Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore อารยะธรรมอินเดีย

อารยะธรรมอินเดีย

Published by 37 Pariyakorn Horthong, 2021-08-27 16:32:24

Description: อารยะธรรมอินเดีย

Search

Read the Text Version

อารยธรรม อินเดีย ตังอยูบ่ รเิ วณล่มุ นาํ สนิ ธุเมอื ประมาณ 3,500 – 1,000 ป ก่อน พุทธศักราช



อารยธรรม อินเดีย เสนอ ผศ.ดร.อําพร ขุนเนียม จดั ทําโดย น.ส.สกลุ ทิพย์ ลิมสมบูรณ์ ม.6/1 เลขที19

ก่อนประวตั ิศาสตร์ เรมิ ต้นจากขอ้ มูลดา้ นพนั ธุศาสตรส์ มยั ใหมท่ ีพบวา่ มนษุ ยย์ ุคใหมเ่ ชงิ กายวภิ าคไดเ้ ขา้ มายงั อนทุ วปี อินเดยี จากทวปี แอฟรกิ าในราว 73,000 ถึง 55,000 ปก่อน อยา่ งไรก็ตาม ซากมนษุ ยท์ ีเก่าแก่ทีสดุ ทีเคย พบในอินเดยี มอี ายุราว 30,000 ปก่อน การ เปลียนแปลงจากการล่าของปาไปสกู่ ารทําเกษตร และปศุสตั วข์ องมนษุ ยใ์ นอนทุ วปี อินเดยี เรมิ ต้นใน ราว 7,000 ปก่อนครสิ ต์กาล ในพนื ทีทีปจจุบนั คือ เมหร์ ครหพ์ บหลักฐานแสดงการเก็บเกียวขา้ วสาลี ขา้ วบารเ์ ลย์ ตามดว้ ยการปศุสตั ว์ ววั แพะ และแกะ

และภายใน 4,500 ปก่อนครสิ ต์ดาล การใชช้ วี ติ แบบ ปกหลักเรมิ เปนทีแพรห่ ลายขนึ และค่อย ๆ พฒั นา อยา่ งก้าวกระโดดเปนอารยธรรมล่มุ แมน่ าํ สนิ ธุ หนงึ ในอารยธรรมยุคแรกของมนษุ ยใ์ นยุคโลกเก่า ซงึ รว่ มสมยั กับอียปิ ต์โบราณ และ เมโสโปเตเมยี อารยธรรมนเี ฟองฟูใน 2,500 ปก่อนครสิ ต์กาลถึง 1900 ปก่อนครสิ ต์กาล ในพนื ทีทีปจจุบนั คือประเทศ ปากีสถานและตัวนตกเฉียงเหนอื ของประเทศ อินเดยี มลี ักษณะสาํ คัญของอารยธรรมคือการวาง ผงั เมอื ง, บา้ นเรอื นทีสรา้ งดว้ ยอิฐอบ และระบบ ประปาและการระบายนาํ ทีซบั ซอ้ น

อารยธรรมล่มุ แมน่ าํ สนิ ธุ สมยั อารยธรรมล่มุ แมน่ าํ สนิ ธุ ( ประมาณ 2,500- 1,500 ป ก่อนครสิ ต์ศักราช ) ถือวา่ เปนสมยั อารยธรรม “กึงก่อนประวตั ิศาสตร”์ เพราะมกี ารค้นพบหลักฐานจารกึ เปนตัวอักษรโบราณ แล้วแต่ยงั ไมม่ ผี ใู้ ดอ่านออก และไมแ่ นใ่ จวา่ เปนตัว อักษรหรอื ภาษาเขยี นจรงิ หรอื ไม่ ศูนยก์ ลางความเจรญิ อยูท่ ีเมอื งโมเฮนโจ – ดาโร และเมอื งฮารปั ปา รมิ ฝงแมน่ าํ สนิ ธุประเทศปากีสถาน ในปจจุบนั สนั นษิ ฐานวา่ เปนอารยธรรมของชนพนื เมอื งเดมิ ทีเรยี กวา่ “ทราวฑิ ” หรอื พวกดราวเิ ดยี น ( Dravidian )

และบางหลักฐานก็วา่ เปนอารยธรรมยุคสมั รดิ ใน ภมู ภิ าคตะวนั ตกเฉียงเหนอื ของเอเชยี ใต้ ดาํ รงอยู่ ตังแต่ราว 3300 - 1300ก่อนครสิ ต์ศักราช และยงิ ใหญท่ ีสดุ ในชว่ งป 2600 - 1900ก่อนครสิ ต์ศักราช อารยธรรมล่มุ แมน่ าํ สนิ ธุ, อียปิ ต์ และ เมโสโปเต เมยี เปนสามอารยธรรมยุคเรมิ แรกของโลก อารยธรรมล่มุ แมน่ าํ สนิ ธุ อารยธรรมอียปิ ต์ อารยธรรมเมโสโปเตเมยี

พนื ทีทีเคยเปนอารยธรรมล่มุ แมน่ าํ สนิ ธุนนั ใน ปจจุบนั อยูใ่ นพนื ทีของประเทศอัฟกานสิ ถาน, สว่ น ใหญข่ องประเทศปากีสถาน และทางตะวนั ตกถึง ตะวนั ตกเฉียงเหนอื ของประเทศอินเดยี อารยธรรม นเี จรญิ รงุ่ เรอื งอยูบ่ นทีล่มุ รมิ แมน่ าํ สนิ ธุซงึ ไหลผา่ น ตลอดประเทศปากีสถานและระบบแมน่ าํ ทีมนี าํ ตลอด ทังป ซงึ สว่ นใหญไ่ ดน้ าํ จากมรสมุ และแมน่ าํ ตาม ฤดกู าล แมน่ าํ กากการ-์ ฮากรา เมอื งต่าง ๆ ของอารยธรรมเปนทีรจู้ กั ในฐานะเมอื ง ทีมกี ารวางผงั เมอื ง, บา้ นทีสรา้ งจากอิฐอบ, ระบบ ระบายนาํ และชลประทานทีซบั ซอ้ น, กล่มุ ของอาคาร ทีไมใ่ ชเ่ พอื การอยูอ่ าศัย และวธิ กี ารใหม่ ๆ ใน หตั ถกรรม (ผลิตภัณฑ์จากคารเ์ นเลียนและการสลัก ตราประทับ) และความสามารถในการแยกโลหะออก จากแร่ (ทองแดง, สาํ รดิ , ตะกัว, ดบี ุก)

การตังถินฐานและเผา่ พนั ธุ์ พบหลักฐานเปนซากเมอื งโบราณ 2 แหง่ ในบรเิ วณ ล่มุ แมน่ าํ สนิ ธุเปนไปไดว้ า่ มปี ระชากรมากถึง 30,000 และ 60,000 คน และในชว่ งเวลารงุ ้เรอื ง สงู สดุ อาจมปี ระชากรมากถึงหนงึ ถึงหา้ ล้านคน 1. เมอื งโมเฮนโจ – ดาโร ทางตอนใต้ของประเทศ ปากีสถาน 2. เมอื งฮารบั ปา ในแควน้ ปนจาป ประเทศปากีสถาน ในปจจุบนั

เพมิ เติม เมอื งโธลาวรี ะ รฐั คชุ ราต คือหนงึ ในซาก อารยธรรมฮารปั ปาทีใหญท่ ีสดุ จากทังหมด 5 แหง่ เปนกล่มุ ชนทีมาจากดนิ แดนซากรอส (Zagros) บรเิ วณ ตะวนั ตกเฉียงใต้ของประเทศอิหรา่ น สถานทีซงึ ปรากฏหลักฐานการเลียงแพะเปนแหง่ แรกของ โลก พวกเขานาํ ความรเู้ รอื งการเกษตรโดยเฉพาะการเลียง ปศุสตั วม์ าสอู่ ินเดยี ชว่ งเวลานคี ือประมาณ 7,000 - 3,000 ปก่อนครสิ ตกาล ชาว ซากรอสเหล่านเี ขา้ มาอาศัยปะปนไปกับคนท้องถินทีอาศัยอยู่ ก่อนหนา้ ซงึ เชอื กันวา่ พวกเขาอพยพออกมาจากแอฟรกิ าตาม ทฤษฎี \"มาจากแอฟรกิ า\" หรอื Out of Africa อันโดง่ ดงั และ เขา้ มาถึงอินเดยี เมอื 65,000 ปก่อนหนา้ นนั และคนสองกล่มุ นเี องทีชว่ ยกันสรา้ งอารยธรรมฮารปั ปาขนึ มา

รปู ปนทีค้นพบทีค้นพบในสมยั ก่อนประวตั ิศาสตรส์ นั นษิ ฐานวา่ เปนชนชนั สงู หรอื นกั บวช ยุคเหล็ก (1500 – 200 BC) สมยั พระเวท (ราว 1500 – 600 BC) เปนยุคสมยั ทีซงึ พระเวทได้ประพนั ธข์ นึ พระเวทเปนงานเขยี นบนั ทึกบท ขบั รอ้ งพธิ สี วดของชาวอินโด-อารยนั วฒั นธรรม พระเวทนันแพรห่ ลายอยูใ่ นแถบตะวนั ตกเฉียงเหนือ ของอินเดียในปจจุบนั ในขณะทีสว่ นอืน ๆ ของอินเดีย ยงั คงมวี ฒั นธรรมเฉพาะถินทีแตกต่างกันไป

พระเวท ในปจจุบนั เปนคัมภีรท์ ีสกั การะโดยขาวฮินดู และไดร้ บั การถ่ายทอดแบบมุขปาถะดว้ ยภาษา สนั สกฤตแบบพระเวท และเปนหนงึ ในงานเขยี นที เก่าแก่ทีสดุ ในอนทุ วปี อินเดยี สมยั พระเวทกินเวลา จาก 1500 ถึง 500 BC และมสี ว่ นอยา่ งมากต่อการ เปนรากฐานของมุมมองต่าง ๆ ทางวฒั นธรรมของ อนทุ วปี อินเดยี ในแง่ของวฒั นธรรม ศาสนาของอนุ ทวปี อินเดยี ไดเ้ รมิ เปลียนจากความเปนคัลคอลิธกิ สู่ ยุคเหล็ก ในยุคนี สงั คมพระเวท นกั ประวตั ิศาสตรเ์ ชอื วา่ วฒั นธรรมพระเวทมี ศูนยก์ ลางอยูแ่ ถบภมู ภิ าคปญจาบและทีราบล่มุ แมน่ าํ คงคาตอนบน นกั ประวตั ิศาสตรส์ ว่ นใหญเ่ ชอื วา่ ยุคนี เปนขว่ งเวลาทีระลอกของชาวอินโด-อารยนั เรมิ เขา้ มา สอู่ นทุ วปี อินเดยี ผา่ นการอพยพของชาวอินโด- อารยนั จากทางตะวนั ตกเฉียงเหนอื มกี ารสรา้ งความ ศักดสิ ทิ ธใิ หก้ ับต้นปปลและววั ภายในยุคของอาถรรน์ เวท ในขณะทีแนวคิดของปรชั ญาอินเดยี เรมิ พฒั นาใน เวลาต่อ ๆ มา ซงึ สามารถค้นควา้ ยอ้ นหลังไปถึงยุค พระเวทได้

1. ฤคเวท เปนบทสวดอ้อนวอนใหเ้ ทพเจา้ ประทาน ชยั ชนะแก่พวกตนเปนบทสวดทีแต่งขนึ ในเวลาที ยาวนาน 2. ยชุรเวท เปนคัมภีรอ์ ธบิ ายวธิ ปี ระกอบพธิ ี บวงสรวง แต่งทีหลังคัมภีร์ ฤคเวท พธิ ที ีสาํ คัญ เชน่ การบูชายนั ต์มนษุ ย์ การบูชาบรรพบุรษุ ทีล่วงลับไป แล้ว เทพองค์สาํ คัญทีบูชายงั เหมอื นเดมิ แต่ทีเพมิ ขนึ มา คือ รทุ .มหาเทวะ (คือพระศิวะในเวลาต่อมา)

3. สามเวท เปนบทสวดสาํ หรบั หรบั การทําพธิ บี ูชา ดว้ ยนาํ โสมในพธิ ขี องบา้ นเมอื งหรอื ของกษัตรยิ ์ 4. อถรรพเวท เปนคัมภีรข์ นึ ทีหลัง มลี ักษณะะคล้าย ฤคเวทในสว่ นนบั ถือเทพทีเปนคณุ ต่อมนษู ย์ แต่อถรรพ เวทนบั ถือเทพและไมใ่ ชเ่ ทพและไมใ่ ชเ่ ทพทังทีใหโ้ ทษแก่ มนษุ ย์ เชน่ ภตู ผปี ศาจ ดงั นนั จงึ ต้องมกี ารบูชา คัมภีรฤ์ คเวท ยชุรเวท และสามเวท เรยี กรวมกันวา่ ตรเี วทหรอื ไตรเพท และคัมภีรอ์ ถรรพเวทเกิดขนึ ภาย หลัง เรยี กรวมกันวา่ จตรุ เวท

อารยธรรมอินเดีย ปจจยั ทางภมู ศิ าสตรท์ ีมอี ิทธพิ ลต่ออารยธรรม อินเดยี หรอื อารยธรรมล่มุ แมน่ าํ สนิ ธุ เปนแหล่งอารยธรรมเรมิ แรกของอินเดยี อยูบ่ รเิ วณ ดนิ แดนภาคตะวนั ตกของอินเดยี (ปากีสถานใน ปจจุบนั ) ทีแมน่ าํ สนิ ธุไหลผา่ น จากภมู ปิ ระเทศของอินเดยี ทีมลี ักษณะเปนรปู สามเหลียมขนาดใหญ่ มเี ทือกเขาหมิ าลัยกันอยูท่ าง ตอนเหนอื มเี ทือกเขาฮินดกู ชู อยูท่ างดา้ นตะวนั ตก เฉียงเหนอื

อาณาเขตล่มุ แมน่ าํ สนิ ธุครอบคลมุ บรเิ วณกวา้ งกวา่ ล่มุ แมน่ าํ ไนล์แหง่ อิยปิ ต์ โดยทกุ ๆปกระแสนาํ ไดไ้ หล ท่วมท้นฝงทําใหด้ นิ แดนล่มุ นาํ สนิ ธุอุดมสมบูรณ์ เหมาะแก่การทํากสกิ รรม นกั ประวตั ิศาสตรบ์ างคน เรยี กอารยธรรมในดนิ แดนนวี า่ วฒั นธรรมฮารปั ปา (Harappa Culture) ซงึ เปนชอื เมอื งโบราณทีตัง อยูบ่ รเิ วณล่มุ นาํ สนิ ธุเมอื ประมาณ 3,500 – 1,000 ป ก่อนพุทธศักราช แมน่ าํ สนิ ธุ แมน่ าํ ไนล์

สมยั ประวตั ิศาสตร์ เรมิ เมอื มกี ารประดิษฐต์ ัวอักษรขนึ ใช้ โดยชนเผา่ อินโด- อารยนั ซงึ ตังถินฐานบรเิ วณแมน่ ําคงคา แบง่ ได้ 3 ยุค 1.สมยั มหากาพย์ อารยธรรมยุคมหากาพย์ (ประมาณ 900-500 ปก่อน ครสิ ต์ศักราช) เปนสมยั ทีมกี ารใชต้ ัวหนงั สอื บนั ทึก เรอื งราว การปกครองเรมิ แรกปกครองแบบชนเผา่ อารยนั มรี าชาเปนผปู้ กครองอํานาจสงู สดุ เดด็ ขาด ในสมยั นเี รยี กตามชอื มหากาพยเ์ รอื งทียงิ ใหญข่ อง อินเดยี 2 เรอื ง คือ มหาภารตะ กับ รามายณะ (รามเกียรติ) ทีสะท้อนเกียวกับการปกครองสงั คม เศรษฐกิจ ของชาวอารยนั สมยั นนั

มคี วามเชอื ในเรอื งการบูชายนั ภตู ผปี ศาจ และอํานาจ ต่างๆทางธรรมชาติ ซงึ ต่อมาได้มกี ารบูชารูปปนของ เทวะและเทวี ซงึ กลายมาเปนต้นแบบของศาสนาฮินดู ปลายสมยั ชนเผา่ อารยนั ขยายตัวออกไป มกี าร ดําเนินการปกครองแบบราชาธปิ ไตยจากราชา เปลียนเปน กษัตรยิ ์ เปนสมมติเทพ

2.สมยั จกั รวรรดิ แบง่ เปน 5 สมยั คือ - จกั รวรรดมิ คธ - จกั รวรรดเิ มารยะ - สมยั แบง่ แยกและรกุ รานจากภายนอก - สมยั จกั รวรรดคิ ปุ ตะ - อินเดยี หลังสมยั จกั รวรรดคิ ปุ ตะ จกั รวรรดิมคธ ตังอยูบ่ รเิ วณภาคตะวนั ออกของล่มุ แมน่ าํ คงคา เปนแควน้ ทีมอี นภุ าพมากทีสดุ ในศตวรรษที6 ก่อนครสิ ต์ศักราช ราชอาณาจกั รมคธถือเปนอาณาจกั รทีมอี ํานาจ มากทีสดุ ในชมพูทวปี มคธไดผ้ า่ นการรฐั ประหารเปลียนแปลงขวั อํานาจ มาหลายครงั ไมว่ า่ จะมาจากอํามาตยส์ สุ นุ าค มหาโจ รนนั ทะ จนั ทรคปุ ต์ พราหมณป์ ุษยมติ ร ฯลฯ แควน้ มคธไดส้ นิ สดุ ลงในป พ.ศ. 516 กลายเปนสว่ นหนงึ ของอาณาจกั รสาตวหนะ

ปกครองดว้ ยระบอบสมบูรณายาสทิ ธริ าชย์ ถือ กําเนดิ ขนึ ไล่เลียกับการกําเนดิ ของมหาชนบท 16 แควน้ กษัตรยิ ท์ ีมชี อื เสยี งสองพระองค์คือ พระเจา้ พมิ พสิ าร และพระเจา้ อชาตศัตรู พระเจา้ พมิ พสิ าร พระเจา้ อชาตศัตรู มเี มอื งหลวงครงั แรกชอื ราชคฤห์ ต่อมาพระเจา้ อชาต ศัตรจู งึ ยา้ ยเมอื งหลวงไปยงั ปาฏลีบุตร (ปฏนะ) รมิ ฝง แมน่ าํ คงคา

ระบอบการปกครองกษัตรยิ ม์ อี ํานาจสงู สดุ มี ขุนนาง 3 ฝาย คือ ฝายบรหิ าร ฝายตลุ าการ และฝายการทหาร รวม เรยี กวา่ “มหามาตระ” พระพุทธศาสนาไดร้ บั การอุปถัมภ์จากกษัตรยิ ท์ ัง สองพระองค์ ทําใหจ้ กั รวรรดมิ คธกลายเปน ศูนยก์ ลางพระพุทธศาสนา ในขณะเดยี วกันศาสนาพราหมณเ์ สอื มลง เนอื งจาก การตีความทีมุง่ เนน้ ไปทีอิทธปิ าฏิหารยแ์ หง่ องค์ เทพเจา้ เปนหลัก แทนทีจะศึกษาเพอื การหลดุ พน้ จาก บว่ งทกุ ขต์ ามหลักคําสอนในคัมภีร์

จกั รวรรดิเมารยะ จกั รวรรดิเมารยะหรอื โมรยิ ะ เปนจกั รวรรดิ ซงึ มเี นือที กวา้ งใหญ่และมอี ิทธพิ ลมากทีสดุ จกั รวรรดิหนึงใน อินเดียปกครองโดยราชวงศ์เมารยะหรอื โมรยิ ะ จกั รวรรดิเมารยะ ในกลางศตวรรษที4ก่อนครสิ ต์ ศักราช ราชวงศ์นันทะทีปกครองจกั รวรรดิมคธเสอื ม อํานาจลง ราชวงศ์เมารยะได้มอี ํานาจขนึ ปกครอง ปจจุบนั คือพนื ทีทางภาคเหนือของอินเดีย

เกิดขนึ หลังจากการถอยทัพไปทางตะวนั ตก ของกองทัพกรกี และเปอรเ์ ชยี ของพระเจา้ อเล็กซาน เดอรม์ หาราช เมอื มาถึงป พ.ศ. 223 (320 ปก่อน ครสิ ต์ศักราช) จกั รวรรดโิ มรยิ ะก็ครอบครองบรเิ วณ ทางตะวนั ตกเฉียงเหนอื ของอินเดยี โจมตีและไดร้ บั ชยั ชนะต่อแควน้ ต่าง ๆ ทีเหลือของพระเจา้ อเล็กซาน เดอรม์ หาราช พระเจา้ อเล็กซานเดอรม์ หาราช

สมยั จกั รวรรดเิ มารยะ (Maurya)ประมาณ321-184 ป ก่อนครสิ ต์ศักราช พระเจา้ จนั ทรคปุ ต์ปฐม กษัตรยิ ร์ าชวงศ์เมารยะได้ รวบรวมแวน่ แควน้ ในดิน แดนชมพูทวปี ใหเ้ ปนปกแผน่ ภายใต้จกั รวรรดทิ ียงิ ใหญ่ เปนครงั แรกของอินเดยี พระพุทธศาสนาได้รบั การ อุปถัมภ์ใหเ้ จรญิ รงุ่ เรอื ง โดยเฉพาะในสมยั พระเจา้ อโศกมหาราช ( Asoka ) ได้ เผยแพรพ่ ระพุทธ ศาสนาไปยงั ดินแดนทัง ใกล้และไกล รวมทังดิน แดนในภมู ภิ าคเอเชยี ตะวนั ออกเฉียงใต้ ซงึ เผย แพรเ่ ขา้ สแู่ ผน่ ดินไทยใน ยุคสมยั ทียงั เปน อาณาจกั รทวารวดี

ระเบยี บการปกครอง รวมอํานาจไวท้ ีพระมหากษัตรยิ ์ และเมอื งหลวง จกั รพรรดมิ อี ํานาจสงู สดุ ทางดา้ น บรหิ าร กฎหมาย การศาลและการทหาร มสี ภาเสนาบดี และสภาแหง่ รฐั เปนสภาปรกึ ษา กษัตรยิ ท์ ีมชี อื เสยี งของราชวงศ์เมารยะคือ พระเจา้ อโศกมหาราช ทรงนาํ หลักพระพุทธศาสนามาใชใ้ นการ ปกครอง และทํานบุ าํ รงุ พุทธศาสนาอยา่ งจรงิ จงั นอกจากนยี งั ใหอ้ ิสรภาพในการเลือกนบั ถือศาสนา โดย เฉพาะศาสนาพราหมณ์ ทรงยกเลิกการแบง่ ชนั วรรณะ

3.สมยั แบง่ แยกและการรุกรานจากภายนอก จากความเสอื มอํานาจของราชวงศ์เมารยะมผี ลกระ ทบต่ออินเดยี 2 ประการ จากความเสอื มอํานาจของราชวงศ์เมารยะมผี ลกระ ทบต่ออินเดยี 2 ประการ - อาณาจกั รใหญน่ อ้ ยแบง่ แยกออกเปนอิสระ - เกิดการรกุ รานจาก กรกี อิหรา่ น เปอรเ์ ชยี ศกะ กษุ าณะ ทางผจู้ ดั ทําอีบุค๊ เล่มนตี ้องการแสดงใหเ้ หน็ ถึงการรกุ รานจากแดนต่างๆ จงึ ได้ หยบิ ยกธงประจาํ ชาติกรซี และอิหรา่ น(หรอื อีกชอื คือเปอรเ์ ซยี ร)์ ในปจจุบนั มาใช้ เท่านนั มไิ ดม้ เี จตนาบดิ เบอื นแต่อยา่ งใด

เมอื อารยธรรมต่างๆเขา้ มาตังถินฐานก็ยอ่ มรบั วฒั นธรรมอินเดยี ไวด้ ว้ ย กรกี เปอรเ์ ชยี ก็ไดถ้ ่ายทอดวฒั นธรรมของตนเอง เชน่ ดา้ นศิลปกรรม ไดแ้ ก่ สถาปตยกรรม และ ประติมากรรมใหแ้ ก่อินเดยี เชน่ กัน

สมยั ราชวงศ์กษุ าณะ ( ประมาณ 200 ปก่อนครสิ ต์ศักราช – ค.ศ.320 ) พวกกษุ าณะ (Kushana )เปน ชนต่างชาติทีเขา้ มา รกุ รานและตังอาณาจกั รปกครองอินเดยี ทางตอน เหนอื กษัตรยิ ท์ ียงิ ใหญ่ คือ พระเจา้ กนษิ กะ รชั สมยั ของพระองค์อินเดยี มคี วามเจรญิ รงุ่ เรอื งทาง ดา้ นศิลปวทิ ยาการแขนงต่าง ๆ โดยเฉพาะดา้ นการ แพทย์

นอกจากนนั ยงั ทรงอุปถัมภ์พระพุทธศาสนา ( นกิ ายมหายาน ) ใหเ้ จรญิ รงุ่ เรอื ง โดยจดั สง่ สมณ ทตู ไปเผยแพรพ่ ระศาสนายงั จนี และทิเบต มกี ารสรา้ งพระพุทธรปู ทีมศี ิลปะงดงาม และสรา้ ง เจดยี ใ์ หญท่ ีเมอื งเปชะวาร์

สมยั จกั รวรรดิคปุ ตะ ( Gupta ) ประมาณ ค.ศ.320-550 พระเจา้ จนั ทรคปุ ต์ที 1 ต้น ราชวงศ์คปุ ตะไดท้ รงรวบรวมอินเดยี ใหเ้ ปนจกั รวรรดิ อีกครงั หนงึ ไดร้ บั การยกยอ่ งวา่ เปนยุคทองของอินเดยี เนอื งจาก พระเจา้ จนั ทรคปุ ต์มคี วามพยายามทีจะฟนฟู อาณาจกั รมคธใหร้ งุ่ เรอื ง

มมี หาวทิ ยาลัยต่างๆเกิดขนึ มากมาย เชน่ มหาวทิ ยาลัยนาลันทา มหาวทิ ยาลัยพาราณสี มเี มอื งหลายเมอื งกลายเปนศูนยก์ ลางการศึกษา เชน่ เมอื งสาญจี

การแพทยใ์ นสมยั นมี วี ธิ กี ารผา่ ตัด และเรยี นรกู้ ารทําสบู่ และปูนซเี มนต์ ทรงใหก้ ารอุปถัมภ์พุทธศาสนาเปนอยา่ งดถี ึงแม้ พระองค์จะนบั ถือพราหมณ์ ทรงอนญุ าติใหช้ าวลังกา มาสรา้ งวดั พุทธศาสนาฝายเถรวาทขนึ

หลวงจนี ฟาเหยี นเดนิ ทางมานาํ พระไตรปฏกกลับไป เปนการสง่ เสรมิ พระพุทธศาสนาใหแ้ พรก่ ระจายไปยงั ดนิ แดนต่างๆ

หลังสมยั จกั รวรรดคิ ปุ ตะ ราชวงศ์คปุ ตะเรมิ เสอื มอํานาจลงชนต่างชาติได้ รกุ รานอินเดยี ภาคเหนอื แบง่ แยกเปนแควน้ เล็กๆมรี าชวงศ์ ต่างๆเขา้ มายดึ ครอง หลังการสนิ สดุ จกั รวรรดคิ ปุ ตะ ชนชาติทีมากรกุ รานนบั ถือพราหมณ์ จงึ ไดก้ วาดล้างชาวพุทธใหส้ นิ ซาก และวดั แต่พระพุทธศาสนาในอินเดยี ยงั คง รงุ่ เรอื งอยู่ สมยั สลุ ต่านแห่งเดลฮี หรอื อาณาจกั รเดลฮี( ค.ศ. 1206-1526 ) เปนยุคที พวกมุสลิมเขา้ มาปกครองอินเดยี มสี ลุ ต่านเปนผู้ ปกครองทีเมอื งเดลฮี

สมยั จกั รวรรดิโมกลุ ( Mughul ) ประมาณ ค.ศ. 1526 – 1858 พระเจา้ บาบูร์ ผกู้ ่อตัง ราชวงศ์โมกลุ ไดร้ วบรวมอินเดยี ใหเ้ ปนปกแผน่ อีก ครงั หนงึ ไดช้ อื วา่ เปนจกั รวรรดอิ ิสลามและเปน ราชวงศ์สดุ ท้ายของอินเดยี

พระเจา้ บาบูร์ ผกู้ ่อตังราชวงศ์โมกลุ พระเจา้ บาบูร์ ทรงเปนนกั รบจากเอเชยี กลางซงึ มี ชยั ชนะและสถาปนาราชวงศ์โมกลุ ขนึ บรเิ วณอนทุ วปี อินเดยี และสถาปนาเปนสมเดจ็ พระจกั รพรรดบิ าบูร์ แหง่ จกั รวรรดโิ มกลุ ทรงเปนทายาทโดยตรงจากตีมูร์ ผา่ นทางพระราชบดิ า และยงั มเี ชอื สายของเจงกีส ขา่ นผา่ นทางพระราชมารดา

โดยอินเดยี ตกเปน อาณานคิ มของอังกฤษ ในป ค.ศ. 1858กษัตรยิ ์ ราชวงศ์โมกลุ ทียงิ ใหญ่ คือ พระเจา้ อักบาร์ มหาราช ( Akbar ) ทรงทะนบุ าํ รงุ อินเดยี ให้ มคี วามเจรญิ รงุ่ เรอื งใน ทกุ ๆ ดา้ น พระเจา้ อักบารม์ หาราช และในสมยั ของพระเจา้ ชาห์ เจฮัน( Shah Jahan ) ทรงสรา้ ง “ทัชมาฮัล” ( Taj Mahal ) ซงึ เปน อนสุ รณแ์ หง่ ความรกั เปน งานสถาปตยกรรมทีผสม ผสานศิลปะอินเดยี

แปลวา่  มงกฏุ ของวงั เปนอาคารฝงศพสรา้ งดว้ ยหนิ อ่อนสขี าวงาชา้ ง ตังอยูบ่ นฝงแมน่ าํ ทางใต้ของแมน่ าํ ยมุนา ในเมอื งอัคระ รฐั อุตตรประเทศ ประเทศอินเดยี ทัชมาฮาลเรมิ สรา้ งขนึ ในป 1632 โดยจกั รพรรดโิ มกลุ จกั รพรรดชิ าหช์ ะฮัน (ครองราชย์ 1628 ถึง 1658) เพอื ตังศพของพระสนมเอก มุมตาช มหลั และเปนทีตัง พระศพของจกั รพรรดชิ าหช์ ะฮันเอง ทัชมาฮาล ประกอบดว้ ยตัวอาคารสสุ าน, มสั ยดิ และเกสต์เฮาส์ รายล้อมดว้ ยสวน การก่อสรา้ งทัชมาฮาลสาํ เรจ็ สมบูรณใ์ นป 1643 แต่มกี ารก่อสรา้ งในเฟสอืน ๆ ชอง โครงการทีดาํ เนนิ ต่อไปอีกกวา่ 10 ป

สมยั อาณานคิ มอังกฤษ ปลายสมยั อาณาจกั รโมกลุ กษัตรยิ ท์ รงใชจ้ า่ ย ฟุมเฟอย ต้องเพมิ ภาษีและเพมิ การเกณฑ์แรงงาน ทําใหร้ าษฎรอดอยาก และยงั กดขที ําลายล้างศาสนา ฮินดแู ละชาวฮินดอู ยา่ งรนุ แรง เกิดความแตกแยกภายในชาติ เปนเหตใุ หอ้ ังกฤษ ค่อยๆเขา้ แทรกแซงและครอบครองอินเดยี ทีละเล็ก ละนอ้ ย รปู ภาพการล่าอาณานคิ มของอังกฤษหรอื ทวปี ยุโรปในสมยั นนั

ในทีสดุ อังกฤษล้มราชวงศ์โมกลุ และครอบครอง อินเดยี ในฐานะอาณานคิ มอังกฤษ สงิ ทีอังกฤษวางไวใ้ หก้ ับอินเดยี คือ • รากฐานการปกครองระบอบประชาธปิ ไตย แบบ รฐั สภา • การศาล การศึกษา • ยกเลิกประเพณบี างอยา่ ง เชน่ พธิ สี ตี (การเผาตัว ตายของหญงิ ฮินดทู ีสามตี าย) ตัวอยา่ งพธิ สี ตี ตัวอยา่ งพธิ สี ตี

สมยั เอกราช หลังสงครามโลกครงั ที 2 ขบวนการชาตินยิ ม อินเดยี นาํ โดย มหาตมะ คานธี และ เยาวราลห์ เนหร์ ู เปนผนู้ าํ เรยี กรอ้ งเอกราช มหาตมะ คานธี ใชห้ ลัก อหงิ สา (ความไมเ่ บยี ดเบยี น ความสงบ) ในการเรยี ก รอ้ งเอกราชจนประสบความสาํ เรจ็ หลังจากไดร้ บั เอกราชอินเดยี ปกครองดว้ ยระบอบประชาธปิ ไตย มหาตมะ คานธี

เยาวราลห์ เนหร์ ู อินเดยี ไดร้ บั เอกราชจากอังกฤษ ในป ค ศ 1947 แต่ต้องแยกเปนสองประเทศคือ ประเทศอินเดยี และประเทศปากีสถาน

การปกครองและกฎหมาย บา้ นเมอื งในล่มุ แมน่ าํ สนิ ธุ มรี อ่ งรอยของการ ปกครองแบบรวมอํานาจเขา้ ศูนยก์ ลาง ทังนเี หน็ ได้ จากรปู แบบการสรา้ งเมอื งอารปั ปาและ เมอื งเฮนโจ- ดาโร ต่อมาเมอื พวกอารยนั เขา้ มาปกครองดนิ แดนล่มุ นาํ สนิ ธุแทนพวกดราวเิ ดยี นจงึ ไดเ้ ปลียนแปลง การ ปกครองเปนแบบ กระจายอํานาจโดยแต่ละเผา่ มี หวั หนา้ ทีเรยี กวา่ ราชา ปกครองกันเอง มหี นว่ ยการ ปกครองลดหลันลงไปตามอันดบั จากครอบครวั ทีมี บดิ าเปนหวั หนา้ ครอบครวั หลายครอบครวั รวมกัน เปนระดบั หมูบ่ า้ น และหลายหมูบ่ า้ นมรี าชาเปนหวั หนา้ ต่อมาแต่ละเผา่ มกี ารพุง่ รบกันเอง ทําใหร้ าชาไดข้ นึ มา มอี ํานาจสงู สดุ ในการปกครองดว้ ยวธิ ตี ่างๆ คือ

พธิ รี าชาภิเษก เปนพธิ ที ีจดั ขนึ เพอื ยกฐานะผนู้ าํ ใหเ้ ปนเทวราช โดยมพี ราหมณผ์ ปู้ ระกอบพธิ ปี ระกาศวา่ ราชา คือ พระ อินทรพระประ ชาธบิ ดี และพระวษิ ณุ ราชาจงึ กลาย เปนเทพเจา้ พธิ นี ที ําใหร้ าชาเปนผทู้ ีนา่ เคารพยาํ เกรง และมอี ํานาจสงู สดุ ความเชอื ในเรอื งอวตาร ศาสนาพราหมณเ์ ชอื วา่ พระราชาคือเทพเจา้ อวตารลงมาเพอื ปราบยุคเขญ็ นอกจากนศี าสนาฮินดู ยงั นบั ถือพระศิวะ และถือวา่ พระราชาคือพระศิวะ อวตารลงมาความ เชอื ในเรอื งของอวตารทําใหร้ าชา เปนเทพเจา้ สงู สดุ มคี วามยงิ ใหญด่ งั เชน่ พระศิวะและ พระวษิ ณุ

พธิ อี ัศวเมธ เปนพธิ ขี ยายอํานาจโดยสง่ มา้ วงิ ไปยงั ดนิ แดน ต่างๆ จากนนั สง่ กองทัพติดตามไปรบ เพอื ยดึ ครอง ดนิ แดนทีมา้ วงิ ผา่ นไป พธิ นี เี ปนการแดงความยงิ ใหญข่ องพระราชา เพราะเมอื ทําพธิ อี ัศวเมธไดส้ าํ เรจ็ ก็จะเปนทียอมรบั นบั ถือของราชาอืนๆ การตังชอื เพอื สรา้ งความยงิ ใหญ่ เปอรเ์ ซยี เปนชาติแรกทีแสดงสถานการณเ์ ปน ราชาเหนอื ราชาอืนๆ เชน่ พระเจา้ ดารอิ ุสเรยี ก พระองค์เองวา่ เปนราชาแหง่ ราชา ราชาทียงิ ใหญใ่ น อินเดยี มกั ถกู เรยี กวา่ มหาราชา หรอื ราชาธริ าชเปนต้น

คําสอนในคัมภีรศ์ าสนาและตําราสนบั สนนุ ความยงิ ใหญข่ องราชา คัมภีรพ์ ระเวทเนน้ บทบาทความสาํ คัญของ ราชาทีต่อสงั คม คัมภีรข์ องพระพุทธศาสนา คือ พระ ไตรปฎก ไดก้ ล่าวถึงผทู้ ีไดร้ บั เลือกใหเ้ ปนราชาคือผทู้ ี ลงโทษผทู้ ีกระทําผดิ เชน่ เดยี วกับในคัมภีรอ์ ืนๆเชน่ คัมภีร์ อรรถศาสตร์ ไดก้ ล่าวถึงราชาและยกยอ่ งราชา เปนผยู้ งิ ใหญแ่ ละเปนผสู้ รา้ งความเจรญิ รงุ่ เรอื งให้ สงั คมโดยมขี อ้ แมว้ า่ พระราชาจะต้องปกครองใหเ้ ปน ไปตามหลักธรรมศาสตรแ์ ละราชธรรมราชา

ด้านสงั คมและวฒั นธรรม อินเดยี เปนสงั คมทีมคี วามหลากหลายดา้ นเชอื ชาติ ภาษา ศาสนา และวฒั นธรรม โดยมศี าสนา วรรณะ และภาษา เปนปจจยั หลักกําหนดรปู แบบ สงั คมและการเมอื ง 1. ระบบวรรณะ ตังแต่สมยั โบราณวรรณะทีสาํ คัญมี 4 วรรณะ คือ • วรรณะพราหมณ์ ไดแ้ ก่ นกั บวช ปจจุบนั อาจตีความ ไปถึงนกั วชิ าการ นกั วทิ ยาศาสตรแ์ ละนกั การเมอื ง • วรรณะกษัตรยิ ์ ไดแ้ ก่ นกั รบ ซงึ อาจรวมไปถึง ขา้ ราชการ • วรรณะแพศย์ ไดแ้ ก่ พอ่ ค้า นกั ธุรกิจ • วรรณะศูทร ไดแ้ ก่ ผใู้ ชแ้ รงงาน ชาวนา กรรมกร และคนยากจน

ปรชั ญาและลัทธศิ าสนาของสงั คม อินเดีย ความหมายทีถกู ต้องของคําวา่ “ปรชั ญา อินเดยี ” ก็คือ หมายถึงปรชั ญาทกุ สาํ นกั หรอื ทกุ ระบบ ทีเกิดขนึ ในอินเดยี หรอื ทีคิดสรา้ งสรรค์ขนึ ไวโ้ ดย ศาสดาและนกั คิดทีเคยมชี วี ติ อยูห่ รอื กําลังมชี วี ติ อยู่ ในอินเดยี เพราะฉะนนั ปรชั ญาอินเดยี จงึ ไมไ่ ดห้ มาย ถึงเฉพาะแต่ปรชั ญาฮินดู แต่หมายรวมถึงปรชั ญาอืน ทีไมใ่ ชป่ รชั ญาฮินดดู ว้ ย เชน่ พุทธปรชั ญา ปรชั ญาเชน เปนต้น

เทพเจา้ ของอินเดีย ในบรรดาเรอื งราวของเทพเจา้ ของชนชาติทัง หลายนนั เทพเจา้ ของอินเดยี นบั วา่ มเี รอื งราวและ ประวตั ิความเปนมาทีซบั ซอ้ นมากกวา่ ชาติอืน มกี าร นบั ถือเทพเจา้ และมคี ัมภีรพ์ ระเวทเกิดขนึ พวกอรยิ กะ หรอื อารยนั นนั แต่เดมิ ก็นบั ถือธรรมชาติ โดยตังชอื ตามสงิ ทีเปนธรรมชาตินนั ๆ แล้วก็เกิดมหี วั หนา้ เทพเจา้ ขนึ ดงั ทีปรากฏอยูใ่ นคัมภีรพ์ ระเวท ซงึ ก็คือ พระอินทร์

จากหลักฐานโบราณทีเปนจารกึ บนแผน่ ดนิ เหนยี ว อายุราว 1,400 ป ก่อนครสิ ตกาล เรยี กวา่ แผน่ จารกึ โบกาซ คยุ หรอื จารกึ เทเรยี จารกึ นี ไดอ้ อกนาม เทพเจา้ เปนพยานถึง 4 องค์ นนั ก็คือ พระอินทร์ (lndra) เทพเจา้ แหง่ พลัง มทิ ระ (Mitra) พระวรณุ (Varuna)และ นาสตั ย์ (Nasatya) คือ พระนาสตั ย์ อัศวนิ (Asvins) นบั เปนชอื เทพเจา้ ทีเก่าทีสดุ ทีถกู เอ่ย นาม เทพทีพราหมณย์ กยอ่ งนนั มเี พยี งไมก่ ีองค์ที ปรากฏอยูใ่ นพระเวท ซงึ ก็คือพระอินทร์ ทีถือวา่ มฤี ทธิ อํานาจมาก


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook