สแกนเพอื่ อา่ น E-Book เดอื นรตั น์ เฉลยี วกจิ ศูนยว์ ทิ ยาศาสตร ์ เพอ่ื การศกึ ษาสระแกว้
ฐานการเรียนร้ทู ี่ 4 เรื่อง สารเพอื่ ชวี ิต ประกอบด้วยแผนการจดั กิจกรรมการเรียนรทู้ ่ี 4 เรอ่ื ง สารเพ่อื ชีวติ จานวน 2 ช่วั โมง
แผนการจัดกจิ กรรมการเรยี นรูท้ ี่ 4 เรอ่ื ง สารเพ่ือชวี ติ เวลา 2 ชว่ั โมง แนวคิด ในชีวิตประจาวัน เราจะต้องเก่ียวข้องกับสารหลายชนิด ซึ่งมีลักษณะแตกต่างกัน สารท่ีใช้ใน ชีวิตประจาวนั จะมีสารเคมเี ป็นองคป์ ระกอบ ซ่ึงสามารถจาแนกเป็นสารสังเคราะห์ และสารธรรมชาติ เช่น สาร ปรุงรสอาหาร สารทาความสะอาด เครื่องสาอาง สารกาจัดแมลง และสารกาจัดศัตรูพืช โดยถ้านาไปใช้ เก็บ หรือทาลายทิ้ง อย่างไม่ถูกวธิ ี อาจเป็นอันตรายตอ่ สุขภาพ และส่ิงแวดล้อม หรอื อาจติดไฟทาลายทรัพย์สินได้ อย่างไรก็ตาม ถ้าเรารู้จักใช้ เก็บ และทิ้งผลิตภัณฑ์เหล่านี้อย่างถูกวิธี เราก็จะสามารถป้องกันอันตรายท่ีอาจ เกดิ ขน้ึ ได้ และใชผ้ ลิตภัณฑเ์ หลา่ นี้ได้อยา่ งปลอดภัย วัตถปุ ระสงค์ เม่อื สิ้นสุดแผนการจัดกจิ กรรมการเรียนรูน้ ้ีแล้ว ผู้รับบรกิ ารสามารถ 1. อธิบายสารและสมบัติของสาร 2. ทดสอบสารและผลิตภัณฑ์ของสารที่ใช้ในชีวติ ประจาวัน 3. เหน็ ความสาคัญของการเลือกใช้สารในชีวิตประจาวัน เนอื้ หา 1.สารและสมบัติของสาร 1.1 สมบตั ิทั่วไปของสาร 1.2 สถานะของสาร 2. สารและผลติ ภัณฑ์ของสารที่ใช้ในชวี ติ ประจาวนั 2.1 สารปนเปอื้ น 2.2 การเลือกซอ้ื และการเลือกใช้สาร
ขนั้ ตอนการจดั กิจกรรมการเรยี นรู้ ขัน้ ตอนที่ 1 กจิ กรรมการเรยี นรู้ประสบการณท์ างวิทยาศาสตร์ (S : Science Experience Activity) 1. ผู้จัดกิจกรรมทักทายผู้เข้ารับบริการและแนะนาตนเองกับผู้รับบริการ หลังจากน้ันชี้แจง วัตถุประสงค์ของฐานการเรียนรทู้ ี่ 4 เรื่อง สารเพื่อชวี ติ 2. ผู้จัดกิจกรรมซกั ถามความรู้พ้ืนฐานของผู้รับบริการ เร่ืองสารเพ่ือชีวิต เกี่ยวกับสารและสมบัติของ สาร สารและผลิตภัณฑ์ของสารที่ใช้ในชีวิตประจาวัน โดยการสุ่มผู้รับบริการ จานวน 3 – 5 คน ตามความ สมัครใจ ให้ตอบคาถามในประเด็น “ท่านรู้จักสารและสมบัติของสาร และความสาคัญของการเลือกใช้สารใน ชีวติ ประจาวัน หรือไม่อยา่ งไร” 3. ผูจ้ ัดกจิ กรรม และผู้รับบรกิ ารแลกเปลีย่ นความคดิ เห็น และสรุปส่ิงที่ได้เรยี นรูร้ ่วมกัน ข้นั ตอนที่ 2 กิจกรรมการเรียนรวู้ ทิ ยาศาสตร์ท่ที า้ ทาย (C : Challenge Learning Activity) 1. ผู้จดั กิจกรรมเช่ือมโยงเนอื้ หาในข้นั ตอนที่ 1 เรื่อง สารและสมบัติของสาร และความสาคญั ของการ เลือกใช้สารในชวี ิตประจาวนั โดยแบ่งผู้รับบริการออกเป็น 3 กลมุ่ ใหป้ ฏิบตั ิตามใบกิจกรรม เรื่อง สารและ ผลิตภัณฑข์ องสารที่ใช้ในชีวิตประจาวัน รายละเอียดดงั นี้ กลมุ่ ที่ 1 ชดุ ทดสอบบอแรกซ์ กลมุ่ ที่ 2 ชุดทดสอบฟอร์มาลิน กลมุ่ ท่ี 3 ชุดทดสอบโซเดยี มไฮโดรซัลไฟต์ (สารฟอกขาว) 2. ผู้จัดกิจกรรมแนะนาอุปกรณ์ สารเคมี และข้อควรระวงั ของแต่ละกิจกรรม 3. ใหผ้ ูร้ ับบรกิ ารทาการทดสอบในแต่ละกลุ่ม โดยเวียนฐาน จนครบทุกฐาน 4. ให้ผรู้ ับบรกิ ารบันทกึ ผลการทดสอบ และสรปุ ผลการทดสอบ 