[วนั ท่ี] [ช่ือเอกสาร] [ช่ือเรอ่ื งรองของเอกสาร] KKD WINDOWS 7 V.3 [ชื่อบรษิ ัท] [ที่อยบู่ รษิ ัท]
ก คำนำ การจัดการความรู้ (Knowledge Management: KM) เกิดขึ้นจากการค้นพบว่าองค์กรต้องสูญเสีย ความรู้ ทักษะ หรือประสบการณ์ทางานไปพร้อมๆกับการที่บุคลากรลาออกหรือเกษียณอายุราชการ อันส่ง ผลกระทบต่อการดาเนินงานขององค์กรเป็นอย่างยิ่ง ดังนั้น จากแนวคิดการมุ่งพัฒนาบุคลากรให้มีความรู้มาก แต่เพยี งอย่างเดยี วจงึ เปล่ยี นแปลงไปเป็นให้ความสาคัญต่อประเดน็ ที่วา่ จะทาอยา่ งไรให้บคุ ลาการสนใจ ใฝ่ เรียนรู้กันอย่างทั่วถึง สร้างบรรยากาศแห่งการเรียนรู้ นาไปสู่การเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ (Learning Organization) หากจะพัฒนาองค์กรให้เป็นองค์กรแหง่ การเรียนรู้กจ็ าเปน็ จะต้องมีการจดั การความรู้ในองค์กร ให้เป็นระบบเพื่อส่งเสริมให้บุคลากรเรียนรู้ได้จริงและต่อเน่ือง รวมท้ังทาอย่างไรให้บุคลากรยินดีถ่ายทอด แลกเปลย่ี นเรียนร้รู ว่ มกับผู้อ่นื สานกั งานสง่ เสริมและสนับสนุนวิชาการ 6 ไดเ้ ลง็ เห็นถงึ ประโยชน์ของการจดั การความรู้ จงึ มอบหมายให้ ศูนยบ์ รกิ ารวิชาการพฒั นาสงั คมและจัดสวัสดิการสงั คม ภายใต้ความรับผิดชอบของกลมุ่ การวิจัย และการพัฒนาระบบเครือข่าย จัดกิจกรรมการจัดการความรู้ ในเรื่อง เทคนิคการถ่ายภาพเบื้องต้น มี วัตถุประสงค์เพ่ือให้บุคลากรทราบและเข้าใจถึงหลักการถ่ายภาพนิ่งและภาพเคลื่อนไหว อุปกรณ์การถ่าย ภาพน่ิงและภาพเคล่ือนไหว และฝึกปฏิบัติเทคนิค การถ่ายภาพอย่างมีศิลปะ จากผลการจัดการความรู้ ทาใหท้ ราบวา่ บคุ ลากรมคี วามรู้ ความสามารถ ซึ่งทกุ คนสามารถถา่ ยทอดความรู้ออกมาเปน็ รูปธรรมได้ โดยสานักงานส่งเสริมและสนับสนุนวิชาการ 6 หวังเป็นอย่างยิ่งว่า เอกสารการจัดการความรู้ฉบับน้ี จะเป็นประโยชนแ์ ก่บุคลากรและบุคคลท่วั ไป ในการปฏิบัตงิ านถ่ายภาพอยา่ งมีประสิทธิภาพ (นายผาด สวุ รรณรัตน์) หัวหนา้ กลมุ่ การวิจัยและการพัฒนาระบบเครือขา่ ย มกราคม 2563
สำรบญั ข คำนำ หน้ำ สรปุ ผลกำรดำเนินงำน กำรจดั กำรควำมรู้ ก สำระสำคัญของกำรจดั กิจกรรม 1 องค์ควำมรเู้ ร่ืองกำรถ่ำยภำพ 1 ความหมายของการถ่ายภาพ ขอบข่ายและความสาคัญของการถา่ ยภาพในงานนเิ ทศศิลป์ 1 คุณภาพของภาพถ่าย 1 เร่อื งเทคนิคของการถา่ ยภาพ 4 5 แนวทำงกำรจัดกำรควำมรู้ 5 ถอดบทเรียน การแลกเปลี่ยนเรยี นรู้ 6 การนาไปใช้ 6 การบารุงรกั ษา 11 11 ผลลพั ธจ์ ำกกำรจัดกำรควำมรู้ 11 บรรณำนุกรม 11 ภำคผนวก 12 เอกสารขออนุมัตจิ ัดประชุมการจดั การความรู้ เอกสารขอเชิญประชุมการจดั การการความรู้ 14 เอกสารแบบลงทะเบยี นการประชมุ การจัดการความรู้ 15 รายงานสรปุ ผลการประชุมการจัดการความรู้ 17 จดหมายข่าวกิจกรรม สสว.6 21 แบบประเมนิ ความพึงพอใจ/ความเข้าใจ/การนาไปใช้ของผเู้ ขา้ รับการสัมมนา 22 รปู ภาพประกอบการประชมุ การจัดการความรู้ 23 40 คณะผจู้ ดั ทำ 42
สำรบัญภำพ ค ภาพที่ 1 แสดงสว่ นประกอบของดวงตา หน้า ภาพที่ 2 การเกิดภาพในกลอ้ งถา่ ยภาพ 2 ภาพท่ี 3 กฎ 3 ส่วน แนวนอน 2 ภาพที่ 4 กฎ 3 ส่วน แนวตั้ง 6 ภาพท่ี 5 จุดตดั 9 ชอ่ ง 7 ภาพท่ี 6 จดุ ตัด 9 ช่อง 7 ภาพที่ 7 ภาพถ่าย 3 ระยะ มุมกว้าง 7 ภาพท่ี 8 ภาพถ่าย 3 ระยะ มุมกลาง 8 ภาพท่ี 9 ภาพถ่าย 3 ระยะ มุมใกล้ 8 ภาพที่ 10 ภาพเสน้ นาสายตา 8 ภาพที่ 11 ฉากหลงั หรือ Foreground 9 ภาพท่ี 12 กรอบภาพ 10 10
1 สรุปผลกำรดำเนินงำน กำรจดั กำรควำมรู้ (KM) สำนักงำนสง่ เสริมและสนบั สนนุ วชิ ำกำร 6 ประจำปงี บประมำณ พ.ศ.2563 ----------------------------------------------------- กลมุ่ /ฝ่ำย : กลมุ่ การวจิ ยั และการพัฒนาระบบเครือข่าย ชื่อเรือ่ ง : การจดั การความรู้ เร่อื ง เทคนิคการถา่ ยภาพเบ้ืองตน้ ระยะเวลำและสถำนท่ี : 4 ธันวาคม 2562 เวลา 09.00 - 16.30 น. ณ ห้องประชุมศูนย์ปฏิบัติการสานักงาน ส่งเสรมิ และสนับสนนุ วชิ าการ 6 กลมุ่ เป้ำหมำย : ขา้ ราชการและเจา้ หน้าที่ สานกั งานส่งเสริมและสนบั สนุนวชิ าการ 6 วัตถุประสงค์ : มีวัตถุประสงค์เพ่ือให้บุคลากรทราบและเข้าใจถึงหลักการถ่ายภาพน่ิงและภาพเคลื่อนไหว อุปกรณก์ ารถา่ ยภาพนิ่งและภาพเคลอ่ื นไหว และฝกึ ปฏิบัตเิ ทคนิคการถ่ายภาพอย่างมศี ิลปะ สรุปสำระสำคญั ของกำรจดั กิจกรรม องค์ควำมรู้เรือ่ งกำรถำ่ ยภำพ ควำมหมำยของกำรถ่ำยภำพ คาว่าภาพถ่ายในภาษาอังกฤษคือ Photography มาจากภาษากรีกโบราณ 2 คาคือโฟโต้ (photo) หมายถึง แสง และ กราฟ (graph) หมายถึง การวาด ภาพถ่ายจึงหมายถึงการวาดภาพด้วยแสง \" writing with light \" ความหมายทางวิชาการถ่ายภาพในปัจจุบันหมายถึงความรู้ว่าด้วยการผลิตภาพถ่าย หรือการถา่ ยภาพ หรอื กระบวนการใด ๆ ท่ีทาให้เกดิ ภาพถา่ ยท่ีถาวรขึน้ บนวัสดุไวแสงด้วยการทาให้วสั ดุไวแสง นั้นถูกแสงสว่างหรือถูกรังสีอัลตราไวโอเลต รังสีในสเปกตรัมและรังสีอินฟราเรดท่ีคนมองไม่เห็น การถ่ายภาพ จงึ เปน็ กระบวนการทางเคมีท่ีเกิดจากการท่ีแสงตกกระทบบนพน้ื ผิวทม่ี ีการเตรียมไวเ้ ป็นพิเศษ ดว้ ย สารไวแสง เป็นกระบวนการสร้างภาพด้วยแสงบันทึกลงบนวสั ดุท่ีเคลือบผิวหน้าด้วยวตั ถุไวแสง เมื่อนาไปผ่าน กระบวนการทางฟสิ กิ สแ์ ละเคมจี ะไดภ้ าพถา่ ยท่สี ามารถมองเหน็ ไดด้ ้วยตาเกดิ เปน็ ภาพปรากฏบนวสั ดนุ ้นั ภาพถ่ายตามความหมายของการสื่อสาร (กมล ฉายาวัฒนะ, 2544, หน้า 549-613)คือส่ือกลางของ การถา่ ยทอดอารมณค์ วามรู้สกึ ทัศนคติ ความรู้ ประสบการณ์ของกระบวนการสอื่ สาร ระหว่างผูส้ ง่ และผ้รู ับส่ือ สามารถเลือกใช้ส่ือเพ่ือการติดต่อสื่อสารได้หลายสื่อ เช่น การพูดการเขียน และภาพถ่ายถือเป็นสื่อหน่ึงท่ีทา หน้าที่คล้ายส่ืออื่นๆ ในกระบวนการส่ือสารวิชาการถ่ายภาพจึงเป็นศาสตร์ที่ศึกษาเก่ียวกับกระบวนการผลิต ภาพ โดยอาศัยกล้องถ่ายภาพวัสดุไวแสงและแสงสว่าง ส่วนการที่จะทาให้ภาพถ่ายมีคุณภาพดีมีความสวยงาม ก็ต้องอาศัยหลกั การในการถา่ ยภาพ ความรทู้ างดา้ นศลิ ปะ การจัดองคป์ ระกอบ แสง สี มคี วามรู้และทักษะการ ใช้กล้องถ่ายภาพ อุปกรณ์ประกอบต่างๆตลอดจนฟิล์ม กระดาษอัดภาพ น้ายาที่ใช้ในกระบวนการล้างฟิล์ม และอัดขยายภาพ การเก็บภาพเริ่มด้วยการมองเห็นด้วยตา กลอ้ งถา่ ยภาพ เป็นอปุ กรณ์ทจ่ี ะบันทกึ การเห็นให้ เป็นภาพอย่างถาวร การมองเห็นของดวงตาและการเกิดภาพในกล้องถ่ายภาพมีลักษณะคล้ายกัน ดวงตามี
2 แก้วตา ส่วนในกล้องถ่ายรูปมีเลนส์ทาหน้าที่หักเหแสงที่มากระทบให้ไปตกลงท่ีฉากหลัง ในดวงตามีม่านตา (Iris) สาหรับกากบั แสงให้ผ่านเข้าในปริมาณที่แตกต่างกัน กลอ้ งกม็ ีช่องรบั แสง (Diaphragm) สาหรับทาหน้าที่ รบั แสงเช่นเดียวกับม่านตาทาให้มีลักษณะการเห็นทเ่ี หมือนกัน สรปุ ได้ว่าการเห็นจะต้องเกิดจากแสงเป็นตัวนา วัตถุนั้นๆ เข้ามากระทบแก้วตาหรือเลนส์ซึ่งโปร่งแสงยอม ให้แสงผ่านไปได้แสงท่ีผ่านต่อไปต้องไม่มีแสงอื่นมา รบกวนจึงจะปรากฏภาพท่ชี ัดเจนนั่นคือ ห้องมืดในลกู ตาหรอื หอ้ งมดื ในตัวกล้อง (ภาพท่ี 1) แสดงสว่ นประกอบของดวงตา (ภาพที่ 2) การเกิดภาพในกล้องถ่ายภาพ เมื่อ 20,000 ปีมาแล้ว มนุษย์ได้วาดภาพไว้บนผนังถ้าเป็นรูป คน สัตว์ ส่ิงของท่ีมีอยู่ในยุคน้ัน หรือภาพเขียน ท่ีศิลปินท่ีมีชื่อเสียงอย่าง เลโอนาร์โด ดาวินชิ (Leonardo Da Vinci)ได้เขียนขึ้นล้วนเป็นความพยายาม ของมนุษย์ที่จะบันทึกสิ่งที่ตนเองมองเห็นให้ผู้อ่ืนได้เห็น ศิลปินมีบทบาทในการใช้ทักษะและความสามารถ ทางศิลปะสร้างผลงานโดยใช้ทฤษฎีลอกเลียนแบบ (Imaginationalistic Theory) เพื่อนาเสนอเร่ืองราว ที่เกิดข้ึนแสดงให้ผู้อ่ืนรับรู้ท้ังด้านเร่อื งราวและองค์ประกอบที่สวยงามโดยใชเ้ วลาอันยาวนานในการสร้างสรรค์ ผลงาน ปัจจุบันภาพถ่ายมีบทบาทในการสื่อความหมายได้ในเวลาอันสั้นแสดงออกถึงความงามในงาน ทางทัศนศิลป์ เช่น ภาพถ่ายบันทึกความทรงจาในโอกาสไปพักผ่อน งานวันเกิด งานแต่งงาน ภาพถ่าย ในหนังสือพิมพ์ นิตยสาร ภาพถ่ายท่ีให้ข้อมูลเกี่ยวกับตัวสินค้าหรือบริการต่างๆ ภาพถ่ายสามารถบันทึก ส่ิงที่เกินขอบเขตแห่งการมองเห็นของคน เช่น ภาพขยายของจุลินทรีย์ เช้ือรา ส่วนละเอียดบนตัวของแมลง
3 กล้องถ่ายภาพก็ยังสามารถใช้ได้ในที่ท่ีอาจจะเป็นอันตรายต่อมนุษย์โดยการเพ่ิมระยะทางยาวโฟกัสของเลนส์ เพ่ือให้ได้เห็นส่ิงที่ต้องการอย่างชัดเจนเช่น การถ่ายภาพบริเวณปล่องภูเขาไฟหรือส่ิงท่ีอยู่ไกลเกินกว่า ที่จะมองเห็นด้วยสายตา เช่น กลุ่มดาวบนท้องฟ้า กล้องถ่ายภาพเกิดจากแนวคิดที่ได้จากปรากฏการณ์ ธรรมชาติของคนที่อยู่ในห้องมืดสนิทภายนอกมีแสงสว่างมากท่ีผนังมีช่องขนาดเล็ก แสงจะส่องเข้ามาในห้อง ตามช่องที่ผนังห้องแล้วกระจายออกไปกระทบฝาห้องด้านตรงข้าม นาเอาภาพข้างนอกมาปรากฏที่ผนังห้อง ด้านตรงข้ามเป็นภาพกลับหัวและได้มีการนาขบวนการนี้มาพัฒนาใช้ทาเป็นกล้องถ่ายภาพตามท่ีอาริสโตเติล (Aristotle) นักวิทยาศาสตร์ชาวกรีกได้บันทึกไว้เป็นคร้ังแรกเมื่อ 400 ปีก่อนคริสต์ศักราชว่า \" ถ้าเราปล่อย ให้ลาแสงผ่านเข้าไปทางรูเล็ก ๆ ในห้องมืดแล้วถือกระดาษขาว ให้ห่างจากรูรับแสงประมาณ 15 เซนติเมตร จะปรากฏภาพบนกระดาษขาวนนั้ เปน็ ภาพหวั กลบั แต่ไม่ค่อยชดั เจนนกั \" ภาพถา่ ยมพี ืน้ ฐานอยู่บนความคิดท่ีเปน็ เทคนิคอยา่ งหนึ่งทางศลิ ปะทร่ี ู้จักกนั ในลักษณะของทัศนียภาพ เชิงเส้น (Linear perspective) ซ่ึงพัฒนามาตั้งแต่คริสต์ศตวรรษท่ี 14 ผู้ริเริ่มคือสถาปนิกชาวอิตาลีช่ือ ฟิลิปโป บรูเนลเลสคิ ( Filippo Brunelleschi ) สร้างระบบของจุดรวมสายตา(Vanishing point) ที่จะทาให้ เกดิ ลกั ษณะของภาพท่ีดูเป็นสามมติ บิ นระนาบแบนๆได้ ในครสิ ตศ์ ตวรรษท่ี 16 ศลิ ปนิ หลายคนใชก้ ล้องทเ่ี รยี กว่ากลอ้ งออบสควิ รา่ (Cameraobscura) เป็น เคร่ืองมือช่วยในการเขียนภาพให้มีระยะลึก ลักษณะเป็นกล่องมีรูขนาดเล็กด้านหน่ึงและอีกด้านหนึ่ง เป็น กระจกรับภาพ มนุษย์เรียนรู้เรื่องของแสงท่ีแปรเปล่ียนไปตามวัสดุและสภาพแสงมาก่อนการคิดค้นกล้อง ถ่ายภาพจากกล้องออบสคิวล่า ต่อมาก็ได้มีการคิดค้นกล้องถ่ายภาพให้มีรูปแบบและการใช้งานที่สะดวกข้ึน เลนส์มีชิ้นของเลนส์หลายชิ้นทาหน้าท่ีในการหักเหแสงได้มากขึ้นมีการเคลือบน้ายาบนผิวหน้าของแก้วเลนส์ ใหม้ คี ณุ ภาพรับแสงได้มากขึ้นและชว่ ยลดแสงสะท้อนใหน้ ้อยลง ฟิล์มเปน็ วตั ถปุ ระเภทโปร่งแสง คือ เซลลูลอยด์ ( celluloid ) แทนกระดาษ กระบวนการถ่ายภาพไดพ้ ฒั นาไปสกู่ ารคน้ พบอ่ืนๆ อกี หลายอย่างเช่น การ ถ่ายภาพการบินของนก การเคล่ือนไหวของคนและการทางานของดวงตามนุษย์ ทาให้เกิดพัฒนาการบินของ เครื่องบินและภาพยนตร์ ในช่วงคริสต์ศตวรรษท่ี 19 การถ่ายภาพบุคคลไม่ได้ราคาถูกไปกว่าการวาดภาพด้วยมือเพียงแต่ใช้ เวลาในการนั่งเป็นแบบน้อยกว่าและให้ลักษณะของบุคคลน้ันได้ถูกต้องกว่า ดังนั้นจึงเร่ิมนิยมการถ่ายภาพ มากกว่าการน่ังเปน็ แบบใหว้ าดภาพ แตภ่ าพถา่ ยก็ได้พัฒนารูปแบบไปให้มลี ักษณะงานท่ีออกมาดแู ล้วคล้ายกับ ภาพวาดมีการใช้แสงไฟช่วยในการถ่ายภาพ ในคริสต์ศตวรรษที่20 การถ่ายภาพก็มีบทบาท ในธุรกิจโฆษณา อย่างเต็มท่ี การถา่ ยภาพเปน็ เคร่ืองมือทสี่ ามารถดงึ เอาคุณสมบัติของสินค้าใหป้ รากฏออกมาได้ เป็นการทางาน ทผ่ี สมระหวา่ งธุรกจิ และงานศลิ ปะ ภาพถ่ายมีบทบาทและความสาคัญต่องานนิเทศศิลป์ไดแ้ ก่ งานเผยแพร่ประชาสมั พันธ์และส่ือโฆษณา ทั้งหลาย เพราะเป็นงานที่ต้องการสื่อความหมายด้วยภาพประกอบกับตัวหนังสือเพื่อให้ผู้รับสื่อได้เข้าใจ จุดมุ่งหมายและวตั ถุประสงค์ของสอื่ แต่ละตัวนั้นว่าต้องการให้ทราบเร่ืองราวเข้าใจในรายละเอียดหรอื ต้องการ ขายสินค้าที่มีคุณสมบัติเช่นไร ภาพประกอบจะเป็นสิ่งท่ีช่วยให้เข้าใจได้กระจ่างชัดและตรงกับเป้าหมาย
4 มากท่ีสุด จึงควรที่จะต้องทาความเข้าใจเกี่ยวกับภาพถ่ายเพื่อที่จะได้นาไปใช้ในการสื่อความหมาย ไดอ้ ย่างถูกต้องเหมาะสม และส่งเสรมิ ให้งานด้านนเิ ทศศิลป์มคี ณุ คา่ และสื่อสารได้ตรงจดุ มุง่ หมายมากข้ึน การถ่ายภาพแฟช่ันพัฒนามาจากการถ่ายภาพในหนงั สือนิตยสารโดยการถ่ายภาพเป็นแบบงานศิลปะ ใช้การจัดแสงเพ่ือให้ภาพดูสวยงามขึ้นและพัฒนาสู่การใช้ภาพถ่ายเพื่อการโฆษณาเพิ่มมากขึ้นเช่น รูปภาพ แคตตาลอ็ กสินค้า (catalog picture) เพอ่ื นาเสนอสินคา้ ใหด้ ูน่าใช้ ศิลปะแห่งการถ่ายภาพในคริสต์ศตวรรษท่ี 20 ได้อิทธิพลจากการถ่ายภาพงานโฆษณา งานจิตรกรรม และงานประติมากรรมในยุโรป เกิดรูปแบบใหม่ของการถ่ายภาพแบบแนวใหม่ เห็นมุมมองใหม่ “New Vision” ทาให้เห็นว่าภาพถ่ายน้ันมีพลังแห่งวัฒนธรรม ภาพถ่ายจึงเข้าไปมีบทบาทในงานศิลปะ วรรณกรรม ภาพยนตรแ์ ม้แตใ่ นงานจิตรกรรมและประตมิ ากรรม การถ่ายภาพแสดงให้เหน็ ถงึ การนาเอาศาสตร์ ทางศิลปะและเทคนิคของการสร้างสรรค์ภาพมาผสมผสานเข้าด้วยกัน การถ่ายภาพเป็นส่วนหน่ึงของวิถีชีวิต ในปัจจุบัน เช่น ภาพถ่ายบันทึกความทรงจา ภาพถ่ายของครอบครัว ภาพข่าวหนังสือพิมพ์ ภาพถ่ายติดบัตร ภาพถ่ายประเภทสวยงาม ( glamorization) ภาพถ่ายการท่องเที่ยว ภาพถ่ายในอวกาศหรือทางด้านวิทยา ศาสตร์ เช่น กล้องขนาดเล็กท่ีเข้าไปถ่ายภาพภายในร่างกายของมนุษย์ ภาพถ่ายแสดงการเคล่ือนไหวของคน ที่เปล่ียนท่าทางต่างๆ ภาพโฆษณาในหน้านิตยสาร แคตตาล็อก ภาพแฟช่ัน ผลิตภัณฑ์หรือภาพถ่ายงาน สถาปัตยกรรม และกล้องถ่ายภาพก็พัฒนาไปตามความเจริญของระบบอุตสาหกรรม ความนิยมในสังคม สภาพเศรษฐกิจและวฒั นธรรม ขอบขำ่ ยและควำมสำคญั ของกำรถ่ำยภำพในงำนนิเทศศลิ ป์ ต้ังแต่ปี ค.ศ.1839 ภาพถ่ายเป็นตัวบันทึกรายละเอียดต่างๆ ของคนที่ชอบเห็นส่ิงต่างๆด้วยตา ของตนเอง แต่เม่ือไม่สามารถเก็บเป็นภาพท่ีถาวรได้กล้องก็ช่วยบันทึกสิ่งเหล่านั้นให้เป็นภาพแทนและเป็นตัว สื่อสารผ่านทางส่ือของการมองเห็น ภาพถ่ายเป็นส่ือช่วยในการสร้างงานส่ือสารมวลชนท่ีเราเห็นโดยทั่วๆ ไป เช่น หนังสือ หนังสือพิมพ์ นิตยสาร แคตตาล็อกสินค้า แผ่นพับหรือป้ายโฆษณาขนาดใหญ่ โปสเตอร์ สื่อโฆษณาทางโทรทัศน์ บางคร้ังใชภ้ าพถา่ ยเล่าเรอื่ งการเดนิ ทางหรือการค้นพบ เช่น ได้เห็นพ้ืนผิว ของ ดวงจันทร์ ดาวองั คาร หรอื คน้ พบดวงดาวในระบบสุริยะ ภาพถ่ายมกั ใชก้ บั งานโฆษณาในระบบอตุ สาหกรรมใน การขายสินคา้ ใช้ในการฝกึ อบรมหรืองานบริการต่างๆ ในงานดา้ นการปกครอง การประชุม สามารถใช้ภาพใน การโฆษณาจูงใจหรือนาเสนอข้อเท็จจรงิ ตา่ งๆ ของสินค้าได้เป็นอยา่ งดี ภาพถ่ายอาจจะใช้สาหรับการสื่อความหมายกับชุมชนกลุ่มใหญ่ได้ไม่ว่าจะเป็นในสถานท่ีราชการ การประชุมและงานสาคัญๆ ใช้การนาเสนองานโดยอาศัยภาพถ่ายเพ่ือการชักชวนอธิบายหรือทาให้เห็น ขอ้ เท็จจริงอนั จะนาไปสู่การดาเนนิ การบรหิ าร ออกกฎหมายต่างๆ หรอื เปน็ หลักฐานบางอยา่ งได้ เช่น ภาพถา่ ย จากนักข่าวท่ีทาให้เห็นข้อเท็จจริงบางอย่างในเหตุการณ์ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ภาพถ่ายช่วยในการ ทาแผนที่ผังระดับเพื่อศึกษาพ้ืนดินและพื้นน้าช่วยให้รู้ถึงสภาพอากาศ กล้องในดาวเทียมสามารถจับภาพ โลก ดวงจันทร์ ดวงอาทิตย์ และดาวอื่นๆ ในวิชาดาราศาสตร์ก็ใช้ภาพเหล่านี้ศึกษากาแลคซ่ี อวกาศ ตาแหน่งของ ดวงดาว ในงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์ภาพถ่ายก็ช่วยได้ เช่น วัตถุเล็กมากจนไม่สามารถเห็นได้ด้วยตาก็จะ
5 ถกู บันทกึ ดว้ ยกล้องไมโครสโคป (Microscope) หรอื ใชไ้ ฟแฟลชอิเล็กทรอนิกท่ีมีความเรว็ พเิ ศษชว่ ยใหส้ ามารถ บันทกึ สิ่งทเี่ กิดข้นึ อยา่ งรวดเรว็ ทตี่ าไมส่ ามารถมองเห็นได้ทนั ใหเ้ ราเห็นได้ งานนิเทศศิลป์หมายถึงงานที่เก่ียวข้องกับการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ข้อมูลข่าวสารต่างๆ รวมทั้งงาน โฆษณา การมีภาพประกอบช่วยส่ือความหมายให้ข่าวสารที่ต้องการเผยแพร่น้ันสามารถส่ือสารได้ตรงกับ จุดมุ่งหมายของผู้สร้างสรรค์สื่อได้เป็นอย่างดี ภาพถ่ายที่นามาใช้ประกอบกับสื่อต่างๆ เพื่องานประชาสัมพันธ์ หรืองานโฆษณาจึงจาเป็นต้องมีคุณลักษณะเน้ือหาเรื่องราวตรงตามแนวคิดของผู้สร้างงาน สามารถจัดวาง สอดคล้องไปกับข้อความหรือช่วยส่งเสริมให้งานเผยแพร่นั้นมีความน่าสนใจมากขึ้น เนื่องจากภาพถา่ ยมเี น้ือหา สาระปรากฏอยู่ในภาพจึงทาหน้าที่สอ่ื สารใหผ้ ้ดู ูสามารถเข้าใจในสาระน้นั ๆ ไดด้ ังนี้ 1. ถ่ายทอดความเหมือนจริง เนื่องจากถ่ายภาพจากสิ่งที่มีอยู่จริง สภาพแสงและมุมกล้องช่วยทาให้ ภาพเหมือนจริงได้ตามสภาพแสง 2. ถา่ ยทอดรายละเอียดได้ครบถว้ นเท่าท่ตี ้องการดว้ ยคุณภาพของกล้องและเลนส์ 3. ภาพถ่ายตรงึ ความเคลอ่ื นไหวให้หยุดนิง่ ได้ทาให้เห็นลกั ษณะการเคลื่อนไหวน้ัน 4. ภาพถ่ายสามารถบันทึกเหตุการณ์ไว้ได้อย่างถาวร จึงมีประโยชน์ต่อการส่ือสารช่วย ให้เกิดความ เข้าใจท่ีถูกต้องต่อส่ิงของ ผู้คน สถานที่หรือเหตุการณ์ต่างๆ แม้แต่ภาพถ่ายประกอบหลักฐานสาคัญของทาง ราชการ เช่น ภาพถ่ายติดบัตร ประชาชน ใบขับข่ี ภาพถ่ายยังบอกเร่ืองราวให้ข้อเท็จจริง ถ่ายทอดความ สวยงาม สรา้ งอารมณ์ ความร้สู กึ ตอ่ ผ้ดู ูได้ คุณภำพของภำพถำ่ ย ภาพตอ้ งมลี ักษณะที่สมบรู ณ์ สีและขนาดนา่ สนใจ ไมม่ ีการผิดเพ้ียนขนึ้ อยกู่ ับปัจจยั ตา่ งๆ คอื 1. เทคนิคในการถ่ายภาพมีส่วนช่วยให้ภาพโฆษณาดีขึ้น ภาพถ่ายท่ีสวยงามด้วยแสงเงาและ องค์ประกอบทด่ี ี ย่อมดงึ ดูดความสนใจของผูพ้ บเหน็ ไดเ้ ปน็ อนั ดบั แรก 2. การให้ได้มาซ่ึงภาพถ่ายท่ีมีคุณภาพต้องเลอื กอุปกรณ์ท่ีเหมาะสม การเลือกใช้กล้องถ่ายภาพ เลนส์ และอุปกรณ์เสริมท่ชี ว่ ยทาให้ภาพถา่ ยเกิดความน่าสนใจมากขน้ึ 3. การเลือกสถานท่ีตามแนวคิดของผู้ทาโฆษณา อาจเป็นภาพถ่ายเฉพาะตัวสินค้า วิธีการใช้สินค้า เร่ืองราวท่ีแวดล้อมตัวสินค้า โดยการจัดฉากในห้องถ่ายภาพหรือถ่ายภาพนอกสถานท่ีในเวลาต่างๆ หรือ คุณลักษณะท่ีต้องการเน้น มีการใช้อุปกรณ์เพิ่มเติมเพื่อให้เกิดความสวยงาม การจัดแสงให้มีความน่าสนใจ เน้นการถา่ ยภาพระยะใกล้เหน็ ตวั สินคา้ ชัดเจนสดั สว่ นถูกต้อง 4. การนาภาพถ่ายไปใชเ้ พ่ือทาสื่อชนิดต่างๆ เช่น แผ่นพับขนาดเล็ก โปสเตอร์โฆษณาในหน้านิตยสาร หนังสือพิมพ์หรือป้ายโฆษณาขนาดใหญ่ เง่ือนไขเหล่าน้ีทาให้สามารถกาหนดได้ว่าจะเลือกใช้กล้อง ฟิล์มหรือ อุปกรณใ์ ดจึงจะเหมาะสม
6 กำรจัดกำรควำมรู้ เรื่องเทคนคิ กำรถำ่ ยภำพเบือ้ งต้น 1. ควำมสำคญั ในยุคแหง่ ความเปลย่ี นแปลงความกา้ วหนา้ ทางเทคโนโลยี ยุคแห่งโซเชี่ยลมีเดีย ทป่ี ัจจุบันทุกคน ไม่ เพียงแต่เป็นผู้รับสื่อยังเป็นผู้ส่งส่ือในคราวเดียวกันอีกด้วย โดยเป็นยุคแห่งการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสาร อย่าง ไร้พรมแดน ภาพถ่ายและการถ่ายภาพเป็นหน่ึงในความนิยมท่ีสังคมในปัจจุบันนิยมใช้เป็นการสื่อสาร ส่อื ความหมายซึ่งกันและกนั หรือใชก้ ันในวตั ถุประสงค์ตา่ ง ๆ ทอี่ าจแตกตา่ งกนั ออกไป แล้วคาถามภาพท่ีดีน้ัน ควรเป็นอย่างไร แล้วควรมีองค์ประกอบอะไรบ้าง ซ่ึงภาพท่ีดีเป็นอย่างไรก็ข้ึนอยู่กับนิยามหรือความต้องการ ของผู้ถ่ายภาพว่าต้องการนาเสนออะไร แต่อย่างน้อยที่สุดภาพเหล่านั้น ควรจะมีเร่ืองราวส่ือสารความหมาย ได้อย่างชัดเจน ภาพสามารถเล่าเร่ืองราวที่เกิดขึ้นได้ ดังนั้นเพ่ือให้การถ่ายภาพและภาพถ่ายท่ีได้ สามารถ ใชป้ ระโยชนใ์ นการสอื่ สารบอกกล่าวเร่ืองราวได้จากภาพท่ีถ่าย ไมว่ ่าจะดว้ ยจากชุดอุปกรณ์กล้องบนั ทึกภาพน่ิง หรอื จากสมารท์ โพน เพอ่ื ให้การถ่ายภาพเปน็ ไปอยา่ งมีประสทิ ธภิ าพ สานักงานสง่ เสริมและสนบั สนนุ วชิ าการ 6 จึงได้จัดอบรมให้ความรู้ เร่ืองเทคนิคการถ่ายภาพข้ึนเพ่ือ ถ่ายทอดองค์ความรู้เร่ืองเทคนิค การ ถ่ายภาพให้ขา้ ราชการ เจา้ หน้าที่สานักงานสง่ เสริมและสนบั สนนุ วชิ าการ 6 2. แนวทำงกำรจดั กำรควำมรู้ 2.1 กำรถอดบทเรยี น เม่ือทราบถึงความสาคัญของภาพถ่ายที่เป็นส่วนสาคัญในการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสาร ผ่าน Social Media แลว้ กลุ่มการวจิ ยั และการพัฒนาระบบเครอื ข่าย จึงดาเนนิ การรวบรวมประเด็นความรู้เก่ียวกับ การถ่ายภาพท่ีดี ด้วยการประชุมภายในกลุ่มการวิจัยและการพัฒนาระบบเครือข่ายพร้อมรวบรวมประเด็น ความรู้ เพ่ือดาเนินการจัดการความรู้ เร่ือง “เทคนิคการถ่ายภาพเบ้ืองต้น” โดยมี นายผาด สุวรรณรัตน์ หัวหน้ากลุ่มการวิจัยและการพัฒนาระบบเครือข่าย ซึ่งเป็นผู้มีแนวทางปฏิบัติท่ีดีในเรื่องดังกล่าว เป็นผู้ถอด ความรู้ เร่อื งเทคนิคการถ่ายภาพเบ้ืองตน้ เพื่อสร้างกระบวนการจัดการความรู้และเป็นแนวทางในการเผยแพร่ ต่อไป ทัง้ นี้ นายผาด สุวรรณรตั น์ ไดร้ วบรวมประเดน็ ความรู้ และการสนทนากล่มุ ย่อยกับเจ้าหนา้ ทใี่ นกลุ่มการ วิจัยและการพัฒนาระบบเครือขา่ ย โดยมีเทคนคิ การถ่ายภาพท่ีสาคญั 8 วิธี ไดแ้ ก่ 1. การจดั องค์ประกอบภาพ 1.1 กฎ 3 สว่ น ภาพที่ 3
7 ภาพท่ี 4 กฎ 3 ส่วน หมายถงึ ในกรอบหรอื เฟรมสีเ่ หลยี่ มของภาพมกี ารแบ่งออกเปน็ 3 ส่วนเทา่ ๆ กนั ไม่วา่ จะ แนวต้ังหรือแนวนอน แต่ส่วนมากจะนิยมในลักษณะแนวนอนในการแบ่งภาพ โดยการใช้กฎ 3 ส่วนน้ี จะใช้ใน การกาหนดสัดส่วนของภาพ อย่างเช่น ถ้าเป็นภาพวิวทิวทัศน์ ก็อาจกาหนดให้พื้นท่ีท่ีเป็นท้องฟ้า 1 ส่วน และ อกี 2 สว่ นเปน็ พื้นดนิ หรอื ผนื น้าหรือในการกลับกัน อาจให้ส่วนทเี่ ปน็ พน้ื ดินหรือผืนน้า 1 ส่วน แลว้ ท้องฟ้าเป็น 2 ส่วน ซ่ึงก็แล้วแต่ว่าในภาพ ๆ นั้นส่วนใดน่าสนใจกว่ากันท่ีจะนาเสนอ ขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์หรือมุมมองแต่ ละคน แตจ่ ะไมน่ ยิ มแบ่งคร่งึ ๆ เท่า ๆ กัน 1.2 จดุ ตดั 9 ช่อง ภาพที่ 5 ภาพที่ 6
8 จุดตัด 9 ช่อง เป็นอีก 1 หลักของการจัดองค์ประกอบที่นักถ่ายภาพนิยมใช้กันในการจัดองค์ประกอบ ภาพ โดยในตาแหน่งของจุดตัดท้ัง 4 จุด คือตาแหน่งท่ีดีท่ีสุดในการวางจุดสนใจของภาพท่ีเราจะถ่าย ซ่ึงใน ตาแหน่งท้งั 4 จดุ นี้ ในหนึ่งภาพเลือกว่าจะวางจดุ เนน้ ทนี่ ่าสนใจจุดใดจดุ หน่ึงเพยี งจดุ เดยี ว (ในภาพหน่ึงภาพไม่ ควรมจี ุดสนใจมากกวา่ 1 จุด) 1.3 การถ่าย 3 ระยะ ในการถ่ายภาพโดยทั่ว ๆ ไป ในแต่ละกจิ กรรมควรยดึ หลกั การถ่ายภาพท่ีไม่น้อยกว่า 3 ระยะ หรืออาจจาง่าย ๆ ว่ายึดหลัก 3 ก ดงั น้ี ก ที่ 1 คือ ภาพมมุ กว้าง ภาพท่ี 7 ก ท่ี 2 คอื ภาพระยะกลาง ภาพที่ 8 ก ที่ 3 คือ ภาพระยะใกล้ ภาพท่ี 9
9 หรือบางครั้งการถ่ายภาพมุมกว้าง จะมีกว้างมากและระยะใกล้ก็จะมีใกล้มาก (ขนาดเห็นแววตา) ในภาพ 1 เหตุการณ์ ไม่ควรถ่ายภาพแค่ระยะใดระยะหนึ่งเพราะจะทาให้ขาดรายละเอียดขาดความน่าสนใจ เช่น การถ่ายภาพมุมกว้างจะเป็นการส่ือความหมายให้เห็นถึงความยิ่งใหญ่ของจานวนคนมากมายหรือวิว ทวิ ทศั น์สดุ ลกู หูลกู ตา ฯลฯ ซ่ึงภาพมุมกวา้ งหรอื กว้างมากจะไม่เหน็ รายละเอียดของเหตกุ ารณน์ นั้ ๆ ภาพระยะกลางจะทาให้เราเร่ิมเห็นรายละเอียดของเหตุการณ์ได้มากย่ิงข้ึนว่ามีเรื่องราวอะไรอยู่ใน เรื่องราวนัน้ ๆ ภาพระยะใกล้ย่ิงทาให้เห็นรายละเอียดของเร่ืองราวได้ชัดเจนเข้าไปอีก เห็นรายละเอียดทีปลีกย่อย อยา่ งชดั เจนวา่ ต้องการหรือให้เห็นอะไร 1.4 ถา่ ยหลายมมุ , ถ่ายซา้ , ถ่ายเผื่อ การถ่ายภาพหลาย ๆ ครั้งเราจะเจอปัญหาการเลือกภาพมาใช้ การถ่ายภาพใน 1 เหตุการณ์ ถ่ายแค่เพียง 2-3 ภาพและถ่ายในมุมเดิม ๆ ภาพและงานที่ได้จะไม่มีความหลากหลาย ใน 1 เหตุการณ์ (โดยเฉพาะงานสาคัญ ๆ ) ควรถา่ ยภาพทีห่ ลากหลายมุม เช่น ถา่ ยดา้ นหนา้ ตรง ด้านทางขวา ขา้ งซ้าย ดา้ นหลงั และควรซ้าหลายๆ ภาพ เพื่อประโยชน์ในการเลือกใช้งาน เพราะบางเหตุการณ์เกิดขึ้นแล้วผ่านพ้นไป เราไม่ สามารถย้อนกลับไปถา่ ยใหมไ่ ด้ ซึง่ สาคญั ในการถา่ ยเก็บรายละเอียดของเหตุการณน์ น้ั ๆ และในความหมายของการถ่ายภาพหลายมุมยังรวมไปถึงการถ่ายภาพที่เป็นมากกว่าการยกกล้องขึ้น ถ่ายภาพด้วยความคนุ้ เคยอยู่แค่ระดับเดยี ว คอื มักถ่ายภาพในระดบั สายตา ซงึ่ ก็ไมผ่ ิดอะไรแต่เราก็จะไดม้ ุมมอง ท่ีไม่ได้แปลกตาไปจากที่เราพบเจอ แต่ถ้ามีการปรับเปลี่ยนมุมกล้อง เช่น ให้กล้องอยู่ต่าระดับพ้ืน เราจะได้ มมุ มองท่ีเปน็ การเสยภาพหรือการถา่ ยภาพจากมุมสงู กดกลอ้ งลงตา่ ก็จะไดอ้ ารมณภ์ าพทีเ่ ปลี่ยนไปเช่นกัน 1.5 เสน้ นาสายตา ในเรื่องการจัดองค์ประกอบภาพ หนึ่งในน้ันคือเร่ืองเส้นนาสายตา ไม่ว่าจะเป็นถนน สะพาน ทางเดนิ รปู ทรงสถาปัตยกรรม ก็จะเปน็ เส้นนาสายตาไปสจู่ ุดหมายปลายทาง เสน้ ต่าง ๆ จะนาภาพไปเจอส่ิงที่ นา่ สนใจอะไรบา้ ง ในการวางแบบหรอื กาหนดจดุ สนใจให้อย่ดู ้านปลายขอบเส้นนาสายตา ภาพที่ 10
10 1.6 ฉากหลงั หรือ(Foreground) การถ่ายภาพท่ีมีฉากหน้าหรือ (Foreground)จะทาให้การถ่ายภาพน่าสนใจและมีมิติ เกิด ความลกึ ของภาพ แต่ต้องระวังอยา่ ใหฉ้ ากชดั มากจนมาบดบดั ตัวแบบหรือจดุ สนใจท่ีต้องเน้น พวกฉากหนา้ อาจ เปน็ พวกกิง่ ไม้ ใบไม้ ดอกหญ้า ต้นหญา้ อื่น ๆ แล้วแต่เหตกุ ารณ์ ภาพที่ 11 1.7 กรอบภาพ กรอบภาพเป็นอีกหน่งึ องค์ประกอบที่ทาใหภ้ าพน่าสนใจ กรอบจะเป็นตัวกาหนดใหแ้ บบหรือ วัตถุท่ีเราเน้นนั้นโดดเด่นในเร่ืองราวเหมือนเป็นล็อคเป้าหมาย ให้ดูในส่วนที่อยู่ภายในกรอบเช่น กรอบท่ีเป็น ประตู หนา้ ต่าง แนวโครงสรา้ งต่าง ๆ จากสถาปัตยกรรม ภาพท่ี 12 1.8 ภาพสื่อความหมายเลา่ เร่ืองได้ ภาพถ่ายที่ดีควรสอื่ สารบอกกลา่ วเร่ืองราวที่จะนาเสนอได้อยา่ งชัดเจนวา่ เราต้องการสื่อสาร ให้คนดไู ดเ้ ขา้ ใจวา่ ในภาพนัน้ มเี รอ่ื งราวอะไรเกดิ ขึ้นบา้ ง ถงึ ไม่มคี าอธิบายภาพก็สามารถเลา่ เรอ่ื งได้
11 ข้อมูลเร่ืองราวเกี่ยวกับการถ่ายภาพท่ีประกอบการจัดการความรู้ (Knowledge management: KM ในครั้งน้ี เป็นเพียงเรื่องราวสรุปสั้น ๆ แค่เพียงบางส่วนและไม่ได้ใช้ศัพท์ทางวิชาการถ่ายภาพมาประกอบเพ่ือ เป็นการสื่อสารทใี่ ห้เข้าใจได้งา่ ยขึ้น การถ่ายภาพทีด่ คี วรเป็นอย่างไร ขึน้ อยู่กบั เปา้ หมายวัตถุประสงค์ของแต่ละ คน หลกั เกณฑ์ กรอบกตกิ า ทฤษฎีเป็นเพยี งกรอบแนวคดิ ในการประกอบการสร้างจินตนาการศลิ ปะท่ผี า่ นการ ออกแบบ แล้วแต่สไตลข์ องแตล่ ะคนแค่นนั้ เอง 2.2 กำรแลกเปลี่ยนเรียนรู้ เม่ือได้เทคนิคเป็นแนวทางแลว้ ได้ดาเนินการจัดกิจกรรมแลกเปล่ยี นเรียนรู้ เร่ือง เทคนิคการ ถ่ายภาพเบ้ืองตน้ รว่ มกับเจา้ หนา้ ท่ีของ สานักงานสง่ เสริมและสนับสนนุ วชิ าการ 6 เม่ือวันท่ี 4 ธันวาคม 2562 และผลิตในรูปแบบ infographic และวดี ที ัศน์ รวมถงึ การเผยแพรผ่ า่ นเว็บไซต์ 2.3 กำรนำไปใช้ กลุ่มการวิจัยและการพัฒนาระบบเครือข่ายได้มีการนาเทคนิคไปปรับใช้จริง ท้ังกิจกรรม ภายในและภายนอกสานักงานโดยการถ่ายทอดเทคนิคการสร้างส่ือประชาสัมพันธ์ให้กับบ้านพักเด็กและ ครอบครัว จังหวัดกาฬสินธ์ุ ผลตอบรับคือ เจ้าหน้าท่ีมีความรู้ ความเข้าใจในหลักการถ่ายภาพเบ้ืองต้น มีการ แลกเปลย่ี นเรยี นรู้กนั ระหวา่ งเจ้าหน้าทแี่ ละวทิ ยากร 2.4 กำรบำรุงรกั ษำ กลุ่มการวิจัยและการพัฒนาระบบเครือข่ายนาความรู้ท่ีได้ทบทวนความถูกต้องและทันสมัย เข้าในรูปแบบเอกสารอิเล็กทรอนิกส์และเผยแพร่ทางเว็บไซต์ของสานักงานส่งเสริมและสนับสนุนวิชาการ 6 ให้กบั ภาคเี ครอื ข่ายและบุคลากรท่สี นใจ 3. ผลลัพธจ์ ำกกำรจัดกำรควำมรู้ สานักงานส่งเสริมและสนับสนุนวิชาการ 6 : สสว.6 โดยมีการประเมินผลก่อนการให้ความรู้และ หลังจากการอบรม ซ่งึ เหน็ ได้ชดั เจนจากผลการฝกึ ปฏบิ ัติในการออกถ่ายภาพทง้ั ภายในและนอกสถานที่ ผลงาน ก่อนและหลังมีความแตกตา่ งอย่างชดั เจนคือ มคี วามรู้ ความเข้าใจหลกั ของการถ่ายภาพมากยิ่งข้นึ ไมว่ ่าจะเป็น เรื่องการจัดองค์ประกอบภาพ มุมมองการถ่ายภาพและการสื่อความหมายซ่ึงเป็นหัวใจที่สาคัญของ การถ่ายภาพซึ่งผลท่ีได้ในครั้งน้ีจะก่อให้เกิดประโยชน์แก่ตนเอง เพราะปัจจุบันทุกคนถ่ายภาพกันเป็นหลักอยู่ แลว้ และจะเกดิ ประโยชน์ในการนาไปพฒั นาประยกุ ต์ในการทางานอีกดว้ ย
12 บรรณำนกุ รม การถ่ายภาพ. (มปป.). [ออนไลน์]. ได้จาก: http://thunpitcha.blogspot.com/p/blog-page.html[สบื คน้ เมอื่ วันท่ี 30 มกราคม 2563].
13 ภำคผนวก
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26 สรุปผลกำรวิเครำะหแ์ บบประเมนิ ควำมพึงพอใจ เรื่อง กำรจัดประชุมกำรจดั กำรควำมรู้ (KM) เทคนิคกำรถ่ำยภำพเบื้องต้น วันท่ี 4 ธนั วำคม 2562 ณ ห้องประชุมศนู ย์ปฏิบตั กิ ำรสำนักงำนส่งเสรมิ และสนบั สนุนวชิ ำกำร 6 ตอนที่ 1 สถำนภำพทัว่ ไป 1.1 เพศ จากจานวนผู้ตอบแบบสอบถาม 17 คน พบว่าเปน็ เพศหญิง จานวน 6 คน คดิ เป็นรอ้ ยละ 35.29 และ เปน็ เพศชาย จานวน 11 คน คดิ เปน็ รอ้ ยละ 64.71 1.2 อำยุ จากจานวนผูต้ อบแบบสอบถาม 17 คน พบวา่ ส่วนใหญ่มีอายุ 25 - 35 ปี จานวน 7 คน คดิ เปน็ รอ้ ย ละ 41.18 รองลงมา คือ มอี ายุ 36 - 45 ปี จานวน 7 คน คดิ เปน็ รอ้ ยละ 41.18 นอกนน้ั อายุ 46 - 55 ปี จานวน 2 คน คิดเปน็ รอ้ ยละ 11.76 และมีอายุ 56 ปีขน้ึ ไป จานวน 1 คน คดิ เป็นร้อยละ 5.88
27 1.3 กำรศึกษำ จากจานวนผ้ตู อบแบบสอบถาม 17 คน พบว่าส่วนใหญ่จบการศกึ ษาระดับปรญิ ญาตรี จานวน 7 คน คดิ เปน็ ร้อยละ 41.18 รองลงมาคอื จบการศึกษาระดับมธั ยมศึกษาปที ี่ 6 จานวน 4 คน คดิ เปน็ รอ้ ยละ 23.53 และจบการศกึ ษาระดับ ปวส. จานวน 4 คน คดิ เป็นร้อยละ 23.53 นอกน้นั มจี บการศึกษาระดบั ปวช.จานวน 2 คน คดิ เป็นร้อยละ 11.76 1.4 อำชีพ จากจานวนผตู้ อบแบบสอบถาม 17 คน พบวา่ ส่วนใหญป่ ระกอบอาชีพลกู จ้าง จานวน 9 คน คดิ เปน็ รอ้ ยละ 52.94 รองลงมาคือ อาชีพข้าราชการ จานวน 6 คน คิดเปน็ รอ้ ยละ 35.29 และอาชพี พนักงานของรัฐ รัฐวิสาหกจิ จานวน 2 คน คิดเป็นรอ้ ยละ 11.76
28 ตอนที่ 2 ระดับควำมพึงพอใจ/ควำมรู้ควำมเข้ำใจ/กำรนำไปใช้ต่อกำรเขำ้ ร่วมโครงกำร 2.1 ด้ำนวิทยำกร จากจานวนผ้ตู อบแบบสอบถาม 17 คน พบว่าส่วนใหญม่ ีความพึงพอใจในการเตรยี มตวั และความ พร้อมของวทิ ยากรอยู่ในระดับมากท่สี ดุ จานวน 14 คน คิดเป็นร้อยละ 82.35 รองลงมามีความพงึ พอใจใน ระดับมาก จานวน 2 คน คดิ เป็นรอ้ ยละ 11.76 และมีความพงึ พอใจในระดบั ปานกลาง จานวน 1 คน คดิ เปน็ รอ้ ยละ 5.88 จากจานวนผตู้ อบแบบสอบถาม 17 คน พบว่าส่วนใหญม่ ีความพึงพอใจในการถา่ ยทอดของวิทยากร อย่ใู นระดับมากที่สดุ จานวน 14 คน คดิ เป็นร้อยละ 82.35 รองลงมามีความพึงพอใจในระดับมาก จานวน 2 คน คดิ เป็นร้อยละ 11.76 และมีความพึงพอใจในระดับปานกลาง จานวน 1 คน คดิ เปน็ รอ้ ยละ 5.88
29 จากจานวนผูต้ อบแบบสอบถาม 17 คน พบวา่ ส่วนใหญม่ ีความพงึ พอใจทส่ี ามารถอธิบายเนือ้ หา ชัดเจนและตรงประเดน็ อยใู่ นระดบั มากที่สุด จานวน 12 คน คดิ เปน็ ร้อยละ 70.59 รองลงมามคี วามพึงพอใจ ในระดับมาก จานวน 4 คน คิดเป็นรอ้ ยละ 23.53 และมคี วามพงึ พอใจในระดบั ปานกลาง จานวน 1 คน คิด เป็นร้อยละ 5.88 จากจานวนผู้ตอบแบบสอบถาม 17 คน พบว่าส่วนใหญ่มีความพึงพอใจในการใช้ภาษาท่ีเหมาะสมและ เข้าในง่ายอยใู่ นระดับมากที่สุด จานวน 12 คน คิดเป็นร้อยละ 70.59 รองลงมามีความพึงพอใจในระดับมาก จานวน 4 คน คดิ เป็นรอ้ ยละ 23.53 และมีความพงึ พอใจในระดบั ปานกลาง จานวน 1 คน คดิ เปน็ ร้อยละ 5.88
30 จากจานวนผ้ตู อบแบบสอบถาม 17 คน พบวา่ ส่วนใหญม่ ีความพึงพอใจในการตอบคาถามของ วิทยากรอยูใ่ นระดบั มากท่สี ดุ จานวน 14 คน คดิ เปน็ ร้อยละ 82.35 รองลงมามีความพงึ พอใจในระดบั มาก จานวน 2 คน คิดเป็นร้อยละ 11.76 และมีความพึงพอใจในระดบั ปานกลาง จานวน 1 คน คดิ เป็นรอ้ ยละ 5.88 จากจานวนผู้ตอบแบบสอบถาม 17 คน พบว่าส่วนใหญม่ ีความพึงพอใจเอกสารประกอบการบรรยาย เหมาะสมอยู่ในระดับมากทส่ี ุด จานวน 8 คน คดิ เปน็ ร้อยละ 47.06 รองลงมามีความพึงพอใจในระดับมาก จานวน 8 คน คิดเป็นรอ้ ยละ 47.06 และมีความพึงพอใจในระดับปานกลาง จานวน 1 คน คิดเปน็ รอ้ ยละ 5.88
31 2.2 ดำ้ นสถำนท่ี/ระยะเวลำ/อำหำร จากจานวนผตู้ อบแบบสอบถาม 17 คน พบวา่ ส่วนใหญ่มีความพงึ พอใจสถานทส่ี ะอาด มคี วาม เหมาะสมอยู่ในระดบั มากทส่ี ุด จานวน 11 คน คดิ เป็นรอ้ ยละ 64.71 รองลงมามีความพึงพอใจในระดับมาก จานวน 5 คน คิดเปน็ รอ้ ยละ 29.41 และมีความพงึ พอใจในระดับปานกลาง จานวน 1 คน คิดเป็นรอ้ ยละ 5.88 จากจานวนผตู้ อบแบบสอบถาม 17 คน พบวา่ ส่วนใหญม่ ีความพึงพอใจในความพร้อมของอุปกรณ์ โสตทศั นปู กรณ์อยใู่ นระดบั มากทส่ี ุด จานวน 9 คน คิดเป็นร้อยละ 52.94 รองลงมามคี วามพงึ พอใจในระดับ มาก จานวน 5 คน คดิ เปน็ ร้อยละ 29.41 และมีความพงึ พอใจในระดบั ปานกลาง จานวน 3 คน คดิ เปน็ รอ้ ยละ 17.65
32 จากจานวนผตู้ อบแบบสอบถาม 17 คน พบว่าส่วนใหญม่ ีความพงึ พอใจในระยะเวลาในการอบรมมี ความเหมาะสมอยู่ในระดับมากทส่ี ุด จานวน 9 คน คดิ เป็นร้อยละ 52.94 รองลงมามีความพงึ พอใจในระดับ มาก จานวน 5 คน คดิ เปน็ ร้อยละ 29.41 และมีความพึงพอใจในระดบั ปานกลาง จานวน 3 คน คดิ เปน็ รอ้ ยละ 17.65 จากจานวนผูต้ อบแบบสอบถาม 17 คน พบว่าสว่ นใหญ่มีความพึงพอใจอาหารมคี วามเหมาะสมอยู่ใน ระดับมากทสี่ ุด จานวน 6 คน คดิ เปน็ ร้อยละ 35.29 รองลงมามีความพงึ พอใจในระดับมาก จานวน 6 คน คิด เป็นร้อยละ 35.29 ระดับปานกลาง จานวน 3 คน คดิ เปน็ ร้อยละ 17.65 และมีความพึงพอใจในระดบั น้อย จานวน 2 คน คดิ เปน็ รอ้ ยละ 11.76
33 2.3 ดา้ นการให้บริการของเจ้าหน้าที่ จากจานวนผู้ตอบแบบสอบถาม 17 คน พบว่าส่วนใหญม่ ีความพงึ พอใจในการบรกิ ารของเจ้าหนา้ ทอ่ี ยู่ ในระดับมากท่ีสุด จานวน 13 คน คิดเปน็ รอ้ ยละ 76.47 รองลงมา มีความพึงพอใจในระดับมาก จานวน 4 คน คดิ เปน็ ร้อยละ 23.53 จากจานวนผตู้ อบแบบสอบถาม 17 คน พบวา่ สว่ นใหญ่มีความพงึ พอใจในการประสานงานของ เจา้ หน้าท่โี ครงการอยู่ในระดับมากทส่ี ดุ จานวน 14 คน คดิ เปน็ ร้อยละ 82.35 รองลงมามีความพงึ พอใจใน ระดับมาก จานวน 2 คน คดิ เปน็ รอ้ ยละ 11.76 และมีความพงึ พอใจในระดบั ปานกลาง จานวน 1 คน คิดเปน็ รอ้ ยละ 5.88
34 จากจานวนผตู้ อบแบบสอบถาม 17 คน พบวา่ สว่ นใหญ่มีความพงึ พอใจในการอานวยความสะดวก ของเจ้าหน้าทอี่ ยู่ในระดบั มากทสี่ ดุ จานวน 13 คน คิดเป็นร้อยละ 76.47 รองลงมามีความพงึ พอใจในระดับ มาก จานวน 3 คน คิดเป็นร้อยละ 17.65 และมีความพึงพอใจในระดบั ปานกลาง จานวน 1 คน คิดเป็นร้อยละ 5.88 จากจานวนผู้ตอบแบบสอบถาม 17 คน พบว่าส่วนใหญ่มีความพึงพอใจในการใหค้ าแนะนาหรอื ตอบ ข้อซักถามของเจา้ หน้าท่ีอยู่ในระดับมากท่สี ุด จานวน 14 คน คดิ เป็นรอ้ ยละ 82.35 รองลงมามคี วามพึงพอใจ ในระดับมาก จานวน 3 คน คิดเปน็ รอ้ ยละ 17.65
35 2.4 ดำ้ นควำมเขำ้ ใจ จากจานวนผู้ตอบแบบสอบถาม 17 คน พบว่าส่วนใหญ่มีความพึงพอใจในความเข้าใจในเร่ืองน้ีก่อน การอบรมอยู่ในระดับปานกลาง จานวน 7 คน คิดเป็นร้อยละ 41.18 รองลงมามีความพึงพอใจในระดับน้อย จานวน 4 คน คิดเป็นร้อยละ 23.53 นอกน้ัน คือ มีความพึงพอใจอยู่ในระดับมากที่สุด จานวน 3 คน คิดเป็น ร้อยละ 17.65 ระดับมาก จานวน 2 คน คิดเป็นร้อยละ 11.76 และระดับน้อยที่สุด จานวน 1 คน คิดเป็นร้อย ละ 5.88 จากจานวนผู้ตอบแบบสอบถาม 17 คน พบว่าส่วนใหญ่มีความพึงพอใจในความเข้าใจในเร่ืองนี้หลัง การอบรมอยู่ในระดับมากท่ีสุด จานวน 10 คน คิดเป็นร้อยละ 58.82 รองลงมามีความพึงพอใจในระดับปาน กลาง จานวน 4 คน คิดเป็นร้อยละ 23.53 และมีความพึงพอใจในระดับมาก จานวน 3 คน คิดเป็นร้อยละ 17.65
36 จากจานวนผู้ตอบแบบสอบถาม 17 คน พบว่าสว่ นใหญ่มีความพงึ พอใจในการสามารถบอกประโยชน์ ได้อยู่ในระดบั มากทีส่ ุด จานวน 11 คน คดิ เป็นร้อยละ 64.71 รองลงมามีความพึงพอใจในระดบั ปานกลาง จานวน 4 คน คิดเปน็ ร้อยละ 23.53 และมีความพึงพอใจในระดบั มาก จานวน 2 คน คิดเปน็ รอ้ ยละ 11.76 จากจานวนผูต้ อบแบบสอบถาม 17 คน พบวา่ ส่วนใหญ่มีความพงึ พอใจสามารถบอกข้อดีได้อยูใ่ น ระดบั มากที่สุด จานวน 13 คน คดิ เป็นรอ้ ยละ 76.47 รองลงมามคี วามพงึ พอใจในระดบั มาก จานวน 2 คน คิด เป็นร้อยละ 11.76 และมีความพึงพอใจในระดับปานกลาง จานวน 2 คน คดิ เป็นร้อยละ 11.76
37 จากจานวนผ้ตู อบแบบสอบถาม 17 คน พบวา่ สว่ นใหญ่มีความพึงพอใจสามารถอธบิ ายรายละเอียดได้ อยู่ในระดับมากท่สี ดุ จานวน 10 คน คิดเปน็ ร้อยละ 58.82 รองลงมามคี วามพึงพอใจในระดับมาก จานวน 4 คน คดิ เป็นรอ้ ยละ 23.53 และมคี วามพงึ พอใจในระดับปานกลาง จานวน 3 คน คิดเปน็ ร้อยละ 17.65 จากจานวนผ้ตู อบแบบสอบถาม 17 คน พบว่าสว่ นใหญ่มีความพงึ พอใจสามารถจัดระบบความคดิ ประมวลความคิดสกู่ ารพฒั นางานอยา่ งเปน็ ระบบอยใู่ นระดับมากท่ีสดุ จานวน 8 คน คิดเปน็ ร้อยละ 47.06 รองลงมามคี วามพงึ พอใจในระดับมาก จานวน 7 คน คดิ เป็นร้อยละ 41.18 และมีความพงึ พอใจในระดับ ปานกลาง จานวน 2 คน คดิ เป็นร้อยละ 11.76
38 จากจานวนผู้ตอบแบบสอบถาม 17 คน พบวา่ สว่ นใหญม่ ีความพึงพอใจในการบูรณาการทางความคิด สกู่ ารทางานเป็นทีม การปรบั ตวั ของบุคลากร การปฏิรูประบบการทางานในการปฏิบัติงานอยใู่ นระดบั มาก ท่ีสุด จานวน 11 คน คดิ เป็นร้อยละ 64.71 รองลงมามคี วามพึงพอใจในระดับปานกลาง จานวน 4 คน คดิ เปน็ ร้อยละ 23.53 และมีความพึงพอใจในระดบั มาก จานวน 2 คน คิดเปน็ ร้อยละ 11.76 2.5 ดำ้ นกำรนำควำมรไู้ ปใช้ จากจานวนผูต้ อบแบบสอบถาม 17 คน พบวา่ ส่วนใหญ่มีความพึงพอใจสามารถนาความรู้ท่ไี ด้รับไป ประยกุ ตใ์ ชใ้ นการปฏบิ ตั ิงานได้อยู่ในระดบั มากที่สุด จานวน 8 คน คิดเป็นรอ้ ยละ 47.06 รองลงมามคี วามพงึ พอใจในระดบั มาก จานวน 5 คน คิดเปน็ ร้อยละ 29.41 และมีความพึงพอใจในระดับปานกลาง จานวน 4 คน คิดเป็นร้อยละ 23.53
39 จากจานวนผู้ตอบแบบสอบถาม 17 คน พบวา่ ส่วนใหญม่ ีความพึงพอใจสามารถนาความรู้ไปเผยแพร่ ถา่ ยทอดแก่ชมุ ชนได้อยู่ในระดบั มากท่ีสุด จานวน 8 คน คดิ เปน็ รอ้ ยละ 47.06 รองลงมามคี วามพงึ พอใจใน ระดบั มาก จานวน 6 คน คดิ เปน็ ร้อยละ 35.29 และมีความพึงพอใจในระดับปานกลาง จานวน 3 คน คดิ เป็น รอ้ ยละ 17.65 จากจานวนผตู้ อบแบบสอบถาม 17 คน พบวา่ ส่วนใหญม่ ีความพงึ พอใจสามารถให้คาปรึกษาแกเ่ พ่ือน รว่ มงานได้อย่ใู นระดบั มากทส่ี ุด จานวน 9 คน คิดเป็นร้อยละ 52.94 รองลงมามีความพงึ พอใจในระดับมาก จานวน 4 คน คดิ เปน็ ร้อยละ 23.53 และมีความพงึ พอใจในระดบั ปานกลาง จานวน 4 คน คดิ เปน็ ร้อยละ 23.53
40 จากจานวนผตู้ อบแบบสอบถาม 17 คน พบวา่ สว่ นใหญ่มีความพึงพอใจมคี วามม่นั ใจและสามารถนา ความรู้ท่ีได้รับไปปรับใช้ได้อยู่ในระดับมากทส่ี ุด จานวน 10 คน คดิ เปน็ รอ้ ยละ 58.82 รองลงมามคี วามพึง พอใจในระดับมาก จานวน 4 คน คิดเปน็ ร้อยละ 23.53 และมีความพึงพอใจในระดับปานกลาง จานวน 3 คน คิดเป็นร้อยละ 17.65
41 ภำพกจิ กรรม
42
43 1. นายผาด สวุ รรณรัตน์ คณะผจู้ ัดทำ 2. นางสาวพรสุดา ฤทธธิ าดา 3. นางปุญชิดา ปัญญามี ตาแหนง่ นกั พฒั นาสงั คมชานาญการพิเศษ 4. นายวริ ตั น์ สุภารักษ์ ตาแหนง่ นักพัฒนาสงั คมชานาญการ 5. นางสุทธนิ ันท์ สนี ามโหนง่ ตาแหนง่ นกั พฒั นาสังคมปฏิบตั กิ าร 6. นางสาวชฎารัตน์ ไชยสิงห์ ตาแหนง่ พนักงานบริการ ตาแหนง่ พนักงานบรกิ าร ตาแหน่ง เจา้ หนา้ ท่ีศูนย์บริการวิชาการฯ
44
Search
Read the Text Version
- 1 - 48
Pages: