จัดทาํ โดย นายอนันตต์ รา คชพงษ์ ม.4/4 เลขที่ 5
คํานาํ สมุดภาพ “ตํานานอักษรจีน” เล่มนี้เป็นส่วนหน่ึงของวิชา ส 31104 ประวัติศาสตร์สากล ในระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 มีจุดประสงค์เพ่ือค้นคว้า และเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับตํานานอักษรจีน ซ่ึงภายในสมุดภาพได้รวบรวม เน้ือหาเกี่ยวกับช่วงเวลาของอักษรจีน ที่มาและลักษณะของอักษรจีนใน แต่ละยุคตั้งแต่โบราณจนถึงปั จจุบัน รวมถึงบทสรุปวิวัฒนาการของอักษรจีน โดยข้อมูลทั้งหมดจะถูกจัดหมวดหมู่อย่างเป็ นระเบียบและครบถ้วนสมบูรณ์ นาํ เสนอพรอ้ มภาพประกอบ เพ่อื ทาํ ให้งา่ ยต่อการเขา้ ใจมากยงิ่ ข้ึน ผู้จัดทําต้องขอขอบคุณ อาจารย์ศิริธร นรสิทธิ์ ผู้ให้ความรู้และ แนวทางการศึกษามาโดยตลอด ผูจ้ ัดทําหวังวา่ สมุดภาพเล่มนี้จะให้ความรู้และ เป็นประโยชนแ์ กผ่ อู้ ่านทุก ๆ ทา่ น อนันต์ตรา คชพงษ์ 28 มกราคม 2565 ก
สารบญั เน้อื หา หน้า คาํ นํา ก สารบญั ข ช่วงเวลาของอักษรจีน 1 ทมี่ าและลักษณะของอกั ษรจนี ในแตล่ ะยคุ 3 - อกั ษรกระดองเตา่ หรอื อกั ษรบนกระดกู สตั ว์ 4 - อกั ษรจนิ เหวนิ 6 - อกั ษรเสยี่ วจ้วน 7 - อักษรลซี่ ู 8 - อกั ษรขา่ ยซู 9 - อกั ษรเฉ่าซู 10 - อักษรสิงซู 11 - บทสรปุ ววิ ัฒนาการของอกั ษรจีน 12 บรรณานุกรม 13 ข
ชว่ งเวลา ของอักษรจนี 1
ชว่ งเวลาของอกั ษรจนี ตาํ นานของอกั ษรจนี สามารถแบง่ ออกเป็นชว่ งเวลาได้ดงั นี้ 1. ชว่ งเวลาอักษรจีนโบราณ 1.1 อกั ษรกระดองเตา่ หรอื อักษรบนกระดูกสัตว์ (甲骨文) สมัยราชวงศซ์ าง ปี 1766-1122 กอ่ นครสิ ต์ศักราช 1.2 อักษรจนิ เหวิน (金文) สมยั ราชวงศโ์ จว ปี 1122-256 กอ่ นคริสต์ศักราช 1.3 อักษรเสีย่ วจ้วน (小篆) สมยั ราชวงศ์ฉิน ปี 221-206 กอ่ นคริสต์ศักราช 2. ชว่ งเวลาอักษรจีนปั จจุบนั 2.1 อกั ษรลีซ่ ู (隶书) สมัยราชวงศฮ์ ัน่ 220 ปีกอ่ นครสิ ต์ศกั ราช–ปั จจบุ ัน 2.2 อักษรขา่ ยซู (楷书) สมัยปลายราชวงศ์ฮนั่ 206 ปีกอ่ นครสิ ตศ์ ักราช-ปั จจุบัน 2.3 อกั ษรเฉา่ ซู (草书) เป็ นศิลปะการเขียนพู่กันแบบหวัดที่เกิดข้ึนในสมัยราชวงศ์ฮั่นตะวันออก ปี ค.ศ. 25–ปั จจบุ ัน 2.4 อกั ษรสงิ ซู (行书) เป็นศิลปะการเขียนพูก่ ันแบบหวัดที่เกิดข้ึนหลังสมัยเว่ย-จิ้น ปี ค.ศ. 265- ปั จจุบนั 3.ชว่ งเวลาการยอ่ รปู ของอกั ษรจนี (简体字) เป็นอักษรจนี ทีถ่ กู ลดขดี ให้เหลือขีดนอ้ ยลงในสมัยปฏิรปู อักษรจีนเม่อื ปี ค.ศ. 1956 ถูกใช้ในประเทศจีนแผ่นดินใหญ่และทั่วโลก 简体字 ซ่ึงอักษรจีนที่ไม่ได้ถูกลดรูปจะ ถูกเรียกวา่ 繁体字 ใช้ในไต้หวันและฮ่องกงเป็นหลกั 2
ที่มาและลกั ษณะ ของอักษรจีน ในแตล่ ะยุค 3
อกั ษรกระดองเตา่ หรอื อกั ษรบนกระดกู สตั ว์ (甲骨文) เม่ือปี ค.ศ. 1899 ชาวบ้านจากหมูบ่ า้ นเล็ก ๆ แห่งหน่ึงทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ของอําเภออันหยาง มณฑลเหอหนัน ประเทศจีนได้ คน้ พบสิ่งที่เรียกกันว่า “กระดูกมังกร” จึงนํามาใช้ทําเป็นตัวยารักษาโรค ต่อมาเน่ืองจากพ่อค้าหวังอี้หรงเกิดความสนใจต่อตัว อักษรบนกระดูก จึงสะสมไวม้ ีจํานวนกวา่ 5,000 ชิน้ และส่งให้ผเู้ ชยี่ วชาญทําการศึกษาวิจัย จึงพบว่ากระดูกมังกรนั้นแท้ที่จริงคือกระดูกที่จารึกอักขระโบราณของยุคสมัยราชวงศ์ซาง ทมี่ ีอายเุ กา่ แกถ่ งึ 1,300 ปีกอ่ นครสิ ตกาล อักษรกระดองเต่าเป็นอักษรโบราณ ที่ มี อ า ยุ เ ก่ า แ ก่ ที่ สุ ด ข อ ง จี น เ ท่ า ที่ มี ก า ร ค้นพบในปั จจุบัน ส่วนมากอยู่ในรูปของ บันทึกการทํานายที่ใช้มีดแกะสลักหรือจาร ลงบนกระดองเต่าหรือกระดูกสัตว์ ปรากฏ แพร่หลายในราชสํานักซางเม่ือ 1,300– 1,100 ปี ก่อนคริสตกาล ลักษณะของ ตัวอักษรบางส่วนยังคงมีลักษณะของความ เป็นอักษรภาพอยู่ โครงสร้างตัวอักษรเป็น รูปวงรี มีขนาดใหญ่เล็กแตกต่างกัน บ้างก็ มคี วามสงู ถึงนิว้ กวา่ บา้ งก็เลก็ เทา่ เมลด็ ขา้ ว บางครั้งในอักขระตัวเดียวกันยังมีวิธีการ เขียนทแี่ ตกตา่ งกนั อักษรกระดองเต่า หรืออักษรบน กระดูกสัตว์ ยังมีการพัฒนาการในแต่ละ ช่วงเวลา โดยมีลักษณะพิเศษ กล่าวคือ ตวั อกั ษรจีนโบราณทีจ่ ารลงบนกระดองเตา่ ยุคต้นตัวอักษรมีขนาดใหญ่ ยุคกลางมีขนาดเล็กและลายเส้นที่เรียบง่ายกว่า ความเป็น เอกภาพของแต่ละตัวอักษรยังไม่คงที่ บางครั้งตัวอักษรหลายตัวเขียนชิดติดกันจนดูคล้าย กบั เป็นตัวอกั ษรตวั เดียว หรือบางครัง้ ตัวอกั ษรเพยี งหน่ึงตวั แต่เขยี นห่างกันจนดเู หมอื นเป็น ตัวอักษรหลายตัว เม่ือถึงยุคปลายจะมีลักษณะใกล้เคียงกับอักษร 金文 หรือ 4 อักษรโลหะ/สําริด ทมี่ ีความเป็นระเบยี บมากข้นึ
ตวั อักษรจนี โบราณทีจ่ ารลงบนกระดองเต่า ตัวอักษรจนี โบราณทีจ่ ารลงบนกระดกู สตั ว์ 5
อักษรจินเหวิน (金文) อักษรจินเหวิน (金文) หรืออักษรโลหะ เป็นอักษรที่ใช้ในสมัยซางต่อเน่ืองถึงราชวงศ์โจว (1,100–771 ปี ก่อนคริสตศักราช) มีช่ือเรียก อีกอยา่ งหน่ึงวา่ “จงติง่ เหวิน 钟鼎文” หมายถึง อักษรที่หลอมลงบนภาชนะทองเหลืองหรือสําริด เน่ืองจากตัวแทนภาชนะสําริดในยุคนั้น ได้แก่ “ติ่ง 鼎” ซ่ึงเป็นภาชนะคล้ายกระถางมีสามขา ใ ช้ แ ส ด ง ส ถ า น ะ ท า ง สั ง ค ม ข อ ง ค น ใ น ส มั ย นั้ น และตัวแทนจากเคร่ืองดนตรีที่ทําจากโลหะ คือ “จง 钟” หรอื ระฆัง อักษรโลหะจะมีลักษณะพิเศษ คือ มี กระถางสามขา ลายเส้นที่หนาหนัก ร่องลายเส้นราบเรียบที่ได้ ทีด่ ้านในมีการจารึกอกั ษรโลหะไว้ จากการหลอม ไม่ใช่การสลักลงบนเน้ือโลหะ อักษรโลหะในสมัยหลังรัชสมัยเฉิงหวังและคังหวังแห่งราชวงศ์โจว จะมีความสง่างาม สะทอ้ นภาพลักษณท์ สี่ ขุ ุมเยือกเย็น เน้ือหาที่บันทึกด้วยอักษรโลหะ โดยมากเป็นคําสั่งการของชนชั้นผูน้ ํา พิธีการบูชา บรรพบุรุษ บันทึกการทําสงคราม เป็นต้น มีการบันทึกการคน้ พบอักษรโลหะตัง้ แต่รัชสมัย ฮั่นอู่ตี้ในราชวงศ์ฮั่น (116 ปี ก่อนคริสตศักราช) บนภาชนะ “ติ่ง 鼎” ที่ส่งเข้าวังหลวง ดังนนั้ จึงมีการศกึ ษาและการทาํ อรรถาธบิ ายจากปั ญญาชนในยคุ ต่อมา 6 เน้อื หาทีบ่ ันทกึ ด้วยอักษรโลหะภายในกระถางสามขา
อกั ษรเสยี่ วจว้ น (小篆) ในสมัยชนุ ชิวจนั้ กวอ๋ จนถงึ ยคุ การกอ่ ตัง้ ราชวงศ์ฉิน (770–202 ปีกอ่ นคริสตศักราช) โครงสร้างของตัวอักษรจีนโดยมากยังคงรักษารูปแบบเดิมจากราชวงศ์โจวตะวันตก ซ่ึงนอกจากอักษรโลหะแล้ว ยังมีอักษรรูปแบบต่าง ๆ ที่เหมาะกับการบันทึกลงในวัสดุ แต่ละชนิด เช่น อักษรที่ใช้ในการลงนามสัตยาบันร่วมระหว่างแว่นแคว้นที่สลักลงบน แผน่ หยก จะเรียกวา่ “หนังสือพันธมิตร” หากสลักลงบนไม้ จะเรียกวา่ “สาส์นไม”้ หากสลัก ลงบนหนิ กเ็ รียก “ตัวหนังสือกลองหิน” เป็นต้น นอกจากนี้ ก่อนการรวมประเทศจีน บรรดาเจ้านคร หรือแว่นแคว้นต่างก็มีตัวอักษรที่ใช้แตกต่างกันไป ซ่ึงได้แก่ “อักษรจ้วนใหญ่หรือต้าจ้วน (大篆)” ซ่ึงเป็นต้นแบบของ เสีย่ วจว้ นในเวลาตอ่ มา อักษรจ้วนใหญ่ ภายหลังจากจิ๋นซีฮ่องเต้ได้รวมแผน่ ดินจีนเขา้ ด้วยกัน หรือตา้ จ้วน (大篆) ในปี ค.ศ. 221 แล้วจึงทําการปฏิรูประบบตัวอักษรครั้งใหญ่ กล่าวกันว่า ภายใต้การผลักดันของมหาเสนาบดีหลี่ซือ ได้มี การนําเอาตัวอักษรดั้งเดิมของรัฐฉิน (อักษรจ้วน) มาปรับให้ เรียบงา่ ยข้ึน จากนัน้ เผยแพร่ออกไปทัว่ ประเทศ ขณะเดียวกัน ก็ยกเลิกอักษรที่มีลักษณะเฉพาะจากแว่นแคว้นอ่ืน ๆ โดย อักษรที่ผ่านการปฏิรูปนี้ รวมเรียกว่า “เสี่ยวจ้วน (小篆)” ถอื เป็นอกั ษรทีใ่ ช้ทวั่ ประเทศจนี เป็นครงั้ แรก อกั ษรจ้วนเล็ก หรอื เสีย่ วจ้วน (小篆) 7
อกั ษรลซ่ี ู (隶书) ขณะทยี่ คุ สมัยราชวงศฉ์ ินประกาศใช้อักษรจว้ นเล็กอยา่ งเป็นทางการ พร้อมกันนัน้ ก็ ปรากฏว่ามีการใช้อักษรลี่ซู (隶书) ควบคู่กันไป โดยมีการประยุกต์มาจากการเขียน อักษรจ้วนอยา่ งง่าย อักษรลี่ซูทําให้อักษรจีนกา้ วเขา้ สู่ขอบเขตของอักษรสัญลักษณอ์ ยา่ ง เต็มรูปแบบ อาจกล่าวได้ว่า เป็นกระบวนการของการเปลี่ยนรูปจากอักษรโบราณที่ยังมี ความเป็นอักษรภาพส่อู ักษรจนี ทใี่ ช้ในปั จจุบนั สาํ หรับทมี่ าของอกั ษรลซี่ ูนัน้ กลา่ วกนั วา่ สมัยราชวงศ์ฉินมีทาสที่เรียกว่า เฉิงเหมีย่ ว เน่ืองจากกระทําความผิด จึงถูกสั่งจําคุก เฉิงเหมี่ยวที่อยู่ในคุกคุมขังจึงคิดปรับปรุง ตัวอักษรจ้วนให้เขียนง่ายข้ึน จากโครงสร้างกลมเปลี่ยนเป็นสี่เหลี่ยม กลายเป็นอักษร รูปแบบใหม่ จิ๋นซีฮ่องเต้ทอดพระเนตรเห็นแล้วทรงโปรดอย่างมาก จึงทรงแต่งตั้งให้ เฉิงเหมี่ยวทําหน้าที่อารักษ์ในวังหลวง ต่อมาตัวหนังสือชนิดนี้แพร่หลายออกไป จึงมีการ เรียกช่อื ตวั หนงั สือชนดิ นีว้ า่ อกั ษรลซี่ ู (คําวา่ “隶” ในภาษาจนี หมายถงึ ทาส) แต่ในเชิงโบราณคดีนั้นพบว่า อักษรลี่ซูเป็นอักษรที่ใช้เขียนบนวัสดุที่ทําจากไม้ หรือไมไ้ ผม่ าตัง้ แตย่ คุ จนั้ กวอ๋ จนถงึ สมยั ราชวงศ์ฉิน และมพี ัฒนาการมาเร่ือย ๆ จวบถึงสมัย ราชวงศฮ์ ัน่ ไดก้ ลายเป็นอกั ษรทีไ่ ดร้ บั ความนิยมสงู สดุ อักษรลีซ่ ู (隶书) 8
อกั ษรข่ายซู (楷书) อักษรขา่ ยซู (楷书) หรือเรียกอีกอย่างหน่ึงว่าอักษรจริง (真书) เป็นอักษรจีน รปู แบบมาตรฐานใช้กนั อยา่ งแพร่หลายในปั จจุบัน (คําวา่ “楷” มีความหมายวา่ แบบฉบับ หรือตัวอย่าง) อักษรข่ายซูเป็นเส้นสัญลักษณ์ที่ประกอบกันข้ึน ภายใต้กรอบสี่เหลี่ยม หลดุ พน้ จากรูปแบบอักษรภาพของตัวอักขระยุคโบราณอยา่ งสนิ้ เชิง อกั ษรขา่ ยซู (楷书) อักษรข่ายซูมีต้นกําเนิดในยุคปลายราชวงศ์ฮั่นตะวันออก ภายหลังราชวงศ์วุ่ยจิ้น หรือสามกก๊ (ค.ศ. 220–316) ได้รับความนิยมอยา่ งแพร่หลาย จากการกา้ วเขา้ สู่ขอบเขต ขั้นใหม่ของอักษรลี่ซู พัฒนาตามมาด้วยอักษรข่ายซู เฉ่าซู และสิงซู กา้ วพน้ จากขอ้ จํากัด ของลายเส้นทีม่ าจากการแกะสลัก เม่ือถึงยุคราชวงศ์ถัง (ค.ศ. 618-907) จึงกา้ วสู่ยุคทอง ของอกั ษรขา่ ยซอู ยา่ งแทจ้ รงิ จวบจนปั จจุบนั อักษรขา่ ยซยู งั คงเป็นอักษรมาตรฐานของจนี 9
อักษรเฉา่ ซู (草书) ตั้งแต่กําเนิดมีตัวอักษรจีนเป็นต้นมา อักษรแต่ละรูปแบบล้วนมีวิธีการเขียนแบบ ตัวหวัดทั้งสิ้น จวบจนถึงราชวงศ์ฮั่น อักษรหวัดจึงได้รับการเรียกขานว่า “อักษรเฉ่าซู (草书)” อยา่ งเป็นทางการ (คาํ วา่ “草” ในภาษาจนี หมายถงึ อยา่ งลวก ๆ) อักษรเฉ่าซู (草书) อักษรเฉ่าซูเกิดจากการนําเอาลายเส้นที่มีแต่เดิมมาย่นย่อเหลือเพียงขีดเส้นเดียว โดยฉีกออกจากรูปแบบอันจําเจของกรอบสี่เหลี่ยมในอักษรจีน หลุดพน้ จากขอ้ จํากัดของ ขั้นตอนวิธีการขีดเขียนอักษรในแบบมาตรฐานตัวคัด หรือข่ายซู ในขณะที่อักษรข่ายซู อาจจะประกอบข้ึนจากลายเส้นสิบกว่าสาย แต่อักษรเฉ่าซูใช้เพียง 2–3 ขีด ก็สามารถ ประกอบเป็นสัญลักษณเ์ ช่นเดียวกันได้ การเขียนอักษรจีนแบบหวัดถือเป็นศิลปะอยา่ งหน่ึง ของนักปราชญช์ าวจนี ในสมัยโบราณ มีนักคิดนักเขียนหลายทา่ นทีเ่ ขียนอักษรจีนแบบหวัด สวยงามจนกลายมาเป็นแบบอยา่ งของการเขียนพกู่ นั แบบหวัดในปั จจุบัน การปล่อยให้เส้น และลายเคล่ือนไหวไปตามธรรมชาติโดยไม่ได้อยู่ในกรอบ ทําให้ผู้เขียนสามารถสะท้อน ความรสู้ ึก ณ เวลานัน้ ออกมาผา่ นตวั อกั ษรได้ ความสําคัญของอักษรแบบหวัด คือ การทําให้ตัวอักษรหลาย ๆ ตัวถูกลดจํานวน ขดี ลง และถอื เป็นหน่ึงในพ้ืนฐานของการลดขีดของตัวอกั ษรในปั จจุบัน 10
อักษรสงิ ซู (行书) อักษรสิงซู (行书) เป็ นรูปแบบตัวอักษรที่อยู่ก่ึงกลางระหว่างอักษรข่ายซู และอักษรเฉ่าซู เกิดจากการเขียนอักษรตัวบรรจงที่เขียนอย่างหวัด หรืออักษรตัวหวัดที่ เขียนอย่างบรรจง อาจกล่าวได้ว่า เป็นตัวอักษรก่ึงตัวหวัดและก่ึงบรรจง อักษรสิงซูกําเนิด ข้ึนในราวปลายราชวงศ์ฮั่นตะวันออก รวบรวมเอาปมเด่นของอักษรข่ายซูและเฉ่าซู เขา้ ด้วยกัน คอื การเขยี นแบบบรรจงแตต่ วดั ปลายพกู่ ันแบบอกั ษรหวัด อกั ษรสิงซู (行书) 11
บทสรปุ ตัวอักษรจีนสามารถแบ่งออกเป็ นอักขระที่ใช้ ในสมัยโบราณและอักษรที่ใช้ ใน ปั จจุบัน ตัวอยา่ งเช่น อักษรลี่ซู ซ่ึงเป็นรูปแบบของอักขระโบราณ อันเป็นต้นแบบของการ ปฏิรูปลักษณะตัวอักษรจีนครั้งใหญ่ กลายเป็นเส้นแบ่งระหว่างอักษรรุ่นเก่าและใหม่ ยคุ สมยั ทใี่ ช้อกั ษรลซี่ แู ละกอ่ นหนา้ นัน้ ถือเป็นอักขระโบราณ ได้แก่ อักษรจารบนกระดูกสัตว์ หรือเจี๋ยกูเ่ หวินจากสมัยราชวงศ์ซาง อักษรโลหะจากราชวงศ์โจวตะวันตก อักษรเสี่ยวจ้วน จากยุคสมัยจั้นกว๋อและสมัยราชวงศ์ฉิน หลังจากกําเนิดอักษรลี่ซูให้ถือเป็ นอักษร ในยุคปั จจุบัน อันได้แก่ อักษรลีซ่ ู อักษรขา่ ยซู สําหรับอักษรเฉ่าซู และสิงซู อาจกล่าวได้ว่า เป็นเพยี งพฒั นาการของรปู แบบตัวอกั ษร ไมใ่ ช่วิวฒั นาการของตวั อักษรจนี โดยรวม ววิ ัฒนาการของอกั ษร 鸡 12
บรรณานกุ รม ณฐั กฤตา เปลสวุ รรณ. อักษรจีนโบราณ. [ออนไลน]์ . เขา้ ถึงเม่อื วนั ที่ 28 มกราคม 2565. สบื คน้ ไดจ้ าก https://sites.google.com/site/hellochinese401/wiwathnakar- khxng-taw-xaksr-cin โรงเรียนสอนภาษาจนี หอการคา้ ไทยจีน. การปฏิวัติตวั อักษรจนี . [ออนไลน]์ . เขา้ ถึงเม่ือวนั ที่ 28 มกราคม 2565. สบื คน้ ได้จาก http://www.tcbl-thai.net/index.php?lay= show&ac=article&Id=538741253 อาศรมสยาม-จีนวิทยา. ตาํ นานอกั ษรจีน. [ออนไลน]์ . เขา้ ถึงเม่อื วนั ที่ 28 มกราคม 2565. สืบคน้ ไดจ้ าก https://www.arsomsiam.com/evolution-of-chinese-characters/ 13
Search
Read the Text Version
- 1 - 18
Pages: