1
การวัดและประเมินผลการเรียนรู้ของผู้เรยี น 2
การวดั (Measurement) ความหมาย ยังมีความเข้าใจคลาดเคล่ือนเกี่ยวกับ การวัด และ การวัดผล บางคนเข้าใจว่า2 คาน้ีเป็นคา เดียวกนั มคี วามหมายเหมือนกัน เพราะมาจากภาษาอังกฤษคาเดียวกันคือ measurement แต่ในภาษาไทย 2 คานี้มีความหมายแตกตา่ งกนั เล็กนอ้ ย ดงั นี้ การวดั เปน็ กระบวนการกาหนดตวั เลขหรอื สญั ลักษณแ์ ทนปริมาณหรอื คุณภาพของคณุ ลกั ษณะหรอื คณุ สมบตั ิของสง่ิ ท่ตี อ้ งการวดั การวัดผล เป็นกระบวนการกาหนดตัวเลขหรือสัญลักษณ์แทนปริมาณหรือคุณภาพของคุณลักษณะ หรือคุณสมบัติของสิ่งที่ต้องการวัด โดยสิ่งที่ต้องการวัดนั้นเป็นผลมาจากการกระทาหรือกิจกรรมอย่างใด อย่างหนง่ึ หรอื หลายอยา่ งร่วมกนั เชน่ การวัดผลการเรียนรู้ ส่งิ ที่วดั คือ ผลทเ่ี กิดจากการเรยี นรูข้ องผู้เรียน 3
องค์ประกอบของการวัด องคป์ ระกอบของการวัดประกอบด้วย สิง่ ท่ีตอ้ งการวดั เครื่องมือวัด และผลของการ วัด ทีส่ าคัญที่สุด คือ เครื่องมอื วัด เคร่ืองมอื ทม่ี ีคณุ ภาพจะใหผ้ ลการวัดที่เท่ยี งตรงและแม่นยา ประเภทของส่งิ ท่ตี อ้ งการวัด 2. สงิ่ ที่เปน็ นามธรรม 1. ส่งิ ท่เี ปน็ รปู ธรรม เลข 0 นี้ เปน็ ศูนย์เทยี ม ตัวเลข 0 นเี้ ป็นศูนยแ์ ท้ (absolute zero) 10 แทนน้าหนักทั้งหมด ถ้าไม่มีคุณลักษณะ นักเรียนที่ได้ 0 คะแนน ก็ไม่ได้หมายความ ดังกล่าว เช่นหนัก 0 หน่วย ก็คือ ไม่มีนาหนัก ว่านกั เรยี นผู้นัน้ ไมม่ คี วามร้คู วามสามารถ เลย 4
ลกั ษณะการวัดทางการศกึ ษา การวดั ผลทางการศกึ ษา เปน็ กระบวนการวดั การเปล่ยี นแปลงพฤตกิ รรมของผ้เู รียนนิยมวัดผลการ เรียนรเู้ ปน็ 3 ดา้ นคือ พทุ ธิพิสัย (cognitive domain) จติ พิสยั (affective domain) และทักษะพสิ ยั (psychomotordomain) 1. เปน็ การวดั ทางอ้อม เชน่ การวัดความรบั ผิดชอบของนกั เรยี น ตอ้ งให้นยิ ามคุณลกั ษณะความรับผดิ ชอบเป็น พฤติกรรมทวี่ ดั ได้ โดยอาจจะแยกเป็นพฤติกรรมยอ่ ย เชน่ ไมม่ าโรงเรียนสาย ทางานทุกงานทไี่ ด้รบั มอบหมาย นา วัสดอุ ปุ กรณก์ ารเรียนท่คี รูส่งั มาครบทกุ ครง้ั สง่ งานหรือการบา้ นตามเวลาทีก่ าหนด เปน็ ตน้ 5
2. วัดได้ไม่สมบูรณ์ การวัดทางการศึกษาไม่สามารถทาการวัดคุณลักษณะที่ต้องการวัดได้ครบถ้วนสมบูรณ์ วัดได้เพียงบางสว่ น หรอื วดั ไดเ้ ฉพาะตัวแทนของคณุ ลักษณะท้งั หมด เช่นการวดั ความสามารถการอ่านคาของ นักเรียน ผู้วัดไม่สามารถนาคาทุกคามาทาการทดสอบนักเรียน ทาได้เพียงนาคาส่วนหน่ึงท่ีคิดว่าเป็นตัวแทน ของคาทง้ั หมดมาทาการวดั เป็นตน้ 3. มีความผิดพลาด สืบเนื่องจากการท่ีไม่สามารถวัดได้โดยตรง และการนิยามส่ิงท่ีต้องการวัดก็ไม่ สามารถนิยามให้เป็นพฤติกรรมท่ีวัดได้ได้ท้ังหมด จึงวัดได้ไม่สมบูรณ์ ตัวเลขหรือสัญลักษณ์ที่ได้จากการ วัดเป็นการประมาณคุณลักษณะท่ีต้องการวัด ซึ่งในความเป็นจริงคุณลักษณะดังกล่าวอาจจะมีมากหรือ น้อยกว่า ผลการวัดจึงมีความผิดพลาดของการวัด หรือคลาดเคล่ือนจากความเป็นจริง การวัดท่ีดี จะต้องให้เกดิ การผิดพลาดหรือคลาดเคลื่อนนอ้ ยท่สี ุด 6
4. อยู่ในรูปความสัมพันธ์ การที่จะรู้ความหมายของตัวเลขท่ีวัดได้ ต้องนาตัวเลขดังกล่าวไปเทียบกับเกณฑ์หรือเทียบกับคน อ่ืน เช่น นาคะแนนท่ีนักเรียนสอบได้เทียบกับคะแนนเฉลี่ยของกลุ่ม เทียบกับคะแนนของเพื่อนท่ีสอบพร้อมกัน หรือเทียบกับ คะแนนของนักเรียนเองกบั การสอบครั้งก่อนๆ ถ้าคะแนนสูงกว่าเพ่ือน แสดงว่ามีความสามารถในเรื่องท่ีวัดมากกว่าเพื่อนคน นนั้ หรอื ถ้ามีคะแนนสูงกวา่ คะแนนทตี่ นเองเคยสอบผา่ นมา แสดงว่ามีพัฒนาการขึ้น เป็นต้น 7
ลกั ษณะสาคญั ของเคร่ืองมือวัดผลทางการศึกษา เดก็ เก่งจะได้คะแนนสอบสงู ส่วนเดก็ ออ่ นจะได้ คะแนนต่าจรงิ 1.ความเที่ยงตรง (validity) 8 1.1 ความเทยี่ งตรงตามเน้อื หา (content validity) 1.2 ความเท่ียงตรงเชงิ สัมพนั ธ์ (criterion-related validity) 1.3 ความเท่ยี งตรงตามโครงสร้าง (construct validity) 2.ความเชื่อม่ัน (reliability) 2.1 การสอบซ้า (test and retest) 2.2 ใช้แบบทดสอบคู่ขนาน (parallel test หรือ equivalence tests) 2.3 วธิ แี บง่ ครง่ึ ขอ้ สอบ (split-half) 2.4 วธิ ี Kuder-Richardson (KR)
3. ความเป็นปรนยั (objectivity) 1) ผ้อู า่ นขอ้ สอบทกุ คนเข้าใจตรงกนั 2) ผูต้ รวจทกุ คนให้คะแนนได้ตรงกัน 4. ความยากงา่ ย (difficulty) 3) แปลความหมายของคะแนนไดต้ รงกัน 4.1.ความยากง่ายของแบบสอบทัง้ ฉบบั 5.อานาจจาแนก (discrimination) 4.2 ความยากง่ายรายขอ้ 5.1) คา่ อานาจจาแนกแบบทดสอบทัง้ ฉบับ 6.ความมีประสิทธิภาพ (efficiency) 5.2 คา่ อานาจจาแนกของแบบทดสอบรายขอ้ 8.คาถามลึก (searching) 10. ความจาเพาะเจาะจง (definite) 7.ความยุติธรรม (fair) 9. คาถามยวั่ ยุ (exasperation) 9
เครอ่ื งมอื ทใ่ี ช้วดั และประเมินผลด้านการศึกษา แบบทดสอบ แบบสอบถามแบบมาตราสว่ นประมาณค่า มาตราสว่ นประมาณคา่ ของลิเคริ ท์ (Likert rating scale) 10
แบบสารวจรายการ ตอบเพยี ง 2 ตัวเลือกว่า มี-ไม่ม,ี ใช-่ ไม่ใช,้ เคย-ไมเ่ คย แบบวดั เชิงสถานการณ์ ตัวอย่างเชน่ หากท่านพบผู้ปว่ ยท่เี ดนิ มาพบท่านดว้ ยลกั ษณะตวั เอียงอยา่ งมาก ทา่ นจะดาเนินการ อย่างไรเป็นลาดบั แรก ก.สอบถามชอื่ ทอ่ี ยู่ ข.สอบถามอาการปวด ค.ใหก้ ารรักษาทางกายภาพบาบดั ง.รีบให้ผปู้ ่วยนอนบนเตยี ง แบบสงั เกต 11
การวดั พฤติกรรมพทุ ธพิ ิสัย การวดั ด้านพทุ ธิพิสัย เปน็ การวัดความสามารถดา้ น สตปิ ญั ญา ประกอบดว้ ย ความสามารถด้าน ความรคู้ วามจา ความเข้าใจ การนาไปใช้ การ วิเคราะห์การสังเคราะห์ และ การประเมินคา่ การวดั ด้านจิตพสิ ยั จิตพิสัย เป็นพฤติกรรมเก่ียวกับความรู้สึกนึกคิดทางจิตใจ อารมณ์และ คุณธรรมของบุคคล ซ่ึงสามารถจาแนกออกได้เป็น 5 ระดับ คือ 1) การรับรู้2) การ ตอบสนอง 3) การสรา้ งคุณคา่ 4) การจดั ระบบคณุ คา่ 5)การสร้างลกั ษณะนสิ ัย 12
การวดั ดา้ นทักษะพิสัย ทักษะพิสัยเป็นความสามารถในเชิงปฏิบัติการหรือ การ ก ร ะ ท า ใ ห้ เ กิ ดผ ล อ ย่ าง ใดอ ย่ าง ห นึ่ ง ทั กษ ะ พิ สั ย ส าม าร ถ จาแนกออกเปน็ 7 ระดับ 1)การรบั รู้ 2)เตรียมความพรอ้ ม 3) การตอบสนองตามแนวทางที่กาหนดให้ 4) ความสามารถดา้ นกลไก 5) การตอบสนองทซี่ บั ซอ้ น 6) ความสามารถในการดัดแปลง 7)ความสามารถในการริเร่มิ 13
หลักการวดั ทางการศกึ ษา การที่จะวัดให้มีคุณภาพต้องนิยามคุณลักษณะที่ ต้องการวัดให้ตรงและชดั เจน 1. นิยามส่งิ ที่ต้องการวัดใหช้ ดั เจน 2. ใช้เคร่ืองมือวัดที่มคี ณุ ภาพ คุณภ าพข องเคร่ือง มือมีหลาย ประก าร ท่ีส าคัญคือ มคี วามตรง (validity) คือวดั ได้ตรงกบั คุณลกั ษณะทต่ี อ้ งการ 3. กาหนดเง่ือนไขของการวดั ให้ชัดเจน วัด และมีความเท่ียง (reliability) คือวัดได้คงที่ คือวัดได้กี่ ครัง้ กใ็ ห้ผลการวัดทไ่ี มเ่ ปล่ยี นแปลง กาหนดให้แน่นอนว่าจะทาการวัดอะไร วัดอย่างไร กาหนดตัวเลขและสัญลกั ษณ์อยา่ งไร 14
ข้ันตอนการวัดทางการศึกษา 1. ระบจุ ุดประสงคแ์ ละขอบเขตของการวัด วา่ วดั อะไร วัดใคร 2. นิยามคณุ ลักษณะทต่ี อ้ งการวัดใหเ้ ป็นพฤตกิ รรมที่วดั ได้ 3. กาหนดวิธีการวัดและเคร่ืองมือวัด 4. จัดหาหรอื สร้างเครือ่ งมือวดั 5. ดาเนนิ การวดั ตามวิธีการที่กาหนด 6. ตรวจสอบและวิเคราะหผ์ ลการวดั 7. แปลความหมายผลการวัดและนาผลการวดั ไปใช้ 15
การประเมิน (Evaluation or Assessment or Appraisal) การประเมิน เป็นกระบวนการต่อเนื่องจากการวัด คือ นาตัวเลขหรือสัญลักษณ์ท่ีได้จากการวัดมาตีค่า อย่างมีเหตุผล โดยเทียบกับเกณฑ์หรือมาตรฐานที่กาหนดไว้ เช่น โรงเรียนกาหนดคะแนนท่ีน่าพอใจของ วิชาคณิตศาสตร์ไว้ท่ีร้อยละ 60 นักเรียนท่ีสอบได้คะแนนต้ังแต่ 60 % ข้ึนไป ถือว่าผ่านเกณฑ์ท่ีน่าพอใจ หรอื อาจจะกาหนดเกณฑ์ไว้หลายระดับ การประเมนิ ผล มคี วามหมายเช่นเดียวกบั การประเมิน แต่ เป็นกระบวนการต่อเนอ่ื งจากการวัดผล 16
สาหรับภาษาอังกฤษมหี ลายคา ที่ใชม้ ากมี 2 คา คือ evaluation และ assessment 2 คาน้มี คี วามหมายต่างกนั คือ evaluation เป็นการประเมินตัดสิน มีการกาหนด Assessment เป็นการประเมินเชิงเปรียบเทียบ ใช้ เกณฑ์ชัดเจน (absolute criteria) เช่น ได้คะแนน เกณฑ์เชิงสัมพันธ์ (relative criteria) เช่น เทียบกับผล ร้อยละ 80 ขึ้นไป ตัดสินว่าอยู่ในระดับดี ฯลฯ การประเมินคร้ังก่อน เทียบกับเพื่อนหรือกลุ่มใกล้เคียง evaluation จะใช้กับการประเมินการดาเนินงานท่ัวๆ กัน assessment มักใช้ในการประเมินผลสัมฤทธ์ิ เช่น ไ ป เ ช่ น ก า ร ป ร ะ เ มิ น โ ค ร ง ก า ร ( Project ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน การประเมินตนเอง (Self Evaluation) การประเมินหลักสูตร (Curriculum Assessment) Evaluation) 17
ลกั ษณะการประเมนิ ทางการศกึ ษา 2. เป็นการประเมินคุณลักษณะ หรือพัฒนาการการเรียนรู้ของ 1. เป็นส่วนหน่ึงของกระบวนการเรียนการสอนหรือ ผู้เรียนว่าบรรลุตามจุดประสงค์ กระบวนการจัดการเรียนรู้ ซ่ึงควรทาการประเมิน หรือไม่ อย่างต่อเน่ือง เพ่ือนาผลการประเมินไปปรับปรุง กระบวนการเรยี นการสอนให้มีประสทิ ธิภาพยิ่งข้ึน 3. เป็นการประเมินในภาพรวมท้ังหมดของ 4. เปน็ กระบวนการเก่ียวข้องกับบุคลหลายกลุ่ม ผู้เรียน โดยการรวบรวมข้อมูลและประมวล ท้งั ครู นกั เรียน ผปู้ กครองนักเรียน ผู้บริหาร จากตัวเลขจากการวัดหลายวิธีและหลาย โรงเรียน และอาจรวมถึงคณะกรรมการต่างๆ แหลง่ ของโรงเรยี น 18
หลกั การประเมนิ ทางการศึกษา 1. ขอบเขตการประเมินตอ้ งตรงและครอบคลมุ หลักสูตร 2. ใชข้ ้อมูลจากผลการวดั ทค่ี รอบคลมุ จากการวดั หลายแหล่ง หลายวธิ ี 3. เกณฑ์ทใี่ ชต้ ัดสินผลการประเมนิ มีความชดั เจน เป็นไปได้ มคี วามยุติธรรม ตรงตามวตั ถปุ ระสงคข์ องหลักสตู ร 19
