Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore วิจัยบทบาทสตรีรวมเล่ม - สสว.7 ปี 59

วิจัยบทบาทสตรีรวมเล่ม - สสว.7 ปี 59

Published by Takkey Chaiyasing, 2020-10-13 22:05:39

Description: วิจัยบทบาทสตรีรวมเล่ม - สสว.7 ปี 59

Search

Read the Text Version

ระดับน้ีเป็นการรับผิดชอบด้วยตนเอง 2) ระดับความร่วมมือ (Cooperation) ระดับนี้ประชาชนจะให้ความ ร่วมมือในการพัฒนาตามแผนงานท่ีริเริ่มโดยหน่วยงานภายนอก บางคร้ังประชาชนจะร่วมเสียสละเวลา แรงงาน และทรัพย์สินเพื่อให้ผลงานนั้นประสบผลสาเร็จ การมีส่วนร่วมในระดับน้ีถือว่าเป็นการมีส่วนรว่ มใน ระดับท่ียอมรับได้ และ 3) ระดับการใช้ประโยชน์ (Utilization) ในระดับน้ีประชาชนจะยอมรับและใช้ ประโยชน์จากการบริการที่กาหนดไว้ ถือว่าการมีส่วนร่วมในระดับนี้เป็นการยอมรับการบริการเท่านั้น เช่น การเข้าร่วมโครงการวางแผนครอบครวั เป็นต้น 7.3 การจาแนกตามประเภทของผู้มีส่วนร่วม สามารถแยกประเภทผู้เข้าร่วมตามสถานภาพได้ 4 ประเภท คือ 1) บุคคลในท้องถ่ิน (Local Resident) 2) ผู้นาในท้องถ่ิน (Local Leaders) 3) เจ้าหน้าท่ีของรัฐ (Government Personnel) 4) เจ้าหน้าท่ีต่างชาติ (Foreign Personnel) การจาแนกผู้เขา้ ร่วมดังกล่าวนี้ Uphoff (1977 อ้างถึงใน วิโรจน์ รอดวงษ์, 2544: 52- 53) กล่าวว่าจะต้องพิจารณาถึงสถานภาพส่วนบุคคล เช่น เพศ อายุ สถานภาพครอบครัว การศึกษา ชนชั้น ทางสงั คม ระดบั รายได้ ระยะเวลา ท่อี ยู่อาศัย และสถานภาพการถือครองทด่ี ิน เป็นตน้ 7.4 การจาแนกตามรูปแบบของการมสี ว่ นร่วม (Form of Participation) การจาแนกลักษณะน้ีมนี ักวิชาการหลายท่านไดศ้ ึกษาไว้ เชน่ Dusseldorp (1981 อา้ งถึงใน วิโรจน์ รอดวงษ์, 2544: 52-53) ได้จาแนกวิธีการของการเข้าไปมีส่วนร่วม (Way of Participation) เป็น 2 ทาง คือ 1) การมี ส่วนร่วมทางตรง หมายถึง การท่ีบุคคลเข้าร่วมกิจกรรมการพัฒนาด้วยตนเอง เช่น การเข้าร่วมประชุม ร่วม อภิปราย ร่วมใช้แรงงาน หรือร่วมลงคะแนนเสียง เป็นต้น 2) การมีส่วนร่วมทางอ้อม หมายถึง การเข้าร่วม กิจกรรมผ่านตวั แทนหรอื การใหก้ ารสนบั สนุนโดยไม่นาตนเองเข้าไปมีสว่ นร่วมโดยตรง ระดับการมสี ่วนรว่ มระหว่างหนว่ ยงานของรัฐและประชาชน กระบวนการมสี ่วนร่วมนนั้ แบง่ ออกเป็น 5 ระดบั ตามระดบั การใหป้ ระชาชนเข้ามามีส่วนร่วม คอื ระดับท่ี 1 การให้ข้อมูลข่าวสารแก่ประชาชนเกี่ยวกับกิจกรรมต่างๆ ของหน่วยงานภาครัฐ (To Inform) เป็นระดับที่ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในขั้นตอนน้อยสุดซ่ึงเป็นสิทธิพื้นฐานของประชาชนในการ ได้รับข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับงานของภาครัฐ โดยหน่วยงานภาครัฐมีหน้าท่ีในการนาเสนอข้อมูลท่ีเป็นจริง ถกู ต้อง ทนั สมัย และประชาชนสามารถเข้าถึงได้ ระดับท่ี 2 การเปิดให้ประชาชนแสดงความคิดเห็นเก่ียวกับการดาเนินการ/การปฏิบัติงานของ หนว่ ยงานของรฐั อย่างอิสระและเป็นระบบ โดยหน่วยงานภาครัฐจัดใหม้ ีกระบวนการรบั ฟังความคิดเห็น การ ปรึกษาหารือ ทั้งเป็นทางการและไม่เป็นทางการ และนาข้อเสนอแนะ ความคิดเห็น ประเด็นท่ีประชาชนเป็น ห่วงไปเป็นแนวทางการปรับปรุงนโยบาย การตัดสินใจ และพัฒนาวิธีการปฏิบัติงานในหน่วยงาน (To Consult) ระดับท่ี 3 เป็นระดับท่ีหน่วยงานภาครัฐเปิดโอกาสให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมหรือเก่ียวข้องใน กระบวนการกาหนดนโยบาย การวางแผนงานโครงการ และวิธีการทางาน โดยหน่วยงานภาครัฐมีหน้าท่ี จัดระบบ อานวยความสะดวก ยอมรับการเสนอแนะและการตัดสินใจร่วมกับภาคประชาชน (To Involve) การมสี ่วนร่วมระดบั น้ีมักดาเนนิ การในรปู แบบกรรมการทม่ี ตี ัวแทนภาคประชาชนเขา้ ร่วม ระดับที่ 4 การที่หน่วยงานภาครัฐเปิดโอกาสให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมมีบทบาทเป็นหุ้นส่วนหรือ ภาคใี นการดาเนนิ กจิ กรรมของหนว่ ยงานภาครัฐ (To Collaborate) 38 แนวทางการส่งเสรมิ บทบาทสตรีในการขับเคลือ่ นงานพัฒนาสังคมเพ่อื ป้องกนั และแก้ไขปัญหาความรุนแรงในครอบครัว

ระดับที่ 5 การเสริมอานาจประชาชน (To Empower) เป็นระดับท่ีเปิดโอกาสให้ประชาชนมีบทบาท เต็มในการตัดสินใจ การบริหารงาน และการดาเนินกิจกรรมใดๆ เพ่ือเข้ามาทดแทนการดาเนินงานของ หน่วยงานภาครัฐดาเนินการหรือปฏิบัติงานอย่างใดอย่างหนึ่ง ระดับการมีส่วนร่วมของประชาชนในระดับ สูงสุดนเ้ี นน้ ใหป้ ระชาชนเป็นเจ้าของดาเนนิ ภารกิจและ ภาครัฐมีหน้าทใี่ นการสง่ เสรมิ สนับสนนุ เท่านน้ั ทีม่ า : http://www.opdc.go.th/special.php?spc_id=3&content_id=301 การบรหิ ารจดั การกระบวนการมีสว่ นรว่ มของประชาชน แนวทางการบริหารจัดการมีส่วนร่วมท่ีประสบผลสาเร็จ มีส่ิงที่ต้องให้ความสาคัญอยู่ 2 ส่วน (อรทัย ก๊กผล, 2546: 4-7) คือ 1) หัวใจหรือหลักการพื้นฐานของการบริหารการมีส่วนร่วมของประชาชนที่ผู้บริหาร โครงการการมีส่วนร่วมต้องยึดถือประกอบด้วยหลัก 4s 2) กระบวนการมีส่วนร่วมของประชาชนควร ดาเนินการอย่างเป็นระบบและมีการวิเคราะห์สถานการณ์และเตรียมการล่วงหน้า ดังนั้น การวางแผน โครงการการมสี ว่ นรว่ มจะเปน็ กลไกหรอื เปน็ เคร่ืองมือชว่ ยใหก้ ารมีส่วนร่วมประสบความสาเรจ็ การบริหารจัดการกระบวนการมีส่วนร่วมของประชาชนควรยึดหลัก 4s คือ 1) Starting Early หรือ การเรมิ่ ต้นเรว็ : กระบวนการมีส่วนร่วมของประชาชนจะต้องเร่มิ ต้นตั้งแต่ระยะแรก มีการให้ขอ้ มูล กระต้นุ ให้ เกิดความคิดเห็นจากประชาชนก่อนการตัดสินใจ ความล้มเหลวของการมีส่วนร่วมของประชาชนในอดีตมัก เกิดจากภาครัฐเร่ิมกระบวนการมีส่วนร่วมช้าหลังจากมีการตัดสินใจเรียบร้อยแล้ว หรือมีข้อผูกมัดอื่น ๆ จน เปล่ียนแปลงไม่ได้ หรือหลังจากมีความขัดแย้งเกิดข้ึน อย่างไรก็ตามการจัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นก่อน การตัดสินใจ มิได้หมายความว่าก่อนการตัดสินใจไม่ก่ีวัน หรือไม่ก่ีสัปดาห์ มิติเวลาเป็นปัจจัยหนึ่งท่ีสะท้อน ความจริงใจของหน่วยงานของรัฐ ในกระบวนการมีส่วนร่วมควรให้มีเวลาเพียงพอ การฟังความคิดเห็นอย่าง กว้างขวางเพอื่ ทาใหก้ ารตัดสนิ ใจสะท้อนความคดิ เหน็ ของชุมชน นอกจากนี้การให้ประชาชนเข้ามีส่วนร่วมในกระบวนการต้ังแต่ต้น มีประโยชน์ช่วยให้ ประชาชนมีเวลาคิดถึงทางเลือกหรือแนวทางแก้ปัญหาของชุมชนท่ีเหมาะสมมากข้ึน และเป็นข้อมูลในการ แนวทางการส่งเสรมิ บทบาทสตรใี นการขับเคล่ือนงานพฒั นาสังคมเพือ่ ปอ้ งกนั และแกไ้ ขปัญหาความรุนแรงในครอบครวั 39

พัฒนาโครงการ ดังนั้นการบริหารการมีส่วนร่วมท่ีดีนั้น ควรให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมตั้งแต่ต้นในการ ตระหนักถึงปัญหาความจาเป็นของโครงการ หรือในขั้นตอนของการหาข้อมูลพ้ืนฐาน 2) Stakeholders หรือ ครอบคลุมผู้ที่เก่ียวข้อง: หลักการสาคัญของการมีส่วนร่วมอีกประการหน่ึง คือ การมีส่วนร่วมเป็น กระบวนการท่ีต้องการให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมอย่างกว้างขวาง ผู้ที่ได้รับผลกระทบหรือผู้มีส่วนได้ส่วน เสียทุกฝ่ายไม่ว่าโดยตรงหรือโดยอ้อมถือว่าเป็นผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ควรมีโอกาสสู่กระบวนการมีส่วนร่วม แต่ กลุ่มที่ได้รับผลกระทบโดยตรงอาจถือว่าต้องรับฟังข้อมูลหรือปรึกษาหารือเป็นอันดับแรก ๆ หน่วยงานท่ี รับผิดชอบต้องให้ความสาคัญในการระบุผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ระมัดระวังไม่ให้ผิดกลุ่มเป้าหมาย ต้องตระหนัก ว่าประชาชนแต่ละกลุ่มได้รับผลกระทบจากประเด็นการตัดสินใจไม่เท่ากัน บ่อยครั้งที่เรามักคิดว่าประชาชน เป็นคนกลุ่มเดียวกัน ทั้งท่ีในความจริงผู้ได้รับผลกระทบมีหลากหลายกลุ่ม การบริหารจัดการการมีส่วนรวม ต้องม่ันใจว่ากลุ่มผู้มีส่วนได้ส่วนได้ส่วนเสียทุกกลุ่มได้มีโอกาสเข้ามามีส่วนร่วม และแต่ละกลุ่มอาจมีรูปแบบ การมีสว่ นร่วมที่แตกต่างกนั เพ่ือเอ้ืออานวยให้กลุ่มผมู้ ีส่วนได้ส่วนเสียเขา้ มามสี ่วนร่วมได้ 3) Sincerity หรือ ความจริงใจ: การมีส่วนร่วมเป็นกระบวนการท่ีมีความละเอียดอ่อนและความสัมพันธ์ระหว่างหน่วยงานที่ รับผิดชอบในการจัดกระบวนการมีส่วนร่วม และประชาชนถือว่าเป็นมิติที่มีความสาคัญในการบริหารการมี ส่วนร่วมให้ประสบผลสาเร็จ หน่วยงานของรัฐที่เป็นเจ้าของโครงการหรือมีอานาจอนุมัติต้องจัดการ กระบวนการอย่างจริงใจ เปิดเผย ซอ่ื สตั ย์ ปราศจากอคติ ให้เกียรติซงึ่ กนั และกัน และมีการสื่อสารสองทางอยู่ ตลอดเวลา โดยเฉพาะการให้ข้อมูลท่ีถูกต้องและพอเพียง ตอบสนองต่อความสงสัยของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย รวมท้ังแจ้งความก้าวหน้าหรือการเปล่ียนแปลงของโครงการอย่างต่อเน่ือง อธิบายกระบวนการต่าง ๆ อย่าง ชัดแจ้ง ก็ลดข้อสงสัยต่าง ๆ ที่อาจก่อให้เกิดข่าวลือ ให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในระยะเริ่มต้น ขณะเดียวกันต้ังใจรับฟังข้อมูลและความคิดเห็นเพื่อนาไปเป็นข้อมูลสาหรับการตัดสินใจ ซึ่งสิ่งเหล่าน้ีเป็ น พื้นฐานของความน่าเช่ือถือและความไว้วางใจซึ่งกันและกัน ความไว้วางใจและความน่าเช่ือถือนามาซึ่งความ ร่วมมือความเข้าใจการส่ือสารที่ดีขึ้น 4) Suitability หรือ วิธีการที่เหมาะสม: หลักการท่ีสาคัญประการ สุดท้ายของการบริหารการมีส่วนร่วม คือ การเลือกเทคนิคหรือรูปแบบการมีส่วนร่วมของการประชาชนต้อง คานึงถึงความเหมาะสม โดยพิจารณาจากประเภทและขนาดของโครงการ ความหลากหลายและลักษณะท่ี แตกต่างด้านวัฒนธรรม สังคมและคา่ นิยม ระดบั ความสนใจของชุมชนในประเด็นหรือโครงการ ความสามารถ และความพร้อม รวมทั้งข้อจากัดของหน่วยงานที่รับผิดชอบในการจัดกระบวนการมีส่วนร่วม เช่น ด้าน ระยะเวลา บุคลากรและงบประมาณ ความสาเร็จของการมีส่วนร่วมอยู่ที่ความสามารถวิเคราะห์สถานการณ์ และเลือกกระบวนการมีส่วนร่วมที่เหมาะสม การมีส่วนร่วมที่สร้างสรรค์ต้องประกอบด้วยกระบวนการย่อย หลายรูปแบบ ทั้งที่เป็นทางการและไม่เป็นทางการ นอกจากนั้น ต้องตระหนักว่าให้ข้อมูลข่าวสารและ ขอ้ เท็จจรงิ เปน็ องคป์ ระกอบทข่ี าดไม่ไดข้ องการปรกึ ษาหารอื ทมี่ ีประสิทธิผล ในองค์การบริหารส่วนตาบล คือ การรับรหู้ รือตระหนักในบทบาทของภาคประชาชนในการมีสว่ นรว่ ม ด้วย คาสาคญั (Key word) ที่ทาให้คนเข้ามามีส่วนรว่ ม 1. มีอสิ ระภาพ (Freedom) 2. มีความเสมอภาค/มีความเท่าเทียม (Equality) 3. มีความเป็นประชาธปิ ไตย (Democracy) 40 แนวทางการสง่ เสรมิ บทบาทสตรใี นการขับเคล่ือนงานพฒั นาสงั คมเพือ่ ปอ้ งกันและแกไ้ ขปัญหาความรนุ แรงในครอบครวั

อย่างไรก็ตามยังพบว่ามีปัจจัยหรือสาเหตุท่ีคนเข้ามามีส่วนร่วม มีดังน้ี 1) มีความสนใจและความห่วง กงั วลร่วมกัน 2) มีความเดอื ดร้อนและความไม่พงึ พอใจร่วมกัน 3) มีการตกลงใจรว่ มกันทจี่ ะเปลย่ี นแปลงกลุ่ม หรือชุมชนไปในทิศทางที่พึงปรารถนา 4) มีความศรัทธาต่อบุคคลสาคัญหรือส่ิงศักดิ์สิทธิ์จึงเข้ามามีส่วนร่วม 5) มีความเกรงใจต่อบุคคลท่ีเคารพนับถือมีเกียรตมิ ีตาแหน่งจึงเข้ามามีส่วนร่วม และ 6) มีอานาจบังคับจากผู้ มีอานาจ กล่าวโดยสรุปจะเห็นว่า เขาสนใจห่วงใยเดือดร้อนไม่พอใจ-พอใจหรือได้ประโยชน์-เขาได้สิ่งจูงใจ หรอื ไดร้ ับเกียรติ-เขาเกรงใจไดเ้ กิดศรทั ธาหรือวา่ ถูกบังคับ ในขณะท่ีปัจจัยหรือสาเหตุที่คนไม่เข้ามามีส่วนร่วม มีดังนี้ 1.ปัญหาจากฝ่ายท่ีควรจะให้เข้า ร่วม(รัฐ, ฝ่ายต่างๆ) ได้แก่ฝ่ายท่ีเคยทาอะไรเพียงกลุ่มเดยี วหรอื คนเดยี วแล้วควรให้ฝ่ายอื่นๆมีส่วนร่วมด้วยแต่ ไม่ยอมหรือไม่เต็มใจให้เข้ามามีส่วนร่วมด้วยอาจเนื่องมาจากไม่เคยชินเพราะทาให้ตนขาดความสะดวกขาด ความเป็นส่วนตัว กลัวฝ่ายอื่นๆมาเห็นพฤติกรรมทาให้ตัวเองต้องทางานโปร่งใสมากขึ้นหรือ กลัวว่าจะหา ทุจรติ หรือผลประโยชน์ได้ยากขึ้น ไม่เห็นความจาเป็นเจ้าหน้าที่ไม่เห็นความจาเป็นท่จี ะต้องให้ฝ่ายอ่ืนๆเขา้ มา มีส่วนร่วมด้วย คิดว่าฝ่ายอ่ืนๆไม่มีความรู้ท่ีเหมาะสมเพียงพอเช่นไม่มีความรู้ทางวิทยาศาสตร์, การรักษาโรค สัตว์, ไม่มีความรู้เพาะกล้าไม้ และยึดถือระบบอุปถัมภ์มองว่าตนมีหน้าท่ีทางานให้กับชาวบ้านและรวมท้ังคิด ว่า ถ้าทางานด้วยตนเองสาเร็จจะไดร้ บั ความดีความชอบจากผูบ้ งั คับบัญชา นอกจากนี้ยังมีปัญหาจากฝ่ายที่ควรจะเข้ามามีส่วนร่วม อาทิเช่น ไม่ทราบเร่ืองการให้เข้าไปมี ส่วนร่วมด้วยหรือไม่ทราบกิจกรรมน้ัน กลัวว่าเม่ือเข้าไปมีส่วนร่วมแล้วจะเสียเวลาหรือขัดแย้งหรือเสีย ประโยชน์ ไม่ทราบว่าจะเข้าไปมีส่วนร่วมอย่างไรเนื่องจากไม่เคยให้พูดคุยอย่างเสมอภาคมาก่อน และกลัว เพราะคิดว่าตนเองด้อยกว่าผู้อื่น เช่น มีฐานะต่างจากคนอื่น การพูดจาไม่เก่ง ฯลฯ การมีส่วนร่วมไม่มีความ จาเป็นสาหรับตนเพราะคิดว่ามีคนอื่นเข้ามีส่วนร่วมแล้ว มีอคติส่วนตัวมีบทเรียนท่ีไม่ดีในอดีตเช่นเคยได้รับ การดูถูกหรือเข้ารว่ มแล้ว เสียเวลาไม่ได้ประโยชน์ กลัวว่าเข้ารว่ มแล้วรฐั จะไม่ทาตามสัญญาเช่นรบั ปากว่าจะ ทาให้แต่ไม่ทาหรือทาแต่ล่าช้าจนเกิดผลเสีย และมองแต่ประโยชน์ส่วนตนมากกว่าส่วนรวมตน เองเองคิดว่า ถ้าโครงการไหนตนเองจะไมไ่ ดป้ ระโยชน์ก็ไมเ่ ข้ารว่ มแต่ถ้ามีประโยชน์จงึ จะเข้าร่วม 2.7 เอกสารและงานวจิ ัยท่ีเกี่ยวข้อง การเข้ามามีบทบาทในกิจกรรมของชุมชนของสตรีในปัจจุบันน้ัน ถ้าเปรียบเทียบกับสมัยก่อน ถือว่ามีสัดส่วนท่ีเพ่ิมมากข้ึน ด้วยสถานการณ์ทางสังคมท่ีเปล่ียนแปลงไป ผลักดันให้สตรีต้องก้าวออกมาทา กิจกรรมต่างๆนอกบ้านเพ่ิมมากขึ้น ทั้งในเรื่องการประกอบอาชีพ รายได้ การศึกษาหาคามรู้ให้เท่าทันโลก ภายนอก อกี ท้งั เราจะเห็นสตรีก้าวมามีบทบาทในด้านการเป็นผู้นา หรอื การเมอื งการปกครอง ซึง่ ถือว่าเปน็ การ เปล่ียนแปลงทีส่ าคญั อย่างไรกด็ ี การเขา้ มามบี ทบาทหรอื ส่วนรว่ มในกิจกรรมตา่ งๆทางสงั คมของสตรีน้นั ก็ยงั มี ข้อจากดั อยู่หลายประการ ทง้ั ในเรือ่ งการยอมรบั ในสังคม ความเชือ่ /ค่านิยมที่มีต่อสตรี ความเสมอภาคระหวา่ ง ชายหญิง ภาระการดูแลเรื่องภายในครอบครัว สิ่งต่างๆเหล่าน้ียังเป็นปัจจัยและมีอิทธิพลต่อการตัดสินเข้าร่วม กิจกรรมต่างๆในชุมชน ดงั จะเห็นจากผลการศกึ ษาวจิ ยั หลายๆเร่อื งต่อไปนี้ ชื่นฤทัย กาญจนะจิตรา และสุภรต จรัสสิทธ์ิ (2552 : บทคัดย่อ) ศึกษาครอบครัวกับความ รุนแรงในชวี ิตคู่ การศึกษาครั้งน้ี เลือกศึกษาปจจัยดานครอบครัวท่ีมีผลตอความรุนแรงในชีวิตคู โดยใชขอมูลที่ ไดดาเนินการสารวจใน พ.ศ. 2543 ในพื้นที่ 2 จังหวัด คือ กรุงเทพฯ และนครสวรรค กลุมตัวอยางเปนหญิง แนวทางการส่งเสรมิ บทบาทสตรีในการขบั เคลือ่ นงานพัฒนาสังคมเพือ่ ป้องกันและแก้ไขปัญหาความรุนแรงในครอบครัว 41

อายุ 15-49 ป จานวน 2,816 คน ผลการศึกษาพบวา ปจจัยท่ีมีผลตอความรุนแรงในชีวิตคู ไดแก รูปแบบการ แตงงาน ความรูสึกวาครอบครัวเปนที่พ่ึงได ความสัมพันธระหวางคูครอง และประสบการณความรุนแรงในวัย เด็ก หญิงท่ีแตงงานโดยไมมีพิธีการมีความรุนแรงทางกายสงู กวาหญิงท่ีแตงงานโดยจดทะเบียนและมีพิธีการถึง 2.3 เทา ความรุนแรงทางกายในหญิงที่รูสึกวาครอบครัวเปนท่ีพึ่งได มีรอยละ 14.3 ขณะท่ีถาครอบครัวเปนที่ พ่ึงไมไดมีความรุนแรงถึงรอยละ 21 อยางไรก็ตาม การท่ีครอบครัวเปนท่ีพึ่งไดไมมีผลในการลดการเกิดความ รุนแรงทางเพศ ในเร่ืองความสัมพันธระหวางคูครอง พบวา หากคูท่ีมีการทะเลาะกันบอยคร้ังมากเทาไร ความ รุนแรงจะย่ิงมีมากข้นึ เทานั้น ปจจัยที่มีผลตอความรุนแรงท่ีชัดเจนอีกประการคือ ประสบการณความรุนแรงใน วยั เด็ก ยิ่งมีประสบการณทั้งพบเห็นแมถูกพอทาราย หรือตนเองถูกคนในครอบครัวทาราย โอกาสความรุนแรง จะย่งิ สูงขึน้ นอกจากนี้ ความรุนแรงในครอบครัว ยงั สงผลกระทบถึงลูกโดยแสดงออกผานทางพฤตกิ รรมดานอา รมณ เชน ดดู นิ้ว ปสสาวะรดทนี่ อน ข้ีอาย หรือมพี ฤตกิ รรมกาวราว การเรียนไมดี และหนอี อกจากบาน เปนตน จากการศึกษาเรื่องสตรีกับกิจกรรมทางเศรษฐกิจและสังคมของชุมชนทะเลน้อย พัทลุง ของ ปริญญา บัณฑิโต (2551) พบว่าบทบาทในกิจกรรมทางสังคม มีอยู่ 6 ด้าน คือ ด้านดูแลบุตร ด้านสุขภาพ อนามัย ด้านการศึกษา ด้านอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ด้านการพัฒนาชุมชน/หมู่บ้าน และด้านการเข้าร่วมกลุ่ม/ สมาชิกกลุ่มต่างๆ และ 3 อันดับแรกท่ีสตรีส่วนใหญ่เข้ามามีส่วนร่วม คือ การมีส่วนร่วมในการพัฒนาหมู่บ้าน การมีส่วนร่วมด้านดูแลสขุ ภาพอนามยั ของคนในครอบครัวและชมุ ชน และการอนุรกั ษส์ ่ิงแวดล้อม สว่ นกจิ กรรม ทางเศรษฐกิจ พบว่าสตรีมีส่วนร่วมในการดูแลงานบ้าน จัดหาอาหารและเรื่องรายได้ ซ่ึงปัจจัยท่ีทาให้สตรีเข้า มามีบทบาทในกิจกรรมต่างๆ คือ การได้รับการชักชวนจากเพ่ือนบ้าน สถานภาพทางสังคม และความสัมพันธ์ ของคนในชมุ ชน ฟาริดา บินล่าเต๊ะ (2552 : บทคัดย่อ) ศึกษาบทบาทสตรีในการสร้างทุนทางสังคม เพื่อลด ความยากจนในชุมชนผู้รายได้น้อย พบว่า ลักษณะการทางานของผู้หญิงมีผลต่อการช่วยเหลือกิจกรรมของ ครอบครัว และชุมชน โดยแม่บ้านมีบทบาทในการช่วยเหลือกิจกรรมได้มากกว่าผู้หญิงทางานนอกบ้าน เช่น การเลย้ี งดูลกู อบรมส่ังสอนลูก และการเข้าร่วมกิจกรรมชมุ ชน เนื่องจากมีเวลา และโอกาสท่ีใชช้ ีวติ อยู่ในชุมชน ตลอดเวลา จึงทาให้รู้ถึงสภาพความเป็นอยู่ของคนในชุมชน และเกิดการสร้างความสัมพันธ์ที่ดี สาหรับ บทบาทสาคัญในการสร้างทุนทางสังคม และลดความยากจน จากการสร้างความผูกพนั ในครวั เรือน และชมุ ชน ความต้องการช่วยเหลือกิจกรรม และการมีส่วนร่วมในกิจกรรมชุมชน ส่งผลให้ผู้หญิงเข้ามีบทบาทในการ ช่วยเหลือกจิ กรรมชุมชนอยา่ งต่อเน่ือง ถึงแม้ว่าผู้หญิงส่วนใหญ่มรี ะดับการศึกษาน้อย เป็นแม่บ้าน และมีอาชีพ รบั จ้างท่ัวไปท่ีมีรายได้ไม่เพียงพอกบั รายจ่าย แตม่ ีการเล้ยี งดูและอบรมสั่งสอนลูก โดยมุ่งหวังให้ลูกมีการศึกษา และมีอาชีพท่ีม่ันคง อีกท้ังการมีส่วนร่วมในการช่วยเหลือกิจกรรม เช่น กลุ่มสหกรณ์ออมทรัพย์ กลุ่มแม่บ้าน งานเทศกาล และประเพณี รักษาสิ่งแวดล้อม ดูแลสุขภาพ และป้องกันภัยพิบัติ และปัจจัยท่ีมีผลต่อบทบาทใน การขับเคลื่อนกิจกรรมในชุมชน เช่น อัตลักษณ์ทางเพศ ความผูกพันในครัวเรือน และชุมชน การยอมรับจาก ผูช้ าย และกฎหมาย นโยบายทสี่ นบั สนุนผู้หญิง เป็นส่วนสาคัญในการส่งเสรมิ ให้บทบาทผหู้ ญิงเกิดการสรา้ งทุน ทางสังคม และลดความยากจนในชุมชน สาหรับอุปสรรคที่มีต่อบทบาทผู้หญิงในการขับเคล่ือนกิจกรรมชุมชนพบว่า แม่บ้านยังขาด ความตระหนักในศักยภาพของตนเอง เช่น ความกล้าแสดงออก และการตัดสินใจในกิจกรรมของชุมชน ทาให้ แม่บ้านเป็นเพียงผู้สนับสนุนเบื้องหลัง อีกประเด็นคือ ผู้หญิงที่ทางานนอกบ้านยังขาดการมีส่วนร่วมในการ 42 แนวทางการสง่ เสริมบทบาทสตรใี นการขับเคลอ่ื นงานพฒั นาสังคมเพื่อป้องกันและแกไ้ ขปญั หาความรนุ แรงในครอบครวั

ช่วยเหลือกิจกรรมในชุมชน นอกจากนั้น โครงสร้างทางสังคม และวัฒนธรรมที่ยังคงให้เกียรติผู้ชายเข้ามามี อานาจในการตัดสินใจ และเปน็ ผนู้ าด้วยคณุ สมบัตใิ นเร่ืองของการศึกษา หน้าท่กี ารงานของผู้ชายท่ีดกี ว่าผู้หญิง และอัตลักษณเ์ พศชายทมี่ คี ุณสมบัติของการเป็นผู้นามากกวา่ ผหู้ ญิง จากการศึกษาบทบาทของแม่บ้านเกษตรในด้านสังคมและเศรษฐกิจ เพื่อการส่งเสรมิ ในท้องท่ี 4 หมู่บ้าน ตาบลทุ่งกระพังโหม อาเภอกาแพงแสน จังหวัดนครปฐม ของสุอาภา ดิสถาพร (อ้างถึงใน ปริญญา บัณฑิโต, 2551) โดยใช้แบบสอบถามสัมภาษณ์แม่บ้านเกษตรกร จานวน 95 ราย พบว่า แม่บ้านเกษตรกรทุก คนมีบทบาททั้งในการประกอบอาชีพร่วมกับสามีและรับผิดชอบในบ้าน แต่ใช้เวลาส่วนใหญ่ทางานในไร่นา มี เวลาพักผอ่ นน้อยมาก ไม่ค่อยมีการสังคมนอกบ้าน แมจ้ ะมีความสนใจในด้านวชิ าการแผนใหม่ แต่ไม่คอ่ ยมเี วลา ไปเข้ารับการอบรมจากเจ้าหน้าที่ แม่บ้านเกษตรกรส่วนใหญ่มีบทบาททางสังคมและเศรษฐกิจในส่วนท่ี เกี่ยวข้องกับเร่ืองภายในบ้านเท่านั้น ส่วนกิจกรรมที่เก่ียวข้องกับสังคมและเศรษฐกิจทั้งในด้านการประกอบ อาชีพอื่นๆ สว่ นงานนอกบา้ นยังคงยกให้สามเี ป็นผู้นา โดยที่แมบ่ ้านเกษตรกรอาจมอี ิทธพิ ลอยู่ดา้ นหลัง สมหวัง หล้าหนัก (อ้างถึงใน ปริญญา บัณฑิโต, 2551) ได้ศึกษาวิจัยเรื่อง “บทบาทสตรี เก่ียวกับเศรษฐกิจครัวเรือนในชุมชนชนบท” ในหมู่บ้านสันคะยอม ตาบลมะเขือแจ้ อาเภอเมือง จังหวัดลาพูน โดยการสมั ภาษณ์สตรที ีป่ ระกอบอาชีพในภาคเกษตรและรับจ้างทว่ั ไปท่ีแต่งงานแล้วและท่ียังไม่แต่งงาน จานวน 3 ราย จานวน 2 ราย สตรีที่แต่งงานแล้ว และสัมภาษณ์สตรีท่ีประกอบอาชีพค้าขายหรอื รับจ้างท่ัวไปเป็นหลัก และประกอบอาชีพในภาคเกษตรเป็นอาชีพเสริมที่แต่งงานแล้ว จานวน 3 ราย และที่ยังไม่แต่งงาน จานวน 2 ราย รวม 10 ราย นอกจากน้ียังสัมภาษณ์บุคคลอ่ืนท่ีเกี่ยวข้อง เช่น พ่อแม่ ลูก คนชรา เป็นต้น พบว่าบทบาท สตรีเกี่ยวกับเศรษฐกิจครัวเรือนในชุมชนชนบทประกอบด้วย บทบาทของสตรีในครัวเรือนซึ่งเป็นบทบาทท่ี สังคมกาหนดมาแตเ่ ดิม บทบาทในดา้ นการเกษตรเปน็ บทบาททีท่ ุกคนในครอบครัวจะต้องชว่ ยเหลือกัน เพราะ ต้องใช้แรงงานและบทบาทในการหารายได้นอกบ้านซึ่งเป็นบทบาทที่สตรีในปัจจุบันต้องเข้าสู่อาชีพเพ่ือหา รายได้ที่เป็นตัวเงินให้แก่ครอบครัว สาหรับเง่ือนไขและปัจจัยที่มีผลต่อบทบาททางเศรษฐกิจของผู้หญิงใน ชนบทท่ีสาคัญคือ ปัจจัยด้านวัฒนธรรมซึ่งจะเป็นตัวกาหนดหรือปลูกฝังความคิด ความเช่ือ ค่านิยม และ ทศั นคติทท่ี าให้ผู้หญิงมีจิตสานึกว่างานบ้านเป็นหน้าที่ท่ผี ู้หญิงต้องปฏิบัติ และเงื่อนไขด้านการเปลี่ยนแปลงทาง สังคมได้แก่ การเป็นครอบครัวเดียวกัน การสูญเสียท่ีดิน ค่าครองชีพที่สูงข้ึน และด้านช่องทางการประกอบ อาชีพท่ีมากขึ้น ในขณะที่ วรารัตน์ บรรณศักด์ิ (อ้างถึงใน ปริญญา บัณฑิโต, 2551) ได้ศึกษาเก่ียวกับ “การมี ส่วนร่วมในการประกอบอาชพี ของสตรีในพื้นที่ใกลเ้ มืองและไกลเมอื ง ในจังหวดั เชียงใหม่” โดยใชแ้ บบสอบถาม สัมภาษณ์ คู่สามี-ภรรยา ในพ้ืนท่ีเกษตรใกล้เมืองและไกลเมือง รวม 101 คู่ (202 ราย) พบว่าสตรีในพ้ืนท่ีไกล เมืองส่วนใหญ่ทางานแลกเปลี่ยนแรงงานและรับจ้างท่ัวไปในภาคการเกษตร แต่ในพื้นที่เกษตรใกล้เมืองพบ เพียงไม่ถึงครึ่งหนึ่ง สตรีในพ้ืนท่ีเกษตรใกล้เมือง 3 ใน 4 ทางานนอกภาคการเกษตร ขณะท่ีพื้นที่เกษตรไกล เมืองพบเพียงร้อยละ 9.84 และสตรีพ้ืนท่ีการเกษตรใกล้เมืองมีส่วนร่วมในการประกอบอาชีพมากว่าสตรีใน พื้นที่เกษตรไกลเมือง ตัวแปรสาคัญที่มีความสัมพันธ์กับการมีส่วนร่วมในการประกอบอาชีพของสตรีในพื้นท่ี เกษตรใกล้เมือง ไดแ้ ก่ จานวนบตุ รในวัยก่อนเข้าเรยี น จานวนบุตรในวัยเรียน ความเห็นชอบของสามี สว่ นพื้นท่ี เกษตรไกลเมือง ได้แก่ ความเห็นชอบของสามี สถานภาพระดับความเป็นอยู่ของครอบครัว ความ ขยนั หมั่นเพยี รของสตรี และสถานภาพดา้ นผู้นาทางการในสังคมของสตรี แนวทางการส่งเสรมิ บทบาทสตรใี นการขับเคลอื่ นงานพฒั นาสงั คมเพอ่ื ป้องกนั และแกไ้ ขปญั หาความรุนแรงในครอบครัว 43

ในส่วนท่ีเก่ียวข้องกับการรวมกลุ่มของสตรี ในการทากิจกรรมต่างๆ ท้ังด้านเศรษฐกิจและ สังคม มีผู้ที่ทาการศึกษาในเรื่องเหล่าน้ีบ้าง เช่น ผ่องผิว หิรัญรังสิต (อ้างถึงใน ปริญญา บัณฑิโต, 2551) ได้ ศึกษาการรวมกลุ่มสตรีในชนบท กรณีศึกษากลุ่มสตรีแม่บ้านศรีดอนมูล ตาบลชมพู อาเภอสารภี จังหวัด เชียงใหม่ สัมภาษณ์กลุ่มสตรีจานวน 6 กลุ่ม ประกอบด้วยกลุ่มสตรีท่ีเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ จานวน 3 กลุ่ม คือ กลุ่มหนุ่มสาว กลุ่มฌาปนกิจ กลุ่มศรัทธาวัด และกลุ่มสตรีท่ีได้รับการจัดตั้งจากหน่วยงาน จานวน 3 กลุ่ม คอื กลมุ่ แปรรูปผลิตภัณฑ์และถนอมอาหาร กลุ่มตัดเยบ็ เส้ือผ้า และกลุ่มออมทรัพย์เทิดพระเกียรติ พบว่า กลุ่ม สตรีท่ีเกิดข้ึนในหมู่บ้านมีการรวมกลุ่มกันในหลายลักษณะ ท้ังท่ีเกิดข้ึนเองตามธรรมชาติและได้รับจัดต้ังอย่าง เป็นทางการ ปัจจัยที่ทาให้มีการรวมกลุ่มกันมีหลายประการ เช่น ลักษณะความสัมพันธ์ของคนในชุมชน การ แบ่งบทบาทเพศชายเพศหญิง ประเพณีความเชื่อและวัฒนธรรมของชุมชน ระบบการผลิตในชุมชน นอกจากน้นั ยงั มีเง่ือนไขที่เปน็ ปจั จยั ภายนอกชุมชน เชน่ การพบเห็นตัวอย่างจากกลุ่มอนื่ ๆ และความคิดเห็นใน การพฒั นาสตรขี องหนว่ ยงานทีจ่ ดั ต้ังกลุ่ม และทิชากร ชง่ั ใจ (อา้ งถงึ ใน ปรญิ ญา บณั ฑโิ ต, 2551) ไดศ้ ึกษาเรื่อง ศักยภาพในการประกอบอาชีพในชุมชน : ศึกษาเฉพาะกรณีกลุ่มแม่บ้านสภาวัฒนธรรมตาบลหัวสาโรง อาเภอ ท่าวุ้ง จังหวัดลพบุรี โดยใช้แบบสอบถามสัมภาษณ์สมาชิกกลุ่มแม่บ้านในการประกอบอาชีพชุมชนจานวน 6 กลุ่ม ประกอบ ด้วยผู้นากลุ่มและสมาชกิ กลุ่มแม่บ้านในการประกอบอาชพี จานวน 225 คน พบว่า พัฒนาการ ของกลุ่มแม่บ้านมีมาเป็นลาดับขั้น จะเมื่อมีการก่อต้ังสภาวัฒนธรรม ตาบลหัวสาโรง จึงมีการดาเนินการของ กลุ่มอาชีพที่มีรูปแบบมาข้ึนและยังส่งเสริมให้กลุ่มมีความชัดเจนข้ึนและมีผู้นากลุ่มที่ดี ทาให้กลุ่มดารงอยู่ได้ สาหรับปัจจัยที่ส่งผลต่อศักยภาพการประกอบอาชีพของสมาชิกกลุ่มประกอบด้วยปัจจัยภายใน คือการที่ สมาชิกเคยได้รับการฝึกอบรมประกอบอาชีพชุมชนมาก่อนจากภาครัฐและได้รับประโยชน์จากการฝึกอบรม และปจั จัยภายนอก คอื การทสี่ มาชกิ กลมุ่ แม่บา้ นสามารถสรา้ งกาไรหรือรายได้จากการประกอบอาชีพชุมชน นนั ทวัน เชวงวิศิษฎ์ (อ้างถึงใน ปรญิ ญา บัณฑิโต, 2551) ศึกษาเกี่ยวกับการรวมกลุ่มของสตรี ในโครงการหน่ึงตาบลหน่ึงผลิตภัณฑ์ ในจังหวัดเชียงใหม่ โดยใช้แบบสอบถามสัมภาษณ์ประธานกลุ่มแม่บ้าน เกษตรกรท่ีเข้าร่วมโครงการหนึ่งตาบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ในจังหวัดเชียงใหม่ จานวน 124 คน พบว่าการรวมกลุ่ม เกิดจากลักษณะความสัมพันธ์ของคนในชุมชน การแบ่งบทบาทเพศชายเพศหญิงประเพณีความเช่ือและ วัฒนธรรมของชุมชน ระบบการผลิตในชุมชน และจากการพบเห็นตัวอย่างจากชุมชนอ่ืน นอกจากนี้ยังพบว่า สมาชิกกลุ่มแม่บ้านสามารถสร้างรายได้จากการประกอบอาชีพชุมชน โดยปัจจัยที่เก่ียวข้องกับสมาชิกกลุ่ม แม่บ้านเกษตรกรที่ประสบความสาเร็จประกอบไปด้วยความถ่ีในการติดต่อพบปะเจ้าหน้าท่ี ความถ่ีในการเข้า เมือง ประสบการณ์การฝึกอบรม ความรู้ในวัตถุประสงค์และการดาเนินงานของกลุ่ม ความเชื่อถือในตัว เจ้าหน้าท่ี ความคาดหวังท่ีจะได้รับความรู้และผลประโยชน์จากการเป็นสมาชิก และความต้องการเกียรติยศ ช่อื เสียง และจากการศึกษาของ ประวทิ ย์ เพชรมี (อ้างถึงใน ปริญญา บัณฑิโต, 2551) เรื่องการมีส่วนร่วมของ กลุ่มสตรีในการทากิจกรรมพัฒนาชุมชนบ้านศรีดอนมูล ตาบลชมพู อาเภอสารภี จังหวัดเชียงใหม่ โดยการ สัมภาษณ์แบบมีโครงสร้าง การสังเกต และสนทนากลุ่ม กับสตรีท่ีเป็นสมาชิกกลุ่มอย่างเป็นทางการและสตรีท่ี ไม่ได้เขา้ เป็นสมาชิกกลุ่ม รวมทั้งคณะกรรมการของหมู่บ้าน พบวา่ สตรีมีสว่ นรว่ มในกลุ่มกิจกรรม โดยมีขั้นตอน ดังน้ีคือ การร่วมกันคิด ร่วมกันวางแผน ร่วมกันดาเนินการ และร่วมกันประเมินผล ส่วนการตัดสินใจเข้าร่วม กิจกรรมนั้นสตรีเป็นผู้ตัดสินใจเอง และการได้รับการชักนาจากเจ้าหน้าที่ของรัฐและชาวบ้านท่ีเป็นสมาชิก สาหรับผลการมีส่วนรวมท่ีสตรีได้รับคือ เป็นคณะกรรมการกลุ่ม เป็นสมาชิกกลุ่ม และเป็นผู้ที่ได้รับประโยชน์ 44 แนวทางการสง่ เสรมิ บทบาทสตรใี นการขบั เคลอ่ื นงานพฒั นาสังคมเพอื่ ป้องกนั และแก้ไขปัญหาความรุนแรงในครอบครวั

โดยตรงจากกิจกรรมกลุ่ม อีกประการหน่ึงคือ ปัจจัยท่ีมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจเข้ารว่ มในกิจกรรมกลุ่มคือ การ ยอมรับนับถือในตัวผนู้ า มองเห็นประโยชน์ทีไ่ ดร้ ับตอ่ ตนเองและครอบครวั ปัญหาอุปสรรคของสตรีตอ่ การเข้า ร่วมที่สาคัญคือ สมาชิกเกิดความระแวงสงสัยในตัวคณะกรรมการว่าจะไม่ซ่ือสัตย์ เกรงว่าจะนาเงินไปใช้จ่าย ส่วนตัว จึงมีความต้องการที่จะให้เจ้าหน้าท่ีของรัฐให้ความรู้การจัดการด้านบัญชี และนาไปถ่ายทอดให้แก่ สมาชิกกลุ่มจะไดป้ ฏบิ ัติงานในระบบบัญชีได้ถกู ต้อง นอกจากน้ัน วัชราภรณ์ เอ่ียมสะอาด (2538 : บทคัดย่อ) ได้ศึกษาปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับ การมีส่วนร่วมของสตรีในการพัฒนาท้องถ่ิน อาเภอบางเลน จังหวัดนครปฐม โดยศึกษาสตรีที่เป็นสมาชิกกลุ่ม อาสาพัฒนา จานวน 339 คน พบว่า สตรีมีส่วนร่วมในการพัฒนาท้องถ่ินอยู่ในระดับปานกลาง ส่วนปัจจัยท่ีมี ความสัมพันธ์กับระดับการมีส่วนร่วมของสตรีในการพัฒนาท้องถ่ินได้แก่ ความถี่ในการรับรู้ข่าวสารบ้านเมือง การเป็นสมาชิกกลุ่มกิจกรรม สิ่งจูงใจในการเข้าร่วมกิจกรรมกลุ่ม การติดต่อผู้นาชุมชน การได้รับการฝึกอบรม หรือศึกษาเพิ่มเติม ระดับรายได้เฉลี่ยของครัวเรือน การมีตาแหน่งในชุมชน ความเข้าใจในงานของกลุ่มสตรี ระดับการศึกษาและระยะเวลาท่ีอยใู่ นชุมชน ส่วนตัวแปลดา้ นอายไุ ม่มีความสัมพันธ์กับระดับการมีส่วนร่วมของ สตรีในการพัฒนาท้องถ่ินอย่างมีนัยสาคัญทางสถติ ิ และจากการศึกษาปัจจัยทมี่ ีผลต่อการมีส่วนร่วมของสตรีใน กิจกรรมพัฒนาอาชีพเสริมของครัวเรือนเกษตรกรในหมู่บ้านรอบศูนย์ศึกษาการพัฒนาห้วยฮ่องไคร้ อัน เนื่องมาจากพระราชดาริ อาเภอดอยสะเก็ด จังหวัดเชียงใหม่ ของ พิชญดา เรืองเดช (2542 : 67-68) โดยใช้ แบบสอบถามข้อมูลจากสตรีวยั แรงงานท่ีมีช่วงอายุ 13-60 ปี ท่ีอาศัยอยู่ในหมู่บ้านรอบศูนย์พัฒนาห้วยฮอ่ งไคร้ อนั เน่อื งมาจากพระราชดาริ จานวน 234 คน พบว่า อายุ การศึกษา งานหลัก รายได้เฉล่ียของครอบครัว เวลา ว่างจากงานหลัก และความรู้ความเข้าใจในลักษณะกิจกรรมของสตรีไม่มีผลต่อการมีส่วนร่วมของสตรี มีเพียง ปจั จยั เดียวทมี่ ีผลตอ่ การมสี ว่ นร่วมของสตรคี ือ โอกาสการติดตอ่ สอ่ื สารกับผนู้ า ผลจากการศึกษางานวิจัยที่เก่ียวข้อง สามารถสรุปได้ว่า สตรีส่วนใหญ่จะมีบทบาทสาคัญใน การจัดการเร่ืองในครอบครัว ทั้งเร่ืองการดูแลงานบ้าน จัดหาอาหาร เล้ียงดูบุตร การใช้จ่ายต่างๆในครัวเรือน และการตัดสินใจต่างในบา้ น ส่วนบทบาทกิจกรรมทางด้านสังคมพบว่าสตรีมีบทบาทในระดับปานกลาง เพราะ ข้อจากัดทางวัฒนธรรมและบรรทัดฐานทางสังคม ทาให้สตรีในชนบทมองไม่เห็นบทบาทในการมีส่วนร่วมใน กจิ กรรมทางสังคมได้ดีกว่าบทบาทในการเปน็ แมบ่ ้าน หรอื เป็นภรรยา สว่ นเง่อื นไขหรือปจั จัยท่ีส่งผลต่อบทบาท สตรีในกิจกรรมทางด้านเศรษฐกิจและสังคมที่สาคัญ คือ เงื่อนไขด้านวัฒนธรรมและเงื่อนไขการเปล่ียนแปลง ทางสังคม เช่น ค่าครองชีพท่ีสูงข้ึน และด้านช่องทางการประกอบอาชีพท่ีมากข้ึน ทาให้มีบทบาทในการทางาน นอกบ้านและมีบทบาททางด้านเศรษฐกิจในครัวเรือนมากข้ึน นอกจากนั้นยังมีปัจจัยส่วนบุคคล ได้แก่ จานวน บุตร ความเห็นชอบของสามี สถานภาพระดับความเป็นอยู่ของครอบครัว ความขยันหมั่นเพียรของสตรี และ สถานภาพด้านผ้นู าในสังคมของสตรี การมองเห็นประโยชนท์ ไี่ ด้รับตอ่ ตนเองและครอบครัว แนวทางการสง่ เสริมบทบาทสตรีในการขบั เคล่ือนงานพฒั นาสังคมเพือ่ ปอ้ งกนั และแก้ไขปญั หาความรุนแรงในครอบครวั 45

บทที่ 3 วธิ กี ารศึกษา 3.1 วธิ กี ารศกึ ษา 3.1.1 พจิ ารณาตามวธิ กี ารเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู การศึกษาวิจัยเฉพาะกรณี (case study) โดยศึกษาเฉพาะพื้นท่ีท่ีมีอัตราการเกิดเหตุการณ์ ความรุนแรงสูง โดยการวิจัยแบบกรณีศึกษา คือกลุ่มสตรีที่มีบทบาทในการขับเคล่ือนกิจกรรมในชุมชนเพ่ือลด ปญั หาความรนุ แรงในครอบครวั เพ่อื ทราบการมบี ทบาท/สว่ นร่วม ปัจจัยในการมีส่วนร่วม และอุปสรรค/ปัญหา วธิ คี ิด กลไก กระบวนการ และผลลพั ธข์ องการดาเนินการ เพ่ือเรยี นรู้บทเรยี นจดุ แขง็ จุดอ่อนและยุทธศาสตร์ใน การทางานระดบั พน้ื ที่ที่ผ่านมา โดยใช้เครือ่ งมอื คอื แบบสอบถามและแบบสัมภาษณ์ 3.1.2 พจิ ารณาตามประโยชนข์ องการวจิ ยั เป็นการวิจัยแบบประยุกต์ (applied research) หรือการวิจัยเพ่ือหาแนวทางปฏิบัติ (operational research) เป็นการเน้นแบบมีส่วนร่วมเพ่ือค้นหาแนวทาง รูปแบบ โดยให้ประชาชนได้มีส่วน ร่วมในการสร้างความรู้และทาความเข้าใจกับสภาพการณ์ท่ีปรากฏอยู่ รวมทั้งเปิดพ้ืนที่ให้เรียนรู้และแก้ไข ปัญหาและหาแนวทางร่วมกันระหว่างหลายฝ่าย อันเป็นการสร้างความรู้ให้กับสังคมได้อย่างเป็นรูปธรรม โดย ใชว้ ิธกี ารประชุมแลกเปลยี่ นและสนทนากล่มุ 3.2 ขอบเขตของการศกึ ษา 3.2.1 ขอบเขตพ้นื ที่ ทาการศึกษาในเขตพ้ืนท่ีรับผิดชอบของสานักงานส่งเสริมและสนับสนุนวิชาการ 7 โดย คัดเลือกกรณีศึกษา 2 ตาบล จากจังหวัดที่มีจานวนสถิติการกระทาความรุนแรงในครอบครัวมากเป็นอันดับท่ี โดยใช้ฐานข้อมูลจากระบบข้อมูลความรุนแรงต่อเด็ก สตรีและความรุนแรงในครอบครัว จากหน่วยงาน กระทรวงการพฒั นาสังคมและความม่ันคงของมนษุ ย์ในพ้นื ที่ ดังนี้ 1) ตาบลหนองชา้ งใหญ่ อาเภอมว่ งสามสิบ จงั หวดั อบุ ลราชธานี 2) ตาบลนาคา อาเภอศรสี งคราม จงั หวดั นครพนม 3.2.2 ขอบเขตประชากร ขอบเขตประชากรที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้ ประกอบด้วยผู้เกี่ยวข้อง 4 ฝ่าย ได้แก่ 1.) สตรีท่ีมีบทบาทในการขับเคล่ือนงานด้านพัฒนาสังคม เช่น กลุ่มสตรี กพสม. กพสต. หรือ กลุ่ม องค์กรต่าง ๆ 2.) ตัวแทนหนว่ ยงานภาครัฐดาเนนิ การเกี่ยวกับการการพฒั นาหรือส่งเสริมบทบาทสตรี ไดแ้ ก่ สานกั งานพฒั นาสังคมและความม่นั คงของมนุษย์จังหวัด สานักงานพฒั นาชมุ ชน โรงพยาบาลในชมุ ชน โรงเรียน เปน็ ตน้ 3.) ตัวแทนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ได้แก่ นายกเทศมนตรี นายก อบต. ปลัดฯ เจ้าหนา้ ทผี่ รู้ บั ผดิ ชอบงานดา้ นพัฒนาสตรี เปน็ ต้น 4.) ผู้นาชุมชนหรือผูแ้ ทนชุมชนทมี่ สี ่วนเก่ยี วข้อง เช่น กานนั ผ้ใู หญ่บ้าน อาสาสมคั ร เปน็ ตน้ 46

3.2.3 ขอบเขตเนอ้ื หา เนื้อหาในการศึกษาจะครอบคลุมการทบทวนวรรณกรรมในเรื่องบทบาทสตรีในกิจกรรมทาง สังคม ปัจจัยที่มีผลต่อการเข้ามามีส่วนร่วม และปัญหาอุปสรรค การดาเนินงานของหน่วยงานภาครัฐท่ีเกี่ยวข้อง และเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับรูปแบบ กระบวนการพัฒนาศักยภาพสตรี เพ่ือนาไปกาหนดแนวทางการ ส่งเสรมิ บทบาทสตรีในการขับเคลื่อนกิจกรรมในชุมชน เพอ่ื ลดปญั หาความรุนแรงในครอบครวั 3.3 การวิเคราะหแ์ ละสังเคราะห์ขอ้ มูล การวิจัยครั้งน้ีเป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการ ด้วยวิธีวิทยาผสานวิธี (mixed-methodology) ใน การเก็บรวบรวมข้อมูล ดังนั้นการวิเคราะห์และสังเคราะห์ข้อมูล จึงมีท้ังการวิเคราะห์เชิงปริมาณและเชิง คุณภาพ โดยการวิเคราะห์เชิงปริมาณ และการวิเคราะห์เชิงคุณภาพ ใช้การวิเคราะห์เชิงเนื้อหา (Content Analysis) เพ่ือกาหนดแบบแผนโครงสร้างความสัมพันธ์ของข้อมูลชุดต่าง ๆ รวมถึงการกาหนดประเด็นการ นาเสนอข้อมูลใหส้ อดคล้องกับประเด็นและวตั ถปุ ระสงคข์ องการวจิ ยั 3.4 ข้นั ตอนการศกึ ษา การวิจัยครั้งนี้เป็นการประยุกต์ใช้การวิจัยเชิงปฏิบัติการเพ่ือการพัฒนา ทาการศึกษาโดยใช้ วิธีวิทยาการวิจัยแบบผสานวิธี (mixed-methodology) การศึกษาและเก็บรวบรวมข้อมูลทั้งเชิงปริมาณและ เชิงคณุ ภาพ โดยมกี ระบวนการดาเนนิ การวิจยั ดังน้ี กระบวนการศึกษา การเกบ็ รวบรวมข้อมูล เคร่ืองมือในการเกบ็ ข้อมูล 1. ศึ ก ษ า เอ ก ส า ร ผ ล ก า ร 1. ศึ กษ า รวบ รวม ข้อมู ลเอกสาร/ - เอกสาร/วารสาร/งานวิจัย/ ดาเนิน งาน ท บท วนแนวคิด บทความ/งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง จากแหล่ง วิทยานิพนธ์ นโยบาย กฎหมาย ท่ีเก่ียวข้อง ตา่ งๆ - แบบสารวจข้อมูล แ ล ะ แ น ว ท าง/รู ป แ บ บ ก า ร 2. ศึกษา/สารวจ รวบรวมข้อมูลพ้ืนฐาน - แบบสัมภาษณ์ ดาเนินงานของภาครัฐและอ่นื ๆ ในชมุ ชน - website ที่เกยี่ วข้อง . จัดเวทีกาหนดแนวทางการ 1.จัด ป ระชุ ม เชิ งป ฏิ บั ติ ก ารจั ด ท า - แผนการจัดประชมุ จัดทาโครงการและวางแผนการ แผนการดาเนินงานโครงการและการ - เกณฑก์ ารคดั เลือกพนื้ ท่ี ดาเนินงาน คัดเลือกพื้นท่ี และ จัดทาเครอื่ งมือในการเก็บรวบรวมขอ้ มลู - ตัวอย่างแบบสอบถาม/แบบ สร้างเคร่ืองมือในเก็บขอ้ มลู 2. คดั เลอื กพื้นที่ สมั ภาษณ์ 3. สร้างเคร่ืองมือสาหรับการเก็บข้อมูล - บนั ทึกการประชุม ร่วมกับอาจารย์ผู้ทรงคุณวุฒิ ท่ีมีความ เชย่ี วชาญเฉพาะดา้ น แนวทางการส่งเสรมิ บทบาทสตรีในการขับเคล่ือนงานพัฒนาสังคมเพอ่ื ปอ้ งกันและแก้ไขปญั หาความรนุ แรงในครอบครัว 47

3. การสัมภาษณ์กลุ่มเป้าหมาย ทาการรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับบทบาท - แ บ บ ส อ บ ถ า ม / แ บ บ ต าม แ บ บ ส อ บ ถ าม เกี่ ย ว กั บ สตรีในการขับเคลื่อนกิจกรรม โดย สัมภาษณเ์ ชิงลึก บ ท บ าท ส ต รีใน ก ารเข้ าร่ว ม สั ม ภ าษ ณ์ ส ต รีท่ี มี บ ท บ าท ใน ก าร กิจกรรมชุมชน เพ่ือป้องกันและ ขับเคลื่อนกิจกรรมชุมชน และเป็น แก้ไขปั ญ ห าความรุน แรงใน สมาชกิ กลุ่ม/องค์กรตา่ งๆ ครอบครัว 4. การวิเคราะห์และแปลผลจาก - วิเคราะห์ข้อมูลจากแบบสอบถามที่ กรอบการวิเคราะห์ แบบสอบถาม และสรุปผลข้อมูล จัดเก็บท้ังข้อมูลเชิงปริมาณและเชิง เบ้อื งต้น คณุ ภาพ 5. จัดเวทีระดมความคิดเห็นเพื่อ 1 .จั ด ท า ก า ร ส น ท น า ก ลุ่ ม (Focus 1. ประเด็น/หัวข้อการประชุม หาแนวทางและกาหนด แนว Group) หรือจัดประชุมแลกเปลี่ยน ถอดบทเรียน ทางการส่งเสริมบทบาทสตรีใน เรียนรู้จากทุกภาคส่วน ได้แก่ กลุ่มสตรี 2. แบบบันทึกผลการประชุม การขับเคล่ือนกิจกรรมชุมชน และสตรีที่เข้าเป็นสมาชิกกลุ่ม/องค์กร ถอดบทเรยี น เพ่ือป้องกันและแก้ไขปัญ หา ต่างๆ ที่มีบทบาทในกิจกรรมชุมชน ความรุนแรงในครอบครัว ผู้นา/อปท. นักวิจัยสสว. นักวิชาการ และหน่วยงานภาครัฐ 6. สรุปผลการกาหนดแนวทาง/ - สรุปผลข้อมูลเบื้องต้นในการกาหนด - กรอบการวิเคราะห์ รูปแบบเบอ้ื งตน้ แนวทางการส่งเสริมบทบาทสตรีในการ - ผลการศกึ ษาและ ขบั เคลื่อนกจิ กรรม ข้อเสนอแนะ 7. การจัดทารา่ งผลการวจิ ัย 1. รวบรวม วิเคราะห์ข้อมลู ประกอบการ - ร่างรายงานผลการวิจยั จดั ทาร่างรายงานผลการวจิ ยั 8.การจัดเวทีประชาคมคืนข้อมูล 1.จดั เวทปี ระชมุ นาเสนอผลงานวจิ ัยและ - ร่างรายงานผลการวิจยั ใหก้ บั ชมุ ชน วพิ ากษเ์ พื่อคืนข้อมูลและข้อเทจ็ จรงิ ท่ีใช้ - แบบการถอดบทเรียน/แบบ จากการศึกษาส่ชู ุมชนระดบั ตาบล ประเมินความพงึ พอใจ 2. ระดมแสดงความคดิ เหน็ ความพึง พอใจเกี่ยวกบั ผลการวิจัยท่ีได้รับ 9.การจัดทารายงานผลการวิจัย รวบรวม วิเคราะห์ ปรับปรงุ เพิม่ เติม - รายงานผลการวิจัยฉบับ ฉบบั สมบูรณ์ ข้อมูลเพอ่ื จดั ทารายงานผลการวจิ ัยฉบบั สมบูรณ์ สมบรู ณ์ 3.5 ระยะเวลาทาการวิจัย เดือน ตุลาคม 2558 ถึงเดือน กนั ยายน 2559 48 แนวทางการส่งเสรมิ บทบาทสตรีในการขบั เคลอ่ื นงานพฒั นาสังคมเพือ่ ป้องกนั และแก้ไขปัญหาความรุนแรงในครอบครัว

บทที่ 4 ผลการศึกษา การศึกษาวิจัยแนวทางการส่งเสริมบทบาทสตรีในการขับเคลอ่ื นงานพัฒนาสงั คม เพ่ือป้องกัน และแก้ไขปัญหาความรุนแรงในครอบครัว การเก็บข้อมูลทั้งเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ ในพ้ืนท่ี 2 ตาบลคือ ตาบลหนองช้างใหญ่ อาเภอม่วงสามสิบ จังหวัดอุบลราชธานี และตาบลนาคา อาเภอศรีสงคราม จังหวัด นครพนม การเก็บข้อมลู จากแบบสอบถาม ผลการจัดเกบ็ ขอ้ มลู ได้ดังน้ี บทบาทสตรี ปัจจัยและปญั หาอุปสรรคการเข้าไปมสี ่วนร่วมในการพัฒนาชุมชน/ตาบล บทบาทสตรใี นการเข้าไปมีตาแหน่งของสตรีในชุมชน บทบาทสตรใี นการเขา้ ไปมตี าแหน่งในชุมชน รอ้ ยละ 87.5 มีตาแหนง่ ในชมุ ชน และร้อยละ 12.5 ไม่มีตาแหนง่ ในชุมชน (ตารางที่ 4.1) ตารางท่ี 4.1 การเขา้ ไปมีตาแหนง่ ของสตรใี นชมุ ชน การมีตาแหนง่ จานวน รอ้ ยละ - ไมม่ ี 50 12.5 - มี 350 87.5 100 รวม (N=400) 400 ตาแหนง่ ในชุมชนท่ีสตรเี ข้าไปมบี ทบาทร่วมในการพัฒนาชุมชน/ตาบล ตาแหน่งท่ีสตรีเข้าไปมีบทบาทมีส่วนร่วมในการพัฒนาชุมชน/ตาบล เม่ือคิดเป็นร้อยละ 42.2 ร่วมเป็นอาสาสมัครในชุมชน (อสม. อพม.) เป็นตาแหน่งท่ีมีส่วนร่วมมากที่สุด รองลงไป ร้อยละ 26 ร่วมเป็น คณะกรรมการกลุ่มองค์กรต่าง ๆ ในชุมชน และร้อยละ 18 ร่วมเป็นผู้นาหมู่บ้าน (กานัน ผู้ใหญ่บ้าน ผู้ช่วย ผใู้ หญบ่ ้าน) (ตารางท่ี 4.2) ตารางท่ี 4.2 ตาแหน่งในชุมชนท่สี ตรีเขา้ ไปมบี ทบาทร่วมในการพัฒนาชมุ ชน/ตาบล ตาแหน่งในชมุ ชน จานวน รอ้ ยละ - คณะกรรมการกลมุ่ องค์กรต่าง ๆ ในชุมชน 130 26 - ผนู้ าหมู่บา้ น (กานัน ผู้ใหญ่บา้ น ผชู้ ่วยผใู้ หญ่บา้ น) 90 18 - ผู้บรหิ ารองค์กรปกครองสว่ นท้องถน่ิ (อปท.) 00 แนวทางการสง่ เสริมบทบาทสตรีในการขบั เคล่ือนงานพัฒนาสงั คมเพือ่ ป้องกนั และแกไ้ ขปัญหาความรุนแรงในครอบครัว 49

ตาแหน่งในชมุ ชน จานวน ร้อยละ - สมาชิกองค์กรปกครองสว่ นทอ้ งถนิ่ (อปท.) 12 2.4 - อาสาสมัครในชมุ ชน (อสม. อพม.) 212 42.4 - ข้าราชการ/พนักงานของรัฐในตาบล 42 100 รวม (N=400) 400 ปจั จยั ที่ทาให้สตรีเข้าไปมีส่วนร่วมในกจิ กรรมการพัฒนาในชุมชน/ตาบล ปัจจัยที่ทาให้สตรีเข้าไปมีตาแหน่งในชุมชนการมีส่วนร่วมในกิจกรรมการพัฒนาชุมชน/ตาบล เมื่อคิดเป็นร้อยละ 25.3ต้องการเข้าไปทาประโยชน์ให้ชุมชน เป็นปัจจัยท่ีมีส่วนรว่ มมากที่สุด รองลงไป ร้อยละ 19.8 ต้องการสร้างความสัมพนั ธ์ทด่ี ีกับเพื่อนบ้าน และร้อยละ 9.3 การมีความรคู้ วามสามารถในกิจกรรมที่เข้า ร่วม (ตารางท่ี 4.3) ตารางท่ี 4.3 ปจั จัยที่ทาให้สตรีเข้าไปมีสว่ นรว่ มในกิจกรรมการพฒั นาในชมุ ชน การเขา้ ไปมสี ่วนร่วม จานวน ร้อยละ - ความสมัครใจ/การตัดสนิ ใจของตนเอง 31 7.6 - การชกั นาจากเจ้าหน้าท่ขี องรัฐ 35 7.38 - การชกั นาจากเพ่ือนบา้ น 10 2.11 - การมีความร้คู วามสามารถในกิจกรรมทเ่ี ข้ารว่ ม 44 9.28 - ต้องการเข้าไปทาประโยชนใ์ หช้ ุมชน 120 25.3 - ศกั ด์ศิ รีของสตรตี ้องการยอมรบั นับถือ 29 6.12 - ตอ้ งการสรา้ งความสมั พันธ์ที่ดกี บั เพื่อนบา้ น 94 19.8 - ต้องการตาแหน่งทางสงั คม 9 1.9 รวม (N=400) 400 100 ปญั หาอุปสรรคในการเขา้ ไปมีส่วนร่วมของสตรีในการพัฒนาชุมชน/ตาบล ปญั หาอปุ สรรคในการเข้าไปมีส่วนร่วมของสตรใี นการพัฒนาชุมชน เมอ่ื คิดเป็นร้อยละ 52.5 มี ปญั หา ร้อยละ 47.5 ไมม่ ีปัญหา (ตารางที่ 4.4) 50 แนวทางการสง่ เสริมบทบาทสตรใี นการขบั เคลอ่ื นงานพฒั นาสังคมเพื่อปอ้ งกนั และแก้ไขปญั หาความรนุ แรงในครอบครัว

ตารางท่ี 4.4 ปัญหาอุปสรรคในการเข้าไปมีสว่ นร่วมของสตรี ปญั หา อปุ สรรคการเข้าไปมีสว่ นรว่ ม จานวน รอ้ ยละ - ไมม่ ี 190 47.5 - มี 210 52.5 400 100 รวม (N=400) ปัญหา อุปสรรคท่ีมตี อ่ การเข้าไปมสี ว่ นร่วมของสตรี ปัญหา อุปสรรคท่ีมีต่อการเขา้ ไปมสี ว่ นรว่ มของสตรีในการพัฒนาชุมชน ร้อยละ 48.5 สังคม/ ชุมชนไม่ยอมรับผู้หญงิ ให้ไปเป็นผู้นาและมีอานาจในการตัดสินใจในการพัฒนา รองลงมา ร้อยละ 25.4 มีภาระ การดูแลเร่ืองภายในครอบครัว และร้อยละ 22.4 ความแต่งต่างทางเพศที่สังคมมองว่าสตรีมีศักยภาพน้อยกว่า เพศชาย (ตารางที่ 4.5) ตารางท่ี 4.5 ปญั หา อปุ สรรคท่ีมีต่อการเข้าไปมีสว่ นร่วมของสตรี ปัญหา อุปสรรคที่มตี อ่ การเข้าไปมสี ่วนร่วม จานวน ร้อยละ - มีภาระการดแู ลเร่ืองภายในครอบครัว 70 25.4 - ความแต่งตา่ งทางเพศทส่ี งั คมมองวา่ สตรีมีศกั ยภาพน้อยกวา่ เพศชาย 60 22.4 - ขาดความตระหนักในศกั ยภาพของตนเอง 0 - การไม่ยอมรับของสามีทีจ่ ะต้องให้ภรรยาเขา้ ไปมสี ่วนรว่ มในการ 0 0 พฒั นาชุมชน 0 - สงั คม/ชุมชนไม่ยอมรบั ผูห้ ญิงใหไ้ ปเปน็ ผูน้ าและมีอานาจในการ 130 ตัดสนิ ใจในการพฒั นา 48.5 400 รวม (N=400) 100 การรับรู้วา่ มีพระราชบัญญตั ิผถู้ ูกกระทาความรุนแรงในครอบครวั พ.ศ. 2550 การรบั ร้วู า่ มีพระราชบัญญัตผิ ู้ถูกกระทาความรุนแรงในครอบครัว พ.ศ. 2550 รอ้ ยละ 94.5 เคยรับรู้ และร้อยละ 5.5 ไม่เคยรับรู้ แนวทางการส่งเสริมบทบาทสตรใี นการขับเคลื่อนงานพฒั นาสงั คมเพ่ือป้องกันและแก้ไขปัญหาความรุนแรงในครอบครัว 51

ตารางท่ี 4.6 การรบั รู้วา่ มพี ระราชบัญญัติผถู้ ูกกระทาความรนุ แรงในครอบครัว พ.ศ. 2550 การรับรู้ จานวน รอ้ ยละ - ไม่เคยรบั รู้ 22 5.5 - เคยรบั รู้ 278 94.5 400 100 รวม (N=400) ช่องทางการรับรู้พระราชบัญญัติผู้ถูกกระทาความรุนแรงในครอบครัว พ.ศ. 2550 ร้อยละ 39.3 รับรู้จากเจ้าหน้าท่ีของหน่วยงานภาครัฐที่เก่ียวข้อง รองลงมาร้อยละ 20.5 รับรับรู้จากผู้นาชุมชน และ ร้อยละ 17.1 รบั รู้จากอาสาสมัครในหมูบ่ ้าน (ตารางท่ี 4.7) ตารางท่ี 4.7 ช่องทางการรับรู้ จานวน รอ้ ยละ - รบั รู้จากเจ้าหน้าทขี่ องหน่วยงานภาครฐั ทเี่ กี่ยวข้อง 280 39.3 - รบั รจู้ ากเจ้าหน้าทข่ี ององค์กรปกครองส่วนทอ้ งถิน่ 106 14.9 - รับรูจ้ ากผนู้ าชมุ ชน 146 20.5 - รบั รจู้ ากเพอ่ื นบ้าน 58 8.5 - รับรจู้ ากอาสาสมัครในหมู่บ้าน 122 17.1 400 100 รวม (N=400) ปัญหาความรุนแรงในครอบครัว ในชุมชนมีปัญหาความรุนแรงในครอบครัวหรือไม่ ปญั หาความรุนแรงในครอบครัวในชมุ ชน ร้อยละ 41 บอกว่ามีปัญหาความรนุ แรง และร้อยละ 59 บอกว่าไม่มีปญั หาความรุนแรง (ตารางที่ 4.8) ตารางท่ี 4.8 ปัญหาความรนุ แรงในครอบครัว จานวน รอ้ ยละ ไมม่ ี 236 59 มี 164 41 400 100 รวม (N=400) 52 แนวทางการส่งเสรมิ บทบาทสตรีในการขับเคล่ือนงานพัฒนาสงั คมเพ่ือป้องกันและแกไ้ ขปญั หาความรนุ แรงในครอบครวั

ปัญหาความรนุ แรงในครอบครัวท่พี บในชุมชน ปญั หาความรุนแรงในครอบครัวที่มีในชุมชนท่ีมีมาก ร้อยละ 27.4 สามีทารา้ ยร่างกายภรรยา รองลงมา ร้อยละ 18.9 บุตรทาร้ายร่างกายบิดา/มารดา และร้อยละ 8.45 บิดาทาร้ายร่างกายบุตร (ตารางท่ี 4.9) ตารางท่ี 4.9 ปัญหาความรุนแรงทมี่ ีครอบครัว จานวน ร้อยละ สามีทาร้ายร่างกายภรรยา 29 27.4 ภรรยาทาร้ายร่างกายสามี 6 5.66 บดิ าทารา้ ยรา่ งกายบตุ ร 9 8.45 มารดาทาร้ายรา่ งกายบตุ ร 18 17 บตุ รทาร้ายรา่ งกายบดิ า/มารดา 20 18.9 ปู ยา ตา ยาย ทาร้ายร่างกายหลาน 2 1.89 หลานทาร้ายร่างกาย ปู ยา ตา ยาย 17 16 บดิ าละเมิดทางเพศบตุ ร 2 1.89 บิดาเล้ยี ง (พ่อเลี้ยง) ละเมิดทางเพศบุตรเล้ยี ง 00 รวม (N=400) 100 สาเหตุทีท่ าใหเ้ กิดปัญหาความรุนแรงในครอบครวั สาเหตทุ ีท่ าให้เกิดปญั หาความรุนแรงในครอบครัว สาเหตุที่พบมาก คิดเป็นร้อยละ 25.8 คอื เมาสุรา รองลงมา ร้อยละ 14.5 ความหึงหวง สามี/ภรรยานอกใจ และรอ้ ยละ 14.1 จากการทะเลาะวิวาท (ตารางท่ี 4.10) ตารางท่ี 4.10 สาเหตุปัญหาความรนุ แรงในครอบครวั จานวน รอ้ ยละ การไมป่ ฏบิ ตั ิหรือไมเ่ ช่อื ฟังตามคาสง่ั 37 7.13 ตดิ ยาเสพตดิ 114 22 ทะเลาะวิวาท 73 14.1 เมาสุรา 134 25.8 ความหงึ หวง สาม/ี ภรรยานอกใจ 75 14.5 ป่วยจติ เวช 53 10.2 แนวทางการสง่ เสริมบทบาทสตรีในการขบั เคล่ือนงานพัฒนาสังคมเพอ่ื ปอ้ งกนั และแกไ้ ขปญั หาความรุนแรงในครอบครวั 53

สาเหตุปญั หาความรนุ แรงในครอบครวั จานวน รอ้ ยละ ติดการพนัน 33 6.36 รวม (N=400) 100 เมือ่ เกิดปัญหาการกระทาความรุนแรงในครอบครัวมีวิธีการแก้ไขปัญหา เม่อื เกิดปัญหาการกระทาความรนุ แรงในครอบครัวมีวิธกี ารแกไ้ ขปญั หา วิธีการแก้ไขปัญหาก ที่พบมาก รอ้ ยละ 68.6 คือการออมชอม/พูดคุยปรับความเขา้ ใจใหเ้ ข้าใจกัน รองลงมา ร้อยละ 16.3 การไกล่ เกล่ยี ใหย้ อมความ และร้อยละ 11.4 แจง้ หน่วยงานที่เกี่ยวขอ้ งเขา้ มาแก้ไขปญั หา (ตารางที่ 4.11) ตารางท่ี 4.11 วธิ กี ารแกไ้ ขปัญหาความรุนแรงในครอบครัว วธิ ีการแกไ้ ขปญั หาความรุนแรงในครอบครวั จานวน ร้อยละ การออมชอม/พดู คุยปรบั ความเขา้ ใจให้เขา้ ใจกัน 168 68.6 การไกลเ่ กลีย่ ใหย้ อมความ 40 16.3 การรอ้ งทุกข์ดาเนนิ คดีทางกฎหมาย 3.7 แจ้งหนว่ ยงานที่เก่ยี วข้องเข้ามาแก้ไขปัญหา 9 11.4 28 100 รวม (N=400) โครงการ/กิจกรรมในการป้องกนั และแก้ไขปัญหาความรุนแรงในครอบครัวในชมุ ชน การจัดทาโครงการ/กิจกรรมในการป้องกันและแก้ไขปัญหาความรุนแรงในครอบครัวในชุมชน ร้อยละ 39 มีโครงการ/กิจกรรม ร้อยละ 61 ไม่มีโครงการ/กิจกรรม สรุปได้ว่าไม่มีโครงการ/กิจกรรมมากกว่ามี (ตารางที่ 4.12) ตารางที่ 4.12 การมโี ครงการ/กจิ กรรม จานวน รอ้ ยละ ไมม่ ี 122 61 มี 78 39 100 รวม (N=400) 54 แนวทางการส่งเสริมบทบาทสตรใี นการขบั เคลือ่ นงานพัฒนาสังคมเพ่ือปอ้ งกนั และแก้ไขปญั หาความรุนแรงในครอบครวั

สตรีเข้าไปมสี ว่ นรว่ มในการป้องกันและแกไ้ ขปัญหาความรนุ แรงในครอบครวั ในชุมชน การเขา้ ไปมีสว่ นรว่ มในการป้องกันและแกไ้ ขปัญหาความรนุ แรงในครอบครวั ในชมุ ชนของสตรี ร้อยละ 64 มีการเข้าไปร่วม ร้อยละ 36 ไม่มีการเข้าร่วม สรปุ ได้ว่าสตรีมกี ารเขา้ ร่วมมากกว่าไม่เข้ารว่ ม (ตาราง ท่ี 4.13) ตารางท่ี 4.13 การเข้าไปมสี ่วนร่วม จานวน รอ้ ยละ ไม่มี 72 36 มี 128 64 รวม (N=400) กิจกรรมทีส่ ตรีเขา้ ไปมสี ว่ นร่วมในการป้องกนั และแกไ้ ขปัญหาความรนุ แรงในครอบครวั ในชุมชน กิจกรรมท่ีสตรีเข้าไปมีส่วนร่วมในการป้องกันและแก้ไขปัญหาความรุนแรงในครอบครัวใน ชุมชน ท่ีพบมาก ร้อยละ 45.6 ร่วมค้นหาปัญหาและแนวทางแก้ไขปัญหา รองลงมาร้อยละ 27.2 ร่วมจัดทา แผนงาน/โครงการ การแก้ไขปัญหา และรอ้ ยละ 12.3 รว่ มการประเมินผลแผนงาน/โครงการ/กจิ กรรม (ตาราง ท่ี 4.14) ตารางที่ 4.14 กิจกรรมการมีส่วนร่วม จานวน รอ้ ยละ ร่วมคน้ หาปัญหาและแนวทางแก้ไขปัญหา 89 45.6 ร่วมจดั ทาแผนงาน/โครงการ การแก้ไขปัญหา 53 27.2 ร่วมดาเนินการกจิ กรรมโครงการ 21 10.8 รว่ มการประเมนิ ผลแผนงาน/โครงการ/กจิ กรรม 24 12.3 รวม (N=400) 100 เมอื่ เกิดปัญหาความรนุ แรงในครอบครวั ในชมุ ชน ไดม้ ีหนว่ ยงานและองค์กรทเี่ ข้ามามีส่วนร่วมหา แนวทางป้องกนั และแก้ไขปญั หาความรุนแรง หน่วยงานและองค์กรท่ีเข้ามามีส่วนร่วมหาแนวทางป้องกันและแก้ไขปัญหาความรุนแรง เมื่อ เกดิ ปญั หารนุ แรงในครอบครัวในชมุ ชน มากที่สดุ ร้อยละ 38.7 ผูน้ าหม่บู า้ น/ผู้นาชุมชน รองลงมา รอ้ ยละ 24.5 องค์กรปกครองส่วนท้องถ่ิน และร้อยละ 23.3 หน่วยงานภาครัฐกระทรวงการพัฒนาสงั คมและความมนั่ คงของ มนษุ ย์ (ตารางที่ 4.15) แนวทางการสง่ เสริมบทบาทสตรีในการขับเคล่อื นงานพัฒนาสังคมเพือ่ ปอ้ งกนั และแก้ไขปัญหาความรุนแรงในครอบครวั 55

ตารางท่ี 4.15 จานวน รอ้ ยละ 95 23.3 หน่วยงานหรอื องคก์ รณ์ท่มี ีส่วนร่วม 100 24.5 หนว่ ยงานภาครฐั กระทรวงการพัฒนาสงั คมและความมัน่ คงของมนษุ ย์ 158 38.7 องค์กรปกครองส่วนท้องถนิ่ 2 0.49 ผู้นาหมูบ่ ้าน/ผนู้ าชมุ ชน 53 ภาคเอกชน 13 ประชาชนในหมู่บ้าน 100 รวม (N=400) การเข้าไปมสี ่วนร่วมของสตรีในกิจกรรมการพฒั นาชมุ ชนและแก้ไขปญั หาความรุนแรงในครอบครวั การเข้ารว่ มหรือไมเ่ ขา้ ร่วมของสตรใี นกจิ กรรมการพัฒนาชมุ ชนและแก้ไขปัญหาความรุนแรง ในครอบครวั รอ้ ยละของการเข้ารว่ มมากท่สี ดุ คือการเขา้ ร่วมกจิ กรรมงานเทศกาล/งานประเพณี ร้อยละ 98.5 ไม่เคยเขา้ ร่วม ร้อยละ 1.5 รองลงมาคือการเขา้ รว่ มกจิ กรรมทางศาสนา เข้ารว่ ม ร้อยละ 95 และไมเ่ คยเข้ารว่ ม รอ้ ยละ 5 และกจิ กรรมในการเข้าร่วมในการคดิ ตัดสินใจ และการกาหนดกิจกรรมตา่ ง ๆ ที่เก่ยี วข้องกบั การ พัฒนาการศึกษาในชมุ ชนมี ร้อยละ 92.5 และไม่เคยเขา้ ร่วมรอ้ ยละ 7.5 (ตารางที่ 4.16) ตารางท่ี 4.16 การมีส่วนรว่ มของสตรีในกิจกรรมการพัฒนาชมุ ชน ลาดับ กจิ กรรมการมีส่วนร่วมของสตรี การมีส่วนร่วม (ร้อยละ) ท่ี เข้ารว่ ม ไม่เคยเข้าร่วม 1 การเข้ารว่ มกิจกรรมงานเทศกาล/งานประเพณี 2 การเข้ารว่ มกจิ กรรมทางศาสนา 98.5 1.5 3 การเขา้ ร่วมในการคิด ตัดสินใจ และการทากิจกรรมตา่ ง ๆ ทเ่ี กี่ยวข้อง 95 5 92.5 7.5 กบั การพัฒนาการศกึ ษาในชุมชน 4 การเข้าไปมีส่วนร่วมในกจิ กรรมทางดา้ นสาธารณสุข 92.5 7.5 5 ร่วมกบั คณะกรรมการหมู่บ้านสารวจขอ้ มูลต่าง ๆในชมุ ชน 90.5 9.5 6 การเสนอปัญหาต่าง ๆในหมูบ่ ้านให้กับผู้นาหมูบ่ ้านหรือคณะกรรมการ 90.5 9.5 หมู่บ้าน เพ่ือหาแนวทางแก้ไข 90 10 7 การเขา้ รว่ มเปน็ อาสาสมคั รในชุมชน เช่น อสม. อพม. อปพร. ฯลฯ 56 แนวทางการส่งเสรมิ บทบาทสตรใี นการขบั เคลอ่ื นงานพัฒนาสงั คมเพ่อื ป้องกนั และแกไ้ ขปญั หาความรนุ แรงในครอบครัว

8 เข้ารว่ มประชมุ กับคระกรรมการหมู่บ้านเพื่อวางแผนงานและโครงการ 89 8 ตา่ ง ๆในการพัฒนาหมู่บา้ น/ชุมชน 9 การเขา้ ไปมีส่วนรว่ มในการบริจาคเงนิ ในการพัฒนาชมุ ชน 88.5 11.5 10 การเข้าไปมสี ่วนรว่ มในการบริจาคส่งิ ของ อุปกรณใ์ นการพัฒนาชุมชน 88 12 11 การเข้าไปมสี ว่ นรว่ มในการใช้แรงงานในการพัฒนาชมุ ชน 87 13 12 การเสนอข้อคิดเห็นต่าง ๆ เกี่ยวกับการพฒั นาหมู่บ้านให้กับผูน้ า 85 15 หมูบ่ ้านและคณะกรรมการหมู่บ้าน 13 การเขา้ รว่ มเปน็ คณะกรรมการกลุม่ /ชมรมตา่ ง ๆ 85 15 14 การเข้าไปมีบทบาทร่วมในการตัดสนิ ใจในกิจกรรมการพฒั นาชุมชน 82.5 17.5 15 การพดู คุยแลกเปลยี่ นกบั ผู้นาหมูบ่ า้ น คณะกรรมการหมบู่ า้ น และ 80.5 19.5 เจ้าหน้าที่ อปท.ในการวางแผนงานและโครงการของสตรีในหมู่บ้าน 16 การเข้ารว่ มเปน็ คณะกรรมการหมูบ่ ้าน 78.5 20.5 17 การเขา้ ไปมีสว่ นร่วมในการประเมนิ ผลในกจิ กรรมการพัฒนาชุมชน 78.5 23 18 การเสนอปญั หาความรุนแรงในครอบครวั ให้กับผนู้ าหมบู่ า้ น 65.5 36 คณะกรรมการหมบู่ า้ นและเจ้าหนา้ ท่ี อปท.และหนว่ ยงานที่เก่ยี วขอ้ ง 19 การเข้าไปมีสว่ นร่วมในการสารวจปัญหาความรุนแรงในครอบครัวทอี่ ยู่ 65 35 ในชมุ ชนของท่าน 20 การเข้าไปมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาความรนุ แรงในครอบครัว 67 33 ร่วมกบั ผนู้ าหมู่บ้าน คณะกรรมการหมู่บา้ นและเจา้ หนา้ ท่ี อปท.และ หน่วยงานรฐั ท่ีเกยี่ วขอ้ ง ความคิดเหน็ เกยี่ วกับบทบาทสตรใี นการการเขา้ ไปมสี ่วนรว่ มในการพัฒนาชุมชนและการแกไ้ ขปัญหาความ รนุ แรงในครอบครัว บทบาทสตรีท่คี วรเขา้ ไปมีสว่ นร่วมในการพฒั นาชุมชน เม่ือพิจารณาความเห็นบทบาทสตรีในในการพัฒนาชมุ ชน โดยใช้ค่าร้อยละพบว่าสตรีควรเขา้ ไปมีบทบาทในการเข้าไปมีส่วนร่วมในการประชุมของหมู่บ้าน/ชุมชน สูงกว่าด้านอ่ืน คือร้อยละ 42 โดยเป็น ความเห็นในระดับมาก รองลงมาคือการเสนอความคิดเห็นในการพัฒนาหมู่บ้าน/ชุมชนสูงกว่าด้านอ่ืน คือร้อย ละ 39 เม่ือพิจารณาค่าเฉลี่ยโดยรวมของบทบาทสตรีในการเข้าไปมีส่วนร่วมของบทบาทสตรี มีค่าเฉล่ีย ( x ) = 3.47 อยู่ในระดับปานกลาง (ตารางท่ี 4.17 ) ตารางท่ี 4.17 ความคิดเห็นการเข้าไปมีสว่ นรว่ มของสตรใี นการพฒั นาชุมชน แนวทางการส่งเสริมบทบาทสตรใี นการขบั เคล่ือนงานพฒั นาสังคมเพ่อื ป้องกนั และแก้ไขปัญหาความรุนแรงในครอบครวั 57

ความคดิ เห็นการเขา้ ไปมีส่วนรว่ มของ ระดบั ความคดิ เห็น (ร้อยละ) x S.D. แปลผล สตรี มาก มาก ปาน น้อย น้อย ที่สุด กลาง ท่สี ดุ - สตรีควรเขา้ ไปมีส่วนร่วมในการเปน็ ผ้นู า 34 38 21 7.5 0 3.98 0.92 มาก ในหม่บู ้าน/ชมุ ชน - สตรีควรเข้าไปมีสว่ นรว่ มในการเสนอ 27 39 31 4 0 3.88 0.85 มาก ความคิดเห็นในการพัฒนาหมู่บ้าน/ชุมชน - สตรีเป็นผู้มีส่วนร่วมในการตัดสินใจใน 24 32 32 6 1.5 3.76 0.93 มาก กจิ กรรมตา่ ง ๆ ของหม่บู ้าน/ชุมชน - สตรีควรเข้าไปมีส่วนร่วมในการประชุม 33 42 20 4.5 1.5 3.99 0.92 มาก ของหมบู่ า้ น/ชมุ ชน รวม 3.90 0.90 ปาน กลาง การยอมรับสตรีเข้าไปมสี ่วนร่วมกิจกรรมในการพัฒนาชุมชน เมื่อพิจารณาความคิดเห็นต่อการยอมรับสตรีในการเข้าไปมีส่วนร่วมกิจกรรมในการพัฒนา ชุมชน โดยใช้ค่าร้อยละ พบว่าความเสมอภาคระหว่างหญิงชายต้องมีความเท่าเทียมกัน คือ ร้อยละ 39 ความเหน็ ในระดับมาก รองลงมาคอื โครงสร้างทางสงั คมและวัฒนธรรมทย่ี ังให้เกียรติผู้ชายเข้ามาเปน็ ผู้นาและมี อานาจในการตัดสินใจมากกว่าผู้หญิง คือร้อยละ 38 และปัญหาเรื่องเพศ ที่มองว่าเพศหญิงมีศักยภาพการ ทางานในกิจกรรมทางสังคมสู้เพศชายไม่ได้ เมื่อพิจารณาค่าเฉลี่ยโดยรวม มีค่าเฉล่ีย ( x ) = 3.19 แสดงว่า ความคดิ เห็นตอ่ สตรีในการเข้าไปมีส่วนรวมกจิ กรรมในการพฒั นาชมุ ชนอยใู่ นระดบั ปานกลาง (ตารางที่ 4.18) ตารางที่ 4.18 ความคิดเห็นต่อยอมรับสตรีในการเขา้ ไปมสี ่วนรวมกิจกรรมในการพัฒนาชมุ ชน ระดบั ความคิดเห็น (ร้อยละ) ความคิดเห็นต่อสตรี มาก มาก ปาน นอ้ ย น้อย x S.D. แปลผล ทสี่ ุด กลาง ท่สี ดุ - การไม่ยอมรับของคนในชุมชนต่อสตรีใน 8 17 34 25 18 2.73 1.16 ปาน การเข้าร่วมกจิ กรรมการพัฒนาชุมชน กลาง - การไม่ยอมรับของสามีในการให้ภรรยา 9.5 16 34 26 16 2.78 1.17 ปาน เข้ารว่ มกจิ กรรมการพัฒนาชมุ ชน กลาง 58 แนวทางการสง่ เสริมบทบาทสตรใี นการขับเคล่อื นงานพฒั นาสังคมเพ่อื ปอ้ งกนั และแกไ้ ขปญั หาความรนุ แรงในครอบครัว

ระดับความคิดเหน็ (รอ้ ยละ) ความคิดเห็นต่อสตรี มาก มาก ปาน น้อย นอ้ ย x S.D. แปลผล ท่ีสุด กลาง ที่สดุ - ความเชื่อค่านิยมที่มีต่อสตรที ี่ต้องเปน็ ผูม้ ี ภาระการดูแลเร่ืองภายในครอบครัวไม่ 12 29 23 20 18 2.97 1.28 ปาน จาเป็นตอ้ งเข้าไปมีส่วนรว่ มในกจิ กรรมการ กลาง พฒั นาชุมชน - ปัญหาเรื่องเพศ ที่มองว่าเพศหญิงมี 33 20 7.5 3.14 1.06 ปาน ศักยภาพการทางานในกิจกรรมทางสังคมสู้ 8.5 32 กลาง เพศชายไมไ่ ด้ - โครงสร้างทางสังคมและวัฒนธรรมท่ี ยังให้เกียรติผู้ชายเข้ามาเป็นผู้นาและมี 22 38 31 8.5 1.5 3.69 0.95 มาก อานาจในการตดั สินใจมากกว่าผูห้ ญงิ - ความเสมอภาคระหวา่ งหญงิ ชายตอ้ งมี 28 39 24 9.5 1 3.82 0.97 มาก ความเท่าเทียมกนั - การทะเลาะกนั ในครอบครัวเป็นเร่อื ง 7 25 18 24 27 2.61 1.30 ปาน ภายในครอบครัวคนนอกไม่เกี่ยว กลาง - ผู้หญงิ เปน็ วตั ถทุ างเพศ ซึง่ ภรรยาจะต้อง 5.5 25 30 24 17 2.78 1.15 ปาน เปน็ ผ้รู องรบั อารมณ์ทางเพศจากสามี กลาง รวม 3.06 1.13 การแก้ไขปัญหาความรนุ แรงในครอบครวั เมื่อพิจารณาความเห็นในการแก้ไขปัญหาความรุนแรงในครอบครัวโดยสตรี โดยใช้ค่าร้อยละ พบว่าเมื่อเกิดปัญหาความรุนแรงในครอบครัว สตรีต้องเป็นผู้มีบทบาทสาคัญในการแก้ไขปัญหาสูงกว่าด้านอื่น คือร้อยละ 44 โดยเป็นความเห็นในระดับมากท่ีสุด เม่ือพิจารณาค่าเฉล่ียโดยรวม มีค่าเฉล่ีย ( x ) = 3.93 แสดงวา่ บทบาทสตรีในการแก้ไขปัญหาความรนุ แรงในครอบครวั อยใู่ นระดบั ปานกลาง (ตารางท่ี 4.19 ) แนวทางการสง่ เสริมบทบาทสตรใี นการขับเคล่อื นงานพฒั นาสงั คมเพอื่ ป้องกันและแก้ไขปัญหาความรุนแรงในครอบครวั 59

ตารางที่ 4.19 ความคิดเห็นในการแก้ไขปัญหาความรุนแรงในครอบครัว ความคดิ เห็นในการแก้ไขปญั หาความ ระดับความคดิ เห็น (รอ้ ยละ) x S.D. แปลผล รุนแรงในครอบครว้ มาก มาก ปาน นอ้ ย นอ้ ย ที่สดุ กลาง ทส่ี ุด - เมื่อเกิดปัญหาความรุนแรงในครอบครวั สตรีตอ้ งเป็นผ้มู ีบทบาทสาคัญในการแกไ้ ข 44 31 23 3 0 4.15 0.87 มาก ปัญหา - เมื่อพบการกระทาความรุนแรงใน ครอบครัวจะต้องแจ้งให้พนักงานเจา้ หน้าท่ี 29 34 19 16 2.5 3.71 1.12 มาก ผู้ เ กี่ ย ว ข้ อ ง ท ร า บ เ พื่ อ ด า เ นิ น ก า ร ต า ม กฎหมาย รวม 3.93 1.00 ปาน กลาง การส่งเสรมิ และพัฒนาบทบาทสตรใี นการแกไ้ ขปญั หาความรุนแรงในครอบครวั เม่ือพิจารณาความเห็นในการส่งเสริมและพัฒนาบทบาทสตรีในการแก้ไขปัญหาความรุนแรง ในครอบครัว โดยใช้ค่าร้อยละพบว่าการส่งเสริมบทบาทสตรีในการขับเคลื่อนงานพัฒนาสังคมเพ่ือป้องกันและ แก้ไขปัญหาความรุนแรงในครอบครัวจะต้องเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจในพระราชบัญญัติ คุ้มครอง ผู้ถูกกระทาด้วยความรุนแรงในครอบครัว พ.ศ.2550 ให้กับสตรี สูงกว่าด้านอ่ืน คือร้อยละ 58 โดยเป็น ความเห็นในระดับมากท่ีสุด เม่ือพิจารณาค่าเฉล่ียโดยรวม มีค่าเฉล่ีย ( x ) = 4.39 อยู่ในระดับมาก (ตารางที่ 4.20 ) ตารางที่ 4.20 ความคดิ เหน็ การส่งเสริมและพัฒนาบทบาทสตรใี นการแก้ไขปัญหาความรนุ แรงในครอบครัว การสง่ เสรมิ บทบาทสตรี ระดับความคิดเหน็ (รอ้ ยละ) มาก มาก ปาน นอ้ ย น้อย x S.D. แปลผล - การสง่ เสรมิ บทบาทสตรจี ะต้องมีการ ท่สี ุด กลาง ทสี่ ดุ พฒั นาศักยภาพและความพร้อมของสตรี 57 35 8.5 0 0 4.49 0.65 มาก 60 แนวทางการสง่ เสรมิ บทบาทสตรใี นการขบั เคลือ่ นงานพฒั นาสงั คมเพอื่ ปอ้ งกนั และแกไ้ ขปญั หาความรนุ แรงในครอบครวั

ระดบั ความคดิ เห็น (ร้อยละ) การส่งเสรมิ บทบาทสตรี มาก มาก ปาน นอ้ ย น้อย x S.D. แปลผล ทส่ี ดุ กลาง ทส่ี ดุ - การพัฒนาบทบาทสตรีจะต้องมีการ สง่ เสรมิ ความเสมอภาคและการคมุ้ ครอง 56 36 8.5 0 0 4.47 0.65 มาก ทางสงั คม - การพัฒนาบทบาทสตรีจะต้องมีการ พัฒนาองค์กรด้านสตรีควบคู่กับการ 53 40 7 0 0 4.46 0.62 มาก บรหิ ารจัดการในการดาเนินการด้านสตรี - การพัฒนาบทบาทสตรีจะต้องให้สตรีเข้า ไปมีส่วนร่วมในขบวนการตัดสินใจทุก 50 23 28 0 0 4.22 0.85 มาก ระดับ - การพัฒนาบทบาทสตรีจะต้องมีการ พัฒนาส่ือเพื่อการส่ือสารการดาเนินงาน 48 36 15 2.5 0 4.28 0.88 มาก ด้านสตรี - การส่งเสริมบทบาทสตรีในการขับเคลื่อน งานพัฒนาสังคมเพ่ือป้องกันและแก้ไข ปัญหาความรุนแรงในครอบครัวจะต้อง เ ส ริ ม ส ร้ า ง ค ว า ม รู้ ค ว า ม เ ข้ า ใ จ ใ น 58 27 16 0 0 4.43 0.74 มาก พระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ถูกกระทาด้วย ความรุนแรงในครอบครวั พ.ศ.2550 ให้กบั สตรี รวม 4.39 0.72 มาก ผลการจดั เก็บข้อมูลเชิงคุณภาพ บทบาทสตรีในการเขา้ ไปมสี ่วนร่วมในกจิ กรรมการพฒั นาหมบู่ า้ น/ชุมชน/ตาบล - เปน็ เลขาประธานสภาเทศบาลตาบล - เป็นแพทยป์ ระจาตาบล - เปน็ สมาชกิ สภาองค์การบริหารสว่ นตาบล (ส.อบต.) - เปน็ ผู้ชว่ ยผ้ใู หญ่บา้ น แนวทางการสง่ เสริมบทบาทสตรีในการขบั เคล่ือนงานพฒั นาสังคมเพ่อื ป้องกันและแก้ไขปญั หาความรุนแรงในครอบครัว 61

- เป็นอาสาสมคั รป้องกนั ภยั ฝ่ายพลเรอื น (อปภร.) - เปน็ เจา้ หนา้ ที่ในเทศบาลตาบล - เปน็ คณะกรรมการกองทุน องค์กรต่าง ๆ ในชมุ ชน เชน่ กลมุ่ อาชีพทเี่ ปน็ กลุ่มของสตรี - เข้าร่วมการประชมุ ประจาเดอื นของหม่บู ้าน การประชุมต่าง ๆ ในการพฒั นาหมู่บา้ น/ตาบล - เขา้ ร่วมในงานบญุ ประเพณี งานเทศกาลตา่ ง ๆ ในชุมชนจะมีมากกว่าผ้ชู าย - เปน็ อาสาสมคั รในชุมชน เช่น อสม. อพม. อผส. ฯลฯ ปัจจยั ที่มตี ่อบทบาทสตรี ในการเข้าไปมสี ่วนรว่ มในกิจกรรมพัฒนาหมบู่ า้ น/ชมุ ชน/ตาบล - ความสมัครใจ/การตดั สนิ ใจของตนเอง - การชกั นาจากเจา้ หนา้ ทีข่ องรฐั - การชักนาจากเพอ่ื นบ้าน - การมีความรู้ความสามารถในกจิ กรรมที่เขา้ รว่ ม - ต้องการเขา้ ไปทาประโยชน์ให้ชุมชน - ศกั ดศ์ิ รขี องสตรตี ้องการยอมรบั นบั ถอื - ต้องการสรา้ งความสมั พนั ธ์ทด่ี ีกับเพื่อนบ้าน - ตอ้ งการตาแหนง่ ทางสงั คม ปัญหาอุปสรรคของสตรีในการเข้าไปมีส่วนรว่ มในกจิ กรรมพฒั นาหมู่บา้ น/ชุมชน/ตาบล - ความไมเ่ ชอ่ื มั่นของคนในชุมชนตอ่ ศกั ยภาพของสตรี - สามไี มย่ อมให้ไปเข้ารว่ มหรือไมย่ อมรบั - ลงสมัครผูใ้ หญ่บ้านแตไ่ ม่ได้รบั การเลือกตงั้ - ลงสมัครสมาชิกเทศบาลตาบลแต่ไม่ไดร้ ับการเลือกตั้ง สถานการณป์ ญั หาความรนุ แรงในครอบครวั ในชุมชน/ตาบล - แม่ทาร้ายร่างกายบตุ รสาว สาเหตุ ลูกสาวเป็นคนพิการ มีความรัก แล้วจะหนตี ามผชู้ ายที่เปน็ คนรกั - พอ่ ละเมิดทางเพศบุตรสาว - ผู้สงู อายถุ กู ละเมดิ ทางเพศ จากคนท่ีเป็นจติ เวชต่างหมู่บ้าน - พชี่ ายทารา้ ยรา่ งกายน้องสาว สาเหตุ จากการเมาสุรา - บตุ รทารา้ ยร่างกายบิดา - มารดา ทาลายสงิ่ ของภายในบ้าน สาเหตเุ ปน็ ผ้ปู ว่ ยจติ เวช มอี าการทางจติ ประสาท (เปน็ บ้า) - พี่ชายทาร้ายรา่ งกายน้องชาย สาเหตุ ติดการพนัน - สามีทาร้ายร่างกายภรรยา สาเหตุ เมาสุรา เกิดความหึงหวงภรรยาความแต่งตา่ งระหว่างอายทุ ่มี ีมากไป - ย่าทาร้ายจิตใจหลานสาว/ด่าหลาน - แมท่ ารา้ ย/ทาโทษลูกชาย ใชไ้ ม้ตี สาเหตมุ าจากใหล้ กู ไปเล้ียงควายแตล่ กู ชายไมไ่ ป หนีไปเท่ียว - บตุ รทาร้ายบิดา มารดา สาเหตุ บตุ รตดิ ยาเสพติด ขอเงินจากบดิ า มารดาไม่ได้ 62 แนวทางการสง่ เสรมิ บทบาทสตรีในการขับเคลอื่ นงานพฒั นาสังคมเพื่อป้องกันและแกไ้ ขปญั หาความรนุ แรงในครอบครวั

- ภรรยาทาร้ายสามี ถงึ แก่ชีวิต ใช้สากตาน้าพริกตีทา้ ยทอยสามี สามเหตเุ พราะสามมีเมาสุรามาพูด ก่อกวนภรรยา - สามีภรรยาทะเลาะววิ าทกนั ในครอบครัว ซ่งึ ยังมองว่าเปน็ เร่อื งปกติในครอบครวั สาเหตุปัญหาตา่ ง ๆ ในครอบครัว สาเหตุของความรุนแรงในครอบครวั ท่ีมีเกิดขนึ้ ในชมุ ชน/ตาบล - บตุ รไม่ทาตามคาส่ังบิดามารดา - บตุ รตดิ ยาเสพตดิ - สามีเมาสุรา - ปญั หาในครอบครัว เศรษฐกิจตกต่า - ตดิ การพนัน - ทะเลาะววิ าท - หงึ หวง - ผปู้ ว่ ยจติ เวชหรอื จติ ประสาท - ความแตง่ ต่างระหว่างอายุของคูส่ มรสท่ีมมี ากไป ผหู้ ญิงมีอายุมากกว่าผ้ชู าย ( 69/50 ปี) ปจั จยั ที่มผี ลต่อการกระทาความรนุ แรงในครอบครัว - คา่ นยิ ม เจตคติของสังคมในเรื่องบทบาทหญงิ ชาย ทย่ี ังมีต่อผชู้ ายว่าต้องมีฐานะผูน้ า ผตู้ ัดสินใจและ มองผหู้ ญงิ วา่ ต้องเปน็ ผตู้ าม ผลกระทบทเี่ กดิ จากปญั หาความรนุ แรงในครอบครัว - การเสยี ชีวติ - เยาวชนติดยาเสพตดิ ติดสารมึนเมา - เกดิ การหยา่ ร้าง แยกทางกันของสามภี รรยา แยกทางกนั ครอบครัวแตกแยก - บาดเจบ็ ท้งั ทางรา่ งกายและจติ ใจ - ขาดความรกั ความสามัคคแี ละความไวใ้ จซึ่งกันและกันในครอบครัว - ทาร้ายจิตใจ - ส่งิ ของภายในบ้านเสยี หาย - ครอบครัวขาดความอบอ่นุ ขาดความสงบสุข ขาดความรัก ความสามัคคีและความไว้ใจซ่งึ กันและกัน แนวทางการแก้ไขปญั หาความรุนแรงในครอบครัว - สรา้ งความเขม้ แข็งในครอบครัว - สรา้ งความรกั ความสามัคคีให้เกิดขึน้ ในครอบครัว บทบาทสตรใี นการป้องกนั และแก้ไขปญั หาความรนุ แรงในครอบครัว - แจ้งเหตุการณค์ วามรุนแรง ใหก้ บั ผู้ที่เกีย่ วข้องทราบเม่ือพบเห็นสถานการณ์ความรุนแรงในครอบครัว - สงบสตอิ ารมณ์เมื่อมสี ิง่ ทีม่ ากระทบจติ ใจในครอบครัว แนวทางการส่งเสริมบทบาทสตรใี นการขบั เคลือ่ นงานพฒั นาสังคมเพ่ือปอ้ งกนั และแกไ้ ขปญั หาความรุนแรงในครอบครวั 63

- ให้อภัย สร้างความรัก ความสามัคคใี ห้เกดิ ข้นึ ในครอบครวั แนวทางการสง่ เสริมบทบาทสตรใี นการขับเคลอ่ื นกิจกรรมทางสังคมเพ่ือป้องกันและแก้ไขปัญหาความ รนุ แรงในครอบครัว - ส่งเสรมิ ให้สตรีเข้าไปมีส่วนร่วมในการเสนอความคิดเห็นในการประชุมประจาเดือนของหมู่บ้าน - สง่ เสริมใหส้ ตรีเขา้ ไปมสี ว่ นร่วม หรอื มบี ทบาทในงานทาบุญ งานประเพณี งานเทศกาลตา่ ง ๆ ต้อนรับแขก การทาอาหาร การจดั สถานทตี่ ลอดจนการอานวยการในเรอ่ื งต่าง ๆ - สง่ เสรมิ ใหส้ ตรเี ข้าไปเปน็ ผู้นาในชุมชน ทงั้ ในท้องถ่ินและท้องที่ เชน่ ผู้ใหญบ่ า้ น ผู้ชว่ ยผูใ้ หญ่บ้าน สมาชิกสภาเทศบาลตาบล(ส.ท.) และสมาชิกสภาองค์การบรหิ ารส่วนตาบล (ส.อบต.) - สง่ เสรมิ ให้สตรีเป็นผนู้ าในการสวดมนต์ไหวพ้ ระในวัด แผนงาน/โครงการ/กิจกรรมท่ีเทศบาลตาบลดาเนนิ การที่เกยี่ วข้องในป้องกนั และแก้ไขปญั หาความรนุ แรง ในครอบครวั - ศูนยพ์ ฒั นาครอบครวั ในตาบล - โครงการ ทบู ีนมั เบอรว์ ัน (To Be Number One) 64 แนวทางการส่งเสริมบทบาทสตรใี นการขบั เคลื่อนงานพฒั นาสังคมเพ่อื ป้องกนั และแกไ้ ขปัญหาความรุนแรงในครอบครวั

บทท่ี 5 บทสรุป อภปิ รายผล และข้อเสนอแนะ การศกึ ษาวิจยั แนวทางการสง่ เสริมบทบาทสตรใี นการขับเคล่ือนงานพัฒนาสงั คมเพ่ือป้องกัน และแก้ไขปัญหาความรุนแรงในครอบครัว มีวัตถุประสงค์ เพ่ือศึกษาบทบาทของสตรี ปัจจัยและปัญหา อุปสรรคในการเข้ามามีส่วนร่วมกิจกรรมของชุมชน เพ่ือนาไปสู่การป้องกันและแก้ไขปัญหาความรุนแรงใน ครอบครวั และเพื่อหาแนวทางส่งเสริมบทบาทสตรีในการขบั เคล่ือนกิจกรรมชุมชนเพ่ือนาไปส่กู ารป้องกันและ แก้ไขปัญหาความรนุ แรงในครอบครวั การวิจัยคร้ังน้ีเป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการ ด้วยวิธีวิทยาผสานวิธี (mixed-methodology) ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงปริมาณ (Quantitative Method) และระเบียบวิธีวิจัยเชิง คุณภาพ (Qualitative Method) ดังน้ันการวิเคราะห์และสังเคราะห์ข้อมูล จึงมีท้ังการวิเคราะห์เชิงปริมาณ และเชิงคุณภาพ โดย ใช้การวิเคราะห์เชิงเนื้อหา (Content Analysis) เพ่ือกาหนดแบบแผนโครงสร้าง ความสัมพันธ์ของข้อมูลชุดต่าง ๆ รวมถึงการกาหนดประเด็นการนาเสนอข้อมูลให้สอดคล้องกับประเด็นและ วัตถปุ ระสงคข์ องการวจิ ยั 5.1 สรุปผลการศกึ ษา บทบาทสตรี ปัจจยั ปัญหา อุปสรรค การเขา้ ไปมสี ่วนรว่ มในการพัฒนาชุมชน/ตาบล บทบาทของสตรใี นการเขา้ ไปมีตาแหนง่ ในชุมชน ตาแหน่งทเ่ี ข้าไปมีส่วนร่วมมากที่สดุ จะเป็น ตาแหน่งอาสาสมัครในชุมชน มีมากถึง ร้อยละ 87.5 เช่นอาสาสมัครสาธารสุขประจาหมู่บ้าน (อสม.) อาสาสมัครพัฒนาสังคมและความม่ันคงของมนุษย์ (อพม.) เป็นต้น รองลงไปจะเป็นตาแหน่งคณะกรรมการ กลุ่มองค์กรภาคประชาชน ต่าง ๆ ในชุมชน ร่วมเป็นผู้นาหมู่บ้าน เช่นผู้ใหญ่บ้าน ผู้ช่วยใหญ่บ้าน สาหรับ ตาแหนง่ ทเ่ี ขา้ ร่วมนอ้ ยมากคือการเขา้ ร่วมเปน็ สมาชิกองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ปัจจัยที่ทาใหส้ ตรเี ข้าไปมีส่วนร่วมในการมีตาแหน่งในชุมชน การเข้าไปมีสว่ นร่วมในกิจกรรม การพัฒนาชุมชน/ตาบล ปัจจัยมากท่ีสุดคือมีความต้องการการเข้าไปทาประโยชน์ให้กับชุมชน รองลงมาเพื่อ ต้องการสร้างความสมั พันธ์ทด่ี ีกับเพือ่ นบา้ น และการมคี วามรคู้ วามสามารถในกจิ กรรมที่เข้ารว่ ม ปัจจยั ทน่ี อ้ ย ท่สี ดุ คอื ต้องการตาแหน่งในสงั คม ปัญหาอุปสรรคในการเข้าไปมีสว่ นรว่ มของสตรีในการพัฒนาชุมชน/ตาบล ปญั หาอุปสรรคท่ี พบมากที่สุดคือปัญหาสังคม/ชุมชนไม่ยอมรับที่จะให้ผู้หญิงไปเป็นผู้นาและมีอานาจในการตัดสินใจในการ พัฒนา มีถึงร้อยละ 52.5 รองลงมาปัญหามีภาระการดูแลเร่ืองภายในครอบครัวและการมองท่ีความแตกต่าง ระหวา่ งเพศท่ีสงั คมมองวา่ สตรีมีศกั ยภาพน้อยกวา่ ผู้ชาย แนวทางการสง่ เสรมิ บทบาทสตรใี นการขับเคลอื่ นงานพัฒนาสงั คมเพอื่ ป้องกันและแก้ไขปัญหาความรนุ แรงในครอบครัว 65

การรับรู้ว่ามีพระราชบัญญัติผู้ถูกกระทาความรุนแรงในครอบครัว พ.ศ.2550 ส่วนมากจะ ตอบว่าเคยรับรู้ถึงร้อยละ 94.5 ซ่ึงช่องทางการรับรู้มากท่ีสุดรับรู้จากเจ้าหน้าที่ของหน่วยงานภาครัฐที เกย่ี วขอ้ ง รองลงไปรับรู้จากผนู้ าชุมชน และรับรูจ้ ากเจา้ หน้าทข่ี ององคก์ รปกครองส่วนท้องถนิ่ ปญั หาความรนุ แรงในครอบครวั ปัญหาความรุนแรงในครอบครัวที่มีในชุมชนจากข้อมูลท่ีได้จากการศึกษาพบว่าไม่มีปัญหา ความรนุ แรงในครอบครวั มีรอ้ ยละ 59 มากกว่าตอบว่ามี สาหรบั ปัญหาความรนุ แรงในครอบครัวทม่ี ีหรือพบ มากทส่ี ุดคอื ปัญหาสามีทารา้ ยร่างกายภรรยา รองลงมาคอื ปญั หามารดาทารา้ ยร่างกายบตุ ร สาเหตุท่ีทาใหเ้ กิด ความรุ่นแรงในครอบครัวคือเมาสุรา ทาให้ขาดสติ รองลงมาคือสาเหตุความหึงหวงภรรยานอกใจสามี แนวทางในการแก้ไขปัญหาคือการออมชอม การพดู คยุ ปรับความเข้าใจใหเ้ ข้าใจกนั ของสามีภรรยาและบุคคล ในครอบครัว ถ้าระดับความรุนแรงมากขึ้นก็จะเป็นการไกล่เกลี่ยให้ยอมความ หรือแจ้งหน่วยงานท่ีเกี่ยวข้อง เข้ามาแก้ไขปัญหา สาหรับในการป้องกันและแก้ไขปัญหาความรุนแรงในครอบครัวโดยใช้โครงการหรือ กิจกรรมมีน้อยมากเพราะหน่วยงานท่ีเกี่ยวข้องไม่ได้จัดทาโครงการจะมีเฉพาะโครงการท่ีป้องกันและแก้ไข ปัญหาทางอ้อมหรือโครงการท่ีเกี่ยวกับสาเหตุที่ก่อให้เกิดปัญหาความรุนแรง เช่น โครงการ ทูบีนัมเบอร์วัน (To be number one) เน่ืองมาจากหน่วยงานยังให้ความสาคัญน้อยในเรื่องการป้องกันและแก้ไขปัญหา ความรุนแรงในครอบครัวและการมองปัญหาในชุมชนที่ยังมองว่าปัญหาหลายเร่ืองเป็นเร่ืองธรรมดา ของ ครอบครวั เช่น การดดุ ่าระหวา่ งสามีภรรยา หรือระหว่างพอ่ แมก่ ับลูกหรือกับบคุ ลในครอบครัว บทบาทสตรีในการเข้าไปมีส่วนร่วมในการป้องกันและแก้ไขปัญหาความรุนแรงในครอบครัวในชุมชน/ ตาบล บทบาทสตรีในการเข้าไปมีสว่ นร่วมในการป้องกันและแก้ไขปัญหาความรนุ แรงในครอบครัว ในชุมชน/ตาบล จะพบว่า มีมากถึงร้อยละ 64 มีมากกว่าไม่เข้าร่วม กิจกรรมท่ีเข้าไปมีส่วนร่วมมากที่สุดคือ การเข้าไปมีส่วนร่วมในการค้นหาปัญหาและแนวทางแก้ไขปัญหาการพัฒนาชุมชน ร่วมกาหนดแผนงาน โครงการในการแก้ไขปัญหาในชุมชน มีบุคคล หน่วยงานและองค์กรท่ีเข้าร่วมหาแนวทางป้องกันและแก้ไข ปัญหา ส่วนมากจะเป็นผู้นาหมู่บ้าน/ผู้นาชุมชน รองลงมา จะเป็นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและหน่วยงาน ภาครัฐกระทรวงการพฒั นาสังคมและความม่นั คงของมนษุ ย์ กิจกรรมการพัฒนาชุมชนทีส่ ตรีเขา้ ไปมสี ว่ นร่วมในการแก้ไขปัญหาความรนุ แรงในครอบครวั การเข้าไปมีส่วนร่วมของสตรใี นการเข้าไปพัฒนาชมุ ชน กิจกรรมที่เข้าไปมีส่วนร่วมมากท่สี ดุ คือการเข้าร่วมกิจกรรมงานเทสกาล/งานประเพณี มีมากถึงร้อยละ 98.5 รองลงมาคือการเข้าไปมีส่วนร่วม กิจกรรมทางศาสนาและกิจกรรมการเข้าร่วมคิดตัดสินใจในการพัฒนา กิจกรรมในการพัฒนาการศึกษาใน ชุมชน สาหรับกิจกรรมการแก้ไขปัญหาความรุนแรงในครอบครัวเป็นเร่ืองการนาเสนอปัญหาความรุนแรงใน 66 แนวทางการส่งเสริมบทบาทสตรีในการขบั เคลอื่ นงานพัฒนาสังคมเพ่ือปอ้ งกนั และแกไ้ ขปญั หาความรุนแรงในครอบครวั

ครอบครวั ให้กบั ผู้นาหมบู่ ้าน คณะกรรมการหมู่บา้ น และเจา้ หนา้ ที่องค์กรปกครองสว่ นท้องถ่ิน และหนว่ ยงาน ท่ีเกย่ี วขอ้ ง การเขา้ ไปสารวจปญั หาความรนุ แรงในครอบครัวทอ่ี ยใู่ นชมุ ชนตวั เอง ความคิดเหน็ เก่ยี วกับบทบาทสตรใี นการเข้าไปมสี ่วนรว่ มในการพฒั นาชุมชนและการแกไ้ ขปัญหาความ รนุ แรงในครอบครวั บทบาทสตรีท่ีควรเขา้ ไปมีสว่ นรว่ มในการพฒั นาชุมชน บทบาทสตรีในการเข้าไปมีส่วนร่วมในการพัฒนาชุมชน พบว่าชุมชนให้ความคิดเห็นว่าสตรี ควรเข้าไปมีบทบาทในการเข้าร่วมการประชุมของหมู่บ้าน/ชุมชน เพ่ือเสนอความคิดเห็น นาเสนอปัญหา แนวทาง และกิจกรรมต่าง ๆ ในการพัฒนาชุมชน นอกจากนั้นสตรีควรเข้าไปมีส่วนในการเป็นผู้นาในหมู่บา้ น ในชุมชน เช่น ผู้ใหญ่บา้ น ผูช้ ่วยผูใ้ หญบ่ ้าน ผนู้ าท้องถิ่น ฯลฯ การยอมรับสตรีในการเขา้ ไปมสี ว่ นรว่ มกิจกรรมในการพัฒนาชมุ ชนของสตรี ในการยอมรับให้สตรีเข้าไปมีบทบาทในการพัฒนาชุมชน พบว่าชุมชนจะมองในเรื่องความ เสมอภาคระหว่างหญิงชายต้องมีความเท่าเทียมกัน สตรีจะต้องได้รับการยอมรับในการเข้าไปเป็นผู้นาเท่า เทียมกบั ผชู้ าย แตก่ พ็ บวา่ โครงสรา้ งทางสังคมและวฒั นธรรมในชุมชนท่ียงั ใหเ้ กยี รตผิ ชู้ ายมากกว่าผสู้ ตรใี นการ เข้าไปเป็นผู้นาและมีอานาจในการตัดสินใจในเร่ืองต่าง ๆ ของชุมชนและยังมองว่าปัญหาเร่ืองเพศท่ีเพศหญิง หรอื สตรมี ศี กั ยภาพการทางานในกิจกรรมทางสงั คมสู้เพศชายไม่ได้ การแก้ไขปัญหาความรุนแรงในครอบครวั ในการแก้ไขปัญหาความรุนแรงในครอบครัวพบว่าเม่ือเกิดปัญหาความรุนแรงในครอบครัว สตรีต้องเป็นผู้มีบทบาทสาคัญในการแก้ไขปัญหาสูงกว่าผู้ชายเพราะสตรีจะมีความเข้าในในเร่ืองต่าง ๆ ใน ครอบครัวดีกว่า แต่ถ้าพบการกระทาความรุนแรงในครอบครัวผู้ท่ีพบเห็นควรแจ้งให้หน่วยงานหรือพนักงาน เจ้าหน้าท่ีเข้าดาเนินการแก้ไขปัญหาให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติผู้ถูกกระทาความรุนแรงในครอบครัว พ.ศ. 2550 5.2 อภปิ รายผล วัตถุประสงค์ที่ 1 เพื่อศึกษาบทบาทของสตรี ปัจจัยและปัญหาอุปสรรคในการเข้ามามีส่วนร่วมกิจกรรม ของชุมชน เพ่ือนาไปสู่การป้องกนั และแก้ไขปัญหาความรนุ แรงในครอบครัว บทบาทสตรีในการเข้าไปมีส่วนร่วมกิจกรรมของชุมชน เพื่อนาไปสู่การป้องกันและแก้ไข ปัญหาความรุ่นแรงในครอบครัว จากการศึกษาพบว่า บทบาทสตรีในการเข้าไปมีส่วนร่วมกิจกรรมของชมุ ชน เพอื่ นาไปสูก่ ารป้องกนั และแก้ไขปญั หาความรุนแรงในครอบครวั จะพบวา่ ในชุมชนจะมีกิจกรรมที่เก่ียวข้องกับ เรื่องความรุนแรงในครอบครัวจะมีน้อยมากเพราะในชุมชนจะมีปัญหาความรุนแรงในครอบครัวน้อยมาก คง แนวทางการสง่ เสรมิ บทบาทสตรใี นการขบั เคลือ่ นงานพฒั นาสงั คมเพ่อื ปอ้ งกนั และแกไ้ ขปญั หาความรนุ แรงในครอบครวั 67

เนื่องมาจากชุมชนหรือคนในชุมชนจะรับรู้ เข้าใจเรื่องปัญหาความรุนแรงในครอบครัวตามท่ีกาหนดไว้ใน พระราชบัญญัติผู้ถูกกระทาความรุนแรงในครอบครัว พ.ศ.2550 ว่าอะไรคือความรุนแรงท่ีมีในครอบครัวจะรู้ เฉพาะว่าความรุนแรงที่เกิดขึ้นและมีผลที่ชัดเจนหรือความรุนแรงท่ีมีผลต่ออัตรายแก่รางกาย คาว่าความ รุนแรงในครอบครัวที่กาหนดไว้ในพระราชบัญญัติผู้ถูกกระทาความรุนแรงในครอบครัว พ.ศ.2550 หมายความวา่ การกระทาใด ๆ โดยมุ่งประสงคใ์ หเ้ กดิ อันตรายแกร่ ่างกาย จิตใจ หรอื สขุ ภาพ หรอื กระทาโดย เจตนาในลักษณะท่ีน่าจะก่อให้เกิดอันตรายแก่ร่างกาย จิตใจ หรือสุขภาพของบุคคลในครอบครัว หรือบังคับ หรือใช้อานาจครอบงาผิดคลองธรรมให้บุคคลในครอบครัวต้องกระทาการ ไม่กระทาการ หรือยอมรับการ กระทาอย่างหน่ึงอยา่ งใดโดยมชิ อบ แตไ่ มร่ วมถงึ การกระทาโดยประมาท การรับรู้ในการกระทาความรนุ แรงท่ี ประสงค์ต่อจิตใจหรือสุขภาพของบุคคลในครอบครัวจะคิดว่าไม่ใช่ความรุนแรงในครอบครัว ดังน้ันปัญหา ความรุนแรงในครอบครัวในชุมชนจึงมีน้อยมากจะมีในเรื่อง สามีทาร้ายร่างกายภรรยา มารดาทาร้ายบุตร สาเหตุที่เกิดปัญหาความรุนแรงในครอบครัวท่ีพบมากคือมาจากการเมาสุราและการหึงหวงภรรยาท่ีนอกใจ สามี ดังน้ันกิจกรรมในชุมชนท่ีดาเนินกิจกรรมเพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาความรุนแรงในครอบครัว ที่มีใน ชุมชนจะมีน้อยมาก ส่วนมากจะเป็นกจิ กรรมในการพฒั นาชมุ ชนในเร่ืองอาชีพ กิจกรรมการอนุรักษ์วฒั นธรรม ประเพณีท้องถิ่นเช่นกิจกรรมตามงานประเพณี กิจกรรมทางศาสนา สรุปได้ว่ากิจกรรมของชุมชนเพื่อป้องกัน ปญั หาความรนุ แรงในครอบครัวและมีบางในเรอ่ื งกิจกรรมชุมชนเพื่อแกไ้ ขปญั หาเมื่อเกดิ ปญั หาความรุ่นแรงใน ครอบครัว ปัจจัยในการเข้าไปมีส่วนร่วมกิจกรรมของชุมชนของสตรีเพ่ือนาไปสู่การป้องกันและแก้ไข ปัญหาความรุ่นแรงในครอบครัวจากกิจกรรมของชุมชน ดังน้ันปัจจัยในการเข้าไปมีส่วนร่วมในกิจกรรมของ สตรนี ่าจะเปน็ เรือ่ งการเข้าไปรว่ มทาประโยชนใ์ ห้ชุมชนการสรา้ งความสัมพันธ์ท่ีดกี ับเพื่อนบา้ น การนาความรู้ ความสมารถทม่ี ใี นแต่ละกิจกรรมต่าง ๆ เขา้ ไปรว่ มในการพฒั นาชุมชน ปัญหาอุปสรรคของสตรีในการเข้าไปมีส่วนร่วมกิจกรรมของชุมชน เพ่ือนาไปสู่การป้องกัน และแก้ไขปัญหาความรุ่นแรงในครอบครัว ในการแก้ปัญหาความรุนแรงในครอบครัวถ้าเกิดปัญหาขึ้นผู้ที่มี หน้าที่ในการแก้ปัญหาจะเป็นผู้นาชุมชน ผู้ใหญ่บ้าน ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน นายกองค์กรปกครองส่วนท้องถ่ิน (อปท.) บทบาทของสตรีจะมีน้อยมากเพราะสตรีมีบทบาทในการเป็นผู้นา ดังน้ันปัญหาอุปสรรคที่จะให้สตรี เข้าเป็นผู้นาและมีตาแหน่งคือการที่คนในชุมชนไม่ยอมรับท่ีจะให้สตรีไปเป็นผู้นาและมีตาแหน่งในการ ตัดสินใจในการพัฒนาชุมชนและปัญหาของสตรีที่จะต้องรับภาระการดูแลเรื่องภายในครอบครัวและการมอง ท่คี วามแตง่ ตา่ งระหว่างเพศท่ีสงั คมมองว่าสตรมี ศี กั ยภาพนอ้ ยกวา่ เพศชาย วัตถุประสงค์ขอ้ ท่ี 2 แนวทางการสง่ เสริมบทบาทสตรใี นการขับเคล่ือนกิจกรรมชมุ ชนเพ่ือนาสู่การป้องกัน และแก้ไขปัญหาความรุนแรงในครอบครวั 68 แนวทางการสง่ เสริมบทบาทสตรใี นการขบั เคลอื่ นงานพัฒนาสงั คมเพ่อื ปอ้ งกันและแกไ้ ขปญั หาความรุนแรงในครอบครวั

กจิ กรรมชมุ ชนเพ่ือแก้ไขปัญหาความรุนแรงในครอบครวั จากการศกึ ษาจะพบว่ามนี ้อยมากท่ี มใี นชมุ ชน สาเหตุหนง่ึ เนอื่ งมาจากว่าผู้นาชมุ ชน ผู้นาทอ้ งถิน่ สว่ นมากเปน็ ผชู้ าย จึงยังมองไมเ่ ห็นปญั หาความ รุนแรงในครอบครัวหรือเป็นเพราะว่าเป็นผู้กระทาความรุนแรงในครอบครัว ไม่ใช่ผู้ถูกกระทาจึงมองไม่เห็น เร่อื งการกระทาความรุนแรงในครอบครัว จึงไม่ไดค้ ดิ กจิ กรรมท่ีจะเข้าไปแกไ้ ขปัญหาความรุนแรงในครอบครัว ท่ีเกิดขึ้นในชุมชน ดังน้ันในการส่งเสริมบทบาทสรีจึงจะต้องมีการเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจในเรื่องความ รุนแรงในครอบครัว ตามพระราชบัญญัติผู้ถูกกระรทาคุ้มครองผู้ถูกกระทาความรุนแรงในครอบครัว พ.ศ. 2550 ใหก้ ับคนในชุมชน ผู้นาชมุ ชนและผนู้ าท้องที่ แนวทางการสง่ เสริมบทบาทสตรีในการขบั เคล่อื นกิจกรรมชุมชนเพือ่ นาส่กู ารป้องกันและ แกไ้ ขปญั หาความรุนแรงในครอบครัว ในการส่งเสรมิ บทบาทสตรี จากปัจจยั และปัญหาอุปสรรคของสตรีในการเข้าไปมีส่วนรวมใน การพัฒนาชุมชน เช่นปัญหาการไม่ยอมรับของสังคม ของชุมชน ท่ีจะให้สตรีเข้าไปมีผู้นา ผู้มีอานาจในการ ตัดสินใจในการพัฒนา อาจเนื่องมาจากอันเนื่องมาจากคุณสมบัติหลายประการไม่ว่าจะเป็นเจตคติของสังคม ความเสมอภาคและการคุ้มครองทางสังคม ดังน้ันจึงจะต้องมีการส่งเสริม การพัฒนาบทบาทสตรี การพัฒนา ศักยภาพและความพรอ้ มให้กับสตรี 1. ส่งเสริมให้สตรีเข้าไปมีบทบาทในการเป็นผู้นาในชุมชน เช่น คณะกรรมการหมู่บ้าน คณะกรรมการกลุ่มองค์ต่าง ๆ ท่ีเก่ียวข้องในชุมชน ฯลฯ บทบาทในการเป็นผู้นาท้องถ่ิน เช่น กานัน ผู้ใหญ่บ้าน ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน ฯลฯ บทบาทในการเป็นผู้นาองค์กรปกครองส่วนท้องถ่ิน เช่น นายกองค์การ บรหิ ารส่วนตาบล นายกเทศมนตรเี ทศบาลตาบล ฯลฯ เพอื่ ทีจะได้สง่ เสริมให้มีกิจกรรมในชุมชนในการพัฒนา ชุมชนเพอ่ื ป้องกันและแก้ไขปัญหาความรุนแรงในครอบครัว 2. การสร้างความรู้ความเข้าใจในพระราชบัญญัติผู้ถูกกระทาด้วยความรุนแรงในครอบครัว พ.ศ.2550 ให้กับสตรี ซ่ึงจากการศึกษาพบว่า สตรีมีความรู้ความเข้าใจตามพระราชบัญญัติผู้ถูกกระทาด้วย ความรนุ แรงในครอบครวั พ.ศ.2550 น้อยมาก ควรมีการอบรมสร้างความรู้ความเข้าใจให้กับสรีในชุมชนโดย หนว่ ยงานทีเ่ กีย่ วขอ้ ง 3. การส่งเสริมบทบาทสตรีเพ่ือแก้ไขปัญหาความรุนแรงในครอบครัว จะต้องมีการพัฒนา ศกั ยภาพและความพร้อมในการเปน็ ผู้นาให้กับสตรที ี่อยู่ในชุมชน ตลอดจนการส่งเสริมใหส้ ตรีเขา้ ไปมีส่วนร่วม ในขบวนการตัดสินใจทกุ ระดบั ในการพฒั นาสงั คมของชมุ ชน 4. การพัฒนาบทบาสตรีจะต้องมีการส่งเสริมความเสมอภาคระหว่างหญิงชายและการ คุ้มครองทางสงั คมควบค่ไู ปด้วย 5. การพัฒนาบทบาสตรีจะต้องมีการพัฒนาองค์กรด้านสตรี การบริหารจัดการในการ ดาเนนิ งานองคก์ รด้านสตรี แนวทางการสง่ เสรมิ บทบาทสตรใี นการขับเคลอื่ นงานพฒั นาสงั คมเพ่อื ปอ้ งกนั และแก้ไขปัญหาความรนุ แรงในครอบครัว 69

แนวทางการส่งเสรมิ บทบาทสตรีต้องพัฒนาศกั ยภาพและความพร้อมให้กับสตรที ่ีอยู่ในชมุ ชน 1. ด้านการปรับเปลย่ี นเจตคตขิ องสงั คมให้เอ้อื ตอ่ การพฒั นาศกั ยภาพของสตรี 1.1 ส่งเสริมให้สตรีตระหนักถึงคุณค่าของตน และมีความเชื่อม่ันในตนเองทักษะชีวิตและ สังคม เพยี งพอท่จี ะดารงชวี ิตอยา่ งมศี กั ดศ์ิ รี และเหมาะสมกบั วฒั นธรรม ประเพณี 1.2 สร้างวัฒนธรรมความเชอ่ื ในเรื่องคุณค่าของมนุษย์และความเสมอภาคระหว่างหญิงชาย ในครอบครวั ในชมุ ชนและสงั คม 1.3 ส่งเสริมบทบาทสตรใี นการเสริมสร้างคณุ ธรรม จรยิ ธรรม และรกั ษาวฒั นธรรม ประเพณี 2. ดา้ นการศึกษา 2.1 ส่งเสริมให้สตรีเรียนในสาขาที่ยังมีสตรีเรียนน้อยมาก เช่น วิศวกรรมศาสตร์และ นิตศิ าสตร์ การเมือง การปกครอง และการบริหาร 2.2 ประเมินและปรับปรงุ หลักสูตร กระบวนการเรยี นการสอน และหนังสืออ่านประกอบใน ระดบั ประถมศึกษาและมธั ยมศกึ ษาให้ปราศจากอคติทางเพศและความเสมอภาคระหวา่ งหญิงชาย 2.3 จัดบริการการศึกษาตลอดชีพ การศึกษานอกระบบ และการศึกษาตามอัธยาศัยท่ีได้ มาตรฐานเพอ่ื เปิดโอกาสให้สตรอี ายุ 40 ปขี ึ้นไปท่ไี ม่รหู้ นงั สือสามารถศกึ ษาได้ในทกุ สาขาอาชพี 2.4 ส่งเสริมใหเ้ ยาวชนร้จู ักวิเคราะห์ข้อมูล และสื่อ เกย่ี วกบั เรื่องเพศและบทบาทหญงิ ชายท่ี ได้จากการนาเสนอของส่ืออย่างเหมาะสม 2.5 จดั ให้มีกองทุนเพ่อื สง่ เสรมิ โอกาสทางการศึกษาของสตรดี อ้ ยโอกาสและสตรีกลมุ่ เสี่ยง 3. ด้านสุขภาพอนามัย 2.1 ให้ความรู้เร่อื งเพศศึกษาและบทบาททางเพศท่ีเหมาะสมและรบั ผิดชอบรวมท้ังให้ชายมี สว่ นร่วมในการวางแผนครอบครัวและการคุมกาเนิดมากข้ึน 2.2 จัดบริการทางการแพทย์และสาธารณสขุ ใหแ้ กส่ ตรีอย่างทวั่ ถงึ 2.3 ให้ความรู้แก่สตรีในการส่งเสริมสุขภาพและป้องกันโรค รู้จักเลือกบริโภคสินค้าและ บริการ รวมท้งั รจู้ กั ปอ้ งกันตนเองจากการทางานที่มลี ักษณะเปน็ อนั ตรายตอ่ สขุ ภาพ 2.4 ให้ความรู้และแนวทางการส่งเสริมสุขภาพกายและสุขภาพจิตแก่สตรีทุกวัย โดยเฉพาะ สตรีวยั รนุ่ และสตรวี ยั ทอง 4. ดา้ นอาชีพและการมงี านทา 4.1 รณรงค์ให้นักเรียน ผู้ปกครอง เจ้าของสถานประกอบการภาคธุรกิจเอกชน และ ประชาชนทั่วไปตระหนักถึงศักยภาพที่เท่าเทียมกันระหว่างหญิงและชายในการประกอบอาชีพโดยไม่ยึดติด กับค่านิยมด้ังเดมิ 70 แนวทางการส่งเสรมิ บทบาทสตรีในการขับเคลอ่ื นงานพฒั นาสงั คมเพ่อื ปอ้ งกนั และแกไ้ ขปญั หาความรุนแรงในครอบครวั

4.2 ส่งเสริมการรวมกลุ่มอาชีพ กลุ่มสหกรณ์ การพัฒนารูปแบบผลิตภัณฑ์การหาตลาด รองรับการสร้างและขยายเครอื ข่าย เพอ่ื สนับสนุนการพัฒนาอาชพี สตรีอย่างต่อเนอ่ื ง 4.3 จัดหาตลาดแรงงานให้แก่สตรี โดยเฉพาะกลุ่มสตรีด้อยโอกาส แรงงานสตรีนอกระบบ และสตรกี ลมุ่ เสยี่ ง 4.4 สร้างเสริมความแข็งแกร่งด้านการเงินแก่สตรี โดยส่งเสริมให้มีการจัดตั้งกองทุน สนับสนุนสินเช่ือเงื่อนไขพิเศษที่เอ้ือต่อการดาเนินวิสาหกิจทุกระดับ ตลอดจนการเข้าถึงแหล่งข้อมูลเกี่ยวกับ ปัจจัยการผลิตและการตลาด 4.5 สง่ เสริมการพัฒนาภูมิปัญญาสตรจี ากการผลิตเพื่อการบริโภคในครวั เรือนสู่การผลิตเพ่ือ สรา้ งรายได้ 4.6 พฒั นาแรงงานสตรีทั้งในและนอกระบบใหม้ ีทักษะในการประกอบอาชีพดา้ นการบริหาร และการตลาด การพัฒนาบทบาทสตรีจะตอ้ งมีการส่งเสริมความเสมอภาคและการคมุ้ ครองทางสังคม การส่งเสริมความเสมอภาคระหวา่ งบทบาทหญิง-ชาย จึงเป็นศูนย์กลางของการพัฒนา จาก รายงานนโยบายศึกษาของธนาคารโลก (Word Bank,2000) ได้กล่าวว่า การสร้างความเสมอภาคระหว่าง บทบาทหญิง-ชาย เป็นวัตถุประสงค์หลักในการพัฒนาด้วยความสาคัญของตัวปัญหาเอง และเพราะความ เสมอภาคระหว่างเพศจะช่วยเสริมสร้างขีดความสามารถของประเทศในการสรา้ งความเจริญเตบิ โต ในการลด ความยากจนในการบริหารอย่างมีประสิทธิผล การส่งเสริมความเสมอภาคในมิติหญิง-ชาย จึงเป็นส่วนสาคัญ ในการขับเคลื่อนงานพัฒนาสังคมเพ่ือป้องกันและแก้ไขปัญหาความรุนแรงในครอบครัวที่เกิดขึ้นในชุมชน แนวทางในส่งเสรมิ ความเสมอภาคระหวา่ งเพศ 1. ในสง่ เสรมิ ความเสมอภาคระหวา่ งเพศการปฏริ ูปเชิงสถาบันดว้ ยการสร้างกฎระเบียบและ องค์กร เพ่ือสร้างสิทธิและโอกาสที่เท่าเทียมระหว่างผู้หญิงและผู้ชาย การปฏิรูประเบียบและองค์กรด้าน กฎหมายและด้านเศรษฐกิจเป็นเรื่องที่ต้องดาเนินการเพื่อวางพื้นฐานของสิทธิและโอกาสที่เท่าเที ยมกัน สาหรับผู้หญิงผู้ชาย เนื่องจากกฎหมายในหลายประเทศยังมิได้ให้สิทธิที่เท่าเทียมกันระหว่างหญิงและชาย การปฏิรูปกฎหมายจึงเป็นสิ่งที่ต้องกระทาโดยเฉพาะอย่างยิ่งกฎหมายครอบครัว รวมท้ังการป้องกันการใช้ ความรนุ แรง สิทธิการถอื ครองทีด่ ิน การจา้ งงาน และสิทธิทางการเมือง 2. การสง่ เสริมการพัฒนาเศรษฐกิจทเี่ สริมแรงจูงใจให้มีการจัดสรรทรัพยากร โดยเสมอภาค และเน้นการมีส่วนร่วม รายได้ท่ีสูงขึ้น และระดับความยากจนท่ีลดลงมีแนวโน้มท่ีจะชว่ ยลดความไม่เท่าเทยี ม ระหว่างเพศในด้านการศึกษา การสาธารณสขุ และโภชนาการ ผลติ ภาพทสี่ ูงขึน้ และโอกาสการจ้างงานใหม่ๆ จะช่วยลดความไม่เท่าเทียมกันระหว่างเพศในการจ้างงาน รวมท้ังการลงทุนโครงสร้างพ้ืนฐานด้านประปา การพลังงาน และการจราจรขนส่ง จะช่วยลดความไม่เท่าเทียมกันในมิติหญิง-ชาย ในแง่ที่ผู้หญิงต้องเป็นผู้ แบกรบั ภาระท้งั หมด แนวทางการสง่ เสริมบทบาทสตรีในการขับเคลอื่ นงานพัฒนาสงั คมเพอื่ ป้องกนั และแก้ไขปญั หาความรุนแรงในครอบครวั 71

3. ใช้มาตรการเชิงรุกและมาตรการพิเศษ เพ่ือแก้ไขปัญหาความไม่เท่าเทียมกันระหว่างเพศ ในการควบคุมทรัพยากรและสิทธิทางการเมือง โดยเหตุที่การปฏิรูปกฎระเบียบองค์กรควบคู่กับการพัฒนา เศรษฐกิจอาจไม่เพียงพอสาหรับการแก้ไขปัญหาหรือผลที่ได้อาจต้องใช้ระยะเวลายาวนานจึงจาเป็นต้องมี มาตรการเรง่ ดว่ น เพอื่ แก้ปัญหาดงั กลา่ วในระยะสน้ั และระยะกลาง 4. การคุ้มครองทางสังคมเพ่ือการพัฒนาบทบาทให้สตรีเข้าไปขับเคลื่อนกิจกรรมชมุ ชน ควร จะมีขยายบริการทางสังคมให้ครอบคลุมสตรีทุกกลุ่ม และทุกช่วงอายุ โดยคานึงถึงสภาพปัญหา และความ ต้องการของสตรีแต่ละกลุ่มโดยเฉพาะสตรีพิการและสตรีด้อยโอกาส เร่งรัดการออกกฎหมายคุ้มครอง แรงงานสตรีนอกระบบ โดยเฉพาะแรงงานสตรีภาคเกษตร และแรงงานสตรีท่ีรับงานไปทาท่ีบ้าน ส่งเสริม การจัดให้มีและพัฒนากลมุ่ อาสาสมัคร องคก์ รชมุ ชน และองค์กรสตรี เพอื่ เฝ้าระวังติดตาม และสนับสนุนการ คุ้มครองทางกฎหมายและทางสังคมแก่สตรีด้อยโอกาสรวมทั้งการใช้มาตรการลงโทษทางสังคมแก่ผู้กระทา รุนแรงต่อเด็กและสตรี สนับสนุนให้ทกุ ชุมชนมีแนวทางการดาเนินการเพ่ือให้ความค้มุ ครองแกเ่ ด็กและสตรีที่ ประสบปัญหาความรนุ แรงในครอบครัวและสังคม ดาเนินมาตรการเชิงรกุ ในการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารและ แหล่งบริการช่วยเหลอื ในเรื่องปญั หาความรุนแรงในครอบครัวใหแ้ กส่ ตรี การพฒั นาบทบาทสตรจี ะต้องสง่ เสรมิ ให้สตรเี ข้าไปมีสว่ นร่วมในขบวนการตัดสนิ ใจ จากปัญหาความรนุ แรงในครอบครวั ท่ีมใี นชมุ ชนถึงจะพบน้อยมากแต่การแกไ้ ขปญั หาจะต้อง ส่งเสริมให้สตรีเข้าไปมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหา จึงจะต้องมีการพัฒนาบทบาทสตรีเพ่ือแก้ไขปัญหาที่เกิด กับผหู้ ญิง อันไดแ้ ก่ ปัญหาเรอื่ งการขาดโอกาสในสงั คม, ปัญหาความยากจน, และปญั หาดา้ นการไม่มสี ่วนร่วม ในกระบวนการพัฒนาอย่างเต็มท่ีแม้ว่าปัญหาอันเนื่องมาจากความไม่เท่าเทียมทางเพศระหว่างหญิง -ชาย ยังคงปรากฏอยู่อย่างชัดเจนในทุกสงั คม โดยเฉพาะในเร่ืองของการมีส่วนร่วมของผู้หญงิ /สตรีในกระบวนการ พัฒนาการมีส่วนร่วมของสตรีในกระบวนการพัฒนามีนัยสะท้อนให้เห็นถึง “อานาจ” ของผู้หญิงในการ กาหนดชะตาชีวิตของตนเองร่วมกับผู้อ่ืน มิได้เป็นเพียงผู้ท่ีรอผลจากการตัดสินใจของผู้อื่นเท่านั้น ฉะนั้น ประเดน็ ของการส่งเสริมการมสี ว่ นร่วมของสตรีในการพฒั นาจึงเป็นอกี มติ ิหน่งึ ของการพัฒนาบทบาทของสตรี ดังนี้ 1) การมีส่วนร่วมในการริเร่ิมโครงการ ได้แก่ การตระหนักถึงปัญหา การวิเคราะห์หาสาเหตุ ของปัญหา การกาหนดและจัดลาดบั ความสาคัญของปญั หา ตลอดจนรว่ มในกระบวนการตัดสินใจ 2) การมีส่วนร่วมในการวางแผนโครงการ เป็นข้ันตอนการกาหนดนโยบายและวัตถุประสงค์ ของโครงการ ตลอดจนกาหนดวธิ ีการในการดาเนนิ โครงการ 72 แนวทางการส่งเสรมิ บทบาทสตรใี นการขับเคล่อื นงานพัฒนาสังคมเพ่อื ปอ้ งกันและแก้ไขปญั หาความรุนแรงในครอบครัว

3) การมีส่วนร่วมในการดาเนินโครงการ เป็นข้ันท่ีจะต้องทาประโยชน์ให้กับโครงการ ซึ่ง อาจจะเป็นการออกทุนทรัพย์ วัสดุ แรงงาน หรือการบริหาร และประสานงาน ตลอดจนการติดต่อกับ ภายนอกตามแผนงานทว่ี างไว้ 4) ขัน้ รบั ผลของโครงการ เปน็ ขั้นท่ีได้รบั ผลประโยชนห์ รือผลเสียท่อี าจตามมา ซึ่งอาจจะเป็น ผลทางวตั ถหุ รือจิตใจท่อี าจจะกระทบไปสู่บุคคลและสังคม 5) การมีส่วนร่วมในการประเมินและสรุปผลของโครงการเป็นขั้นพิจารณาคุณค่าของ โครงการท่ีดาเนินมาว่าบรรลุวัตถุประสงค์ท่ีวางไว้หรือไม่ การประเมินในขั้นนี้อาจกระทาระหว่างการ ดาเนินงานหรอื ภายหลงั จากโครงการเสรจ็ สิ้นแล้วกไ็ ด้ 5.3 ขอ้ เสนอแนะ ขอ้ เสนอแนะเชิงนโยบาย 1. ตรวจสอบและปรับปรุงกฎหมาย กฎ ระเบียบต่าง ๆ ที่ขัดแย้งกับหลักการตามปฏิญญา สากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชนและอนุสัญญาว่าด้วยการขจัดการเลือกปฏิบัติต่อสตรีในทุกรูปแบบ เพื่อขจัดอคติ ทางเพศและการเลือกปฏบิ ัตติ ่อสตรี เช่น กฎหมายครอบครัว ประมวลกฎหมายอาญา (ความผิดเกย่ี วกับเพศ) พระราชบัญญัติช่ือบุคคล พ.ศ. 2505 พระราชบัญญัติสัญชาติ พ.ศ. 2508 พระราชกฤษฎีกาให้ใช้คานาหน้า สตรี พ.ศ. 2460 พระราชบญั ญตั แิ รงงานรฐั วสิ าหกิจสมั พันธ์ พ.ศ. 2543 ฯลฯ รวมท้ังระบุโทษอย่างเหมาะสม 2. เสริมสร้างความรู้ความเข้าใจ และเจตคติที่เหมาะสมแก่ประชาชนและเจ้าหน้าท่ีที่ เก่ียวขอ้ งกับการบังคับใช้กฎหมายท่เี กยี่ วกบั ความเสมอภาคและการคมุ้ ครองสตรี 3. สร้างเครอื ขา่ ยความรว่ มมือระหวา่ งภาครฐั รฐั วสิ าหกจิ ภาคเอกชน และประชาชนในการ ติดตามการบงั คับใชก้ ฎหมายทีเ่ กี่ยวกบั ความเสมอภาคและการคุ้มครองสตรี 4. เผยแพร่ความรเู้ ก่ยี วกบั สทิ ธแิ ละความเท่าเทยี มทางกฎหมายแกส่ ตรที กุ ระดับ 5. บูรณาการแนวความคิดด้านสิทธิมนุษยชน สิทธิสตรี และสิทธิเด็กในหลักสูตรการศึกษา ทกุ ระดับ ทง้ั ในระบบและนอกระบบ 6. จัดอบรมหลักสูตร “การผสมผสานมิติหญิงชายในการกาหนดนโยบายและการ บริหารงาน” และหลักสูตรต่าง ๆ ในกระบวนการกาหนดนโยบายที่เจาะลึกเก่ียวกับมิติหญิงชายแก่ผู้บริหาร ระดับสูงของส่วนราชการท่ีรบั ผดิ ชอบดา้ นการเสริมสร้างบทบาทหญงิ ชาย (Chief GenderEaqality Officer : CGEO) และเจ้าหนา้ ทีป่ ระจาศนู ยป์ ระสานงานฯ ทุกหน่วยงาน เช่น การฝึกอบรมสร้างความตระหนักเก่ียวกับ มิติหญิงชาย การวิเคราะห์ การวางโครงการ การติดตามประเมินผล การจัดสรรงบประมาณ การบริหารงาน การจัดทาตัวชี้วัดความก้าวหน้าในการดาเนินงานด้านสตรีของหน่วยงานและการนาเสนอและเผยแพร่ข้อมูล และสารสนเทศมิตหิ ญงิ ชาย แนวทางการสง่ เสรมิ บทบาทสตรีในการขับเคลือ่ นงานพัฒนาสังคมเพอ่ื ป้องกนั และแกไ้ ขปัญหาความรุนแรงในครอบครัว 73

7. จัดการอบรมเสริมสร้างขีดความสามารถของบุคลากรที่เก่ียวข้อง ในการให้ข้อคิดเห็นต่อ คณะผู้บริหารเกี่ยวกับผลกระทบของกฎหมาย นโยบายและแผนงาน/โครงการต่าง ๆ ของหน่วยงานภาครัฐ และเอกชน ข้อเสนอแนะเชิงปฏิบตั กิ าร 1. จัดฝึกอบรมภาวะผู้นาแก่สตรีที่จะลงสู่สนามการเมือง และเพิ่มขีดความสามารถในการ ดาเนินงานทางการเมืองแกส่ ตรีทไ่ี ด้รบั เลอื กตั้ง 2. สง่ เสรมิ สตรีให้มบี ทบาทในการทาประโยชนแ์ ก่ชุมชนและสงั คม 3. รณรงค์ให้หน่วยงานภาครัฐ องค์กรปกครองส่วนท้องถ่ิน กลุ่มการเมืองท้องถิ่น เอกชน และประชาชน เห็นความสาคัญและสนับสนุนการมีส่วนร่วมและการตัดสินใจของสตรีในทางเศรษฐกิจ การเมือง การปกครอง และการบรหิ าร ตลอดจนการพฒั นาสังคม 4. ส่งเสริมการจัดให้มีและพัฒนากลุ่มอาสาสมัคร องค์กรชุมชน และองค์กรสตรี เพ่ือเฝ้า ระวงั ติดตาม และสนบั สนนุ การคุ้มครองทางกฎหมายและทางสังคมแก่สตรีด้อยโอกาสรวมท้ังการใช้มาตรการ ลงโทษทางสังคมแก่ผกู้ ระทารุนแรงต่อเด็กและสตรี 5. สร้างความเข้มแข็งแก่เครือข่ายองค์กรสตรี ในการเฝ้าระวังและตรวจสอบส่ือที่ขาด จรรยาบรรณและนาเสนอภาพลกั ษณส์ ตรใี นทางทไ่ี ม่เหมาะสม 6. ใหค้ วามรแู้ กส่ มาชิกในครอบครวั ชมุ ชน และสังคมให้ตระหนักถึงความเสมอภาคระหว่าง หญงิ ชาย และคานงึ ถึงศักดิศ์ รคี วามเป็นมนษุ ยข์ องสตรี 7. สนับสนุนให้ทุกชุมชนมีแนวทางการดาเนินการเพ่ือให้ความคุ้มครองแก่เด็กและสตรีท่ี ประสบปญั หาความรนุ แรงในครอบครัวและสังคม 8. ดาเนินมาตรการเชิงรุกในการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารและแหล่งบริการช่วยเหลือในเรื่อง ปญั หาความรุนแรงให้แก่สตรีและคนในชมุ ชน ข้อเสนอแนะในการศกึ ษาครง้ั ต่อไป 1. การศกึ ษาวจิ ัยแนวทางการในการพัฒนากล่มุ อาสาสมัคร องค์กรสตรี เพอ่ื เฝ้าระวังติดตาม และสนับสนนุ การคมุ้ ครองทางสงั คมแกส่ ตรีด้อยโอกาสรวมทง้ั การใช้มาตรการลงโทษทางสังคมแกผ่ ู้กระทาผิด ความรุนแรงในครอบครวั 2. การศึกษาวิจัยแนวทางการพัฒนาศักยภาพสตรีในการเข้าไปเป็นผู้นาในชุมชน ในองค์กร ปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อจะได้มีบทบาทในการเป็นผู้นาการพัฒนาสังคมนาไปสู่การป้องกันและแก้ไขปัญหา ความรุนแรงในครอบครัว 74 แนวทางการส่งเสริมบทบาทสตรีในการขบั เคล่ือนงานพัฒนาสงั คมเพอ่ื ปอ้ งกนั และแก้ไขปญั หาความรุนแรงในครอบครวั

เอกสารอา้ งองิ กรมส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถ่ิน กระทรวงมหาดไทย. มาตรฐานส่งเสริมการพัฒนาสตรี. [ออนไลน์]. เขา้ ถงึ ไดจ้ าก http://www.tlg.rmutt.ac.th/?p=3485 (วันที่ค้นข้อมูล : 18 กรกฏาคม 2557). จฑุ าทิพย์ ภัทราวาท. 2538. แผนแมบ่ ทเพ่อื การพัฒนาการมสี ่วนร่วมของสตรใี นขบวนการสหกรณ์ใน ประเทศ ไทย. กรงุ เทพฯ : กองแผนงาน สันนิบาตสหกรณแ์ ห่งประเทศไทย เจิมศักด์ิ ปิ่นทอง. 2535. การระดมประชากรเพื่อพัฒนาชนบท. กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์. ช่ืนฤทัย กาญจนะจิตรา และสุภรต จรัสสิทธ์ิ. 2552. ครอบครัวกับความรุนแรงในชีวิตคู่. สถาบันวิจัย ประชากรและสงั คม มหาวิทยาลัยมหิดล. นสพ. กรงุ เทพธุรกิจ. 2557. ดชั นี\"ความรุนแรงในครอบครวั \"วกิ ฤติ7จงั หวดั , 84%ไมผ่ า่ นเกณฑ์. [ออนไลน์]. เข้าถงึ ได้จาก http://www.oknation.net/blog/print.php?id=913300. (วนั ท่ีค้นข้อมูล : 2 ตลุ าคม 2557). ดาราณี ถวิลพิพัฒน์กุล. 2539. กระบวนการเป็นเมืองกับการเปลี่ยนแปลงทางสังคม. กรุงเทพฯ : จุฬาลงกรณม์ หาวทิ ยาลยั นิรันดร์ จงวุฒิเวศย์. 2527. การมีส่วนร่วมของประชาชนในการพัฒนานโยบายและกลวิธีในการมีส่วน ร่วมของชุมชนในยุทธศาสตร์การพัฒนาในปัจจุบัน. ทวีทอง หงส์วิวัฒน์ (บรรณาธิการ). กรุงเทพมหานคร: ศักด์โิ สภาการพมิ พ.์ ปริญญา บัณฑิโต. 2551. สตรีกับกิจกรรมทางเศรษฐกิจและสังคมในชุมชนทะเลน้อย จังหวัดพัทลุง. วทิ ยานพิ นธศ์ ิลปศาสตรมหาบัณฑติ สาขาวชิ าพฒั นามนุษย์และสงั คม มหาวทิ ยาลบั สงขลานครนิ ทร์ ปรัชญา เวสารัชช์. 2528. รายงานการวิจัยเรื่องการมีส่วนร่วมของประชาชนในกิจกรรมเพื่อพัฒนา ชนบท. กรุงเทพฯ: สถาบันไทยคดศี ึกษา มหาวทิ ยาลัยธรรมศาสตร.์ ปาริชาติ สถาปิตานนท์ และคณะ. 2549. การส่อื สารแบบมีส่วนร่วมและการพัฒนาชุมชน: จากแนวคิดสู่ ปฏิบตั กิ ารวิจยั ในสังคมไทย. กรุงเทพฯ: สกว. พชั รินทร์ ศริ ิวิสุทธริ ัตน.์ 2555. ความรนุ แรงในครอบครัว. [ออนไลน์]. เข้าถึงไดท้ ี่ http://www.klb.dmh.go.th. (วนั ทค่ี น้ ขอ้ มลู : 2 ตลุ าคม 2557). พชิ ญาดา เรืองเดช. 2542. ปจั จัยที่มีผลตอ่ การมสี ่วนร่วมของสตรีในกจิ กรรมพฒั นาอาชีพของครอบครัว ในหมู่บ้านรอบศูนย์ศึกษาการพัฒนาห้วยฮ่องไคร้ อันเน่ืองมาจากพระราชดาริ อาเภอดอย สะเกด็ จังหวดั เชียงใหม.่ กรุงเทพฯ : มหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร์ ฟาริดา บนิ ล่าเต๊ะ. 2552. บทบาทสตรใี นการสร้างทุนทางสังคม และลดความยากจนในชุมชนผู้มีรายได้ น้อย: กรณีศึกษา ชุมชนเจริญชัยนิมิตใหม่ ชุมชนคลองลานุ่น และชุมชนเพชรคลองจั่น ก รุ ง เ ท พ ม ห า น ค ร . วิ ท ย า นิ พ น ธ์ ก า ร ผัง เ มื อ ง ม หา บั ณ ฑิ ต ส า ข า วิ ช า ก า ร ผัง เมือง มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร.์ แนวทางการส่งเสรมิ บทบาทสตรใี นการขบั เคลอื่ นงานพัฒนาสงั คมเพื่อปอ้ งกันและแก้ไขปญั หาความรุนแรงในครอบครัว 75

วัชราภรณ์ เอื่ยมสะอาด. 2538. ปัจจัยท่ีมีความสัมพันธ์กับการมีส่วนร่วมของสตรีในการพัฒนาท้องถิ่น อ า เ ภ อ บ า ง เ ล น จั ง ห วั ด น ค ร ป ฐ ม . วิ ท ย า นิ พ น ธ์ ม ห า บั ณ ฑิ ต บั ณ ฑิ ต วิ ท ย า ลั ย มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาลัยการปกครองท้องถ่ิน สถาบนั พระปกเกลา้ . 2545. การกระจายอานาจและการปกครองท้องถิ่นใน ประเทศไทย. กรงุ เทพมหานคร: ธรรมดาเพรส. วิโรจน์ รอดวงษ์. 2544. ลักษณะความเป็นผ้นู าของสมาชิกองคก์ ารบริหารส่วนจังหวัดกับการมีส่วนร่วม ในการพฒั นาท้องถน่ิ . วิทยานพิ นธ์ศิลปศาสตรมหาบัณฑิต มหาวิทยาลยั ขอนแกน่ . ศิริรัตน์ ธานีรณานนท์. 2538. “ชาวไทยมุสลิมและการมีส่วนร่วมในการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม : กรณีศึกษาภาคใต้ตอนล่าง”. เอกสารประกอบการสัมมนาวิชาการประจาปี 2538 เรื่องการมี สว่ นรว่ ม. สถาบันวิจัยและพัฒนาแห่งประเทศไทย ศุภฤกษ์ โรจนธรรม. 2532. ปัจจัยท่ีมีผลต่อการมีส่วนร่วมของประชาชนในการพัฒนาหมู่บา้ นตามโครงการ สาธารณสุขมูลฐาน : ศึกษาเฉพาะหมู่บ้านสาธารณสุขมูลฐานดีเด่น ของจังหวัดนครศรีธรรมราช สงขลาและพทั ลงุ . วิทยานิพนธ์มหาบณั ฑิต มหาวทิ ยาลยั สงขลานครนิ ทร์วโิ รฒสงขลา สถาบันวจิ ยั ประชากรและสงั คม มหาวิทยาลัยมหิดล,2557. ขอ้ มูลประชากรในประเทศไทย. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จากhttp://www.ipsr.mahidol.ac.th/ipsrth/population_thai.html. (วันทค่ี น้ ข้อมลู : 20 สิงหาคม 2557). สชุ ลี วาทะสัตย์. 2530. บทบาทความเปน็ ผ้นู าของกรรมการพัฒนาสตรีระดับหมู่บ้าน ทีม่ ีผลต่อความสาเร็จ ของกล่มุ อาชีพสตรีในจังหวดั สุราษฏรธ์ านี. วิทยานิพนธ์ศกึ ษาศาสตรมหาบัณฑติ สาขาศกึ ษาศาสตร์ เพื่อพัฒนาชมุ ชน มหาวิทยาลัยสงขลานครนิ ทร์ สุทธิพงศ์ พรหมไพจิตร. 2541. บทบาทของสตรีกับการพัฒนาสังคม กรณีศึกษาจังหวัดปัตตานี. คณะ มนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั สงขลานครินทร์ สานกั งานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ. 2550, แนวความคิดเกย่ี วกับการบริหารราชการแบบมีสว่ นร่วม. [ออนไลน์]. เขา้ ถึงไดจ้ ากhttp://www.opdc.go.th/special.php?spc_id=3&content_id=301. (วนั ท่ีค้นข้อมลู : 20 สงิ หาคม 2557). สานักงานคณะกรรมการส่งเสรมิ และประสานงานสตรีแหง่ ชาติ.2536. สตรี ความท้าทายจากปจั จบุ นั สปู่ ี ค.ศ. 2000 women challenges to the year 2000. พมิ พ์ครัง้ แรก. กรุงเทพฯ : สานกั นายกรัฐมนตรี อคิน ระพีพัฒน์. 2527. การมีส่วนรว่ มของประชาชนในการพัฒนาในการมสี ่วนรว่ มของชมุ ชนในการพฒั นา ชนบทในสังคมวฒั นธรรมไทย. กรุงเทพมหานคร: ศักด์ิโสภาการพมิ พ์. อดิศักดิ์ ไฝทาคา. 2539. หลักการพัฒนาชมุ ชน. ขอนแก่น : ภาควิชาพัฒนาสังคม คณะมนษุ ยศาสตร์และ สงั คมศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ขอนแก่น องั คณา ช่วยคา้ ช.ู 2555. ความรุนแรงในครอบครัว : สาเหตุ ผลกระทบ และแนวทางการชว่ ยเหลือ. วารสาร ธรรมศาสตร์. 31(3), 130-145. 76 แนวทางการส่งเสริมบทบาทสตรใี นการขับเคลอ่ื นงานพัฒนาสงั คมเพอ่ื ป้องกนั และแกไ้ ขปัญหาความรุนแรงในครอบครัว

ภาคผนวก (แบบสอบถาม) แนวทางการสง่ เสริมบทบาทสตรใี นการขบั เคลอ่ื นงานพฒั นาสงั คมเพื่อปอ้ งกนั และแก้ไขปัญหาความรุนแรงในครอบครวั 77

แบบสอบถาม โครงการศึกษาวิจยั แนวทางการสง่ เสรมิ บทบาทสตรีในการขับเคล่อื น งานพัฒนาสังคมเพื่อป้องกนั และแกไ้ ขปัญหาความรุนแรงในครอบครวั ตอนท่ี 1 ขอมลู ทั่วไปของผูตอบแบบสอบถาม คําชแี้ จง : โปรดใสเคร่ืองหมาย  ใน  ท่ตี รงกับความเปนจรงิ และโปรดตอบคาํ ถาม ใหครบทุกข้อ 1. เพศ  1. ชาย  2. หญิง 2. อายุ  1. ตํ่ากวา่ 20 ป  2. 21 - 30 ป  3. 31 - 40 ป  4. 41 - 50 ป  5. สูงกว่า 50 ป 3. ระดับการศึกษาสูงสุด  1. ต่ํากวา่ มธั ยมศึกษาตอนปลายหรอื เทียบเทา (ม.6/ ปวช.)  2. มธั ยมศกึ ษาตอนปลาย/หรือเทียบเทา (ม.6/ ปวช.)  3. อนปุ ริญญาหรือเทยี บเทา (ปวส.)  4. ปริญญาตรี  5. สูงกวาปริญญาตรี 4. สถานการสมรส  1. โสด  2. สมรส  3. อยา่ รา้ ง/แยกทาง  4. หม้าย 5. อาชพี  1. ทําการเกษตร  2. ประกอบธุรกิจสวนตัว/รบั จา้ งท่ัวไป  3. ขาราชการ/ รฐั วิสาหกจิ  4. พนกั งานบริษทั / โรงงาน  5. อ่นื ๆ ระบุ………………………………… 6. รายไดตอเดือน (ยังไมหกั คาใชจาย)  1. ตาํ่ กว่า 10,000 บาท  2. 10,001 - 20,000 บาท  3. 20,001 - 30,000 บาท  4. 30,001 - 40,000 บาท  5. มากกวา่ 40,000 78 แนวทางการสง่ เสริมบทบาทสตรีในการขบั เคลื่อนงานพัฒนาสงั คมเพือ่ ปอ้ งกนั และแก้ไขปญั หาความรนุ แรงในครอบครัว

ตอนที่ 2 บทบาทสตรี ปัจจัยและปญั หาอุปสรรค การเข้าไปมีสว่ นร่วมในพฒั นาชุมชนในตาํ บลและการ กระทาํ ความรนุ แรงในครอบครวั 7. ท่านมีตําแหนง่ อะไรบ้างในชมุ ชน  1. ไมม่ ี  2. มี (เลือกตอบได้มากกว่า 1 ขอ้ )  2.1. คณะกรรมการกลุ่มองค์กรตา่ ง ๆ ในชุมชน  2.2. ผนู้ าํ หมบู่ า้ น (กํานัน ผูใ้ หญ่บ้าน ผูช้ ่วยผู้ใหญ่บา้ น)  2.3. ผบู้ ริหารองคก์ รปกครองส่วนท้องถนิ่ (อปท.)  2.4. สมาชกิ องค์กรปกครองสว่ นทอ้ งถ่ิน (อปท.)  2.5. อาสาสมัครในชุมชน (อสม. อพม.)  2.6. ขา้ ราชการ/พนกั งานของรัฐในตําบล  2.7. อนื่ ๆ ระบ.ุ ....................................................... 8. ปัจจยั ทีท่ าํ ให้ทา่ นเข้าไปมสี ่วนรว่ มในกจิ กรรมการพฒั นาในชมุ ชนของท่าน (ตอบได้มากกว่า 1 ขอ้ )  1. ความสมัครใจ/การตัดสนิ ใจของตนเอง  2. การชกั นําจากเจ้าหน้าที่ของรัฐ  3. การชักนาํ จากเพ่อื นบ้าน  4. การมีความรคู้ วามสามารถในกิจกรรมท่ีเขา้ รว่ ม  5. ตอ้ งการเขา้ ไปทาํ ประโยชนใ์ ห้ชุมชน  6. ศกั ดิ์ศรขี องสตรีต้องการยอมรบั นบั ถือ  7. ตอ้ งการสร้างความสัมพนั ธ์ที่ดีกับเพื่อนบ้าน  8. ตอ้ งการตําแหนง่ ทางสงั คม  9. อน่ื ๆ ระบุ........................................................ 9. ทา่ นมปี ัญหาอุปสรรคในการเขา้ ไปมีส่วนรว่ มในการพัฒนาชมุ ชน  1. ไม่มี  2. มี (เลอื กตอบได้มากกวา่ 1 ขอ้ )  2.1 มีภาระการดแู ลเร่ืองภายในครอบครวั  2.2 ความแตง่ ต่างทางเพศที่สังคมมองวา่ สตรมี ีศักยภาพน้อยกวา่ เพศชาย  2.3 ขาดความตระหนกั ในศักยภาพของตนเอง  2.4 การไม่ยอมรับของสามีท่จี ะต้องใหภ้ รรยาเขา้ ไปมีสว่ นรว่ มในการพัฒนาชมุ ชน  2.5 สังคม/ชมุ ชนไม่ยอมรบั ผู้หญิงให้ไปเป็นผู้นาํ และมีอาํ นาจในการตัดสนิ ใจในการพัฒนา  2.6 อื่น ๆ ระบ.ุ ......................................................................................... แนวทางการส่งเสริมบทบาทสตรีในการขับเคลอ่ื นงานพฒั นาสังคมเพอื่ ปอ้ งกนั และแก้ไขปัญหาความรุนแรงในครอบครัว 79

10. ท่านเคยรบั รู้หรือไม่ ว่ามีพระราชบญั ญัติผู้ถกู กระทาํ ความรุนแรงในครอบครวั พ.ศ. 2550  1. ไมเ่ คยรบั รู้  2. เคยรับรู้ (เลือกตอบไดม้ ากกว่า 1 ข้อ)  2.1 รับรจู้ ากเจา้ หน้าท่ขี องหนว่ ยงานภาครัฐที่เก่ียวขอ้ ง  2.2 รบั รูจ้ ากเจา้ หน้าทีข่ ององค์กรปกครองสว่ นท้องถิ่น  2.3 รบั รจู้ ากผูน้ ําชมุ ชน  2.4 รับรู้จากเพ่ือนบ้าน  2.3 รบั รจู้ ากอาสาสมคั รในหมูบ่ า้ น  2.5 รบั ร้จู ากแหลง่ อ่นื ๆ ระบุ ......................................... 11. ในครอบครวั ของท่านมีปัญหาความรนุ แรงในครอบครัวหรือไม่  1. ไม่มี  2. มี (เลอื กตอบไดม้ ากกวา่ 1 ข้อ)  2.1 สามีทํารา้ ยรา่ งกายภรรยา  2.2 ภรรยาทําร้ายรา่ งกายสามี  2.3 บดิ าทําร้ายรา่ งกายบตุ ร  2.4 มารดาทาํ รา้ ยรา่ งกายบตุ ร  2.5 บตุ รทําร้ายร่างกายบิดา/มารดา  2.6 ปู ยา ตา ยาย ทาํ รา้ ยร่างกายหลาน  2.7 หลานทาํ รา้ ยรา่ งกาย ปู ยา ตา ยาย  2.8 บิดาละเมดิ ทางเพศบตุ ร  2.9 บิดาเล้ยี ง (พ่อเลี้ยง) ละเมดิ ทางเพศบตุ รเล้ยี ง  2.10 อน่ื ๆ ระบ.ุ ............................................................ 12. ในชุมชนของทา่ นมปี ญั หาความรนุ แรงในครอบครวั หรือไม่  1. ไม่มี  2. มี (เลือกตอบได้มากกวา่ 1 ขอ้ )  2.1 สามที ําร้ายร่างกายภรรยา  2.2 ภรรยาทํารา้ ยรา่ งกายสามี  2.3 บิดาทํารา้ ยร่างกายบุตร  2.4 มารดาทาํ รา้ ยรา่ งกายบตุ ร  2.5 บุตรทําร้ายร่างกายบิดา/มารดา  2.6 ปู ยา ตา ยาย ทาํ ร้ายร่างกายหลาน 80 แนวทางการสง่ เสรมิ บทบาทสตรใี นการขับเคล่อื นงานพัฒนาสังคมเพือ่ ปอ้ งกนั และแก้ไขปญั หาความรุนแรงในครอบครวั

 2.7 หลานทําร้ายร่างกาย ปู ยา ตา ยาย  2.8 บิดาละเมดิ ทางเพศบตุ ร  2.9 บดิ าเลีย้ ง (พ่อเล้ียง) ละเมดิ ทางเพศบุตรเลย้ี ง  2.10 อื่น ๆ ระบ.ุ ........................................................................................................... 13. สาเหตทุ ่ที าํ ใหเ้ กิดปญั หาความรนุ แรงในครอบครัว  1. การไม่ปฏบิ ัติหรือไมเ่ ช่ือฟงั ตามคาํ สง่ั  2. ติดยาเสพติด  3. ทะเลาะวิวาท  4. เมาสุรา  5. ความหงึ หวง สาม/ี ภรรยานอกใจ  6. ปว่ ยจิตเวช  7. ติดการพนัน  8. อ่ืน ๆ ระบ.ุ .......................................... 14. เมอื่ เกิดปัญหาการกระทําความรนุ แรงในครอบครวั ของท่านมีวิธีการแก้ไขปัญหาอยา่ งไร  1. การออมชอม/พดู คุยปรับความเขา้ ใจใหเ้ ขา้ ใจกัน  2. การไกลเ่ กล่ียใหย้ อมความ  3. การรอ้ งทุกข์ดําเนนิ คดีทางกฎหมาย  4. แจ้งหน่วยงานทเ่ี กยี่ วขอ้ งเข้ามาแก้ไขปญั หา  5. อื่น ๆ ระบุ........................................................................................................................ 15. ชุมชนของทา่ นมโี ครงการ/กจิ กรรมในการป้องกนั และแก้ไขปัญหาความรนุ แรงในครอบครวั หรอื ไม่  1. ไม่มี  2. มี ระบุ.................................................................................................................. ............ 16. ทา่ นเคยเขา้ ไปมีสว่ นร่วมในการป้องกนั และแก้ไขปัญหาความรุนแรงในครอบครัวในชุมชนหรอื ไม่  1. ไม่เคย  2. เคย (เลือกตอบได้มากกวา่ 1 ข้อ)  2.1 เคยเข้ารว่ มค้นหาปัญหาและแนวทางแก้ไขปัญหา  2.2 ร่วมจดั ทําแผนงาน/โครงการ การแกไ้ ขปัญหา  2.3 ร่วมดาํ เนนิ การกจิ กรรมโครงการ  2.4 ร่วมการประเมินผลแผนงาน/โครงการ/กิจกรรม  2.5 รว่ มในเรอ่ื งอ่ืน ๆ ระบ.ุ ............................................................... 17. เม่ือเกิดปัญหารุนแรงในครอบครวั ในชมุ ชนของท่าน ได้มีหน่วยงานและองค์กรใดบา้ งเขา้ มามีสว่ นรว่ มหา แนวทางป้องกันและแก้ไขปัญหาความรนุ แรง (เลอื กตอบได้มากกว่า 1 ข้อ)  1. หน่วยงานภาครัฐกระทรวงการพัฒนาสงั คมและความมนั่ คงของมนษุ ย์  2. องคก์ รปกครองส่วนท้องถ่ิน  3. ผนู้ าํ หมูบ่ า้ น/ผนู้ ําชุมชน  4. ภาคเอกชน  5. ประชาชนในหมบู่ ้าน  6. อ่นื ๆ ระบุ........................................................ แนวทางการส่งเสริมบทบาทสตรีในการขบั เคลื่อนงานพฒั นาสงั คมเพ่ือปอ้ งกันและแก้ไขปัญหาความรุนแรงในครอบครวั 81

18. การเข้าไปมีสว่ นร่วมของสตรีในกิจกรรมการพัฒนาชุมชนและแก้ไขปัญหาความรนุ แรงในครอบครวั คําช้แี จง : โปรดใส่เครอ่ื งหมาย  ในช่องที่ตรงกบั การเข้าไปมีสว่ นรว่ มของทา่ น ข้อที่ กจิ กรรมการมสี ่วนรว่ มของสตรี การมีส่วนรว่ ม เข้าร่วม ไมเ่ คยเขา้ รว่ ม 18.1 รว่ มกับคณะกรรมการหมู่บ้านสาํ รวจข้อมลู ต่าง ๆในชุมชน 18.2 การเสนอปญั หาตา่ ง ๆในหมู่บ้านใหก้ บั ผ้นู ําหมบู่ า้ นหรือคณะกรรมการ หมบู่ ้าน เพื่อหาแนวทางแก้ไข 18.3 การเสนอข้อคิดเห็นต่าง ๆ เก่ียวกบั การพัฒนาหมบู่ ้านให้กับผู้นาํ หมูบ่ ้านและคณะกรรมการหมู่บ้าน 18.4 เข้าร่วมประชุมกับคระกรรมการหมู่บ้านเพ่ือวางแผนงานและโครงการ ตา่ ง ๆในการพฒั นาหมู่บา้ น/ชุมชน 18.5 การพูดคยุ แลกเปลีย่ นกบั ผู้นําหมูบ่ ้าน คณะกรรมการหมู่บา้ น และ เจา้ หนา้ ที่ อปท.ในการวางแผนงานและโครงการของสตรีในหม่บู ้าน 18.6 การเขา้ รว่ มเปน็ คณะกรรมการหมบู่ า้ น 18.7 การเขา้ ร่วมเป็นคณะกรรมการกลุ่ม/ชมรมต่าง ๆ 18.8 การเข้าร่วมเปน็ อาสาสมัครในชมุ ชน เช่น อสม. อพม. อปพร. ฯลฯ 18.9 การเข้ารว่ มกจิ กรรมทางศาสนา 18.10 การเขา้ ร่วมกจิ กรรมงานเทศการ/งานประเพณี 18.11 การเข้าร่วมในการคิด ตัดสนิ ใจ และการทาํ กิจกรรมต่าง ๆ ท่ีเกี่ยวข้อง กับการพฒั นาการศกึ ษาในชมุ ชน 18.12 การเข้าไปมีสว่ นร่วมในการใชแ้ รงงานในการพฒั นาชุมชน 18.13 การเข้าไปมีส่วนร่วมในการบริจาคเงินในการพัฒนาชุมชน 18.14 การเขา้ ไปมสี ่วนรว่ มในการบริจาคสิง่ ของ อุปกรณใ์ นการพัฒนาชมุ ชน 18.15 การเขา้ ไปมีบทบาทรว่ มในการตัดสินใจในกิจกรรมการพัฒนาชุมชน 18.16 การเข้าไปมสี ่วนรว่ มในการประเมนิ ผลในกิจกรรมการพัฒนาชุมชน 18.17 การเขา้ ไปมีสว่ นรว่ มในกิจกรรมทางดา้ นสาธารณสุข 18.18 การเสนอปญั หาความรนุ แรงในครอบครวั ให้กับผู้นาํ หมูบ่ า้ น คณะกรรมการหมู่บ้านและเจ้าหน้าที่ อปท.และหนว่ ยงานท่ีเกย่ี วข้อง 82 แนวทางการสง่ เสริมบทบาทสตรใี นการขับเคล่อื นงานพัฒนาสงั คมเพอ่ื ปอ้ งกันและแก้ไขปญั หาความรนุ แรงในครอบครัว

18.19 การเข้าไปมีสว่ นรว่ มในการสํารวจปัญหาความรนุ แรงในครอบครวั ทอี่ ยู่ ในชุมชนของท่าน 18.20 การเข้าไปมีสว่ นร่วมในการแก้ไขปัญหาความรนุ แรงในครอบครวั ร่วมกับผู้นําหมู่บา้ น คณะกรรมการหมบู่ ้านและเจา้ หนา้ ท่ี อปท.และ หน่วยงานรฐั ทเี่ กี่ยวขอ้ ง 19. ความเหน็ เกีย่ วกับบทบาทสตรีในการเขา้ ไปมสี ว่ นรว่ มในการพัฒนาชุมชนและการแกไ้ ขปญั หาความ รนุ แรงในครอบครัว คาํ ชแ้ี จง : โปรดใส่เครอื่ งหมาย  ในชอ่ งท่ตี รงกบั ความคิดเห็นของท่านมากท่ีสดุ ระดบั ความเห็นด้วย ข้อที่ บทบาทสตรี มากท่สี ดุ มาก ปาน น้อย นอ้ ย กลาง ทีส่ ุด 19.1 สตรคี วรเขา้ ไปมสี ่วนรว่ มในการเป็นผนู้ ําใน หมบู่ ้าน/ชุมชน 19.2 สตรีควรเขา้ ไปมีส่วนรว่ มในการเสนอความคิดเหน็ ในการพัฒนาหมู่บ้าน/ชุมชน 19.3 สตรเี ปน็ ผ้มู ีส่วนรว่ มในการตดั สินใจในกจิ กรรมตา่ ง ๆ ของหมู่บา้ น/ชุมชน 19.4 สตรคี วรเขา้ ไปมีสว่ นรว่ มในการประชุมของ หม่บู า้ น/ชมุ ชน 19.5 การไมย่ อมรบั ของคนในชุมชนตอ่ สตรีในการเขา้ ร่วมกจิ กรรมการพฒั นาชุมชน 19.6 การไมย่ อมรบั ของสามใี นการให้ภรรยาเขา้ รว่ ม กิจกรรมการพัฒนาชุมชน 19.7 ความเชอื่ คา่ นยิ มทีม่ ีต่อสตรที ี่ตอ้ งเปน็ ผ้มู ภี าระการ ดูแลเรือ่ งภายในครอบครวั ไม่จําเปน็ ตอ้ งเข้าไปมี ส่วนร่วมในกจิ กรรมการพฒั นาชมุ ชน 19.8 ปัญหาเร่อื งเพศ ท่ีมองว่าเพศหญิงมศี ักยภาพการ ทาํ งานในกิจกรรมทางสงั คมสู้เพศชายไม่ได้ 19.9 โครงสร้างทางสังคมและวัฒนธรรมทยี่ งั ใหเ้ กียรติ ผชู้ ายเขา้ มาเป็นผูน้ าํ และมอี ํานาจในการตดั สนิ ใจ มากกว่าผ้หู ญิง 19.10 ความเสมอภาคระหวา่ งหญิงชายตอ้ งมีความเท่า เทยี มกนั แนวทางการส่งเสริมบทบาทสตรใี นการขับเคลอ่ื นงานพัฒนาสังคมเพื่อปอ้ งกันและแกไ้ ขปัญหาความรุนแรงในครอบครวั 83

19.11 การทะเลาะกนั ในครอบครัวเป็นเร่ืองภายใน ครอบครวั คนนอกไมเ่ กี่ยว 19.12 ผหู้ ญิงเปน็ วัตถุทางเพศ ซง่ึ ภรรยาจะต้องเปน็ ผู้ รองรับอารมณ์ทางเพศจากสามี 19.13 เม่อื เกดิ ปัญหาความรนุ แรงในครอบครวั สตรตี ้อง เป็นผู้มีบทบาทสําคญั ในการแกไ้ ขปัญหา 19.14 เมอื่ พบการกระทาํ ความรุนแรงในครอบครัวจะต้อง แจ้งให้พนักงานเจา้ หน้าท่ผี ู้เก่ียวข้องทราบเพ่ือ ดาํ เนินการตามกฎหมาย 19.15 การสง่ เสรมิ บทบาทสตรจี ะต้องมีการพฒั นา ศกั ยภาพและความพร้อมของสตรี 19.16 การพัฒนาบทบาทสตรจี ะตอ้ งมกี ารส่งเสริมความ เสมอภาคและการค้มุ ครองทางสงั คม 19.17 การพฒั นาบทบาทสตรีจะตอ้ งมกี ารพัฒนาองค์กร ดา้ นสตรีควบค่กู บั การบรหิ ารจัดการในการ ดาํ เนนิ การดา้ นสตรี 19.18 การพฒั นาบทบาทสตรจี ะตอ้ งใหส้ ตรเี ขา้ ไปมสี ่วน รว่ มในขบวนการตดั สินใจทุกระดบั 19.19 การพฒั นาบทบาทสตรจี ะตอ้ งมกี ารพฒั นาส่อื เพือ่ การสื่อสารการดําเนนิ งานด้านสตรี 19.20 การสง่ เสริมบทบาทสตรใี นการขับเคลอื่ นงาน พัฒนาสงั คมเพ่ือปอ้ งกนั และแกไ้ ขปัญหาความ รุนแรงในครอบครวั จะต้องเสรมิ สรา้ งความรู้ความ เข้าใจในพระราชบญั ญัติคุ้มครองผู้ถูกกระทําดว้ ย ความรุนแรงในครอบครวั พ.ศ.2500ให้กับสตรี 20. ข้อเสนอแนะ เพม่ิ เติมในการพัฒนาบทบาทสตรเี พอื่ การขบั เคลอื่ นงานพัฒนาสงั คมในการปอ้ งกันและ แกไ้ ขปัญหาความรนุ แรงในครอบครวั ......................................................................................................................................................................... ......................................................................................................................................................................... ......................................................................................................................................................................... ......................................................................................................................................................................... ......................................................................................................................................................................... ......................................................................................................................................................................... 84 แนวทางการสง่ เสริมบทบาทสตรใี นการขบั เคล่อื นงานพฒั นาสงั คมเพื่อปอ้ งกันและแกไ้ ขปญั หาความรนุ แรงในครอบครวั

......................................................................................................................................................................... ประเดน็ คาํ ถามขอ้ มูลเชิงคุณภาพ (Focus group) โครงการศึกษาวจิ ัยแนวทางการสง่ เสรมิ บทบาทสตรีในการขบั เคล่อื นงานพฒั นาสังคมเพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหา ความรุนแรงในครอบครัว 1. บทบาทสตรีในการเขา้ ไปมีสว่ นรว่ มในกิจกรรมการพฒั นาหมบู่ ้าน/ชมุ ชน/ตําบล 2. ปจั จยั ที่มีต่อบทบาทสตรี ในการเข้าไปมสี ว่ นรว่ มในกิจกรรมพฒั นาหมู่บา้ น/ชมุ ชน/ตําบล 3. ปัญหาอุปสรรคของสตรใี นการเข้าไปมีสว่ นร่วมในกิจกรรมพฒั นาหมบู่ ้าน/ชุมชน/ตําบล 4. สถานการณป์ ญั หาความรุนแรงในครอบครวั ในชุมชน/ตําบล 5. สาเหตขุ องความรุนแรงในครอบครวั ท่ีมีเกิดข้นึ ในชมุ ชน/ตาํ บล 6. ปัจจัยทมี่ ผี ลต่อการกระทาํ ความรุนแรงในครอบครวั 7. ผลกระทบทีเ่ กดิ จากปัญหาความรุนแรงในครอบครัว 8. แนวทางการแกไ้ ขปัญหาความรนุ แรงในครอบครัว 9. บทบาทสตรีในการป้องกันและแก้ไขปัญหาความรุนแรงในครอบครัว 10. โครงการ/กิจกรรมของภาครัฐ เอกชน และประชาชน ทีเ่ กี่ยวขอ้ ง ทีมกี ารดาํ เนินการในการปอ้ งกันและ แก้ไขปญั หาความรุนแรงในครอบครัวในตําบล 11. แนวทางการสง่ เสรมิ บทบาทสตรีในการขบั เคลื่อนกจิ กรรมเพื่อปอ้ งกันและแก้ไขปัญหาความรนุ แรงใน ครอบครวั แนวทางการส่งเสริมบทบาทสตรใี นการขบั เคลื่อนงานพัฒนาสังคมเพ่อื ปอ้ งกนั และแก้ไขปัญหาความรุนแรงในครอบครวั 85

คณะผดู้ าํ เนินงานวิจยั ทีป่ รึกษาโครงการ 1. อาจารย์ กลั ยรัศม์ิ ทิณรัตน์ อาจารยป์ ระจําสาขาวิทยาการจัดการ คณะเทคโนโลยีสังคม มหาวทิ ยาลยั กาฬสนิ ธุ์ หัวหนา้ โครงการ ผู้อํานวยการสาํ นักงานส่งเสรมิ และสนบั สนนุ วิชาการ 7 1. นายธาํ รง ธวชั วะชุม คณะผูว้ ิจยั นักพัฒนาสังคมชาํ นาญการพิเศษ หวั หน้าผู้วิจัย พนกั งานบริการ 1. นายสมศักดิ์ สีนามโหนง่ พนกั งานบริการ 2. นางสทุ ธินันท์ สนี ามโหน่ง พนกั งานบริการ 3. นายคชาวุธ บุตรกลุ 4. นายวริ ตั น์ สภุ ารักษ์ 86 แนวทางการสง่ เสริมบทบาทสตรใี นการขบั เคล่อื นงานพฒั นาสงั คมเพอื่ ปอ้ งกันและแก้ไขปญั หาความรนุ แรงในครอบครวั

g{r a.


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook