Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore แหล่งเรียนรู้และภูมิปัญญาท้องถิ่นกศน.อำเภอหนองแซง65

แหล่งเรียนรู้และภูมิปัญญาท้องถิ่นกศน.อำเภอหนองแซง65

Published by บรรณารักษ์ ตัวกลม, 2022-08-01 20:50:24

Description: แหล่งเรียนรู้และภูมิปัญญาท้องถิ่นกศน.อำเภอหนองแซง65

Search

Read the Text Version

1

2ก คำนำ แหล่งเรียนรู้และภูมิปัญญาท้องถ่ินเล่มนี้ ศูนย์การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย อาเภอหนองแซง ได้ดาเนินการสารวจ รวบรวมข้อมูล และจัดทาฐานข้อมูล เพ่ือเป็นศูนย์กลางในการรวบรวม ค้นคว้า ศกึ ษา เผยแพร่ และอนุรักษ์ข้อมูลด้านต่างๆ ท่เี กยี่ วกับแหล่งเรียนรู้และภูมิปัญญาท้องถ่ิน อีกทั้งเป็นการ สง่ เสริมการอา่ น อันนาไปส่กู ารเรียนรูท้ ่หี ลากหลายในการพฒั นาคณุ ภาพชวี ิต งานการศึกษาตามอัธยาศัยอาเภอหนองแซง ขอขอบคุณบุคลากรทุกฝ่ายของศูนย์การศึกษานอกระบบ และการศึกษาตามอัธยาศัยอาเภอหนองแซง และหน่วยงานเครือขา่ ยท่ใี หค้ วามร่วมมอื ชว่ ยเหลือ และสนบั สนุนการ ปฏบิ ัตงิ านอยา่ งเตม็ กาลังและดว้ ยความเสยี สละมาโดยตลอด งานการศกึ ษาตามอัธยาศัย กศน.อาเภอหนองแซง

สารบญั 3ข คานา หน้ำ สารบญั ก แหลง่ การเรียนรู้ ข ภูมิปัญญาท้องถ่ิน 1 แหล่งเรียนรู้และภูมปิ ัญญาท้องถิ่นตาบลหนองแซง 6 แหลง่ เรียนรแู้ ละภูมปิ ัญญาท้องถน่ิ ตาบลหนองควายโซ 10 แหลง่ เรียนรู้และภูมปิ ญั ญาท้องถิ่นตาบลหนองหัวโพ 13 แหล่งเรียนรูแ้ ละภูมปิ ญั ญาท้องถิ่นตาบลหนองกบ 18 แหลง่ เรยี นรแู้ ละภมู ปิ ญั ญาทอ้ งถิ่นตาบลมว่ งหวาน 21 แหลง่ เรยี นร้แู ละภมู ิปัญญาท้องถ่นิ ตาบลหนองสีดา 25 แหล่งเรียนรู้และภูมปิ ญั ญาท้องถ่นิ ตาบลไก่เส่า 28 แหลง่ เรยี นรู้และภูมิปัญญาทอ้ งถิ่นตาบลเขาดนิ 31 แหล่งเรยี นรแู้ ละภมู ปิ ัญญาท้องถน่ิ ตาบลโคกสะอาด 34 บรรณานุกรม 39 ผจู้ ดั ทา 43 44

1 แหลง่ กำรเรียนรู้ ควำมหมำยของแหลง่ เรยี นรู้ แหล่งเรียนรู้มีความสาคัญในกระบวนการจัดการเรียนรู้อย่างมาก เพราะผู้เรียนสามารถเรียนรู้จากสภาพจริง แหล่งเรียนรู้ จะมีความเก่ียวข้องกับสิ่งเหล่านี้ คือ บุคคล สถานท่ี ธรรมชาติ ภูมิปัญญาการประกอบอาชีพ เป็นต้น ซ่งึ แหล่งเรียนรู้ช่วยให้ผู้เรียนสามารถศึกษา ค้นคว้า หาความรู้จากแหล่งเรียนรู้ได้เอง นับเป็นขุมทรัพย์มหาศาล ของความรู้ท่ีมีอยู่ แหล่งการเรียนรู้เหล่าน้ัน มีทั้งที่อยู่ในโรงเรียนและอยู่ในชุมชน จึงมีผู้ให้ความหมาย ไวห้ ลากหลาย ดังน้ี กรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธิการ (2545 : 43) ได้นิยามความหมายของแหล่งเรียนรู้ว่า หมายถึง แหล่งขอ้ มลู ขา่ วสาร สารสนเทศและประสบการณ์ท่ีสนับสนุนให้ผู้เรียนใฝ่เรียนใฝ่รู้ แสวงหาความรู้ และเรียนรู้ ด้วยตนเองตามอัธยาศัยอย่างกว้างขวางและต่อเน่ือง เพื่อเสริมสร้างให้ผู้เรียนเกิดกระบวนการเรียนรู้ และเป็น บุคคลแห่งการเรียนรู้ แหล่งเรียนรู้ ช่วยขยายแนวความคิดในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ให้กว้างขวางข้ึน แหล่ง เรียนรกู้ ระตุ้นให้เกดิ การพัฒนากระบวนการจดั กจิ กรรมการเรยี นรู้ จันทรา อ่อนระหง (2550 : 10) ได้ให้ความหมายของแหล่งเรียนรู้ว่า หมายถึง แหล่ง หรือท่ีรวม ซึ่งอาจเปน็ สภาพหรอื สถานท่หี รอื ศูนยร์ วมทปี่ ระกอบด้วยข้อมูล ข่าวสาร ความรู้ และกิจกรรมที่มีกระบวนการ เรยี นรูห้ รือกระบวนการเรยี นการสอนทมี่ รี ปู แบบแตกตา่ งจากกระบวนการเรียนการสอนท่ีมีครูเป็นผู้สอนหรือเป็น ศูนย์กลางการเรยี นรู้ เปน็ การเรียนท่ีมีกาหนดเวลายดื หย่นุ สอดคลอ้ งกบั ความต้องการและความพร้อมของผ้เู รยี น จิรศักดิ์ ประทุมรัตน์ (2550 : 11) ให้ความหมายของคาว่า แหล่งการเรียนรู้ หมายถึง แหล่ง วิชาการทเ่ี ป็นตวั บุคคลหรือหน่วยงานตา่ งๆ ทั้งภาครัฐและเอกชน รวมถึงภมู ิปัญญาท้องถิน่ ท่ีสามารถให้คุณค่าต่อ การเรยี นรู้ สง่ เสรมิ ใหผ้ ู้เรียนเกดิ กระบวนการเรยี นรู้ และสามารถนามาใชเ้ พ่อื ก่อให้เกดิ ประโยชนไ์ ด้ เนาวรัตน์ ลขิ ติ วัฒนเศรษฐ (2544 : 28) แหลง่ เรียนรู้ คือ ถ่ิน ทอี่ ยู่ บรเิ วณ บ่อเกิด แห่งที่ หรือศนู ย์รวมความรู้ท่ใี ห้เข้าไปศึกษาหาความรู้ ความเข้าใจ และความชานาญ ซ่ึงอาจเป็นได้ทั้ง สง่ิ ท่ีเป็นธรรมชาติหรอื สงิ่ ทม่ี นุษยส์ รา้ งข้ึน เปน็ ไดท้ ้ังบุคคล สง่ิ มีชีวติ และไม่มีชวี ิต ลัดดา ศิลาน้อย (2545 : 34) ได้ให้ความหมายของ แหล่งการเรียนรู้ หมายถึง แหล่งวิชาการ หรือแหล่งทรัพยากรแหล่งข้อมูลในท้องถ่ินแต่ละแห่ง ประกอบไปด้วยบุคคลในชุมชน สถานที่สาคัญในชุมชน รวมทง้ั กิจกรรมตา่ งๆ สานกั งานคณะกรรมการการศึกษาแหง่ ชาติ (2544 : 2) ไดก้ าหนดความหมายของแหล่งการเรียนรู้ ว่าหมายถึง “แหล่ง” หรือ “ทร่ี วม” ซง่ึ อาจเปน็ สถานที่ หรอื ศูนย์รวมท่ีประกอยด้วย ขอ้ มูล ข่าวสาร ความรู้ และกิจกรรมท่มี ีกระบวนการเรียนรู้ หรือกระบวนการเรียนการสอนท่ีมีรูปแบบแตกต่างไปจากกระบวนการเรียน การสอนที่มีครูเป็นผู้สอนหรือศูนย์กลางการเรียนรู้ เป็นการเรียนรู้ที่มีกาหนดเวลายืดหยุ่นสอดคล้องกับความ ต้องการและความพร้องของผู้เรียน สรุปได้วา่ แหลง่ การเรยี นรู้ หมายถึง สิง่ ตา่ งๆ ท่มี ีคุณค่าทางการศึกษาในชุมชน ซึ่งผู้เรียนเห็นคุณค่า และความสาคัญ สามารถศึกษาเรยี นรู้ เพอ่ื ประโยชน์ทางการศกึ ษาและเสริมสร้างประสบการณ์ในการดารงชวี ิต

2 ควำมสำคัญและประโยชนข์ องแหลง่ เรียนรู้ แหล่งเรียนรู้มีบทบาทสาคัญในการช่วยพัฒนาคุณภาพของมนุษย์ ในยุคความรู้ของมนุษย์เกิดขึ้นใหม่ๆ และเปลยี่ นแปลงอย่างรวดเรว็ ดังนี้ 1. เป็นแหล่งที่มีสาระเนื้อหาท่ีเป็นข้อมูลความรู้ ให้มนุษย์เกิดโลกทัศน์ท่ีกว้างไกลกว่าเดิมช่วยให้เกิดความ สนใจในเรอ่ื งสาคญั ชว่ ยยกระดับความทะเยอทะยานของผศู้ กึ ษา จากการนาเสนอสาระความรู้ หรือภาพในอุดมคติ หรือ เสนอผลสาเร็จและความก้าวหนา้ ของงาน หรือช้นิ งาน หรือเทคโนโลยี หรอื บคุ คลตา่ งๆของแหล่งเรียนรู้ 2. เป็นสือ่ การเรียนรู้ การเรยี นรสู้ มยั ใหม่ท่ใี หท้ ้ังสาระ ความรู้ ก่อให้เกิดทักษะและช่วยให้เกิดการเรียนรู้ ได้เร็วข้ึนมากยง่ิ ขน้ึ 3. เป็นแหล่งช่วยเสริมการเรียนรู้ของการศึกษาประเภทต่างๆ ทั้งการศึกษาในระบบ การศึกษานอก ระบบและการศึกษาตามอธั ยาศยั 4. เป็นแหลง่ การเรยี นรตู้ ลอดชีวติ ทม่ี นุษย์สามารถที่จะมีปฏิสมั พันธใ์ นการหาความรู้ต่างๆ ได้ด้วยตนเอง ตลอดเวลา โดยไม่จากัด เพศ วยั ระดับความรคู้ วามสามารถ 5. เป็นแหล่งที่มนุษย์สามารถเข้าไปปฏิสัมพันธ์ในการหาความรู้ จากแหล่งกาเนิด หรือแหล่งต้นตอของ ความรู้ เช่น จากโบราณสถาน โบราณวตั ถุ พันธไุ์ ม้ พันธุส์ ตั ว์ สภาพชวี ติ ความเปน็ อยู่ตามธรรมชาติของสัตว์เป็นต้น 6. เปน็ แหล่งท่ีมนษุ ย์สามารถเขา้ ไปปฏสิ มั พันธใ์ หเ้ กดิ ประสบการณต์ รง หรือลงมือปฏบิ ัตไิ ด้จรงิ เช่น การ ประดิษฐ์เครอื่ งใชต้ ่างๆ การซอ่ มแซมเครอ่ื งยนต์ เป็นตน้ ชว่ ยกระต้นุ ใหเ้ กิดความสนใจความใฝ่รู้ 7. เป็นแหล่งท่ีมนุษย์สามารถเข้าไปปฏิสัมพันธ์ให้เกิดความรู้ เกี่ยวกับวิทยาการใหม่ๆท่ีได้รับการคิดค้นข้ึน และยังไม่มีของจริงให้เหน็ เชน่ การดภู าพยนตร์ วดี ทิ ศั น์ หรือสอ่ื อนื่ ๆ ในเร่ืองการประดิษฐ์คดิ คน้ ส่ิงต่างๆขึ้นมาใหม่ 8. เป็นแหล่งส่งเสริมความสัมพันธ์อันดี ระหว่างคนในท้องถ่ินกับผู้เข้าศึกษาในการทากิจกรรมร่วมกัน ช่วยสรา้ งความรสู้ ึกของการเป็นส่วนหนง่ึ ของการมสี ่วนรว่ ม เกดิ ความตระหนักและเหน็ คุณค่าของแหล่งเรยี นรู้ 9. เป็นสิ่งที่ช่วยเปลี่ยนแปลงทัศนคติ ค่านิยมให้เกิดการยอมรับส่ิงใหม่ แนวคิดใหม่ เกิดจิตนาการและ ความคดิ สรา้ งสรรค์กับผ้เู รียน 10. เป็นการประหยัดเงนิ ของผเู้ รยี นในการใชแ้ หลง่ เรยี นรขู้ องชมุ ชนให้เกดิ ประโยชนส์ งู สุด ประเภทของแหล่งเรียนรู้ในชุมชนและแหล่งเรียนรู้ใกล้ตัว แหล่งเรียนรู้ในชุมชนมีการแบ่งแยกตาม ลักษณะได้ 6 ประเภท ดังนี้ 1. แหล่งเรียนรู้ประเภทบคุ คล ได้แก่ บุคคลที่มีความรู้ ความสามารถด้านต่างๆท่ีสามารถถ่ายทอดความรู้ ด้วย รูปแบบวิธตี า่ งๆทีต่ นมีอยู่ ให้ผู้สนใจ หรือผู้ต้องการเรียนรู้ เช่น ผู้เชี่ยวชาญในสาขาวิชาต่างๆ ผู้อาวุโสท่ีมีประสบการณ์ มามาก หรืออาจเป็นบุคคลท่ีได้รับการแต่งต้ังเป็นทางการ มีบทบาทสถานะทางสังคม หรืออาจเป็นบุคคลท่ีเป็นโดยการ งานอาชพี หรอื บุคคลท่ีเปน็ โดยความสามารถเฉพาะตวั หรอื บคุ คลที่ไดร้ ับการแต่งต้ังเปน็ ภูมิปญั ญา 2. แหลง่ เรยี นรปู้ ระเภทธรรมชาติ ไดแ้ ก่ สงิ่ ต่างๆ ท่เี กิดข้ึนโดยธรรมชาตแิ ละให้ประโยชน์ตอ่ มนุษย์ เชน่ ดิน นา้ อากาศ พืช สัตว์ ตน้ ไม้ แร่ธาตุ ทรัพยากรธรรมชาติเหล่านี้ อาจถูกจัดให้เปน็ อทุ ยาน วนอุทยาน เขตรักษา พนั ธสุ์ ัตวป์ า่ สวนพฤกษศาสตร์ ศูนยศ์ ึกษาธรรมชาติ เป็นตน้ 3. แหลง่ เรียนรู้ประเภทวัสดุและสถานท่ี ได้แก่ อาคาร สิง่ กอ่ สรา้ ง วัสดอุ ุปกรณ์ และสิ่งต่างๆ ที่ประชาชน สามารถศกึ ษาหาความรใู้ หไ้ ดม้ าซึง่ คาตอบ หรือส่ิงทีต่ ้องการเห็น ไดย้ ิน สมั ผสั เชน่ หอ้ งสมดุ ศาสนสถาน ศูนย์การ เรยี น พพิ ิธภณั ฑ์ สถานประกอบการ ตลาด นิทรรศการ สถานท่ีทางประวัตศิ าสตร์ ชุมชนแหง่ การเรียนรตู้ า่ งๆ

3 4. แหลง่ เรียนรปู้ ระเภทส่อื ได้แก่ ส่งิ ที่ทาหน้าที่เป็นส่ือกลางในการถา่ ยทอดเน้อื หาความรูส้ ารสนเทศ ให้ ถึงกัน โดยผ่านประสาทสมั ผสั ท้ังหา้ ไดแ้ ก่ หู ตา จมกู ล้ิน กาย และใจ แหลง่ เรียนร้ปู ระเภทน้ี ทาให้ขบวนการ เรียนร้เู ป็นไปได้อยา่ งรวดเรว็ มีประสทิ ธิภาพสูง ท้ังส่อื อิเล็กทรอนิกส์ สือ่ สิ่งพมิ พ์ ส่อื โสตทศั นวสั ดุ 5. แหล่งเรียนร้ปู ระเภทเทคนคิ สง่ิ ประดิษฐ์คดิ คน้ ไดแ้ ก่ สงิ่ ที่แสดงถงึ ความก้าวหน้าทางนวตั กรรม เทคโนโลยีด้านตา่ งๆทไ่ี ดม้ ีการประดษิ ฐค์ ดิ ค้น หรือพัฒนาปรบั ปรงุ ขนึ้ มา ใหม้ นษุ ย์ได้เรยี นร้ถู งึ ความกา้ วหน้า เกดิ จนิ ตนาการ แรงบันดาลใจ 6. แหล่งเรียนรู้ประเภทกจิ กรรม ได้แก่ การปฏิบตั กิ ารด้านประเพณวี ัฒนธรรม ตลอดจนการปฏิบัติการ ความเคลอ่ื นไหว เพื่อแกป้ ญั หาและปรับปรงุ พฒั นาสภาพตา่ งๆในท้องถิ่น การทม่ี นษุ ย์เขา้ ไปมีสว่ นรว่ มในกิจกรรม ต่างๆ เชน่ การรณรงคป์ อ้ งกันยาเสพติด การสง่ เสรมิ การเลอื กต้งั ตามระบอบประชาธิปไตย การรณรงค์ความปลอดภยั ของเด็กและสตรีในท้องถ่ิน ประเภทของแหลง่ เรียนรู้แบง่ ตามสาระลกั ษณะกายภาพและวตั ถปุ ระสงค์ แบ่งไดเ้ ป็น 4 กลมุ่ ดังตอ่ ไปน้ี (1.) กลมุ่ บรกิ ารข้อมูล ไดแ้ ก่ หอ้ งสมุด อทุ ยานวิทยาศาสตร์ ศนู ยว์ ิทยาศาสตร์ ศูนย์การเรยี นสถาน ประกอบการ (2.) กลุ่มงานศิลปวัฒนธรรม ได้แก่ พพิ ธิ ภัณฑ์ อุทยานประวตั ิศาสตร์ อนุสรณ์สถาน อนุสาวรยี ศ์ นู ย์ วัฒนธรรม หอศลิ ป์ ศาสนสถาน เปน็ ต้น (3.) กลุ่มข้อมูลท้องถิ่น ได้แก่ ภูมปิ ญั ญา ปราชญ์ชาวบ้าน ส่ือพ้ืนบา้ น แหลง่ ท่องเที่ยว (4. ) กลุ่มส่ือ ได้แก่ วิทยุ วทิ ยชุ มุ ชน หอกระจายขา่ ว โทรทศั น์ เคเบิลทวี ี สื่ออเิ ล็กทรอนิกสอ์ ินเทอร์เน็ต หนงั สอื อิเลก็ ทรอนกิ ส์(e-book) กล่มุ สันทนาการ ไดแ้ ก่ ศูนยก์ ีฬา สวนสาธารณะ สวนพฤกษศาสตร์ ศูนย์สนั ทนาการ เป็นตน้ กำรศึกษำสำรวจแหลง่ เรยี นรใู้ นชุมชน/ใกล้ตวั 1. ภูมิปัญญา การจดั แบง่ ประเภท สาขาของภมู ิปัญญาไทย จากการศึกษา พบว่า ได้มกี ารกาหนดสาขาของภมู ิปัญญา ไทยไวอ้ ยา่ งหลากหลาย ข้นึ อยกู่ บั วตั ถปุ ระสงคแ์ ละหลักเกณฑ์ต่างๆ ซึง่ นกั วิชาการแตล่ ะทา่ นได้กาหนดไวใ้ น หนังสือสารานุกรมไทย โดยได้แบง่ ภมู ปิ ัญญาไทย ได้เปน็ 10 สาขา ดงั นี้ 1.1 สาขาเกษตรกรรม หมายถงึ ความสามารถในการผสมผสานองคค์ วามรู้ ทักษะและเทคนคิ ด้าน การเกษตรกบั เทคโนโลยี บนพนื้ ฐานคณุ ค่าดงั เดิม ซึ่งความสามารถพ่ึงพาตนเองในภาวการณ์ตา่ งๆ ได้ เช่น การทา การเกษตรแบบผสมผสาน วนเกษตร เกษตรธรรมชาติ ไรน่ าสวนผสม และสวนผสมผสาน การแก้ปัญหาการเกษตร ดา้ นการตลาด การแกป้ ัญหาด้านการผลติ การแก้ไขปญั หาโรคและแมลงและการรจู้ กั ปรบั ใชเ้ ทคโนโลยีทีเ่ หมาะสม กบั การเกษตร เปน็ ตน้ 1.2 สาขาอุตสาหกรรมและหัตถกรรม หมายถงึ การรู้จกั ประยกุ ต์ใช้เทคโนโลยีสมยั ใหม่ในการแปรรูป ผลิตผล เพ่อื ชะลอการนาเขา้ ตลาด เพ่อื แกป้ ัญหาดา้ นการบรโิ ภคอยา่ งปลอดภัย ประหยดั และเปน็ ธรรม อันเปน็ ขบวนการท่ีทาให้ชุมชนทอ้ งถิ่นสามารถพึ่งพาตนเองทางเศรษฐกจิ ได้ ตลอดทงั้ การผลติ และการจาหน่ายผลิตผล ทางหตั ถกรรม เช่น การรวมกลุ่มของกลุม่ โรงงานยางพารา กลุ่มโรงสี กล่มุ หัตถกรรม เป็นต้น

4 1.3 สาขาการแพทย์แผนไทย หมายถงึ ความสามารถในการจดั การปอ้ งกนั และรักษาสขุ ภาพของคนใน ชมุ ชน โดยเน้นให้ชุมชน สามารถพ่งึ พาตนเองทางด้านสุขภาพและอนามยั ได้ เชน่ การนวดแผนโบราณ การดูแล และรกั ษาสขุ ภาพแบบพ้ืนฐาน การดูแลและรักษาสขุ ภาพแผนโบราณไทย เป็นตน้ 1.4 สาขาการจดั การทรัพยากรธรรมชาตแิ ละสงิ่ แวดลอ้ ม หมายถงึ ความสามารถเกีย่ วกับการจดั การ ทรพั ยากรธรรมชาติและสง่ิ แวดลอ้ ม ทงั้ การอนรุ กั ษ์ การพัฒนา และการใช้ประโยชน์จากคุณคา่ ของ ทรัพยากรธรรมชาตแิ ละส่งิ แวดลอ้ มอย่างสมดลุ และยัง่ ยนื เช่น การทาแนวปะการังเทียม การอนรุ กั ษป์ า่ ชายเลน การจดั การปา่ ตน้ นา้ และปา่ ชมุ ชน เปน็ ตน้ 1.5 สาขากองทนุ และธรุ กิจชุมชน หมายถงึ ความสามารถในการบริหารจัดการดา้ นการสะสมและบรกิ าร กองทนุ และธุรกิจในชมุ ชนทั้งที่เป็นเงินตราและโภคทรัพย์ เพือ่ ส่งเสรมิ ชวี ิตความเป็นอยขู่ องสมาชิกในชมุ ชน เชน่ การจัดการเร่ืองกองทนุ ของชมุ ชนในรูปของสหกรณอ์ อมทรัพย์และธนาคารหมูบ่ า้ น เป็นต้น 1.6 สาขาสวสั ดิการ หมายถึง ความสามารถในการจดั สวสั ดิการในการประกันคุณภาพชีวิตของคนให้เกดิ ความม่ันคงทางเศรษฐกจิ สังคม และวัฒนธรรม เช่น การจัดตั้งกองทุนสวสั ดิการรักษาพยาบาลของชมุ ชน การ จัดระบบสวัสดกิ ารบรกิ ารในชมุ ชน การจัดระบบสิ่งแวดลอ้ มในชมุ ชน 1.7 สาขาศลิ ปกรรม หมายถงึ ความสามารถในการผลิตผลงานทางดา้ นศิลปะสาขาต่างๆ เชน่ จติ รกรรม ประติมากรรม วรรณกรรม ทัศนศิลป์ คีตศิลป์ ศลิ ปะมวยไทย เปน็ ต้น 1.8 สาขาการจัดการองค์กร หมายถงึ ความสามารถในการบริหารจัดการ ดาเนนิ งานขององคก์ รตา่ งๆ ให้ สามารถพัฒนาและบรหิ ารองคก์ รของตนเองได้ตามบทบาทและหน้าท่ขี ององคก์ ร เช่น การจดั การองค์กรของกลมุ่ แม่บ้าน กล่มุ ออมทรัพย์ กลุม่ ประมงพน้ื บา้ น เป็นต้น 1.9 สาขาภาษาและวรรณกรรม หมายถงึ ความสามารถด้านภาษา ทัง้ ภาษาถน่ิ ภาษาโบราณ ภาษาไทย และการใช้ภาษาตลอดทง้ั ด้านวรรณกรรมทุกประเภท เชน่ การจัดทาสารานุกรม ภาษาถนิ่ การปริวรรตหนังสือ โบราณ การฟืน้ ฟูการเรยี นการสอนภาษาถนิ่ ของท้องถนิ่ ต่างๆเปน็ ต้น 1.10 สาขาศาสนาและประเพณี หมายถึง ความสามารถประยกุ ตแ์ ละปรบั ใชห้ ลกั ธรรมคาสอนทาง ศาสนา ความเชือ่ และประเพณดี งั้ เดิมท่ีมีคณุ ค่า ใหเ้ หมาะสมตอ่ การประพฤตปิ ฏิบัติ วิธกี ารศึกษาเรยี นรู้จากภูมิปญั ญา ( 1. ) เรยี นรจู้ ากการเลา่ เรือ่ งราว การเทศน์ ( 2. ) เรียนรจู้ ากการปฏิบัติจรงิ ( 3. ) เรยี นรู้จากการทาตาม เลียนแบบ ( 4. ) เรยี นรจู้ ากการทดลอง ลองผดิ ลองถกู ( 5. ) เรยี นรูจ้ ากการศกึ ษาด้วยตนเอง ( 6. ) เรียนรจู้ ากการตอ่ วชิ า ( 7. ) เรียนรูจ้ ากการสอนแบบกลุ่ม วธิ กี ารถ่ายทอดความรู้ของภูมปิ ัญญา อาจมีลักษณะแตกตา่ งกันตามเอกลักษณเ์ ฉพาะ ตัวการศึกษาเรียนรู้ จากครภู ูมปิ ัญญา จะชว่ ยทาใหภ้ มู ิปญั ญาความรูห้ รอื คุณค่าของท้องถ่ินได้รับการสืบทอดและพัฒนาต่อไป ส่วนผู้ที่ ศึกษาเลา่ เรยี นกจ็ ะเห็นคุณค่าของส่งิ ที่ดีงามในทอ้ งถิ่นของตน ด้วยความรัก ความภาคภูมิใจในท้องถิ่นของตน ภูมิ ปญั ญาไทยจึงถือเปน็ แหล่งข้อมูลการเรยี นรู้ท่ีสาคัญของท้องถ่นิ

5 2. ศูนย์การเรยี นชมุ ชน ศูนย์การเรียนชุมชน สานักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยเป็นแหล่งการ เรียนรูส้ าคญั แหง่ หนงึ่ ทส่ี านกั งานสง่ เสรมิ การศกึ ษานอกระบบและการศกึ ษาตามอธั ยาศยั ไดด้ าเนนิ การจดั ตั้งขึ้นใน พน้ื ทร่ี ะดบั ตาบลทั่วประเทศ และเป็นแหล่งเรียนรู้ใกล้ตัวนักศึกษา เพื่อให้เป็นแหล่งส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต ของประชาชนในชุมชน โดยเน้นการมีส่วนร่วมในการจัดการศึกษาของชุมชน มุ่งสร้างโอกาสและให้บริการการ เรยี นรู้อยา่ งหลากหลาย วิธีสนองความตอ้ งการและเสนอทางเลือกในการพัฒนาตนเอง นาไปสู่การพัฒนาคุณภาพ ชวี ิตโดยยดึ หลักการชุมชนเปน็ ฐานของการพฒั นาศนู ย์การเรียนชมุ ชน อาจแบ่งได้เป็น 2 ลกั ษณะ ไดแ้ ก่ (1.) ศนู ย์การเรียนชุมชน ได้แก่ สถานทถ่ี ่ายทอดความรู้ ทาหน้าท่ีเป็นศูนย์กลางการจัดกิจกรรมการศึกษา นอกระบบและการศกึ ษาตามอัธยาศัยในชุมชน เพื่อสรา้ งโอกาสในการเรียนรู้ การถ่ายทอดและเป็นเวทีแลกเปลี่ยน ประสบการณ์ วิทยาการ ตลอดจนภูมิปญั ญาของชุมชน (2.) ศนู ย์การเรยี นชมุ ชนประจาตาบล ไดแ้ ก่ ศูนยก์ ารเรยี นชมุ ชนประจาตาบลที่ได้รับคัดเลือกให้ทาหน้าท่ี เปน็ ศูนยก์ ลางประสานงานกับศูนย์การเรียนชุมชนและหน่วยงาน หรือองค์กร หรือกลุ่มต่างๆในชุมชน ในการจัด การศกึ ษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยในตาบลอีกหน้าที่หน่ึงนอกเหนือจากบทบาทหน้าที่ของศูนย์การ เรียนชมุ ชน วัตถปุ ระสงค์ของศูนยก์ ารเรยี นชุมชน 1. เพอื่ เปน็ ศนู ยก์ ลางการเรียนรูแ้ ละจัดกจิ กรรมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย เพอ่ื ให้ ประชาชนได้รับการส่งเสรมิ ให้เรียนรอู้ ย่างตอ่ เนื่องตลอดชวี ติ 2. เพอ่ื สรา้ งเสริมกระบวนการเรยี นร้ใู นชุมชน 3. เพือ่ สร้างโอกาสการเรียนรู้สาหรับประชาชนในชุมชน 4. เพอ่ื ใหช้ มุ ชนมีสว่ นรว่ มในการบริหารจดั การ และจัดการศกึ ษาใหก้ ับชมุ ชนเอง 3. ห้องสมุดประชาชน ห้องสมดุ ประชาชน หมายถงึ สถานทจี่ ัดหา รวบรวมทรัพยากรสารสนเทศ เพื่อการอ่านการศกึ ษาค้นควา้ ทุกชนดิ มกี ารจดั ระบบหมวดหมู่ตามหลักสากลเพื่อการบรกิ าร และจดั บริการอย่างกวา้ งขวางแกป่ ระชาชนใน ชุมชน สังคม ในประเทศและต่างประเทศ โดยไมจ่ ากดั เพศ วัย ความรู้ เชื้อชาติ ศาสนา รวมทัง้ การจัดกจิ กรรม สง่ เสริมการอา่ น การศึกษาค้นคว้าโดยไมค่ ดิ มูลค่า โดยรฐั เป็นผู้สนับสนุนทางการเงนิ และมีบุคลากรท่มี ีความร้ทู าง บรรณารกั ษศ์ าสตรเ์ ป็นผู้ดาเนินการ 4. พิพิธภัณฑ์ ศาสนาสถานและอทุ ยานแหง่ ชาติ พพิ ธิ ภณั ฑ์ เป็นแหล่งเรียนรู้ที่รวบรวม รักษา ค้นคว้า วิจัย และจัดแสดงวัตถุส่ิงของท่ีสัมพันธ์กับมนุษย์ และสงิ่ แวดล้อม เปน็ บรกิ ารการศึกษาทใี่ หท้ ้ังความรู้และความเพลิดเพลินแก่ประชาชนท่ัวไป เน้นการจัดกิจกรรม การศึกษาทเ่ี อ้ือใหป้ ระชาชนสามารถเรียนรู้ด้วยตนเองอย่างอิสระเป็นสาคัญศาสนสถาน วัด โบสถ์ มัสยิด เป็นศา สนสถานท่ีเป็นรากฐานของวัฒนธรรมในด้านต่างๆ เป็นศูนย์กลางและส่วนประกอบท่ีสาคัญในการทากิจกรรมท่ี หลากหลายของชมุ ชน เป็นแหลง่ เรียนรู้ที่มคี ่ามากในทุกด้าน เช่น การให้การอบรมตามคาสั่งสอนของศาสนา การ ให้การศึกษาด้านวัฒนธรรมขนบธรรมเนียมประเพณี พิธีกรรมต่างๆ นับว่าเป็นการให้การศึกษาทางอ้อมแก่ ประชาชน วัด โบสถ์และมัสยิด ท่ีเป็นแหล่งการเรียนรู้ท่ีสาคัญ เช่น วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม ถือเป็น มหาวทิ ยาลัยแหง่ แรกของไทย ท่เี ปน็ แหลง่ เรียนร้สู าคญั ด้วยการนวดแผนโบราณเพือ่ รักษาโรคตารายาสมุนไพร วัด พระศรีรตั นศาสดารามเปน็ แหล่งเรยี นรู้ ดา้ นจิตรกรรมฝาผนงั เรอื่ งรามเกียรติ์

6 ภมู ปิ ญั ญำท้องถน่ิ ความหมายของภูมิปัญญา ภูมิปัญญำ หรือ Wisdom หมายถึง ความรู้ ความสามารถ ความเช่ือ ท่ีนามาไปสู่การปฏิบัติเพื่อแก้ไข ปญั หาของมนุษย์ หรือ ภูมิปัญญา คือ พ้ืนความรู้ของปวงชนในสังคมน้ัน ๆ และปวงชนในสังคมยอมรับรู้ เช่ือถือ เข้าใจ รว่ มกัน เรยี กวา่ ภูมิปญั ญา ภูมิปัญญำไทย หมายถึง องค์ความรู้ ความสามารถและทักษะของคนไทยอันเกิดจากการส่ังสม ประสบการณ์ท่ีผ่านกระบวนการเรียนรู้ เลือกสรร ปรุงแต่ง พัฒนา และถ่ายทอดสืบต่อกันมา เพื่อใช้แก้ปัญญา และพัฒนาวิถชี วี ติ ของคนไทยให้สมดุลกับสภาพแวดล้อมและเหมาะสมกับยุคสมัย ภูมิปัญญาไทยน้ีมีลักษณะ เป็น องคร์ วม มคี ุณค่าทางวัฒนธรรมเกิดขน้ึ ในวิถีชีวิตไทย ซึ่งภูมิปัญญาท้องถ่ินอาจเป็นท่ีมาขององค์ความรู้ที่ งอกงาม ข้ึนใหม่ทจี่ ะช่วยในการเรยี นรู้ การแกป้ ัญหา การจดั การและการปรับตวั ในการดาเนินวิถีชีวิตของคน ไทย ลักษณะ องค์รวมของภูมิปัญญามีความเด่นชัดในหลายด้านเช่น ด้านเกษตรกรรม ด้านอุตสาหกรรม และ หัตถกรรม ด้าน การแพทย์แผนไทย ด้านการจัดการทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม ด้านกองทุนและธุรกิจชุมชน ด้านศิลปกรรม ด้าน ภาษาและวรรณกรรม ด้านปรัชญา ศาสนา และประเพณี และด้านโภชนาการ วัฒนธรรม พัฒนาการทาง ประวัตศิ าสตร์ เอกลกั ษณะและภมู ปิ ัญญา ภูมปิ ัญญำชำวบำ้ น หรอื ภูมปิ ัญญำท้องถิ่น (Folk Wisdom) ไดม้ ผี คู้ วามหมายดังน้ี กระทรวงศกึ ษาธกิ าร (2539 : 2)หมายถงึ ความรู้ที่เกิดจากประสบการณใ์ นชีวิตของคนเราผ่าน กระบวน การศกึ ษา สังเกตคิดวิเคราะหจ์ นเกิดปญั ญา และตกผลึกมาเป็นองค์ความรู้ที่ประกอบกันขึ้นมาจาก ความรู้เฉพาะ หลาย ๆ เร่ือง ความร้ดู ังกลา่ วไมไ่ ดแ้ ยกยอ่ ยออกมาเป็นศาสตร์ เฉพาะสาขาวิชาต่าง ๆ อาจกล่าว ไว้ว่า ภูมิปัญญา ท้องถนิ่ จดั เป็นพนื้ ฐานขององคค์ วามรสู้ มัยใหม่ท่ีจะช่วยในการเรียนรู้ การแก้ปัญหา การจัดการ แลการปรับตัวใน การดาเนนิ ชวี ติ ของคนเรา ภมู ิปญั ญาท้องถนิ่ เป็นความรูท้ มี่ อี ยทู่ ัว่ ไปในสังคม ชมุ ชนและใน การตวั ของผู้รูเ้ อง หากมี การสืบคน้ หาเพอ่ื ศึกษา และนามาใช้ก็จะเป็นที่รู้จกั กันเกิดการยอมรบั ถา่ ยทอด และ พัฒนาไปสู่คนรุ่นใหม่ตามยุค ตามสมัยได้ ศักดิ์ชัย เกียรตินาคินทร์ (2542 : 2) ได้ให้ความหมายของภูมิปัญญาท้องถิ่น คือ องค์ความรู้ ความสามารถของชุมชนท่ีสั่งสมสืบทอดกันมานาน เป็นความจริงแท้ของชุมชนเป็นศักยภาพที่จะใช้แก้ปัญหา จดั การปรับตน เรยี นรู้ และถ่ายทอดสู่คนรุ่นใหม่ เพื่อให้ดารงชีวิตอยู่ได้อย่างผาสุก เป็นแก่นของชุมชนที่ จรรโลง ความเปน็ ชาติให้อยรู่ อดจากทุกขภ์ ยั พิบตั ิทง้ั ปวง จารวุ รรณ ธรรมวัติ (2543 : 1) ไดใ้ ห้ความหมาย ของภมู ิปญั ญาทอ้ งถิน่ คอื แบบแผน การดาเนินชีวิต ที่ มีคุณค่าแสดงถึงความเฉลียวฉลาดของบุคคล และสังคมซ่ึงได้สั่งสมและปฏิบัติต่อกันมา ภูมิปัญญาจะเป็น ทรพั ยากรบุคคล หรอื ทรัพยากรความรู้ก็ได้ จากการศกึ ษาความหมายและแนวคิดของภูมิปัญญาของชาวบ้านที่กล่าวมาแล้วข้างต้นพอสรุปได้ว่า ภูมิ ปญั ญาไทย หมายถงึ ความรู้ ความสามารถในการดาเนินชีวติ อย่ใู นพน้ื ที่นั้น ๆ โดยใช้สติปัญญาสั่งสมความรู้ อย่าง แพร่หลาย ผสมผสานความกลมกลืนระหว่างศาสนา สภาพภูมิอากาศ สภาพแวดล้อมการประกอบอาชีพ และ กระบวนการเหล่าน้ีมาจนหลายชั่วคนซ่ึงจะเป็นวิถีการดาเนินชีวิตของมนุษย์นั้น เกิดจากการเรียนรู้และสั่ง สม ประสบการณ์เป็นระยะเวลายาวนาน โดยอาศัยภูมิปัญญาท่ีมีอยู่มาใช้ในการต้ังถิ่นฐาน การประกอบอาชีพ การ ปรับตวั และแกป้ ัญหาในการดาเนินชวี ิต จนเหมาะสมกับสภาพแวดลอ้ มของธรรมชาตแิ ละสังคม

7 ลักษณะของภูมิปัญญำ เอ่ียม ทองดี (2542 : 5-6) ได้กล่าวว่าภูมิปัญญามีลักษณะเป็นนามธรรมอย่างน้อยต้องประกอบด้วย องค์ประกอบตา่ ง ๆ เหลา่ นี้ คือ 2.1 ความคิด เป็นส่ิงท่ีติดตัวมาแต่กาเนิด ที่เรียกว่า Cognitive System ซ่ึงประกอบด้วยระบบ ประสาท ระบบสมอง และต่อมต่าง ๆ ท าหน้าท่ีคิดให้แก่ร่างกายและนักมานุษยวิทยาเช่ือว่าทางานอยู่ นอกเหนือจากการบงการของร่างกาย หมายถึง ท้งั สว่ นท่เี ป็นจินตนาการและผลของการวิเคราะห์และ สังเคราะห์ จากสภาพแวดล้อมทั้งทางธรรมชาติและสังคมวัฒนธรรม ซ่ึงความคิดดังกล่าวน้ีจะเป็นแหล่งสาคัญ หรือท่ีมาของ ความร้อู นั เปน็ องคป์ ระกอบของภมู ปิ ัญญาในลาดับถัดไป 2.2 ความรู้ มีการนามาใช้ในลักษณะต่าง ๆ เช่น องค์ความรู้ ภูมิรู้ ปรากฏอยู่ในแนวคิด ทฤษฏีญาณ วทิ ยาทว่ี า่ ด้วยทฤษฏีแหง่ ความรู้ การสืบคน้ กาเนดิ แห่งความรู้ และธรรมชาติของความรู้ การหาคาตอบว่าตรง กับ ความเป็นจรงิ หรือไม่ หรอื ว่าความร้เู ปน็ เพียงการพจิ ารณาเทยี บเคยี ง ซึ่งไม่ตรงกับข้อเท็จจริงและยังสืบค้น ความรู้ เร่ืองกาล (Time) อวกาศ (Space) เนื้อสาร (Substance) สัมพันธภาพ (Relation) และความเป็นเหตุ เป็นผล (Causality) องค์ความรู้เป็นหมวด ๆ (Category) ความรู้ หรือองค์ความรู้เป็นองค์ประกอบส่วนหนึ่ง ของภูมิ ปญั ญาทีก่ ลา่ วขา้ งต้น 2.3 ความเชื่อ เปน็ พืน้ ฐานสาคัญยิ่งของสังคมมนษุ ย์ มนุษย์แต่ละกลมุ่ มคี วามเช่ือแตกต่างกันไป ซ่ึง ความ เชอ่ื ก็คอื ความศรทั ธาหรอื ยึดม่ันถือมั่น ซึ่งเป็นแกนสาคัญในการดาเนินชีวิตและความมั่นคงของสังคม ความเชื่อมี อยูห่ ลายระดับท้ังในการดาเนินชวี ิตประจาวันอันเป็นความเช่ือโดยท่ัวไป และความเช่ือที่เก่ียวกับ วิญญาณ โลกน้ี โลกหนา้ ความดี ความช่ัว นรก สวรรค์ บาปบญุ คุณโทษ ซึง่ เป็นองคป์ ระกอบสาคัญยง่ิ ใน ภมู ิปญั ญา 2.4 ค่านิยม คือ สง่ิ ทคี่ นสนใจ ความปรารถนาอยากจะมี อยากจะเปน็ ท่ยี กย่อง สรรเสริญ หรือเป็นส่ิง ที่ บงั คบั ต้องทา ต้องปฏบิ ัตมิ คี วามรักและมีความสุขเม่ือได้เห็นหรือได้สิ่งเหล่าน้ันมา ค่านิยมจึงเป็นพ้ืนฐานของ การ จัดรูปแบบพฤติกรรมที่ปรากฏอยู่ภายใน และแสดงออกเป็นพฤติกรรมในลักษณะต่าง ๆ ทางกาย วาจา และ ความคดิ โดยสรปุ ค่านยิ มเป็นพื้นฐานสาคัญทางภมู ิปัญญา เป็นบ่อเกิดพฤตกิ รรมของบคุ คลแตล่ ะสังคม 2.5 ความเหน็ คอื ภาวะท่เี กิดขึ้นหลงั จากบคุ คลหรือชมุ ชน ได้พจิ ารณาและใครค่ รวญโดยรอบคอบ แล้ว จึงลงมติตัดสินใจ ว่าควรจะแสดงออกในลักษณะอย่างไร เช่น เห็นด้วย ทาตาม ยอมรับ ปฏิเสธ ร่วมมือ กระทา หรือดาเนินการ ด้วยเห็นว่าดี ช่ัว เหมาะสม ไม่เหมาะสม เป็นบาป เป็นบุญ เป็นต้น ซ่ึงความเห็นใน ลักษณะ ดังกลา่ วนเ้ี ปน็ ภมู ปิ ัญญาประการหนึ่งทมี่ ผี ลสาคัญยิ่งตอ่ พฤติกรรมท่แี สดงออกมาท้งั กาย วาจา และ จติ ใจ 2.6 ความสามารถ หมายถึง ศักยภาพและประสิทธิภาพที่มีอยู่ภายในบุคคล เช่น ชุมชนในการที่จะ จัดการเรอื่ งใดเรอ่ื งหนึ่งในลกั ษณะเดียวกับส่ิงที่เรยี กว่า “พรสวรรค์” ซึ่งเป็นผลมาจากลักษณะทางกายและ จิตใจ รว่ มกนั โดยแตล่ ะคนหรือชุมชนย่อมจะต้องมีแตกตา่ งกนั เช่น การท่ีบงคนสามารถปาฐกถาได้ดี ลาดับ เน้ือหาและ การแสดงทกุ อย่างเปน็ ทชี่ ืน่ ชม ซงึ่ ถือวา่ เป็นผลมาจากความสามารถท่ีมีอยู่ในบุคคลนั้น ๆ ฉะนั้น ความสามารถจึง เปน็ ภูมปิ ญั ญาอีกประการหนึ่ง 2.7 ความฉลาดไหวพริบ หมายถึง ทักษะที่ปรากฏอยู่ภายในจิตใจ หรือจิตวิญญาณ เป็นส่ิงท่ีสามารถ นามาใช้แก้ไขปูองกันควบคุมเหตุการณ์ต่าง ๆ ไม่ให้เกิดเป็นปัญหาข้ึนหรือให้เป็นไป ตามท่ีตนเองหรือชุมชน ตอ้ งการ

8 ดงั นัน้ องค์ประกอบของภูมปิ ัญญาจึงมสี ว่ นสาคัญทีจ่ ะทาให้ภมู ปิ ญั ญาทม่ี อี ยเู่ กดิ คุณค่าแก่ความ ภาคภูมิใจ ซงึ่ ได้แก่ ความคิดท่เี กดิ จากการจินตนาการจากสภาพแวดล้อมท่ีมีอยู่ในสังคม ความรู้อาจเกิดจากภูมิ ความรู้ที่ได้ จากการทดสอบทดลองหลายครั้งจนได้ความรู้ท่ีแท้จริง ความเชื่อถืออันเป็นพ้ืนฐานในการดารงชีวิต ที่มีบาป บุญคณุ โทษ และจิตวิญญาณเข้ามาเกย่ี วขอ้ งค่านิยมทค่ี นในสังคมใหก้ ารยกย่องเชิดชูว่าเป็นส่ิงดีงาม ควรค่าแก่การ อนุรกั ษใ์ ห้มีการสบื ทอดแก่ลกู หลาน ความเหน็ ท่เี กิดจากพิจารณารอบคอบจากชมุ ชนจนเกิดการ ยอมรับด้วยความ จรงิ ใจ ความสามารถอันเกิดจากพรสวรรค์หรือจากการฝึกฝนจนสามารถแก้ปัญหาของชุมชน ได้ ความฉลาดไหว พริบการแก้ไข เช่นกัน ย่อมเกิดข้ึนจากจินตนาการ ความรู้ ความสามารถ ความเช่ือ และ ค่านิยม การส่ังสม ประสบการณ์ดังที่ได้กลา่ วมาแลว้ จนสามารถสร้างองค์ความรู้และสังเคราะห์ใหม่ให้มี ความก้าวหน้าและนามาใช้ งานไดด้ ีมีประสทิ ธภิ าพยง่ิ ขน้ึ ภมู ปิ ญั ญาเหลา่ นสี้ ะท้อนออกมาเป็น 3 ลักษณะท่สี ัมพันธ์ใกลช้ ิดกัน คอื 1. ความสมั พันธอ์ ยา่ งใกลช้ ดิ กนั คอื ความสมั พนั ธ์ระหว่างคนกบั โลก ส่ิงแวดล้อม สตั ว์ พืช ธรรมชาติ 2. ความสมั พนั ธ์กบั คนอนื่ ๆ ทีร่ ว่ มกนั ในสงั คมหรือในชมุ ชน 3. ความสมั พันธ์กบั สิง่ ศกั ดิ์สิทธิ์ ส่ิงเหนือธรรมชาติ ส่ิงที่ไมส่ ามารถสัมผัสได้ ควำมสำคญั ของภูมปิ ัญญำ นธิ ิ เอย่ี วศรวี งศ์ (2536 : 3) ได้แบ่งความสาคัญของภมู ปิ ัญญาทอ้ งถิ่นไว้ 4 ประการ คือ 1. ความรู้และระบบความรู้ ภูมิปัญญาไม่ใช่ส่ิงท่ีเกิดแวบข้ึนมาในหัว แต่เป็นระบบความรู้ที่ชาวบ้าน มองเห็นความสมั พันธข์ องสงิ่ ต่าง ๆ เปน็ ระบบความรู้ท่ีไมเ่ ป็นวทิ ยาศาสตร์ ฉะน้ันในการศึกษาเข้าไปดูว่า ชาวบ้าน “รู้อะไร” อยา่ งเดยี วไมพ่ อตอ้ งศึกษาดว้ ยว่าเขาเหน็ ความสมั พนั ธ์ของส่งิ ต่าง ๆ เหลา่ นั้นอย่างไร 2. การสง่ั สมและการกระจายความรู้ภูมิปัญญาเกิดจากการสั่งสม และกระจาย ความรู้ ความรู้นั้น ไม่ได้ ลอยอยูเ่ ฉย ๆ แตถ่ กู น ามาบรกิ ารคนอนื่ เช่น หมอพื้นบ้าน ชุมชน สั่งสมความรู้ทางการแพทย์ไว้ในตัวคน ๆ หนึ่ง โดยมกี ระบวนการที่ทาให้เขาส่ังสมความรู้ เราควรศึกษาด้วยว่ากระบวนการนี้เป็นอย่างไร หมอคนหนึ่ง สามารถ สร้างหมอคนอ่นื ต่อมาไดอ้ ย่างไร 3. การถ่ายทอดความรู้ภูมิปัญญาชาวบ้านไม่ได้มีสถาบันถ่ายทอดความรู้แต่มีกระบวนการถ่ายทอด ที่ ซบั ซ้อน ถา้ เราตอ้ งการเข้าใจภูมิปัญญาท้องถ่ิน เราต้องเข้าใจกระบวนการถ่ายทอดความรู้จากคนรุ่นหน่ึง ไปสู่คน อกี ร่นุ หน่ึงด้วย 4. การสรา้ งสรรคแ์ ละปรับปรุง ระบบความรู้ของชาวบา้ นไมไ่ ดห้ ยุดนิ่งอยูก่ บั ท่ีแต่ถกู ปรับเปลี่ยน ตลอดมา โดยอาศยั ประสบการณข์ องชาวบา้ นเอง เรายังขาดการศกึ ษาว่าชาวบา้ นปรับเปลี่ยนความรู้ และ ระบบความรู้เพื่อ เผชญิ กับความเปลีย่ นแปลงอยา่ งไร ประเภทของภูมิปัญญำ มณนิภา ชุติบุตร(2538:21) และนิคม ชมพูหลง (2542:131) ได้แบ่งภูมิปัญญาท้องถิ่นออกเป็น 4 กลุ่ม คือ 1. คติ ความคดิ ความเช่ือ และหลกั การ เปน็ พ้ืนฐานขององค์ความรู้ ทถ่ี า่ ยทอดกันมา 2. ศิลปะ วฒั นธรรม และขนบธรรมเนยี ม ประเพณีทเี่ ปน็ แบบแผนของการดาเนินชวี ติ ที่ปฏบิ ตั ิ สบื ทอดกนั มา 3. การประกอบอาชีพในแต่ละท้องถ่นิ ทีไ่ ดร้ ับการพฒั นาให้เหมาะสมกบั กาลสมยั

9 4. แนวคดิ หลกั ปฏบิ ัตแิ ลเทคโนโลยีสมยั ใหม่ที่ชาวบา้ นนามาใช้ในชมุ ชนเป็นอิทธพิ ลของความก้าวหน้า ทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ได้แบ่งประเภทของภูมปิ ัญญาทอ้ งถิน่ ไว้ 10 กลมุ่ ดังน้ี 1. ดา้ นเกษตรกรรม เช่น การเพาะปลูก การขยายพนั ธ์ การเลย้ี งสัตว์ การเกษตรผสมผสาน การทาไร่ นา สวนผสม การปรบั ใช้เทคโนโลยีทเี่ หมาะสมกับการเกษตร เปน็ ตน้ 2. ด้านอุตสาหกรรมและหตั ถกรรม เชน่ การจักสาน ทอ การชา่ ง การทอผ้า การแกะสลกั เป็นตน้ 3. ด้านการแพทย์แผนไทย เชน่ หมอสมนุ ไพร หมอยากลางบ้าน หมอนวดแผนโบราณ หมอยาหมอ้ 4. ดา้ นการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสง่ิ แวดล้อม เช่น การบวชปา่ การสืบชะตาแมน่ า้ การ อนุรกั ษ์ป่าชายเลน 5. ด้านกองทุนและธรุ กจิ ชุมชน เชน่ ผ้นู าในการจดั การกองทุนของชุมชน ผนู้ าในการจัดต้ังกองทุน สวสั ดกิ ารรักษาพยาบาล ผนู้ าในการจดั ระบบสวัสดิการ บริการชมุ ชน เปน็ ต้น 6. ด้านศิลปกรรม เช่น วาดภาพ(กิจกรรม) การปน้ั (ประตมิ ากรรม) นาฎศิลป์ ดนตรี การแสดง การละเล่นพืน้ บา้ น นันทนาการ เปน็ ตน้ 7. ด้านภาษาและวรรณกรรม เช่น ความสามารถในการอนรุ ักษ์ และสรา้ งผลงานดา้ นภาษา วรรณกรรม ทอ้ งถนิ่ การจัดทาสารานุกรมภาษา หนงั สอื โบราณ การฟน้ื ฟู การเรียนการสอนภาษาถิน่ ของ ท้องถน่ิ ตา่ ง ๆ เปน็ ตน้ 8. ด้านปรัชญา ศาสนา และประเพณีเช่น ความสามารถประยุกต์และปรับใช้หลักธรรมคาสอนทาง ศาสนา ปรัชญาความเช่ือ และประเพณีที่มีคุณค่าให้เหมาะสมต่อบริบททางเศรษฐกิจ สังคม กา รถ่ายทอด วรรณกรรม คาสอน การประยกุ ต์ประเพณบี ุญ เปน็ ตน้ 9. ดา้ นโภชนาการ เชน่ ความสามารถในการเลือกสรร ประดิษฐ์ และปรุงแต่งอาหารและยา ได้เหมาะสม กับความต้องการของร่างกายในสภาวการณ์ต่าง ๆ ตลอดจนผลิตเป็นสินค้าบริการส่งออกที่ได้รับ ความนิยม แพรห่ ลายมาก เป็นตน้ 10. ด้านองค์กรชุมชน เช่น ร้านค้าชุมชน ศูนย์สาธิตการตลาด กลุ่มออมทรัพย์องค์กรด้านการตัดเย็บ เสื้อผา้ กล่มุ จักรสาน กลุ่มทอผ้า กลุ่มทอเส่ือ กลุ่มตีมีด ตีขวาน เครื่องมือท่ีทาจากเหล็ก กองทุนสวัสดิการ ชุมชน การอนุรักษท์ รัพยากรธรรมชาติ เปน็ ต้น จากการแบง่ ประเภทของภูมปิ ัญญาท้องถ่ินทีน่ กั การศึกษา และหนว่ ยงานตา่ ง ๆ ไดก้ ลา่ วมาสรุปได้ว่า ภูมิ ปัญญาทอ้ งถิน่ สามารถแบ่งตามลักษณะของคนในท้องถ่ินหรือชุมชนได้คิดหรือ ได้รับการถ่ายทอดและถือ ปฏิบัติ สืบต่อกันมาจากบรรพบุรุษ ซ่ึงเกิดจากความเช่ือ ความรู้สึก ความนึกคิด ในการสร้างสรรค์แบ บแผนของ การ ดาเนินชีวิต รวมถึงการนาเทคโนโลยีพื้นบ้านมาประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อไป ศูนย์การศึกษาตามอัธยาศัย อาเภอหนองแซง ได้สารวจข้อมูล สอบถามจากชาวบ้านในท้องถ่ิน อาเภอหนองแซง จังหวัดสระบุรี เพ่ือค้นหา แหล่งเรียนรู้ ปราชญ์ชาวบ้าน ภูมิปัญญาท้องถ่ิน เพ่ือ เผยแพร่ข้อมูล ยกย่องเชิดชูเกียรติ และเพ่ือสืบทอดภูมิ ปัญญาท้องถิ่นไปสคู่ นรนุ่ หลงั ตอ่ ไป

10

11 แหล่งเรยี นรูป้ ระจำตำบลหนองแซง มจี ำนวน 1 แหง่ ประกอบด้วย 1.ช่อื แหล่งเรียนรู้ เศรษฐกิจพอเพียง โคก หนอง นา โมเดล 2.ประเภทของแหลง่ เรียนรู้ ดา้ นเกษตร 3.ประวัติความเป็นมา แหลง่ เรียนรู้แห่งนไ้ี ดแ้ นวคิดมาจาก “โคก หนอง นา โมเดล” เปน็ หนึง่ ปรัชญาในการออกแบบพนื้ ท่ีทา การเกษตรตามศาสตร์พระราชา ซง่ึ สามารถสร้างประโยชน์ ใหเ้ กดิ ขนึ้ อยา่ งเห็นผล เพราะไมว่ ่าจะเปน็ คนเมือง หรอื คนชนบท หากเราเชื่อในวถิ ชี ีวิตการกินอยูแ่ บบพอเพียง ชีวิตตามแนวทางเกษตรทฤษฎีใหม่ หรือตาม ปรชั ญาเศรษฐกจิ พอเพียง แล้วมกี ารลงมอื ทาให้เกดิ ขึน้ จรงิ เทา่ กบั เรากาลงั สร้างภมู ิคมุ้ กันทที่ าให้เราพงึ่ พา ตนเองไดจ้ ากการสรา้ งพน้ื ทที่ ากิน ท่ีมอี าหาร มนี า้ ไวก้ นิ ไว้ใช้ และสามารถเขา้ ถงึ พลังงานได้ คณุ ภาพชีวติ ความ เปน็ อยู่กจ็ ะดขี ึ้น ความมน่ั คง และยั่งยนื กจ็ ะตามมา 4.ทต่ี ัง้ ทีท่ าการผ้ใู หญ่บ้าน หมู่ 8 บ้านโคกแฝก บ้านเลขที่ 13 ตาบลหนองแซง อาเภอหนองแซง จังหวดั สระบุรี

12 ภมู ิปญั ญำทอ้ งถนิ่ ประจำตำบลหนองแซง มีจำนวน 1 แหง่ ประกอบด้วย 1.ช่อื ภูมปิ ญั ญา เกษตรธรรมชาติ 2.ภมู ิปัญญาทอ้ งถ่นิ ดา้ น ด้านเกษตร 3.ประวัติความเป็นมา เก ษ ตร ธ ร ร มช าติ คือ ก า ร ท าก า ร เ ก ษต ร ที่ ไ ม่ ใช้ปุ๋ ยเ คมี และ สา ร เค มีท าง ก าร เก ษต ร ทุกชนิด ตลอดจนไม่ใช้สิ่งขับถ่ายจากมนุษย์ แต่เน้นการปรับปรุงดินให้มีความอุดมสมบูรณ์ มีพลัง ในการ เพาะปลูกเหมือนกับดินในป่าท่ีมีความอุดมสมบูรณ์ตามธรรมชาติ โดยมีการนาทรัพยากรท่ีมีอยู่อย่าง จ า กั ด ม า ใ ช้ ใ ห้ เ กิ ด ป ร ะ โ ย ช น์ สู ง สุ ด เ ป็ น วิ ธี ก า ร ที่ ไ ม่ ก่ อ ใ ห้ เ กิ ด ผ ล เ สี ย ต่ อ ส ภ า พ แ ว ด ล้ อ ม ไมเ่ ปน็ อนั ตรายตอ่ เกษตรกรและผ้บู ริโภค สามารถให้ผลผลิตทั้งปริมาณและคุณภาพ เป็นระบบการเกษตรท่ีมี ความย่งั ยนื ถาวร เปน็ อาชพี ท่มี ีความมั่นคง 4.ท่ีต้งั 38/1 ม.4 บ้านโคกน้อย ต.หนองแซง อ.หนองแซง จ.สระบุรี 5.ช่อื ผู้ให้องค์ความรู้ ชื่อ-สกุล นายวินัย แจง้ สว่าง อายุ 50 ปี เบอร์โทรศัพท์ 081-7805576

13

14 แหลง่ เรยี นรปู้ ระจำตำบลหนองควำยโซ มจี ำนวน......2....แห่งประกอบดว้ ย 1.ชอื่ แหลง่ เรยี นรู้ โคกหนองนา วดั หนองพลบั 2.ประเภทของแหลง่ เรยี นรู้ ดา้ นศาสนา และ ด้านเกษตร 3.ประวัติความเป็นมา เป็นแหลง่ เรียนรูด้ า้ น “ดิน น้า ป่า” บนพ้ืนท่ี 35 ไร่ วิธีการออกแบบหนอง การออกแบบคลองไส้ไก่ การปรับปรุงคุณภาพดิน การปรับปรุงคุณภาพน้า และประโยชน์ของโครงการ แนวทางการดาเนินงานเพ่ือ ขับเคลอื่ นโครงการ โคก หนอง นา 1.สร้างความเข้าใจในเรือ่ งหลักปรชั ญาของเศรษฐกิจพอเพียง ศาสตรพ์ ระราชา บันได 9 ขน้ั ไปสกู่ ารปฏบิ ตั ิ 2.ให้ความรู้เก่ียวกับพัฒนาพื้นที่ต้นแบบการพัฒนาคุณภาพชีวิตตามหลักทฤษฎีใหม่ประยุกต์สู่ \"โคก หนอง นา โมเดล\" 3.สรา้ งความรู้ความเข้าใจในเรอื่ งครอบครัวพฒั นาและการบริหารจัดการชุมชน 4.การสร้างความรูค้ วามเข้าใจในเร่ืองการพัฒนาตามแนวทาง 4 ดา้ น 22 ตวั ชี้วดั ผลที่คาดว่าจะได้รับ คนในชมุ ชนสามารถสร้างความม่ันคงทางด้านอาหารแก่ครัวเรือนและมีความเข้าใจในเร่ืองการนาปรัชญาของ เศรษฐกจิ พอเพยี งมาปรับใช้ให้เป็นวิถชี วี ิตได้ 4.ทีต่ ั้ง วดั หนองพลบั หมทู่ ี่ 4 ตาบลหนองควายโซ อาเภอหนองแซง จงั หวัดสระบรุ ี โทร. 0-3639-9113

15 แหล่งเรยี นรปู้ ระจำตำบลหนองควำยโซ 1.ชื่อแหล่งเรยี นรู้ บ้านไรก่ าแฟ หรอื ตลาดโรงคั่วกาแฟ 2.ประเภทของแหล่งเรยี นรู้ ด้านเศรษฐกิจพอเพยี งและเกษตรทฤษฎใี หม่ 3.ประวัตคิ วามเปน็ มา บ้านไร่กาแฟ หรือ ตลาดโรงคั่ว พิพิธภัณฑ์บ้านไร่กาแฟตลาดโรงคั่ว หรือตลาดประชารัฐวัฒนธรรม โบราณลาวเวียง ต้ังอยภู่ ายในพิพธิ ภัณฑบ์ า้ นใรก่ าแฟ อาเภอหนองแซง เปน็ ตลาดทร่ี วบรวมทง้ั อาหารและขนม ในท้องถิ่นมาจาหนา่ ยใหก้ บั นกั ทอ่ งเทยี่ วในราคาย่อมเยา พร้อมทั้งนาเสนอวัฒนธรรมของชาวลาวเวียงท่ีอยู่ใน ชุมชนใหน้ ักทอ่ งเท่ียวไดส้ มั ผัสกนั ด้วย โดยตัวตลาดมีบรรยากาศแบบยอ้ นยคุ ตกแต่งตลาดสไตล์วินเทจด้วยของ เก่าและเป็นแหล่งเรียนรู้หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงและเกษตรทฤษฎีใหม่ การปลูกกาแฟ ไร่สารเคมี การ แปรรูปเมล็ดกาแฟ การแปรรูปผลิตภัณฑ์ในชุมชน เป็นแหล่งเรียนรู้การสร้างเครือข่ายในชุมชน และ บุคคลภายนอกมาเข้าชมพิพิธภัณฑ์บ้านไร่กาแฟตลาดโรงค่ัว หรือตลาดประชารัฐวัฒนธรรมโบราณลาวเวียง เป็นแหลง่ เรียนรู้ดา้ นอนุรักษ์ศิลปวฒั นธรรมไทย 4.ทต่ี ง้ั 33 หมู่ 6 ตาบลหนองควายโซ อาเภอหนองแซง จงั หวดั สระบุรี 18170 โทรศัพท์ 081-5589860

16 ภมู ิปญั ญำทอ้ งถ่นิ ประจำตำบลหนองควำยโซ มจี ำนวน.....2.....แห่งประกอบดว้ ย 1.ชื่อภูมิปัญญา ด้านการขยายพนั ธุ์มะมว่ งมนั หนองแซง(บา้ นสวนลุงนอ้ ย) 2.ภูมิปัญญาท้องถิน่ ดา้ น ดา้ นการเกษตร 3.ประวัติความเปน็ มา เป็นปราชญ์ชาวบ้านคนแรกที่มีความสามารถในการขยายพันธ์ มะม่วงมันหนองแซง และจัดตั้งบ้าน สวนลุงนอ้ ยขน้ึ มาเพ่อื ศกึ ษาเกย่ี วกบั มะม่วงมนั หนองแซง ลกั ษณะต้นเปน็ ทรงค่อนข้างทึบใบใหญ่ และสั้น ขอบ ของใบเป็นคลนื่ เล็กนอ้ ย ลักษณะการแตกใบคลา้ ยทรงฉัตรเปน็ ชั้น ๆ ไม่ทนต่อการถูกน้าท่วมขัง เปลือกและผิว ค่อนข้างหนา ผลดิบ ผิวของเปลือกจะมีสีเขียวนวลของ เน้ือค่อนข้างขาว ลักษณะสีของเนื้อละเอียดมีเส้ียน เล็กน้อย เมื่อแก่จัดจะมีรสมันและกรอบ ผลสุกผิวของเปลือกจะมีสีเหลือง สีของเน้ือจะเป็นสีเหลือง ลักษณะ เนอื้ จะละเอียดมีรสชาตหิ วานชดื เมลด็ มีลักษณะแบนยาว เน้อื ใน เมลด็ มีน้อย และเม่อื เพาะต้นอ่อนสามารถข้ึน ไดห้ ลายตน้ จากเมล็ดเดยี ว 4.ท่ตี ั้ง 47 บ้านโพน หมู่ 1 ตาบลหนองควายโซ อาเภอหนองแซง จังหวดั สระบรุ ี 18170 5.ช่ือผู้ให้องค์ความรู้ ช่อื -สกลุ นายบุญเรอื ง ดากลิ่น ชือ่ เล่น ลุงน้อย อายุ 64 ปี เบอร์โทรศัพท์ 084-0850510

17 ภูมปิ ญั ญำท้องถนิ่ ประจำตำบลหนองควำยโซ 1.ช่อื ภมู ปิ ญั ญา ขนมไทย 2.ภูมิปญั ญาทอ้ งถิ่นด้าน ด้านอาหาร 3.ประวตั คิ วามเปน็ มา เปน็ ปราชญ์ชาวบา้ นสืบสานวัฒนธรรม ปลุกฝังคุณค่าของประวัติศาสตรใ์ นทอ้ งถน่ิ ใหช้ มุ ชน ในการทา ขนมไทยพ้ืนบ้านทีม่ สี ่วนผสมขา้ วเจ๊กเชย หรือการแปรรปู อาหารพ้นื บา้ นในชมุ ชนบา้ นโพน ขนมเปียกปูน ก็ เพราะส่วนผสมไทยชนิดนม้ี นี ้าปูนใส เป็นสว่ นประกอบสาคญั แต่ทางภูมปิ ญั ญาสามารถใส่น้าซาวข้าวแทนนา้ ปูนใส นอกจากทาขนมเปียกปูนแลว้ ยังมีขนมอกี หลายอย่างที่ไดร้ ับการรงั รองจากสินค้า OTOP ชุมชนบ้านโพน 4.ที่ต้งั 58 บา้ นโพน หมู่ 1 ตาบลหนองควายโซ อาเภอหนองแซง จังหวดั สระบรุ ี 18170 5.ชอ่ื ผูใ้ ห้องค์ความรู้ ชอื่ -สกลุ นางสาวพรทิพย์ เพ็งชยั ศิลป ชื่อเลน่ ป้าพร อายุ 58 ปี เบอร์โทรศัพท์ 081-6885475

18

19 แหลง่ เรยี นรปู้ ระจำตำบลหนองหวั โพ มีจำนวน 1 แหง่ ประกอบด้วย 1.ชือ่ แหลง่ เรียนรู้ โคก-หนอง-นา โมเดล 2.ประเภทของแหลง่ เรียนรู้ ด้านเกษตร 3.ประวตั ิความเปน็ มา โคก-หนอง-นา โมเดล คือ การจัดการพ้นื ท่ซี ่งึ เหมาะกับพ้ืนท่กี ารเกษตร ซ่ึงเปน็ การผสมผสานเกษตร ทฤษฎีใหม่ เข้ากบั ภมู ิปัญญาพนื้ บา้ นทอี่ ยู่อยา่ งสอดคลอ้ งกับธรรมชาตใิ นพนื้ ทนี่ น้ั ๆ โคก-หนอง-นา โมเดล เปน็ การที่ใหธ้ รรมชาตจิ ัดการตวั เองโดยมี มนษุ ย์เป็นส่วนสง่ เสริมให้มันสาเรจ็ เร็วขึน้ อย่างเปน็ ระบบ แนวคิดการจัดการนา้ \"โคก หนอง นา โมเดล\"เพ่ือกกั เก็บน้าไวท้ ้ังบนดนิ (ดว้ ยหนอง คลองไส้ไก่ และคนั นา) และใต้ดิน (ดว้ ยปา่ 3 อยา่ ง ประโยชน์ 4 อย่างตามแนวพระราชดาริ) 4.ท่ตี ัง้ บา้ นหวั นา หม่ทู ี่ 3 ตาบลหนองหวั โพ อาเภอหนองแซง จังหวดั สระบรุ ี

20 ภมู ิปญั ญำท้องถน่ิ ประจำตำบลหนองหัวโพ มจี ำนวน 1 แห่งประกอบดว้ ย 1.ชอ่ื ภมู ิปัญญา เปลไม้ไผ่สาน 2.ภูมปิ ญั ญาทอ้ งถนิ่ ด้าน ด้านจักสาน 3.ประวัติความเปน็ มา \"เปลไมไ้ ผ่\" หรอื เปลกระบอกไม้ไผ่ มักแขวนไว้ตามใตถ้ ุนบ้าน หรอื ตามใต้ร่มไม้ เพ่ือใชน้ อน หรอื น่ังเล่นในยามว่าง บางทีใช้สาหรับเด็กๆนอนกม็ กี ารใชไ้ มไ้ ผม่ าทาเปลน้นั เพราะไม้ไผ่มปี ระโยชน์มากมายใน ท้องถ่นิ มที ง้ั ขึน้ เองตามธรรมชาติและปลูกไว้ ใช้ประโยชนอ์ น่ื ๆ ดว้ ยเหตนุ ้ี ชาวบา้ นจึงใชไ้ ม้ไผป่ ระดิษฐ์ ของ นานาชนดิ เปลไม้ไผจ่ ึงเปน็ ผลงานของบรรพบรุ ุษ ซง่ึ ทาไว้ในสมยั ก่อน ปัจจุบนั ไม่คอ่ ยมีการทา เพราะมวี ัสดทุ ใ่ี ช้ ทาแทนแล้ว เช่น เชือกเปลไนลอน หรอื เปลญวน ซงึ่ สะดวกต่อการใช้สอยและเกบ็ รกั ษา ซงึ่ ชาวบ้านยงั อนรุ ักษ์ และเห็นคณุ ค่าของเครือ่ งใช้ ทีเ่ ปน็ สง่ิ ท่ีสบื ทอดกันมาแต่โบราณ 4.ท่ตี ้ัง 25 หมู่ 3 ตาบลหนองหัวโพ อาเภอหนองแซง จงั หวดั สระบรุ ี 5.ช่ือผ้ใู หอ้ งค์ความรู้ ช่ือ-สกุล นายชาญรงค์ พยฆั ซ้อน อายุ 72 ปี เบอร์โทรศัพท์ 089-9169732

21

22 แหลง่ เรยี นรูป้ ระจำตำบลหนองกบ มีจำนวน 1 แหง่ ประกอบดว้ ย 1.ช่ือแหลง่ เรียนรู้ ศนู ย์เรียนรู้เศรษฐกิจพอเพยี ง แปลงนาสาธติ โรงไฟฟ้าหนองแซง 2.ประเภทของแหลง่ เรยี นรู้ ดา้ นเศรษฐกจิ พอเพียงและเกษตรทฤษฎีใหม่ 3.ประวัตคิ วามเปน็ มา บริษทั กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดเี วลลอปเมนท์ เขา้ ไปพฒั นาพน้ื ท่ใี นชุมชนใหเ้ กดิ ความยั่งยืนข้ึนด้วยการ พลิก จากแปลงนาสาธติ ใหก้ ลายเปน็ พ้ืนท่สี ีเขียว สาหรับเป็นศูนย์เรียนรู้เกษตรทฤษฎีใหม่ ท่ีมีการผสมผสานความรู้ ด้านการเกษตรหลากหลายด้านมีทั้งแปลงนาสาธิต ทาโรงปุ๋ยอินทรีย์ เล้ียงไส้เดือนเพื่อผลิตปุ๋ยมูลไส้เดือน ทา ปุ๋ยหมกั จากวัชพชื ในแหลง่ น้าของชุมชน รวมถงึ นา้ หมกั จากหนอ่ กล้วยสาหรับใชใ้ นกิจกรรมพืชผักอินทรีย์ กิจกรรมที่ดาเนินการ 1. เป็นแหลง่ เรยี นรู้หลกั ปรชั ญาของเศรษฐกจิ พอเพยี งและเกษตรทฤษฎีใหม่ 2. เปน็ แหลง่ ขยายผลการดาเนนิ งานและสรา้ งเครอื ข่ายในชุมชน 3. เป็นแหล่งเผยแพร่องคค์ วามรู้หลกั ปรัชญาของเศรษฐกจิ พอเพยี งและเกษตรทฤษฎีใหม่ 4.ท่ตี ัง้ หมูท่ ่ี 1 ตาบลหนองกบ อาเภอหนองแซง จังหวดั สระบรุ ี

23 ภมู ปิ ญั ญำท้องถนิ่ ประจำตำบลหนองกบ มจี ำนวน 2 คน ประกอบดว้ ย 1.ชอื่ ภูมิปัญญา การแพทย์แผนไทย 2.ภมู ปิ ญั ญาทอ้ งถ่นิ ด้าน ด้านการแพทย์แผนไทย /ดา้ นสุขภาพ 3.ประวัติความเปน็ มา ปฏบิ ัติงานด้านการแพทยแ์ ผนไทย ในการรกั ษาพยาบาล การป้องกัน การบาบัดรักษา การฟน้ื ฟูสภาพ และการส่งเสรมิ สขุ ภาพและอนามยั ของประชาชน ดว้ ยศาสตรก์ ารแพทยแ์ ผนไทยตามมาตรฐานวิชาชีพ รวมถึง ให้บริการข้อมูลเบ้ืองต้น ถ่ายทอดองค์ความรู้ ให้คาปรึกษา แนะนา ตอบปัญหาและชี้แจงทางวิชาการด้าน การแพทย์แผนไทยแก่บุคลากรอ่ืน และประชาชนทั่วไป เพ่ือให้สามารถนาไปปฏิบัติในการดูแลสุขภาพ และ ปฏิบัตหิ นา้ ที่อ่นื ที่เกี่ยวขอ้ งในชมุ ชน 4.ท่ีตง้ั หมู่ 4 ตาบลหนองกบ อาเภอหนองแซง จังหวัดสระบรุ ี 18170 อายุ 60 ปี 5.ช่อื ผใู้ หอ้ งค์ความรู้ ชื่อ-สกุล นางวาสนา โพธพิ์ รหม ชือ่ เล่น แจ๋ว เบอร์โทรศพั ท์ 083-1589543

24 ภมู ปิ ญั ญำท้องถน่ิ ประจำตำบลหนองกบ 1.ช่อื ภูมิปัญญา เกษตรธรรมชาติ 2.ภมู ิปัญญาทอ้ งถ่นิ ด้าน ด้านเกษตร 3.ประวัติความเป็นมา เปน็ ปราชญ์ชาวบา้ นในการทาการเกษตรทไี่ มใ่ ชป้ ยุ๋ เคมีและสารเคมีทางการเกษตรทุกชนิด ตลอดจนไม่ ใชส้ ง่ิ ขบั ถา่ ยจากมนุษย์ แต่เน้นการปรบั ปรุงดนิ ใหม้ คี วามอดุ มสมบูรณ์ มพี ลงั ในการเพาะปลูกเหมือนกับดินใน ป่าที่มีความอุดมสมบูรณ์ตามธรรมชาติ โดยมีการนาทรัพยากรท่ีมีอยู่อย่างจากัดมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด เป็นวิธกี ารทีไ่ ม่กอ่ ให้เกิดผลเสยี ต่อสภาพแวดล้อม ไม่เป็นอันตรายต่อเกษตรกรและผู้บรโิ ภค 4.ทต่ี ้ัง หมู่ 1 ตาบลหนองกบ อาเภอหนองแซง จงั หวัดสระบุรี 18170 5.ชื่อผ้ใู ห้องค์ความรู้ ชือ่ -สกลุ นางพรนนั ท์ ตรยั รัตนแสงมณี ช่อื เล่น แอ๋ว อายุ 60 ปี เบอร์โทรศัพท์ 098-5574117

25

26 แหล่งเรยี นรปู้ ระจำตำบลมว่ งหวำน มีจำนวน 1 แหง่ ประกอบด้วย 1.ช่อื แหล่งเรียนรู้ วัดอู่ตะเภา 2.ประเภทของแหล่งเรียนรู้ ดา้ นประวตั ศิ าสตร์ 3.ประวตั คิ วามเป็นมา มีการบอกเล่าสืบต่อกนั มาว่า ในอดีตบริเวณเมืองอู่ตะเภาเป็นตลาดการคา้ มเี รือสาเภานาสินค้า พ้นื เมืองมาค้าขายแลกเปลี่ยนสินค้าบริเวณน้ี ในอดีตเป็นท่จี อดเรอื สาเภาท่ีนาสนิ คา้ มาค้าขาย และเชือ่ กันว่า บริเวณน้เี คยเป็นอู่ซ่อมเรืออีกด้วย เม่อื ประมาณ 50 ปีมาแล้ว เป็นพ้นื ท่ีที่มีอุดมสมบูรณ์ มีนา้ ตลอดปี สามารถใช้เปน็ ทางสญั จรไปมาในการค้าขาย สภาพภูมิประเทศโดยทั่วไปเป็นป่าโปร่ง ไม้ทพ่ี บได้แก่ ไม้สะแก ไมส้ มพงุ ไมบ้ ก เม่ือคูน้าที่มีสภาพตืน้ เขินและบางส่วนหมดสภาพไปแล้ว เศษภาชนะดนิ เผาจานวนมาก กระดกู มนุษย์ และเคร่ืองประดับลกู ปัด รวมถึงเครื่องใชต้ ่างๆ จากหลักฐานท่พี บแสดงว่าอู่ตะเภาเปน็ เมืองโบราณ สมัยทวาราวดี (พุทธศตวรรษที่ 11-16) ลักษณะเมืองมีคูนา้ กันดนิ ล้อมรอบ ปัจจุบนั ประชาชนได้มีการไถ ปรับพนื้ ท่ีเพอ่ื ใช้ในการเกษตร ทาให้สภาพคูนา้ หายไปบางในบางส่วน 4.ทต่ี ัง้ วัดอ่ตู ะเภา บ้านอู่ตะเภา หมู่ท่ี 6 ตาบลม่วงหวาน อาเภอหนองแซง จงั หวดั สระบุรี

27 ภูมิปัญญำทอ้ งถน่ิ ประจำตำบลม่วงหวำน มจี ำนวน 1 แหง่ ประกอบดว้ ย 1.ชื่อภูมิปญั ญา การทาเสน้ ข้าวหยดจากขา้ วเจก๊ เชย 2.ภมู ปิ ญั ญาทอ้ งถิ่นด้าน สาขาอุตสาหกรรมและหัตกรรม (ด้านการผลิตและการบรโิ ภค) 3.ประวตั คิ วามเป็นมา เส้นข้าวหยดเป็นเส้นท่ีทาจากข้าวเจ๊กเชย ซึ่งข้าวเจ๊กเชยเป็นข้าวสายพันธุ์พ้ืนเมืองของชาวจังหวัด สระบรุ ี เส้นขา้ วหยดมลี ักษณะคลา้ ยเสน้ เกยี้ มอี๋ อาหารชนิดหน่ึงของชาวจีน ป้ากรองทองจึงเกิดความคิด โดย การประยุกต์ นาข้าวเจ๊กเชยมาบดและโม้เป็นแป้งเพื่อทาเส้นข้าวหยด ด้วยลักษณะเด่นของแป้งที่ทาจากข้าว เจ๊กเชย มีปรมิ าณเนอ้ื แป้งทีเ่ ยอะและฟู เมอื่ นาไปทาเสน้ ข้าวหยด จงึ มคี วามเหนยี วนุ่ม และมีความหอม ซ่ึงการ ทาเสน้ ขา้ วหยดนี้ จะทาในชว่ งเทศกาลงานประเพณงี านตา่ งๆ และทาเพอื่ ต้อนรับนักท่องเทีย่ ว ซ่ึงในชุมชนบ้าน อู่ตะเภาเป็นแหลง่ เรียนรู้ประวัตศิ าสตร์ และเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชงิ เกษตร อีกดว้ ย 4.ทตี่ งั้ บา้ นเลขที่ 36/1 หมู่ 6 บ้านอตู่ ะเภา ตาบลม่วงหวาน อาเภอหนองแซง จังหวดั สระบุรี 18170 5.ชือ่ ผ้ใู ห้องค์ความรู้ ชื่อ-สกลุ นางกรองทอง จันวดี อายุ 58 ปี เบอร์โทรศัพท์ 061-648-2214

28

29 แหล่งเรยี นรู้ประจำตำบล หนองสีดำ มีจำนวน 1 แห่งประกอบดว้ ย 1.ชือ่ แหลง่ เรียนรู้ วดั หนองสดี า 2.ประเภทของแหล่งเรยี นรู้ เช่น ดา้ นศาสนา ด้านประวตั ศิ าสตร์ เปน็ ตน้ 3.ประวัตคิ วามเปน็ มา วัดหนองสดี า ถอื เป็นวดั เกา่ แก่คบู่ ้านคูเ่ มืองหนองแซง เริ่มแรกนับตั้งแต่หลวงพ่อฮ้อย ผู้มีวิชาอาคมคง กะพันและเมตตามหานยิ ม เดินธุดงควัตรมาปกั กลดอยู่ในพ้ืนท่ีบ้านหนองสีดาแห่งน้ี เมื่อชาวบ้านได้เห็นจึงเกิด ความเลื่อมใสศรัทธาจึงแวะเวียนเข้ามาทาบุญกันอย่างไม่ขาดสาย และนิมนต์ให้ท่านไปพานักประจาอยู่ท่ีวัด ภายในหมู่บา้ นหนองสีดา และจดั สรา้ งสนะถวาย เรียกนามวัดตามช่ือซึ่งหมู่บ้านน้ีมีหนองน้าและต้นสีดาข้ึนอยู่ เปน็ จานวนมาก จงึ ถือเอาเป็นนมิ ติ เรยี กเปน็ ช่ือบ้านและนามวัดในระยะต่อมาได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมาใน ราว พ.ศ. 2440 และในปี 2439 หลวงพ่อฮ้อยได้มรณภาพลง นับต้ังแต่หลวงปู่นาคมาอยู่ท่ีวัดแห่งนี้ ก็เกิด เหตุการณ์อศั จรรย์ที่ชาวบา้ นตา่ งไม่เคยพบเห็นมาก่อน คือ มีฝูงค้างคาวแม่ไก่อยู่ฝูงหนึ่งบินวนไปมาท่ัวบริเวณ วัดอย่างท่ีไม่เคยมีใครพบเห็นมาก่อน เมื่อหลวงปู่นาครับรู้ถึงเหตุการณ์ จึงออกมายืนดูค้างคาวท่ีบินวนอยู่ ท้องฟ้า แล้วท่านก็พูดออกมาว่า “ถ้าจะมาอยู่ด้วยกันก็ได้นะ แต่ต้องไม่ทาลายพืชผลทางการเกษตรของ ชาวบ้านในบรเิ วณทเี่ สยี หาย” หลังจากทห่ี ลวงป่นู าคพดู จบ ฝงู ค้างคาวนับหม่นื ก็บินมาเกาะตามต้นไม้ใหญ่รอบ ๆ บริเวณวัดและสามารถมองเหน็ อย่างชดั เจนในทุก ๆ วัน คา้ งคาวแมไ่ กฝ่ ูงน้ีจะบินไปหากินยังในป่าเขาใหญ่ ๆ หลงั จากนน้ั ในชว่ งใกล้เช้ากจ็ ะบนิ กลับมาเกาะอย่ตู รงตน้ ไมใ้ หญ่ภายในบริเวณวดั แบบนท้ี ุก ๆ วัน 4.ทีต่ งั้ ตง้ั อยเู่ ลขท่ี 1 บ้านหนองสีดา หมทู่ ่ี 4 ตาบลหนองสีดา อาเภอหนองแซง จงั หวดั สระบุรี

30 ภูมิปัญญำทอ้ งถิ่น ประจำตำบลหนองสดี ำ มีจำนวน 1 แหง่ ประกอบด้วย 1.ชื่อภูมปิ ัญญา เกษตรธรรมชาติ 2.ภมู ิปัญญาท้องถิน่ ดา้ น ด้านเกษตร 3.ประวัตคิ วามเปน็ มา เกษตรกรรมเป็นการเพาะปลูกพชื ชนดิ ตา่ งๆ เห็ดรา เลี้ยงสัตว์ และรูปแบบของชีวิตแบบอ่ืนๆ เพ่ือเป็น อาหาร และยารักษาโรคและผลิตภัณฑ์อ่ืนเพื่อความย่ังยืนและเพ่ิมสมรรถนะชีวิตมนุษย์โดยท่ัวไปเป็น การเกษตรเพ่อื การดารงชีวิตและการพ่งึ ตัวเองเน้นคาวา่ พอมีพอกิน เศรษฐกิจพอเพียง จึงมาจากจุดเริ่มต้นว่า พอมพี อกินพอใช้ เป็นตน้ 4.ที่ต้ัง บ้านเลขท่ี 12 หมทู่ ี่ 1 ตาบลหนองสดี า อาเภอหนองแซง จังหวดั สระบุรี 5.ชอ่ื ผใู้ หอ้ งค์ความรู้ ชอื่ -สกุล นางสาวธนดิ า ศรีอานวย อายุ 60 ปี โทรศัพท์ 087-1217375

31

32 แหล่งเรยี นรูป้ ระจำตำบลไกเ่ สำ่ มีจำนวน 1 แห่ง ประกอบดว้ ย 1.ชอ่ื แหล่งเรยี นรู้ โครงการเศรษฐกจิ พอเพียง สถานีตารวจภูธรหนองเเซง 2.ประเภทของแหล่งเรียนรู้ ด้านเกษตร 3.ประวัตคิ วามเป็นมา ดว้ ย พ.ต.อ.ดุษฎี หิรญั รตั น์ ผกก.สภ.หนอแซง อยากให้ผู้บังคับบัญชามีความเป็นยอยู่ที่ดี ลดภาระ คา่ ใช้จ่ายและมีอาชีพเสรมิ ในช่วงสภาวะโรคไวรัสระบาดพาเศรษฐกิจซบเซา จึงได้เล็งเห็นที่ดินว่างหลังโรงพัก ท่เี ป็นพื้นที่เอกชน “ตาบอด” ไมไ่ ดใ้ ช้ประโยชน์กว่า 4 ไร่ ไปประยุกต์ทา โคก หนอง นา ให้เกิดประโยชน์แก่ ขา้ ราชการตารวจและชาวบ้านในละแวก เร่ิมต้ังแต่เดอื น ธนั วาคม 2563 จนถงึ ปัจจุบัน 4.ที่ตั้ง สถานตี ารวจภธู รหนองเเซง หมทู่ ่ี 3 ตาบลไก่เส่า อาเภอหนองแซง จงั หวดั สระบรุ ี

33 ภมู ปิ ญั ญำทอ้ งถิ่น ประจำตำบลไก่เส่ำ มีจำนวน 1 แหง่ ประกอบด้วย 1.ชอื่ ภมู ปิ ัญญา ปลาส้ม – ปลาร้า ผใู้ หญเ่ ปิ้ล 2.ภูมปิ ัญญาท้องถ่ินด้าน ด้านคหกรรม 3.ประวตั คิ วามเปน็ มา เปน็ การแปรรูปและถนอมอาหารที่ได้รบั การถ่ายทอดมาจากของคนสมัยก่อน เร่ิมจากครอบครัวได้ทา การวิดบ่อน้ามีปลาตะเพียนเป็นจานวนมาก จึงคิดแปรรูปโดยการทดลองทาเป็นปลาส้มกินเองในครอบครัว เหลอื กแ็ จกให้กับเพอ่ื นบา้ น ทุกคนต่างบอกว่ามรี สชาติอร่อยน่าจะทาขายเลยคิดหาวิธีปรับปรุงและพัฒนาสูตร ให้ดีขึ้น จากน้ันก็ทดลองขายมีลูกค้าติดใจในรสชาติและส่ังทาอีก ครอบครัวมีรายได้เพิ่มขึ้นและยึดเป็นอาชีพ หลักทาปลาสม้ ขายที่ตลาดเชา้ วนั เสาร์เป็นเวลาเกือบ 2 ปี โดยมี ปลาส้มปลาตะเพียน ปลาส้มปลาจีน ปลาส้ม ฟกั ทรงเคร่ือง เนอื้ ปลาสม้ ฟกั และเมนูใหมค่ อื ปลาร้าปลานลิ และปลารา้ ปลาจนี 4.ทตี่ งั้ บ้านเลขท่ี 32 หมูท่ ่ี 10 ตาบลไก่เส่า อาเภอหนองแซง จงั หวดั สระบุรี 5.ช่ือผใู้ ห้องค์ความรู้ ชื่อ-สกลุ นางสาวโชตกิ า ศรมี งคล อายุ 40 ปี โทรศัพท์ 085 - 7276095

34

35 แหลง่ เรยี นรปู้ ระจำตำบลเขำดิน มีจำนวน 2 แห่งประกอบด้วย 1.ชอ่ื แหล่งเรียนรู้ วดั เขาไกรลาศ 2.ประเภทของแหลง่ เรียนรู้ ดา้ นศาสนา 3.ประวัติความเปน็ มา วดั เขาไกรลาศ สรา้ งข้ึนเป็นวัด ตง้ั แต่วันที่ 9 มีนาคม 2350 เดิมต้ังอยู่ทางทิศตะวันออกไปประมาณ 15 เสน้ ต่อมาชาวบ้านไดย้ ้ายวดั มาสรา้ งขึน้ ที่บนภเู ขาทีต่ งั้ อยูใ่ นปัจจุบนั ได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมาในราว พ.ศ 2355 เตวิสุงคามสีมากว้าง 10 เมตร ยาว 13 เมตร สาหรับปูชนียวัตถุมี พระประธานในอุโบสถ ปาง สโุ ขทยั ขนาดหนา้ ตกั กว้าง 39 นิ้ว สงู 1.50 เมตร สร้างเมื่อ พ.ศ.2536 พระประธานประจาศาลาการเปรียญ ปางประทานพร ขนาดหน้าตกั กว้าง 39 นว้ิ สงู 1.50 เมตร สร้างเมือ่ พ.ศ. 2530 และเจดยี ์ 1 องค์ ปัจจุบัน มีพระปลดั บญั ชา อุปคตุ โต เลขาเจา้ คณะอาเภอหนองแซง เป็นเจ้าอาวาสวดั เขาไกรลาศ 4.ท่ีต้ัง เลขที่ 1 บ้านตากแดด หมู่ที4่ ตาบลเขาดิน อาเภอหนองแซง จงั หวัดสระบุรี มที ดี่ นิ ตง้ั วัด เนื้อท่ี 32 ไร่ 2 งาน 4 ตารางวา

36 แหล่งเรยี นรปู้ ระจำตำบลเขำดนิ 1.ชอื่ แหลง่ เรยี นรู้ ศนู ย์เรยี นร้เู ศรษฐกจิ พอเพยี งตาบลเขาดิน 2.ประเภทของแหล่งเรียนรู้ ด้านเกษตรฯลฯ 3.ประวัตคิ วามเป็นมา เป็นแหล่งเรียนรู้หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงและเกษตรทฤษฎีใหม่ เป็นแหล่งขยายผลการ ดาเนนิ งานและสร้างเครือขา่ ยในชุมชน เป็นแหล่งให้ความรู้เก่ียวกับการปลูกผักปลอดสารพิษให้กับประชาชน ทส่ี นใจ 4.ท่ีต้งั บา้ นเลขท่ี 24/1 หมู่ท่ี 1 ตาบลเขาดนิ อาเภอหนองแซง จังหวัดสระบรุ ี

37 ภมู ปิ ญั ญำทอ้ งถิ่น ประจำตำบลเขำดนิ มีจำนวน 2 แหง่ ประกอบดว้ ย 1.ชอ่ื ภมู ิปญั ญา นายบุญเลิศ คันทะศร 2.ภูมปิ ัญญาทอ้ งถ่นิ ดา้ น ดา้ นจกั สานไม้ไผ่ 3.ประวตั คิ วามเป็นมา เริ่มจากตอนสมัยเดก็ ๆลงุ บญุ เลิศเหน็ คนแกใ่ นสมัยนน้ั หลังจากเว้นจากช่วงทานาชอบจักสานไม้ไผ่ ทาเป็นผลิตภัณฑต์ า่ งเช่น ไทร ตะข้องใส่ปลา กระจาด เปน็ ต้น พอเห็นดังนนั้ จงึ มีความคิดว่าตัวเองน่าจะฝึกทา เพ่อื ไม่ให้ภูมิปัญญาท้องถ่ินนี้หายไปจากชุมชนเพราะหัตกรรมเคร่ืองจักสานน้ีเป็นสิ่งที่ควบคู่ไปกับการดาเนิน ชีวิตของคนในชุมชนแกจึงทดลองทาและเรียนรู้วิธีการทาจากคนสมัยก่อนจนสามารถทาได้และจนถึงกระทั่ง ปัจจุบนั 4.ทต่ี ั้ง บา้ นเลขที่17 หมู่ท่ี 6 ตาบลเขาดิน อาเภอหนองแซง จงั หวดั สระบุรี 5.ชือ่ ผูใ้ ห้องค์ความรู้ ชอื่ -สกุล นายบญุ เลิศ คนั ทะศร อายุ 79 ปี เบอร์โทรศัพท์ 0813851850

38 ภมู ิปัญญำทอ้ งถิน่ ประจำตำบลเขำดนิ 1.ช่อื ภมู ปิ ญั ญา ปุ๋ยหมัก ปยุ๋ น้าหมักชีวภาพ 2.ภูมปิ ัญญาทอ้ งถ่ินดา้ น เชน่ ดา้ นเกษตรฯลฯ 3.ประวัติความเป็นมา ปัจจุบันศูนย์เรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียงตาบลเขาดิน ดาเนินงานโดยเน้นหลักธรรมชาติ พันธุ์ข้าว ปุ๋ย หมกั ปุ๋ยนา้ หมกั ชีวภาพ ปุย๋ เคมี จลุ ินทรีย์สังเคราะห์แสง สมุนไพรป้องกันและกาจัดแมลง เป็นแหล่งเรียนรู้ หลักปรชั ญาของเศรษฐกจิ พอเพยี งและเกษตรทฤษฎีใหม่ เปน็ แหลง่ ขยายผลการดาเนินงานและสร้างเครือข่าย ในชมุ ชน เป็นแหลง่ ใหค้ วามรู้เก่ยี วกับการปลกู ผักปลอดสารพิษใหก้ บั ประชาชนที่สนใจ 4.ที่ตั้ง บ้านเลขท่ี 24/1 หมู่ที่ 1 ตาบลเขาดิน อาเภอหนองแซง จงั หวดั สระบุรี 5.ชื่อผใู้ ห้องค์ความรู้ ชื่อ-สกลุ นางสาววชิ มัย ครี ีเวช อายุ 66 ปี เบอรโ์ ทรศพั ท์ 094-9197926

39

40 แหล่งเรยี นรูป้ ระจำตำบลโคกสะอำด มีจำนวน 2 แหง่ ประกอบด้วย 1.ช่อื แหลง่ เรียนรู้ ศนู ย์เรียนรูเ้ ศรษฐกิจพอเพยี ง 2.ประเภทของแหลง่ เรยี นรู้ ด้านการเกษตรผสมผสาน 3.ประวตั ิความเป็นมา ดงั้ เดมิ ทานาอย่างเดยี ว ต่อมาได้รับการอบรมดา้ นเกษตรผสมผสาน โดยนาหลักปรชั ญาของเศรษฐกิจ พอเพียงมาใช้ในการปฏิบัติ จากท่ีเคยทานาอย่างเดียวจึงปรับเปลี่ยนมาเลี้ยงสัตว์ หลากหลาย ปลูกพืช หมนุ เวยี น จนปัจจุบนั เปน็ แหล่งเรียนรู้ของตาบลโคกสะอาด 4.ที่ตัง้ บ้านเลขที่ 10 หมทู่ ี่ 1 ตาบลโคกสะอาด อาเภอหนองแซง จังหวัดสระบรุ ี

41 แหลง่ เรยี นรปู้ ระจำตำบลโคกสะอำด 1.ชือ่ แหล่งเรียนรู้ ห้องสมุดประชาชนอาเภอหนองแซง 2.ประเภทของแหลง่ เรยี นรู้ ด้านบรกิ ารขอ้ มูล / ด้านวิชาการ 3.ประวัตคิ วามเป็นมา ห้องสมดุ ประชาชนอาเภอหนองแซง ได้รับการประกาศจัดตั้งเมอื่ วนั ที่ 4 ตลุ าคม พ.ศ. 2519 โดยได้ ขอใช้อาคารเกา่ ของประถมศึกษาซ่ึงต้ังอยู่ที่ ตาบลหนองแซง เป็นสถานท่ีเปิดให้บริการแก่ประชาชนมาจนถึงปี พ.ศ. 2539 แต่เน่ืองจากอาคารเก่าชารุดและมีพ้ืนท่ีคับแคบ จึงของบประมาณในการสร้างอาคารห้องสมุด ประชาชนแบบถาวรทีบ่ ริเวณหน้าวดั งิว้ งาม ตาบลโคกสะอาด อาเภอหนองแซง ซ่ึงได้ขอเช่าท่ีดินของวัดเป็นท่ี กอ่ สร้าง และเปดิ ใหบ้ ริการต้งั แตป่ ี พ.ศ. 2540 จนถงึ ปัจจุบนั 4.ทต่ี ้ัง วดั งิ้วงาม ตาบลโคกสะอาด อาเภอหนองแซง จังหวดั สระบุรี

42 ภูมิปญั ญำทอ้ งถ่นิ ประจำตำบลโคกสะอำด มีจำนวน 1 ท่ำน ประกอบดว้ ย 1.ชื่อภูมิปญั ญา เกษตรผสมผสาน 2.ภมู ิปัญญาทอ้ งถนิ่ ด้านเกษตร 3.ประวตั คิ วามเปน็ มา เดิมทานาอย่างเดียว หลังจากที่นาแนวหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ร.9 จึงได้ปรับเปลี่ยน วิธีการและกระบวนการทางความคิด โดยเริ่มต้นจากเกษตรทฤษฎีใหม่ และก็มาเป็นเกษตรผสมผสานใน ปัจจุบนั ซงึ่ ประสบผลสาเร็จเปน็ อยา่ งมาก สามารถพึง่ พาตนเองไดอ้ ย่างดีย่ิงและเปน็ แบบอย่างให้กับคนทั่วไป ได้เป็นอยา่ งดี 4.ทตี่ ้งั บา้ นเลขท่ี 10 หมทู่ ่ี 1 ตาบลโคกสะอาด อาเภอหนองแซง จงั หวดั สระบรุ ี 5.ช่อื ผ้ใู หอ้ งค์ความรู้ ช่ือ-สกลุ นางจติ ตมิ า แสงขาว อายุ 61 ปี โทรศพั ท์ 095 - 5681144 สุเมธผูร้ ำยงำนข้อมูล........................................ (นำยสเุ มธ ยอดแกว้ ) ตำแหน่งครู กศน.ตำบลโคกสะอำด

43 บรรณำนุกรม กนกวรรณ ช้างน้อย,(2565,23 มีนาคม).ผู้ใหญบ่ ้ำน. สัมภาษณ์. กรองทอง จนั วดี , (2565, 22 กมุ ภาพนั ธ์). กล่มุ แปรรปู ข้ำวเจก๊ เชย. สมั ภาษณ์. คณานนท์ อนันตโรจน์ . (2565, 30 มกราคม). ผู้ใหญ่บำ้ นหมูท่ ี่ 1.สมั ภาษณ.์ โครงการเศรษฐกจิ พอเพียง สถานีตารวจภูธรหนองเเซง.(2564).ไข่ไกอ่ ำรมณ์ดี.สบื คน้ เมอ่ื 21 กุมภาพนั ธ์ 2565 :จาก https://www.facebook.com/sufficiencyeconomynongseang/. จิตติมา แสงขาว.(2565).ศูนยเ์ รยี นรเู้ ศรษฐกิจพอเพียงบำ้ นป้ำหมอ้ .สืบคน้ เมอื่ 1 กุมภาพนั ธ์2565 : จาก https://shorturl.asia/3ACjH. จนิ ดา เพง็ ชัยศิลป ,(2565,3กมุ ภาพันธ)์ .ผู้ใหญบ่ ้ำนหม่1ู . สมั ภาษณ์. จีระนันท์ พันธุ์ไชย (2556,20 กมุ ภาพันธ์). บรรณำรกั ษ์. สัมภาษณ.์ เจนณรงค์ ต้นแก้ว. (2563). ศูนย์กำรเรียนรู้เกษตรฯ แปลงนำสำธิต โรงไฟฟ้ำหนองแซง. สืบค้น เมอื่ 21กุมภาพันธ์ 2565:จาก https://www.youtube.com/watch?v=9S0ISVQlwiY. ชาญรงค์ พยัฆซอ้ น, (2565, 23 มีนาคม).ปรำชญช์ มุ ชน. สัมภาษณ์. โชติกา ศรมี งคล , (2565,21 กุมภาพันธ์).ผู้ใหญบ่ ้ำน. สมั ภาษณ.์ ธนดิ า ศรอี านวย (2556/22 กุมภาพันธ)์ ปรำชญช์ ำวบ้ำน. สัมภาษณ์. ประเพณไี ทยดอทคอม.(2563). วัดอตู่ ะเภำ.สืบค้นเม่อื 21 กมุ ภาพนั ธ์ 2565:จาก http://www.prapayneethai.com/บา้ นอ่ตู ะเภา. พรนันท์ ตรยั รตั นแสงมณี (2565, 10 กมุ ภาพันธ์). ปรำชญช์ มุ ชนหมู่ 1 ตำบลหนองกบ. สมั ภาษณ.์ วาสนา โพธพิ์ รหม (2565, 10 กมุ ภาพนั ธ์).ประธำนอสม. หมู่ 4 ตาบลหนองกบ สัมภาษณ์. วชิ มัย ครี ีเวช (2556,21 กมุ ภาพันธ์) ปรำชญ์ชำวบำ้ น สัมภาษณ.์ วนิ ยั แจง้ สวา่ ง (2565). เกษตรธรรมชำติ. สืบค้นเมอ่ื 22 กมุ ภาพันธ์ 2565:จาก https://www.gotoknow.org/posts/368907. สมพร มสุ กิ ชาติ (2565). โคก หนอง นำ โมเดล. สืบคน้ เมื่อ 22 กุมภาพันธ์ 2565:จาก https://www.egat.co.th/egattoday/egattoday/index.

44 คณะผู้จัดทำ ท่ีปรึกษำ : ผ้อู านวยการ กศน.อาเภอหนองแซง 1. จ่าสิบตรพี รณรงค์ สิทธิ์ขวา ครูผู้ชว่ ย กศน.อาเภอหนองแซง 2. นางปวณี า ผนั กลาง ครอู าสาสมัครฯ 3. นางสวุ รรณา ชาลีน้อย ครอู าสาสมคั รฯ 4. นางสาวณหทยั สะท้านวัตร์ ข้อมลู : 1.นายสุเมธ ยอดแกว้ ครู กศน.ตาบลโคกสะอาด 2.นางสาวสมิตานัน ทรัพยพ์ าลี ครู กศน.ตาบลไกเ่ สา่ 3.นางสาวกมลทพิ ย์ ปน้ั โฉม ครู กศน.ตาบลหนองควายโซ 4.นางสาวมุจรินทร์ ม่งิ เมอื ง ครู กศน.ตาบลหนองแซง 5.นางสาวทิพยว์ รรณ จิตรพรี ะ ครู กศน.ตาบลหนองกบ 6.นายธนกฤต ศรีสมบัติ ครู กศน.ตาบลหนองหัวโพ 7.นางอาทติ ย์ติยา หนูกอง ครู กศน.ตาบลหนองสดี า 8.นางสาวรุง่ ศริ ิ ตนั ทางกลู ครู กศน.ตาบลเขาดนิ 9.นายจริ ะวัฒน์ วงษส์ ง่า ครู กศน.ตาบลม่วงหวาน ผู้จดั ทำ/รวบรวม/เรยี บเรียงพิมพ/์ ตรวจ/แก้ไข ออกแบบปก: นางสาวจรี ะนนั ท์ พันธไ์ุ ชย บรรณารกั ษ์ ห้องสมดุ ประชาชนอาเภอหนองแซง

45