5. ผจู้ ดั กิจกรรมจะตรวจสอบผลการทดสอบ และเฉลยว่าถูกตอ้ งหรอื ไมจ่ ากนน้ั จะอธิบายประกอบใน แตล่ ะกิจกรรม 6. ผจู้ ัดกิจกรรมสรุปส่งิ ทไ่ี ด้เรียนรู้รว่ มกนั ขั้นตอนท่ี 3 กิจกรรมการสรปุ ผลการนาวทิ ยาศาสตรไ์ ปใช้ในชีวิตประจาวนั (I : Implementation Conclusion Activity) 1. ให้ผู้รับบริการในแต่ละกลุ่มตามข้ันตอนที่ 2 ยกตัวอย่างสารและผลิตภัณฑ์ของสารที่ใช้ใน ชีวติ ประจาวนั พรอ้ มท้ังแนะนาแนวทางในการเลอื กใช้สารและผลติ ภัณฑข์ องสารในชีวติ ประจาวัน
2. ให้ผู้รับบริการตอบคาถามโดยสุ่มผู้รับบริการ จานวน 3 – 5 คน ตามความสมัครใจ ให้ตอบคาถามใน ประเด็น “ท่านจะนาความรู้ เร่ือง สารและผลิตภัณฑ์ของสารท่ีใช้ในชีวิตประจาวัน และสามารถป้องกัน อนั ตรายทอี่ าจเกดิ ขึน้ และใช้ผลิตภณั ฑ์เหล่าน้ไี ดอ้ ยา่ งปลอดภยั ได้อย่างไร” 3. ผู้จัดกจิ กรรมและผูร้ ับบริการสรปุ สิ่งท่ไี ดเ้ รยี นร้รู ว่ มกัน สื่อ วัสดุอปุ กรณ์ และแหล่งการเรยี นรู้ 1. ใบความรู้สาหรบั ผู้จดั กจิ กรรม เร่ือง สารและสมบัตขิ องสาร 2. ใบความรู้สาหรับผ้รู บั บริการ เรื่อง สารและสมบตั ิของสาร 3. ใบกจิ กรรม เร่ือง สารและผลิตภัณฑ์ของสารที่ใช้ในชวี ิตประจาวัน 4. ชุดทดสอบบอแรกซ์ 5. ชดุ ทดสอบฟอร์มาลนิ 6. ชดุ ทดสอบโซเดยี มไฮโดรซัลไฟต์ (สารฟอกขาว) การวดั และประเมนิ ผล 1. สังเกตความสนใจและการให้ความรว่ มมอื ภายในกลุ่ม 2. สังเกตการปฏบิ ัตงิ าน ทกั ษะการทากิจกรรม 3. บันทกึ ผลการปฏิบตั ิกจิ กรรม
บันทึกผลหลงั การจัดกิจกรรมการเรยี นรู้ ผลการใช้แผนการจัดกิจกรรมการเรยี นรู้ 1. จานวนเนอ้ื หากับจานวนเวลา เหมาะสม ไมเ่ หมาะสม ระบเุ หตุผล……………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… 2. การเรยี งลาดบั เนือ้ หากบั ความเข้าใจของผรู้ บั ริการ เหมาะสม ไมเ่ หมาะสม ระบเุ หตผุ ล……………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………… 3. การนาเขา้ สู่บทเรยี นเนื้อหาแต่ละหัวขอ้ เหมาะสม ไม่เหมาะสม ระบเุ หตผุ ล……………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… 4. วธิ ีการจัดกิจกรรมการเรียนร้กู ับเนอ้ื หาในแตล่ ะขอ้ เหมาะสม ไม่เหมาะสม ระบเุ หตผุ ล……………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………… 5. การประเมินผลกบั วตั ถุประสงคใ์ นแต่ละเน้อื หา เหมาะสม ไม่เหมาะสม ระบเุ หตผุ ล……………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ผลการเรยี นรู้และผรู้ บั บริการ ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ผลการจัดกิจกรรมการเรยี นรู้ของผจู้ กั ิจกรรม ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………… ข้อเสนอแนะ ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………
ใบความรสู้ าหรบั ผจู้ ดั กิจกรรม เรอ่ื ง สารและสมบตั ขิ องสาร สาร หมายถึง สงิ่ ที่มีมวล ต้องการท่ีอยแู่ ละสัมผัสได้ มีทงั้ สถานะท่เี ปน็ ของแข็ง ของเหลว และก๊าซ ตัวอยา่ งเชน่ เงนิ (Ag) และเกลือแกง (NaCl) เปน็ ของแขง็ นา้ (H2O) และเอธานอล (C2H5O) เป็นของเหลว คาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) และก๊าซออกซิเจน (O2) เป็นกา๊ ซ เปน็ ต้น สมบตั ิของสาร หมายถงึ ลักษณะประจาตวั ของสาร เช่น สถานะ สี กลนิ่ รส การละลาย การนาไฟฟา้ จดุ เดอื ด และการเผาไหม้ เปน็ ตน้ 1. สมบัติของสาร อาจจะนามาแบ่งเปน็ 2 ประเภท ดงั น้ี ประภทท่ี 1 สมบตั ทิ างกายภาพ หมายถึง สมบตั เิ ฉพาะตัวของสารทสี่ ามารถสงั เกตเหน็ ไดง้ ่ายจาก ลักษณะภายนอก หรือจากการทดลองง่ายๆ โดยไม่เก่ียวขอ้ งกับการเกดิ ปฏกิ ริ ยิ าเคมี ตวั อยา่ งทางกายภาพ ได้แก่ สถานะ รปู รา่ ง สี กล่ิน รส การละลาย จุดเดือด จดุ หลอมเหลว ความหนาแน่น การนาความรอ้ น การนา ไฟฟา้ ความร้อนแฝง ความถ่วงจาเพาะ เป็นตน้ ประเภทที่ 2 สมบัติทางเคมี หมายถึง สมบัตเิ ฉพาะตัวของสารทีเ่ กีย่ วข้องกับการเกดิ ปฏกิ ริ ยิ าเคมี เชน่ การเกิดสารใหม่ การสลายตวั ใหไ้ ด้สารใหม่ การเผาไหม้ การระเบดิ ความเป็น กรด - เบส ของสาร และการ เกิดสนิมของโลหะ เป็นต้น 2. การจดั จาแนกสาร สามารถจาแนกออกเปน็ 4 กรณี ไดแ้ ก่ 2.1 การใชส้ ถานะเปน็ เกณฑ์ แบ่งออกเปน็ 3 กลุ่ม คอื – สถานะที่เปน็ ของแข็ง (Solid) จะมีรูปร่าง และ ปรมิ าตรคงที่ ซง่ึ อนภุ าคภายในจะอยู่ชิดตดิ กัน เช่น ด่างทบั ทมิ (KMnO4) , ทองแดง (Cu) – สถานะที่เป็นของเหลว (Liquid) จะมรี ปู ร่างตามภาชนะที่บรรจุ และ มีปริมาตรท่ีคงที่ ซง่ึ อนภุ าค ภายในจะอยชู่ ดิ กนั นอ้ ยกวา่ ของแข็ง และมสี มบัติเปน็ ของไหล เช่น นา้ มัน , แอลกอฮอล์ , ปรอท (Hg) ฯลฯ – สถานะทเ่ี ป็นกา๊ ซ (Gas) จะมรี ูปร่าง และปริมาตรทไ่ี ม่คงท่ี โดยรูปรา่ ง จะเปลยี่ นไปตามภาชนะที่ บรรจุ อนภุ าคภายในจะอยูห่ า่ งกนั มากทสี่ ุด และมีสมบตั ิเปน็ ของไหลได้ เช่น กา๊ ซหุงตม้ , อากาศ 2.2 การใช้เนอ้ื สารเปน็ เกณฑ์ จะมีสมบตั ทิ างกายภาพของสารทีไ่ ดจ้ ากการสังเกตลกั ษณะความ แตกต่างของเนื้อสาร ซ่ึงจะจาแนกได้ออกเปน็ 2 กลุม่ คอื – สารเนื้อเดยี ว (Homogeneous Substance) หมายถงึ สารทม่ี ีเนอื้ สารเหมอื นกนั ทุกส่วน ทาให้สาร มีสมบัตเิ หมือนกันตลอดทกุ สว่ น เช่น แอลกอฮอล์ , ทองคา (Au) , โลหะบดั กรี – สารเนอื้ ผสม (Heterogeneous Substance) หมายถงึ สารทมี่ ีเน้อื สารแตกต่างกนั ในแตล่ ะส่วน จะ ทาให้สารนน้ั มีสมบัติ ไม่เหมอื นกนั ตลอดทกุ สว่ น เช่น นา้ อบไทย , น้าคลอง ฯลฯ 2.3 การละลายนา้ เป็นเกณฑ์ จะจาแนกไดอ้ อกเปน็ 3 กลุ่ม คอื – สารที่ละลายน้าได้ เช่น เกลือแกง (NaCl) , ด่างทับทิม (KMnO4) ฯลฯ – สารทีล่ ะลายน้าได้บ้าง เชน่ กา๊ ซคลอรนี (Cl2) , ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) ฯลฯ
– สารท่ไี ม่สามารถละลายนา้ ได้ เช่น กามะถัน (S) , เหล็ก (Fe) ฯลฯ 2.4 การนาไฟฟา้ เปน็ เกณฑ์ จะจาแนกไดอ้ อกเปน็ 2 กลมุ่ ได้แก่ – สารทน่ี าไฟฟา้ ได้ เช่น ทองแดง (Cu) , น้าเกลือฯลฯ – สารท่ีไม่นาไฟฟา้ เชน่ หนิ ปูน (CaCO3) , ก๊าซออกซเิ จน ( O2 ) เรอ่ื ง สารและผลติ ภณั ฑข์ องสารทใ่ี ชใ้ นชวี ติ ประจาวนั ในชวี ติ ประจาวัน เราจะต้องเกีย่ วขอ้ งกับสารหลายชนิด ซึง่ มีสารเคมีเป็นองค์ประกอบ เราสามารถ จาแนกเปน็ สารสังเคราะหแ์ ละสารธรรมชาติ เช่น สารปรงุ รสอาหาร สารทาความสะอาด สารกาจดั แมลงและ สารกาจัดศัตรูพืช เครอ่ื งสาอาง เป็นตน้ ในการจาแนกสารเคมนี น้ั ใชเ้ กณฑ์ต่างๆ ดังตอ่ ไปน้ี 1. สารปรงุ แตง่ อาหาร หมายถงึ สารปรงุ รสอาหารใช้ใส่ในอาหารเพื่อทาให้อาหารมรี สดีขึน้ หรือเพ่ิม รสชาตติ ่างๆ เช่น น้าตาล ให้รสหวาน เกลอื น้าปลา ให้รสเคม็ นา้ สม้ สายชู นา้ มะนาว ซอสมะเขอื เทศ ใหร้ ส เปรย้ี ว 2. สารทาความสะอาด หมายถงึ สารทม่ี คี ณุ สมบัติในการกาจัดความสกปรกตา่ งๆ ตลอดจนฆ่าเชื้อ โรคประเภทของสารทาความสะอาด แบง่ ตามการเกิด ได้ 2 ประเภท คือ 2.1 ไดจ้ ากการสงั เคราะห์ เชน่ นา้ ยาลา้ งจาน สบู่กอ้ น สบู่เหลว แชมพูสระผมผงซกั ฟอก สาร ทาความสะอาดพืน้ เป็นต้น 2.2 ไดจ้ ากธรรมชาติ เชน่ นา้ มะกรูด มะขามเปยี ก เกลือ เป็นต้น 3. สารกาจัดแมลง และสารกาจัดศัตรูพืช หมายถึง สารเคมีที่ผลิตขึ้นเพ่ือใช้ป้องกันการกาจัด และ ควบคุมแมลงต่างๆ ไม่ให้มารบกวน มีทั้งชนิดผง ชนิดเม็ด และชนิดน้า ประเภทของสารกาจัดแมลงและสาร กาจดั ศตั รูพืช แบ่งเป็น 2 ประเภท คือ 3.1 ได้จากการสังเคราะห์ เชน่ สารฆา่ ยุง สารกาจัดแมลง เปน็ ตน้ 3.2 ไดจ้ ากธรรมชาติ เช่น เปลือกมะนาว เปลอื กมะกรูด เปลอื กส้ม เปน็ ตน้ 4. เครือ่ งสาอาง หมายถึง ผลิตภณั ฑ์ทีใ่ ช้ทา ถู นวด โรย พน่ หยอด ใส่ อบรา่ งกาย เพอ่ื ใช้ทาความ สะอาดเพือ่ ให้เกดิ ความสดชนื่ ความสวยงาม และเพิ่มความม่นั ใจ ประเภทของเครอ่ื งสาอาง แบ่งเป็น 5 ประเภท คอื 4.1 สาหรับผม เชน่ แชมพู ครมี นวด เจลแต่งผม 4.2 สาหรับร่างกาย เช่น สบู่ ครมี และโลช่ันทาผิว ยาทาเลบ็ นา้ ยาดบั กลิ่นตวั แป้งโรยตัว 4.3 สาหรับใบหนา้ เช่น ครีม โฟมล้างหนา้ แปง้ ผัดหนา้ ลิปสติก ดนิ สอเขยี นคิว้ และดนิ สอ เขียนขอบตา 4.4 นา้ หอม 4.5 เบ็ดเตลด็ เช่น ครีมโกนหนวด ผ้าอนามยั ยาสีฟัน
5. สารเคมีท่ีเป็นอันตรายแต่พบมีการปนเปื้อนในอาหาร อาหารเป็นส่ิงที่มีความจาเป็นต่อชีวิต มนุษย์เราทุกคน เพราะเป็นส่วนหนึ่งในปัจจัยที่ช่วยให้ร่างกายมนุษย์เจริญเติบโตและยังทาให้มนุษย์ดารงชีวิต อยู่ได้ ซ่ึงในสมัยก่อนอาหารที่เรารับประทานยังไม่มีการผลิตครั้งละปริมาณมากๆเพื่อการค้า จะรับประทาน เป็นม้ือ เก็บไว้อย่างมากก็ข้ามวันเท่าน้ัน แต่ในปัจจุบันโลกมีการพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตอาหารในปริมาณ มากๆทาให้มีการคิดค้นวิธีการต่างๆในการเก็บรักษาอาหารไดน้ าน รวมท้ังช่วยให้อาหารมีรูปลักษณ์ที่ดี ทาให้ ผู้บริโภคสนใจและต้องการเลือกซ้ือ โดยมีการนาสารเคมีต่างๆมาผสมในอาหาร ซ่ึงสารเคมีบางอย่างเป็น อนั ตรายต่อร่างกาย บางชนิดหากบริโภคเข้าไปในปริมาณมากอาจถึงแกช่ ีวติ ได้ พบว่ามอี าหารหลายชนิดท่ีเรา รบั ประทานเข้าไปโดยไม่รู้วา่ มีสารเคมีปนเปื้อนอยู่ โดยสารเคมีที่เป็นอันตรายแต่พบมีการปนเปื้อนในอาหาร ไดแ้ ก่ 5.1 บอแรกซ์ เรียกอีกช่ือหนึ่งว่า เพ่งเซ เม่งเซ ผงกรอบ ผงกันบูด น้าประสานทอง มี ลักษณะ เปน็ ผงสีขาว ไม่มีกลน่ิ มรี สขมเลก็ น้อย ใช้ในอุตสาหกรรมการทาแก้วเพอ่ื ให้ทนความร้อน ใชป้ ระสาน ในการเช่ือมทอง โดยอาหารท่ีมักตรวจพบว่ามบี อแรกซ์ เช่น ลกู ช้ิน หมบู ด ทอดมัน ทับทิมกรอบ ลอดชอ่ ง ผัก ผลไม้ดอง อันตรายต่อสุขภาพรา่ งกาย เป็นพิษต่อไต และสมอง มีอาการ คอื อ่อนเพลีย อาเจียน ปวดหัว เบ่ือ อาหาร ท้องร่วง เย่อื ตาอักเสบ และอาจถึงตายได้ 5.2 สารกันรา (กรดซาลซิ ิลคิ ) เป็นกรดมีฤทธิ์ในการยับยง้ั จุลินทรยี ์ แต่หา้ มใช้กบั อาหาร มัก ใส่ในอาหารหมักดอง โดยอาหารท่ีมักตรวจพบว่ามีสารกันรา เช่น ผัก ผลไม้ดองต่างๆ ปลาส้ม ปลาทูเค็ม อันตรายต่อสขุ ภาพร่างกาย ออ่ นเพลีย วงิ เวยี นศรี ษะ มีไขข้ ึ้นสูง หูอ้ือ ผิวหนงั เปน็ ผืน่ แดง 5.3 ฟอร์มาลีน เรยี กอีกช่อื หนง่ึ ว่า นา้ ยาดองศพ ใชฆ้ า่ เชอ้ื โรค/ดองศพ มีกลิ่นฉนุ แสบจมูก โดยอาหารที่มักตรวจพบว่ามีฟอร์มาลีน เช่น อาหารทะเลสด ผัก ผลไม้สด สไบนาง (ผ้าข้รี ้ิวสีขาว) อนั ตรายต่อ สขุ ภาพร่างกาย ระคายเคืองระบบทางเดินหายใจ ปวดทอ้ งรุนแรง ปวดศีรษะ ชกั ช็อค หมดสติ 5.4 สารฟอกขาว (โซเดยี มไฮโดรซัลไฟต์) หรอื เรียกวา่ ผงซักมุ้ง ใช้สาหรบั ฟอกแห อวน ให้ ขาว โดยอาหารทีม่ ักตรวจพบว่ามีสารฟอกขาว เช่น ถ่ัวงอก กระทอ้ นดอง ขงิ ซอย ทเุ รียนกวน น้าตาลมะพรา้ ว ยอดมะพร้าว อันตรายต่อสุขภาพร่างกาย ระคายเคืองระบบทางเดินอาหาร ผิวหนังอักเสบแดง ปวดศีรษะ รุนแรง เจ็บ แนน่ หน้าอก ชอ็ ค หมดสติ
ใบความรูส้ าหรบั ผรู้ บั บรกิ าร เร่ือง สารและสมบตั ขิ องสาร สาร หมายถงึ สิ่งทมี่ ีมวล ตอ้ งการทอี่ ยู่และสมั ผัสได้ มีทั้งสถานะทีเ่ ปน็ ของแขง็ ของเหลว และกา๊ ซ ตวั อย่างเช่น เงนิ (Ag) และเกลอื แกง (NaCl) เปน็ ของแขง็ นา้ (H2O) และเอธานอล (C2H5O) เป็นของเหลว คาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) และกา๊ ซออกซเิ จน (O2) เป็นกา๊ ซ เป็นต้น สมบตั ขิ องสาร หมายถึง ลกั ษณะประจาตัวของสาร เชน่ สถานะ สี กลิ่น รส การละลาย การนาไฟฟา้ จดุ เดือด และการเผาไหม้ เปน็ ต้น 1. สมบตั ขิ องสาร อาจจะนามาแบ่งเปน็ 2 ประเภท ดังน้ี ประภทท่ี 1 สมบตั ิทางกายภาพ หมายถงึ สมบตั ิเฉพาะตัวของสารทส่ี ามารถสงั เกตเห็นได้ง่ายจาก ลักษณะภายนอก หรือจากการทดลองงา่ ยๆ โดยไมเ่ กย่ี วขอ้ งกับการเกิดปฏิกริ ยิ าเคมี ตวั อย่างทางกายภาพ ได้แก่ สถานะ รปู รา่ ง สี กล่นิ รส การละลาย จุดเดอื ด จดุ หลอมเหลว ความหนาแนน่ การนาความรอ้ น การนา ไฟฟ้า ความรอ้ นแฝง ความถ่วงจาเพาะ เป็นต้น ประเภทที่ 2 สมบตั ิทางเคมี หมายถงึ สมบัตเิ ฉพาะตวั ของสารที่เกี่ยวขอ้ งกับการเกิดปฏิกิรยิ าเคมี เช่น การเกิดสารใหม่ การสลายตัวให้ได้สารใหม่ การเผาไหม้ การระเบดิ ความเป็น กรด - เบส ของสาร และการ เกิดสนมิ ของโลหะ เป็นตน้ 2. การจดั จาแนกสาร สามารถจาแนกออกเปน็ 4 กรณี ได้แก่ 2.1 การใชส้ ถานะเป็นเกณฑ์ แบง่ ออกเป็น 3 กล่มุ คอื – สถานะทเ่ี ปน็ ของแข็ง (Solid) จะมีรูปรา่ ง และ ปรมิ าตรคงท่ี ซงึ่ อนุภาคภายในจะอยชู่ ดิ ตดิ กัน เช่น ดา่ งทบั ทิม (KMnO4) , ทองแดง (Cu) – สถานะทเ่ี ปน็ ของเหลว (Liquid) จะมรี ปู รา่ งตามภาชนะทบี่ รรจุ และ มปี ริมาตรทีค่ งที่ ซึ่งอนุภาค ภายในจะอย่ชู ิดกันน้อยกวา่ ของแขง็ และมสี มบตั ิเป็นของไหล เช่น นา้ มัน , แอลกอฮอล์ , ปรอท (Hg) ฯลฯ – สถานะท่เี ป็นก๊าซ (Gas) จะมรี ูปร่าง และปริมาตรที่ไมค่ งที่ โดยรูปร่าง จะเปลี่ยนไปตามภาชนะที่ บรรจุ อนุภาคภายในจะอยูห่ ่างกนั มากทสี่ ุด และมีสมบตั เิ ปน็ ของไหลได้ เช่น ก๊าซหุงต้ม , อากาศ 2.2 การใช้เน้อื สารเปน็ เกณฑ์ จะมสี มบัตทิ างกายภาพของสารทไี่ ดจ้ ากการสังเกตลกั ษณะความ แตกตา่ งของเนอื้ สาร ซึ่งจะจาแนกได้ออกเป็น 2 กลุ่ม คอื – สารเนอ้ื เดยี ว (Homogeneous Substance) หมายถึง สารท่มี ีเนื้อสารเหมอื นกันทุกส่วน ทาให้สาร มีสมบัตเิ หมอื นกนั ตลอดทุกส่วน เช่น แอลกอฮอล์ , ทองคา (Au) , โลหะบดั กรี – สารเนอื้ ผสม (Heterogeneous Substance) หมายถึง สารทม่ี ีเนื้อสารแตกต่างกนั ในแตล่ ะสว่ น จะ ทาให้สารนน้ั มีสมบตั ิ ไมเ่ หมือนกันตลอดทุกสว่ น เชน่ นา้ อบไทย , น้าคลอง ฯลฯ 2.3 การละลายนา้ เปน็ เกณฑ์ จะจาแนกไดอ้ อกเปน็ 3 กลมุ่ คือ – สารที่ละลายนา้ ได้ เชน่ เกลือแกง (NaCl) , ดา่ งทับทมิ (KMnO4) ฯลฯ – สารท่ลี ะลายน้าไดบ้ า้ ง เช่น กา๊ ซคลอรนี (Cl2) , ก๊าซคารบ์ อนไดออกไซด์ (CO2) ฯลฯ
– สารท่ไี ม่สามารถละลายนา้ ได้ เช่น กามะถัน (S) , เหล็ก (Fe) ฯลฯ 2.4 การนาไฟฟา้ เปน็ เกณฑ์ จะจาแนกไดอ้ อกเปน็ 2 กลมุ่ ได้แก่ – สารทน่ี าไฟฟ้าได้ เช่น ทองแดง (Cu) , น้าเกลือฯลฯ – สารท่ีไม่นาไฟฟ้า เช่น หนิ ปูน (CaCO3) , ก๊าซออกซเิ จน ( O2 ) เรอ่ื ง สารและผลติ ภณั ฑข์ องสารทใ่ี ชใ้ นชวี ติ ประจาวนั ในชวี ติ ประจาวนั เราจะต้องเกีย่ วขอ้ งกับสารหลายชนิด ซึง่ มีสารเคมีเป็นองค์ประกอบ เราสามารถ จาแนกเปน็ สารสังเคราะห์และสารธรรมชาติ เช่น สารปรงุ รสอาหาร สารทาความสะอาด สารกาจดั แมลงและ สารกาจัดศัตรูพืช เครอ่ื งสาอาง เป็นต้น ในการจาแนกสารเคมนี น้ั ใชเ้ กณฑ์ต่างๆ ดังตอ่ ไปน้ี 1. สารปรงุ แตง่ อาหาร หมายถึง สารปรงุ รสอาหารใช้ใส่ในอาหารเพื่อทาให้อาหารมรี สดีขึน้ หรือเพ่ิม รสชาตติ ่างๆ เช่น น้าตาล ใหร้ สหวาน เกลอื น้าปลา ให้รสเคม็ นา้ สม้ สายชู นา้ มะนาว ซอสมะเขอื เทศ ใหร้ ส เปรย้ี ว 2. สารทาความสะอาด หมายถงึ สารทม่ี คี ณุ สมบัติในการกาจัดความสกปรกตา่ งๆ ตลอดจนฆ่าเชื้อ โรคประเภทของสารทาความสะอาด แบ่งตามการเกิด ได้ 2 ประเภท คือ 2.1 ได้จากการสงั เคราะห์ เชน่ นา้ ยาลา้ งจาน สบู่กอ้ น สบู่เหลว แชมพูสระผมผงซกั ฟอก สาร ทาความสะอาดพืน้ เปน็ ตน้ 2.2 ไดจ้ ากธรรมชาติ เชน่ นา้ มะกรูด มะขามเปยี ก เกลือ เป็นต้น 3. สารกาจัดแมลง และสารกาจัดศัตรูพืช หมายถึง สารเคมีที่ผลิตขึ้นเพ่ือใช้ป้องกันการกาจัด และ ควบคุมแมลงต่างๆ ไม่ให้มารบกวน มีทั้งชนิดผง ชนิดเม็ด และชนิดน้า ประเภทของสารกาจัดแมลงและสาร กาจดั ศตั รูพืช แบ่งเปน็ 2 ประเภท คอื 3.1 ได้จากการสังเคราะห์ เชน่ สารฆา่ ยุง สารกาจัดแมลง เปน็ ตน้ 3.2 ได้จากธรรมชาติ เช่น เปลือกมะนาว เปลอื กมะกรูด เปลอื กส้ม เปน็ ตน้ 4. เครือ่ งสาอาง หมายถึง ผลิตภณั ฑ์ทีใ่ ช้ทา ถู นวด โรย พน่ หยอด ใส่ อบรา่ งกาย เพอ่ื ใช้ทาความ สะอาดเพือ่ ให้เกดิ ความสดชืน่ ความสวยงาม และเพิ่มความม่นั ใจ ประเภทของเครอ่ื งสาอาง แบ่งเป็น 5 ประเภท คอื 4.1 สาหรบั ผม เชน่ แชมพู ครมี นวด เจลแต่งผม 4.2 สาหรบั รา่ งกาย เช่น สบู่ ครมี และโลช่ันทาผิว ยาทาเลบ็ นา้ ยาดบั กลิ่นตวั แป้งโรยตัว 4.3 สาหรับใบหนา้ เช่น ครีม โฟมล้างหนา้ แปง้ ผัดหนา้ ลิปสติก ดนิ สอเขยี นคิว้ และดนิ สอ เขียนขอบตา 4.4 นา้ หอม 4.5 เบด็ เตลด็ เช่น ครีมโกนหนวด ผ้าอนามยั ยาสีฟัน
5. สารเคมีท่ีเป็นอันตรายแต่พบมีการปนเปื้อนในอาหาร อาหารเป็นส่ิงที่มีความจาเป็นต่อชีวิต มนุษย์เราทุกคน เพราะเป็นส่วนหนึ่งในปัจจัยท่ีช่วยให้ร่างกายมนุษย์เจริญเติบโตและยังทาให้มนุษย์ดารงชีวิต อยู่ได้ ซ่ึงในสมัยก่อนอาหารที่เรารับประทานยังไม่มีการผลิตครั้งละปริมาณมากๆเพื่อการค้า จะรับประทาน เป็นม้ือ เก็บไว้อย่างมากก็ข้ามวันเท่าน้ัน แต่ในปัจจุบันโลกมีการพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตอาหารในปริมาณ มากๆทาให้มีการคิดค้นวิธีการต่างๆในการเก็บรักษาอาหารไดน้ าน รวมท้ังช่วยให้อาหารมีรูปลักษณ์ที่ดี ทาให้ ผู้บริโภคสนใจและต้องการเลือกซ้ือ โดยมีการนาสารเคมีต่างๆมาผสมในอาหาร ซ่ึงสารเคมีบางอย่างเป็น อนั ตรายต่อร่างกาย บางชนิดหากบริโภคเข้าไปในปรมิ าณมากอาจถึงแกช่ ีวติ ได้ พบว่ามอี าหารหลายชนิดท่ีเรา รบั ประทานเข้าไปโดยไม่รู้วา่ มีสารเคมีปนเป้ือนอยู่ โดยสารเคมีที่เป็นอันตรายแต่พบมีการปนเปื้อนในอาหาร ไดแ้ ก่ 5.1 บอแรกซ์ เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า เพ่งเซ เม่งเซ ผงกรอบ ผงกันบูด น้าประสานทอง มี ลักษณะ เปน็ ผงสีขาว ไม่มีกลน่ิ มรี สขมเลก็ น้อย ใชใ้ นอุตสาหกรรมการทาแก้วเพอ่ื ให้ทนความร้อน ใชป้ ระสาน ในการเช่ือมทอง โดยอาหารท่ีมักตรวจพบว่ามีบอแรกซ์ เช่น ลกู ช้ิน หมูบด ทอดมัน ทับทิมกรอบ ลอดชอ่ ง ผัก ผลไม้ดอง อันตรายต่อสุขภาพรา่ งกาย เป็นพิษต่อไต และสมอง มีอาการ คอื อ่อนเพลีย อาเจียน ปวดหัว เบ่ือ อาหาร ท้องร่วง เย่อื ตาอักเสบ และอาจถงึ ตายได้ 5.2 สารกันรา (กรดซาลิซิลิค) เปน็ กรดมีฤทธิ์ในการยับยง้ั จุลินทรยี ์ แต่หา้ มใช้กบั อาหาร มัก ใส่ในอาหารหมักดอง โดยอาหารท่ีมักตรวจพบว่ามีสารกันรา เช่น ผัก ผลไม้ดองต่างๆ ปลาส้ม ปลาทูเค็ม อันตรายต่อสขุ ภาพร่างกาย ออ่ นเพลีย วงิ เวียนศรี ษะ มีไขข้ ึ้นสูง หูอื้อ ผวิ หนังเปน็ ผืน่ แดง 5.3 ฟอร์มาลีน เรยี กอกี ช่อื หนง่ึ วา่ นา้ ยาดองศพ ใช้ฆ่าเชอ้ื โรค/ดองศพ มีกลิ่นฉนุ แสบจมูก โดยอาหารที่มักตรวจพบว่ามีฟอร์มาลีน เช่น อาหารทะเลสด ผัก ผลไม้สด สไบนาง (ผ้าข้รี ้ิวสีขาว) อนั ตรายต่อ สขุ ภาพร่างกาย ระคายเคืองระบบทางเดินหายใจ ปวดทอ้ งรุนแรง ปวดศีรษะ ชกั ช็อค หมดสติ 5.4 สารฟอกขาว (โซเดยี มไฮโดรซัลไฟต์) หรอื เรยี กวา่ ผงซักมุ้ง ใช้สาหรบั ฟอกแห อวน ให้ ขาว โดยอาหารทีม่ ักตรวจพบว่ามีสารฟอกขาว เช่น ถว่ั งอก กระท้อนดอง ขิงซอย ทเุ รียนกวน น้าตาลมะพรา้ ว ยอดมะพร้าว อันตรายต่อสุขภาพร่างกาย ระคายเคืองระบบทางเดินอาหาร ผิวหนังอักเสบแดง ปวดศีรษะ รุนแรง เจ็บ แนน่ หน้าอก ชอ็ ค หมดสติ
ใบกจิ กรรม เร่ือง สารและผลิตภณั ฑ์ของสารที่ใช้ในชวี ติ ประจาวัน วัตถปุ ระสงค์ ทดสอบสารและผลติ ภัณฑ์ของสารท่ีใช้ในชวี ิตประจาวัน เนือ้ หา สารและผลติ ภณั ฑ์ของสารท่ใี ชใ้ นชีวิตประจาวนั คาช้ีแจง 1. ชุดทดสอบบอแรกซ์ วัสดุและอปุ กรณ์ 1. กระดาษขมิ้น 2. ชอ้ นตกั ตวั อยา่ ง 3. บกี เกอร์ 4. หลอดหยด 5. จานเพาะเชอื้ 6. น้ายาทดสอบบอแรกซ์ (กรดไฮโดรคลอริค) 7. ตัวอย่างอาหารของจริง เชน่ ไส้กรอก ลูกช้ินปลา วธิ ปี ฏิบัติ 1. ห่ันตัวอย่างเปน็ ช้ินเลก็ ๆ เท่าหวั ไม้ขดี ไฟ 2. ตักตัวอยา่ ง 1 ชอ้ นชาใส่บีกเกอร์ 3. ดดู น้ายาบอแรกซใ์ ส่ให้ทว่ มตวั อย่าง 4. ใช้แทง่ แก้วคนใหเ้ ขา้ กัน 5. จมุ่ กระดาษขม้ินให้เปียกครง่ึ แผ่น 6. ผง่ึ กระดาษขมนิ้ บนจานเพาะเชอื้ ให้แห้ง 7. สังเกตการณ์เปลีย่ นสขี องกระดาษขมน้ิ *ข้อควรระวัง* น้ายาทดสอบบอแรกซ์มสี ภาพเป็นกรด หากหกเป้ือนมือหรือส่วนใดของร่างกายให้ ลา้ งดว้ ยน้าและฟอกสบู่
8. การอ่านผล เกณฑ์ตัดสิน พบบอแรกซ์ สขี องกระดาษขมิน้ ไมพ่ บบอแรกซ์ กระดาษขมิ้นเป็นสีแดง กระดาษขม้นิ ไมเ่ ปลย่ี นเปน็ สแี ดง การบนั ทึกผล 9. ผลการทดสอบ ตวั อยา่ ง สีของกระดาษขมิ้น 10. สรุปผลการทดสอบ ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
2. ชุดทดสอบสารฟอกขาว (โซเดยี มไฮโดรซัลไฟต์) วัสดแุ ละอปุ กรณ์ 1. บีกเกอร์ 2. หลอดหยด 3. นา้ ยาทดสอบโซเดียมไฮโดรซัลไฟต์ 4. ตัวอย่างอาหารของจรงิ เชน่ ถวั่ งอก หน่อไมด้ อง ขิงซอย วิธปี ฏิบตั ิ 1. เทนา้ จากการแช่ตวั อย่างปรมิ าณ 5 มิลลิลติ ร ใส่บกี เกอร์ 2. หยดนา้ ยาทดสอบโซเดยี มไฮโดรซลั ไฟต์ 1-3 หยด เขย่าและสังเกตสี 3. การอ่านผล สขี องสารละลายในถ้วย เกณฑ์ตดั สนิ สารละลายเปน็ สีเทา-ดา พบสารฟอกขาว สารละลายเป็นสเี ขียว-ฟา้ ไมพ่ บสารฟอกขาว 4. ผลการทดสอบ สีของสารละลาย การบนั ทกึ ผล ตัวอย่าง
5. สรุปผลการทดสอบ ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 3. ชดุ ทดสอบฟอร์มาลิน วสั ดแุ ละอปุ กรณ์ 1.บกี เกอร์ 2.น้ายาฟอรม์ าลิน 1 คือ สารละลายฟนี ิลไฮดราซีน ไฮโดรคลอไรด์ 3. น้ายาฟอร์มาลิน 2 คอื สารละลายโพแทสเซียมเฮกซะไซยาโนเฟอเรด 4. น้ายาฟอร์มาลิน 3 คือ สารละลายกรดไฮโดรคลอรกิ เขม้ ข้น 5. ตัวอยา่ งอาหารของจรงิ เช่น หมึกสด หมึกกรอบ สไบนางหรือผ้าขี้ร้ิว วธิ ปี ฏิบตั ิ 1. ใสน่ า้ แช่ตัวอย่างอาหารลงในหลอดที่ 1 ปรมิ าณ 5 มิลลลิ ติ ร ปิดฝาขวดและเขยา่ 2. เทใสข่ วดท่ี 2 ปดิ ฝาขวดและเขย่าให้เขา้ กัน 3. เทใสข่ วดที่ 3 ปิดฝาขวดและเขย่าใหเ้ ข้ากนั 4. สังเกตสที ีเ่ กดิ ขน้ึ *ข้อควรระวัง* นา้ ยาทดสอบทั้ง 3 เป็นกรด ควรหลีกเลี่ยงการสดู ดมโดยเปดิ ฝาเทา่ ทีจ่ าเป็น 5. การอ่านผล สขี องสารละลาย เกณฑต์ ดั สนิ สารละลายเปลย่ี นเปน็ โทน สชี มพูถงึ สีแดง (ข้นึ กับปริมาณฟอร์มาลนิ ทเี่ จอื ปนอยู)่ พบฟอรม์ าลิน สารละลายไม่มีการเปลี่ยนแปลงจากเดิม หรือเปลี่ยนเป็นสีอื่นนอกเหนือจากโทนสี ไม่พบฟอร์มาลิน ชมพแู ดง
6. ผลการตรวจสอบ สีของสารละลาย การบนั ทกึ ผล ตวั อยา่ ง 7. สรุปผลการตรวจสอบ ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
Search
Read the Text Version
- 1 - 17
Pages: