Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore เรื่อง ความน่าเชื่อถือของข้อมูล เทคโนโลยี (วิทยาการคำนวณ)

เรื่อง ความน่าเชื่อถือของข้อมูล เทคโนโลยี (วิทยาการคำนวณ)

Published by pimpika254123, 2020-12-15 07:51:13

Description: เรื่อง ความน่าเชื่อถือของข้อมูล เทคโนโลยี (วิทยาการคำนวณ) สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาาปีที่ 3

Keywords: ความน่าเชื่อถือของข้อมูล

Search

Read the Text Version

เร่ือง ความนา่ เชอ่ื ถอื ของขอ้ มลู เทคโนโลยี (วทิ ยาการคำนวณ) ชั้นมธั ยมศกึ ษาปีท่ี 3 นางสาวพมิ พิกา สงิ ห์ก่ำ รหสั 60181550129 สาขาคอมพวิ เตอร์ คณะครศุ าสตร์ มหาวิทยาลัยราชภฏั ลำปาง

ก คำนำ เรอ่ื ง ความนา่ เช่อื ถอื ของข้อมูล รายวชิ าเทคโนโลยี (วทิ ยาการคำนวณ) จัดทำข้นึ เพ่ือใช้ประกอบการเรียน การสอน นักเรียนชัน้ มัธยมศึกษาปีที่ 3 โดยดำเนินการทำให้สอดคล้องมาตรฐานการเรยี นรู้และตัวช้ีวัด กลุ่มสาระ การเรียนรวู้ ทิ ยาศาสตร์ และเทคโนโลยี (ฉบับปรับปรุง 2560) หลักศูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพืน้ ฐาน พทุ ธศักราช 2551 ทกุ ประการ เพอื่ ส่งเสรมิ ทกั ษะที่จำเปน็ สำหรับนักเรียนชนั้ มัธยมศกึ ษาปีที่ 3 และการเรยี นรู้ในศตวรรษท่ี 21 ทั้งด้ารการคิดวิเคราะห์ด้านทักษะ การคิดอย่างมีวิจารณญาน วัฒนธรรมและสภาพแวดล้อม ที่จะสามารถแข่งขนั และอยู่ร่วมกบั ประชาคมโลกได้ ลงชอื่ (นางสาวพมิ พิกา สงิ ห์ก่ำ)

ข หนา้ สาบัญ ก ข เรอื่ ง 1 3 คำนำ 11 สาบญั 14 เรื่องท่ี 1 การสบื ค้นเพื่อหาแหล่งข้อมูล 14 ยกตัวอยา่ งการสบื ค้นข้อมลู เพอ่ื หาแหล่งข้อมูลบนอินเทอร์เนต็ 16 ขนั้ ตอนการสบื ค้นหาแหลง่ ข้อมลู ด้วยอินเทอรเ์ นต็ 19 เรื่องท่ี 2 การประเมินความน่าเชื่อถอื ของข้อมูล 20 หลักการประเมนิ ความน่าเชอ่ื ถอื ของขอ้ มูล 21 การตรวจสอบความน่าเช่ือถือของแหล่งข้อมูล 10 เรื่องท่ี 3 เหตผุ ลวบิ ัติ 11 เร่ืองท่ี 4 การรู้เท่าทนั ส่ือ 12 องค์ประกอบของการรเู้ ทา่ ทนั ส่อื 13 การรู้เท่าทันสื่อดิจทิ ลั และการรเู้ ท่าทนั สอ่ื การใช้สือ่ และปญั หาที่พบในสือปจั จบุ นั ผลกระทบของข้อมลู ทผี่ ดิ พลาด ข้อสอบ ผจู้ ดั ทำ

บทท่ี 2 การสืบค้นเพื่อหาแหลง่ ข้อมลู จุดประสงคก์ ารเรยี นรู้ 1. บอกขน้ั ตอนการสบื ค้นเพ่ือหาแหลง่ ข้อมูลดว้ ยอนิ เทอรเ์ น็ตได้ 2. อธบิ ายความหมายวธิ ีการรวบรวมขอ้ มลู ได้เหมาะสมกบั ประเภทข้อมูลได้ 3. การค้นหาข้อมูลและทำตามข้นั ตอนได้ตรงตามวัตถุประสงค์ 4. เขียนวิธีการการสืบคน้ เพ่อื หาแหลง่ ขอ้ มลู ได้เหมาะสมกับประเภทของข้อมลู สาระสำคญั การสบื ค้นแหลง่ ข้อมลู เปน็ กระบวนการคน้ หาข้อมลู ท่ีต้องการ โดยใชเ้ ครอื่ งมือตา่ ง ๆ แบ่งออกเปน็ 2 ประเภท ดังนี้ 1. การสืบคน้ ข้อมลู ดว้ ยมือ คือ การสืบคน้ ขอ้ มูลดว้ ยเอกสาร หนังสอื ตำรา เป็นต้น 2. การสบื คน้ ข้อมูลด้วยระบบคอมพวิ เตอร์ คือ การสบื คน้ ข้อมลู ผ่านเทคโนโลยีหรอื อุปกรณ์คอมพิวเตอร์ เช่นการสืบคน้ ข้อมูลจากระบบฐานขอ้ มลู ข้อมลู ออนไลน์ เป็นตน้

หน้า 2 การสืบค้นเพ่อื หาแหลง่ ขอ้ มูล ในปัจจุบนั การได้มาซึ่งแหลง่ ข้อมูลในยุคดจิ ทิ ลั เพื่อนำไปใช้ประโยชน์น้นั สงิ่ สำคัญสิง่ หนึง่ คอื ความน่าเชื่อถือของ ขอ้ มูล ซ่งึ เป็นปจั จัยสำคญั ต่อคุณภาพของข้อมูล หากข้อมูลทเ่ี กบ็ รวบรวมได้ไมม่ ีความนา่ เชอื่ ถอื ก็ไมส่ ามารถนำ ขอ้ มูลดังกลา่ วไปใช้ประโชยน์ได้อย่างมปี ระสิทธิภาพ โดยความน่าเชือ่ ถือของข้อมูลจำเป็นต้องเร่ิมจากการสบื ค้น เพอ่ื หาแหลง่ ข้อมลู ท่ีมีคณุ ภาพ จากน้นั จึงดำเนนิ การประเมนิ ความนา่ เชอ่ื ถือของข้อมลู ไปตามลำดบั การสืบค้นแหล่งขอ้ มลู คือ กระบวนการคน้ หาขอ้ มูลทต่ี ้องการ โดยใช้เคร่ืองมอื ต่างๆ เชน่ คอมพวิ เตอร์ การสืบคน้ เพื่อหาแหลง่ ขอ้ มลู สามารถทำได้ ดงั น้ี 1. การสืบค้นข้อมูลด้วยมือ เป็นการสืบค้นข้อมูลจากเอกสาร หนังสือ ตำรา โดยสามารถสืบค้นจาก สถานที่ต่างๆ หรือหน่วยงานที่จัดเตรียมข้อมูลตามต้องการไว้ ให้ เชน่ ห้องสมดุ ในโรงเรียน เอกสารแผ่นพบั แนะนำขอ้ มูลด้าน สุขภาพในโรงพยาบาล ภาพที่ 1 การสืบค้นขอ้ มูลดว้ ยมอื 2. การสืบค้นขอ้ มูลด้วยระบบคอมพิวเตอร์ เปน็ การสืบค้นข้อมลู จากเทคโนโลยีหรืออุปกรณ์ คอมพิวเตอร์ เชน่ การสบื ค้นข้อมลู จากระบบฐานขอ้ มลู ข้อมูลออนไลน์ ข้อมูลบนอินเทอร์เนต็ ข้อมลู จากโปรแกรมค้นหา (Search Engine) ภาพที่ 2 การสบื คน้ ข้อมลู ดว้ ยระบบคอมพิวเตอร์

หน้า 3 ตวั อยา่ งการสืบค้นเพื่อหาแหล่งขอ้ มลู บนอินเทอร์เน็ต การสืบค้นข้อมลู บนอนิ เทอรเ์ น็ต เปน็ วิธกี ารสบื คน้ ดว้ ยระบบคอมพวิ เตอร์ที่กำลังเปน็ ที่นิยมในปจั จบุ นั เน่อื งจากเป็นแหล่งข้อมลู ทางอิเล็กทรอนิกส์ท่สี ำคญั และใหญ่ท่สี ุด ท่มี การอปั เดตข้อมลู อยตู่ ลอดเวลาแทบทุกวนิ าที การสบื คน้ ข้อมลู บนอนิ เทอร์เน็ต ควรดำเนินการ ดงั นี้ 1 กำหนดวตั ถุประสงค์ของการสืบค้นข้อมูล ผู้สืบค้นที่จะนำข้อมูลไปใช้ควรตั้งวัตถุประสงค์การสืบค้นให้ชัดเจน ทำให้สามารถกำหนดขอบเขตของ แหล่งข้อมูลที่สืบค้นให้แคบลง เพื่อกำหนดประเภทของเครื่องมือ หรือปรแกรมสำหรับใช้ในการสืบค้นทาง อนิ เทอรเ์ น็ตหรือเรยี กว่า โปรแกรมค้นหา ใหเ้ หมาะสม 2 ประเภทของข้อมูลท่ีสามารถสบื ค้นได้ ข้อมูลที่อยู่บนอินเทอร์เน็ต มีมากมายหลายประเภท เช่น ข้อความ วาดภาพ ภาพถ่าย เสียง จาก เทคโนโลยีการสืบค้นที่มีอยู่ในปัจจุบัน การสืบค้นที่รวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากที่สุด คือ การสืบค้นข้อมูล ประเภทขอ้ ความ 3 อปุ กรณแ์ ละความร้ทู ี่ใชใ้ นการสืบค้น จะต้องมีการเตรียมอุปกรณ์ ดังต่อไปนี้ เครื่องมือคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตนอกจาก อปุ กรณ์ตา่ งๆ อย่างต้องมีความรู้และทักษะพืน้ ฐานในการใชง้ านคอมพวิ เตอร์ ความรู้ภาษาอังกฤษ เนื่องจากข้อมูล ส่วนใหญใ่ นอินเทอรเ์ น็ตเป็นภาษาองั กฤษ และยังต้องมกี ารจัดสรรเวลาให้เหมาะสมอกี ด้วย

หน้า 4 4 บริการอนิ เทอร์เนต็ เปน็ การบริการทีส่ ามารถใช้ช่วยในการสบื ค้นข้อมลู ซึ่งมหี ลากหลายบริการ เชน่ บริการเครือข่ายใยแมงมุม โลกหรือ word-wide-web(www) บริการสอบถามผ่านทางจดหมายอิเล็กทรอนิกส์หรือการสนทนาออนไลน์กับ ผูใ้ ชง้ าน 5 เคร่อื งมือหรือโปรแกรมสำหรับสืบคน้ มีอยู่มากมายและมีให้บริการอยู่ตามเว็บไซต์ต่างๆ ที่ให้บริการในการสืบค้นข้อมูลโดยเฉพาะการเลือกใช้ น้นั ขน้ึ อยกู่ ับประเภทของขอ้ มลู พ่ตี ้องการสืบคน้ ข้อมูลจากโปรแกรมคน้ หาข้อมลู ต่างๆ ในประเทศไทยการเรียนการสอนเกยี่ วกับอนิ เทอรเ์ นต็ สว่ นใหญเ่ ป็นไปใน ลกั ษณะของการเปิดอบรมหลักสตู รระยะส้ันให้แก่สมาชกิ เครอื ขา่ ย หรอื ประชาชน ผ้สู นใจทว่ั ไปแต่จะมสี ถาบนั การศกึ ษาหลายแหง่ ไดจ้ ัดใหม้ ีการเรยี นการ สอนเกยี่ วกับอนิ เทอร์เนต็ โดยจดั ให้เป็นสว่ นหน่ึงของการศกึ ษารายวิชา ตา่ งๆ ใหแ้ กน่ กั ศึกษา ทัง้ นี้ เพือ่ เป็นการเตรยี มความพรอ้ มในการที่จะนำความร้ไู ป ประยุกตใ์ ช้ในการค้นคว้าการวิจยั หรอื ทำรายงานในวชิ าตา่ งๆ และเป็นการเรยี นรดู้ ้วย ตนเอง

หนา้ 5 1 . ประโยชน์และโทษของอินเทอร์เน็ต อินเทอร์เน็ตเป็นเทคโนโลยีสารสนเทศที่อำนวยความสะดวก ให้กับผู้บริการในลักษณะของการสื่อสารผ่านคอมพิวเตอร์จึงทำให้เกิดทั้งประโยชน์และโทษในการสื่อสารบน อินเทอรเ์ น็ต ประโยชน์ของอินเทอร์เน็ต มีหลากหลายตามลักษณะในการใช้งานทั้งการติดต่อสื่อสารและการอำนวย ความสะดวกต่างๆ ในชีวติ ประจำวัน ดงั นี้

หนา้ 6 โทษของอินเทอรเ์ น็ต มีหลากหลายลักษณะทางที่เป็นแหล่งขอ้ มูลที่เสียหาย ขอ้ มลู ไม่ดีไม่ถูกต้อง เป็นท่ี เป็นทรี่ วมและกระจายของไวรสั คอมพวิ เตอร์ตา่ งๆ ดงั น้ี

หน้า 6 โรคติดอนิ เทอร์เนต็ โรคตดิ อนิ เทอร์เนต็ (Internet Addiction Disorder) เปน็ อาการ ทางจิตประเภทหนึ่งซง่ึ นกั จติ วทิ ยาชอื่ คิมเบอร์ลี เอส. ยัง (Kimberly S. young) ได้ปรึกษาและวิเคราะหไ์ วว้ ่าบคุ คลใดทม่ี ีอาการดงั ตอ่ ไปนีเ้ ป็นเวลาไม่นอ้ ยกวา่ 1 ปี แสดง วา่ เป็นอาการติดอนิ เทอร์เนต็ รู้สกึ หมกมุ่นกบั อนิ เทอรเ์ นต็ แมแ้ ต่เวลาทไี่ มไ่ ดเ้ ช่ือมกบั อนิ เทอรเ์ นต็ แลว้ มคี วามต้องการใชอ้ นิ เทอรเ์ นต็ เป็นเวลานานข้นึ รู้สกึ หงุดหงดิ เม่ือใช้ อินเทอร์เน็ตนอ้ ยลง หรอื ใชอ้ ินเทอร์เน็ตในการหลกี เลีย่ งปัญหา 2. คุณธรรมจริยธรรมในการใช้อินเทอร์เนต็ เนื่องจากอินเทอร์เน็ตเป็นระบบเครือข่ายขนาดใหญ่ทีเ่ กิดจากการ เช่อื มตอ่ เครอื ข่ายขนาดเล็กจำนวนมากเข้าด้วยกัน เม่อื มรี ะบบเครอื ข่ายเกดิ ขึ้นจะทำให้สามารถสื่อสารกับผู้อื่นผ่าน ทางระบบเครือข่ายได้ แต่สิ่งที่ขาดไปไม่ได้เลยในการที่เราจะอยู่ร่วมกันใน สังคมได้อย่างสงบสุข คือ มารยาทและกฎกติกาของสังคม ดังนั้น จึงจำเป็นจะต้องรู้จักกฎ กติกา มารยาท และคุณธรรม จริยธรรมในการใช้อินเทอร์เน็ต เพื่อเป็นการให้เกียรติและไม่ ละเมิดสิทธิ์ของผู้อื่น สำหรับคุณธรรมและจริยธรรมในการใช้ อินเทอรเ์ น็ตควรปฏิบตั ิ ดงั นี้

หน้า 7 1) ปใชถ้ อ้ ยคำที่สุภาพในการสอื่ สารและการใชง้ านบนอนิ เทอรเ์ น็ต 2) หากพบขอ้ ความหรอื รูปภาพบนอินเทอร์เน็ตที่มลี กั ษณะหยาบคายหรือไมเ่ หมาะสม ควรแจ้งให้ ผู้ปกครองทราบทันที 3) ไมใ่ ชอ้ ินเทอรเ์ น็ตในการละเมิดสิทธข์ิ องผู้อื่น เช่น พยายามเข้าถงึ ข้อมลู ของผู้อ่ืนโดยไมไ่ ด้รบั อนญุ าต การคัดลอกข้อมูลโดยไม่ได้รบั อนญุ าต 4) ไม่บอกข้อมลู ส่วนตวั เช่น ท่อี ยู่ เบอร์โทรศัพท์ ช่อื โรงเรียนของตนเองให้แกผ่ ู้อน่ื พี่รจู้ ักทาง อินเทอรเ์ น็ต Internet โดยไม่ไดร้ ับอนญุ าตจากผปู้ กครองกอ่ น 5) ไมใ่ ช้อินเทอร์เน็ตทำลายผอู้ ืน่ เชน่ การเผยแพร่ซอฟต์แวร์ประเภทไวรัสไปยังผู้อนื่ 6) ไม่ใช้อินเทอรเ์ น็ตหลอกลวงผู้อนื่ เช่น การสนทนาผ่านเครือขา่ ยเพ่ือการหลอกลวงผอู้ นื่ 7) ไม่ใช้อินเทอร์เน็ตเพ่ือเผยแพร่ขอ้ มูลอันเป็นเทจ็ เช่น การเผยแพรข่ ้อมูลท่ีไม่เป็นความจริง การ เผยแพรข่ ้อมลู จากแหล่งที่ไมม่ ีความนา่ เช่อื ถือ 8) ควรเคารพต่อข้อตกลงในการใชอ้ นิ เทอรเ์ นต็ ทใ่ี ห้ไว้กับผูป้ กครอง เชน่ กำหนดระยะเวลาในการใช้ อนิ เทอร์เนต็ หรอื เว็บไซตท์ ่ีผปู้ กครองอนญุ าตใหเ้ ข้าได้ 9) ใช้ประโยชนจ์ ากอนิ เทอรเ์ น็ตในทางทถ่ี ูกต้อง เชน่ การสืบค้นข้อมลู ทางด้านการศึกษาเพื่อหาความรู้ ให้รูเ้ ท่าทนั เทคโนโลยีหรอื สอื่ สังคมออนไลน์ต่างๆ โดยงดเว้นการใช้งานอนิ เทอรเ์ น็ตในทางทผี่ ิด เชน่ การเข้าเว็บไซต์ทผี่ ิดศลี ธรรม ผิดกฎหมาย 3. เครื่องมือสำหรับการสืบค้นข้อมูลผ่านอินเทอร์เน็ต คือ เครื่องมือที่ใช้สำหรับสืบค้นข้อมูลผ่านอินเตอร์เน็ต โดยโปรแกรมค้นหาจะทำการสืบค้นข้อมูลจากคำสำคัญ (keyword) และทำการแสดงผลลัพธ์การสืบค้นแบบ เรียงลำดับ ซึ่งจะเรียงลำดับเว็บไซต์ที่เผยแพร่ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับคำสำคัญดงั กล่าว โดยเว็บไซต์ที่นิยมในปัจจุบัน เช่น www.google.com, www.yahoo.com, wwwbing.com ประเภทของโปรแกรมค้นหาสามารถแบ่งตาม ลักษณะการทำงานได้ 3 ประเภท ดังนี้ ประเภทที่ 1 Crawler Based Search Engines Crawler Based Search Engines คือ เคร่ืองมอื การค้นหาบนอินเตอรเ์ น็ตแบบอาศยั การบันทึกข้อมูล และจัดเก็บข้อมูลเป็นหลักซึ่งการจัดเก็บข้อมูลนั้นจะใช้ซอฟต์แวร์ขนาดเล็กที่เรียกว่า Web Crawler เพื่อทำการ เก็บข้อมูลจากเว็บไซต์ต่างๆ แล้วส่งข้อมูลเหล่านั้นไปบันทึกยังฐานข้อมูลของโปรแกรมค้นหา ซึ่งโปรแกรมค้นหา การสืบค้นสามารถทำได้อย่างรวดเร็ว ตัวอย่างโ ปรแกรมค้นหาประเภทนี้เช่น www.google.com , www.yahoo.com , www.bing.com

หนา้ 8 การทำงานของโปรแกรมคน้ หา หลกั การทำงานของโปรแกรมคน้ หาจะมี 3 ข้ันตอนหลกั ๆ คอื การเกบ็ ขอ้ มลู บนเวบ็ (Crawling) การทำกับชะนี (lndexing) และการค้นหาและจดั อนั ดบั (Retrieva & Ranking) เมอ่ื ทำครบทั้ง 3 ขั้นตอน จะทำใหก้ ารทำงานของ โปรแกรมคน้ หาเปน็ ไปไดอ้ ยา่ งมปี ระสิทธิภาพ

หน้า 9 ประเภทท่ี 2 Web Directory หรือ Blog Directory Web Directory หรอื Blog Dir ectory คอื สารบญั เว็บไซต์ทถี่ กู จดั เกบ็ ไว้โดยเวบ็ ไซตท์ ีใ่ ห้บรกิ าร Web Directory และจัดเกบ็ น้นั จะแบ่งข้อมูลออกเป็นหมวดหมู่ ซึ่งจะมีการสรา้ งดรรชนี มีการระบุหมวดหมู่อย่าง ชดั เจนทำให้การสบื คน้ หาข้อมูลทำได้อย่างรวดเร็ว เน่ืองจากขอ้ มูลถกู กำหนดหมวดหมู่ไว้แลว้ แต่โปรแกรมค้นหา ประเภทนีเ้ หมาะสำหรับการสืบคน้ ขอ้ มูลทเ่ี ฉพาะด้าน หรอื เฉพาะเจาะจงในเรอื่ งใดเร่ืองหน่งึ เพราะในปจั จุบนั ข้อมูล Internet มมี ากมายมหาศาล ในหลายๆกรณี Web Directory ไม่สามารถจดั เก็บหมวดหมขู่ อข้อมลู ทม่ี ี มหาศาลนไ้ี ด้อยา่ งครบถ้วน แต่หากเป็นข้อมลู เฉพาะด้าน เชน่ ขอ้ มูลด้านการเขยี นชดุ คำส่งั โปรแกรม ภาษาคอมพวิ เตอร์ เวบ็ ไซต์มใี หบ้ รกิ าร Web Directory จะจัดเกบ็ ข้อมลู ได้สะดวกกว่า โดยเว็บไซต์ใหบ้ รกิ าร Web Directory ที่ใหญ่ทส่ี ุดและเป็นทนี่ ิยม คอื ODP (Open Directory Project) หรือ DMOZ เป็น Web Directory ทมี่ ีมาตรฐานสงู ใช้สำหรับรวบรวมเวบ็ ไซตต์ า่ งๆ เพ่ือจัดไว้เปน็ หมวดหมู่ โดยการคัดกรองเว็บไซต์ต่างๆ นั้นมนุษย์เป็นผู้จัดการคัดกรองด้วย ตนเอง และมีการประกาศปิดตัวลงในวนั ที่ 17 มีนาคม ค.ศ. 2017 หลังจากการ ปิดใหบ้ รกิ ารมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1998 หรอื เกือบ 20 ปแี ลว้

หน้า 10 ประเภทท่ี 3 Meta Search Engine Meta Search Engine คือโปรแกรมค้นหาที่ใช้หลักการสืบค้นข้อมูลด้วย Meta Tag ซึ่งเป็นกลุ่มคำสั่งใน ภาษา html ประเภท HyperText Markup Language ซึ่งเปน็ โปรแกรมภาษาสำหรบั ใช้ในการสร้างเว็บไซต์ กลุ่ม คำสั่ง Meta Tag นี้จะมีการกำหนดรายละเอียดต่างๆ ของเว็บไซต์ เช่น ชื่อเว็บไซต์ ชื่อผู้แต่ง ความสำคัญของ เว็บไซต์ รายละเอียดอย่างย่อของเว็บไซต์ โดยผลลัพธ์การสืบค้นข้อมูลด้วยโปรแกรมค้นหาประเภทนี้จะมีความ แมน่ ยำนอ้ ยกว่าโปรแกรมข้อมลู ค้นหาประเภทอ่นื เนอื่ งจากผ้พู ัฒนาเวบ็ ไซต์อาจกำหนดให้ข้อมลู ใน Meta Tag ไม่ ครบถ้วน ไม่ถูกต้อง หรือ ไม่ตรงกับเนื้อหาในเว็บไซต์นั่นเอง เว็บไซต์ที่ให้บริการ Meta Search Engine เช่น http://www.debriefing.com , http://ixquick.com ความสำคัญ Meta Search Engine ส่วนใหญ่เหมาะสำหรับการดำเนินการ สืบค้นข้อมูลแบบง่าย ซึ่งการสืบค้นข้อมูลด้วยคำคนที่เป็นคำหรือวลีที่มี ลักษณะเฉพาะ หรือการสืบค้นที่ต้องการทดสอบคำค้นหาเพียง 1-2 คำคุณว่า จะให้ผลการสืบค้นเปน็ อย่างไร Meta Search Engine ถือว่าเป็นเครือ่ งมือที่มี ประโยชน์สำหรับการสืบค้นข้อมูลในกรณีที่รีบเร่งในการค้นหาคำค้นหาและ ต้องการดผู ลลพั ธโ์ ดยภาพรวมอยา่ งรวดเร็วในหัวขอ้ เรอ่ื งหรือคำค้นหาท่ีมีความ เฉพาะเจาะจง

หนา้ 11 ข้ันตอนการสบื คน้ เพ่อื หาขอ้ มลู ด้วยอนิ เตอร์เนต็ การสืบคน้ ขอ้ มลู จากบนอินเทอรเ์ น็ต เพ่ือให้ได้ข้อมูลที่มีคุณภาพ มีความนา่ เช่ือถือ และตรงความต้องการ ของผู้สืบค้น ซึ่งข้อมูลบนอินเทอร์เน็ตเป็นแหล่งข้อมูลทางอิเล็กทรอนิกส์ขนาดมหาศาลและมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ ตลอดเวลา ดังนัน้ ในการสบื คน้ ขอ้ มลู บนอนิ เทอรเ์ นต็ เพอ่ื ใหไ้ ด้ข้อมูลท่มี ีคุณภาพ จะมรี ายละเอียด ดังน้ี 1 การสืบคน้ ขอ้ มูลบนอนิ เทอรเ์ น็ตมี 4 ข้ันตอน ดงั น้ี 1 2 3 4 1 กำหนดประเภทของ กำหนดคำสำคัญสำหรบั ประเมนิ ความนา่ เชื่อถือ กำหนดวตั ถปุ ระสงค์ ข้อมูลทจี่ ะสืบค้น การสืบคน้ ข้อมลู ของข้อมลู ทจี่ ะไดจ้ ากการ และหัวขอ้ การสบื ค้น สืบคน้ ใหช้ ดั เจน 1) กำหนดวัตถุประสงค์และหัวข้อการสืบค้นให้ชัดเจน ผู้สืบค้นจะนำข้อมูลไปใช้ประโยชน์ควรต้ัง วัตถุประสงค์และกำหนดหัวข้อการสืบค้นที่ชัดเจน เพื่อให้สามารถกำหนดขอบเขตของแหล่งข้อมูลที่จะสืบค้นให้ เหมาะสม ไม่กว้างจนเกินไป เช่น หากต้องการสืบค้นข้อมูลเกี่ยวกับการสอนโปรแกรมภาษาไพทอน (python Programming) ควรกำหนดวัตถุประสงค์ของการสืบค้นเพื่อให้ได้ผลลัพธ์เป็นข้อมูลที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับการสอน โปรแกรมภาษาไพทอนเป็นลำดับแรกโดยให้ความสำคัญกับข้อมูลลักษณะของการขาย การอบรมโปรแกรมภาษา ไพทอน หรือการขายเครื่องมือสำหรับการสร้างชุดคำสั่งภาษา python เป็นลำดับรอง และกำหนดประเภทของ เครื่องมือหรือโปรแกรมสำหรับการสืบค้นทางอินเทอร์เน็ตที่เรยี กว่า โปรแกรมค้นหา ซึ่งมีเว็บไซต์เพื่อการสืบคน้ ที่ นิยมในปัจจุบัน เช่น www.google.com, www yahoo.com , www.bing.com ทั้งนี้ เพื่อให้ผลการสืบค้น ข้อมูลตรงตามความตอ้ งการและความน่าเชือ่ ถือมากทสี่ ดุ จงึ ต้องมีการคน้ คว้าจากหลายแหลง่ ข้อมูลเพื่อให้ได้ข้อมูล ทีม่ ีประสิทธิภาพ 2) กำหนดประเภทของข้อมูลที่จะสืบค้น ข้อมูลสารสนเทศที่อยู่บนอินเทอร์เน็ตมีหลากหลายประเภท เช่นข้อความ (Text) ภาพ (Image) เสียง (Sound) ภาพเคลื่อนไหว (Animation) วีดีทัศน์ (Video) ซึ่งเทคโนโลยี การค้นหาข้อมูลในปัจจุบันสามารถสืบค้นข้อมูลดังกล่าวได้อย่างรวดเร็ว ดังนั้น ผู้สืบค้นกำหนดประเภทข้อมูลที่ จะต้องสบื ค้นให้ชัดเจนเพอ่ื ลดเวลาการสืบคน้ และเพื่อใหไ้ ด้ขอ้ มลู ทต่ี รงตามความตอ้ งการ ไม่หลากหลายจนเกินไป เช่น หากต้องการสืบค้นข้อมูลเกี่ยวกับการสอนโปรแกรมภาษาไพทอน อาจกำหนดประเภทข้อมลู ผลลัพธ์ท่ีได้จาก การสบื คน้ โดยเรื่องเฉพาะข้อความ ภาพ หรือวดี ที ศั น์ อกี ทง้ั การกำหนดประเภทของข้อมลู ทจี่ ะสืบค้นนั้น ผู้สืบค้น จำเป็นจะต้องคำนงึ ถึงการละเมิดลขิ สิทธิข์ อ้ มูล หรือการละเมิดสทิ ธ์ิของเจ้าของแหล่งข้อมูลอีกด้วย

หน้า 12 3 ) กำหนดคำสำคัญสำหรับการสืบค้นข้อมูล (keyword) เนื่องจากโปรแกรมค้นหามีลักษณะการ ทำงาน คือ การแสดงผลการสืบค้นจากคำสำคัญที่กำหนด เช่น หากต้องการสืบค้นข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการสอน โปรแกรมภาษาไพทอน (python Programming) สามารถกำหนดความสำคัญได้ ดังนี้ สอนภาษา python หรือ python Programming Tutorial 4) ประเมินความน่าเชื่อถือของข้อมูลที่ได้จากการสืบค้น คือ กระบวนการคัดแยกโดยเลือกเฉพาะ ข้อมูลที่มีความน่าเช่ือถือ เนื่องจากข้อมูลท่ีได้รับจากการสืบค้นมหี ลากหลายประเภทและมาจากหลายๆแห่ง ดังนี้ ผู้สืบค้นจำเป็นจะต้องประเมินความน่าเชื่อถือของข้อมูล เพื่อให้ได้เฉพาะข้อมูลที่มีความน่าเชื่อถือ ถูกต้อง และมี คุณคา่ สำหรบั การนำไปใชป้ ระโยชน์ 2 เทคนิคการสืบค้นข้อมูลด้วย google.com เบื้องต้น โดยทั่วไปผู้สืบค้นข้อมูลจะทำการสืบค้นข้อมูลจากการ กำหนดความสำคัญเป็นหลักแต่ Google สามารถสืบค้นข้อมูลด้วยวิธีการต่างๆเพิ่มเติมเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ถูกต้อง แมน่ ยำมากยงิ่ ขน้ึ ๆดงั นี้ 1 การเชอื่ มคำดว้ ยการใช้เครื่องหมายบวก (+) จะทำให้ Google ใหค้ วามสำคัญกับคำสำคญั ท่ีใช้ในการ ค้นหาข้อมูลมากข้ึน เช่น หากตอ้ งการสบื คน้ หาเว็บไซต์ท่ีมเี นื้อหาเกย่ี วกับการสอนโปรแกรมภาษาไพทอน ผู้สืบค้น สามารถกำหนดความสำคัญได้ ดังนี้ สอน+ภาษา+ python ซึ่ง Google จะทำการค้นเว็บไซด์ที่มีคำว่า สอน ภาษา และpythonทอี่ ยใู่ นเนอื้ หาของเวบ็ ไซตแ์ ละนำมาแสดงเป็นผลลัพธ์ 2 การตัดคำที่ไม่ต้องการด้วยการใช้เครื่องหมายลบ (-) หากผู้สืบค้นไม่ต้องการให้ Google สืบค้น เว็บไซต์ที่มีความสำคัญที่ผู้สืบค้นไม่ต้องการอยู่ในข้อมูล ผู้สืบค้นสามารถใช้เครื่องหมายลบในคำสำคัญที่ต้องการ ศึกษาค้นฺ เช่น ถ้าผู้สืบค้นต้องการค้นหาเว็บไซต์ที่มีข้อมูลเกี่ยวกับการสอนโปรแกรมภาษาไพทอน แต่ไม่ต้องการ ข้อมูลเกี่ยวกับการขายหลักสูตรอบรม ผู้สืบค้นสามารถกำหนดความสำคัญ ดังนี้ สอนภาษา python - หลักสูตร อบรม 3 การค้นหากลุ่มคำสำคัญด้วยการใช้เครื่องหมายอัญประกาศ (“.........”) เหมาะสำหรับการสืบค้น ข้อมูลด้วยความสำคญั ที่มีลักษณะเป็นประโยค วลี หรือกลุม่ คำที่ผู้สบื ค้นต้องการให้แสดงผลทุกคำในประโยค โดย ไม่แยกคำและเรียงลำดับคำตามลำดับในคำสำคัญ เช่น ถ้าผู้สืบค้นต้องการหาเว็บไซต์ที่มีข้อมูลเกี่ยวกับการสอน โปรแกรมภาษาไพทอน ผสู้ ืบคน้ สามารถกำหนดความสำคัญสำหรบั การสบื ค้น ดงั นี้ “สอน ภาษา ไพทอน” คำสำคัญ keyword คือ คำอธิบายสิ่งใดสิ่งหนึ่งสั้นๆที่กล่าวถึงสิ่งที่เรากำลงั ตามหาเพื่อสืบค้นรายละเอียดข้อมูลผ่านอินเตอร์เน็ตบนเว็บไซต์ Search Engine ตัวอยา่ งสำคัญท่ีใช้คน้ หากนั ในชีวิตประจำวนั เช่นต้องการค้นหารถยนต์ มือสอง คำสำคัญที่ใช้ในการค้นหาคือ รถมือสอง ราคารถมือสอง รถยนต์มือ สอง หรือต้องการหาร้านอาหาร ความสำคัญที่ใช้ในการค้นหา คือ ร้านปิ้งย่าง หมูกระทะ

หนา้ 13 4 การค้นหาข้อมลู เพ่ิมมากข้ึนด้วยการใชค้ ำว่า OR เป็นคำส่ังให้ Google คน้ หาข้อมูลเพิ่มเติมมากข้ึน เช่น ถ้าผู้สืบค้นต้องการค้นหาเว็บไซต์ที่เกี่ยวกับภาษา python ทั้งที่เป็นภาษาไทยและภาษาอังกฤษ ให้ผู้สืบค้น พิมพ์คำสำคัญว่า python ภาษาไทย OR ภาษาอังกฤษ Google จะทำการค้นหาเว็บไซต์ที่เกี่ยวกับภาษา python ทางนี้เป็นภาษาไทยและภาษาองั กฤษ

หนา้ 14 การประเมินความน่าเชื่อถือของข้อมลู ข้อมูลที่ได้จากการสืบค้นนั้น โดยทั่วไปมักจะมีจำนวนมาก มีความหลากหลายของประเภทข้อมูล ทั้งใน ด้านความถูกต้องและความน่าเชื่อถือ ดังนั้น การนำข้อมูลสารสนเทศดังกล่าวไปใช้ประโยชน์จำเป็นต้องมีการ ประเมินความน่าเชื่อถือของข้อมูล เพื่อคัดแยกหรือเฉพาะข้อมูลที่มีความน่าเชื่อถือ มีความถูกต้อง และตรงความ ตอ้ งการ เพอ่ื ใหส้ ามารถนำข้อมลู ไปใชป้ ระโยชนไ์ ด้อยา่ งมีประสทิ ธภิ าพต่อไป หลักการประเมินความนา่ เชือ่ ถอื ของข้อมลู เป็นขั้นตอนการประเมินเพื่อคัดเลือกข้อมูลท่ีได้จากการสืบค้นที่มีคุณค่า มีความน่าเชื่อถือในทางวิชาการ เป็นการพิจารณาคัดเลือกจากแหล่งข้อมูลต่างๆ ซึ่งจะประเมินความน่าเชื่อถือของข้อมูลจะทำให้เราได้ข้อมูลที่มี คุณคา่ และนำไปประยุกต์ใชอ้ ยา่ งเหมาะสม ซ่ึงหลักการประเมินความน่าเชื่อถือของข้อมลู มดี งั นี้ 1) ประเมินความตรงตามความต้องการของข้อมูล เป็นหลักการพื้นฐานที่ควรกระทำก่อนการคัดแยก เพ่ือเลอื กเฉพาะข้อมูลท่ตี รงตามความต้องการเทา่ น้นั โดยจะพิจารณาว่าข้อมูลท่ีได้จากการสบื คน้ นัน้ ตรงตามความ ต้องการของผู้สืบค้นหรือไม่ หากไม่ตรงทั้งหมดสามารถเลือกเฉพาะส่วนที่ตรงกับความต้องการได้หรือไม่ หรือ เนื้อหาโดยรวมค่อนขา้ งตรงและสามารถตัดส่วนท่ีไมต่ รงกบั ความต้องการได้หรอื ไม่ ซง่ึ วธิ กี ารทนี่ ยิ มใช้ คอื การอ่าน เบ้อื งตน้ ได้แก่ การอา่ นช่ือเว็บไซต์ ชือ่ เว็บเพจ ช่อื หัวเรือ่ ง คำนำ หน้าสารบญั หรือเนือ้ หาเว็บไซตเ์ พื่อพิจารณาว่า มี ความสอดคล้องและตรงตามความต้องการของผู้สืบค้นข้อมูลหรือไม่ ซึ่งส่วนใหญ่สามารถประเมินได้ตั้งแต่ชื่อ เว็บไซต์ web page หรอื ชื่อหวั เรอื่ งในเว็บเพจ 2) ประเมินความน่าเชื่อถือและความทันสมัยของข้อมูล หลักการนี้จะพิจารณาว่าเป็นข้อมูลที่มีความ น่าเชอื่ ถอื หรอื ไม่ ซ่ึงประเมนิ ความน่าเชอื่ ถือมรี ายละเอียดควรพจิ ารณา ดังนี้ 1 ประเมินความน่าเชื่อถือของแหล่งข้อมูล โดยพิจารณาข้อมูลนั้นได้มาจากแหล่งใด ซึ่งโดยส่วนมาก แหล่งข้อมูลที่มีความน่าเชื่อถือนั้นจะเป็นสถาบันหรือองค์กรที่มีความน่าเช่ือถือ เช่น ห้องสมุดโรงเรียน เนื่องจาก ข้อมูลที่อยู่ในห้องสมุดได้ผ่านกระบวนการคดั กรองเนื้อหาจากบรรณารักษแ์ ละผูเ้ กี่ยวข้องแล้วเอกสารด้านสุขภาพ จากโรงพยาบาลทีม่ คี วามนา่ เชอ่ื ถือ เนอ่ื งจากโรงพยาบาลเปน็ องคก์ รทม่ี คี วามเช่ียวชาญดา้ นสุขภาพ แหล่งขอ้ มูลในอนิ เทอร์เน็ตจำเป็น ต้องพจิ ารณาวา่ เป็นเวบ็ ไซต์ขององค์กรท่ีมคี วามน่าเชื่อถือหรือไม่ โดยดู จากผลงานท่ผี ่านมาหรือเป็นหนว่ ยงานองคก์ รสถาบันของรัฐ 2 ประเมินความน่าเชื่อถือของทรัพยากรข้อมูล โดยพิจารณาว่า ทรัพยากรข้อมูลหรือข้อมูลนั้นๆ เป็น รูปแบบใด เช่น สื่อสิ่งพิมพ์ สื่อไม่ตีพิมพ์ หรือสื่ออิเล็กทรอนิกส์ และหากเป็นสื่อสิ่งพิมพ์ เป็นสิ่งพิมพ์ประเภทใด เช่น หนังสอื ท่วั ไป หนังสืออ้างอิง วรสาร นิติสาร

หน้า 15 3 ประเมินความน่าเชื่อถือของผู้เขียน ผู้จัดทำ สำนักพิมพ์ โดยพิจารณาว่าผู้เขียนมีคุณวุฒิ ความรู้ ความสามารถและประสบการณ์โปร่งหรือสอดคล้องกับเรื่องทีเ่ ขียนหรอื ไม่ (โดยผูเ้ ขียน หมายรวมถึงผู้สร้างเนือ้ หา ในเว็บไซต์หรืออื่นๆ ในอินเทอร์เน็ต เช่น สื่อสังคมออนไลน์) รวมทั้งความน่าเชื่อถือของข้อมูลผู้จัดทำ สำนักพิมพ์ หรือองค์กรทจี่ ะทำเว็บไซตท์ ี่มปี ระสบการณใ์ นเนื้อหาเฉพาะดา้ น หน่วยงานผู้รับผดิ ชอบของภาครัฐ องค์กร สมาคม มกั จะมีความนา่ เชื่อถือมากกว่าหนว่ ยงานภาครฐั และเอกชนหรือบุคคลตวั อย่างเชน่ กรณีที่เปน็ เวบ็ ไซต์หรือสื่อสังคม ออนไลน์ให้พิจารณาว่าผู้เขียนผู้จัดทำเว็บไซต์องค์กรเจ้าของเว็บไซต์มีความนา่ เชื่อถือมีชื่อเสียงในเรื่องที่เกีย่ วข้อง กับเนื้อหาในเว็บไซตห์ รอื เปน็ ท่ีร้จู ักอย่างแพรห่ ลายหรอื ไม่ 4 ประเมินความทันสมัยของข้อมูล โดยหากเป็นสื่ออิเล็กทรอนิกส์หรือสื่อที่อยู่บนอินเทอร์เน็ต เช่น เว็บไซต์สื่อสังคมออนไลนค์ วรพิจารณาวันเดือนปีที่ขอ้ มูลถูกเผยแพรใ่ นเว็บไซต์หรือส่ือสังคมออนไลนด์ ังกล่าวหาก เป็นส่ือพิมพ์ควรพจิ ารณาวา่ ทนั สมัยจากวันเดือนปที ่ีพิมพ์ 3 ประเมนิ ระดับเนอื้ หาของข้อมลู มี 3 ระดบั ดงั นี้ 1 ข้อมูลปฐมภูมิ (Primary Information) มีความน่าเชื่อถือมากที่สุดเนื่องจากเป็นข้อมูลที่ได้จากการศึกษาค้นคว้าโดยตรงของผู้เขียนและมีกา ร เผยแพร่เป็นครั้งแรกเช่นเว็บไซต์จากผู้เขียนเนื้อหารายงาน วิจัยวิทยานิพนธ์ สิ่งพิมพ์ หรือ เว็บไซต์ของรัฐบาล ข้อมูลประเภทนี้ ถือว่ามีความน่าเชื่อถือสามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้มากที่สุด เฉพาะเป็นข้อมูลเท็จจริงที่ได้จาก ผ้เู ขยี นและยงั ไม่ไดผ้ ่านการเรยี บเรยี งหรือปรับแตง่ ใหมจ่ ากบคุ คลอ่นื 2 ข้อมูลทุติยภมู ิ (Secondary Information) เป็นการนำข้อมูลปฐมภูมิหมายเขียน อธิบาย เรียงความ หรือ วิจารณ์ ใหม่ให้เข้าใจง่ายเพื่อให้เหมาะสม กับผู้ใช้งาน หรือ ผู้สืบค้นอีกทั้งยังสามารถเป็นเครื่องมือช่วยติดตามข้อมูลประถมภูมิอีกด้วย เช่น เว็บไซต์ที่นำ เนื้อหาจากเว็บไซต์ ต้นฉบับมาเรียงใหม่โดยมีการระบุแหล่งที่มาของเนื้อหาไว้ชัดเจน หนังสือ บทความ วารสาร บทคดั ยอ่ งานวิจัย บทวจิ ารณ์

หน้า 16 3 ข้อมูลดติภมู ิ (Tertiary Information) เป็นขอ้ มลู ท่มี ีการแนะนำแหล่งข้อมลู ระดบั ปฐมภมู ิและทุตยิ ภมู ิ ซึง่ ข้อมลู ทุติยภูมิจะไม่ได้ใหห้ าขอ้ มูล โดยตรง แตเ่ ปน็ การช้แี นะแหล่งขอ้ มลู ปฐมภูมิและทุตยิ ภมู ิ เชน่ แหลง่ ที่มาในเว็บไซต์ บรรณานุกรม เอกสารอา้ งองิ ดชั นวี ารสาร วารสาระสังเขป การตรวจสอบความนา่ เชือ่ ถอื ของแหลง่ ขอ้ มลู การตรวจสอบความนา่ เช่ือถือของแหลง่ ขอ้ มูลทีไ่ ด้จากการสบื คน้ จากอนิ เทอรเ์ น็ตนั้นผ้สู บื คน้ สามารถ ประเมนิ ความน่าเชอ่ื ถือของข้อมลู แหลง่ ข้อมูลได้ ดงั นี้ - เนอ้ื หาท่เี ผยแพรต่ ้องตรงตามวตั ถุประสงคท์ ีร่ ะบไุ ว้ในเวบ็ ไซต์ - เน้อื หาในเวบ็ ไซตต์ อ้ งไมข่ ดั ตอ่ กฎหมายและศลี ธรรมและจรยิ ธรรม - สามารถเช่อื มโยง (Ling) ไปยังเวบ็ ไซต์อ่นื ที่อา้ งองิ ถึง - มีการระบชุ ื่อผเู้ ขียนบทความหรอื ผ้ใู หข้ อ้ มลู บนเว็บไซต์ การตรวจสอบความ - ระบุวตั ถุประสงคใ์ นการสรา้ งหรอื เผยแพร่ขอ้ มลู ไวบ้ นเวบ็ ไซต์ - มกี ารอ้างอิงหรอื ระบุแหลง่ ทีม่ าของข้อมูลในเนอื้ หาทป่ี รากฏบนเวบ็ ไซต์ น่าเชื่อถือของขอ้ มูล - มีการระบวุ ันในการเผยแพร่ข้อมลู บนเว็บไซตแ์ ละการปรบั ปรงุ ขอ้ มูลครั้งลา่ สดุ - มีการเผยแพร่ชอ่ งทางท่ีสามารถติดต่อผู้ดแู ลเวบ็ ไซตไ์ ด้เช่นทีอ่ ยู่จดหมาย อเิ ล็กทรอนกิ ส์ E-mail address สือ่ สังคมออนไลนข์ องเวบ็ ไซต์

หน้า 17 แหล่งข้อมูลที่มีความน่าเชื่อถอื เมื่อเราต้องการขอ้ มูลเพือ่ นำไปใช้ประโยชน์ในงานตา่ งๆ เราสามารถค้นหาข้อมูล ได้จากแหล่งข้อมูลต่างๆ ที่มีอยู่รอบตัวและควรเลือกข้อมูลแหล่งข้อมูลที่มีความน่าเชื่อถือ ซึ่งมีลักษณะแหล่งที่มี การรวบรวมข้อมูลอย่างเป็นหลักเกณฑ์ มีเหตุผล และ มีแหล่งอ้างอิง จึงได้ข้อมูลที่ถูกต้องตรงตามความเป็นจริง ตัวอย่างแหลง่ ข้อมลู ความน่าเช่ือถอื ดงั นี้ 1. เจ้าของข้อมูล เป็นผู้ที่มีประสบการณ์ตรงเกี่ยวกับข้อมูลนัน้ ๆสามารถให้ข้อมูลไดถ้ ูกต้องตรงความเป็น จริงมากกว่าบุคคลอื่นที่รับฟังข้อมูลมาเผยแพร่ต่อซึ่งอาจมีความคล้ายคลึงหรืออาจแต่งเติมทำให้ข้อมูลไม่ตรงกับ ขอ้ มลู ตน้ ฉบบั ที่ไดร้ ับ 2. องค์กรหรือผู้มีความรู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน เป็นองค์กรบุคคลที่ทำงานหรือศึกษาค้นคว้าในด้านใด ด้านหนึ่ง ทำให้มีความรู้จากประสบการณ์ในการทำงาน หรือ การศึกษาค้นคว้าอย่างจริงจัง จึงมีข้อมูลที่ถูกต้อง ตามความเป็นจริง ยกตัวอย่าง เช่น หน่วยงาน หรือ ผู้มีความรู้ ความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน เช่น ศูนย์เทคโนโลยี อิเล็กทรอนิกส์ และ คอมพิวเตอร์แห่งชาติเป็นองค์กรของรัฐ ที่ให้ความรู้และพัฒนาเทคโนโลยีด้านคอมพิวเตอร์ ของประเทศ 3 หน่วยงานของรัฐ เป็นหน่วยงานที่มีข้อมูล ซึ่งมีผลต่อความเป็นอยู่ของประชาชน และ การพัฒนา ประเทศเนือ่ งจากข้อมูลจากหน่วยงานของรฐั จะถกู นำไปใช้ในกำหนดนโยบายวางแผนลงมือปฏิบตั ิงาน และ การใชอ้ ้างองิ จึงเป็นข้อมูลสำคญั ทต่ี ้องมีการเก็บรวบรวมข้อมลู เกบ็ รกั ษา หรอื สร้างขอ้ มูล ขึน้ อยา่ งรอบคอบ และ ระมดั ระวังเพ่ือใหข้ อ้ มลู ทีถ่ ูกต้องตามความเปน็ จริงเสมอ การประเมินความนา่ เชอ่ื ถือของข้อมลู โดยใช้ PROMPT วิธีการประเมนิ ความน่าเชือ่ ถือของข้อมลู โดยใช้ PROMPT หรือเรยี กอีกอยา่ งว่าวธิ กี ารประเมนิ โดยการ ตั้งคำถามมี 6 ขัน้ ตอนดังน้ี 1 การนำเสนอ (Presentation) โดยจะต้องมีการตั้งคำถามก่อนทจี่ ะนำข้อมลู เหล่านัน้ มาประเมินผลเช่นขอ้ มูลที่ได้รบั ความชัดเจนหรอื ไม่ ภาษาทีใ่ ชม้ คี วามถูกตอ้ งหรือไม่

หนา้ 18 2 ความสัมพันธก์ นั (Relevance) คือ ข้อมูลที่มีเนื้อหาตรงกับความต้องการของผู้สืบค้นเช่นข้อมูลที่หามาได้นั้นอาจจะมีรายละเอียดมาก เกนิ ไปหรอื นอ้ ยเกินไปไม่ตรงตามความต้องการไมม่ จี ุดเนน้ หรือคำสำคัญทีต่ ้องการ 3 วตั ถุประสงค์ (Objectivity) คือการตระหนักถึงความคิดเห็นและวาระที่ต้องการเป็นสิ่งสำคัญโดยอาจจะมีคำถามเกี่ยวกับข้ อมูลท่ี ต้องการ 4 วิธีการ (Method) คือวิธีที่ใช้ในการประเมินข้อมูลหรือเนื้อหาต่างๆเช่นมีการรวบรวมข้อมูลอย่างไรมีวิธีการประเมินท่ี เหมาะสมเขม้ งวดหรอื ไม่ 5 พิสจู นห์ รือยืนยัน (Provenance) คือต้องมีการพิสูจน์ยืนยันหรือมีการอ้างอิงข้อมูลหรือเนื้อหาที่ทำจากหนังสือเว็บไซต์หรือแหล่งอ้างอิง อื่นๆเพ่ือให้เกดิ ความนา่ เชอ่ื ถือ 6 ทันเหตกุ ารณ์และมีปจั จุบัน (Timeliness) คือขอ้ มลู หรือเน้ือหานั้นๆจะต้องมีความเป็นปัจจุบันทันเหตุการณ์อยู่เสมอเพ่ือให้เป็นข้อมูลหรือเนื้อหาที่มี ความทนั สมัยมากเพียงพอ

หนา้ 19 เหตผุ ลวิบตั ิ เหตุผลวบิ ตั ิ (Logical Fallacy) คอื การใช้เหตุผลทีผ่ ิดพลาด ขาดความนา่ เช่อื ถอื ในการนำเสนอ อภปิ ราย หรือสรุปขอ้ มูลใดๆ เพ่อื พยายามใหผ้ ู้อื่นเช่ือถือ ยอมรับ และสนับสนนุ ข้อมลู ดังกล่าว ส่งผลให้ผู้รับข้อมูลเกิดความ เข้าใจผิด และหากนำข้อมูลดังกล่าวไปใช้หรือเผยแพร่ต่ออาจทำใหผ้ ู้รับข้อมูลรวมถงึ สังคมเกิดความเข้าใจผิด โดย เหตผุ ลวิบัติมีชอื่ เรียกอืน่ ๆ เชน่ ความผดิ พลาดเชิงตรรกะ เหตผุ ลรวง ตรรกะวิบัติ ซง่ึ เหตุผลวิบตั ิไดร้ บั การจำแนกไว้ หลายประเภทและสามารถนำไปประยกุ ตใ์ ช้ในการประเมินความนา่ เชื่อถือของข้อมูลได้ ดังตวั อยา่ งตอ่ ไปนี้ 1 การสรปุ ด้วยความไมร่ ู้ (Appeal to ignorance) คอื การแสดงความคดิ เหน็ ต่างๆ รว่ มกนั และ บางเรอ่ื งไม่มีใครทราบขอ้ มลู นนั้ จนทำใหอ้ า้ งความไมร่ ู้เพอ่ื หาข้อมลู เทจ็ จริงน้นั เช่น สถานการณ์ มีผู้ชายคนนึงต้องการแวะซื้อของที่ตลาดกลางชุมชน แต่วันน้ันที่จอดรถเต็ม ชายคนดังกล่าวจึงนำ ปัญหาท่เี กิด รถของตนไปจอดไว้หน้าบ้านของผู้หญิงคนหนึ่ง เนื่องจากเห็นว่าเป็นพื้นท่ีว่าง และคิดว่าตนเองคง จะไปซ้อื ของไมน่ าน เมอ่ื ผชู้ ายเจา้ ของรถเดินกลับมาที่รถของตนจึงพบว่า ผู้หญิงเจ้าของบา้ นแจ้งให้ ตำรวจมายกรถของตนออกไปเนอื่ งจากผู้หญงิ เจา้ ของบา้ นจะขับรถออกไปข้างนอก ผู้ชายเจ้าของรถนำรถมาจอดขวางทางเข้าออกบ้านผู้อื่น ด้วยเพราะไม่ทราบว่า การจอดรถขวาง ทางเข้าออกบ้านของผู้อืน่ นัน้ เป็นสงิ่ ทไ่ี ม่ควรกระทำ เนอื่ งจากจะทำให้ผอู้ น่ื น้ันได้รบั ความเดือดร้อน จากการกระทำของตน 2 การสรปุ เหมารวม (Converse Accident) คือการสรปุ เหตุผลโดยเหมารวมข้อสรุป หรือขอ้ ตกลงตา่ งๆ เชน่ สถานการณ์ นดิ กับนำ้ เปน็ เพ่ือนร่วมห้องกนั ซึง่ คดิ เปน็ คนจนี ท่ีมีผิวขาวดวงตาเล็กสีดำผมสีน้ำตาลส่วนน้ำเป็นคน ปญั หาทเี่ กิด ไทยที่มีลักษณะเป็นผิวสองสีดวงตาโตสีน้ำตาลผมสีดำซึ่งบุคคลทั้งสองคนมีลักษณะแตกต่างกัน อยา่ งชดั เจนจงึ สรุปได้วา่ คนไทยจะตอ้ งมผี วิ สองสดี วงตาโต สีน้ำตาลและผมสีดำ คนไทยทุกคนไม่ได้มีรูปร่างหน้าตาที่เหมือนกันเนื่องจากพันธุกรรมที่มีความแตกต่างกันมาตั้งแต่ กำเนิดบางคนมีดวงตาสีน้ำตาลสีดำหรือสีฟ้าบางคนมีผมสีน้ำตาลหรือสีดำและบางคนมีรูปร่างสูง หรือเตี้ยลักษณะที่แตกต่างกันเหล่านี้จึงจะขึ้นอยู่กับพันธุกรรมที่ได้จากพ่อแม่จึงทำให้คนไทยมี รูปรา่ งลกั ษณะทแ่ี ตกต่างกันออกไป

หน้า 20 การรเู้ ท่าทันสอ่ื ปัจจุบันเทคโนโลยสี ารสนเทคเข้ามามบี ทบาทกับชวี ติ มนยุ ์มากขึน้ มีการนำเทคโนโลยสี ารสนเทศที่เข้ามา ใช้ในหลากหลายสาขาวิชาชีพเช่น ด้านการศึกษา ด้านธุรกิจอุตสาหกรรม ด้านการแพทย์ และเทคโนโลยี เพื่อ อำนวยความสะดวกในกระบวนการทำงาน เมอ่ื มีการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศมากขึ้น ปริมาณขอ้ มลู หรือปรมิ าณสารสนเทศต่างๆที่อยู่ในกระบวนการ ของการใช้งานเทคโนโลยสี ารสนเทศท่ีมเี พ่มิ มากขน้ึ ดว้ ยอย่างทวีคูณ โดยข้อมลู หรอื สารสนเทศ จำนวนมหาศาลน้ัน ก็มีทั้งที่เป็นของส่วนบุคคลองค์กรหรอื หน่วยงานตา่ งๆและข้อมูลหรือสารสนเทศนีเ้ ข้ามามีบทบาทตอ่ สังคมมนุษย์ มากขึ้นหรือเรียกว่าเป็นยุคของสังคมสารสนเทศ(Information Age Society)เป็นยุคที่ต้องตั้งรับและตระหนักถึง ความรวดเรว็ ของสารสนเทศ (Information Exposure) เพราะข้อมลู ท่ีไดร้ ับเข้ามามที ้ังที่เปน็ ประโยชน์และไม่เป็น ประโยชน์ดังนี้จึงต้องมีความสามารถในการรับข้อมูลข่าวสารเลือกสารคัดกรองและเข้าถึงข้อมูลที่เป็น ตลอดจน สามารถนำขอ้ มูลนน้ั มาใชใ้ ห้เกดิ ประโยชน์ต่อตนเองสังคมองค์กรหรือหนว่ ยงานและประเทศชาติได้เพื่อให้ประเทศ มาพฒั นาไปในทศิ ทางท่มี ีประสทิ ธภิ าพและพัฒนาคุณภาพชีวติ ในดา้ นต่างๆของประชาชนได้ การรู้เท่าทันสื่อสารสนเทศเป็นลักษณะของสมรรถนะที่ครอบคลุมทักษะแห่งศตวรรษที่ 21 ในส่วนที่ เกี่ยวขอ้ งกับความสามารถในการเขา้ ถึงสารสนเทศผ่านสื่อและเทคโนโลยี ดจิ ิทลั การเลอื กรับ วเิ คราะหป์ ระเมนิ และ นำข้อมูลที่ได้รับไปใช้ในทางสร้างสรรค์รวมถึงความสามารถผลิตสื่อเพื่อขับเคลื่อนสังคมได้ด้วยตนเองอย่างมี ประสิทธิภาพ ในปจั จบุ ันเทคโนโลยีสารสนเทศทำให้การกระจายของข้อมูลขา่ วสารเป็นไปอยา่ งรวดเร็วจึงมีผลกระทบต่อ การเปลี่ยนแปลงทางด้านเศรษฐกิจการเมืองในสังคมที่แตกต่างจากในอดีตซึ่งจะเห็นได้จากวิกฤตการณ์ทางด้าน เศรษฐกิจจากประเทศหนึ่งมีผลกระทบต่อประเทศอื่นอย่างรวดเร็วและกว้างขวางผล ของความก้าวหน้าทางด้าน เทคโนโลยีสารสนเทศทำให้แนวโน้มการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญหลายด้านเช่นระบบเศรษฐ กิจต่างๆมีความเชื่อมโยง กันทัว่ โลกทำให้ง่ายตอ่ การตดิ ตอ่ สือ่ สารไดส้ ะดวก ประโยชนข์ องการรู้เท่าทนั ส่ือ การรเู้ ท่าทันส่ือคือการทีไ่ มห่ ลงเชื่อเนอ้ื หาทีไ่ ด้อา่ นไดฟ้ ังแต่ จะตอ้ งสามารถใชค้ วามคิดและประสบการณ์ในการวเิ คราะหร์ ู้จกั ตั้งคำถามว่าสิ่งนน้ั เป็นจริง หรือไม่มแี หลง่ อ้างอิงใหเ้ กดิ ความน่าเช่อื ถือมากนอ้ ยเพยี งใดซ่ึงการรเู้ ท่าทนั สอื่ จะมีประโยชน์ ดงั นี้ 1 ทำใหเ้ กิดความตระหนกั ในความสำคัญของการเลือกและจดั สรรเวลาของตนเองในการใช้ส่ือ 2 การเรยี นรทู้ ักษะการดเู ชิงวิพากษช์ ว่ ยให้สามารถวิเคราะห์และต้ังคำถามว่าสือ่ ถูกสรา้ งขึน้ ได้ อยา่ งไรและควรเชอ่ื ถอื หรือไม่ 3 ความสามารถในการวิเคราะห์สอื่ ในเชงิ สังคมการเมืองเศรษฐกิจและวัฒนธรรมจนนำไปสู่ การสรา้ งเวทีทางสังคมได้

หน้า 21 องคป์ ระกอบของการรเู้ ทา่ ทนั สอ่ื การรู้เท่าทันสื่อเป็นสิ่งที่จำเป็นที่ควรปฏิบัติในการดำเนินงานต่างๆเพื่อให้ได้รับผลสำเร็จซึ่งเป็น องค์ประกอบของการเรียนรเู้ ทา่ ทนั สื่อมีดังน้ี 1 ความสามารถในการเข้าถึงสื่อ (Access) คือการได้รับสื่อประเภทต่างๆได้อย่างเต็มที่และรวดเร็ว สามารถรบั รแู้ ละเข้าใจเน้ือหาของสอ่ื ประเภทนน้ั ตามท่ตี ้องการ - สามารถกำหนดและสื่อสารชัดเจนเกี่ยวกับความต้องการของสารสนเทศ เป็นการระบุและสื่อสารให้ ชัดเจนเกี่ยวกับบทบาทและขอบเขตของการสารสนเทศรวมถึงเนื้อหาในสื่อผ่านแหล่งต่างๆท่ีแพรห่ ลาย - สามารถค้นหาและระบตุ ำแหนง่ ของสารสนเทศและเน้ือหาในสอื่ - สามารถเข้าถงึ สารสนเทศและเนอื้ หาในสอ่ื ทีต่ ้องการไดย้ ินอย่างมีประสิทธภิ าพและจริยธรรม - สามารถเรียกหรือจดั เกบ็ สารสนเทศและเนอ้ื หาในส่อื ไดโ้ ดยใช้วิธกี ารตา่ งๆและเครื่องมือที่หลากหลาย 2 ความเข้าใจการประเมินคา่ สารสนเทศและเนื้อหาในสื่อ (Evaluation) เป็นผลจากการวิเคราะห์สื่อ ที่ผ่านมาทำให้สามารถท่ีจะประเมินคุณภาพของเนือ้ หาท่ีได้ซึ่งจะประเมินคา่ ออกมาไดว้ ่ามีค่าต่อผู้รับสารมากน้อย เพียงใดและสามารถนำไปใช้ใหเ้ กิดประโยชน์ตอ่ ผ้รู ับสารในด้านใดได้บ้าง - สังเคราะห์และจัดระบบสารสนเทศและเน้ือหาในสื่อได้ - เขา้ ใจความจำเป็นของผใู้ หบ้ รกิ ารสารสนเทศและเน้อื หาในสื่อทีม่ ตี ่อสงั คม - ประเมินผลและพิสูจน์ความถูกต้องของสารสนเทศและเนื้อหาในสื่อรวมถึงผู้ให้บริการสารสนเทศและ เนือ้ หาในสื่อได้ - ประเมินคา่ วิเคราะห์เปรียบเทยี บและสื่อสารออกมาแล้วประยุกต์ใช้เกณฑ์ในการประเมินสารสนเทศและ เนื้อหาในสือ่ รวมถงึ ผู้ใหบ้ รกิ ารสารสนเทศ 3 การสร้างการใช้ประโยชน์และการเฝ้าระวังสารสนเทศและเนื้อหาในสื่อ (Creation) เป็นการสร้าง สอื่ ในแบบฉบบั ของตนเองขึ้นมาเมื่อผเู้ รียนมีความรู้ความเข้าใจสามารถวิเคราะห์วิจารณ์ประเมนิ สื่อได้และสามารถ วางแผนวิเคราะหอ์ อกแบบเขียนบทและคน้ ควา้ เน้ือหามาประกอบได้ - สร้างและผลิตความรู้สารสนเทศและเนื้อหาในสื่อเพื่อวัตถุประสงค์อย่างใดอย่างหนึ่งด้วยความ สรา้ งสรรคแ์ ละมีจรยิ ธรรม - สื่อสารข้อมูลเนื้อหาในสื่อและข้อมูลความรู้ต่างๆอย่างมีประสิทธิภาพบนพื้นฐานของกฎหมายและ จริยธรรมโดยใช้ชอ่ งทางและเคร่อื งมอื ที่เหมาะสม - เฝ้าระวังผลกระทบของสารสนเทศเนื้อหาในหนังสือและข้อมูลความรู้ต่างๆที่ถูกสร้างและเผยแพร่ข้ึน รวมถึงผใู้ ชบ้ ริการสารสนเทศและเน้ือหาในการส่ือดว้ ย

หน้า 22 - มีส่วนร่วมกับสื่อโดยการแสดงออกทางความคิดเห็นและการสนทนาระหว่างกันผ่านช่องทางที่ หลากหลายบนพ้ืนฐานจริยธรรมอย่างมปี ระสิทธิภาพและประสทิ ธผิ ล 4 การสะท้อนคิดเป็นการพิจารณาการกระทำของตนเองว่าอาจมผี ลกระทบหรือผลลัพธ์อย่างอื่นท้ังในมิติ ของจรยิ ธรรมและความรบั ผิดชอบ การรู้เท่าทันสื่อยังนำไปสู่การตระหนักในสิทธิ์การสื่อสารของประชาชนและทำให้สาม ารถสื่อสารได้อย่าง สร้างสรรค์มีคุณภาพและเกิดประสิทธิภาพมากขึ้นซึ่งเท่ากับการสร้างความเข้มแข็งให้กับโครงสร้างประชาธิปไตย ของสงั คมอกี ดว้ ย การรู้เท่าทันสื่อยังนำไปสู่การตระหนักในสิทธิการสื่อสารของประชาชนและทำให้สามารถสื่อสารได้อย่าง สร้างสร้างสรรค์ มีคุณภาพ และเกิดประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งเท่ากับเป็นการสร้างความเข้มแข็งให้กับโครงสร้าง ประชาธิปไตยของสังคมอีกดว้ ย การรู้เท่าทนั สือ่ ดจิ ทิ ัลและการรเู้ ท่าทันสอื่ การรู้เทา่ ทนั สื่อในภาษาอังกฤษใชค้ ำว่า Media Literacy หมายถึง ความหมายที่จะเขา้ ถึงข้อมูล วเิ คราะห์ สาร ประเมนิ สาร และสื่อความเนื้อหาสารในรูปแบบต่างๆ โดยผ้ทู ่รี เู้ ทา่ ทันส่ือจะเข้าใจลักษณะรูปแบบของสื่อและ ความสามารถในการอธิบายความหมายของสื่งที่พบในสื่อได้แต่ด้วยวิวัฒนาการขยายแนวคิดให้ ทันสมัยตามบริบท ของสังคมและเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงไปการรับรู้ข้อมูลข่าวสารผ่านสื่อดิจิทัลมีการขึ้น จึงมีการนิยามความรู้เท่า ทันสื่อดิจิทัล (Digital Literacy) ที่หมายรวมถึง ความสามารถในการเข้าถึงสื่อ ความสามารถในการวิเคราะห์สื่อ ความสามารถในการแต่งหรือสร้างส่ือ และความสามารถในการสะท้อนความคิดเห็นที่มีต่อสื่อ นอกจากน้ีการเรียน รู้เท่าทนั ส่อื ยงั เปน็ การสรา้ งความเข้าใจเกี่ยวกับบทบาทของสื่อในสงั คมและสร้างทักษะที่สำคัญในการแสดงออกได้ อีกดว้ ย

หนา้ 23 1. การรเู้ ทา่ ทนั สือ่ ดิจทิ ัล สามารถแบง่ ออกได้ 8 ดา้ น ดงั นี้ 1. การใช้อินเทอร์เนต็ อยา่ งปลอดภยั 2. การปกป้องความเปน็ สว่ นตัวและข้อมลู 3. การรกั ษาความสัมพนั ธแ์ ละการสื่อสาร 4. การปกป้องข้อมลู และการแกป้ ญั หาการถกู ลัน่ แกล้งทางออนไลน์ 5. การป้องข้อมลู และช่ือเสียง 6.การสรา้ งอัตลักษณ์ส่วนตัวในโลกออนไลน์ 7. ความรเู้ ทา่ ทันข้อมูลดจิ ิทัล 8. การใช้ขอ้ มลู ดิจิทัลอย่างสรา้ งสรรค์และไม่ละเลดิ ลิขสิทธิ์ 2. การรู้เทา่ ทนั สอ่ื แบง่ ออกเป็น 4 ระดับ ดงั นี้ ระดบั ระดบั ระดบั วเิ คราะห์ ระดบั การประเมิน ความตระหนกั ความเขา้ ใจ และตคี วาม และตดั สนิ ใจ

หน้า 24 ระดับความตระหนกั คือ ระดบั ที่ผู้รับส่อื ตระหนักวา่ ส่อื และเน้อื หาส่ือทมี่ เี พื่อตอบสนองต่อความชอบความพอใจ ระดบั ความเขา้ ใจ คือ ระดับทีผ่ ้รู ับส่ือมคี วามรู้ความเขา้ ใจในสือ่ ร้ลู กั ษณะของส่ือตามบทบาทหน้าที่ที่ได้ในระดับ สงั คม รูค้ วามหมายตรง ระดบั วิเคราะหแ์ ละตีความ คอื ระดบั ทีผ่ รู้ บั สื่อสามารถวเิ คราะห์การกำเนดิ ของสถาบันหรอื องค์กรสื่อวิเคราะห์ และตคี วามหมายแฝงได้ ระดบั การประเมนิ และการตัดสินใจ คือ ระดบั ทผ่ี รู้ บั ส่ือประเมินไดว้ า่ สถาบนั หรือองคก์ รสื่อเก่ยี วข้องกบั ระบบ อำนาจ ทนุ นิยม บรโิ ภคนยิ ม สามารถตีความเน้ือหาส่อื อย่างเช่ือมโยงกบั บรบิ ททางสังคมและวฒั นธรรม การใช้สือ่ และปัญหาทพ่ี บในส่อื ปจั จุบัน ความเจริญก้าวหน้าทางโนโลยีและนวัตกรรมการ สื่อสารในปัจจุบันมีการพัฒนาไปอย่างมากทำให้ส่ือ สามารถเข้าถึงมนุษย์ได้อย่างกว้างขวางและรวดเร็วมากขึ้นดังนั้นผลกระทบของสื่อต่อผลการได้รับข้อมูลข่าวสาร และสารสนเทศจึงมีมากตามไปด้วยความสามารถในการใช้เทคโนโลยีการมีอุปกรณ์พกพาเช่นคอมพิวเตอรส์ มาร์ท โฟนแท็บเล็ตประกอบไปด้วยการเข้าใช้งานเทคโนโลยีเครือข่ายอินเทอร์เน็ตได้จากทุกที่ทุกเวลากับความรวดเร็ว ของเครือข่ายยิ่งทำให้ส่ือมีอทิ ธิพลต่อบุคคลและสังคมโดยเฉพาะในยุคปจั จุบันทีผ่ ู้คนใช้เวลากับการท่องอยู่บนโลก ออนไลน์มากขึ้นโดยเฉพาะสื่อสังคมออนไลน์ที่มีการเจริญเติบโตของผู้ใช้งานเพิ่มมากขึ้นซึ่งเรียกว่าเป็น ปรากฏการณ์สังคมก้มหน้าซึ่งในยุคสังคมสารสนเทศการได้รับข้อมูลข่าวสารผ่านส่ื อที่นำเสนออยู่ตรงหน้าโดย ปราศจากการคิดการวิเคราะห์ไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วนในการรับข้อมูลอย่างรวดเร็วและแบ่งปันต่อหรือส่งต่อ อย่าง รวดเร็วหาข้อมูลนั้นเป็นเท็จก็อาจจะส่งผลกระทบที่สร้างความเสื่อมเสียหรือความเสียหายต่อบุคคลองค์กรหรือ หนว่ ยงานที่เก่ียวข้องกบั ข้อมูลนนั้ โดยปัญหาเหลา่ นจ้ี ะสะท้อนให้เห็นถงึ ปญั หาการไม่ร้เู ทา่ ทันสื่อของคนในสังคมใน ยุคปัจจุบันที่สื่อและเทคโนโลยีมีความก้าวหน้าปัญหาของสื่อยิ่งมีความหลากหลายมากขึ้นซ่ึงจะสร้างปัญหาให้กบั สังคมในวงกว้างขึ้นและรวดเร็วขึ้นและด้วยอำนาจและอิทธิพลของสื่อในหลายช่องทางเพื่อก ารแสวงหา ผลประโยชน์ขององค์กรต่างๆปัญหาที่เกิดขึ้นจากสื่อก่อให้เกิดปัญหาสังคมต่างๆตามมาโดยเราจะเห็นได้ว่าใน ปัจจบุ นั หลายปัญหาท่ีเกิดขึ้นในสงั คมส่ือเป็นส่ิงหน่งึ ในสาเหตุหลักท่ีก่อให้เกิดปญั หาน้ันเห็นได้จากข่าวท่ีปรากฏใน สังคมเช่นข่าวความรนุ แรงซึ่งจะนำไปสูก่ ารเลียนแบบพฤติกรรมก้าวร้าวปัญหาความรุนแรงในสงั คมจึงเป็นแนวคิด ในการควบคุมสื่อในรูปแบบของการออกกฎหมายมาใช้เป็นเครื่องมือในการควบคุมแต่ทางนี้จะโทษสื่ออย่างเดียว ไมไ่ ดผ้ ู้รบั สอื่ กค็ วรที่จะได้เรียนรู้ได้ศกึ ษาเร่ือง สื่อหรือการรู้เท่าทันสื่อเพื่อเป็นเครื่องมือใน ความหมายของการเรยี นรูเ้ ทา่ ทันส่อื การรูเ้ ทา่ ทันส่อื คือสมรรถนะในการ การป้องกันและแก้ปัญหาอิทธิพลและส่งผล ใช้ส่อื รวมถงึ การวเิ คราะหค์ วามเขา้ ใจในรปู แบบของส่อื และเทคนคิ ตา่ งๆที่ กระทบทางลบของสื่อ ส่อื ใชใ้ นการสรา้ งผลกระทบตอ่ ผรู้ บั สื่อและความสามารถในการอา่ นการ วเิ คราะหก์ ารประเมินและสรา้ งสอ่ื ในหลากหลายรปู แบบได้

หนา้ 25 ผลกระทบของข้อมลู ทผี่ ดิ พลาด ในปจั จุบนั เทคโนโลยีสารสนเทศและขา่ วสารต่างๆเข้ามามบี ทบาทในชวี ติ ประจำวันของมนุษย์มากข้ึนสิ่งที่ ตอ้ งทำเม่ือได้รับข้อมูลมาจากแหลง่ ต่างๆคือการวเิ คราะห์ว่าส่ิงทเ่ี ผยแพรใ่ นสื่อออนไลน์เปน็ ข้อมูลท่ีเป็นจริงหรือไม่ โดยจะขึน้ อยกู่ บั ความรแู้ ละประสบการณข์ องแตล่ ะคนซึ่งผลกระทบของขอ้ มลู ทีผ่ ิดพลาดมดี ังนี้ 1 ละเมิดลิขสิทธิ์เสรีภาพส่วนบุคคลการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศอย่างไม่มีขีดจำกัดยอมส่งผลกระทบ ละเมิดสิทธิส่วนบุคคลในการเอาข้อมูลบางอย่างท่ีเกี่ยวข้องกับบุคคลไปเผยแพร่ต่อสาธารณชนซึ่งข้อมูลบางอย่าง อาจไม่เป็นจริงหรือยังไม่ได้พิสูจน์ความถูกต้องและอาจก่อให้เกิดความเสียหายต่อบุคคลโดยไม่สามารถป้องกัน ตัวเองได้ 2 เมื่อใช้ข้อมูลต่างๆบนโลกอินเทอร์เน็ตอาจจะทำให้ผู้แชร์ข้อมูลถูกโจรกรรมข้อมูลส่วนตัวจนเกิดปัญหา อาชญากรรมบนเครือข่ายความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีสารสนเทศก่อให้เกิดปัญหาใหม่ๆขึ้นเช่นอาชญา กรรมใน รูปแบบของการขโมยความลับการขโมยข้อมูลสารสนเทศการให้บริการสารสนเทศที่มีการหลอกลวงรวมถึงการ ทำลายขอ้ มูลที่มีอย่ใู นเครอื่ งคอมพวิ เตอร์ตา่ งๆในระบบเครือขา่ ย 3 การได้รับข้อมูลที่ผิดพลาดนั้นอาจจะส่งผลต่อผู้ที่เกี่ยวข้องที่ไม่ได้มีความผิดแต่ถูกกล่าวอ้างหรือทำใ ห้ ได้รบั ความเสยี หายจนทำใหเ้ กิดปัญหาด้านสุขภาพอาจส่งผลถงึ สภาพจติ ใจและมีโรคภยั ไขเ้ จบ็ ต่างๆรุมเร้าจนทำให้ สุขภาพร่างกายทรดุ โทรม 4 การใช้ข้อมูลที่เป็นเท็จลงในโลกออนไลน์ท่ีทุกคนสามารถเห็นนั้นอาจจะทำให้ผู้ใช้ข้อมูลที่เป็นเท็จถูก ดำเนินคดีโดยผิดกฎหมายตามพระราชบัญญัตวิ า่ ด้วยการกระทาํ ความผดิ เก่ียวกบั คอมพวิ เตอร์ ผลกระทบจากการไดร้ ับข้อมลู ที่ผดิ พลาด หากไมต่ รวจสอบใหแ้ น่ชดั วา่ เนอ้ื หาขอ้ มลู ดังกลา่ วมีความนา่ เชือ่ ถือหรือไม่อาจสง่ ผลกระทบไดด้ งั น้ี 1 การถูกโจรกรรมข้อมูลสำคัญเช่นข้อมูลบัญชีธนาคารข้อมูลรหัสผ่านต่างๆหรือหากเป็นเนื้อหาประเภท Phishingซง่ึ เปน็ เทคนคิ การล่อลวงโดยใช้จิตวิทยาผา่ นระบบคอมพิวเตอร์มกั จะมาในรูปแบบของอีเมล์หรือเว็บไซต์ เพอ่ื ล่อลวงใหผ้ ้หู ลงเช่อื เผยแพร่ข้อมูลอนั เป็นความลับตา่ งๆ 2 การถูกโจมตีโดยใช้ซอฟต์แวร์ที่มุ่งประสงค์รา้ ยจากผู้ไม่หวังดีส่งผลถึงสภาพจิตใจของผู้ใช้งานทำให้เกิด ภาวะเครียดจนเสียสขุ ภาพได้ 3 การถูกล่อลวงด้วยข้อมูลอันเป็นเท็จต่าง ๆ เช่น เมื่อคลิกลิงค์เข้าเว็บไซต์แล้วอาจจะนำ แล้วอาจจะ นำไปสูก่ ารเปิดเผยเว็บไซต์ที่ ให้ข้อมลู อนั เปน็ เท็จ ขอ้ มูลละเมิดลิขสิทธ์ิ หรอื ขอ้ มูลท่ลี ะเมิดศลิ ธรรม ความนา่ เชื่อถือของขอ้ มลู ให้นักเรียนแบ่งกลุ่มกลุ่มละ 4-5 คนช่วยการสืบค้นข้อมูลที่กลุ่มของตนเองมีความสนใจมา 1 เรื่องจากนั้นช่วยกันเขียน แหล่งที่มาของข้อมูลที่หามาได้ตรวจสอบความน่าเชื่อถือของข้อมูลและใช้หลักการประเมินความน่าเชื่อถือของข้อมูล ประเมนิ ข้อมลู ท่ีหามาไดจ้ ากนั้นสง่ ตวั แทนกลุ่มออกมานำเสนอหนา้ ช้ันเรียน

หน้า 26 ความน่าเชื่อถอื ของข้อมลู การสบื คน้ เพอ่ื หาแหลง่ ขอ้ มูลสารสนเทศ การสืบค้นแหล่งข้อมูลหรือกระบวนการค้นหาข้อมูลที่ต้องการโดยใช้เครื่องมือต่างๆเช่นคอมพิวเตอร์โดย การสบื ค้นขอ้ มลู เพือ่ หาแหลง่ ข้อมลู แบง่ ออกเป็น 2 ประเภทดังนี้ 1การสืบค้นข้อมูลด้วยมอื คือการสืบคน้ ข้อมูลด้วยเอกสารหนงั สือตำราโดยสามารถสบื ค้นจากสถานการณ์ หรือหน่วยงานที่จัดเตรียมข้อมูลต่างๆไว้เช่นห้องสมุดในโรงเรียนเอกสารแผ่นพับแนะนำข้อมูลด้านสุขภาพใน โรงพยาบาล 2 การสบื คน้ ขอ้ มูลดว้ ยระบบคอมพิวเตอร์คือการสบื คน้ ข้อมลู ผา่ นเทคโนโลยีหรืออุปกรณ์คอมพวิ เตอร์เช่น การสบื ค้นขอ้ มูลจากระบบฐานข้อมลู ข้อมูลออนไลนข์ ้อมลู บนอนิ เทอร์เน็ตข้อมลู จาก (Search Engine) การประเมนิ ความนา่ เชื่อถือของข้อมลู เป็นขั้นตอนในการประเมินเพื่อคัดเลือกข้อมูลที่ได้รับจากสืบค้นข้อมูลที่มีคุณค่ามีความน่าเชื่อถือในทาง วิชาการเป็นการพิจารณาคดั เลือกจากแหล่งข้อมลู ตา่ งๆซึ่งจากการประเมนิ ความน่าเช่ือถือของข้อมูลจะทำให้เราได้ ขอ้ มูลที่มคี ณุ ค่าและนำขอ้ มลู ไปประยุกต์ใช้อย่างเหมาะสมซ่ึงหลกั การประเมนิ ความน่าเชือ่ ถือของข้อมูลมี ดงั นี้ ▪ ประเมินความตรงตามความต้องการของข้อมลู ▪ ประเมนิ ความน่าเชอื่ ถือและความทนั สมัยของข้อมูล ▪ ประเมินระดบั เนอ้ื หาของขอ้ มลู การรู้เท่าทันส่ือ เปน็ สง่ิ จำเป็นท่ีควรปฏิบตั ิในการดำเนินงานต่างๆเพ่ือให้ได้รบั ผลสำเร็จลุล่วงซึ่งองคป์ ระกอบของการรู้เท่า ทันสอื่ มี ดงั น้ี o ความสามารถในการเข้าใช้ถึงสอ่ื o ความเข้าใจในการละเมดิ คา่ สารสนเทศและเนอ้ื หาในสื่อ o การสรา้ งการใชป้ ระโยชนแ์ ละการเฝา้ ระวังสารสนเทศและเนอื้ หาในสอ่ื o การสะทอ้ นคิด

หนา้ 27 Self - Check ใหน้ กั เรยี นตรวจสอบความเข้าใจ โดยพิจารณาข้อความวา่ ถูกหรือผดิ แลว้ บันทึกลงในสมดุ หายพิจารณาขอ้ ความไมถ่ กู ต้อง ให้กลับไป ทบทวนเนื้อหาตามหัวขอ้ ทก่ี ำหนดให้ ถกู /ผดิ ทบทวนหัวขอ้ 1. การสบื ค้นแหลง่ ข้อมลู แบ่งออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่ การสืบค้นขอ้ มลู หรือดว้ ยระบบ 1 คอมพิวเตอร์และการสืบคน้ ข้อมลู หรือด้วยอนิ เทอรเ์ น็ต 2. เว็ปไซตเ์ ฟซบุ๊กเป็นเว็บไซต์ประเภท Crawler Based Search Engines ท่ีดีรบั ความนยิ ม 1.1 สูงสุดในปัจจบุ ัน 3. ข้อมูลมีความนา่ เชือ่ ถอื จะต้องมหี ลกั การประเมินความนา่ เชอ่ื ถอื คือ มีความตรงตาม 2.1 ความตอ้ งการ มีความน่าเชอ่ื ถอื และระดบั เน้ือหามีความเหมาะสม 4. การตรวจสอบความน่าเชอ่ื ถือของแหลง่ ขอ้ มูลสารสนเทศเปน็ ส่ิงสำคัญในการนำข้อมูลไป 2.2 ใชใ้ นดา้ นต่างๆ 5. การรู้เท่าทนั ข้อมูลจะทำให้การนำข้อมูลไปใช้ใหเ้ กิดประโยชนแ์ ละสามารถนำไปใชไ้ ด้อย่าง 3 มีการใช้วิจารณญาณในการคิด Unit Question 1. การสืบค้นข้อมูลดว้ ยอินเทอร์เน็ตคอื อะไรและมขี นั้ ตอนในการดำเนนิ งานอย่างไรบ้าง 2. เครอ่ื งมือสำหรบั สืบคน้ ข้อมูลผา่ นอินเตอรเ์ น็ตแบง่ ไดก้ ่ีประเภทและอะไรบ้างจงอธิบาย 3. หลกั การประเมินความนา่ เชอื่ ถอื ของข้อมูลและตรวจสอบแหล่งข้อมลู สารสนเทศมีข้นั ตอนอย่างไรบ้าง 4. ความผดิ พลาดเชงิ ตรรกะคืออะไรและมีลกั ษณะแบบใดบ้างที่พบในชีวิตประจำวัน 5. เม่ือพบเหน็ ขา่ วสารจากส่ือสังคมออนไลน์ต่างๆนกั เรียนมีวิธีในการตรวจสอบว่าข่าวสารนั้นมีความ น่าเชือ่ ถือได้อย่างไรบ้าง

หนา้ 28 คำชี้แจง ใหน้ กั เรยี นเลือกคำตอบท่ีถูกต้องที่สุดเพียงข้อเดียว 1. ขอใดคือขัน้ ตอนแรกในการสบื คนขอมูลบนอินเทอรเ์ นต็ 6. ข้อใดอธบิ ายความหมายของคำวา่ การสืบคน้ ก. กาํ หนดคําสาํ คัญ สารสนเทศไดถ้ ูกตอ้ งทส่ี ุด ข. กาํ หนดวตั ถุประสงค ค. กําหนดประเภทของขอมูล ก. การเข้าถึงแหล่งข้อมลู ท่ีถกู จดั เกบ็ อยา่ งเป็น ง. ประเมินความนาเชื่อถือข้อมูล ระบบ 2. ข้อใดหมายถงึ การคน้ หาข้อมลู ข. การคน้ คว้าข้อมูลสารสนเทศผ่านเครือขา่ ย ก. การเสาะหาส่งิ ทยี่ ังไมม่ ีผคู้ ้นพบ อินเทอร์เนต็ ข. การแยกข้อมูลทต่ี อ้ งการออกเปน็ ส่วน ๆ ค. การคัดเลือกข้อมูลท่ีไม่ต้องการออกจากข้อมลู ค. การรวบรวมข้อมูลสารสนเทศและบนั ทึกลงใน เดิม ส่อื รูปแบบต่าง ๆ ง. การคัดเลือกหรือการแยกข้อมูลทีต่ ้องการ ออกจากขอ้ มลู อืน่ ง. การแสวงหาทรพั ยากรสารสนเทศที่ได้มกี าร บันทึกและเผยแพร่ไว้ในสื่อตา่ ง ๆ 3. ข้อใดเกี่ยวข้องกบั การต้ังวตั ถปุ ระสงคใ์ นการคน้ หาข้อมูล 7. การประเมนิ ความน่าเช่อื ถือของข้อมูลมกี ่ีประเภท ก. เป้าหมายในการค้นหาข้อมูล ข. เคร่อื งมือที่ใชใ้ นการคน้ หาข้อมลู ก. 2 ประเภท ค. ทรัพยากรทใี่ ชใ้ นการคน้ หาขอ้ มลู ข. 3 ประเภท ง. แหลง่ ข้อมลู ทชี่ ว่ ยในการค้นหาข้อมูล ค. 5 ประเภท ง. ถูกทกุ ข้อ 4. ขอใดเปนลกั ษณะของการรวบรวมขอมูลทุตยิ ภูมิ 8. จากหลายๆเว็บไซตจ์ ะนำไปใช้ได้ทนั ทีหรอื ไม่ เพราะ ก. ขอมลู จากการสงั เกต อะไร ข. ขอมูลจากการสมั ภาษณ ก. ยังไม่ได้ เพราะต้องนำมาประเมนิ วา่ มีความ ค. ขอมูลจากการสํารวจขอมูล นา่ เชอ่ื ถือเพยี งใด ง. ขอมูลจากการกาํ หนดแหลงขอมลู ข. ได้ เพราะมขี ้อมูลและความน่าเชื่อถือทเ่ี พียงพอ แลว้ 5. ขอ้ ใดคอื ความหมายของสารสนเทศ ค. ไดท้ งั้ ข้อ ก และ ข ก. ความหมายข้อมลู ของเทคโนโลยีสารสนเทศ ง. ไม่มีข้อถูก ข. บทบาทของระบบสารสนเทศ 9. ขอ้ ใดเปน็ ส่ือออนไลน์ ค. ระบบสารสนเทศท่ใี ชค้ อมพวิ เตอร์ 1. เฟสบกุ๊ 2. ไลน์ 3. อเี มล์ 4. บล๊อก ง. ถกู ทุกข้อ ก. ขอ้ 1 ข. ข้อ 1 และ 2 ค. ขอ้ 1 และ 4 ง. ข้อ 1 3 และ 4

หน้า 29 10. การคนหาขอมูลบน Google.com ดวยคาํ วา 15.บอกการรูท้ ันส่อื ดจิ ิทัลมกี ่ีดา้ น แท็บเลต็ +จอ 10 นวิ้ เปนการใชเทคนคิ ใด ก. 2 ดา้ น ข. 4 ดา้ น ก. การเชอ่ื มคําดวยการใชเคร่ืองหมายบวก ค. 8 ดา้ น ข. การคนหาขอมลู เพิม่ มากขึ้นดวยการใชคําวา OR ง. 10 ดา้ น ค. การตดั คําท่ีไมตองการดวยการใชเครอื่ งหมายลบ ง. การคนหากลุมคาํ สําคัญดวยการใชเครอ่ื งหมาย 16. การคนหาขอมูลโดยสังเกตวนั เดือนปที่เผยแพรเปน็ อัญประกาศ การประเมนิ ความนาเชื่อถือแบบใด 11.การสมคั รใชส้ ่ือสังคมออนไลน์ หรอื อเี มล มขี ้นั ตอนอยา่ งไร ก. กรอบข้อมลู ชื่อท่อี ยู่ หมายเลขโทรศัพท์ และอืน่ ๆ ก. ประเมินระดบั เนือ้ หาของขอมูล ข. กรอบข้อมลู หมายเลขโทรศัพท์ อยา่ งเดียว ข. ประเมนิ ความตรงตามความตองการของขอมูล ค. กรอบเลขประจำตวั 13 หลัก ค. ประเมินความนาเชื่อถือและความทันสมัยของ ง. กรอบข้อมลู ชื่อเลน่ ก็ได้ ข้อมลู 12. ในการคน้ หาสารสนเทศ สิง่ ใดท่ไี มส่ ามารถนำมาประเมนิ ง. ประเมินความนาเชื่อถือของเครื่องมือในการ ความนา่ เชอื่ ถือของข้อมูลได้ สืบค้น ก. ความทนั สมยั 17. ขอใดเปนการประเมินความนาเชื่อถือตามความนา ข. ความเปน็ กลาง เชอ่ื ถือและความทันสมัยของขอ้ มูล ค. ความเปน็ ตัวของตวั เอง ก. พลหาสถานทีเ่ รยี นเสริมจึงเปดดูเว็บไซตที่มีคํา ง. ความถกู ต้องแมน่ ยำ ว่า “ติวเตอร” ตอทายท่ีชือ่ เว็บไซต 13. ขอใดไมใช่การรูเทาทันส่ือ ข. บอสคนหาขาวของโทรศัพทมือถือรุนใหมจงึ ก. ความสามารถในการเขาถงึ สอ่ื เปิดดูเฉพาะขาวท่เี ผยแพรเดือนลาสุด ข. ความสามารถในการคดิ เชิงนามธรรม ค. ออยศึกษางานวจิ ยั เกยี่ วกบั เทคนิคการสอนจงึ ค. ความเขาใจการประเมินคาสารสนเทศและ เข้าไปอานเนื้อหาในเว็บไซตของผูเชีย่ วชาญดา้ นนน้ั เน้ือหาในสอื่ ง. ธามศึกษาการเขยี นโปรแกรมภาษาไพทอน จึง ง. การสราง การใชประโยชน และการเฝา เลอื กดูเฉพาะเว็บไซตท่ีมีหวั ขอ สอนเขยี น ระวังสารสนเทศและเนื้อหาในสื่อ โปรแกรมภาษาไพทอน 14. ความหมายของการรูเ้ ท่าทันสอื่ คือขอ้ ใด 18. การตระหนกั ถึงความคดิ เห็นและวาระท่ตี องการเปน็ ก. ความเปน็ ตวั ของตัวเอง ส่ิงสาํ คัญ เปนข้นั ตอนใดของการประเมนิ ความน่าเชอ่ื ถือ ข. ความรูแ้ ละความเขา้ ใจวธิ ีการทำงานของสอื่ โดยใช PROMPT ค. กำหนดวัตถปุ ระสงค์และหัวขอ้ ให้ชัดเจน ก. วตั ถุประสงค (Objectivity) ง. ถกู ทั้ง ก และ ข ข. ความสัมพนั ธกัน (Relevance) ค. พิสูจนหรือยนื ยนั (Provenance) ง. ทนั เหตกุ ารณและเปนปจจุบนั (Timeliness)

หนา้ 30 19. ขอใดเปนการใชเหตผุ ลวบิ ตั โิ ดยการสรุปเหมารวม ก. ตอมบอกตํารวจวาไมไดเจตนาขับรถในชอง เดนิ รถประจาํ ทาง ข. บิวข่ีรถจักรยานยนตบนทางเทาและบอกวาไมผดิ เนอ่ื งจากคนอ่ืน ๆ ก็ทาํ เหมือนกนั ค. กุกบอกใหตาํ รวจยกเลิกขอหาขับรถเรว็ กับตนเอง เน่อื งจากตนเองเปนนกั การเมืองทีม่ ีช่ือเสยี ง ง. เปยต้ังรานขายของบนทางเทาเพ่ือหารายไดเล้ียงครอบครัว จึงขอรองไมใหตาํ รวจไลไปขายท่ีอื่น 20. ขอใดเปนการประเมนิ ความนาเชอ่ื ถือของข้อมูล ก. โอกําหนดคําสําคัญกอนทาํ การสืบคนข้อมลู ข. เจคนหาขอมูลโดยใช Google เปนโปรแกรมคนหา ค. บีกาํ หนดหัวขอการสืบคนที่ชดั เจนกอนทําการสืบคนขอมูล ง. เอม็ คนหาขอมลู การลดน้ําหนักจากเวบ็ ไซตเก่ียวกบั สุขภาพ ** ขอใหท้ ุกคนโชคดีจะ๊ **

เฉลย 1. ก 2. ง 3. ก 4. ง 5. ง 6. ง 7. ข 8. ก 9. ข 10. ก 11. ก 12. ค 13. ข 14. ข 15. ค 16. ค 17. ข 18. ก 19. ข 20. ง

ประวัติของผ้ดู ำเนินการวจิ ัย ช่อื นางสาว พมิ พิกา สิงห์ก่ำ (เฟิรน์ ) รหัสนกั ศึกษา 60181550129 สาขาวชิ า คอมพวิ เตอร์ คณะ ครุศาสตร์ วนั เกดิ 15 ตุลาคม 2541 ทอี่ ยู่ปัจจบุ ัน 144. ม.9 ต.ชมพู อ.เมือง จ.ลำปาง 52000 ท่ีอยู่ตามทะเบยี นบา้ น 17/3 หมู่ 4 ต. นาททราย อ.ล้ี จ.ลำพนู 51110 E-mail [email protected] เบอร์ตดิ ต่อ 088-7989134 ประวัตกิ ารศึกษา 2547-2553 ประถมศกึ ษา โรงเรยี นบา้ นแมห่ วา่ ง (ราษร์อปุ ถมั ภ)์ อำเภอ ลี้ จังหวัด ลำพูน 2553-2556 มธั ยมศึกษาตอนต้น โรงเรยี นบ้านแม่หวา่ ง (ราษร์อุปถัมภ)์ อำเภอ ลี้ จงั หวัด ลำพนู 2556-2559 มธั ยมศกึ ษาตอนปลาย โรงเรียนนาทรายวทิ ยาคม อำเภอ ล้ี จงั หวัด ลำพนู 2560-ปัจจบุ ัน มหาวทิ ยาลัยราชภัฏลำปาง