ นเขา้ รว่ ม 9 1044.44 4.272 5.852 0.000 14525.22 0.000 หลงั เข้าร่วม 9 31.33 0.011 0.00 น้ำหนักลูกอ๊อดที่ได้ กอ่ นเข้าร่วม 9 1102.00 5.874 -15.825 0.000 14525.22 8.941 พบเช้ือ (กก) หลังเขา้ ร่วม 9 พบเชอ้ื ไมพ่ บเช้อื ไม่พบ จำนวนลกู กบทีไ่ ด(้ ตัว) กอ่ นเขา้ ร่วม 9 731.200 -8.974 หลงั เข้าร่วม 9 4274.356 เป็นตัวกบแล้วตายโดย กอ่ นเข้ารว่ ม 9 28.566 3.291 0.000 ไมท่ ราบสาเหตุ(ตวั ) หลังเขา้ ร่วม 9 เงินที่ขายได้ลูกอ๊อด+ ก่อนเขา้ ร่วม 9 785.607 -8.699 4274.356 ลูกกบ(บาท) หลังเขา้ รว่ ม 9 ผลการตรวจเชื้อแบบ กอ่ นเขา้ ร่วม 9 พบเชือ้ พบเชอื้ PCR หลังเข้ารว่ ม 9 ไมพ่ บ ไม่พบเชื้อ

26 พืน้ ท่กี ารทดลองท่ี 3 พื้นท่ภี าคกลาง จังหวัดชัยนาท คุณบุญเรือง มผี ลการทดลองดังน้ี 1. รอ้ ยละการตายของลกู ออ๊ ดในช่วง 7-10 วัน พบว่าร้อยละการตายของลูกอ๊อดในช่วง 7-10 วัน ก่อนและหลังการใช้มาตรการ 4 ขั้นตอนเท่ากับ ร้อยละ 94.44และ 3.44 ตามลำดับ โดยหลังจากการใช้มาตรการ 4 ขั้นตอนมีผลทำให้ร้อยละการตายของลูก อ๊อดในช่วง 7-10 วันลดลงอย่างมีความแตกต่างกันทางสถติ ิ (p<0.05) (ตารางที่ 3) 2. รอ้ ยละขาหน้าไม่งอก พบว่าร้อยละขาหน้าไม่งอก ก่อนและหลังการใช้มาตรการ 4 ขั้นตอนเท่ากับ ร้อยละ13.56และ0.00 ตามลำดับโดยหลังจากการใช้มาตรการ 4 ขั้นตอนมีผลทำให้อัตราร้อยละขาหน้าไม่งอกลดลงอย่างมีความ แตกตา่ งกนั ทางสถติ ิ (p<0.05) (ตารางท่ี 3) รูปท่ี 15 ลูกอ๊อดที่เริม่ พฒั นาเปน็ ตัวกบไม่พบอาการขาหน้าไม่งอก 3. อัตราการตายของพอ่ แมพ่ นั ธุ์ พบว่าอัตราการตายของพ่อแม่พันธ์ุ ก่อนและหลังการใช้มาตรการ 4 ขั้นตอนเท่ากับร้อยละ 5.33และ 0.22ตามลำดับโดยหลังจากการใช้มาตรการ 4 ขั้นตอนมีผลทำให้อัตราการตายของพ่อแม่พันธุ์ลดลงอย่างมี ความแตกต่างกนั ทางสถิติ (p<0.05) (ตารางท่ี 3) รปู ที่ 16 อาการป่วยตายของพ่อพนั ธ์ุกบเน่ืองจากติดเชอ้ื ไมโคแบคทีเรยี ม

27 4. น้ำหนกั ลูกออ๊ ด พบว่าน้ำหนักลูกอ๊อดก่อนและหลังการใช้มาตรการ 4 ขั้นตอนเท่ากับ 2.39 กก.และ135.11 กก. ตามลำดับโดยหลังจากการใช้มาตรการ 4 ขั้นตอนมีผลทำให้น้ำหนักลูกอ๊อดที่ได้เพิ่มขึ้นอย่างมีความแตกต่าง กันทางสถิติ (p<0.05) (ตารางท่ี 3) รปู ที่ 17 ลกู อ๊อดอายุ 15 วนั 5. จำนวนลกู กบทีไ่ ด้ พบวา่ จำนวนลูกกบท่ีได้ก่อนและหลังการใช้มาตรการ 4 ข้นั ตอนเท่ากับ 135.11ตวั และ16,781.67ตัว ตามลำดับโดยหลังจากการใช้มาตรการ 4 ขั้นตอนมีผลทำให้จำนวนลูกกบที่เพาะได้เพิ่มขึ้นอย่างมีความ แตกตา่ งกนั ทางสถติ ิ (p<0.05) (ตารางท่ี 3) รปู ที่ 18 ลูกกบทเี่ พาะพันธุไ์ ด้จากพืน้ ที่ทดลองจังหวดั ชัยนาท

28 6. เป็นตัวกบแล้วตายโดยไมท่ ราบสาเหต(ุ ตวั ) พบวา่ จำนวนลูกอ๊อดท่ีพัฒนาเป็นตวั กบแล้วตายโดยไม่ทราบสาเหตทุ ่ีได้ก่อนและหลังการใช้มาตรการ 4 ขัน้ ตอนเท่ากบั 14.11 ตวั และ0.00 ตวั ตามลำดับโดยหลงั จากการใชม้ าตรการ 4 ข้ันตอนมีผลทำให้ลูกอ๊อดท่ี พฒั นาเปน็ ตวั กบแล้วตายโดยไม่ทราบสาเหตุลดลงอย่างมคี วามแตกต่างกนั ทางสถติ ิ (p<0.05) (ตารางท่ี 3) รปู ที่ 19 ลกู กบตายโดยไม่ทราบสาเหตุ 7. เงินทข่ี ายได้ลกู ออ๊ ด ลกู กบ(บาท) พบวา่ จำนวนเงินที่ไดจ้ ากการจำหน่ายลูกอ๊อด ลูกกบ กอ่ นและหลังการใช้มาตรการ 4 ขั้นตอนเท่ากับ 121.00บาทและ16,781.67บาท ตามลำดับโดยหลังจากการใช้มาตรการ 4 ขั้นตอนมีผลทำให้รายได้จากการ จำหน่ายลูกออ๊ ด ลกู กบเพ่ิมขึ้นอย่างมคี วามแตกตา่ งกนั ทางสถติ ิ (p<0.05) (ตารางที่ 3) 8.ผลการตรวจเช้ือแบบPCR พบว่าก่อนการใช้มาตรการ 4ขั้นตอนพบการติดเชื้อไมโคแบคทีเรียมในพ่อแม่พันธุ์และลูกกบและ หลังจากการใชม้ าตรการ 4ขั้นตอนเมื่อนำไปตรวจเชื้อแบบPCRไปผลการตรวจปรากฏว่าพ่อแม่พันธ์ุและลูกกบ จากฟารม์ เพาะเลย้ี งกบของคุณบุญเรือง จากจังหวัดชัยนาทไมพ่ บการตดิ เชื้อไมโคแบคทีเรียม (ตารางที่ 3)

29 รปู ที่ 20 ผลตรวจ pcr ก่อนการใช้มาตราการในพืน้ ที่จังหวัดชัยนาท รปู ที่ 21 ผลตรวจ pcr หลงั การใช้มาตราการในพนื้ ท่ีจังหวดั ชยั นาท

30 ตารางที่ 3 แสดงผลการทดลองเปรียบเทียบก่อนและหลังการใช้4มาตรการในการเพาะเลี้ยงกบพื้นที่จังหวัด ชัยนาท การทดลอง การเปรยี บเทียบ จำนวนครั้ง คา่ เฉลยี่ S.D. T Sig ร้อยละลูกอ๊อดตาย กอ่ นเข้าร่วม 9 94.44 7.683 34.954 0.000 9 3.44 1.130 ชว่ ง7-10วัน หลงั เขา้ ร่วม ร้อยละขาหน้าไม่ ก่อนเขา้ รว่ ม 9 13.56 16.584 งอก หลังเข้ารว่ ม 9 0.00 0.000 2.452 0.040 พอ่ แม่พนั ธุต์ าย(ตวั ) ก่อนเข้ารว่ ม 9 5.33 2.500 7.342 0.000 9 0.22 0.667 0.000 หลงั เขา้ ร่วม 9 0.000 9 น้ำหนักลูกอ๊อดที่ได้ กอ่ นเข้าร่วม 9 2.39 2.977 -30.478 0.49 9 82.78 6.037 (กก) หลังเข้าร่วม 9 จำนวนลูกกบที่ได้ กอ่ นเขา้ ร่วม 9 135.11 175.699 -21.597 16781.67 2212.012 (ตวั ) หลงั เขา้ ร่วม 9 เป็นตัวกบแล้วตาย กอ่ นเข้าร่วม 9 14.11 18.258 โดยไม่ทราบสาเหตุ หลังเขา้ ร่วม 9 0.00 0.000 2.319 (ตัว) 9 เ ง ิ น ท ี ่ ข า ย ไ ด้ ก่อนเขา้ ร่วม 121.00 158.172 16781.67 2212.012 -21.703 0.000 ลูกอ๊อด+ลูกกบ หลังเขา้ รว่ ม (บาท) ผลการตรวจเชื้อ กอ่ นเข้าร่วม พบเช้ือ พบเชอ้ื พบเช้อื พบเช้ือ ไมพ่ บ ไม่พบ ไม่พบเช้อื ไม่พบเช้ือ แบบPCR หลังเข้ารว่ ม

31 บทที่ 5 สรุปผลการวจิ ยั และขอ้ เสนอแนะ จากการศึกษาเทคนิคการจัดการฟาร์มเพาะเลี้ยงกบให้ปลอดภัยจากเชื้อไมโคแบคทีเรีย โดยใช้ มาตราการ 4 ขนั้ ตอนพบว่า 1. รอ้ ยละลกู อ๊อดตายช่วง 7-10 วัน พบวา่ หลังจากใช้มาตรการ 4 ขัน้ ตอนมีผลใหก้ ารตายของลูกอ๊อด ในช่วง 7-10 วันลดนอ้ ยลงซึ่งฟาร์มเพาะเลี้ยงกบพืน้ ที่จังหวัดชลบรุ ีพบการตายลดลงมากที่สดุ จากเดิม ร้อยละ 93.33เหลอื เพียง ร้อยละ 2.22 2. ร้อยละขาหน้าไม่งอก พบว่าพบว่าหลังจากใช้มาตรการ 4 ขั้นตอนมีผลให้ไม่พบอาการลูกอ๊อดขา หนา้ ไมง่ อกจากฟาร์มทดลองทั้ง 3 แหง่ 3. พอ่ แมพ่ นั ธุ์ตาย(ตวั ) พบว่าหลังจากใช้มาตรการ 4 ข้นั ตอน มผี ลใหก้ ารตายของพ่อแม่พันธ์ุกบลดลง ซึ่งฟาร์มเพาะเลี้ยงกบพื้นที่จังหวัด พิษณุโลก ไม่พบการตายหลังจากการใชม้ าตรการ 4 ขั้นตอนจากเดิมมีการ ตายของพอ่ แมพ่ นั ธ์ุ 8.33 ตัว 4. น้ำหนักลูกอ๊อดที่ได้ (กก) พบว่าหลังจากใช้มาตรการ 4 ขั้นตอนมีผลให้น้ำหนักลกู อ๊อดที่ได้เพิ่มขึ้น ซึ่งฟาร์มเพาะเลี้ยงกบพ้ืนท่ีจงั หวักชัยนาทมีการเพ่ิมข้นึ ของน้ำหนังลูกอ๊อดมากที่สุด จากเดมิ 2.39 กก.หลังเข้า รว่ มการทดลองไดน้ ้ำหนักลกู อ๊อด 82.78 กก. 5. จำนวนลกู กบท่ีได้ (ตวั ) พบวา่ หลงั จากใช้มาตรการ 4 ขน้ั ตอนมผี ลให้ทั้ง 3 พืน้ ที่เพาะพันธ์ุลูกกบได้ เพิ่มมากขึ้นซึ่งฟาร์มทดลองพื้นทีจ่ ังหวัดชัยนาทเพาะพันธุล์ ูกกบเพิ่มขึ้นมากที่สุดจากเดมิ 135.11 ตัว หลังเข้า รว่ มการทดลองจำนวนลูกกบท่ไี ด้เพ่ิมขนึ้ เป็น 16,781.67 ตัว 6. เป็นตัวกบแล้วตายโดยไม่ทราบสาเหตุ (ตัว) พบว่าหลังจากใช้มาตรการ 4 ขั้นตอนมีผลให้ทั้ง 3 พื้นทไ่ี ม่พบการตายโดยไมท่ ราบสาเหตขุ องลกู กบ 7. เงินทขี่ ายได้ลูกอ๊อด ลกู กบ (บาท) พบวา่ หลังจากเขา้ รว่ มโครงการทดลอง ฟาร์มเพาะเล้ียงกบท้ัง 3 พื้นที่มีรายได้จากการจำหน่ายลูกอ๊อดและลูกกบเพิ่มมากขึ้นโดยฟาร์มทดลองจากจังหวัดชัยนาทมีรายได้จาก การจำหนา่ ยลกู อ๊อดลกู กบเพ่ิมข้นึ มากท่สี ุดจากเดมิ 121.00 บาทหลังจากเขา้ รว่ มงานทดลองมีได้ถึง16,781.67 บาท

32 จากผลการทดลองแสดงให้เห็นว่าเทคนิคการจัดการฟาร์มเพาะเลี้ยงกบให้ปลอดภัยจากเชื้อไมโค แบคทเี รยี โดยใช้มาตราการ 4 ขนั้ ตอนได้แก่ 1.กำจดั กบและฆ่าเชื้อบริเวณฟาร์มเพาะเล้ยี งกบด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อ แบคทีเรยี 2.นำพ่อแม่พันธุ์เข้ามาเลี้ยงใหม่โดยต้องผ่านการตรวจชันสูตรโรคโดยวิธี PCR 3.ทำการเปลี่ยนถ่าย น้ำกบพ่อแม่พันธุ์ก่อนและหลังให้อาหารทุกมื้อและลดการสัมผัสกบโดยตรงด้วยมือเปล่าควรใส่ถุงมือและ รองเท้าบู้ทขณะจัดการสุขาภิบาลฟาร์มเพาะเลี้ยงกบ4.ตรวจโรคลูกกบและพ่อแม่พันธุ์กบเป็นประจำทุกๆ 6 เดือนโดยวิธี PCR หาเชื้อไมโคแบคทีเรีย สามารถแก้ไขปัญหาการเพาะเลี้ยงกบที่มีสาเหตุจากเชื้อไมโค แบคทีเรยี มได้ ข้อเสนอแนะ ควรศกึ ษาควบคมุ การจดั การฟาร์มโดยมขี นั้ ตอนดังนี้ 1. ป้องกนั การสัมผัสกับกบโดยตรงควรมีเคร่อื งปอ้ งกนั เช่นถุงมือ รองเท้าบู๊ท 2. ควรปอ้ งกนั การปนเป้ือนจากสัตว์อนื่ เชน่ นก หนู หรอื สตั วอ์ ่ืนๆ 3. ควรเล้ียงพ่อแม่พันธุก์ บในรม่ เพ่ือป้องกันการเทไข่เม่ือฝนตก 4. ควรนำเทคนิควิธีการเลย้ี งพ่อแม่พันธ์ทุ ่ีไดผ้ ลในการทดลองครัง้ นี้ไปทดลองใช้กบั ฟาร์มทีป่ ระสบ ปญั หาในภูมภิ าคต่างๆ

33 บรรณานุกรม กรมประมง. (2536). การเพาะเล้ียงกบ. งานเอกสารคำแนะนำ, กองส่งเสรมิ การประมง, กรม ประมง, กรุงเทพฯ. 22 น. กมั พล อศิ รางกูร ณ อยุธยา, นงเยาว์ จนั ทร์ผ่อง และ ผสุ ตี ปริยานนท์. (2532). “สณั ฐานและกาย วภิ าคของ กบนา(Ranategerina)”. วารสารวจิ ัยวทิ ยาศาสตร์. 14(2) : 91-98 จิรสา กรงกรด, โศรดา ขนุ โหร. (2549). กรดไฮโดรคลอรกิ . โครงการเคม.ี เต็มดวง สมคิริ, สปุ ราณี ชนิ บุตร, สรุ ิยนต์ สุนทร1วิทย์และสภุ าพร อารกี ิจ. (2538). “การศึกษาการ พฒั นา ของไขก่ บจนถงึ ระยะตัวออ่ น”. วารสารประมง 48. (1) : 41-46 ถาวร สุภาพรม, ประจกั ษ์ จันทร์ตรี, และวารณิ ี พละสาร. (2538). รายงานการรกั ษาเซลลพ์ นั ธุศาสตรแ์ ละ เซลล์อนุกรมวิธานของสัตว์สะเทินน้ำสะเทินบกในภาคตะจันออกเฉียงเหนือ ของประเทศไทย. มหาวทิ ยาลยั อุบลราชธานี, อุบลราชธาน.ี ทองยุน่ ทองคลองไทร, วสนั ต์ ปอ้ มเสมา, วุฒิ รัตนวิชยั , และชัยสงคราม ภูก่ิงเงิน. “การพฒั นารูปแบบการ เลี้ยงกบลูกผสมในบ่อซีเมนต์ กระชังและบ่อดิน”. กาฬสินธุ์: สถาบันเทคโนโลยีราชมงคล วิทยาเขต กาฬสนิ ธุ์.2554. ทศพร วงศร์ ัตน์. (2534). “ปัญหาส่ิงแวดล้อมและการเสื่อมสญู พนั ธุกบ เขียด”. วารสาร ราชบณั ฑิตยสถาน 16. (3) : 23-38. ธีรวรรณ รศั มที ตั , ผสุ ตี ปรยิ านนท์, กิ่งแก้ว วฒั นเสริมกจิ ,วีณา วลิ าศเ์ ดชานนท์และนงเยาว์ จนั ทร์ผอ่ ง. (2531). “การทำฟาร์มเล้ยี งกบแบบไมค่ รบวงจร”. วารสารวิจยั วิทยาศาสตร1์ 0.(2) :48-49 ผุสตี ปริยานนท์, กมั พล อศิ รางกูร ณ อยธุ ยา, นงเยาว์ จนั ทรผ์ อ่ ง, ธรี วรรณ นตุ ประพนั ธ์และ วิโรจน์ ดาวฤกษ์. (2535). การเลย้ี งกบชีววทิ ยา การเลี้ยงและวิธีขยายพนั ธ์ คณะวทิ ยาศาสตร์, จฬุ าลงกรณ์มหาวิทยาลัย , กรงุ เทพฯ. 43 น. ผสุ ตี ปริยานนท์, ก่งิ แก้ว วัฒนเสริมกิจ,วีณา วิลาศ์เดชานนท์, นงเยาว์ จันทร์ผอ่ งและธรี วรรณ รัศมีหัต. (2528). “การทำฟาร์มเลี้ยงกบแบบไมค่ รบวงจร”. วารสารวจิ ยั วิทยาศาสตว์10 (1) :56-67 รณชัย หมอด.ี (2536). “อาหารสำเร็จกับการพฒั นาการเลี้ยงกบ”. วารสารสัตว์น้ำ 4. (43 ): US-114 วัฒนา โฆษติ านนท์ (2527). เร่ือง การสำรวจชนิดของสัตวค์ ร่ึงนำ้ ครง่ี บกในเขตอำเภอเมอื ง จงั หวัดเพชรบรู ณ์. วิทยานิพนธ์ปรญิ ญาโท.มหาวทิ ยาลัยเกษตรศาสตร์, กรุงเทพฯ. วิทย์ ธารชลานกุ จิ . (2529). การเลีย้ งกบ. ภาควิชาเพาะเลี้ยงสัตวน์ ำ้ , คณะประมง,มหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร์, กรุงเทพฯ. 59 น.

34 ศภุ ชัย ชาตวิ รากุล. (2537). คูม่ อื การเลย้ี งกบเป็นการค้า. โอเตียนสโตร.์ กรงุ เทพฯ. ศภุ ชัย ใหมส่ ริ ิ. (2544). การเลีย้ งกบ. ชมรมผเู้ ลี้ยงกบแห่งประเทศไทย. เกษตรบูค๊ . นนทบุรี: 66¬69, 82-88. สถาบันสง่ เสรมิ การสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท). เทคนคิ PCR การเพม่ิ จำนวน DNA และ วินจิ ฉยั โรคบางชนดิ . สถาบนั ส่งเสรมิ การสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท). สุภาพร อารีกิจ. (2540). เรอื่ ง การศกึ ษาเนอ้ื เยื่อปกตขิ องกบนา. วทิ ยานพิ นธ์ปริญญาโท. มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์, กรงุ เทพฯ. สมพงษ์ บัวแย้ม. 2553. ครบเคร่อื งเรื่องการเล้ียงกบ. ทานตะวนั , กรุงเทพฯ. สชุ าติ อุปถมภ.์ (2538). การพัฒนาสูตรอาหารเมด็ . คณะวิทยาศาสตร์. มหาวทิ ยาลัยมหดิ ล, กรุงเทพฯ. อนุวัติ อุปนันไชย, สพุ ัตร ศรพี ัฒน, พชั รี สงิ หสม.(2548).การเลี้ยงกบนาในบอซเี มนตด์ ว้ ยอัตราความหนา แนนทแ่ี ตกตางกัน. เอกสารวชิ าการฉบับที่ ๑๑/๒๕๔๘. ศูนยว์ จิ ยั และพฒั นาประมงนา้ํ จดื แพร่, กรม ประมง. 38 หน้า. อ.น.สพ.ดร. ชาญณรงค์ รอดคํา.โรคตดิ เชอ้ื แบคทีเรยี ในปลา.ภาควิชาจุลชีววิทยา คณะสัตวแพทยศ์ าสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลัย. Badach, J. E., J. H. Ryther and W.O.Mclarney. (1992). Frog Culture เท the Farming and Husbandary of Freshwater and Marine Organism . Wiley-lnterscience, A Division of Jonh Wiley & Son. Inc., Canada. 868 p Gaze, R. M., M.J. Keating and S.H. Chung. (1974). The evolution of the retinotecta! during development inXenopus. Proc. R. Soc. Biol. 185 : 301-330 Hourdry, J., A.L’ Hermite and F. Raymond. (1996). Les m”etamorphoses des amphibians Masson Singer-Polignac, Paris. 275 p. Longcore, J. E., Pessier, A. P. and Nichols, D. K.1999.Batrachochytrium dendrobatidis gen. et sp. nov.,a chytrid pathogenic to amphibians. Mycologia.91: 219–227 Mohanty-Heimadi, p. and S.K.Dutta. (1968). Breeding and development of Rana cyanophyletis. Jur.Bombay Nat. Hist.Soc. 76 (2) : 291-296 Nishikawa, K.c. and G. Roth. (1991). The mechanism of tongue protraction during prey capture the frog Discogloossus pictus. J. Exp. Biol. 159 : 217-234. Taylor, E.H. (1962). The Amphibian Fauna of Thailand. University of Kansas Science Bull. XLII (8) : 265-478.

35 Temdoung Somsiri (Department of Fisheries, Bangkok (Thailand). Inland Fisheries Research and Development Bureau. Aquatic Animal Health Research Institute) Wilson, R.p. and J.E. Halver. (1986). Protein and amino acid requirements of fishes. Ann.Rev. 6 : 244-255. Yokoyama, H., T. Endo, H. Yajima and H. Ide. (1998). Multiple digit formation in Xenopus limp bud recombinants. Developmental Biol. 196 (1) : 1-10. Zug, G.R. (1993). Herpetology: An Introductory Biology of Amphibians and Reptiles. Academic press. Inc., London.

36 ภาคผนวก

37 ภาพผนวกที่ 1 ผ้เู ข้าร่วมโครงการทดลอง ภาพผนวกที่ 2 พน้ื ท่ีทดลองจังหวัดชลบรุ ี

38 ภาพผนวกที่ 3 พ้ืนทท่ี ดลองจังหวัดพิษณุโลก

39 ภาพผนวกที่ 4 พ้ืนท่ที ดลองจังหวดั ชัยนาท