ข้ันตอนในการประเมนิ ทางการศึกษา 1. กาหนดจดุ ประสงคก์ ารประเมนิ 2. กาหนดเกณฑเ์ พอื่ ตคี ่าข้อมูลที่ไดจ้ าการวัด 3. รวบรวมขอ้ มลู จากการวัดหลายๆ แหล่ง 4. ประมวลและผสมผสานขอ้ มลู ตา่ งๆ ของทุกรายการที่วดั ได้ 5. วินิจฉยั ชี้บ่งและตัดสนิ โดยเทยี บกบั เกณฑ์ทตี่ งั้ ไว้ 20
ประเภทของการประเมินทางการศกึ ษา 1. แบง่ ตามจดุ ประสงคข์ องการประเมนิ 1.1 การประเมินก่อนเรยี น หรอื ก่อนการจัดการเรียนรู้ หรอื การประเมนิ พน้ื ฐาน (Basic Evaluation) เป็นการประเมนิ กอ่ นเรม่ิ ต้นการเรียนการสอนของแต่ละบทเรียนหรือแตล่ ะ หนว่ ย 1.2 การประเมินเพื่อพัฒนา หรือการประเมินย่อย การประเมนิ เพ่อื จัดตาแหน่ง (Placement (Formative Evaluation) เป็นการประเมินเพ่ือใช้ผลการ Evaluation) ประเมินเพื่อปรับปรุงกระบวนการจัดการเรียนรู้ การ ประเมนิ ประเภทนี้ใช้ระหวา่ งการจดั การเรยี นการสอน การประเมินเพ่ือวนิ จิ ฉัย (Diagnostic Evaluation) 21
1.3 การประเมินเพ่ือตัดสินหรือการประเมินผลรวม (Summative Evaluation) เป็นการประเมินเพื่อตัดสิน ผลการจัดการเรียนรู้ เป็นการประเมินหลังจากผู้เรียนได้ เรียนไปแล้ว อาจเป็นการประเมินหลังจบหน่วยการ เรยี นรู้หนว่ ยใดหนว่ ยหน่ึง 22
2. แบ่งตามการอา้ งองิ 2.1 การประเมินแบบอิงตน (Self-referenced Evaluation) เป็นการประเมินเพื่อนาผลจากการเรียนรู้มาเปรียบเทียบกับ 2 . 3 ก า ร ป ร ะ เ มิ น แ บ บ อิ ง เ ก ณ ฑ์ ความสามารถของตนเอง เป็นการประเมินเพ่ือปรับปรุงตนเอง (Criterion-referenced Evaluation) (Self Assessment) เช่น ประเมินโดยการเปรียบเทียบผลการ เป็นการนาผลการสอบท่ีได้ไปเทียบกับ ทดสอบกอ่ นเรียนกับทดสอบหลังเรียนของตนเอง เกณฑ์ท่ีกาหนดไว้ ความสาคัญอยู่ที่ เกณฑ์ โดยไม่จาเป็นต้องคานึงถึง 2.2 การประเมินแบบอิงกลุ่ม (Norm-referenced ความสามารถของกล่มุ Evaluation) เป็นการประเมินเพ่ือพิจารณาว่าผู้ได้รับ การประเมินแต่ละคนมีความสามารถมากน้อยเพียงใด เม่ือเปรียบเทียบกับกลุ่มท่ีถูกวัดด้วยแบบทดสอบฉบับ เดยี วกนั 23
3. แบ่งตามผู้ประเมิน 3.1 การประเมินตนเอง (Self Assessment) หรือการประเมิน ภายใน (Internal Evaluation) เป็นการประเมินลักษณะเดียวกับ การประเมนิ แบบอิงตน 3.2การประเมินโดยผู้อ่ืนหรือการประเมินภายนอก (External Evaluation) สืบเนื่องจากการประเมิน ตนเองหรือการประเมินภายในซึ่งมีความสาคัญมากใน การพัฒนาปรับปรุง แต่การประเมินภายในมีจุดอ่อนคือ ความน่าเช่อื ถือ 24
ความสาคญั ของการวดั และประเมนิ ผลการเรียนรู้ การวัดและประเมินผลการเรียนรู้ของผู้เรียน เป็นองค์ประกอบสาคัญในการ พัฒนาคุณภาพการศึกษา ทาให้ได้ข้อมูลสารสนเทศที่จาเป็นในการพิจารณาว่าผู้เรียน เกิดคุณภาพการเรียนรตู้ ามผลการเรียนรู้ท่คี าดหวังและมาตรฐานการเรียนรู้ 25
ประโยชนข์ องการวัดและการประเมนิ ผลการเรยี นรู้จาแนก เปน็ ด้านๆ ดงั น้ี 1. ดา้ นการจัดการเรียนรู้ 2. ด้านการแนะแนว 3. ดา้ นการบริหาร 4. ด้านการวิจัย 26
1. ด้านการจดั การเรยี นรู้ เพือ่ คดั เลอื ก (Selection) เพือ่ แยกประเภท (Classification) 1.1 เพื่อจัดตาแหนง่ (Placement) เพื่อพัฒนาการเรยี นรู้ของผเู้ รียน 1.2 เพอื่ วนิ จิ ฉัย (Diagnostic) เพ่อื ปรบั ปรุงการจดั การเรยี นรู้ 27
1.3 เพ่ือตรวจสอบและปรับปรงุ ปรับเปล่ียนวธิ ีการสอน (Teaching Method) ปรับเปลย่ี นสอ่ื การสอน (Teaching Media) ใช้นวัตกรรมการจดั การเรียนรู้ (Teaching Innovation) 1.4 เพอื่ การเปรยี บเทียบ (Assessment) ผเู้ รยี นมีพัฒนาการจากเดิมเพียงใด และอยู่ ในระดับทพี่ ึงพอใจหรอื ไม่ 1.5 เพื่อการตัดสิน ใชข้ อ้ มูลท่ไี ด้จากการวัดเทียบกบั เกณฑ์เพอ่ื ตดั สนิ ผลการเรียน วา่ ผา่ น-ไม่ผ่าน หรอื ให้ระดับคะแนน 28
2. ด้านการแนะแนว ผลจากการวัดและประเมินผู้เรียน ช่วยให้ ทราบว่าผู้เรียนมีปัญหาและข้อบกพร่องในเร่ืองใด มากนอ้ ยเพียงใด ซึ่งสามารถแนะนาและช่วยเหลือ ผู้เรียนให้แก้ปัญหา มีการปรับตัวได้ถูกต้องตรง ประเด็น นอกจากนี้ผลการวัดและประเมินยังบ่ง บอกความรู้ความสามารถ ความถนัด และความ สนใจของผู้เรียน ซึ่งสามารถนาไปใช้แนะแนว การศึกษาต่อและแนะแนวการเลือกอาชีพให้แก่ ผเู้ รยี นได้ 29
3. ดา้ นการบริหาร ช่วยให้ผู้บริหารเห็นข้อบกพร่องต่างๆ ของการจัดการเรียนรู้ เป็นการประเมินผลการ ปฏิบัติงานของครู และบ่งบอกถึงคุณภาพการ จั ด ก า ร ศึ ก ษ า ข อ ง ส ถ า น ศึ ก ษ า ผู้ บ ริ ห า ร สถานศกึ ษามกั ใช้ข้อมลู ได้จากการวดั และประเมนิ ใช้ในการตัดสินใจหลายอย่าง เช่น การพัฒนา บุคลากร การจัดครูเข้าสอน การจัดโครงการ การเปลยี่ นแปลงโปรแกรมการเรียน 30
4. ดา้ นการวิจยั 4.1 ข้อมูลจาการวัดและประเมินผลนาไปสู่ปัญหาการวิจัย เช่น ผลจากการวัดและประเมินพบว่าผู้เรียนมี จุดบกพร่องหรือมีจุดท่ีควรพัฒนาการแก้ไขจุดบกพร่องหรือการพัฒนาดังกล่าวโดยการปรับเปลี่ยนเทคนิควิธี สอนหรือทดลองใช้นวัตกรรมโดยใช้กระบวนการวิจัย การวิจัยดังกล่าวเรียกว่า การวิจัยในชั้นเรียน (Classroom Research) นอกจากนี้ผลจากการวัดและประเมินยังนาไปสู่การวิจัยในด้านอื่น ระดับอื่น เช่น การวิจยั ของสถานศึกษาเก่ียวกบั การทดลองใชร้ ปู แบบการพฒั นาคณุ ลกั ษณะของผูเ้ รยี น เปน็ ต้น 4.2 การวัดและประเมินเป็นเคร่ืองมือของการวิจัย การวิจัยใช้การวัดในการรวบรวมข้อมูลเพ่ือศึกษา ผลการวิจัย ขนั้ ตอนนเี้ ร่มิ จากการหาหรอื สรา้ งเคร่ืองมอื วดั การทดลองใช้เคร่ืองมือ การหาคุณภาพเคร่ืองมือ จนถึงการใชเ้ ครอ่ื งมือท่มี คี ณุ ภาพแล้วรวบรวมข้อมูลการวัดตัวแปรที่ศึกษา หรืออาจต้องตีค่าข้อมูล จะเห็นว่า การวัดและประเมินผลมบี ทบาทสาคญั มากในการวจิ ยั เพราะการวดั ไมด่ ี ใชเ้ ครอ่ื งมอื ไมม่ คี ณุ ภาพ ผลของการ วิจยั กข็ าดความน่าเช่ือถอื 31
การวดั และประเมินกอ่ นเรียน ระหว่างเรยี น และหลงั เรยี น 1. ก่อนเรียน การวดั และประเมินก่อนเรียนมจี ุดประสงค์เพื่อมทราบสภาพของผูเ้ รยี น ณ เวลาก่อนทจ่ี ะ เรยี น เช่น ความรพู้ น้ื ฐานในกล่มุ สาระการเรียนรู้ตา่ งๆ เป็นต้น 2. ระหวา่ งเรียน จุดประสงค์ของการวัดและประเมินระหว่างเรียน เพ่ือตรวจสอบความก้าวหน้าหรือพัฒนาการของผู้เรียนด้าน ความรู้ ทกั ษะกระบวนการ และคุณลกั ษณะที่พึงประสงค์ จากการเรียนรู้และการร่วมกิจกรรมของผู้เรียน โดยเทียบกับ ผลการวัดและประเมนิ ก่อนเรียน การวัดและประเมนิ ระหวา่ งเรยี นจะทาให้ได้ข้อมูลที่บ่งบอกถึงพัฒนาการการเรียนรู้ของ ผเู้ รยี น ในขณะเดยี วกนั ยงั สะทอ้ นใหเ้ ห็นถงึ คณุ ภาพการจดั การเรียนการสอนของครูด้วย 32
3. หลงั เรียน หน้าหลกั จุดประสงค์ของการวัดและประเมินหลังเรียน เพ่ือ 33 ตรวจสอบผลการเรียนของผู้เรียนด้านความรู้ ทักษะ กระบวนการ และคุณลักษณะที่พึงประสงค์ จากการ เรียนรูแ้ ละการรว่ มกจิ กรรมของผเู้ รยี น โดยเทยี บกบั ผลการ วัดและประเมินก่อนเรียนและระหว่างเรียน การวัดและ ประเมินหลังเรียนจะทาให้ได้ข้อมูลที่บ่งบอกถึงพัฒนาการ การเรียนรู้ของผู้เรียน ในขณะเดียวกันยังสะท้อนให้เห็นถึง คุณภาพการจัดการเรียนการสอนของครดู ว้ ย
34
Search
Read the Text Version
- 1 - 34
Pages: