สรุปผลการดาเนินงานการพัฒนาระบบเครือข่ายของสานักงานส่งเสริมและ สนับสนุนวชิ าการ ๗ ระหวา่ งปี ๒๕๔๘ – ๒๕๕๘ จัดทำโดย สำนักงำนส่งเสรมิ และสนับสนุนวิชำกำร ๗ จงั หวัดกำฬสนิ ธ์ุ สำนักงำนปลัดกระทรวงกำรพฒั นำสังคมและควำมมน่ั คงของมนุษย์
คำนำ สรุปผลกำรดำเนินงำนพัฒนำระบบเครือข่ำยของสำนักงำนส่งเสริมและสนับสนุนวิชำกำร ๗ ระหวำ่ งปี ๒๕๔๘ – ๒๕๕๘ เลม่ นถ้ี ูกจดั ทำ ในโอกำสท่ีกระทรวงกำรพัฒนำสังคมและควำมมั่นคงของ มนุษย์ได้มีกำรปรับปรุงโครงสร้ำงกระทรวงและได้ปรับเปลี่ยนบทบำทภำรกิจหน่วยงำนภำยใน กระทรวงโดยหลักกำรท่ีสำคัญในกำรปรับปรุงโครงสร้ำงกระทรวงครั้งน้ี คือกำรจัดต้ังกรมท่ีมีภำรกิจ เฉพำะกลุ่มเป้ำหมำยที่ชัดเจน และในกำรปรับเปล่ียนน้ี สำนักงำนส่งเสริมและสนับสนุนวิชำกำร ๗ (สสว.๗) ซง่ึ กอ่ นทจี่ ะมีกำรปรบั เปลย่ี นน้นั ได้สงั กดั อยู่ในกรมพัฒนำสังคมและสวัสดิกำร และมีบทบำท ตำมภำรกิจท่ีสำคัญข้อหน่ึง คือ กำรเสริมสร้ำงให้เกิดระบบเครือข่ำยกำรพัฒนำสังคมให้มี ประสิทธิภำพ ซึ่ง สสว.๗ ก็ได้ดำเนินงำนมำตั้งแต่มี ๒๕๔๘ ถึงปี ๒๕๕๘ โดยระหว่ำง ๑๐ ปี ท่ี ดำเนินงำนด้ำนระบบเครือข่ำยมีวิวัฒนำกำรท่ีเคลื่อนไหวตลอดเวลำ รวมทั้งปัญหำอุปสรรคต่ำงๆใน กำรดำเนนิ งำน ไม่ว่ำจะเป็นเรื่องกำรถูกเข้ำใจผิดว่ำไปสร้ำงเครือข่ำยท่ีซ้ำซ้อนกับหน่วยงำนในจังหวัด เช่นระหว่ำง ปี ๒๕๔๘ – ๒๕๕๔ สสว.๗ ได้ดำเนินกำรเสริมสร้ำงเครือข่ำยพัฒนำสังคมและควำม มัน่ คงของมนษุ ยร์ ะดับตำบล โดยหลักกำรของ กำรพัฒนำระบบเครือข่ำยของ สสว.๗ นั้นแท้จริง มิได้ ไปสร้ำงเครือข่ำยข้ึนใหม่ แต่เป็นกำรไปพัฒนำศักยภำพของเครือข่ำยท่ีมีอยู่แล้วในพ้ืนที่ ไม่ว่ำจะเป็น เครือข่ำยที่ได้รับกำรจัดตั้งจำกภำยในกระทรวงเอง เช่น ศูนย์พัฒนำครอบครัวในชุมชน (ศพค.) อำสำสมัครพัฒนำสังคมและควำมม่ันคงของมนุษย์ (อพม.) และเครือข่ำยท่ีอยู่ในพื้นท่ี กำนัน ผู้ใหญ่บ้ำน ปรำชญ์ชำวบ้ำน ผู้นำศำสนำ เพ่ือส่งเสริมให้ภำคีเครือข่ำยเหล่ำนั้นมีโอกำสเข้ำมำพบปะ พูดคุย และถือเป็นศูนย์กลำงด้ำนสังคมท่ีจะประสำนควำมร่วมมือระหว่ำงชุมชนกับ หน่วยงำน ภำยนอก แต่เนื่องจำกขำดกำรประชำสัมพันธ์กำรสร้ำงควำมเข้ำใจร่วมกันระหว่ำงหน่วยงำน จึงเกิด ควำมเข้ำใจผิดในเรื่องควำมซ้ำซ้อน ซ่ึง หน่วยงำนภำยในจังหวัดมองว่ำ มีลักษณะใกล้เคียงกับศูนย์ พัฒนำครอบครัวในชุมชน หรือกำรไปสร้ำงตัวแทนใหม่ท่ีซ้ำซ้อนกับ อพม. หลังจำกนั้น สสว.๗ จึงได้ ปรับเปลี่ยนวิธีกำรทำงำน โดยมุ่งเน้นไปท่ีกำรเสริมสร้ำงระบบเครือข่ำยระดับอำเภอ โดยมี Roadmap ปี ๒๕๕๖ – ๒๕๕๘ อย่ำงชัดเจน โดยมุ่งท่ีกระบวนกำรยกเลิกกำรสร้ำงเครือข่ำยขึ้นใหม่ แตจ่ ะทำอย่ำงไรให้ เครือขำ่ ยตำ่ งๆทเี่ กดิ ขนึ้ ในอำเภอจะสำมำรถเข้ำมำพดู คุยเพ่ือมีจุดศูนย์กลำงในกำร ทำงำนด้ำนกำรพัฒนำสังคมอย่ำงชัดเจน โดยมองไปที่ประเด็นว่ำเครือข่ำยต่ำงๆซ่ึงมีอยู่มำกมำย ทำงำนกันคนละประเด็นเช่น เครือข่ำยที่ทำงำนด้ำนเด็ก ด้ำนผู้สูงอำยุ ด้ำนคนพิกำรด้ำนสตรี รวมท้ัง เครือขำ่ ยที่มิได้กำหนดกลุ่มเป้ำหมำยในกำรช่วยเหลือสังคมอย่ำงชัดเจน เข้ำมำประสำนควำมร่วมมือ เพื่อท่ีจะเป็นแกนกลำงในกำรประสำนงำนร่วมกันในภำพของอำเภอ และจะพัฒนำไปเป็นตัวแทน ประสำนงำนระดบั จังหวัดและกลุ่มจังหวัดต่อไป แต่ด้วยกำรปรับเปล่ียนบทบำทภำรกิจตำมที่ได้กล่ำว ไว้เบ้ืองต้น ทำให้งำนด้ำนกำรพัฒนำเครือข่ำยยังอยู่ที่กรมพัฒนำสังคมและสวัสดิกำรเหมือนเดิม แต่ สสว. ได้ปรับย้ำยไปสังกัด สำนักงำนปลัดกระทรวงกำรพัฒนำสังคมและควำมม่ันคงของมนุษย์แทน ซึ่งบทบำทด้ำนเครอื ข่ำยสสว. ก็จะไม่ไดร้ ับผิดชอบโดยตรงอีกต่อไป
สรุปผลกำรดำเนินงำนเล่มน้ีจึงเสมือนเป็นประวิติศำสตร์กำรทำงำนในเร่ืองเครือข่ำย ในช่วงเวลำ ๑๐ ปี ซ่ึงในเน้ือหำจะประกอบไปด้วย กำรดำเนินงำนด้ำนเครือข่ำยในยุคต่ำงๆ ซ่ึงจะมีทั้งสิ่งท่ีเกิดข้ึนในด้ำนต่ำงๆ ทั้งปัญหำอุปสรรค ปัจจัยควำมสำเร็จ ข้ันตอนกำรดำเนินงำนต่ำงๆ ซ่ึงทำง สสว.๗ หวังว่ำสรุปผลกำร ดำเนินงำนเลม่ น้ีจะเปน็ ประโยชน์ ตอ่ หน่วยงำนตำ่ งๆท่ดี ำเนนิ งำนด้ำนเครือข่ำยในแง่ต่ำงๆ จะสำมำรถนำเกร็ด เลก็ เกร็ดนอ้ ย ขอ้ ผิดพลำด ควำมสำเรจ็ ไปปรับใช้ในกำรดำเนนิ งำนเร่อื งเครอื ขำ่ ยตอ่ ไป สุดท้ำยน้ีถึงแม้ว่ำ สสว.๗ จะไม่ได้ดำเนินงำนด้ำนกำรพัฒนำระบบเครือข่ำยโดยตรงอีกต่อไป แต่ เครือข่ำยที่ สสว.๗ ได้ร่วมทำงำนมำด้วยกันก็ยังจะเป็นเครื่องมือในกำรดำเนินงำนต่ำงๆ ในกำรขับเคล่ือนงำน ของกระทรวงกำรพัฒนำสังคมและด้ำนกำรส่งเสริมสนับสนุนวิชำกำรด้ำนกำรพัฒนำสังคม เพ่ือประโยชน์สุข ของกล่มุ เป้ำหมำย และประชำชนโดยรวมตอ่ ไป ด้วยจิตคารวะ สสว.๗ ตุลาคม ๒๕๕๘
1 บทท่ี ๑ ประวัตศิ าสตร์การทางานพัฒนาระบบเครอื ข่าย ระหว่างปี ๒๕๔๘ – ๒๕๕๘ ช่วงที่ ๑ ระหวา่ งปี ๒๕๔๘ – ๒๕๕๔ ยุคเริ่มตน้ กอ่ รา่ งเครอื ข่ายตาบล บม่ เพาะสรา้ งครู ก. ประวิติความเป็นมา ภารกิจบทบาทของ สสว. ในข้อหนึ่งคือ การเสริมสร้างให้เกิดระบบเครือข่ายการพัฒนาสังคมให้มี ประสิทธิภาพ ทาให้คณะทางานขับเคล่ือนคิดแผนงานโครงการของ สสว. ซึ่งถือเป็นยุคแรกๆของการก่อตั้ง สสว. จะทาอย่างไรให้ตอบโจทย์ภารกิจในด้านการ พัฒนาระบบเครือข่าย ซึ่งในที่สุดจากการเปิดเวที การ ปรึกษาอาจารย์มหาวิทยาลัย เป็นท่ีปรึกษาเพ่ือที่จะสามารถขับเคลื่อนแนวทางการพัฒนาเครือข่ายให้เป็น รูปธรรม จึงเกิดโครงการ เสริมสร้างเครือข่ายพัฒนาสังคมและความม่ันคงของมนุษย์ระดับตาบล (เครือข่าย พม. ระดับตาบล) โดยทาง สสว.ได้จัดทาคู่มือการเสริมสร้างเครือข่ายพัฒนาสังคมและความม่ันคงของมนุษย์ ระดับตาบล (เครือข่าย พม. ระดับตาบล) โดย สสว. ๑ – ๑๒ ได้เร่ิมดาเนินงานเสริมสร้างเครือข่ายระดับ ตาบล โดยเน้นกิจกรรมในการพัฒนาศักยภาพของเครือข่าย คือ การจัดตั้งกองทุนสวัสดิการชุมชน หรือ กองทุนวันละบาท ท้ังท่ีโดยแท้จริง การจัดตั้งกองทุนสวัสดิการชุมชน เป็นแนวคิดการดาเนินงานของ สถาบัน พัฒนาองคก์ ารชุมชน หรือ พอช. แต่ สสว.ก็ถือเป็นการช่วยริเริ่ม จุดประกายอีกทาง ในการดาเนินการเริ่มต้น ได้รับความสนใจจากชุมชนเป็นอย่างมาก และถือเป็นการประชาสัมพันธ์หน่วยงานของกระทรวงการพัฒนา สังคมและความม่ันคงของมนุษย์ การได้รับความสนใจจากชุมชนท่ีแพร่หลายน้ันต้องยอมรับว่า สสว. มี เครือ่ งมอื ในการขบั เคล่ือนดา้ นงบประมาณสนับสนุนต่อคณะกรรมการเครือข่าย ได้แก่ เงินช่วยเหลือผู้มีรายได้ นอ้ ย เงินชว่ ยเหลือผ้ตู ิดเชอื้ ทนุ ประกอบอาชีพระยะส้นั ซง่ึ เงนิ ทนุ หรอื โครงการดงั กล่าวเสมือนเป็นเคร่ืองมือให้ คณะกรรมการเครือข่ายได้ช่วยคัดเลือกผู้ได้รับผลกระทบในพ้ืนที่ตาบล ทาให้เครือข่ายมีกิจกรรมในการ ดาเนนิ งานเบื้องต้น ซ่ึงจะนาไปสกู่ ารดาเนนิ กจิ กรรมจัดสวสั ดกิ ารแกก่ ลมุ่ เป้าหมายในตาบลต่อไป - เสริมสร้างเครือข่ายพัฒนาสังคมและความม่ันคงของมนุษย์ระดับตาบล (เครือข่าย พม. ระดับตาบล) ในเขตพื้นที่ สสว.๗ เป้าหมาย ๙๗๖ ตาบล จานวนที่สร้าง ๔๕๗ ตาบล สรุปผลการดาเนินงานการพฒั นาระบบเครือขา่ ยของสานกั งานสง่ เสริมและสนบั สนนุ วิชาการ7 หนา้ 1
2 เครือข่าย พม. คือ เครือข่ายพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (Social Development and Human Security Network) เป็นแนวคิอของการสร้างความร่วมมือในการทางาน เป็นรูปแบบทางสังคม ที่เปิดโอกาส ให้เกิดการปฏิสัมพันธ์ระหว่างองค์กร เพื่อแลกเปล่ียน การสร้างความเป็นอันหนึ่งเดียวกัน และการมีส่วนร่วม ในการทางาน ความคาดหวงั ต่อ เครอื ข่าย พม.ระดบั ตาบล - ก่อให้เกิดการรวมพลังทุนทางสังคม ในการแก้ไขปัญหาสังคมร่วมกันอย่างเป็นระบบ และสามารถ บรู ณาการการทางานกันได้ ตลอดจนใชท้ รัพยากรท่ีมอี ยู่ใหเ้ กิดประโยชนส์ ูงสดุ - มีการเชอื่ มโยงขอ้ มลู ทางดา้ นสังคมอย่างเป็นระบบ - ตอบสนองการปอ้ งกนั การแกไ้ ขปญั หาสงั คม และการพฒั นาสังคมไดอ้ ยา่ งท่วั ถึงและมปี ระสทิ ธภิ าพ - ก่อให้เกิดการพฒั นาสงั คมและความมนั่ คงของมนุษย์ในชุมชนอย่างยง่ั ยืน บทบาทหน้าที่ เครอื ข่าย พม.ระดับตาบล - เป็นศนู ย์รวมของผู้ปฏิบตั งิ านด้านพฒั นาสังคมและการจัดสวัสดกิ ารในตาบล - จัดประชุมวิเคราะห์สถานการณ์ทางสังคมท่ีเกิดขึ้นในพื้นที่ตาบล และนอกพ้ืนท่ีตาบลที่ส่งผลกระทบ ถึงความเป็นอย่ขู องประชาชนในตาบล - จดั ทาแผนงาน/โครงการพัฒนาสังคมและจัดสวัสดิการของตาบล - เป็นศูนย์ประสานงานข้อมูลและแผนงานด้านการพัฒนาสังคมและการจัดสวัสดิการของตาบลกับ หน่วยงาน องคก์ ร และกลุม่ ตา่ งๆทด่ี าเนนิ งานในพ้นื ที่ตาบล - จัดกิจกรรมแก้ไขปัญหาและเฝ้าระวังปัญหาทางสังคม ท่ีกระทบต่อความเป็นอยู่ของประชาชนใน ตาบล การเสรมิ สรา้ งเครือข่าย พม. ระดบั ตาบล การคัดเลือกตาบลเป้าหมายและการประสานการจัด เวทปี ระชาคม - ศึกษารปู แบบข้อมูลสภาพปัญหาและศักยภาพของตาบล - พบปะผู้นาในตาบล ได้แก่ นายกองค์การบริหารส่วนตาบลและคณะผู้บริหาร อบต. กานัน ผูใ้ หญบ่ ้าน ฯลฯ เพอื่ สรา้ งความเขา้ ใจเร่ืองเครือขา่ ย พม. ระดับตาบล - การประสาน อปท.และแกนนาเพื่อเตรียมการก่อนการจัดเวทีประชาคมและคัดเลือกแกนนาและ ภาคีหนนุ เสริม ท่เี ข้ารว่ มเวทปี ระชาคมตาบล แกนนาตาบลน่าจะเปน็ ใครบา้ ง ในตาบลหนึ่งๆ จะมีคน กลุ่ม องค์กร ที่มีเป้าหมายการทางานร่วมกันในการพัฒนาคุณภาพชีวิต รวมถงึ การจัดสวสั ดิการในชุมชน เชน่ สรุปผลการดาเนินงานการพฒั นาระบบเครือขา่ ยของสานกั งานสง่ เสริมและสนบั สนนุ วชิ าการ7 หนา้ 2
3 - อาสาสมัครพัฒนาสังคมและความม่ันคงของมนุษย์ (อพม.) หมู่บ้าน / อสม.อาสาสมัคร ประชาสงเคราะห์ / ผู้นาอาสาพัฒนาสังคม / อาสาสมัครดูแลผู้สูงอายุ / อาสาสมัครพัฒนาชุมชน / อาสาสมัครแรงงาน และอาสาสมัครอื่นๆ - กานัน ผใู้ หญ่บ้าน ผู้นาชุมชน สมาชิก อบต. / สมาชิกเทศบาล ประชาคมหมู่บ้าน / ชุมชน/ตาบล กรรมการศนู ย์สงเคราะหร์ าษฎรประจาหมบู่ ้าน กรรมการศูนย์พฒั นาครอบครัวในชุมชน - ตัวแทนกลมุ่ อาชพี สาขาต่างๆ / กลมุ่ ออมทรพั ย์ / กองทุนหมู่บ้าน /สหกรณ์ - ตวั แทนกลุ่มเป้าหมายตา่ งๆ เชน่ กลมุ่ ผสู้ งู อายุ กลุ่มคนพิการ กลมุ่ เยาวชน กลมุ่ ผตู้ ิดเช้ือเอดส์ กลุ่ม สตรี - ผนู้ าศาสนา ปราชญช์ าวบ้าน ฯลฯ ปญั หาอปุ สรรค - ขาดการประสานงานกบั หน่วยงานราชการในพืน้ ท่ี - ความเข้าในผดิ จากหนว่ ยงานในพน้ื ท่ใี นดา้ นการสร้างเครอื ขา่ ยทซ่ี ้าซอ้ น ปจั จยั ความสาเร็จ - ผู้นา คณะกรรมการ มีความเข้มแข็ง เขา้ ใจกระบวนการทางาน - องคก์ รปกครองส่วนทอ้ งถ่นิ ใหค้ วามสาคญั ในการดาเนนิ งาน และเปน็ สว่ นสนบั สนนุ ที่สาคญั - ชมุ ชนได้มีการคน้ หาศกั ยภาพ นามาส่แู ผนปฏิบตั ทิ ่ตี รงตามความต้องการของชมุ ชน ข้อเสนอแนะ - การขับเคลื่อนงานด้านเครือข่ายควรมีเอกภาพและต้องอาศัยความร่วมมือจากหน่วยงานทุกภาค ส่วน - การประชาสัมพนั ธ์สร้างความเข้าใจต่อหนว่ ยงานต่างๆให้ชดั เจน ผลทีเ่ กิดข้นึ จรงิ - เกดิ คณะกรรมการเครอื ข่ายทเี่ ข้มแข็ง ซึ่งถือเป็นเครือข่ายท่ีทางานร่วมกับ สสว. รวมถึงกระทรวง การพัฒนาสงั คมและความม่นั คงของมนุษยจ์ นถงึ ปจั จุบนั - เกิดกองทุนสวัสดิการชุมชนข้ึนซ่ึงถือเป็นเคร่ืองมือในการทางานของคณะกรรมการ และยังได้จัด สวสั ดิการใหแ้ ก่สมาชกิ - องคก์ รปกครองสว่ นท้องถน่ิ ใหค้ วามสาคัญกับการจัดสรรงบประมาณทางดา้ นสังคมมากข้นึ - ผลการดาเนินงานเสริมสร้างเครอื ข่ายพฒั นาสงั คมและความมั่นคงของมนษุ ยร์ ะดบั ตาบล - เปา้ หมาย ในพื้นทร่ี ับผดิ ชอบของสานกั งานสง่ เสริมและสนับสนุนวิชาการ ๗ - ผลการดาเนนิ งาน - ภารกจิ ของสานักงานสง่ เสริมและสนับสนนุ วิชาการ ๑-๑๒ ตามพระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม พ.ศ. ๒๕๔๕ ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เม่ือวันที่ ๘ ตุลาคม ๑๕๔๕ ข้อ ๓ . สรุปผลการดาเนินงานการพฒั นาระบบเครือขา่ ยของสานกั งานสง่ เสริมและสนบั สนนุ วชิ าการ7 หนา้ 3
4 สง่ เสรมิ และสนับสนุนให้เกิดระบบเครือข่ายของทุกภาคส่วนในการพัฒนาสังคม การจัดสวัสดิการ สงั คม และการคุม้ ครองพทิ กั ษส์ ทิ ธขิ องแต่ละกลุ่มเป้าหมายและแต่ละกล่มุ จงั หวดั - สานักงานส่งเสริมและสนับสนุนวิชาการ ๑-๑๒ กรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ กระทรวงการ พัฒนาสังคมและความม่ันคงของมนุษย์ ได้ร่วมกันทาการศึกษาเรื่อง โครงการศึกษารูปแบบการ เสริมสรา้ งเครือข่ายพัฒนาสังคมและสวัสดิการ เมื่อปี ฑ.ศ.๒๔๕๗ เพ่ือหาแนวทางการเสริมสร้าง เครือข่ายพัฒนาสังคมและสวัสดิการ ที่เหมาะสมกับภารกิจหน้าท่ีและสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ การดาเนินงานด้านเครือข่าย และได้จัดทาคู่มือการเสริมสร้างเครือข่ายพัฒนาสังคมและความ ม่ันคงของมนุษย์ระดับตาบล เพื่อใช้เป็นแนวทางในการเสริมสร้างเครือข่ายพัฒนาสังคมและ สวสั ดิการความมัน่ คงของมนษุ ย์ในระดบั ตาบล - โดย เครือข่ายพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ( เครือข่าย พม.ระดับตาบล ) เป็นแนวคิด ของการสรา้ งความร่วมมือในการทางาน เป็นรูปแบบทางสังคมท่ีเปิดโอกาสให้เกิดการปฏิสัมพันธ์ ระหวา่ งองคก์ ร เพอ่ื แลกเปล่ยี น การสร้างความเป็นอันหน่ึงอันเดียวกัน และการมีส่วนร่วมในการ ทางาน - เครือข่าย พม.ระดบั ตาบลประกอบด้วย บุคคล กลุ่ม องค์กรในพื้นที่ตาบลที่มาประสานกัน มเี ป้าหมายการทางานรว่ มกนั และบุคคล กลุ่ม องค์กรเหลา่ นมี้ ีฐานะเท่าเทยี มกนั - เครือขา่ ย พม.ระดบั ตาบลมวี ัตถปุ ระสงค์ ดังนี้ - - เพ่ือสนับสนุนให้ กลุ่ม องค์กร ในตาบลรวมตังกันและมีส่วนร่วมพัฒนาสังคมและ จดั สวสั ดิการชุมชนอยา่ งเปน็ ระบบ - - เพือ่ เป็นเวทแี หง่ การเรยี นรู้ และแลกเปลยี่ นประสบการณง์ านพฒั นาสังคมและความ มนั่ คงของมนษุ ย์ระดบั ตาบล - - เพ่ือสร้างโอกาสการเข้าถึงบริการด้านการพัฒนาสังคมและจัดสวัสดิการของ ประชาชนกลุ่มเป้าหมายครอบคลมุ ทุกพ้ืนที่ - สานักงานส่งเสรมและสนับสนุนวิชาการ ๗ ได้ดาเนินการจัดเวทีประชาคมเสริมสร้างเครือข่าย พัฒนาสังคมและสวัสดิการ ระดับตาบล โดย ประสานหน่วยงานสังกัดกระทรวงการพัฒนาสังคม และความม่ันคงของมนุษย์ในพ้ืนท่ี และองค์การปกครองส่วนท้องถ่ิน เชิญแกนนา ตัวแทนกลุ่ม องค์กร ผนู้ าท้องถิ่น ผู้นาท้องที่ ตัวแทนกลุ่มเป้าหมาย ปราชญ์ชาวบ้าน อาสาสมัครท่ีมีเป้าหมาย ในการทางานร่วมกันในการพัฒนาคุณภาพชีวิต รวมถึงการจัดสวัสดิการในชุมชน มาร่วมประชุม เชิงปฏิบัติการ เวทีประชาคมเสริมสร้างเครือข่ายพัฒนาสังคมและสวัสดิการ ระดับตาบล ซึ่งมี ข้นั ตอนกระบวนการในการจัดเวทีประชาคม ดงั น้ี - - กล่าวตอ้ นรับผรู้ ว่ มเวทปี ระชาคม - - แนะนาผดู้ าเนินการ / ผ้รู ว่ มเวทีประชาคม - - ช้แี จงวัตถุประสงค์การจดั เวทีประชาคม - - สถานการณ์สังคมไทยในยคุ การเปลี่ยนแปลง - - เวทีเสวนา สถานการณ์ทางสังคมในระดับตาบล โดยมีประเด็นเสวนา ดังนี้ สังคมใน ระดับชุมชนในปัจจุบันเป็นอย่างไร ส่งผลกระทบต่อครอบครัวชุมชนอย่างไรบ้าง ชุมชนคาดหวัง สงั คมในอนาคตอย่างไรบ้าง และใครบ้างจะชว่ ยทาใหเ้ ป็นตามทค่ี าดหวัง - - เครือข่าย พม.ระดับตาบล ความหมาย ความสาคัญ จาเป็น ความคาดหวัง บทบาท หนา้ ที่ องค์ประกอบ แนวทางในการดาเนินงาน ร่วมกันสรรหาคณะกรรมการเครือข่าย พม.ตาบล สรุปผลการดาเนินงานการพฒั นาระบบเครือขา่ ยของสานกั งานสง่ เสริมและสนบั สนนุ วิชาการ7 หนา้ 4
5 - - ประชุมคณะกรรมการเครอื ข่าย พม.ระดบั ตาบล - จากการจัดประชุมเชิงปฏิบัติการ เวทีเสริมสร้างเครือข่ายพัฒนาสังคมและสวัสดิการ ของ คณะวิทยากรกระบวนการของสานักงานส่งเสริมและสนับสนุนวิชาการ ๗ ในระหว่างปี พ.ศ. ๒๕๔๗ – พ.ศ. ๒๕๕๔ มีผลการดาเนนิ งานดังนี้ - ก่อให้เกิด เครือข่ายพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ระดับตาบล จานวน ๔๕๗ ตาบล - คณะกรรมการท่ีก่อเกิดจากเวทีประชาคมเสริมสร้างเครือข่าย พม.ระดับตาบล มีการ ขับเคล่ือนงานพัฒนาสังคมและสวัสดิการ ร่วมกับ หน่วยงานองค์การบริหารส่วนท้องถ่ิน และ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะหน่วยงานสังกัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความม่ันคงของ มนษุ ย์ อาทิ การซ่อมแซมที่อย่อู าศัยของผู้สูงอายุ การซ่อมแซมสถานท่ที ากิจกรรมสาหรับผู้สูงอายุ การให้ทุนการศึกษาเด็ก การให้ทุนผู้ติดเชื้อเอดส์ การฝึกอบรมอาชีพระยะส้ันแก่เด็กในวัยเรียน ทาให้ผู้ประสบปัญหาทางสังคมได้รับการช่วยเหลือ คณะกรรมการเครือข่าย พม.ตาบลได้เรียนรู้ สงั่ สมประสบการณ์ในการทางานด้านการพฒั นาสังคมและการจดั สวัสดกิ ารสงั คม - สานักงานส่งเสริมและสนับสนุนวิชาการ ๗ ได้ดาเนินการติดตามและพัฒนาศักยภาพ เครือข่าย พม.ระดับตาบล โดย การเชิญคณะกรรมการเครือข่าย พม.ระดับตาบล และเจ้าหน้าที่ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเข้าร่วมประชุมเชิงปฏิบัติการ และศึกษาดูงานการดาเนินการของ กองทุนสวัสดิการชุมชน เพื่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้การพัฒนาสังคมและการจัดสวัสดิการ สังคม ด้วยกระบวนการสง่ เสริมให้เกดิ กองทนุ สวัสดกิ ารชมุ ชนในระดับตาบล ดงั น้ี - - ศกึ ษาดูงานกองทนุ สวสั ดิการชุมชนุ - - ประชุมเชิงปฏิบัติการ คณะกรรมการเครือข่าย พม.ระดับตาบล โดยมี เจ้าหน้าที่องค์กรปกครองส่วนท้องถ่ินเป็นที่ปรึกษา เพ่ือกาหนดแนวทางในการพัฒนาสังคมและ จดั สวัสดิการเปน็ แผนปฏิบตั ิการของเครือขา่ ย - - สนับสนุนทรัพยากรในการดาเนินงานตามแผนปฏิบัติการของเครือข่าย รวมท้ังปัจจยั กระตนุ้ และสรา้ งขวญั กาลังใจในการดาเนินงานของคณะกรรมการเครือขา่ ย - จากการดาเนินการติดตามและพัฒนาศักยภาพเครือข่าย พม.ระดับตาบล ตาม กระบวนการข้างต้นส่งผลทาให้คณะกรรมการเครือข่ายมีส่วนอย่างสาคัญในการผลักดันให้เกิด กองทุนสวัสดิการชุมชน ในระดับตาบลทาให้คนในชุมชนเกิดการรวมตัว รวมพลังทุนทางสังคม เกิดระบบสวัสดิการที่เกิดจากคนในชุมชนดูแลช่วยเหลือซึ่งกันและกัน มีความเคลื่อนไหวไม่หยุด น่งิ และยงั่ ยืน - - ปัญหาอุปสรรค - การสนบั สนนุ ทรัพยากรสนับสนนุ การดาเนินงานไมต่ อ่ เนื่อง - ปจั จยั ความสาเร็จ - มกี ระบวนงานท่ชี ัดเจน - มที รัพยากรในการสนับสนนุ การปฏิบัตงิ าน - ขอ้ เสนอแนะ - - สนบั สนุนทรัพยากรในการดาเนินงานของเครือขา่ ยฯใหต้ ่อเนอ่ื ง สรุปผลการดาเนินงานการพฒั นาระบบเครือขา่ ยของสานกั งานสง่ เสริมและสนบั สนนุ วิชาการ7 หนา้ 5
6 สรุปผลการดาเนินงานการพฒั นาระบบเครือขา่ ยของสานกั งานสง่ เสริมและสนบั สนนุ วิชาการ7 หนา้ 6
7 สรุปผลการดาเนินงานการพฒั นาระบบเครือขา่ ยของสานกั งานสง่ เสริมและสนบั สนนุ วิชาการ7 หนา้ 7
8 สรุปผลการดาเนินงานการพฒั นาระบบเครือขา่ ยของสานกั งานสง่ เสริมและสนบั สนนุ วิชาการ7 หนา้ 8
9 ช่วงที่ ๒ ระหว่างปี ๒๕๕๔ – ๒๕๕๖ “ทบทวนตัวเอง วางบทบาทเป็นผู้พัฒนา สร้างแผน ROAD MAP” ประวัติความเป็นมา - หยดุ สรา้ งเครือขา่ ย พม ตาบล การดาเนินงานเสริมสร้างเครือข่ายพัฒนาสังคมและความม่ันคงของมนุษย์ระดับตาบล (เครือขา่ ย พม. ระดบั ตาบล) สสว.๗ ซงึ่ ได้ดาเนินงานมาต้ังแต่ พ.ศ. ๒๕๔๘ – ๒๕๕๔ ซึ่งได้เสริมสร้าง มาได้เป้าหมายกว่าคร่ึง ซ่ึงพ้ืนท่ีตาบลในเขต สสว.๗ มีอยู่ทั้งส้ิน๙๗๖ ตาบล ได้ดาเนินการเสริมสร้าง ๔๕๗ ตาบล โดยในการวัดผลความสาเร็จของการพัฒนาเครือข่ายที่ได้สร้างไปแล้วน้ัน สสว.ทั้ง ๑๒ เขต มีเครื่องมือในการพัฒนาคือ แบบ คพม.๓ ซึ่งเป็นแบบท่ีมีรายละเอียดในการวัดผลการ ดาเนนิ งานของเครือข่าย ซ่ึงจะทาการสัมภาษณ์ คณะกรรมการ ตาบลอย่างน้อย ๕ ชุด แบบสอบถาม ประกอบไปด้วยรายระเอียดในเร่ืองของ ผลการดาเนินงานในรอบปีท่ีผ่านมา ว่ามีการจัดประชุม คณะกรรมการมากน้อยอย่างไร มีแผนงานในการดาเนินงานเช่นไร มีกิจกรรมในการจัดสวัสดิการหรือ การพัฒนาสังคมแก่กลุ่มเป้าหมายอย่างไร และสามารถจัดหางบประมาณได้เองมาดาเนินกิจกรรม หรือไม่ ซ่ึงจากการวัดผลนั้นจะให้คะแนนเครือข่ายเป็นระดับ ซึ่งหากมีคะแนนในระดับต่าจาเป็นต้อง ได้รับการพัฒนาศักยภาพเพ่ือท่ีจะให้ข้ึนมาสู่เครือข่ายคุณภาพ แต่อย่างไรก็ดีในยุคเร่ิมต้นของการ สร้างเครือข่ายตามที่ได้กล่าวมา สสว.๗ มีเคร่ืองไม้เครื่องมือด้านงบประมาณท่ีถือเป็น กิจกรรมเสริม เริ่มต้นให้เครือข่ายสามารถดาเนินการต่อไปได้ แต่ผลท่ีเกิดขึ้น เมื่อ สสว.๗ ถอยออกมาโดยไม่ได้ สนบั สนุนงบประมาณในการดาเนินงาน เครือขา่ ยโดยสว่ นมากจะไม่สามารถที่จะดาเนินงานต่อได้ โดย ขาดปัจจัยในด้านงบประมาณ อีกท้ังคณะกรรมการเครือข่าย น้ันล้วนมีภารกิจการเป็นเครือข่ายของ หนว่ ยงานตา่ งๆ หรอื “สวมหมวกหลายใบ” ทาให้เกดิ ความสับสนในการทางาน อกี ทง้ั เมื่อไม่มี สสว.๗ มากระตุ้นเตือนการทางานบางคร้ังก็ขาดความต่อเนื่องในการดาเนินงาน อีกทั้งการขาดความร่วมมือ จากหนว่ ยงานในพื้นท่ี อนั เนอื่ งมาจากเกิดความเขา้ ใจผดิ ในดา้ นการสร้างเครือขา่ ยที่ซ้าซ้อนทาให้ไม่ได้ รับการสนับสนนุ ทีเ่ พยี งพอ ทาให้เครือข่ายบางพ้ืนที่ก็หยุดดาเนินการไป จากปัจจัยเหล่าน้ีทาให้ สสว. ทง้ั ๑๒ เขต ซ่ึงประสบปัญหาอย่างเดยี วกันตอ้ งหนั มาพดู คยุ ปรบั กระบวนการคิด ซึ่งท้ายท่ีสุดแนวทาง ที่จะให้เครือข่ายเข้มแข็งอย่างแท้จริง คือการท่ีเครือข่ายสามารถบริหารจัดการด้วยตัวเองได้ มี งบประมาณในการดาเนินงาน ซ่ึงช่องทางหน่ึงท่ีจะผลักดันไปสู่จุดนั้นได้คือ การประชาสัมพันธ์ ชอ่ งทางในการเข้าถึงงบประมาณ เช่น การสนับสนุนจาก อปท. การเข้าถึงกองทุนต่างๆ และท่ีสาคัญ คือการจดทะเบียนเป็นองค์กรสวัสดิการชุม หรือ องค์กรสาธารณะประโยชน์ ซ่ึงจะนาไปสู่การขอรับ ทนุ สนบั สนุนจากกองทนุ หลัก ของกระทรวงการพฒั นาสงั คมตอ่ ไป - จดั ทา Road Map การเสริมสรา้ งระบบเครอื ขา่ ยการพัฒนาสังคมและสวสั ดิการ ปี ๒๕๕๖ – ๒๕๕๘ สรุปผลการดาเนินงานการพฒั นาระบบเครือขา่ ยของสานกั งานสง่ เสริมและสนบั สนนุ วิชาการ7 หนา้ 9
10 จากการถอดบทเรียนเร่ืองการดาเนินงานเสริมสร้างเครือข่าย พม.ระดับตาบล คณะทางาน ของ สสว.ท้ัง ๑๒ เขต ก็ได้ข้อสรุปท่ีตรงกันในการหยุดสร้างเครือข่ายระดับตาบล จากสภาพปัญหาที่ ได้กล่าวมา และไปพัฒนาเครือข่ายท่ีมีอยู่ และการที่จะมุ่งสู่การจัดระบบเครือข่ายอย่างแท้จริง โดยมี ทิศทางที่ตั้งไว้ คือ ไม่สร้างเครือข่ายใหม่ พัฒนาเครือข่ายท่ีมีอยู่แล้ว จัดระบบให้เครือข่ายที่มีอยู่แล้ ว ให้มกี ารเช่อื มตอ่ ประสานงานซ่ึงกันและกนั จึงนามาสู่การกาหนดแผนระยะกลาง ๓ ปี หรือ การจัดทา Road map การเสริมสร้างระบบเครือข่ายที่ชดั เจน สรุปผลการดาเนนิ งานการพฒั นาระบบเครือขา่ ยของสานกั งานสง่ เสริมและสนบั สนนุ วิชาการ7 หนา้ 10
11 ช่วงที่ ๓ ระหว่างปี ๒๕๕๖ – ๒๕๕๘ “สิ้นสุดพันธกิจ มุ่งพัฒนาระบบเครือข่าย จับมือ เครอื ขา่ ยทีม่ อี ยมู่ ่งุ จัดสวัสดิการ” เปา้ หมาย ระบบเครอื ข่าย ๑๑๘ อาเภอ ระบบเครือขา่ ยระดบั จังหวดั ๘ จงั หวดั สน้ิ สดุ พันธกิจการพัฒนาระบบเครอื ขา่ ย หลังจากท่ี สสว. ๑ - ๑๒ ได้กาหนด แผนการดาเนินงานเสริมสร้างระบบเครือข่ายตั้งแต่ระดับอาเภอ จังหวัด ซึ่งจะสิ้นสุดปี ๒๕๕๘ ซ่ึงทุก สสว .มีเข็มทิศนาทางในการทางานท่ีชัดเจนขึ้น โดยมุ่งเน้นที่การพัฒนา เครือข่ายที่มีอยู่ในพ้ืนที่อยู่แล้ว โดยวิธีการได้แก่ การประสานความร่วมมือให้หน่วยงานท่ีทางานด้านสังคม ได้ ร่วมช่วย คัดเลือก ประสานเครือข่ายที่มีอยู่แล้วมีการทางานกับกลุ่มเป้าหมายที่ชัดเจน และมีประเด็นการ ทางานท่ีหลากหลาย เข้ามาพูดคุยประสานความร่วมมือซึ่งกันและกัน และก็ถือเป็นมิติใหม่ ที่เครือข่ายที่เข้า มารว่ ม นัน้ ล้วนมผี ู้แตท่ มี่ ีความสามารถ มีบทบาทที่หลากหลายเข้ามาร่วมมือกันทางาน และก็เกิดผลกระเพ่ือม ทางการทางานอย่างมาก เน่ืองจากก่อนท่ีจะมีการจัดเวทีพูดคุยของเครือข่ายที่มาจากความร่วมมือ ท่ี หลากหลายนั้น สสว.๗ ได้ลงพ้ืนท่ีเพื่อร่วมกาหนดแผนงานกับหน่วยงานในพ้ืนที่ทุกจังหวัด ซ่ึงถือเป็นมิติใหม่ที่ เป็นการประชาสัมพันธ์ต่อหน่วยงานในพ้ืนท่ีท่ีจะได้ร่วมขับเคลื่อนการทางานด้านระบบเครือข่ายไปด้วยกั น และยังสรา้ งความเข้าในที่ดีตอ่ กนั แต่ถงึ อยา่ งไรก็ดี งานเล้ียงต้องมีวันเลิกรา จากการปรับโครงสร้าง กระทรวง การพัฒนาสงั คมและความมน่ั คงของมนุษย์ ซง่ึ ทาใหม้ กี ารปรบั เปลี่ยนบทบาทภารกิจ ซ่งึ สสว.ต้องย้ายมาสังกัด สานักงานปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความม่ันคงของมนุษย์ ทาให้บทบาทงานด้านระบบเครือข่ายได้ สิ้นสุดลงด้วย ซึ่งงานดังกล่าวได้ไปเป็นบทบาทของกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการแทน ซึ่งในการส่งมอบงาน สสว.ได้จัดตั้งคณะทางานเพ่ือส่งมอบงาน ซึ่งส่ิงท่ีต้องมอบต่อให้กรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการดาเนินการต่อ ได้แก่ข้อมูลท่ีประกอบด้วย ข้อมูลด้านวิชาการกับงานด้านเครือข่าย ฐานข้อมูลเครือข่ายตั้งแต่ระดับตาบล อาเภอ จังหวดั เพื่อเปน็ ข้อมลู สนับสนุนการทางานด้านเครือขา่ ยของกรมพฒั นาสังคมและสวัสดิการตอ่ ไป กรอบแนวคิดการดาเนินงานพัฒนาระบบเครือข่าย 1. สสว. เป็นผสู้ รา้ งขึ้น (เปรียบเสมอื นหนุ่ ยนต์) จากช้ินส่วนตา่ งของหน่วยงานและชมุ ชน ( อพม. ศพค. กองทนุ อผส. ชมรมผู้สงู อายุ กลมุ่ สตรี ทอ้ งถน่ิ และทอ้ งท่ีฯลฯ) สรุปผลการดาเนนิ งานการพฒั นาระบบเครือขา่ ยของสานกั งานสง่ เสริมและสนบั สนนุ วชิ าการ7 หนา้ 11
12 2. สสว. จะตอ้ งวางโปรแกรมเพ่ือให้หนุ่ ยนตท์ างานได้ เช่น ซักผ้า ทางาน ตดั หญา้ เล่นกบั เดก็ เปรียบเสมอื น การให้ระบบเครอื ข่ายทางานแทน เร่อื งการจัดสวัสดิการในพนื้ ท่ี การเป็นตัวแทนของ กระทรวงในการสอื่ สารกบั ชุมชน การประสานรว่ มมือทางานรว่ มกัน 3. และจะประสบความสาเร็จมากทส่ี ดุ หากสามารถวางโปรแกรมทีห่ น่วยงานอนื่ ๆมา สั่งการหรือใชง้ าน ได้ เชน่ หนว่ ยงานในกระทรวง หรือองคก์ รอื่น เข้ามารว่ มประสานดาเนนิ งานต่อไป 4. และทส่ี าคัญทสี่ ดุ หากหนุ่ ยนตส์ ามารถหาพลังงานให้ตนเองได้ เช่นการสร้างพลังงานแสงอาทติ ย์ขัล เคลื่อนตวั เอง เปรียบเสมือนการทีร่ ะบบเครอื ข่ายมีการดาเนนิ งานร่วมกันอย่างต่อเนือ่ ง และมีระบบ บริหารจัดการตนเอง การจัดหางบประมาณดาเนนิ งานเอง(ช่องทางการขอรบั ทุนสนับสนุน) 5. การเสรมิ พลงั ใหร้ ะบบเครอื ข่ายสามารถดาเนินงาน เสมือนเป็นการหยอดน้ามนั ให้เครือข่ายมีการ ขับเคลอ่ื น โดยให้ระบบเครือขา่ ยมสี ่วนรว่ มในการดาเนินโครงการ ส่งเสรมิ รูปแบบการจัดสวสั ดกิ าร สงั คมแกภ่ าคีเครือขา่ ย การสรปุ บทเรยี นการดาเนินงานเสรมิ สรา้ งระบบเครือขา่ ย 1. การประสานงานร่วมกบั หนว่ ยงาน พม. กลุม่ องค์กรท่ีเขา้ ร่วมไม่หลากหลาย การทางานร่วมกบั หนว่ ยงานในสังกัด พม.ยังไม่มีความเขา้ ใจในบทบาทของ สสว. คือประเดน็ เร่อื ง การสรา้ ง เครือข่าย ซา้ ซ้อน แต่เม่ือได้ทาความเขา้ ใจได้รบั ความรว่ มมืออยา่ งเห็นไดช้ ดั ไมว่ ่า จะเป็นเรือ่ ง การส่งเสริมข้อมลู เครือขา่ ย การรว่ มกาหนดแผนงาน การบูรณาการงานร่วมกัน เช่น การพฒั นา ศูนย์ผูส้ ูงอายุในตาบล การพัฒนาศักยภาพ อพม. 2. ประเดน็ ในเรืองงบประมาณซึ่งมีจานวนจากดั ทาให้ เมื่อปี ๒๕๕๖ ทาการเรยี กประชุมเป็นราย จงั หวัด ซ่ึงผลที่เกดิ ขนึ้ คือ จานวนผเู้ ขา้ ประชุมไมห่ ลากหลาย /ทาให้เกดิ การจดั เวทีในพนื้ ท่เี ขต อาเภอซึ่งข้อดคี ือสามารถเชญิ กลมุ่ องค์กรไดจ้ านวนมากและหลากหลาย 3. ประเดน็ เรือ่ งการ กาหนดผู้ประสานงานระดบั อาเภอ โดยธรรมชาติของชมุ ชนมักจะชอบใหม้ ี ความชัดเจน เชน่ ควรให้มกี ารจัดต้งั เปน็ รปู แบบคณะกรรมการ การร่วมกาหนดบทบาทของ คณะกรรมการระบบเครือขา่ ย ผลท่ีไดร้ บั จากการดาเนินงาน 1. เกดิ ศูนยป์ ระสานงานเครือข่ายระดับจงั หวัด ๘ จังหวดั ท่ีมียทุ ธศาสตร์การทางานร่วมกัน ของเครอื ขา่ ยทท่ี างานดา้ นสงั คม เป็นสว่ นประสานความรว่ มมอื ในการช่วยเหลือการจัดสวัสดิการสังคมแก่ กลมุ่ เปา้ หมายในพน้ื ที่ 2. ระบบเครือขา่ ยระดับอาเภอได้รับความรใู้ นช่องทางการการจดั หางบประมาณและแนว ทางการจดทะเบยี นเป็นองค์การสวสั ดกิ ารสังคมและองคก์ รสาธารณะประโยชน์ สรุปผลการดาเนนิ งานการพฒั นาระบบเครือขา่ ยของสานกั งานสง่ เสริมและสนบั สนนุ วชิ าการ7 หนา้ 12
13 3. ระบบเครือขา่ ยเกดิ พลังในการขับเคลอ่ื นการประสานงานการทางานร่วมกัน ของ กลุ่ม องค์กร เครอื ขา่ ย โดยการจัดตงั้ ผู้ประสางาน และกาหนดแผนงานการทางาน 4. ระบบเครือขา่ ยดาเนนิ การจดั เก็บข้อมูลกลุ่มองค์กร กล่มุ เป้าหมายทีไ่ ด้รับผลกระทบทาง สังคม และระบบฐานข้อมลู ในการเปน็ ข้อมลู พจิ ารณาในการช่วยเหลอื ชุมชน แก่ หน่วยงานภาครัฐ องค์กร พฒั นาเอกชน และหนว่ ยงานพัฒนาอืน่ ๆ 5. เกิดการประสานเชือ่ มโยงการทางานในพ้ืนท่ีอาเภอ ของ กล่มุ องค์กรทีท่ างานด้านสังคม เพือ่ เปน็ แกนกลางการติดต่อสื่อสารร่วมกนั ของ กลุ่ม องคก์ รทที่ างานดา้ นสังคม 6. ประชาชนในพ้นื ท่ีไดร้ ับข่าวสาร และการจดั สวัสดิการจากภาครฐั ภาคเอกชน จากการ ประสานเช่อื มโยงการดาเนินงานของระบบเครือข่ายระดบั อาเภอ 7. เกิดตัวแทนผูป้ ระสานของ กลุ่ม องค์กร และเครอื ขา่ ยท่ีทางานด้านสังคม ประสานการ ทางานร่วมกับ หน่วยงาน ภาครฐั ภาคเอกชน ในการทางานดา้ นการจดั สวัสดกิ ารสงั คมและการพฒั นาสังคม ร่วมกนั ปญั หาอุปสรรค 1. การประสานความร่วมมือกับภาคส่วนต่างๆในพ้ืนที่ยังอยู่ในวงจากัด ไม่สามารถกระจาย ความรับรู้ การมีส่วนร่วมไปยังภาคส่วนต่างๆได้ครอบคลุม โดยแนวทางการแก้ไขคือการ ประชาสัมพันธ์ แนวคิดการรวมกลุ่ม ของกลุ่มองค์กรต่างๆเพื่อประโยชน์แก่ประชาชนในพ้ืนที่ และการประชาสัมพันธ์ผลการ ดาเนินงานของระบบเครือข่าย แก่ทุกภาคส่วนให้ได้รับทราบและเข้ามาร่วมผลักดันการดาเนินงานของระบบ เครอื ขา่ ยให้เกิดความเข้มแข็งและมีพลงั ในการทางานประสานเช่อื มโยงกบั ภาคส่วนตา่ งๆ 2. การสนับสนุนกิจกรรมในการดาเนินงานของ ระบบเครือข่ายยังมีน้อย ซึ่งแนวทางการ แก้ไขปัญหาคือการสนับสนุน ผลักดันให้ระบบเครือข่ายสามารถจัดหางบประมาณในการดาเนินงาน เช่น การ จดทะเบียนเป็นองค์กรสวัสดิการชุมชน หรือ องค์กรสาธารณะประโยชน์ เพ่ือสามารถเขียนโครงการขอรับทุน สนับสนุนการดาเนินงานจดั สวัสดกิ ารจากกองทุนของ กระทรวงการพฒั นาสังคมและความมนั่ คงของมนุษย์ สรุปผลการดาเนนิ งานการพฒั นาระบบเครือขา่ ยของสานกั งานสง่ เสริมและสนบั สนนุ วชิ าการ7 หนา้ 13
14 บทที่ 2 แนวคดิ และหลักการเกีย่ วกบั เครอื ข่ายความร่วมมือ 1 แนวคิดเกยี่ วกับความร่วมมือ ความร่วมมือ (Collaboration) เป็นคุณลักษณะที่สาคัญท่ีทาให้การทางานร่วมกันหรือการทางานเป็น ทีมประสบความสาเร็จ ความรวมมือจึงเป็นคุณลักษณะที่กลุ่ม ทีม หรือองค์กรพึงปรารถนา ซึ่งหมายถึงการ ทางานร่วมกับผู้อ่ืน การร่วมมือกัน การร่วมรู้ร่วมคิด การทางานร่วมกับผู้อ่ืนเพื่อสร้างบางส่ิงบางอย่างร่วมกัน (Croewther, 1996) จากการศึกษางานวิจัยที่เก่ียวข้องพบว่า “ความร่วมมือ” เป็นพฤติกรรมการทางานร่วมกันของบุคคล กลุ่มบุคคล และอาจมีความหมายครอบคลุมไปถึงความร่วมมือขององค์กร ซึ่งประกอบด้วยการออกแบบและ การจัดลาดับความสาคัญของเป้าหมาย เพ่ือนามาทาแผนปฏิบัติการตามเป้าหมายที่กาหนดไว้ รวมท้ังมีการ ประเมนิ ศักยภาพผลการปฏบิ ตั งิ านเพ่ือนาผลมาใชใ้ น การปรับปรุงงาน สมาชิกทุกคนต้องมีจิตสานึกด้านความ รับผิดชอบที่จะแสวงหาวิธีการ เพื่อปรับปรุงการปฏิบัติงานของตน และแสวงหาวิธีการที่จะพัฒนา ความสัมพันธใ์ นการทางานของตน (Cramer, 1998) Lucas (1998) ให้ความหมายความร่วมมือในการทางานขององค์กรว่า เป็นการทางานร่วมกันระหว่าง บุคคลที่เกดิ ขน้ึ เน่อื งจากความตอ้ งการของบคุ คล หรอื ความต้องการขององค์กรในการร่วมกันรับผิดชอบงาน มี การร่วมมือกันของบุคคล มีการสร้างเครือข่ายการทางาน มีกลุ่มร่วมมือ สมาชิกมีการวิเคราะห์วิจารณ์ตนเอง และรสู้ กึ ว่าตนได้รับความไวว้ างใจจากผ้อู ่นื Robbins & Finley (1998) ยงั ให้ความหมายของความรว่ มมือในการทางาน โดยเน้นความสาคัญว่า ทุก ฝ่ายจะให้การช่วยเหลือกันเพื่อให้ได้ประโยชน์ร่วมกัน และสามารถทาให้ทีมคงอยู่ได้เพ่ือรักษาผลประโยชน์ รว่ มกัน Martin (1999) เสนอว่า ความร่วมมือในการทางานไม่ใช่กระบวนการทางาน แต่เป็นการสร้าง ความสมั พนั ธข์ องบคุ คล (Human Relationship) ในการทางานรว่ มกันของบคุ คล สรุป ความร่วมมือในการทางาน หมายถึง การท่ีกลุ่มบุคคลตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป มาปฏิบัติการทางาน ร่วมกนั อาจร่วมมือกันอย่างเปน็ ทางการหรอื ไม่เปน็ ทางการเพอื่ ใหไ้ ดร้ บั ผลประโยชน์ร่วมกัน โดยอาจไม่ต้องทา วาระการประชุมร่วมกัน การทางานร่วมกันดังกล่าวนี้ จะประกอบด้วย การวางแผนกาหนดเป้าหมาย ทา แผนปฏิบัติการ ดาเนินการตามท่ีกาหนด โดยสมาชิกทุกคนต้องมีจิตสานึกด้านความรับผิดชอบที่จะแสวงหา วิธีการเพอื่ ปรับปรุงการปฏบิ ตั งิ านของตน รว่ มกันแก้ปญั หาทเี่ กดิ ขนึ้ สรา้ งพลงั และการชว่ ยเหลอื กนั 2 องค์ประกอบและตวั บ่งช้ีของความรว่ มมอื Graham & Wright (1999) ได้ศึกษาความหมายของความร่วมมือจากการสอบถามความคิดเห็นของ ผู้เช่ียวชาญ โดยการศึกษาว่าจะนาความร่วมมือสู่การปฏิบัติได้อย่างไร รวมท้ังได้นาผลที่ได้จากการสัมภาษณ์ มาใช้ในการสร้างตัวบ่งช้ีของความร่วมมือ สร้างแบบวัดความร่วมมือ ผลการวิจัยสรุปได้ว่า ความร่วมมือ หมายถึง การทางานร่วมกันและการมีส่วนร่วมในกิจกรรม การวางแผน การแบ่งปัน และการบรรลุเป้าหมาย ของกจิ กรรม ส่วนตวั บ่งชขี้ องความรว่ มมอื ประกอบดว้ ย 1) การวางแผน (Planning) 2) การแบ่งปัน (Sharing) และ 3) การดาเนินการเพ่ือใหบ้ รรลเุ ปา้ หมาย (Goal Achieving Activities) สรุปผลการดาเนินงานการพฒั นาระบบเครือขา่ ยของสานกั งานสง่ เสริมและสนบั สนนุ วชิ าการ7 หนา้ 14
15 Weltch and Tulbert (2000) ได้ทาการวิจัยและสรุปว่า องค์ประกอบของความร่วมมือมี 4 องค์ประกอบ ได้แก่ 1) การประนีประนอมเพื่อให้เกิดการเคารพความคิดใหม่และ การเปล่ียนแปลง 2) การ สื่อสารท่ีประกอบด้วยการฟังและการเสนอความคิด ความรู้สึก 3) การแก้ปัญหาท่ีมีการระบุความต้องการ ความจาเป็น การระดมสมอง การปรับส่ิงท่ีได้เพื่อใช้ในการสร้างแผนปฏิบัติการ และการประเมิน 4) การ พัฒนาแผนปฏบิ ัตกิ ารและการประเมินการปฏบิ ัตกิ าร Mesa Public School (2003) เสนอว่า ตัวบ่งช้ีของความร่วมมือประกอบด้วย 1) การค้นคว้า และ รวบรวมสารสนเทศ 2) การตรงต่อเวลา 3) การปฏิบัติตามหน้าท่ี 4) การมีส่วนร่วมในการประชุมกลุ่ม และ 5) การรว่ มมอื กบั ทมี Plymouth State University (2003) กล่าวถึงการร่วมมือว่า เป็นความสามารถในการสนับสนุนเพ่ือน ร่วมงานและทางานกับผู้อ่ืนอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อมุ่งไปสู่เป้าหมายร่วมกัน และตัวบ่งช้ีของความร่วมมือ ประกอบด้วย 1) ความมุ่งม่ันพยายามที่จะร่วมมือ 2) การส่ือสารอย่างมีประสิทธิภาพและการสื่อสารท่ีแสดง การเคารพผู้อื่น 3) การแสวงหาและสนบั สนนุ ความเห็นร่วมกันของกลุ่ม การตระหนักและรับรู้งานของผู้อ่ืน 4) การต้ังเป้าหมายและจดั ลาดบั ความสาคญั รว่ มกบั ผอู้ น่ื และ 5) การทาตามสญั ญาทไ่ี ด้ใหไ้ ว้กบั ผ้อู ่ืน Sandiego State University’s College of Education (2003) ได้นาเสนอองค์ประกอบของความ ร่วมมือ ดังน้ี 1) การมีส่วนช่วยเหลือแบ่งปัน (Contribution) 2) การรับผิดชอบ (Taking Responsibility) 3) การมองเห็นคุณค่าความเห็นของผู้อื่น (Valuing Other’s Viewpoint) โดยท่ี การช่วยเหลือแบ่งปันเป็นการ ค้นหาและรวบรวมสารสนเทศ การแบ่งปันข้อมูลข่าวสาร การตรงต่อเวลา ส่วนการรับผิดชอบเป็นการปฏิบัติ ตามบทบาทหน้าท่ีท่ีได้รับมอบหมาย การมีส่วนร่วมใน การประชุม ส่วนการมองเห็นคุณค่าความเห็นของผู้อื่น เป็นการรับฟงั ความเหน็ ของสมาชิกคนอ่นื การร่วมมือกบั สมาชิกในทมี และการตัดสินใจดว้ ยความยตุ ิธรรม 3. การสร้างความรว่ มมือ ความร่วมมือ มีความสาคัญอย่างย่ิงต่อการพัฒนาองค์การสู่ความสาเร็จ เป็นสิ่งที่สามารถประยุกต์ใช้ เพื่อให้เกิดประสิทธิผลในการสร้างความสัมพันธ์อย่างย่ังยืน ตลอดจนการใช้ทรัพยากรร่วมกันทั้งในระหว่าง บุคคล ครอบครวั และเพอ่ื นบ้าน การสร้างความร่วมมืออาจมีทั้ง ในระดับหุ้นส่วนแบบไม่เป็นทางการ ไปจนถึง ระดบั การวางแผนสร้างความสัมพันธเ์ ชิงการรว่ มมอื อย่างจริงจังเป็นแบบแผน กลา่ วได้ว่า ความร่วมมือเป็นการ เปิดโอกาสในการสร้างความสัมพันธ์ส่งเสริมความเป็นเพ่ือนบ้าน ความเป็นชุมชน เพิ่มความตระหนักในการ ยอมรับประโยชน์ใน การขยายขอบเขตการใช้ทรัพยากรร่วมกันด้วยการลดทอนความซ้าซ้อน (กนกอร สม ปราชญ์ และคณะ, 2548) ผู้วจิ ยั จงึ ขอนาเสนอในรายละเอยี ด ดงั นี้ ลาดับข้ันเพ่ือความสาเร็จในการสร้างความร่วมมือ (The Steps to Successful Collaboration) ความสาเรจ็ ในการสร้างความรว่ มมือ มลี าดับขนั้ ในการดาเนินการดังน้ี 1. ระบุผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย (Identify Stakeholder) ความร่วมมือจะประสบผลสาเร็จได้ต้องมีการระบุ ถึงกลุ่มผูม้ ีสว่ นได้ส่วนเสีย เพื่อจะได้ร่วมประชุมวางแผนกาหนดความต้องการ นิยาม เป้าหมายและมีส่วนร่วม ในการตัดสินใจ ซึ่งจะทาให้เกิดประโยชน์สูงสุดจากความเป็นผู้เชี่ยวชาญในแต่ละด้านของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ของแตล่ ะคน ซ่ึงถือได้ว่าเป็นทรพั ยากรท่มี คี ุณประโยชน์ต่อการสร้างความร่วมมือ 2. การสนองเหตผุ ลและความต้องการในการมีส่วนร่วม (Have Collaborators State Their Reasons for Wanting to Participate) หลังจากการกาหนดผู้เป็นหุ้นส่วนความร่วมมือซึ่งอาจอยู่ในรูปตัวแทนองค์การ หรือครอบครวั ชุมชนแลว้ ตอ้ งทบทวนอย่เู สมอว่าความรว่ มมือทดี่ าเนินการอยู่ได้สนองความต้องการ โดยทาให้ สรุปผลการดาเนินงานการพฒั นาระบบเครือขา่ ยของสานกั งานสง่ เสริมและสนบั สนนุ วิชาการ7 หนา้ 15
16 เกดิ การแบ่งปนั ทรัพยากรและแลกเปล่ียนความเช่ยี วชาญเพอ่ื สนองตอบความต้องการและเป้าหมายของชุมชน แลว้ หรอื ยัง 3. สร้างพันธสัญญาสู่เป้าหมายร่วมกัน (Get a Commitment to Stated Goals) ความร่วมมือท่ีเกิด จากการสั่งการ จะไม่ทาให้เกิดจิตสานึกและการแลกเปลี่ยนความคิด และหากปราศจากการแลกเปลี่ยน ความคดิ ในการกาหนดเปา้ หมาย จะทาใหโ้ อกาสท่จี ะประสบความสาเร็จในการสร้างความร่วมมือมีน้อย ดังน้ัน ควรพิจารณาถงึ ข้อคาถามต่อไปนีอ้ ยู่เสมอ คือ 1) ใครมพี นั ธะสัญญาและมีความสามารถในการระดมทรัพยากร 2) ใครคือผู้สนับสนุนหรือผู้ดาเนินการให้ประสบผลสาเร็จ 3) ทุกคนมีทักษะเฉพาะ มีอานาจหรือมีความรู้ท่ีจะ ช่วยให้เกิดความร่วมมือหรือไม่ 4) ครอบครัวและชุมชนจะได้รับประโยชน์จากการเมืองคร้ังนี้อย่างไร 5) เรา เป็นหุ้นส่วนท่ีสะท้อนความต้องการที่หลากหลายของชุมชนหรือไม่ 6) ประโยชน์ของความร่วมมือจะมี ความสาคญั กว่าค่าใช้จา่ ยหรือไม่ 7) เราเคยร้มู ากอ่ นหรอื ไม่ ว่าเคยมคี วามร่วมมือระหว่างกลุ่มขององค์การและ ชุมชนในอดีต 8) ผู้บริโภคจะมีความสาคัญเท่ากับหุ้นส่วนใช่หรือไม่ 9) องค์การแต่ละแห่งมีกลุ่มทีมงานที่ พอเพียง และมีเงินทุนท่ีจะสนับสนุนกิจกรรมความร่วมมืออย่างพอเพียงในการดาเนินการวันต่อวันใช่หรือไม่ 10) ส่งิ ใดที่สงั คมและผนู้ าจะตอ้ งมตี อ่ การสร้างความร่วมมือ 4. การกาหนดวิสัยทัศน์ร่วม (Establishing a Shared Vision) การสร้างความร่วมมือจะประสบ ความสาเร็จจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสียท่ีมีภูมิหลังและมุมมองท่ีแตกต่างกัน อย่างไรก็ตามความหลากหลายอาจ นามาซ่ึงความขัดแย้งเกี่ยวกับอานาจและการควบคุม การหลอมรวมความร่วมมือทาได้ดังนี้ 1) ในระหว่าง อภิปราย ต้องช่วยให้ผู้มีส่วนร่วมวิเคราะห์จุดแข็งและจุดอ่อนโดยปราศจากการสร้างอาณาจักรทางความคิด ส่วนตนจนเกินไป 2) สร้างให้เกิดภาวะท่ีง่ายต่อการตัดสินใจด้วยคาถาม ได้แก่ ผู้ร่วมมือจะรักษาความสมดุล ระหวา่ งการมสี ว่ นร่วมและความรบั ผิดชอบไดอ้ ย่างไร ผู้ร่วมมือจะย้อนกลับมาประเมินและจะประสบผลสาเร็จ ได้อย่างไร จะได้ฉลองความสาเร็จหรือไม่ และจะทาอย่างไร ผู้ร่วมมือทุกคนมีความรู้สึกว่าได้รับการแบ่งปัน อานาจใชห่ รอื ไม่ และประสบการณ์ใดท่ีได้จากครอบครัวหรือเพ่ือนบ้านท่ีได้นามาใช้ในการวางแผนสร้างความ ร่วมมือ 3) สร้างการยอมรับในนิยาม วิธีการและบทบาทของสมาชิกโดยการพิจารณาคาถามได้แก่ กิจกรรมที่ ดาเนินอยู่เป็นการให้โอกาสในการมีส่วนร่วมพอเพียงแล้วใช่หรือไม่ ทุกคนมีอานาจในการตัดสินใจใช่หรือไม่ ทุกคนมีความเข้าใจอย่างแจ่มชัดต่อพันธะสัญญาแล้วใช่หรือไม่ การประชุมดาเนินไปอย่างไร และจะมีการ ส่ือสารข้อสนเทศเก่ียวกับความร่วมมือในการดาเนินงาน และพันธกิจต่าง ๆ ใช่หรือไม่ 4) สร้างและประกาศ พันธกิจเพื่อแสดงถึงวิสัยทัศน์และเป้าหมายร่วมโดยการเน้นย้าด้วยคาถามได้แก่ ใครคือผู้ที่จะปฏิบัติตามพันธ กิจเหล่าน้ี ส่ิงใดบ้างท่ีต้องเตรียมการ และอะไรคือ ความปรารถนาของหุ้นส่วนทุกคน 5) กาหนดวิธีการ ติดต่อสื่อสารระหว่างผมู้ สี ่วนได้สว่ นเสยี ท้งั ในรปู แบบที่เปน็ ทางการหรือไม่เปน็ ทางการ ในขณะเดียวกันจะต้อง มีการกาหนดเวลาในการพบปะสังสรรค์อย่างไม่เป็นทางการระหว่างหุ้นส่วนต่างๆ มีการกาหนดกลไกให้เกิด การแลกเปล่ียนข่าวสาร มีการสร้างบรรยากาศท่ีเป็นการให้เสรีภาพในการใช้ภาวะผู้นาของหุ้นส่วนทุกคน 6) ให้โอกาสทุกคนแลกเปลี่ยนข่าวสารการประชุม มีการเลือกประเด็นท่ีเป็นแนวคิดของแต่ละคนมาส่ือสารและ อภิปรายเพ่อื ใหเ้ กดิ ความเชื่อมัน่ 5. การพัฒนาแผนยุทธศาสตร์ความร่วมมือ (Developing a Collaborative Strategic Plan) การ วางแผนยทุ ธศาสตร์เปน็ การกาหนดเปา้ หมายเพื่อใหเ้ กิดความสาเร็จระยะยาวภายในสองถึงสี่ปี ในที่ประชุมผู้มี ส่วนร่วมทุกคน ต้องร่วมแลกเปล่ียนความเช่ียวชาญ ความหวัง ส่ิงท่ีเป็น ความวิตกกังวล และร่วมกันร่างแผน ยทุ ธศาสตร์ โดยคานึงถึงความใส่ใจต่อทรัพยากรท่ีขาดแคลน เน้นมุมมองท่ีหลากหลาย อธิบายถึงรายละเอียด ขององคป์ ระกอบตา่ ง ๆ ที่จะเกดิ ผลต่อองค์การและเพ่อื นบ้าน ส่งเสริมให้เกิดความสามารถในการช้ีแจงเหตุผล สรุปผลการดาเนนิ งานการพฒั นาระบบเครือขา่ ยของสานกั งานสง่ เสริมและสนบั สนนุ วิชาการ7 หนา้ 16
17 บรกิ ารจัดการโดยการรบั ฟงั ความคดิ เห็นจากบคุ คลอ่ืน สร้างพันธะสัญญาความร่วมมือในการสร้างพันธกิจและ เป้าหมาย และประเมนิ จดุ แข็งจดุ ออ่ นของหุน้ ส่วนทกุ คน 6. การกาหนดข้อปฏิบัติในการประชุม (Determining Meeting Rules) ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย สามารถ ร่วมกาหนดข้อปฏิบตั บิ างส่วนในการประชุม ซ่ึงอาจเป็นเพียงเร่ืองเก่ียวกับ การปฏิบัติหรือเรื่องที่จาเป็น ได้แก่ 1) เร่มิ ประชุมตามวาระท่ีกาหนดให้ และมเี วลาเพียงพอต่อ การอภิปรายในแต่ละประเด็น 2) หุ้นส่วนแต่ละคน ต้องได้รับการกาหนดหน้าที่ความรับผิดชอบและบทบาทในการปฏิบัติงาน และปฏิบัติให้เสร็จสมบูรณ์ภายใน เวลาทีก่ าหนด 3) เร่ิมต้นและส้ินสุดการประชุมอย่างตรงเวลา และ 4) การใช้ภาวะผู้นาให้เกิดประสิทธิผลเป็น กุญแจสาคัญที่จะดาเนินการในทกุ ขน้ั ตอน ซึ่งผู้นาจะต้องใชค้ วามพยายามอย่างสูงเพ่ือแสวงหาข้อตกลงร่วมกัน ของตัวแทนกล่มุ ตา่ ง ๆ 7. การสร้างข้อตกลงร่วมกันเก่ียวกับการตัดสินใจ (Building Consensus about Decision Making) ขอ้ ขดั แย้งต่าง ๆ เป็นส่งิ ท่หี ลีกเลย่ี งไม่ไดท้ ่จี ะต้องเกิดข้นึ ดงั น้นั การสรา้ งความรว่ มมือจึง ถือเป็นสิ่งท้าทาย การ ย้อนกลับไปทบทวนเพ่ือหาคาตอบของข้อขัดแย้งและทักษะการสร้างข้อตกลงร่วมกันเป็นกุญแจสู่ความสาเร็จ การให้ความไว้วางใจเป็นสิ่งท่ีมีความสาคัญ หากปราศจากความไว้วางใจแล้วหุ้นส่วนทุกคนจะไม่ยอมเปิดเผย ความคิดเห็นส่วนตัว นอกจากความไว้วางใจแล้วยังมีประเด็นอื่น ๆ อีกที่จะส่งเสริมให้เกิดข้อตกลงร่วมกัน ไดแ้ ก่ 1) การสรา้ งความสัมพนั ธ์โดยกาหนดให้มชี ว่ งเวลาเปน็ ระยะ ๆ ในการรว่ มอภปิ รายเพื่อแลกเปลี่ยนความ คับข้องใจหรือการยกย่องชมเชย 2) ดาเนินการเกี่ยวกับการกาหนดเป้าหมายท่ัว ๆ ไป และมีการกาหนดวาระ ที่จะสะท้อนผลของการปฏิบัติตามจุดประสงค์นั้น 3) ส่ือสารข้อมูลอย่างทั่วถึงเพ่ือให้ทุกคนได้ศึกษาทบทวน และนาไปสขู่ ้อสรปุ ในทป่ี ระชุม และ 4) การแสดงความยินดีกับความสาเร็จหลังส้ินสุดการทางานเพราะเป็นสิ่ง ทีจ่ าเป็นอย่างหน่งึ ต่อการสรา้ งทมี งาน 4 แนวคดิ และความหมายเกีย่ วกบั เครอื ข่าย Wheatly (1999) กล่าวว่า สรรพสิ่งท้ังหลายต่างก็มีการพ่ึงพาอาศัยกัน มีการดารงอยู่รวมกันเป็นกลุ่ม ก้อน เป็นข่ายใยแห่งความสัมพันธ์ มีความเป็นอิสระต่อกัน และมีตัวตนท่ีแท้จริง กล่าวคือ สรรพส่ิงท้ังหลาย เปน็ เครือขา่ ยทีเ่ ชือ่ มโยง มีการขยายผลและเติบโตอยา่ งต่อเนื่อง สามารถปรบั เปล่ียนรูปร่าง รูปทรงและเปล่ียน พลงั งานเพื่อการเข้าสู่ภาวะที่เหมาะสม E.Mark Hanson (2003) ได้ให้ความหมายของเครือข่าย (Network) ว่า หมายถึง รูปแบบหนึ่งของการ ประสานงานของบุคคล กลุ่ม องค์กร หรือ หลายองค์การที่มีทรัพยากรของตัวเอง ซ่ึงเข้ามาประสานงานกัน อย่างมีระยะเวลาพอสมควร จะมีกิจกรรมร่วมกันอย่างสม่าเสมอหรือไม่ก็ตาม แต่จะมีการวางรากฐานเอาไว้ เมื่อฝา่ ยหนึง่ ฝ่ายใดมคี วามตอ้ งการจะขอความช่วยเหลือหรือขอความร่วมมือจากกลุ่มอื่น ๆ เพ่ือแก้ปัญหาและ สามารถติดต่อกันต่อไปได้ และการที่ปัจเจกบุคคลหรือสถาบันมารวมกันเป็นกลุ่มนั้น จะต้องมีความสนใจใน เรื่องหน่ึงเรื่องใดร่วมกัน แต่อย่างไรก็ตามเพียงการรวมกลุ่มเท่านั้นยังไม่อาจเป็นเครือข่ายงานได้ เพราะจะมี ลักษณะเพียงการทางานร่วมกันคือมีบุคคลร่วมสนทนากัน หากจะให้เป็นเครือข่ายท่ีดีได้ต้องมีปัจจัยความ ร่วมมือกันท่ีจะติดต่อสื่อสาร เต็มใจท่ีจะประสานงานกัน และที่สาคัญสมาชิกต้องยอมรับท่ีจะทากิจกรรม รว่ มกนั ไมใ่ ชเ่ พียงแลกเปลย่ี นความคดิ เหน็ เท่าน้ัน สรุปผลการดาเนินงานการพฒั นาระบบเครือขา่ ยของสานกั งานสง่ เสริมและสนบั สนนุ วิชาการ7 หนา้ 17
18 ประเวศ วะสี (2541) กล่าวถึง เครือข่ายทางสังคมท่ีมีการขยายตัวออกไปว่า เครือข่ายทางสังคมจะ คล้ายเครอื ข่ายในสมอง โดยโครงสร้างของสมองน้ันจะทาใหเ้ กิดการเรียนรใู้ นระดบั ท่ีสูงเพื่อการมีชีวิตรอด และ โครงสร้างทางสังคมจะมีวิวัฒนาการไปเหมือนโครงสร้างทางสมองมากข้ึนเร่ือย ๆ ซึ่งก่อให้เกิดความ เปล่ียนแปลงทางพฤติกรรมของสังคม จากสังคมใช้อานาจไปเป็นสังคมแห่งการเรียนรู้ และการที่จะเกิดสังคม แห่งการเรียนรู้ได้น้ัน จะต้องปรับเปล่ียนโครงสร้างทางสังคมจากแนวด่ิงไปเป็นเครือข่ายสังคมท่ีมีการโยงใย ความสัมพันธ์ในทุกทิศทาง เป็นเครือข่ายทางสังคมแห่งกัลยาณมิตรหรือเครือข่ายสังคมแห่งการเรียนรู้ (Learning Social Networks) โดยทีเ่ ครอื ขา่ ยสังคมจะต้องมคี วามสามารถในการเรียนรู้ได้อย่างต่อเนื่องหรือมี การขยายแนวคดิ กระบวนการ ออกไปจงึ จะสามารถปรับตัวใหอ้ ยู่ในดุลยภาพได้ เกรยี งศกั ดิ์ เจรญิ วงศ์ศักดิ์ (2545) ใหท้ ศั นะเกี่ยวกบั นิยามของเครือข่ายว่า มีความหมายแตกต่างไปตาม มุมมองของแต่ละคน และให้นิยามของเครือข่ายเพ่ือการปฏิรูปการศึกษาว่า หมายถึง “การที่ปัจเจกบุคคล องคก์ ร หน่วยงาน หรอื สถาบนั ใด ๆ ไดต้ กลงทีจ่ ะประสาน เช่อื มโยงเข้าหากนั ภายใต้วัตถุประสงค์หรือข้อตกลง อย่างใดอยา่ งหน่ึงร่วมกันอย่างเป็นระบบ โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อปฏิรูปการศึกษา” กลุ่มเครือข่ายน้ัน ต้องมีการ แสดงออกเป็นการลงมือกระทากจิ กรรมรว่ มกัน วิชิต นนั ทสุวรรณ และจานง แรกพนิ จิ (2545) กล่าวถึงเครือข่ายการเรียนรู้ว่า คือการที่ชาวบ้านรวมตัว กัน ขบคดิ ปัญหาของเขา รวมพลังแก้ปญั หา และหาผู้นาขน้ึ มาจากหมู่ชาวบ้านด้วยกันเอง แล้วรวมตัวกันเพ่ือมี อานาจต่อรอง มีการต่อสู้ทางความคิด มีการเรียนรู้จากภายนอก มีการไปมาหาสู่เรียนรู้ดูงานด้วยกัน จนกระท่ังเกิดกระบวนการแกป้ ัญหาได้ สง่ ผลให้การทามาหากนิ และเศรษฐกจิ แต่ละครอบครัวดขี น้ึ ธนา ประมุขกลู (2547) ใหค้ วามหมายของคาว่า “เครอื ขา่ ย” คือ ภาพข่ายใยแมงมุมซึ่งแสดงให้เห็นการ ถักทอโยงใยกันของเส้นใยที่พาดผ่านกันมาหลายเส้น หลากทิศทาง ดังนั้น คาว่าเครือข่าย คือ “การเช่ือมโยง อย่างมีเปา้ หมาย” เปน็ การเชอื่ มโยงระหวา่ งระบบทีป่ ฏิบตั กิ ารอยู่เขา้ ดว้ ยกนั เช่นการเช่ือมโยงคอมพิวเตอร์เข้า เปน็ เครอื ข่ายอนิ เตอร์เน็ท เป็นต้น หรืออาจเป็น การเชื่อมโยงระหว่างบทบาทของบุคคล/องค์กรต่างๆ ภายใต้ วัตถุประสงค์ร่วมใดๆ ของภาคีสมาชิก ดังน้ันเครือข่ายจึงเป็นรูปแบบการทางานในลักษณะสร้างความร่วมมือ ประสานงานกันในแนวราบระหว่างผู้ท่ีเก่ียวข้องด้วยสรรพกาลังอันรวมถึง คน สติปัญญา ความสามารถและ ทรัพยากรในการทางานเพ่ือเอาชนะอปุ สรรคที่จุดอ่อนของระบบราชการ และเป็นแนวทางที่ตรงกันกับแนวคิด ของการพัฒนาที่ยึดพ้ืนท่ี ประสานภารกิจ และร่วมทรัพยากร (Area, Function and Participation) เป็นกล ยทุ ธ์ ในการพฒั นา เกรียงศักดิ์ เจริญวงศ์ศักดิ์ (2545) ยังมีความเห็นอีกว่า การเช่ือมโยงเข้าหากันเป็นเครือข่าย ไม่ใช่การ รวมกลุ่มของสมาชิกท่ีมีความสนใจเพียงต้องการพบปะแลกเปลี่ยนความคิดเห็น หรือร่วมสังสรรค์กันเท่าน้ัน แต่มนั หมายถึงความต้องการทจ่ี ะพฒั นาไปสกู่ ารลงมอื กระทากิจกรรมรว่ มกัน โดยมีเปา้ หมายร่วมกนั ทช่ี ัดเจน สรุป ความหมายของเครือข่าย หมายถึง การเชื่อมโยงระหว่างระบบการปฏิบัติงานหรือเชื่อมโยงบทบาทของ กลุ่มบุคคล องค์กร/หน่วยงานต่าง ๆ ท่ีเป็นหน่วยย่อยรวมตัวกันด้วยความสมัครใจ ภายใต้ความต้องการใน วัตถุประสงค์ร่วมกัน จัดโครงสร้างและรูปแบบการทางานด้วยระบบใหม่ในลักษณะสร้างความร่วมมือ ประสานงานกันในแนวราบ ระหว่างผู้ที่เกี่ยวข้องด้วย การระดมสรรพกาลัง ร่วมกันกาหนดกลยุทธ์ในการ พัฒนาดว้ ยการให้สมาชิกได้ร่วมคิด ร่วมตัดสินใจ ร่วมวางแผน ร่วมทา ร่วมรับผิดชอบ ร่วมติดตามประเมินผล และรว่ มรับผลประโยชน์ 5. การสร้างเครอื ขา่ ย หนา้ 18 ปาริชาติ วลยั เสถียร (2543) ไดส้ รปุ กระบวนการสร้างเครอื ขา่ ยไวด้ งั นี้ สรุปผลการดาเนนิ งานการพฒั นาระบบเครือขา่ ยของสานกั งานสง่ เสริมและสนบั สนนุ วิชาการ7
19 1. ข้ันตระหนักถงึ ความจาเป็นในการสร้างเครอื ข่าย เปน็ ขั้นตอนทีผ่ ูป้ ฏิบตั ิงานหรอื ฝา่ ยจัดการตระหนกั ถึงความจาเป็นในการสร้างเครือข่าย เพ่ือท่ีจะทางาน ให้บรรลุเป้าหมาย รวมท้ังพิจารณาองค์กรต่าง ๆ ที่เห็นว่าเหมาะสมเข้าเป็นเครือข่ายในการทางาน คาถามใน ขั้นตอนนี้คือ 1) จะเข้าร่วมเป็นเครือข่ายกับองค์กรใด 2) จะได้รับประโยชน์หรือต้องสละประโยชน์ด้านใดบ้าง ในการเข้ารว่ มเปน็ เครอื ขา่ ย 3) ระยะเวลาใดในการเข้ารว่ มเครือข่าย ส่วนคาตอบสาหรับคาถามเหล่าน้ี อาจมี การเปล่ียนแปลงเมื่อระยะเวลาในการทางานผา่ นไประยะหน่ึงแล้ว 2. ขั้นตดิ ตอ่ กบั องค์กรทจี่ ะเป็นเครอื ข่าย หลังจากทไ่ี ดต้ ดั สินใจในองค์กรท่ีเห็นว่าเหมาะสมในการเข้าร่วมเครือข่าย จะเป็นข้ันตอนของการติดต่อ สัมพันธเ์ พอ่ื ชกั ชวนเข้าร่วมเป็นเครือข่ายในการทางาน ซ่ึงจะเกิดขึ้นเมื่อองค์กรมีความต้องการเหมือนกัน และ ต้องการกระทากิจกรรมตอบสนองความต้องการเหมือนกันดังน้ันจะต้องสร้างความคุ้นเคยและการยอมรับ รวมทงั้ ความไวว้ างใจระหว่างกนั เป็นขนั้ ตอนของการปลูกจิตสานึกโดยการให้รางวัล กระตุ้นให้อยากแก้ปัญหา รว่ มกัน อาจเรยี กขนั้ ตอนนีว้ ่าเป็นข้นั ตอนการเตรียมกล่มุ หรือเตรยี มเครือข่าย 3. ข้ันการสร้างพันธกรณีรว่ มกัน เป็นข้นั ตอนของการสร้างความผกู พันร่วมกนั ซงึ่ หมายถงึ การตกลงในความ สัมพันธ์ต่อกัน ในข้ันตอนนี้ องคก์ รจะเขา้ สกู่ ารตกลงทจ่ี ะทางานรว่ มกนั ซ่ึงในการท่ีจะทากิจกรรมร่วมกันเพ่ือตอบสนองความต้องการหรือ แกป้ ญั หา กลุ่มองคก์ รจะตอ้ งมีความรู้ทจี่ าเปน็ ซง่ึ อาจจะทาโดยการแลกเปลี่ยนความรู้ และอาจเรียกข้ันตอนนี้ ว่ากล่มุ ศึกษาเรยี นรู้ (Learning Group) หากพจิ ารณาในประเด็นของระดับการสร้างเครือข่ายก็จะเป็นข้ันตอน ของ informal cooperation 4. ขน้ั การพัฒนาความสมั พนั ธ์ เป็นข้ันตอนที่การสร้างเครือข่ายปรากฏผลงานเป็นรูปธรรม เป็นขั้นตอน การเร่ิมทากิจกรรมโดยใช้ ทรัพยากรร่วมกัน มีการตกลงในเร่ืองการบริหารจัดการกลุ่ม ซ่ึงเร่ิมต้นด้วยการกาหนดวัตถุประสงค์ของกลุ่ม กาหนดกิจกรรม จัดวางข้อตกลงในการทางาน กาหนดบทบาทของสมาชิก รวมทั้งสิทธิหน้าที่ของหัวหน้ากลุ่ม เป็นต้น ในข้ันกลุ่มกิจกรรม (Action Group) หากพิจารณาในประเด็นระดับการสร้างเครือข่ายเรียกว่าเป็น ข้นั ตอนของ Formal Agreement 5. ขนั้ ตอนการขยายกจิ กรรมหรือขยายกลุม่ หลังจากข้ันตอนการพัฒนาความสัมพันธ์จนนาไปสู่การทากิจกรรมร่วมกัน จนมีผลงานปรากฏเป็นท่ี เด่นชัด องค์กรเครือข่ายรู้สึกว่าตนได้รับผลประโยชน์จากการเข้าเป็นเครือข่าย ความสัมพันธ์จะแน่นแฟ้นขึ้น การเรียนรู้ร่วมกันนอกจากจะเป็นประโยชน์ต่อการทางานฝ่ายปฏิบัติการแล้ว ยังเป็นประโยชน์ต่อการสร้าง ความสัมพันธ์ด้วยความสัมพันธ์ท่ีแน่นแฟ้น ซ่ึงจะนาไปสู่การขยายกิจกรรมหรือขยายกลุ่มตามพื้นที่หรือตาม ลักษณะกิจกรรม ในด้านระดับการสร้างเครือข่าย ข้ันตอนนี้อาจอยู่ในระดับการเข้า “ลงทุน” ในองค์กรใหม่ (Minority Investment) และ การจดั ต้ังองคก์ รใหมร่ ว่ มกัน (Joint Venture) 6. ขนั้ ติดตาม และประเมินผล เป็นขั้นตอนการประเมินผลการดาเนินงานตามแผน ที่เกิดจากเครือข่ายความร่วมมือเพ่ือไปสู่การ ปรบั ปรุงหรือเปล่ยี นแปลงแผนการดาเนนิ งานนนั้ อกี การสร้างเครือข่ายจะต้องเร่ิมจากตัวแทนที่มีโอกาสจะแผ่ขยายแตกสาขาของเครือข่ายออกไปได้ โดย คานึงถึงจุดเร่ิมต้นที่สาคัญจุดใดจุดหน่ึง หรืออาจจะเร่ิมพร้อมกันในหลาย ๆ จุดที่มีความพร้อม เช่น ในกลุ่ม ขา้ ราชการ กลุ่มประชาชน ให้เรมิ่ ในลักษณะประชาชนเป็นศูนย์กลางท่ีมีการช่วยเหลือซ่ึงกันและกัน และสร้าง กลุ่มผู้นาให้เกิดขึ้นก่อน ได้แก่ คณะกรรมการหมู่บ้านซ่ึงอยู่ในรูปของการบริหารสภาตาบลที่กาลังดาเนินการ สรุปผลการดาเนินงานการพฒั นาระบบเครือขา่ ยของสานกั งานสง่ เสริมและสนบั สนนุ วิชาการ7 หนา้ 19
20 อยใู่ นปจั จุบัน โดยท่คี ณะกรรมการเหล่านี้จะต้องเป็นผู้ที่มีความรู้ความสามารถ มีวิสัยทัศน์ในการพัฒนาและมี ความคิดริเริ่มสรา้ งสรรค์ (กาลูนเทพ เทวกลุ , 2536) การสร้างเครือข่ายจะเป็นลักษณะของการส่งต่อ การสืบทอดการส่ือสารซ่ึงกันและกัน เช่น การสร้าง เครือข่ายการเรียนรู้ของประชาชน คงจะต้องอาศัยบทบาทจากหลากหลายหน่วยงาน โดยเฉพาะหน่วยงาน ภาครัฐจะช่วยประสานเสริมสร้าง สนับสนุนการเรียนรู้ของประชาชนในวิถีชีวิต ซ่ึงผู้นาจะเป็นผู้ประสานงาน การเรียนรตู้ า่ ง ๆ ในระดบั ชมุ ชน มีการใช้วิธกี ารสอื่ สาร ทเี่ หมาะสมเพ่อื ใหส้ มาชิกเกิดแนวความคิด (Concept) ทไ่ี มใ่ ช่วธิ กี ารสง่ั การ เป็นการส่ือสารในระดับท่ีก่อให้เกิดความเข้าใจแบบยืนยันได้ (Positive Approach) และ ทส่ี าคญั ท่สี ุดก็คือ ไม่ว่าจะเปน็ การประสานงานระหว่างบคุ คลภายในหรือจากหน่วยงานภายนอก จะต้องสร้าง จิตสานึกร่วมกันว่าจะทาเพ่ืออะไร มีคุณค่าอย่างไร เมื่อประสานแล้วผลที่ตามมาจะต้องก่อให้เกิดการ เปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ต้องการท้ัง คน องค์การ และชุมชน (เจอื จันทร์ จงสถิตอยู่, 2536) สุทิตย์ อาภากโร (2547) ได้จาแนกการก่อตัวของเครือข่ายออกเป็น 3 ลักษณะ คือ 1) เครือข่ายท่ีเกิด จากการจัดตัง้ และสนับสนุนของภาคส่วนตา่ ง ๆ ส่วนใหญเ่ ป็นเครอื ขา่ ยทีภ่ าครฐั หรือหนว่ ยงานบางแห่งต้องการ ส่งเสริมหรือเข้าไปจัดตั้ง เพ่ือให้สอดคล้องกับกระบวนการพัฒนาตามแนวนโยบายของภาครัฐ และเพ่ือเพ่ิม ศักยภาพให้กับชุมชนในการพ่ึงพาตนเอง เช่น เครือข่ายกองทุนหมู่บ้าน เครือข่ายพัฒนาชุมชน เป็นต้น จะมี โครงสร้างความสัมพันธ์ในแนวด่ิงซึ่งเป็นไปตามกระแสของแหล่งทุนและนโยบายของหน่วยงานนั้น ๆ 2) เครอื ข่ายท่เี กดิ ข้ึนเองตามธรรมชาติ ได้แก่ เครือข่ายท่ีเกิดข้ึนจากความสมานฉันท์ การร่วมแรงร่วมใจของฝ่าย ต่าง ๆ ท่ีมองเห็น ความจาเป็นในการเรียนรู้และการแก้ปัญหาร่วมกัน แล้วมารวมตัวกันเป็นเครือข่ายเพ่ือ แลกเปลี่ยนความคิดเห็น ประสบการณ์ ตลอดจนการพ่ึงพาอาศัย โดยเป็นเครือข่ายท่ีมีการส่ือสารและความ ผกู พนั ทมี่ ชี ีวิตชีวา มีกระบวนการท่ปี ระสานสอดคล้องกบั ความสนใจและความตอ้ งการอย่างแท้จริงของสมาชิก มแี นวทางการดาเนนิ การท่ีเป็นอิสระจากการครอบงาของฝ่ายต่าง ๆ และมีโครงสร้างความสัมพันธ์ในแนวราบ 3) เครือขา่ ยท่ีเกิดขึ้นโดยสถานการณ์เป็นตัวกาหนด ได้แก่ เครือข่ายท่ีเกิดจากสถานการณ์และประเด็นปัญหา ท่ีทุกฝ่ายเห็นว่า จาเป็นต้องใช้ความเป็นเครือข่ายในการแก้ปัญหาและสร้างพลังในการเรียนรู้หรือต่อรอง เพ่ือให้เกิดการพัฒนากิจกรรมใดกิจกรรมหน่ึง และมีผู้ประสานงานเพ่ือให้เครือข่ายมีความต่อเน่ือง เช่น เครือข่ายผ้ไู ด้รับผลกระทบจากโครง การพัฒนาของภาครฐั ชัยวัฒน์ ถิระพันธุ์ และปาริชาต สถาปิตานนท์ (2549) ได้กล่าวถึงการสร้างเครือข่าย ว่าเป็นระบบ เช่ือมโยงสัมพนั ธก์ ันของส่ิงมีชีวติ ท่ีควรได้รบั การสรา้ งโอกาสในการเช่ือมโยงเครือข่ายต่อไปเรื่อย ๆ มีการเรียน รูอ้ ย่ตู ลอดเวลา โดยเฉพาะการส่อื สารจะเข้ามามบี ทบาทสาคญั ในการสรา้ งเครือข่าย ได้แก่ 1) การส่งสารท่ีเป็น ข้อมูลหรือข่าวสารท่ีชัดเจนให้ผู้รับเข้าใจง่าย และ 2) การรับสารที่เปิดใจรับข้อมูลหรือข่าวสารอื่นที่อยู่ นอกเหนือจากความคิดทีต่ นมอี ยู่เดมิ 6. ความสามารถในการสอ่ื สารของเครอื ขา่ ย การสง่ สารและการรบั สารที่มปี ระสิทธิภาพ จะส่งผลให้เกิดการขยายเครือข่ายออกไปในวงกว้างได้ และ เครือข่ายจะต้องมีจุดยืน มีจุดประสงค์ท่ีชัดเจนพร้อมที่จะเชื่อมโยงองค์กรอื่นอยู่เสมอ รวมท้ังมีความยืดหยุ่น ไม่มีรูปแบบทแี่ นน่ อนตายตวั นกั แต่เน้นใหบ้ รรลตุ ามวตั ถปุ ระสงค์ของเครือขา่ ยเปน็ สาคัญ สรุปผลการดาเนนิ งานการพฒั นาระบบเครือขา่ ยของสานกั งานสง่ เสริมและสนบั สนนุ วชิ าการ7 หนา้ 20
21 ภาพที่ 1 แบบแผนการเกิดเครอื ขา่ ย (Pattern of Network) E. Mark Hanson (2003) ได้กล่าวถึง การส่งข่าวสารภายในหรือระหว่างองค์การโดยผ่านเครือข่ายน้ัน มีรปู แบบของการส่อื สารอยู่ 5 รปู แบบทีแ่ ตกต่างกัน ได้แก่ ภาพท่ี 2 รูปแบบการสอ่ื สาร (E. Mark Hanson, 2003) Leavitt (1951 อ้างถึงใน ฉันทนา จันทร์บรรจง, 2545) และ Shaw (1954 อ้างถึงใน ฉันทนา จันทร์ บรรจง, 2545) ได้ศึกษาพบว่า การสื่อสารแบบวงล้อ (Wheel) ลูกโซ่ (Chain) และ ตัววาย (Y – Shape) สรุปผลการดาเนนิ งานการพฒั นาระบบเครือขา่ ยของสานกั งานสง่ เสริมและสนบั สนนุ วิชาการ7 หนา้ 21
22 บุคคลท่ีอยู่ตรงกลางของโครงสร้างการสื่อสารจะได้รับเลือกเป็นผู้นา ส่วน การสื่อสารแบบวงกลม (Circle) และแบบทกุ ชอ่ งทาง (All Channel) ไมไ่ ดร้ ะบุว่าใครเป็นผู้นา และสมาชิกในกลุ่มสื่อสารแบบวงกลมและแบบ ทุกช่องทางจะได้รับข่าวสารเท่าเทียมกันทุกคน การสื่อสารในลักษณะวงล้อ ลูกโซ่ และตัววาย จะมีลักษณะ แบบรวมอานาจเขา้ สู่สว่ นกลาง (Centralization) แต่การส่ือสารแบบวงกลมและแบบทุกช่องทางจะมีลักษณะ แบบกระจายอานาจ (Decentralization) เกรยี งศักด์ิ เจริญวงศ์ศักดิ์ (2545) ได้จาแนกลักษณะการเช่ือมโยงของเครือข่ายความร่วมมือไว้ดังน้ี คือ 1) การเชื่อมโยงของปัจเจกต่อปัจเจก 2) การเช่ือมโยงของปัจเจกต่อกลุ่ม 3) การเช่ือมโยงของกลุ่มต่อกลุ่ม และ 4) การเช่อื มโยงของเครอื ข่ายต่อเครือข่าย ภาพท่ี 3 ลักษณะการเชื่อมโยงของเครอื ขา่ ยความร่วมมอื (เกรียงศกั ดิ์ เจริญวงศ์ศกั ด์ิ, 2545) Swansburk (1996) กล่าวว่า การส่ือสารที่ไม่ดีหรือขาดประสิทธิภาพน้ัน จะก่อให้ เกิดความตึงเครียด ในองค์การได้ หรอื อาจจะก่อใหเ้ กิดการสญู เสียทางเศรษฐกิจ และอาจทาให้อัตราการขาดงาน โอนย้าย ลาออก หรือการประท้วงมากข้ึน ส่ิงท่ีจะตามมาคือผลผลิตที่ต่าและไม่มีคุณภาพการสื่อสารในรูปแบบของเครือข่าย ความร่วมมือน้ัน จะก่อให้เกิดความมุ่งมั่นและความสัมพันธ์ที่ดีท้ังภายในและระหว่างเครือข่าย การสื่อสารจะ สรุปผลการดาเนนิ งานการพฒั นาระบบเครือขา่ ยของสานกั งานสง่ เสริมและสนบั สนนุ วิชาการ7 หนา้ 22
23 เกิดขึ้นตลอด 24 ช่ัวโมง การสื่อข่าวสารข้อมูลจะต้องมีความสะดวก คอมพิวเตอร์เป็นเคร่ืองมือสื่อสารชนิด หนึ่งที่มีความจาเป็นจะต้องนามาใช้ เพราะสามารถส่งข่าวสารข้อมูลได้อย่างรวดเร็วและทุกรูปแบบท้ังแนวด่ิง และแนวนอน ประกอบด้วย 1) การสือ่ สารจากบนลงล่าง (Downward Communication) 2) การสื่อสารจาก ล่างข้ึนบน (Upward Communication) 3) การสื่อสารระดับเดียวกันหรือการส่ือสารในแนวราบ (Lateral Communication) และ 4) การสือ่ สารแบบสองทาง (Two-way Communication) 7. ประเภทและรูปแบบของเครอื ข่าย ประเภทและรูปแบบของเครือข่ายมีความแตกต่างกันไปตามนิยาม และกิจกรรมท่ีแต่ละกลุ่มหรือผู้ใช้ กิจกรรมเครือข่ายกาหนดข้ึน อรรณพ พงษ์วาท (2544) ได้เสนอแนะรูปแบบเครือข่ายความร่วมมือในการบริหารจัดการสถานศึกษา ไว้ 6 รูปแบบ ได้แก่ 1) รูปแบบสถานศึกษาขั้นพ้ืนฐานของรัฐรวมตัวกันเป็นเครือข่าย 2) การรวมตัวกันเป็น เครือข่ายของสถานศึกษาขั้นพ้ืนฐานของรัฐแห่งใดแห่งหน่ึง หรือหลาย ๆ แห่ง กับภาคส่วนอื่น ได้แก่ บุคคล ครอบครัว องค์กรชุมชน องค์กรเอกชน องค์กรวิชาชีพ สถาบันศาสนา สถานประกอบการ และสถาบันสังคม อื่นที่จัดการศึกษาในรูปแบบที่หลากหลาย 3) รูปแบบเครือข่ายสถานศึกษาข้ันพื้นฐานของรัฐกับองค์กร ปกครองส่วนท้องถ่ิน ได้แก่ องค์การบริหารส่วนจังหวัด เทศบาล องค์การบริหารส่วนตาบล หรือองค์กร ปกครองสว่ นทอ้ งถ่นิ รูปแบบอ่ืน ๆ 4) รูปแบบเครือขา่ ยสถานศึกษาข้ันพื้นฐานของรัฐกับสถานศึกษาขั้นพ้ืนฐาน ของเอกชน 5) รูปแบบเครอื ขา่ ยสถานศึกษาขัน้ พนื้ ฐานของรฐั กับเอกชนและภาคส่วนอื่น ๆ ที่ระบุไว้ในรูปแบบ ที่ 2 และ 3 6) รูปแบบเครือข่ายที่อาจเกิดจากการริเร่ิมระหว่างสถานศึกษาข้ันพื้นฐานท้ังของรัฐและของ เอกชน หรือระหว่างสถานศึกษาข้ันพื้นฐานกับองค์กรปกครองส่วนท้องถ่ิน และภาคส่วนอ่ืน ๆ ในเขตพื้นท่ี การศึกษาโดยไม่มีการชี้นากากับหรือครอบงาบ่งการจากหน่วยงานหรือองค์กรทางการศึกษาใด ๆ และยังให้ ข้อเสนอแนะไว้ว่า รูปแบบของเครือข่ายโรงเรียนควรตั้งอยู่บนหลักการความสมัครใจ ความเสมอภาค การ พึ่งพิงพึ่งพาอาศัยกัน ความสัมพันธ์ทั้งแนวราบและแนวนอน และต้องลดความเป็นราชการลง (Less Bureaucratic Model) บนพื้นฐานของการไม่รวมศูนย์ที่จะเป็นอุปสรรคในการก่อตัว และการดารงอยู่ ตลอดจนการดาเนนิ งานของเครือข่าย เกรียงศักด์ิ เจริญวงศ์ศักดิ์ (2545) ได้แบ่งเครือข่ายออกเป็นประเภทต่างๆ โดยใช้เกณฑ์บางประการ ประยุกตเ์ ครือข่ายเพ่ือปฏิรูปการศกึ ษา สรุปได้ตามตารางตอ่ ไปน้ี ตารางที่ 1 ประเภทของเครือข่าย (เกรยี งศักด์ิ เจริญวงศ์ศักด,ิ์ 2545) สรุปผลการดาเนนิ งานการพฒั นาระบบเครือขา่ ยของสานกั งานสง่ เสริมและสนบั สนนุ วชิ าการ7 หนา้ 23
24 สหทั ยา วิเศษ (2547) ไดแ้ บง่ ประเภทของเครือข่ายออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ ๆ ไดแ้ ก่ 1. เครือข่ายที่แบ่งตามลักษณะการเกิดของเครือข่าย โดยเครือข่ายประเภทน้ี อาจแบ่งเป็นเครือข่ายใน ด้านต่าง ๆ คือ 1) เครือข่ายท่ีเกิดข้ึนจากการจัดต้ังของภาครัฐ เช่น เครือข่ายกองทุนหมู่บ้าน เครือข่ายอาสา พัฒนาชุมชน เป็นต้น ซ่ึงเป็นเครือข่ายท่ีมีกระบวนการทางานและโครงสร้างท่ีค่อนข้างเป็นทางการ มีระเบียบ กฎเกณฑ์ท่ีกาหนดมาจากภาครัฐ และได้รับการสนับสนุนจากภาคภาครัฐในด้านต่าง ๆ 2) เครือข่ายที่เกิดจาก การสนบั สนุนขององค์การพัฒนาเอกชน ซง่ึ มี การรวมกลมุ่ เครอื ขา่ ยตามประเด็นปัญหาสาธารณะที่เกิดขึ้น เช่น ด้านทรัพยากรธรรมชาติ ด้านการเงินชุมชน ด้านสุขภาพ ด้านเกษตรกรรม โดยท่ีลักษณะของเครือข่าย ประเภทนจ้ี ะเป็นกลุ่มเครือข่ายท่ีเกิดขึ้นตามธรรมชาติมีลักษณะไม่เป็นทางการ มีการจัดโครงสร้างท่ีง่าย ๆ ไม่ ซบั ซอ้ น ซึ่งอยู่ในลักษณะแนวราบ (Horizontal) ไม่มีประธาน มีการเปลี่ยนแปลงบทบาทในการนาเพื่อพัฒนา ศักยภาพของตน 3) เครือขา่ ยท่เี กิดข้ึนจากการก่อตัวของภาคประชาชน หรือเครือข่ายภาคประชาชน โดยเป็น เครอื ขา่ ยที่เกิดจากการเรียนรู้ การสัง่ สมประสบการณ์ท่ีสอดคล้องกับวิถีชีวิตและเชื่อมโยงกระบวนการน้ันเป็น เครือข่าย เช่น เครอื ขา่ ยวัฒนธรรมพ้ืนบา้ น เครือขา่ ยปราชญท์ อ้ งถน่ิ เปน็ ต้น 2. เครอื ขา่ ยที่แบ่งตามลักษณะของกิจกรรม ได้แก่ เครือข่ายที่ดาเนินการ โดยยึดภารกิจหรือกิจกรรมท่ี เกิดขึ้นในแต่ละช่วงเวลาเป็นเกณฑ์ในการแบ่งเครือข่าย โดยเป็นการรวมตัวกันเพื่อทากิจกรรมเป็นคร้ังคราว ตามสภาพปญั หาท่เี กิดขึน้ เชน่ เครอื ขา่ ยการเรยี นรู้ เครือข่ายผู้ได้รับผลกระทบจากโครงการพัฒนาของภาครัฐ เป็นต้น สรุปผลการดาเนินงานการพฒั นาระบบเครือขา่ ยของสานกั งานสง่ เสริมและสนบั สนนุ วิชาการ7 หนา้ 24
25 8. องคป์ ระกอบของเครอื ขา่ ย เกรียงศักด์ิ เจรญิ วงศ์ศักด์ิ (2545) กลา่ วถึงองคป์ ระกอบของเครอื ข่าย 7 องคป์ ระกอบ ได้แก่ 1. การรับรมู้ ุมมองดว้ ยกนั (Common Perception) ทีถ่ ือว่าเป็นหัวใจของเครือข่าย สมาชิกที่เข้ามาอยู่ ในเครือข่ายต้องมีความรู้สึกนึกคิดและรับรู้ร่วมกันถึงเหตุผลการเข้าร่วมเป็นเครือข่าย เช่น มีความเข้าใจใน ปัญหาและมีจิตสานึกในการแก้ปัญหาร่วมกัน มีประสบการณ์ในปัญหาร่วมกัน และมีความต้องการความ ชว่ ยเหลือในลกั ษณะทค่ี ลา้ ยคลงึ กัน เปน็ ตน้ 2. การมีวิสัยทัศน์ร่วมกัน (Common vision) เป็นการมองเห็นภาพของจุดหมายในอนาคตร่วมกัน ระหว่างสมาชกิ ในกลมุ่ ที่รับรู้เข้าใจถึงทิศทางเดียวกัน และการมีเป้าหมายที่จะไปด้วยกันจนทาให้กระบวนการ เคล่ือนไหวมีพลงั และเกดิ เอกภาพ 3. การมีผลประโยชน์และมีความสนใจร่วมกัน (Mutual Interest/Benefit) เช่น เกียรติยศ ชื่อเสียง การยอมรบั โอกาสในความก้าวหน้า ความสขุ ความพงึ พอใจ ฯลฯ 4. การมีสว่ นรว่ มของสมาชิกเครือข่ายอย่างกว้างขวาง (all stakeholders participation) เป็นเง่ือนไข ท่ีทาใหเ้ กิดการรบั รู้ ร่วมคดิ ร่วมตัดสนิ ใจ และรว่ มลงมือกระทาอยา่ งแข็งขนั 5. การเสริมสร้างซึ่งกันและกัน (Complementary Relationship) โดยใช้จุดแข็งของฝ่ายหน่ึง ไปช่วย แก้ปญั หาจดุ ออ่ นของอีกฝ่ายหนึง่ 6. การพ่ึงพิงอิงร่วมกัน (Interdependence) ระหว่างสมาชิกของเครือข่าย เพ่ือเป็นการเสริม สร้างซึ่ง กนั และกัน และยงั ส่งผลให้สมาชิกมปี ฏิสัมพันธร์ ะหวา่ งกันโดยอตั โนมตั ิ 7. การปฏิสัมพันธ์เชิงแลกเปล่ียน (Interaction) สมาชิกในเครือข่ายต้องทากิจกรรมร่วมกันเพ่ือให้เกิด การปฏสิ ัมพันธ์ระหวา่ งสมาชกิ ด้วยกนั ท่กี ่อให้เกิดการเปลีย่ นแปลงในเครอื ขา่ ยด้วย ปาริชาติ สถาปิตานนท์ และชัยวัฒน์ ถิระพันธ์ (2546) กล่าวถึง สมการท่ีเกี่ยวกับองค์ประกอบที่สาคัญต่อการ เสรมิ สรา้ งเครือข่าย คือ การถา่ ยทอดความรู้ ทกั ษะ การสื่อสาร การบริหารข้อมูลข่าวสาร และการปฏิสัมพันธ์ เพ่ือนาไปสู่การตีความหมายหรือการสร้างความหมายร่วม และสุดท้ายคือการเห็นและเข้าใจในเป้าหมายร่วม ซ่งึ สามารถสรปุ ได้ ดังนี้ ภาพที่ 4 แสดงองค์ประกอบท่ีสาคัญต่อการเสริมสร้างเครือข่าย (ปาริชาติ สถาปิตานนท์ และชัยวัฒน์ ถิระ พนั ธ์, 2546) จากแผนภูมิดังกล่าว จะเห็นได้ว่าเครือข่ายเป็นเรื่องท่ีเกี่ยวกับการที่สมาชิกทุกฝ่ายเห็นและเข้าใจ เปา้ หมายร่วมกัน ท้ังเป้าหมายระยะส้ัน ระยะยาว และเป้าหมายเฉพาะหน้า ในขณะที่เครือข่ายจะมีกลไกการ สรุปผลการดาเนินงานการพฒั นาระบบเครือขา่ ยของสานกั งานสง่ เสริมและสนบั สนนุ วิชาการ7 หนา้ 25
26 จัดการระบบข้อมลู ข่าวสาร เพอ่ื ถ่ายทอดความรหู้ รอื ทกั ษะต่างๆ ตลอดจนการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างกันอยู่ ตลอดเวลา มีการล่ืนไหลของข้อมูลขา่ วสารทส่ี อื่ ถงึ กัน มีพืน้ ทเี่ ปน็ รปู ธรรมในการทางาน มีชุมทาง (hub) และมี โหนด (node) หรือ “ศูนย์ประสานงานย่อย” ท่ีหลากหลายและกระจายอยู่ในพื้นท่ีต่าง ๆ ทาให้กิจกรรมย่อย ระดบั โหนดหรือศนู ย์ประสานงาน มคี วามหมายและสามารถสร้างเปน็ พลังของเครือขา่ ยได้ ธนา ประมุขกูล (2547) กลา่ วถงึ องค์ประกอบของเครือขา่ ยวา่ ประกอบด้วย 4 องคป์ ระกอบ ดงั น้ี 1. สมาชิก ได้แก่ สมาชิกแกนหลักท่ีเก่ียวข้องโดยตรงกับผลงานตามเป้าหมายเครือข่าย และสมาชิก เสริมที่เป็นฝา่ ยสนับสนนุ 2. กรรมการผู้ประสานงาน เพ่ือให้เกิดการจัดการที่ดีสามารถนาพาเครือข่ายขับเคล่ือนไปด้วยพลังร่วม ของสมาชกิ 3. เป้าหมายหรือวัตถุประสงค์ ถือเป็นจุดร่วมสาคัญของการเป็นเครือข่าย ถ้าเป็นเป้าหมายต้องชัดเจน และมีความเปน็ ไปได้ ใหค้ วามสาคญั ต่อการมีส่วนรว่ มและคงอยขู่ องสมาชกิ 4. กิจกรรม การจัดกิจกรรมจะต้องสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ โดยการร่วมคิด ร่วมตัดสินใจ และร่วม ทรพั ยากรของสมาชกิ ด้วยกนั เอง พระมหาสุทิตย์ อาภากโร (2547) กล่าวว่า จุดร่วมท่ีเป็นองค์ประกอบสาคัญของความเป็นเครือข่าย ไดแ้ ก่ 1. หน่วยชีวิต หรือ สมาชิก ซ่ึงถือเป็นองค์ประกอบเบ้ืองต้นของความเป็นเครือข่าย และเป็น องค์ประกอบหลกั ท่กี ่อให้เกดิ ความเปน็ เครอื ข่าย 2. จุดมุ่งหมาย เป็นองค์ประกอบที่สาคัญ เพราะความเป็นเครือข่าย หมายถึง การร่วมกันอย่างมี จดุ หมาย เพ่ือทากิจกรรมอย่างใดอย่างหนึง่ โดยมีวัตถุประสงค์และกระบวนการเพื่อให้บรรลุจุดมงุ่ หมายน้ัน 3. การทาหน้าท่ีอย่างมีจิตสานึก ส่ิงท่ีจะยึดเหน่ียวสิ่งต่าง ๆ เข้าด้วยกัน คือ การทาหน้าท่ีต่อกัน และ กระทาอย่างมจี ติ สานึกตอ่ สว่ นรวม 4. การมีส่วนร่วมและการแลกเปลี่ยน ในองค์ประกอบของความเป็นเครือข่ายจะต้องมี การพ่ึงพาอาศัย การแลกเปลีย่ นเรียนรู้ และการมีส่วนร่วมในกจิ กรรมตา่ ง ๆ 5. ระบบความสัมพันธ์และการส่ือสาร เป็นส่ิงท่ีมีความสาคัญต่อเครือข่าย ได้แก่ ข้อมูลและการส่ือสาร ระหว่างกันทั้งการสื่อสารระหว่างปัจเจกบุคคล กลุ่มกับกลุ่ม และระหว่างเครือข่ายกับเครือข่าย รวมทั้งระบบ ความสัมพนั ธใ์ นการแลกเปล่ยี นเรยี นรู้ ปาริชาติ สถาปิตานนท์ และชัยวัฒน์ ถิระพันธ์ (2546) กล่าวว่า องค์ประกอบของเครือข่าย ประกอบดว้ ย 1. การเรยี นรู้ (Learning) ได้แก่ การเรยี นรเู้ กีย่ วกับความจาเป็นและความตอ้ งการของตนเองและผู้อนื่ 2. การลงทุน (Investing) ได้แก่ การลงทุนด้านเวลา และพลังงานในการติดต่อและเช่ือมประสานกับ บุคคลต่าง ๆ 3. การดูแล (Nurturing) ได้แก่ การดูแลสัมพันธภาพระหว่างสมาชิกของเครือข่ายอย่างใกล้ชิด ท้ังใน เร่ืองของการทางานและความสัมพันธภาพสว่ นตวั 4. การรกั ษา (Keeping) ไดแ้ ก่ การรักษาทิศทางในการบรรลุเป้าหมาย โดยเฉพาะการตรวจ สอบความ ต้องการของสมาชกิ และการเปดิ ใจรับฟงั ความคดิ เห็นซึ่งกนั และกัน 9.กระบวนการปฏบิ ัติงานของเครือขา่ ย สรุปผลการดาเนินงานการพฒั นาระบบเครือขา่ ยของสานกั งานสง่ เสริมและสนบั สนนุ วชิ าการ7 หนา้ 26
27 พระมหาสุทิตย์ อาภากโร (2547) ยังได้กล่าวถึงกระบวนการทางานของเครือข่ายต่าง ๆ ว่ามี ลกั ษณะรว่ มกันใน 4 ประเดน็ คือ 1. กระบวนการทางานท่ีเช่ือมประสานจดุ เลก็ และขยายไปสู่หน่วยใหญ่ 2. การรักษาสัมพันธภาพท่ีสร้างความรู้ ความหมาย และโลกทศั นร์ ่วมกัน 3. การเสริมสร้างกระบวนการเรยี นรู้และการปรบั ตวั 4. การพฒั นากิจกรรมเพอ่ื สรา้ งกระบวนการทางนวัตกรรม และวาทกรรมในการพัฒนา จะเหน็ ได้วา่ กระบวนการทางานของเครอื ข่ายดงั กล่าวเป็นกลยุทธ์ที่สาคัญ ในการประสานความร่วมมือ เป็นการทางานด้วยถ้อยทีถ้อยอาศัยระหว่างสมาชิกและภาคีร่วม โดยมีจุดเร่ิมต้นจากการทางานในพื้นที่และ ประเด็นเล็กๆ แล้วขยายกระบวนการเป็นเครือข่ายที่กว้างขวางออกไป พร้อมท้ังแสวงหาความรู้ใหม่ วิธีการ ใหม่ที่เหมาะสมกว่าโดยมีระบบการส่ือสารและนวัตกรรมใหม่เป็นเคร่ืองมือที่จะสร้างความหมายและ ความสัมพันธท์ ่ีดตี อ่ กัน ภาพท่ี 5 กระบวนการทางานของเครือข่าย (สุทิตย์ อาภากโร, 2547) ศิริกาญจน์ โกสุมภ์ (2542) ได้สรุปกระบวนการมีส่วนร่วมประกอบด้วย 8 ขั้นตอน ได้แก่ 1) การศึกษา ขอ้ มลู พน้ื ฐาน 2) การสร้างความสัมพนั ธ์กับชมุ ชน 3) การสรา้ งเครือข่ายของกลุ่ม 4) การสร้างกิจกรรม 5) การ ตอ่ รองเพอื่ การดาเนินกิจกรรม 6) การต่อรองเพอ่ื การดาเนินกิจกรรม 7) การร่วมกันประเมินผลการดาเนินงาน และ 8) การร่วมกันรับผลประโยชน์จากการดาเนนิ การ วารสารสื่อพลัง (2548) ได้เสนอกระบวนการมีส่วนร่วมไว้ 5 ข้ัน คือ 1) การระดมความคิด คือ การ คิดค้นและวิเคราะห์ปัญหาร่วมกันในลักษณะของการร่วมคิดบนพื้นฐานความ ศรัทธาว่าทุกคนท่ีเข้ามามีส่วน รว่ มนั้นมศี กั ยภาพเท่าเทียมกัน 2) การวางแผน คอื การนาสิง่ ทร่ี ว่ มกนั คิดมากาหนดเป็นแผนปฏิบัติการร่วมกัน ด้วยการระดมทรัพยากรจากทุกฝ่าย (คน ส่งิ ของ งบประมาณ และ เวลา เป็นต้น) 3) การลงมือทา คือ การนา แผนงานที่ได้ไปร่วมกันทาหรือแบ่งงานกันรับผิดชอบเพ่ือให้เป็นไปตามแผนหรือเป้าหมายที่วางไว้ 4) การ ติดตามประเมินผล คือ ร่วมกันติดตามงานท่ีทาและแก้ไขปัญหาท่ีเกิดขึ้นระหว่างการทางาน ร่วมมือกันคิด สรุปผลการดาเนนิ งานการพฒั นาระบบเครือขา่ ยของสานกั งานสง่ เสริมและสนบั สนนุ วิชาการ7 หนา้ 27
28 พฒั นาปรับปรงุ ให้งานดีขึ้น 5) การรับผลประโยชน์ร่วมกัน มีท้ังผลประโยชน์ทางรูปธรรมท่ีต้องการให้เกิดตาม กิจกรรมท่ีทานั้น และผลประโยชน์โดยอ้อม แต่มีความสาคัญมาก คือ การเรียนรู้จากการร่วมคิด ร่วมทา และ ความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งภาคที ่ีพัฒนาไปสูก่ ารมสี ่วนร่วมท่สี มานฉนั ท์ เสมอภาค และเอื้ออาทรมากขนึ้ Cohen and Uphoff (1980) ไดจ้ าแนกกระบวนการมสี ่วนร่วมออกเป็น 4 ระดับ คือ 1) การมีส่วนร่วม ในการตดั สนิ ใจ (Decision Making) 2) การมีส่วนร่วมในการดาเนินการ (Implementtion) 3) การมีส่วนร่วม ในการรบั ผลประโยชน์ (Benefit) 4) การมสี ว่ นรว่ มในการประเมนิ ผล (Evaluation) Shaeffer (1994) ได้ระบุกิจกรรมท่ีแสดงให้เห็นถึงกระบวนการมีส่วนร่วมท่ีสามารถนาไป ประยุกต์ใน บริบทการจัดการศึกษา ดังนี้ 1) การรวบรวมและตรวจสอบ การวิเคราะห์และพิจารณาข้อมูลสภาพปัญหา 2) กาหนดนิยาม จัดลาดับความสาคัญของปัญหาและกาหนดเป้าหมาย 3) การประเมินความเป็นไปได้ของข้อมูล 4) การตดั สินใจและการวางแผนการดาเนินงาน 5) การออกแบบยุทธศาสตร์เพ่ือให้การปฏิบัติงานบรรลุผล 5) การออกแบบยุทธศาสตร์เพ่ือให้การปฏิบัติงานบรรลุผล การจัดสรรงานและความรับผิดชอบให้กับทีมงาน 6) การปฏิบัติตามแผนงาน 7) การตรวจสอบความก้าวหน้าของแผนงาน และ 8) การประเมินผลลัพธ์และ ผลกระทบทเ่ี กิดขนึ้ สรปุ กระบวนการปฏิบัติงานของเครือข่าย ประกอบด้วย 7 ข้ันตอน คือ 1) กาหนดวิสัยทัศน์ 2) กาหนด เป้าหมาย 3) กาหนดวิธีการสื่อสาร 4) กาหนดบทบาทหน้าที่ 5) วางระบบการประเมินผล 6) ให้ความรู้ความ เข้าใจ และ 7) พฒั นาแผนปฏบิ ัติการ 10.ลกั ษณะบง่ ชเี้ ชงิ คุณภาพความเข้มแขง็ ของเครอื ขา่ ย ธนา ประมุขกลู (2547) ไดก้ ล่าวถงึ ลกั ษณะบง่ ช้ีเชงิ คณุ ภาพความเขม้ แขง็ ของเครือขา่ ยดงั นี้ 1. สัมพันธภาพ คือ ความใกล้ชิดสนิทสนม กลมเกลียว เป็นน้าหน่ึงใจเดียวกัน และมีความอะลุ่มอล่วย ยดื หยุ่น ทีเ่ ป็นไปตามธรรมชาติของกลุ่มทีม่ คี วามเข้าใจ และความจรงิ ใจเป็นพ้ืนฐาน 2. ความชดั เจนของเปา้ หมาย ซึง่ มาจากความคิดเห็นของสมาชิก เป็นเสมือนเข็มทิศนาทางให้สมาชิกใน เครือข่ายได้เข้าใจตรงกัน และเดินทางไปในทิศทางเดียวกัน โดยไม่หลงใช้เวลาและทรัพยากรกับภารกิจท่ีไม่ สอดคล้องกับเปา้ หมายของเครอื ขา่ ย 3. กระบวนการเสนอความคิดเห็นและตัดสินใจ เครือข่ายต้องมีความเป็นประชาธิปไตยให้สมาชิกเสนอ ความคดิ เหน็ ให้สิทธใิ์ นการตดั สินใจอยา่ งเปน็ อิสระเต็มทย่ี ่อมบ่งบอกถงึ ความเขม้ แขง็ ของเครือข่าย 4. ลักษณะกิจกรรมและความต่อเนื่อง ดาเนินกิจกรรมด้วยสมาชิกในเครือข่ายเอง ไม่ใช่การพึ่งพิงจาก ภายนอก นอกจากนี้ความสม่าเสมอต่อเน่ืองของกิจกรรม ก็เป็นส่ิงช่วยบอกถึงความเข้มแข็งของเครือข่ายด้วย เชน่ กัน 5. แหล่งของทรัพยากร/ศักยภาพ การท่ีเครือข่ายสามารถแสวงหาและดึงศักยภาพ/ทรัพยากรท่ีมีอยู่ ภายในเครือข่ายมาใช้ เป็นความเข้มแข็งของเครือข่ายที่สามารถพ่ึงตนเอง แต่มิได้หมายความว่า เครือข่ายจะ ปฏเิ สธการสนบั สนนุ จากภายนอกโดยสิ้นเชิง 6. การเรียนรู้และนวัตกรรม ความหลากหลายที่มารวมกันของสมาชิก ควรก่อให้เกิดการเรียนรู้ใหม่ สามารถนาไปสูก่ ารพฒั นาจนเกดิ การสรา้ งสรรค์นวตั กรรมตามมา คุณภาพใหม่ ที่เกิดขึ้นนี้จึงอาจเป็นส่ิงท่ีเหล่า สมาชกิ เกดิ เปน็ การเรียนรขู้ ึน้ ในตนเอง อันเปน็ ผลจากการมีปฏิสัมพันธ์ในกลุ่ม หรืออาจเป็นผลปรากฏรูปธรรม ในกิจกรรมท่มี กี ารพฒั นาการไปเร่ือย ๆ จนกระทัง่ ถึงการเป็นนวตั กรรมต้นแบบใหก้ ับผ้อู ่นื ต่อไป ปาริชาติ สถาปติ านนท์ และชัยวัฒน์ ถิระพันธ์ (2546) ยังได้กล่าวถึงการสื่อสารกับสังคมเครือข่ายว่า 1) การส่ือสารจะทาให้สมาชิกในเครือข่ายมีโอกาสรับรู้ (Perception) เก่ียวกับข้อมูลข่าวสารได้ท่ัวถึง 2) การ สรุปผลการดาเนนิ งานการพฒั นาระบบเครือขา่ ยของสานกั งานสง่ เสริมและสนบั สนนุ วิชาการ7 หนา้ 28
29 ส่ือสารเป็นส่วนสาคัญในการสร้างแรงบันดาลใจ (Inspiration) ให้บุคคลร่วมมือกัน ค้นหาเป้าหมายร่วมกัน (Shared Goal) 3) การสื่อสารเปน็ แนวทางท่ีทาให้สมาชิกในเครือข่าย ได้มีโอกาสเรียนรู้ (Learning) ความคิด ความรู้สึก ความเช่ือ และพฤติกรรมของกันและกัน การแลกเปลี่ยน (Exchange) ข้อมูลและข้อคิดต่าง ๆ การ ฝึกเปิดใจกว้าง (Open-mind) เพ่ือยอมรับฟังความคิดเห็นและพฤติกรรมตลอดจนการพัฒนาสัมพันธภาพ ระหว่างกัน (Relationship Development) และร่วมมือกันทางานให้บรรลุเป้าหมาย 4) การสื่อสาร มีส่วน สาคัญในการค้นควา้ และพฒั นา “อัตลักษณ์” (Identity) และบุคลิกลักษณะ (Character) ร่วมกันของสมาชิก ในเครอื ขา่ ย และเป็นชอ่ งทางในการนาเสนออัตลกั ษณ์และบคุ ลิกลกั ษณะดงั กลา่ วสูส่ ังคมภายนอก พระมหาสุทิตย์ อาภากโร (2547) ได้จาแนกบทบาทและหน้าที่ของเครือข่าย ในสังคมไทยออกเป็น 3 กล่มุ ใหญ่ ๆ คอื 1. ระดับกิจกรรม/การทางาน (ทีมทา) ได้แก่ เครือข่ายท่ีเน้นกระบวนการทางานในระดับพื้นที่หรือใน ประเด็นปัญหาน้ันๆ เป็นสาคัญ โดยเป็นเครือข่ายท่ีมีโครงสร้างความสัมพันธ์ไม่ซับซ้อน มีแบบแผนการ ปฏิบัติงานท่ีเป็นการทางานท่ีเน้นการพ่ึงพาอาศัยและทรัพยากรในพ้ืนที่ เช่น เครือข่ายกลุ่มออมทรัพย์ เครือขา่ ยแมบ่ า้ นเกษตร เครอื ข่ายประชาตาบล ฯลฯ ท่ีมีการรวมตวั กนั เพอื่ ทางานในกิจกรรมนั้นอย่างจรงิ จัง 2. ระดับการสนับสนุนและประสานงาน (ทีมนา) ได้แก่ เครือข่ายที่ทาหน้าท่ีเป็นศูนย์ประสานงาน ระหว่างเครือข่ายและภาคีต่าง ๆ มีบทบาทในการส่งเสริมการทากิจกรรมของเครือข่ายย่อยในพ้ืนท่ี มีการ แลกเปลี่ยนความคิดเห็น และให้ข้อมูลทางเลือกในกระบวนการทางาน ซึ่งเครือข่ายในระดับน้ีอาจเป็นทั้ง เครือข่ายเชิงพ้ืนที่ที่มีการทางานครอบคลุมในระดับจังหวัดหรือภูมิภาค และเครือข่ายเชิงประเด็นท่ีทางาน เฉพาะด้าน ตวั อยา่ งเช่น การรวมตัวของเครอื ขา่ ยกลุ่มฮกั เมอื งนา่ นในจงั หวัดน่าน เป็นต้น 3. ระดับการส่งเสริม/และการให้คาปรึกษา (ทีมหนุน) ได้แก่ เครือข่ายขององค์การสถาบัน และ หน่วยงานหลกั ทางสงั คมท่เี ป็นผู้ให้การสนับสนุนให้เกิดกระบวนการพัฒนา และพัฒนาเป็นเครือข่าย เช่น การ สนับสนนุ การวิจยั (สกว.) สานักงานกองทุนสนบั สนุนการเสรมิ สรา้ งสขุ ภาพ (สสส.) สถาบันพระปกเกล้า สภาท่ี ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เป็นต้น ซึ่งการส่งเสริมของเครือข่ายดังกล่าวจะเป็นลักษณะของการให้ คาปรกึ ษาและใหแ้ นวทางการปฏิบตั แิ ก่เครือขา่ ยอน่ื ๆ เพ่อื ใหส้ อดคลอ้ งกับเปา้ หมายในการพัฒนาประเทศ ผลสัมฤทธิข์ องความเปน็ เครอื ข่ายทก่ี อ่ ใหเ้ กดิ กระบวนการเรยี นรู้และการพฒั นาทตี่ อ่ เนื่อง ไดแ้ ก่ 1. เกิดกระบวนการเรียนรู้ คือ ผู้เข้าดาเนินงานเครือข่ายทุกคนมีความรู้ ความสามารถและมี ประสบการณม์ ากขึ้น หลังจากที่ได้มกี ารแลกเปลี่ยนเรียนรแู้ ละมีการทางานร่วมกัน โดยกระบวนการเรียนรู้น้ัน จะช่วยให้บุคคลและองค์การมีการปรับตัวในการแสวงหาความรู้ใหม่ วิธีการใหม่ และแนวร่วมใหม่อย่าง ตอ่ เนื่อง ซ่ึงเปน็ ผลใหก้ ารทางานในดา้ นต่าง ๆ ของเครอื ขา่ ยมปี ระสทิ ธภิ าพมากขึ้น 2. การเพิ่มโอกาสในการแก้ปัญหา กลุ่มเครือข่ายพยายามผลักดันในการแก้ปัญหาภายในกลุ่มองค์การ ของตนเอง การรวมกลุม่ และการประสานงานกับภาคีทเี่ กีย่ วข้อง จะเปน็ การเพิ่มโอกาสในการแก้ปัญหา เพราะ เปน็ การระดมความคิดเหน็ และความร่วมมอื จากฝ่ายต่าง ๆ ที่จะนาไปสูก่ ารแก้ปญั หาอยา่ งเปน็ รปู ธรรม 3. เกิดการพึ่งพาตนเอง เมื่อเครือข่ายมีกระบวนการทางานที่เข้มแข็ง และสามารถแก้ไขปัญหาของ เครือข่ายได้แล้ว เครือข่ายและสมาชิกในเครือข่ายก็สามารถท่ีจะพ่ึงพาตนเองได้ในเร่ืองของทุน ทรัพยากร ความรู้ และการจดั การ ที่จะไปสูก่ ารพัฒนาสงั คมและการพัฒนาศักยภาพของเครอื ข่ายทตี่ ่อเน่อื ง 4. เกิดการจัดการทรัพยากรในท้องถ่ิน เป็นความสาเร็จของเครือข่ายในการท่ีจะร่วมกันพัฒนาและ จัดการกับทรัพยากรในท้องถิ่น ซึ่งเครือข่ายเพ่ือการจัดการทรัพยากรในท้องถ่ินนี้มีพลังขับเคล่ือนในหลาย ๆ พืน้ ที่ เช่น เครือข่ายส่ิงแวดล้อมในอาเภอแม่เมาะ จังหวัดลาปาง เครือข่ายอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมของชาวบ้านหิน กรูดและบ้านบอ่ นอก จงั หวัดประจวบคีรขี ันธ์ เปน็ ตน้ สรุปผลการดาเนินงานการพฒั นาระบบเครือขา่ ยของสานกั งานสง่ เสริมและสนบั สนนุ วิชาการ7 หนา้ 29
30 5. เกิดกระบวนการผลักดันเชิงนโยบาย ปัจจุบันประเด็นปัญหาสาธารณะจานวนไม่น้อยท่ีเกิดข้ึนและ สามารถนาไปสู่ข้อยุติ ด้วยพลังของเครือข่ายและการจัดการในเชิงนโยบาย ตัวอย่างเช่น การรวมตัวกลุ่ม องคก์ าร เครอื ขา่ ยทีท่ างานในดา้ นทรพั ยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมทพ่ี ยายามผลักดัน พ.ร.บ. ป่าชุมชนฉบับ ประชาชนให้มีการนาเสนอต่อการพิจารณาของรัฐสภา และการจัดทามาตรฐานการจัดการสิ่งแวดล้อมของ ประเทศ เปน็ ตน้ 6. เกิดอานาจหรอื พลังอานาจแฝงเกิดขนึ้ จากการรวมตวั ของกลุ่มองค์การและเครือข่ายอานาจ หรือการ ต่อรองน้ีจะไม่มีการเกิดข้ึนได้หากไม่มีการรวมกลุ่มองค์การต่าง ๆ เข้าด้วยกัน พลังอานาจของการรวมกลุ่มนี้ บางคร้ังอาจไมส่ ่งผลที่เป็นรูปธรรมโดยตรง แตเ่ ปน็ พลงั หรอื ประโยชนใ์ นทางออ้ มทบ่ี รรดากลุ่มหรือเครือข่ายอื่น ๆ ใหค้ วามเกรงใจและสามารถนามาเปน็ การตอ่ รองในดา้ นเศรษฐกจิ สงั คมและการเมืองได้ เกรียงศักดิ์ เจริญวงศ์ศักด์ิ (2545) ได้กล่าวถึงวงจรชีวิตของเครือข่ายว่า มี 5 ขั้นตอน คือ 1) ระยะก่อตัว 2) ระยะขยายตัว 3) ระยะรุ่งเรือง 4) ระยะถดถอย และ 5) ระยะฟ้ืนตัว โดยที่ ทุกระยะของวงจรชีวิตเครือข่าย นั้น จะมีกระบวนการที่คล้ายคลึงกัน แต่จะมีเพียงบางเครือข่ายเท่าน้ันท่ีสามารถปรับตัวจนถึงระยะที่ 5 คือ การฟืน้ ตัวของเครือขา่ ย ภาพท่ี 6 แสดงการเติบโตและวงจรชีวิตเครอื ขา่ ย (เกรียงศักด์ิ เจรญิ วงศศ์ ักด,ิ์ 2545) พชิ ัย เพชรรัตน์ (2547) ได้กล่าวถึงพัฒนาของกลุ่มเครือข่ายว่า อาจมีความแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับปัจจัย แวดล้อมและบริบททางสังคม เช่น ภาคเหนือ ภาคใต้ และความหลากหลายทางวัฒนธรรม ซึ่งพัฒนาการและ วงจรชวี ิตของเครือขา่ ย มี 4 ขัน้ ตอน คือ ข้ันที่ 1 ข้ันเกิดแรงจูงใจ หมายถึง คนท่ีเข้ามารวมกลุ่มอาจจะเกิดแรงจากฝ่าย ต่าง ๆ ทั้งเจ้าหน้าท่ี ภาครัฐ การชกั ชวนของผนู้ าชุมชน และเกดิ จากความต้องการของตนเองที่มองเห็นปัญหา เกิดความต้องการจะ แก้ปัญหา รวมทั้งความพร้อมในการที่จะทางานร่วมกับผู้อื่น ซ่ึงแรงกระตุ้นดังกล่าวทาให้คนแสวงหาการ รวมกล่มุ เพ่อื พฒั นากจิ กรรมทเี่ กิดข้ึน ขั้นที่ 2 ข้ันวางใจกลุ่ม เป็นข้ันตอนท่ีปัจเจกบุคคลเกิดความไว้วางใจกลุ่ม องค์การว่าจะสามารถ ดาเนินการแก้ไขปัญหาและความต้องการนั้นได้ จึงดาเนินการเสริมสร้างการเรียนรู้ร่วมกัน ซ่ึงกระบวนการ ดังกล่าวจะกลายเป็นพลังของกลุ่มและเครอื ขา่ ยในทสี่ ุด ข้ันท่ี 3 ข้ันขยายผล หลังจากที่มีการดาเนินการมาระยะหน่ึงแล้ว กลุ่มเครือข่าย จะเกิดความเข้มแข็ง จึงมีการสานต่อและเชื่อมโยงกับทุกฝ่ายในการจัดการกับประเด็นปัญหาต่าง ๆ ท่ีเกิดข้ึนทั้งในระดับพ้ืนที่และ ประเด็นกจิ กรรม เปน็ ข้ันการขยายผลท่ีนาไปสู่การพฒั นาทีต่ ่อเนือ่ ง สรุปผลการดาเนนิ งานการพฒั นาระบบเครือขา่ ยของสานกั งานสง่ เสริมและสนบั สนนุ วชิ าการ7 หนา้ 30
31 ขั้นท่ี 4 กลุ่มสัมพันธ์ เป็นการบริการเครือข่ายหลังจากที่เครือข่ายได้ดาเนินการจนมีความเข้มแข็ง สามารถพ่ึงพาตนเองได้ และมีการส่งเสริมให้เกิดการพัฒนากิจกรรมความสัมพันธ์เพ่ือร่วมรักษาเครือข่ายให้ ย่งั ยนื พลเดช ป่ินประทีป (2547) ได้กล่าวถึงวงจรการพัฒนาประชาสังคมเครือข่ายว่ามีข้ันตอนและ กระบวนการท่ีหลากหลาย ที่ผู้ศึกษาควรทาความเข้าใจ รวมถึงการเข้าไปสนับสนุนตามข้ันตอนพัฒนาการ ต่างๆ ใหเ้ หมาะสม โดยมีแนวทางและวงจรชวี ิตกลมุ่ และเครอื ขา่ ย ดังน้ี ข้ันที่ 1 มีการรวมตัวกันช่ัวคราว ข้ันนี้อาจจะเกิดข้ึนโดยบุคคลในกลุ่ม องค์การ ชุมชน หรือบาง หน่วยงานท่ีเข้าไปส่งเสริมให้เกิดการรวมตัว เช่น การประชุมสัมมนา การพบปะสัมมนา การเย่ียมเยียน ฯลฯ ซงึ่ ไม่วา่ จะเปน็ แบบใดก็ตาม การรวมตวั กนั ชั่วคราวนีไ้ ดเ้ กิดการแลกเปลย่ี นเรียนรกู้ ัน ข้นั ท่ี 2 ไดค้ วามคดิ หมายถึง คนท่เี ข้ามารวมตัวกันช่ัวคราวน้ันเกดิ แนวคิด/วิธกี ารทเี่ หมาะสมกับตนเอง และมแี รงบนั ดาลใจอยากจะไปลงมอื ทาในกจิ กรรมนัน้ ขั้นท่ี 3 เกิดการรวมกลุ่มช่วยเหลือกัน เมื่อเกิดความคิดดี ๆ ท่ีจะลงมือทาแล้ว การมีเพ่ือนร่วมคิดนั้น จะช่วยทาให้เกิดการสานต่อ และการรวมกลุ่มกนั ตามธรรมชาติ ข้ันที่ 4 ร่วมคิดร่วมวางแผน การรวมกลุ่มในขั้นท่ี 3 จะมีการพัฒนาไปอีกก็ต่อเม่ือได้มีการคิดและการ วางแผนอย่างเป็นรูปธรรมว่า จะทาอะไร ทาอย่างไร ทาที่ไหน ทาเมื่อไร จนเกิดเป็นแผนงาน โครงการ ของ เครอื ขา่ ยที่จะดาเนนิ การต่อ ข้ันท่ี 5 มโี อกาสไดท้ ากิจกรรม โครงการทเ่ี กดิ ขน้ึ ไมว่ ่าจะโดยทางใดก็ตาม เช่น ได้รับการสนับสนุนหรือ ระดมทนุ มาดาเนนิ การเอง เป็นส่ิงทที่ าใหส้ มาชิกมีโอกาสได้ทากิจกรรม ขั้นที่ 6 ร่วมกิจกรรม ร่วมประชุม ร่วมเรียนรู้ โครงการของชุมชนหรือหน่วยงานเป็นท่ีมาของโอกาสใน การพบปะ การประชุมสัมมนา และการเรียนรู้ เป็นการดึงผู้คนในองค์การเครือข่ายทาให้เกิดการเชื่อมโยง ผูกพนั ขนั้ ที่ 7 เกิดความเป็นชุมชน องค์การท่ีเข้มแข็งขึ้นเร่ือย ๆ และค่อย ๆ สะสมข้ึนมาเป็นการดาเนินการ จริง มกี ารตกผลกึ ทางความคดิ มีการปรากฏตัวของผูน้ าทางธรรมชาติ มีการทดสอบกล่ันกรองจากสถานการณ์ และเป็นการสั่งสมภมู ปิ ัญญาจนเกิดการพ่ึงตนเองของกลมุ่ ขั้นที่ 8 เป็นกลุ่มพ่ึงตนเองได้ (Self – Reliance Group) ด้วยภูมิปัญญา พึ่งตนเองของกลุ่มท่ีสะสม จนถึงระดับหน่ึง เครือข่ายมีความเข้มแข็งเพียงพอท่ีจะพ่ึงพาตนเอง และนาพากลุ่มขับเคล่ือนไปข้างหน้าด้วย ตนเองในเร่ืองต่าง ๆ ข้ันท่ี 9 พัฒนาศักยภาพกลุ่มและขยายกลุ่มออกไป กลุ่มและผู้นาจะมีทักษะใน การทางานมากข้ึน สมาชิกกลุ่มมีการขยายตัวออกไป หรือเผยแพร่แนวความคิดไปสู่กลุ่มอื่นๆ ด้วยผลงานที่กลุ่มได้ดาเนินการมา อย่างต่อเนื่อง ข้ันที่ 10 เช่ือมโยงกลุ่มอื่น ๆ เป็นเครือข่าย การร่วมกิจกรรมกับกลุ่มท่ีแข็งแรงและคนท่ีเข้มแข็งอ่ืน ๆ จะนามาซ่งึ ความรู้ และความคดิ ใหม่ ๆ ตลอดจนโอกาสในการพฒั นากลุ่มของตน การเรียนรู้ร่วมกันในลักษณะ เช่นน้ี พบว่าเปน็ ตวั เร่งทสี่ าคญั ของกระบวนการชุมชนเขม้ แข็ง และประชาสงั คมเครอื ขา่ ย ปาริชาติ สถาปิตานนท์ และชัยวัฒน์ ถิรพันธ์ (2546) ได้กล่าวถึงแนวคิดของการจัดการ เครือข่าย ก่อใหเ้ กิดประเดน็ เชิงยุทธศาสตรท์ ่สี าคญั ตอ่ การจัดการเครือข่าย มี 6 ประการโดยมีการประสานสอดคล้องกัน อยา่ งเหมาะสมเพือ่ ใหเ้ กดิ การเชือ่ มโยงเปน็ แสงสว่างแห่งดวงดาว คอื 1. จุดมุ่งหมายรว่ ม การทางานเครอื ข่ายจะเกดิ ประสทิ ธิภาพสูง ทุกฝ่ายสามารถกาหนดจุดหมายร่วมกัน ได้ โดยเฉพาะอย่างยง่ิ จุดหมายทที่ กุ ฝ่ายเหน็ และต้องการใหเ้ กิดขึน้ สรุปผลการดาเนินงานการพฒั นาระบบเครือขา่ ยของสานกั งานสง่ เสริมและสนบั สนนุ วิชาการ7 หนา้ 31
32 2. บคุ คลในเครือขา่ ยจะต้องมจี ติ สานกึ ร่วม มคี วามถนัดในงานที่ทาและมสี ่วนรว่ มในกระบวนการทางาน รวมท้งั ไดร้ บั ผลประโยชน์จากความเป็นสมาชกิ ในเครือข่าย 3. การเชอ่ื มโยง โดยอาจเชอ่ื มตอ่ กนั ผ่านการทากจิ กรรมตา่ ง ๆ โดยมีศูนย์ประสานงานและการเช่ือมต่อ โดยเทคโนโลยี 4. การสร้างความรู้สึกร่วม หลังจากการเข้าร่วมเครือข่ายแล้ว ทุกฝ่ายจะต้องมีความรู้สึกร่วมกับ กระบวนการทางานของเครือขา่ ย เพือ่ ใหเ้ กิดพลังในการผลักดนั สู่เปา้ หมาย 5. การพฒั นาระบบท่โี ปร่งใส ตรวจสอบได้ ระบบการทางานของเครือข่ายจะต้องสามารถและพัฒนาให้ เกิดระบบการบริหารจัดการที่โปร่งใส และตรวจสอบได้ทุกฝ่าย ซึ่งจะเป็นการสร้างความรู้สึกท่ีดีต่อทุกฝ่าย และผู้ทจ่ี ะมาร่วมเปน็ ส่วนหนึ่งของเครือข่าย 6. การจดั ระบบข้อมูลข่าวสาร ระบบการติดต่อสอื่ สารและสารสนเทศเป็นส่ิงที่มีความสาคัญย่ิงต่อความ ยั่งยืนของเครือข่าย เพราะจะช่วยให้เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้และทราบถึงกิจกรรมความเคลื่อนไหวของ เครอื ข่าย แนวคิดการจัดการเครือข่ายท้ัง 6 ประการ สามารถนามาเป็นเป้าหมายของการทางานในเชิงรุกของ เครอื ขา่ ยได้ ภาพท่ี 7 การเชื่อมโยงของเครอื ขา่ ย “พันธมติ รแห่งดวงดาว” 11. การเสรมิ สรา้ งพลังอานาจ (Empowerment) ของเครอื ขา่ ย การเสริมสร้างพลังอานาจการทางานก่อให้เกิดการเปล่ียนแปลงท้ังในระดับบุคลากร ทีมงาน และ องคก์ าร โดยภาพรวม (Clutterbuck and Kernaghan, 1994) ดังตาราง 2 ตารางที่ 2 การเปลี่ยนแปลงในองค์การท่ีมีการเสริมพลังอานาจการทางาน(Clutterbuck and Kernaghan, 1994) สรุปผลการดาเนนิ งานการพฒั นาระบบเครือขา่ ยของสานกั งานสง่ เสริมและสนบั สนนุ วิชาการ7 หนา้ 32
33 Clutterbuck and Kernaghan (1994) ยังกล่าวอีกว่า การจาแนกการเปล่ียนแปลง ที่แท้จริงใน องค์การออกเปน็ การเปลย่ี นแปลงในระดับบุคคล ทมี งาน และองค์การ จะทาให้เห็น การเปลี่ยนแปลงท่ีชัดเจน ในการเสริมสร้างพลังอานาจ ซึ่งถ้าขาดส่ิงใดส่ิงหน่ึงไปก็จะทาให้ การเสริมสร้างพลังอานาจการทางานใน องค์การขาดความสมบูรณ์ ในทางตรงกันข้ามหากองค์การมีการเสริมสร้างพลังอานาจอย่างสมบูรณ์ ก็จะ ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นทั้งในระดับบุคคล ทีมงาน และองค์การ นอกจากนี้แล้ว Scott and Jaffe (1991) มองว่า การเปล่ียนแปลงในองค์การ ท่ีเกิดข้ึนจากการเสริมสร้างพลังอานาจแบ่งเป็น 3 มิติ คือ 1) มิติ การเปลี่ยนแปลงเจตคติ 2) มติ ิการเปล่ียนแปลงความสาคัญ และ 3) มิติการเปลย่ี นแปลงโครงสร้างองค์การ ดัง ภาพ 12 ภาพท่ี 12 การเปล่ยี นแปลงจากการเสรมิ สร้างพลังอานาจตามทศั นของ Scott and Jaffe (1991) จากภาพ 12 การเปล่ียนแปลงจากการเสริมสร้างพลังอานาจ (Empowerment) การทางานมี 3 ส่วน คือ 1) การเปล่ียนแปลงเจตคติ (Attitude) ของผู้ปฏิบัติงาน โดยต้องเสริมสร้างให้ผู้ปฏิบัติงานในองค์การมี ความรู้สึกมั่นคงในการดารงชีวิต มีความม่ันใจว่าสามารถจัดการงานท่ีรับผิดชอบ สามารถพัฒนางานได้อย่าง ต่อเน่ืองมีความรับผิดชอบและมีความมุ่งมั่นในการทางาน รู้สึกเป็นเจ้าของงาน รวมท้ังเกิดการเรียนรู้และ สรุปผลการดาเนินงานการพฒั นาระบบเครือขา่ ยของสานกั งานสง่ เสริมและสนบั สนนุ วิชาการ7 หนา้ 33
34 พัฒนาทักษะใหม่ๆ ในการทางาน และการแก้ไขปัญหาร่วมกัน 2) การเปลี่ยนแปลงความสัมพันธ์ (Relationship) ต้องสร้างการทางานเป็นทีมและ มีความสัมพันธ์ระหว่างทีมงาน การทางานเน้นท้ังเน้ืองาน และกระบวนการอย่างมีประสิทธิภาพ มีการติดต่อสื่อสารและแลกเปล่ียนข้อมูลสารสนเทศจนเกิดนวัตกรรม การทางานร่วมกัน รวมไปถึงการร่วมกันรับผิดชอบผลที่เกิดขึ้น 3) การเปล่ียนแปลงโครงสร้างองค์การ (Organizational Structure) กลา่ วคือ นโยบาย การปฏบิ ัติ และการกระต้นุ สง่ เสริม ต้องปรับให้สอดคล้องกับ ค่านิยมของ การเสริมสร้างพลังอานาจ ผลลัพธ์ขององค์การมีมาตรฐานตามนโยบาย ภายในองค์การมีการ ส่ือสารแบบเปิดมีบรรยากาศประชาธิปไตย สิ่งแวดล้อมเอื้อต่อการทางานมีระบบการทางานที่คล่องตัว มี ประสทิ ธภิ าพ ซึง่ จะทาใหผ้ ู้ปฏบิ ตั ิงานมีความพึงพอใจและมีความยึดมนั่ ผกู พันกบั องคก์ าร Kinlaw (1995) เสนอกลยุทธ์การเสริมสร้างพลังอานาจการทางานท่ีสาคัญ 3 ประการ คือ 1) การให้ ข้อมูลย้อนกลับในการทางานกับผู้ปฏิบัติงาน 2) การสร้างและพัฒนางาน เป็นทีม 3) การส่งเสริมให้เกิดการ เรียนร้ทู ุกระดบั ทง้ั ในระดับบคุ คล ระหวา่ งบคุ คล ทมี งาน และองคก์ าร จากการนาเสนอแนวคิดเกี่ยวกับการเสริมสร้างพลังอานาจ Wilson (1993) และ Gutierrez, L.M., Parsons, R.J., & Cox, E.O. (1998) มีความเห็นว่า การเสริมสร้างพลังอานาจควรเร่ิมท่ีการเสริมสร้างภายใน ตนเองของบุคคลก่อน ทั้งน้ีเพราะคนท่ีมีพลังอานาจในตนเองเท่านั้นจึงจะสามารถเสริมสร้างพลังอานาจให้แก่ ผู้อื่นได้ โดยเน้นท่ีตัวบุคคล 4 ประการ ดังน้ี 1) เพิ่มความสามารถในตัวบุคคล (Increasing Self-efficacy) โดยเนน้ ทีค่ วามรู้สกึ ภายในตัวบุคคล สง่ เสรมิ ใหม้ ีความเชือ่ ม่นั ในความสามารถของตนเอง เอาชนะอุปสรรคต่าง ๆ ได้ 2) พฒั นาความรู้สึกเร่อื งการทางานเป็นทีม (teamwork) โดยปลุกจิตสานึกในตัวบุคคลในเรื่องของความ ร่วมมือร่วมใจกันทางาน เป้าหมายร่วมกันที่จะใช้พลังอานาจของทีมในการแก้ปัญหา 3) ลดการตาหนิของ ตนเอง (Reducing Self-blame) โดยเปล่ียนวิธีการมองปัญหาจากการกล่าวโทษตนเอง มาเป็นการนาปัญหา ของตนเองมาพดู คยุ ในกล่มุ ใหก้ ลุ่มมีความรบั ผิดชอบรว่ มกนั ในการมองและแก้ปัญหา วิธีท่ีจะช่วยให้ ผู้ประสบ ปัญหารู้สึกเป็นอิสระจากสถานการณ์ทางสังคมท่ีตนประสบอยู่ 4) กาหนดความรับผิดชอบของบุคคลต่อการ เปลี่ยนแปลงในอนาคต (Assuming Personal Responsibility for Change) เพอ่ื ให้บุคคลน้นั มสี ่วนร่วมอย่าง จริงจัง และรับรู้พลังอานาจของตนเองในการมุ่งมั่นท่ีจะแก้ไขปัญหาหรือปรับ เปลี่ยนสถานการณ์ต่าง ๆ ให้ดี ข้นึ บุคลากรที่มีพลังอานาจการทางานจะร้สู ึกว่าวิถีชีวิตขึ้นอยู่กับสิ่งที่ตนกระทา เพราะเป็นผู้รับผลท่ีเกิดข้ึน จากการกระทาของตนเอง บุคลากรที่มีพลังอานาจการทางานจะรับรู้ความหมายถือเป็นพันธสัญญาท่ีให้ไว้กับ ตนเอง และรู้ว่าตนเองต้องทาอะไร อย่างไร รางวัลท่ีได้รับในความรู้สึกของบุคลากรท่ีมีพลังอานาจการทางาน คือ ความรู้สึกพอใจท่ีได้พัฒนาปัญญา ทักษะความสามารถ ความเจริญก้าวหน้า ความสาเร็จร่วมกันในการ ทางาน การได้รับการยอมรับและ ให้ความสาคัญ มีความอดทนต่อความผิดพลาด (Weightman, 1999) เกิด ความอดทนและความเพยี รพยายามในการทางาน (Georgiades & Macdonell, 1998) Clutterbuck and Kernaghan (1994) ได้กล่าวถึงบุคลากรที่มีพลังอานาจการทางานไว้ว่ามีคุณลักษณะ ดังนี้ 1) สามารถรับการฝกึ หดั อบรมไดด้ ี 2) มคี วามเชอ่ื มน่ั และพึ่งตนเองได้มากข้ึน 3) กระตือรือร้น มีกาลังใจ มุ่งมั่น สงู้ านและสานึกในงานหน้าที่ 4) สามารถใชค้ วามคิดสร้างสรรค์พัฒนาทักษะการทางานด้วยตนเอง 5) สามารถ มสี ว่ นร่วมรับผิดชอบในการทางาน 6) สามารถสือ่ สารแลกเปลีย่ นในความตอ้ งการ ความสาเร็จ ส่ิงที่เป็นปัญหา เป็นความคดิ วสิ ัยทัศนใ์ หผ้ ้อู น่ื รับรู้เข้าใจได้ 7) สามารถที่จะทางานตามลาพังหรือทางานร่วมกับผู้อื่นเป็นทีม 8) มีความยืดหยุ่นในการทางาน พร้อมจะเผชิญและแก้ปัญหา 9) สามารถตัดสินใจเม่ือถึงเวลาต้องตัดสินใจ รู้ กาลเทศะเมื่อต้องเกี่ยวข้องกับผู้อื่น 10) สร้างความไว้วางใจและทาให้ผู้อื่นเช่ือถือ 11) ยึดหลักความสามัคคี ความเป็นทีมงาน เป็นองค์การ 12) สบายใจที่จะตอบคาถามเก่ียวกับสถานภาพของตนเองในองค์การ 13) สรุปผลการดาเนนิ งานการพฒั นาระบบเครือขา่ ยของสานกั งานสง่ เสริมและสนบั สนนุ วชิ าการ7 หนา้ 34
35 เข้าใจบริบทแวดล้อมและผลที่จะเกิดตามมาจากการทางาน สามารถแก้ปัญหาตนเองและช่วยแนะนาวิธี แกป้ ญั หาให้ผอู้ นื่ 14) สามารถบริหารจัดการตนเองกาหนดได้ว่าอะไรสาคัญก่อนและหลัง 15) สามารถควบคุม งานและสภาพแวดล้อมการทางานได้เพิ่มมากข้ึน 16) สามารถสร้างกระบวนการ ปรับปรุงงานท่ีตนรับผิดชอบ หรอื เปน็ ผ้รู เิ รม่ิ ไว้ 17) มีความรูเ้ ก่ยี วกับงานท่ีตนกาลังทาอยู่เป็นอย่างดี 18) รู้ชัดเกี่ยวกับผู้ที่จะมาใช้บริการท้ัง ภายในและภายนอกองค์การ รู้ว่าผู้ใช้บริการนั้นต้องการอะไรจากตน 19) รักการเรียนรู้ แสวงหาส่ิงใหม่และ พฒั นาตนเองตลอดเวลา 20) ยินดีรับการเปล่ียนแปลงและการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง 21) ให้ความสาคัญและใช้ ประโยชนจ์ ากข้อมลู ปอ้ นกลบั และ 22) สามารถพิจารณาสะท้อนภาพและเรยี นรจู้ ากประสบการณ์ พลังอานาจการทางานเป็นสิ่งเกิดได้กับผู้ปฏิบัติการระดับบุคคล กลุ่มบุคคล เป็นส่ิงที่จะปรากฏให้ผู้อื่น รับรู้ได้ จะอย่ใู นรูปของพฤติกรรมและผลงาน สาหรับระดับบุคคลพลังอานาจการทางานจะทาให้มีความรู้สึกดี ที่สามารถกระทาส่ิงท่ีแตกต่างอย่างมีความหมาย ทาให้ได้เรียนรู้เพ่ิมพูนทักษะความสามารถในการทางาน สานึกรับผิดชอบในหน้าท่ีมีความเช่ือม่ันในตนเอง มีน้าใจมีสัมพันธ์ไมตรีต่อกัน รักสามัคคี เช่ือถือไว้วางใจกัน ทาให้บรรยากาศสิ่งแวดล้อมสร้างความท้าท้าย สร้างความต่ืนตัวในการทางาน เพื่อให้บรรลุเป้าหมายของ องค์การ บุคลากรท่ีมีพลังอานาจจะสามารถผลิตผลงานท่ีมีคุณภาพ มีความกระตือรือร้นพร้อมท่ีจะทางานมี คณุ ธรรมความรับผิดชอบ พึงพอใจในภารหน้าที่ท่ีได้รับมอบหมาย และมีความม่ันใจในการปฏิบัติภารหน้าท่ีสู่ เป้าหมาย การเสริมสร้างพลังอานาจในการทางาน ไม่ทาให้ใครต้องสูญเสียประโยชน์ สูญเสียอานาจ แต่เป็น การกระจายอานาจ กระจายผลประโยชน์แก่ทุกคนทุกฝ่าย (French & Bell, 1999; Nahavandi & Malezadeh, 1999; Weightman, 1999) ทาให้บุคลากรปรับเปล่ียนพฤติกรรมและวิธีการทางานใน ทางท่ีดี ข้ึนและมีพัฒนาการทางความรู้ ความคิด ทักษะการทางาน (Blasé & Blasé, 1994; Dalton, et al., 2001; Haksever, et al., 2000; Lefrancois, 2000; McShance & Glinow, 2000; Owen, 1999; Robbins & Coulter, 1999; Sulivan, 1998) มีการพัฒนาทีมงาน การเสริมสร้าง พลังอานาจของทีมงาน จะส่งผลระยะ ยาวในด้านต่างๆ (Gordon, 1999) ได้แก่ 1) ทีมงานจะมีความ เช่ือมั่นในความสามารถท่ีจะทางานได้ประสบ ผลสาเร็จ 2) สมาชิกของทีมงานจะหล่อหลอมความคิดไปในแนวเดียวกันเพื่อปฏิบัติงาน 3) ทีมงานมีอิสระใน การปกครองตนเองมีอิสระท่ีจะกระจายการตัดสินใจเพ่ือให้ได้ผลและวิธีการทางานที่ดีท่ีสุด 4) สมาชิกจะรู้ว่า งานของตนมีความสาคัญและสัมพันธ์ตอ่ เนอื่ งกับงานในส่วนอื่น ๆ ขององคก์ าร สรุปผลการดาเนนิ งานการพฒั นาระบบเครือขา่ ยของสานกั งานสง่ เสริมและสนบั สนนุ วชิ าการ7 หนา้ 35
36 สรุปผลการดาเนนิ งานการพฒั นาระบบเครือขา่ ยของสานกั งานสง่ เสริมและสนบั สนนุ วิชาการ7 หนา้ 36
37 บทท่ี 3 ทาเนียบเครอื ข่าย ระดับตาบล อาเภอ และจังหวดั ขอ้ มลู เครอื ข่ายฯ ตาบล ในพ้ืนที่ 8 จังหวดั คอื จังหวัดกาฬสินธุ์,สกลนคร,นครพนม,มุกดาหาร,ยโสธร,อานาจเจรญิ ,ศรีสะเกษ,อุบลราชธานี ปี 2548 - 2554 จานวน 457 ตาบล สานักงานสง่ เสรมิ และสนบั สนนุ วชิ าการ 7 จังหวดั กาฬสนิ ธ์ุ ตาบล ทต่ี ั้ง ประธานเครอื ขา่ ย ท่อี ยู่ หมายเลข จดั ตง้ั ท่ี บ้านเลขที่ โทรศพั ท์ 2548 รหสั ไปรษณีย์ หมายเลขโทรศัพท์ อาเภอ จงั หวัด 0890292782 2549 46230 043 - 862386 นายทองมว้ น เขจรศาสตร์ 63 ม.3 043-867218 จังหวัดกาฬสินธุ์ 77 ตาบล 46230 043 - 867291 5 ม. 6 0857429663 1 หนองบวั นามน กาฬสินธ์ุ 46230 043 - 896103 นางอรจิตร ภมู ิ 76 ม.1 0892122635 2 หลักเหล่ียม นามน กาฬสินธ์ุ 46210 043 - 867291 นายสบุ ิน พานิชยด์ ี 19 ม.7 0819755102 3 สงเปลอื ย นามน กาฬสนิ ธ์ุ 46210 043 - 897136 นายชารี บญุ ยง่ิ 68 ม.3 0872353754 4 สามัคคี ร่องคา กาฬสนิ ธ์ุ 46140 043 - 895090 นายสุดใจ บรบิ ูรณ์ 103 ม.1 0847798763 5 เหล่าออ้ ย ร่องคา กาฬสนิ ธุ์ 46140 043 - 861110 38 ม.7 0861474516 6 โนนน้าเกล้ียง สหสั ขนั ธ์ กาฬสนิ ธุ์ 46140 043 - 894029 นายสมภาร อ่ิมประสงค์ 27 ม.3 0804082697 7 นามะเขอื สหสั ขนั ธ์ กาฬสินธ์ุ 46140 043 - 871137 นางวัลยนิดา ปริทัศน์ 15 ม.2 8 โนนศลิ า สหสั ขันธ์ กาฬสนิ ธ์ุ 88/2 ม. 0860272294 9 นคิ ม สหัสขนั ธ์ กาฬสินธุ์ 46140 043 - 840197 นายจนั ทร์ มณีโคตร 13 นายนคิ ม ไชยคามี 0879460385 10 สหัสขนั ธ์ สหสั ขนั ธ์ กาฬสินธุ์ 46140 043 - 24 ม.4 0818733955 46140 128158,159 นายสายเพชร สมคะเนธ 53 ม. 4 0897143154 11 โนนแหลมทอง สหสั ขันธ์ กาฬสนิ ธ์ุ 46230 45 ม.14 0867754383 12 ภูสิงห์ สหัสขันธ์ กาฬสนิ ธุ์ 46230 043 - 895213 นายมนตรี ภูแสงสน้ั 4 ม. 9 0844198485 13 นามน นามน กาฬสินธ์ุ 46180 043 - 867187 นายอู๊ด ศรโี ยธี 95 ม.5 0878201243 14 ยอดแกง นามน กาฬสินธุ์ 46180 043 - 862424 นายปรีชา ประดบั เขต 116 ม.5 15 ดนิ จ่ี คาม่วง กาฬสินธุ์ 043 - 814190 16 นาทนั คาม่วง กาฬสินธ์ุ 043 - 814176 นางสาวสภุ าวรรณ ภารแผ้ว นายสินธ์ุ ยะพลหา นายประสบ วงั พบิ ูล สรุปผลการดาเนินงานการพฒั นาระบบเครือขา่ ยของสานกั งานสง่ เสริมและสนบั สนนุ วิชาการ7 หนา้ 37
38 17 นาบอน คาม่วง กาฬสนิ ธ์ุ 46180 043 - 840120 นายชณุ ชาติ บตุ รวัง 1 ม. 1 0812596908 18 เนนิ ยาง คามว่ ง กาฬสินธุ์ 46180 043 - 860146 อ.ครองมี นามวงษ์ 30 ม.1 0810485583 19 โพน คาม่วง กาฬสนิ ธ์ุ 46180 043 - 856031-1 นายพุฒ ขัวญศริ ิ 42 ม.6 0860985705 20 ทุง่ คลอง คาม่วง กาฬสินธุ์ 46180 043 - 879376 นายยอน บรุ ิสา 60 ม.12 0846842326 21 แซงบาดาล สมเด็จ กาฬสินธ์ุ 46150 043 - 840211 นายบุญรตั น์ วงไชยา 80 ม.5 0817498955 22 ผาเสวย สมเด็จ กาฬสินธ์ุ 46150 043 - 862341 นายวงษไ์ ทย พรมสทิ ธิ์ ม. 2 043-862341 23 มหาไชย สมเด็จ กาฬสนิ ธ์ุ 46150 043 - 8400209 นายธานิล วงสดี า 129 ม.10 0833525605 24 ลาห้วยหลัว สมเด็จ กาฬสนิ ธุ์ 46150 043 - 875075 นายทองใส สิงหน์ าครอง 211 ม.9 0895738990 2550 25 ศรสี มเดจ็ สมเด็จ กาฬสินธุ์ 46150 043 - 860387 นางสีนวล วธิ าราโภชน์ 92 ม.6 0879513864 26 หมู่ม่น สมเด็จ กาฬสนิ ธ์ุ 46180 043 - 862305 นายทองดี ภูตโิ ส 46 ม. 8 0847956606 27 ขมิน้ เมอื ง กาฬสินธุ์ 46000 043 - 894109 นายบัวลี ตาเมือง 17 ม. 5 0812635741 28 ภูปอ เมอื ง กาฬสินธ์ุ 46000 043 - 895068 นายสนุ ทร บญุ บุตร 93 ม. 4 0878567858 29 บงึ วชิ ยั เมือง กาฬสนิ ธุ์ 46000 043 - 849314 นายประยุทธ อรัญเพ่มิ 27 ม.4 0898424550 30 ลาคลอง เมอื ง กาฬสนิ ธุ์ 46000 043 - 894450 นางคะนองศิลป์ กงมหา 386 ม.9 0844099435 31 ภูดิน เมอื ง กาฬสินธุ์ 46000 043 - 894383 นางปริมาศ อัชฌานภาลยั 49 ม.1 0862332909 32 ดงพยุง ดอน จาน กาฬสินธุ์ 46000 043 - 801013 นายเกยี รตกิ ุล การศิริ 17 ม. 10 0862181121 ดอน 33 ดอนจาน จาน กาฬสินธุ์ 46000 043 - 814093 นายสุปนั ภารจรสั 52 ม. 7 0862378419 ดอน 34 นาจาปา จาน กาฬสนิ ธ์ุ 46000 043 - 840203 นายบญุ ใจ ผลเจือ 65 ม.1 0847987330 35 มว่ งนา ดอน 2 ม. 9 0878578701 จาน กาฬสินธุ์ 46000 043 - 840184 นายคาใบ การพงษ์ 36 สาราญ สามชัย กาฬสินธุ์ 46180 043 - 818134 นายชุน บุตรพรหม 25 ม. 7 0879352779 37 สาราญใต้ สามชัย กาฬสินธุ์ 46180 043 - 818122 นายพงษ์ไพโรจน์ เสนาเลิศ 10 ม.3 0898616502 38 คาสรา้ งเท่ยี ง สามชยั กาฬสนิ ธุ์ 46180 043 - 894342 นายเพ็ง โพธาราม 19 ม.2 0854630542 39 หนองช้าง สามชยั กาฬสินธุ์ 46180 043 - 818158 นายคอย พนั โสภา 1 ม. 8 0862335662 40 โคกสะอาด ฆอ้ งชยั กาฬสนิ ธุ์ 46130 043-849100 นายเสถียร นาถมทอง 134 ม.5 0083319192 2551 41 เหลา่ กลาง ฆอ้ งชัย กาฬสินธุ์ 46130 043-840063 น.ส.เรณู ชนื่ บญุ ชม ม. 8 0817684132 42 ดงลงิ กมลาไสย กาฬสินธ์ุ 46130 043-801004 นายชุมพล ศิรภิ ักดี 46 ม.16 0899431948 43 โพนงาม กมลาไสย กาฬสินธุ์ 46130 043-130041 นายจนั ทร์ จอมทรัพย์ 41 ม. 7 44 สะอาดไชยศรี ดอนจาน กาฬสินธุ์ 46000 นายพิชติ ศริ ิเมอื ง ม. 5 0878639327 45 สมเด็จ สมเดจ็ กาฬสนิ ธุ์ 46150 043-861103 นายทองสา จิตจักร์ ม. 7 46 หนองแวง สมเด็จ กาฬสนิ ธ์ุ 46150 043-860172 นายบญุ ชอบ ไชยสตั ย์ 108 ม. 6 0895717314 47 คาบง ห้วยผ้ึง กาฬสนิ ธ์ุ 46240 043-126173 นายวิจติ ร ภผู าสิทธ์ิ 29 ม. 2 0899439785 48 หนองอีบตุ ร หว้ ยผึ้ง กาฬสินธุ์ 46240 043-862380 นายสากล อดุ มรกั ษ์ ม. 5 กฉุ ิ 102 ม. 5 0879464895 49 แจนแลน นารายณ์ กาฬสนิ ธุ์ 46110 043-850225 นายนอง สกลุ เดช สรุปผลการดาเนินงานการพฒั นาระบบเครือขา่ ยของสานกั งานสง่ เสริมและสนบั สนนุ วิชาการ7 หนา้ 38
39 กฉุ ิ 131 ม.4 0819638754 137 ม. 4 0871445949 50 หนองห้าง นารายณ์ กาฬสินธ์ุ 46110 043-851915 นายอินทร์ อทุ โธ กฉุ ิ 51 เหลา่ ไฮงาม นารายณ์ กาฬสินธ์ุ 46110 043-852025 นายเจนกิจ อุคา 52 พมิ ลู หว้ ยเม็ก กาฬสนิ ธ์ุ 46170 043-882414 นายสรุ ยิ า ปรุ รตั น์ 27 ม. 7 0872203778 2552 53 ทรายทอง ห้วยเม็ก กาฬสนิ ธุ์ 46170 043-813943 นายเวยี ง บุญหลา้ 1 ม. 4 0807625328 44 ม. 2 0846859189 ยาง 54 หวั งัว ตลาด กาฬสนิ ธุ์ 46120 043-840065 นายดสุ ติ ภูไกรลาศ กุฉิ 124 ม. 8 0860282158 55 เหลา่ ใหญ่ นารายณ์ กาฬสนิ ธ์ุ 46110 043-133130 นายแฝง ตาทิพย์ กุฉิ 31 ม. 13 0899409564 56 จุมจัง นารายณ์ กาฬสินธุ์ 46110 043-135056 นายมนู พานทอง กฉุ ิ 92/1 ม. 5 0819643772 57 กุดหวา้ นารายณ์ กาฬสนิ ธ์ุ 46110 043-801111 นายพร อัฐนาค กุฉิ 58 สามขา นารายณ์ กาฬสนิ ธุ์ 46110 043-135554 นายบุญศรี บุตรศรี 21/1 ม. 1 0862407184 กุฉิ 59 นาขาม นารายณ์ กาฬสินธุ์ 46110 043-136047 นายทรงศักด์ิ โชติผาด 304 ม. 5 0810596185 กฉุ ิ 86 ม. 6 0898631185 60 นาโก นารายณ์ กาฬสินธุ์ 46110 043-850184 นางซอย เสนาลยั กฉุ ิ 52 ม. 5 0815925545 61 สมสะอาด นารายณ์ กาฬสินธุ์ 46110 043-134084 นายบบุ ผา สงิ ฆ์ทอง กุฉิ ม. 2 62 กุดค้าว นารายณ์ กาฬสินธ์ุ 46110 043-852131 นายชยั เพ่ิมขึน้ นายพรมมา โมค 18 ม.4 081-0594307 63 ทต.ห้วยโพธิ์ เมอื ง กาฬสินธุ์ 46000 043-813004 รัตน์ 2553 นายวลิ ยั ไชยศลิ า 33/1 ม. 086-0585579 64 นาคู นาคู กาฬสินธุ์ 46160 043-126749 14 65 สายนาวัง นาคู กาฬสินธุ์ 46160 043-817259 นายอานาจ วิลาศรี ม.4 087-8635836 66 โนนนาจาน นาคู กาฬสนิ ธุ์ 46160 043-817377 นางปารณยี ์ ใจคุ้มเกา่ 179 ม.9 083-6642204 67 คมุ้ เก่า เขาวง กาฬสนิ ธ์ุ 46160 043-859496 นายพรอ้ ม ศรอี ุ่น 5 ม.5 083-852351 68 สงเปลือย เขาวง กาฬสนิ ธุ์ 46160 043-852391 นายธรี ะวัฒน์ ศรีหา ม.6 089-6115534 ตา นายประสาท พมิ 91/1 ม.1 087-3490334 69 หนองผอื เขาวง กาฬสนิ ธุ์ 46160 043-840215 เภา 70 กดุ สิมคมุ้ ใหม่ เขาวง กาฬสินธ์ุ 46160 043-859261 นายสาคร ใจศิริ 62 ม.6 082-1001725 71 นคิ มห้วยผึ้ง ห้วยผ้งึ กาฬสินธ์ุ 46240 043-834087 นายสุรเดช พาพาน 119/12 878545476 หนองกงุ 46220 นส.อารรี ตั น์ คา่ ยเพชร ม6 086-2387260 2554 043-894464 72 หนองหิน ศรี กาฬสินธ์ุ หนองกุง นายจรัญ เชียรเดช 63 ม 2 081-7691321 73 หนองบวั ศรี กาฬสินธ์ุ 46220 หนองกงุ 46220 043-840186 นายบุญศรี หมนั่ ประกอบ 257 ม 1 086-0479410 74 โคกเครือ ศรี กาฬสินธุ์ สรุปผลการดาเนินงานการพฒั นาระบบเครือขา่ ยของสานกั งานสง่ เสริมและสนบั สนนุ วิชาการ7 หนา้ 39
40 หนองกงุ 46220 043-840194 นายมลยั สมคาศรี 81/3 087-8656304 75 หนองสรวง ศรี กาฬสนิ ธ์ุ หนองกงุ นายสนามชัย โยธา 163/1 862251309 76 เสาเล้า ศรี กาฬสินธ์ุ 46220 043-840193 ภักดี 77 บวั ขาว กฉุ ิ 46110 043-851758 นายชวลติ เลศิ ศรี 79 ม 4 083-456732 นารายณ์ กาฬสนิ ธ์ุ จงั หวดั สกลนคร 74 ตาบล 78 ด่านมว่ งคา โคกศรี สกลนคร 47280 042 - 756314 นายวินัย เทบารุง 0862423827 2548 สุพรรณ 79 ตองโขบ โคกศรี สกลนคร 47280 042 - 766225 นางทัศพร เศษฤทธ์ิ 109 ม.8 0862205437 สพุ รรณ 80 แมดนาท่ม โคกศรี สกลนคร 47280 042 - 701625 นายเพ็ญ จนั ทร์อนิ ทร์ 14 ม.6 0878574728 สุพรรณ 81 เหล่าโพนคอ้ โคกศรี สกลนคร 47280 042 - 981236 นายเหรียญทอง พลราชม 143 ม.1 0861058646 สุพรรณ นายบญุ เตรียม งอยผล 82 เตา่ งอย เตา่ งอย สกลนคร 47260 042 - 761017 ลา 152 ม.6 0818727432 สกลนคร 83 นาตาล เต่างอย สกลนคร 47260 042 - 761244 นายกนกธรค์ โยธอี า่ ง 71 ม.7 0811849030 สกลนคร 84 บงึ ทวาย เต่างอย สกลนคร 47260 042 - 981019 นายวรี ะพงษ์ นีอามาตย์ 13 ม.10 0812639936 สกลนคร 85 จนั ทร์เพญ็ เต่างอย สกลนคร 47260 042 - 761199 นายกศุ ล มณสี งิ ห์ 60 ม.2 0862261955 สกลนคร 86 นิคมนา้ อูน นคิ มนา้ อนู 47270 042 - 789163 นายสิงห์ ศรคี ลงั 62 ม.5 0810496892 สกลนคร 87 สวุ รรณคาม นคิ มน้าอนู 47270 042 - 789169 นายศรี ศรีชมภู 8 ม.5 สกลนคร 88 หนองบวั นคิ มน้าอนู 47270 042 - 703790 นายสุรยิ ัน จติ รบตุ ร 72 ม.7 0890486990 สกลนคร 89 หนองปลงิ นิคมน้าอูน 47270 042 - 789165 นายวิจิตร โคตะมา 23/1 ม.1 0857450477 สกลนคร 90 บะหว้า อากาศ 47170 042 - 981147 นายอารมย์รกั ดวงสุภา 42 ม.2 0862183739 อานวย สกลนคร 91 พรรณนา พรรณา สกลนคร 47130 042 - 779172 จสต.โพธทิ์ อง บาลนาดม 222 ม.7 0857443600 2549 นคิ ม สกลนคร สกลนคร 92 สวา่ ง พรรณา สกลนคร 47130 042 - 989002 นายชศู กั ด์ิ ราชวงค์ นคิ ม สกลนคร สกลนคร 93 บะฮี พรรณา สกลนคร 47130 042 - 706004 นายสงั ขท์ อง ระคา 49 ม.2 นคิ ม สกลนคร สกลนคร 042 - 706086- 94 เชิงชมุ พรรณา 47130 15 นายชัยวัฒน์ สายดาษแกว้ 270 ม.2 0899417475 95 วังยาง นิคม 47130 042 - 981053 นายเวยี งชัย วงค์คาแกว้ 105 ม.9 0872274091 พรรณา นคิ ม 96 ทต.กุสมุ าลย์ กสุ ุมาลย์ 47210 042 - 769165 นายพิทกั ษ์ วงคแ์ ก้ว 123 ม.9 0810993019 97 อุม่ จาน กุสมุ าลย์ 47230 042 - 756010 นายคือ แก้วมุกดา 9 ม.5 0872321375 98 นาเพียง กสุ มุ าลย์ 47230 042 - 756312 นายประกอบ พรหมกระบิล 47 ม. 3 042 - 756032 99 นาโพธิ์ กุสมุ าลย์ 47210 042 - 701621 นายบญุ สง่ ทิง้ ชวั่ 227 ม.1 0860328019 100 โพธไ์ิ พศาล กุสุมาลย์ 47210 042 - 701622 นายวโิ รจน์ โมตยิ ะ 153 ม.1 101 กดุ บาก กดุ บาก 47180 042 - 784178 นายเกษม ศรมี ุกดา 220 ม.4 102 กดุ ไห กดุ บาก 47180 042 - 784291 นายกาวี ไกยะสา 95/3 ม.4 0892507757 103 นาม่อง กดุ บาก 47180 042 - 703160 นายไพบลู ย์ ถานะลนุ 0878026548 สรุปผลการดาเนนิ งานการพฒั นาระบบเครือขา่ ยของสานกั งานสง่ เสริมและสนบั สนนุ วชิ าการ7 หนา้ 40
41 104 หนองลาด เมือง สกลนคร 47220 042 - 701635 นายอทุ ัย กุลยะณี 2550 สกลนคร 105 ท่าแร่ เมอื ง สกลนคร 47230 042 - 741413 ดต.สมเจตน์ กาลงั เดช 50 ม.8 0835614290 106 ฮางโฮง เมอื ง สกลนคร 47000 042 - 743743 นายปรชี า เผ่าบญุ เกิด 187 ม.7 0998401310 107 ทต.พอกนอ้ ย 108 นาใน พรรณา สกลนคร 47220 042 - 746301 นายวาระ กลยณี 97 ม.2 0810581468 นิคม สกลนคร สกลนคร 47130 042 - 981222 นายสานัก ศรีแสน 145 ม.10 0852740802 พรรณา สกลนคร นคิ ม สกลนคร สกลนคร 109 เดื่อศรคี ันไชย วานรนวิ าส สกลนคร 47120 042 - 706345 นายกรงุ ศรี วังชา 54 ม.7 0862424963 สกลนคร 110 ดอนสวรรค์ วานรนิวาส สกลนคร 47120 042 - 988395 นายนงเย็น ศรีชองเชษฐ์ ม.6 0814920851 สกลนคร 111 ศรีวชิ ยั วานรนิวาส สกลนคร 47120 042 - 981010 นายสุทนยั เสนารกั 99 ม. 4 0892737246 สกลนคร 112 เซยี งสือ โพนนาแก้ว สกลนคร 47230 042 - 981067 นางสาวรัติยา แสงวงค์ 104 ม. 5 0849564231 113 นาตงวฒั นา โพนนาแก้ว 47230 042 - 707039 นายจนั สา อินธิแสง 114 นาแก้ว โพนนาแก้ว 47230 042 - 707018 นางธนิตย์ ยาทองไชย 264 ม.13 0878567981 115 บ้านโพน โพนนาแก้ว 47230 042 - 981020 นายหนม แทไ้ ทสงค์ 115 ม. 6 0819744795 116 บ้านแปน้ โพนนาแกว้ 47230 042 - 981058 นายนนทช์ นนิ ทร์ ดาษชัยคา 31 ม. 8 0862337458 117 มว่ งลาย เมอื ง 47000 042-756344 นายวรา เทศนนท์ 86 ม. 2 0854600484 2551 118 ดงชน เมือง 47000 042-981077 นายวเิ ทพ ทับทมิ ม. 3 0898432866 119 เหลา่ ปอแดง เมือง 47000 042-756349 นายทศพร เสนาวงั 13 ม. 4 0817298172 120 โคกก่อง เมอื ง 47000 042-981009 นายชว่ ย แสนเสน ม.2 47160 042-981013 นายสวัสด์ิ พลสวัสด์ิ 121 แร่ พังโคน สกลนคร 46/1 ม. 122 พงั โคน สกลนคร 10 0892798497 123 นาหัวบอ่ พังโคน สกลนคร 124 ไร่ สกลนคร 47160 042-734568 นายยุทธ ภูชะธง 61 ม. 3 0877709020 125 วาใหญ่ พรรณา สกลนคร 126 ทา่ กอ้ น นิคม สกลนคร 47130 042-746375 นายโสภณ เหลาแตว 293 ม. 7 0847865748 127 สามคั คีพัฒนา พรรณา สกลนคร 128 โพนแพง นคิ ม สกลนคร 47130 042-706323 นายไสว จนั ทวงค์ 57 ม. 6 0857555064 47170 042-981146 นายบุญเลียน สาริษี 53 ม. 8 0892078967 129 หนองสนม อากาศ สกลนคร 47170 042-981046 นายเตรียม คาแหง 5 ม. 1 0860438692 อานวย 47170 042-981260 นายเฮอื ง บญุ ชาญ ม. 1 130 หนองแวงใต้ อากาศ สกลนคร 47170 042-169038 นายบุญลอน ผูงที 2 ม. 12 0862243312 อานวย 131 นาคา อากาศ สกลนคร 47120 042-790204 นายบุญเลิศ โพธิ 97 ม. 6 2552 อานวย 132 นาซอ อากาศ สกลนคร 47120 042-981048 นายสมจติ ร บัวขันธ์ ม.15 0818722807 อานวย 133 ขัวก่าย สกลนคร 47120 042-988167 นายสาคร บุตรแสนคา 51 ม. 9 0857465306 134 ตน้ ผ้ึง วานร สกลนคร นวิ าส นายบรรจบ แพงพมิ พ์ วานร 47120 042-981132 โล้ นิวาส 0895744796 วานร นวิ าส 47120 นายหว่นั ชืน่ บุญชู 56 ม.12 47170 042-167245 นายทองแสง กะพุทธา 21 ม. 8 0843922476 วานร นวิ าส วานร นวิ าส พงั โคน สรุปผลการดาเนินงานการพฒั นาระบบเครือขา่ ยของสานกั งานสง่ เสริมและสนบั สนนุ วชิ าการ7 หนา้ 41
42 135 ไฮหยอ่ ง พงั โคน สกลนคร นายไพวรรณ์ นวนสี 4 ม. 9 0854568978 136 ม่วงไข่ พงั โคน สกลนคร 47170 042-771367 แกว้ สกลนคร 47170 042-734788 นายประยุทธ กาญบุตร 137 ม. 3 042-734473 สกลนคร พรรณา สกลนคร นายสมั ภาษณ์ นาริน นิคม 137 ชา้ งมิง่ สกลนคร 47130 042-706120 รตั น์ 52 ม. 6 0804184880 138 ทต.ปลาโหล วารชิ ภูมิ สกลนคร 47150 042-742593 นายคาเขอ่ื ง รม่ เกษ 0821157623 สกลนคร สวา่ งแดน สกลนคร 47110 042-737510 นายหมนื่ กรโสภา 64 ม.10 089-2902130 2553 139 สว่างแดนดิน ดิน สกลนคร สวา่ งแดน สกลนคร นายประดษิ ฐ์ สาย 63 ม.1 089-5734165 สกลนคร 47110 042-164055 กนั 140 หนองหลวง ดิน สกลนคร สกลนคร สว่างแดน สกลนคร นายทองมณี โรมศรี 36/1 ม. 080-7569488 ดิน 141 ทรายมลู 47110 042-981061 7 142 พนั นา สวา่ งแดน 47110 042-729392 นางคาพลู สุราชวงศ์ 135 ม.1 089-8401343 ดิน 143 ค้อใต้ สว่างแดน 47110 042-981629 นายประสิทธ์ิ มุ่งจันทร์ 18 ม.3 ดิน สวา่ งแดน นายสายยนต์ คณุ ละ 110 ม. 087-8530491 144 แวง ดิน 47110 042-729256 7 สวา่ งแดน นายหัสนัยน์ กอง ม.2 087-2260196 145 บ้านถ่อน ดิน 47110 042-722033 แก้ว 146 นาฮี อากาศ 47170 นายเวียง อนุ่ ลยั ม.1 0831465734 อานวย สวา่ งแดน 47240 042-705040 นายประเวช แสนนาเรียง 13 ม 2 084-7864260 2554 147 ธาตุทอง ดิน 148 สร้างค้อ ภูพาน 47180 042-703307 นายอรณุ ทุมมาพันธ์ ม 20 857 - 603581 149 หลุบเลา ภูพาน 47180 042-703791 นายสรุ ยิ า ไตรพิษ 200 ม 6 084 - 0319735 042-754021- นายอนุชติ อสุ าหะ ม 14 150 เชยี งเครอื เมอื ง สกลนคร 47000 52 151 คาบอ่ วาริชภูมิ สกลนคร 042-774067- นายสนิท จนั ทร์โพธ์ิ 364 ม.3 083-3889162 47150 17 จงั หวดั นครพนม 67 ตาบล 152 คาเตย เมอื ง นครพนม 48000 042 - 536439 นายรินทร์ ไมตรี 24 ม. 6 0862366712 2548 153 นาเลียง นาแก นครพนม 48130 042 - 583133 นายเฉลมิ พ่อชมภู 3 ม. 1 0861696136 154 พระซอง นาแก นครพนม 48100 042 - 583130 นายพรสวรรค์ เขตนคร ม.10 นายอดิเรก วงค์แสง 155 พมิ าน นาแก นครพนม 48130 042 - 571455 น้อย 95 ม. 5 0890976568 นายสมพงษ์ พ่อ 156 พุ่มแก นาแก นครพนม 48130 042 - 534827 อามาตย์ ม.1 042 - 534827 157 นาดู่ นาแก นครพนม 48130 042 - 537549 นายปรชี า โคตรนาแก 154 ม.3 042 - 527349 158 โคกสงู 181 ม.2 0862270392 ปลา ปาก นครพนม 48160 042-516337 นายสัมฤทธิ์ ไชฮัง สรุปผลการดาเนนิ งานการพฒั นาระบบเครือขา่ ยของสานกั งานสง่ เสริมและสนบั สนนุ วิชาการ7 หนา้ 42
43 159 โพนจาน โพน นครพนม 48190 042 - 595211 นายเสนาะ สงคราม 111 ม.9 0817710873 160 นางวั สวรรค์ นครพนม นครพนม 48180 042 - 551041 นายเตยี ง โกษาแสง 24/ 2 ม.5 0872370334 นาหว้า นครพนม นครพนม 161 ท่าลาด เรณนู คร นครพนม 48170 042 - 583112 นายเผ่ง ชะนะกลุ 12 ม.8 0861094778 นครพนม 162 เรณใู ต้ เรณูนคร นครพนม 48170 042 - 579554 นายดลี าด ยอดมงคล ม.6 0899371393 2549 นครพนม 163 เรณใู ต้ เรณนู คร นครพนม 48170 042 - 579747 นายจันทร์บลู ย์ นอ้ ยนนท์ ม.4 042 - 551867 164 โคกหินแฮ่ เรณนู คร นครพนม 48170 042 - 537082 นายสกลมา ราชสนิ ธ์ุ 30 ม.6 0890700351 165 นางาม เรณูนคร นครพนม 48170 042- 537337 นายมน อรรคสังข์ 142 ม.10 0872275686 166 นาแก นาแก นครพนม 48130 042 - 537481 นายพงษ์ พลิ ะมาตย์ 0857409012 167 คาพ้ี นาแก นครพนม 48130 042 - 537548 นายจาด แสนศรี 51 ม.5 0846028162 168 หนองบ่อ นาแก นครพนม 48130 042 - 537482 นายรงุ่ โรจน์ ไกยะฝ่าย 91 ม.12 0817990681 169 มหาชัย 170 กุตาไก้ ปลา นครพนม 48610 042 - 537424 นายประภาส พอ่ ชมภู 9 ม.2 0892263970 171 โคกสว่าง ปาก นครพนม 48160 042 - 551130 นางสุมาลี ภาคภมู ิ 172 หนองฮี นครพนม 55 / 1 173 ปลาปาก ปลา นครพนม ม.5 0862299750 ปาก นครพนม นครพนม 48160 042 - 551060 นายทองพิน คาวนั 175 ม.7 0812638295 ปลา ปาก นครพนม 48160 042 - 589392 นายองอาจ ศูนยะ 39 ม.10 0892760632 ปลา นครพนม 48160 042- 589241 นายพนิ จิ วงั ขร 94/1 ม. ปาก 042 - 535294- 15 0898634854 นครพนม ปลา 48190 5 นายสายณั โพธิ์พุ่ม ปาก นครพนม 48180 042 - 597370 นายทวศี ักด์ิ ลาสุด นครพนม 48180 042 - 597536 นายมนตรี จตุเทน 174 นาใน โพน นครพนม 48180 042 - 551067 นายประดิษฐ์ ทนั บญุ ม.7 0856092627 2550 175 นาหวา้ สวรรค์ นครพนม 48180 042 - 538699 นายลาดับ ลิภา 64 ม.8 0857662874 นครพนม 48180 042 - 551015 นายสมหวงั นามเสาร์ 149 ม.4 042 - 597502 นาหว้า ม.3 0890520114 33 ม.2 0810176850 176 ทา่ เรือ นาหวา้ ม.3 0857564974 177 บ้านเสียว นาหวา้ 178 นาคูณใหญ่ นาหวา้ 179 เหล่าพัฒนา นาหว้า 180 โพนสวรรค์ โพน 48190 042 - 595131 นายเรอื งชัย แกว้ พดุ 81 ม.7 0814718793 181 โพนบก สวรรค์ 182 บ้านค้อ 48190 042 - 535299 นายเฉลมิ ชยั คอนโหน่งชา 230 ม.10 0897931933 โพน สวรรค์ 48190 042 - 538120 นายลาพันธ์ ปากดี ม.3 0862428127 โพน สวรรค์ 183 นาขมนิ้ โพน 48190 042- 535328 นางสาวองั ศุมาลิน นิคา 94 ม.11 0894589933 สวรรค์ 184 นาถ่อน ธาตพุ นม 48110 042 - 575046 นายพูลชยั หนผู าบ ม.6 042 - 575242 185 บา้ นแก้ง นาแก 48130 042-527298 นายสมบตั ิ วังทะพันธ์ 8 ม. 5 186 สชี มพู นาแก 48130 042-537118 นายสมพร วงคน์ ันทา ม. 7 0848365625 187 หนองยา่ งชิน้ เรณนู คร 48170 042-579601 นายประหยดั พลโลก 53 ม. 2 2551 สรุปผลการดาเนินงานการพฒั นาระบบเครือขา่ ยของสานกั งานสง่ เสริมและสนบั สนนุ วิชาการ7 หนา้ 43
44 188 นาขาม เรณนู คร นครพนม 48170 042-534594 นายวิจิตร ธรรมเม 132 ม. 1 189 โพนทอง เรณนู คร นครพนม 48170 042-579599 นายอัมพร ใหญส่ าร 117 ม. 5 042-528099 190 วังยาง วงั ยาง นครพนม 48130 042-577032 นายบัญชา แดงท่าขาม 3 ม. 4 191 ยอดชาด วังยาง นครพนม 48130 042-537298 นายพูนทรัพย์ จันทรช์ นะ 1 ม. 7 นายกฤษณษ เชือ้ พระ 192 โคกสี วังยาง นครพนม 48130 042-052214 ซอง ม. 6 193 ธาตุพนม ธาตุพนม นครพนม 48110 042-540537 นายธนูสิลป์ เล่อื นไชย 83 ม. 7 194 นาหนาด ธาตพุ นม นครพนม 48110 042-534847 นายคาพิศ ธรรมนา 42 ม. 1 0856455620 195 ฝงั แดง ธาตพุ นม นครพนม 48110 042-540253 นายสมาน สีทองเท 1 ม. 4 042-525921 196 กดุ สมิ ธาตพุ นม นครพนม 48110 นายหอมสมบัติ สิงคะ 184 ม. 4 197 ดอนนางหงส์ ธาตุพนม นครพนม 48110 042-534661 นายอิสรภาพ บุพศริ ิ 39 ม. 9 0857455238 198 อ่มุ เหม้า ธาตุพนม นครพนม 48110 042-537879 นายทิม อนุ่ ชยั 119 ม. 3 089-4175033 199 กา้ นเหลอื ง นาแก นครพนม 48130 นายเกยี รติศักดิ์ พ่อ ชมภู 200 หนองสงั ข์ นาแก นครพนม 48130 นายพลศรี หารคามลู ธาตุ 201 โพนแพง พนม นครพนม 48110 042-537772 นายอภสิ ทิ ธิ์ แสนคา ม. 7 0854501404 2552 ม. 15 0857542119 ธาตุ 202 พระกลางทงุ่ พนม นครพนม 48110 042-540242 นายนดั ศริ ิวงค์ 203 แสนพัน ธาตุ นายจหี วาน วงั พระ ม. 2 0857455205 พนม นครพนม 48110 042-537005 ราช 204 นา้ กา่ ธาตุ ม. 3 0846027261 พนม นครพนม 48110 042-540243 นางสมจิตร คาทุน่ 205 บา้ นกลาง เมือง นครพนม 48000 042-575441 นายวีระ คาเหลา ม. 13 0878583387 ม. 10 ปลา ม. 3 0849557035 206 นามะเขือ ปาก นครพนม 48160 042-551069 นายอลังการ มาวเิ ศษ หนองเทา ปลา นายบญุ ทอม แสน 207 ใหญ่ ปาก นครพนม 48160 042-514116 สรอ้ ย โพน ม. 3 0857058909 208 นาหัวบอ่ สวรรค์ นครพนม 48190 042-511032 นายอมรา โกพล 209 อาจสามารถ เมอื ง นครพนม 48000 042-593123 นายอาทิตย์ วงคค์ ะ 127 ม. 089-8632240 2553 สุ่ม 6 ทา่ บอ่ ศรี นายสราวธุ วงคแ์ ก้ว ม. 4 210 สงคราม สงคราม นครพนม 48150 042-055017 211 บ้านขา่ ศรี 48150 042-055254 นายปรงุ ยะภักดี 97 ม.9 042-535890 สงคราม นครพนม ศรี 48150 042-551014 นายวนั ชยั บุพศิริ ม. 7 085-7487922 212 บ้านเฮือง สงคราม นครพนม ศรี นายจักรพงษ์ สทิ ธยิ า ม. 9 086-2328275 213 โพนสว่าง สงคราม นครพนม 48150 042-535516 214 ขามเฒ่า เมือง นครพนม 48000 042-551047 นายณรงคฤ์ ทธ์ิ ยงั แกว้ 83 ม.8 0801919788 สรุปผลการดาเนนิ งานการพฒั นาระบบเครือขา่ ยของสานกั งานสง่ เสริมและสนบั สนนุ วชิ าการ7 หนา้ 44
45 215 ไผล่ ้อม บา้ นแพง นครพนม 48140 042-062012 นายวริศ สุกทน 55 ม 5 872-297513 2554 216 โพนทอง นครพนม 48140 042-538223 นายสาเร็จ ขวา 38/1 ม 807-662168 วงษา 6 บ้านแพง 217 หนองแวง บา้ นแพง นครพนม 48140 042-538286 นายแสนพล สายสอาด 61 ม 5 856-448081 218 สามผง ศรี นครพนม 48150 042-0557265 นางละเอียด ศรี ม1 สงคราม สมคั ร จงั หวัดมุกดาหาร 31 ตาบล 219 ผึง่ แดด เมือง มุกดาหาร 49000 042 - 636400 นายอลุ ัย สพุ ร 48 ม. 7 0810498809 2548 49110 042 - 636211 นายสมพทิ สุพร 35 ม. 8 220 หนองเอยี่ น คาชะอี มุกดาหาร ดอน 221 เหลา่ หมี ตาล มุกดาหาร 49120 042-610502 นายอเุ ทน ซาเสน 99 ม. 1 0862205298 222 ร่มเกล้า นิคมคา มกุ ดาหาร 49130 042 - 2680245 นายสฤษด์ิ เสยี งเยน็ 13 ม. 6 0872323913 สร้อย 223 นากอก นคิ มคา มกุ ดาหาร 49130 042 - 638364 นายพรมมา คนตรง 65 ม. 1 0878659134 สร้อย 0847427793 2549 นายประเสริฐทรพั ย์ คา นคิ มคา 49130 042 -638113 นนท์ 224 นคิ มคาสร้อย สร้อย มุกดาหาร 225 กกแดง นิคมคา 49130 042 - 638374 นายสุรชัย รปู เรยี บ 2 ม. 4 0894331909 สรอ้ ย มุกดาหาร นคิ มคา 49130 042 - 638191 นายเรอื งศรี ยืนยง 13 ม. 2 0868514565 226 หนองแวง สรอ้ ย มกุ ดาหาร 227 คาชะอี คาชะอี มุกดาหาร 49110 042 - 635377 นายบุญทวี สวุ รรณไตรย์ 191 ม. 1 0870155962 228 บา้ นซ่ง คาชะอี มกุ ดาหาร 49110 042 - 637060 นายบญุ บสุ กา 5 ม. 1 0857533655 229 คาบก คาชะอี มุกดาหาร นายกงแก้ว หว้ ย 68 ม.1 0878604389 49110 042-663001 ทราย 230 โพนทราย เมอื ง มกุ ดาหาร 49000 042 - 610099 นายอัษฎาวธุ มงคลสุภา 26 ม. 12 0862320096 2550 231 คาอาฮวน เมอื ง มุกดาหาร 49000 042 - 640042 นายอนุโลม โยธาคา 95 ม. 6 0833710904 232 บา้ นเป้า หนองสูง มกุ ดาหาร 49160 042 - 642589 นายอาพร อาจวชิ ยั 192 ม. 5 0845100337 233 โนนยาง หนองสูง มกุ ดาหาร ดอน 49160 042 - 635292 นายคาเส็ง อาจวิชยั 21 ม.5 0815928345 234 ดอนตาล ตาล มุกดาหาร 49120 042-689328 นายเตยี ง อนิ พรหม 68 ม. 7 0813911840 2551 ดอน 49120 042-613147 นายวีระ ใจทัด 19 ม. 1 0862427551 235 ปา่ ไร่ ตาล มกุ ดาหาร ดอน 49120 042-610750 นายพทุ ธา ยืนยง 167/3 0892762847 236 โพธ์ไิ ทร ตาล มุกดาหาร 49120 นายถาวร โลหค์ า 13/1 ม. 1 0892769247 ดอน 49160 042-601751 นายวัฒนา อนิ ผิว 58 ม. 3 0845153839 49160 042-635453 นายไพรพนอม แกว้ สนี วม 57/1 ม. 2 0821126650 2552 237 บ้านแกง้ ตาล มุกดาหาร 49160 042-635453 นางศลิ ธรรม แพไธสง 72 ม. 6 0860304326 238 หนองสงู ใต้ หนองสงู มุกดาหาร 239 หนองสงู หนองสูง มุกดาหาร 240 หนองสงู หนองสงู มุกดาหาร สรุปผลการดาเนนิ งานการพฒั นาระบบเครือขา่ ยของสานกั งานสง่ เสริมและสนบั สนนุ วิชาการ7 หนา้ 45
46 เหนอื 49160 042-676487-8 นายราตรี สุวรรณไตรย์ 73 ม. 1 0898402029 241 ภวู ง หนองสูง มกุ ดาหาร 49110 042-691266 นายเวช ศรีสภุ า 23 ม. 2 0854609880 242 นา้ เที่ยง คาชะอี มกุ ดาหาร 243 บ้านค้อ คาชะอี มุกดาหาร 49110 042-684224 นายเขตไทย คน ม.2 087-2146701 2553 กลา้ นายคาบ่อ คนขยนั 144 ม. 086-9962660 244 บ้านเหลา่ คาชะอี มุกดาหาร 49110 042-684026 1 245 โพนงาม คาชะอี มกุ ดาหาร 246 นาสะเมง็ ดอนตาล มกุ ดาหาร 49110 042-664500 นายชอบธรรม รปู คม ม.9 087-2366174 49120 042-613154 นายวศิ ษิ ย์ พทุ ธจักร 99 ม.4 0874355839 มกุ ดาหาร หว้าน นายคาไหม ขันธ์ 55/9 083-2917885 มกุ ดาหาร 247 หว้านใหญ่ ใหญ่ มุกดาหาร 49150 042-699277 แก้ว 2554 หวา้ น นายสลวย เมือง 29 ม 9 083-3424109 ใหญ่ 248 ป่งขาม 49150 042-699236 โคตร 249 เหล่าสร้างถอ่ คาชะอี 49110 042-690178 นายธนาวัฒน์ คนเพียร 83/1 ม 080-0059887 1 จงั หวดั ยโสธร 39 ตาบล 250 หนองคู เมอื ง ยโสธร 35000 045 - 773055 นายอุดม อ่างคา 135 ม. 2 045 - 773209 2548 เลงิ นก 251 สามคั คี ทา ยโสธร 35120 045-782175 นายหงสษ์ า โสมเกษตรรินทร์ 0867934667 เลงิ นก 126 ม. 252 ห้องแซง ทา ยโสธร 25120 045 - 777116 นายกอนศรี หอ้ งแซง 16 0857756229 เลงิ นก 253 สามแยก ทา ยโสธร 35120 045 - 781528 นายอดเิ ทพ โยธคิ าร์ 356 ม.6 045 - 781391 เลงิ นก 254 บงุ่ คลา้ ทา ยโสธร 35120 045 - 584888 นายปัญจนนท์ มูลวงค์ 10 ม.5 0859903985 2549 เลิงนก 255 กดุ แห่ ทา ยโสธร 35120 045-782065 นายอนนั ต์ บวั ศรี ม.8 0862544687 เลงิ นก 256 โคกสาราญ ทา ยโสธร 35120 045 - 734481 นายกลม บญุ เนตร 245 ม. 3 0890399812 เลิงนก 257 สวาท ทา ยโสธร 35120 045 - 782101 นายทองอนิ ทร์ โพธผ์ิ าด 16 ม.14 0817301003 เลิงนก 258 สรา้ งม่งิ ทา ยโสธร 35120 045-781950 นายวันนา บุญทศ 97 ม. 1 0862468245 เลิงนก 259 ศรแี ก้ว ทา ยโสธร 35120 045-750903 นายคาสงิ ห์ ดอกบัว 5 ม.10 0872476368 เลิงนก 260 กดุ เชียงหมี ทา ยโสธร 35120 045 - 781934 นายทองรอ้ ย พรหมธริ าช 26 ม.6 0850143687 คาเขือ่ น 261 ดงเจริญ แก้ว ยโสธร 35110 045-716086 นายสอนชัย ปกป้อง 12 0 ม.3 045 - 790199 2550 สรุปผลการดาเนินงานการพฒั นาระบบเครือขา่ ยของสานกั งานสง่ เสริมและสนบั สนนุ วิชาการ7 หนา้ 46
47 262 คาเตย ไทยเจริญ ยโสธร 35120 045 - 718045 นายวีระเดช สมหวงั ม. 3 0872553919 263 คาไผ่ ไทยเจรญิ ยโสธร 264 นา้ คา ไทยเจรญิ ยโสธร 35120 045 - 739491 นายประจบ มีสิทธ์ิ 17 ม. 3 0861762170 265 ส้มผอ่ ไทยเจรญิ ยโสธร 266 ดงมะไฟ ทรายมลู ยโสธร 35120 045 - 739495 นายวันชยั วรโพธิ์ 164 ม. 3 0862419045 267 ดลู่ าด ทรายมลู ยโสธร 268 ทรายมลู ทรายมลู ยโสธร 35120 045 - 716042 นายธเนส อุปนิสากร 68 ม. 1 0898448788 269 นาเวียง ทรายมลู ยโสธร 270 ไผ่ ทรายมลู ยโสธร 35170 045-738922 นายจกั รกฤษณ์ ผอ่ งใส 68 ม. 9 0898445732 2551 271 กุดชมุ กดุ ชมุ ยโสธร 272 โนนเปือย กุดชุม ยโสธร 35170 045-714642 นายวรี ะ ชายทวีป 23 ม. 5 0087959273 273 กาแมด กุดชมุ ยโสธร 274 นาโส่ กดุ ชุม ยโสธร 35170 045-583666 นายรอด กาลจักร 7 ม. 9 0833810783 275 ห้วยแก้ง กดุ ชมุ ยโสธร 276 หนองหมี กุดชุม ยโสธร 35170 045-716104-3 นายณรงค์ สวา่ งวงษ์ 78 ม. 1 0833427988 277 โพนงาม กดุ ชมุ ยโสธร 278 ทุ่งแต้ เมอื ง ยโสธร 35170 045-716012 นายแสวง ศรีวนั คา 13 ม. 1 0872138348 ยโสธร 35140 045-781932 นายเรอื งเดช เนตรหาร ม. 15 0810621180 2552 ยโสธร 35140 045-782165 นายเฉลา บญุ ทรพั ย์ ม. 14 0850576133 ยโสธร 35140 045-738604 นายอ่อนสี สาระบาล ยโสธร 35140 045-738744 นายสาอาง มลุ ะสิวะ ม. 1 0871104964 35140 045-716003 นายสุขขา มะละศิวะ ม. 14 0847912389 35140 045-738746 นายประกาศ ซองทอง ม. 8 0811967532 35140 045-714355 นายเสง็ คูเลิศ ม. 4 0879122481 35000 045-714305-6 นายบญุ รกั ษ์ ศักดิ์ศรี ต.ทุ่งแต้ 2553 คาเขอ่ื น นายฉวี กก 13 ม.7 แกว้ 279 กุดกงุ 35110 045-790100 เปลอื ย 0849605279 280 แคนน้อย คาเขอ่ื น 281 ท่งุ มน แก้ว 35110 045-737782 นายวจิ ติ ร ไชยช่วง 176/2 819762066 282 สงเปลือย คาเขื่อน 35110 นายเหลยี่ น พจิ ารณ์ 20 ม.2 0879561652 แกว้ 35110 045-790287 นายสบุ รรณ์ สายสวาท 44/5 087-2518461 คาเขือ่ น แกว้ นายบญุ ถ่ิน เทพมุสิก 4/1 ม. 0878105968 283 โคกนาโก ป่าต้ิว ยโสธร 35150 045-714329 15 284 ลมุ พุก ยโสธร 285 นาแก คาเขื่อน ยโสธร 35110 045-791450 นายทน จาปาหอม 47 ม 6 0828627935 2554 286 เหล่าไฮ แก้ว ยโสธร 287 ดงแคนใหญ่ คาเขื่อน ยโสธร 35110 นายณรงค์ วงศ์ศริ ิ 36 ม.4 0878735464 288 คาน้าสรา้ ง แก้ว ยโสธร คาเข่ือน 35110 045-756135 นางบญุ ชว่ ย หอกคา 42 ม. 1 0857784675 แกว้ คาเขื่อน 35110 045-771111 นายประสทิ ธิ์ รวมธรรม 27 ม.8 0810716166 แกว้ นายสุนทร ดงใต้ ต.คาน้า 085-0242770 กุดชุม 35140 045-738748 สรา้ ง จังหวัดอานาจเจรญิ 29 ตาบล 106 ม. 289 สรา้ งถอ่ น้อย หัวตะพาน อานาจเจริญ 37240 045 - 450455 นางบวั ลี สุขเกิด 13 0817094636 2548 สรุปผลการดาเนินงานการพฒั นาระบบเครือขา่ ยของสานกั งานสง่ เสริมและสนบั สนนุ วชิ าการ7 หนา้ 47
Search