กลยทุ ธก์ ารเรยี นการสอน
คำนำ กลยุทธการจดั การเรียนรู้ให้กับนกั เรียน ผู้จดั ทำ ได้ศึกษาทฤษฎีการเรียนการสอน และรูปแบบการ สอนตา่ งๆ มาสังเคราะห์เปน็ รูปแบบการสอนของตนเอง เพือ่ นำมาใชใ้ นการจัดการเรยี นรู้ ผ้จู ดั ทำหวงั เป็น อย่างยง่ิ ว่าจะเป็นประโยชน์กับผ้ทู ี่สนใจมากก็นอ้ ย ผ้จู ัดทำ
สารบัญ 1 2 1.กลยทุ ธการเรยี นการสอน 5 2. ความตอ้ งการทฤษฎีการเรียนการสอน 6 3. ธรรมชาตขิ องทฤษฎกี ารเรียนการสอน 9 4.ทฤษฎีการเรียนการสอน 12 5.พิจารณาคุณลักษณะของผู้เรียน 20 6.การวจิ ัยการเรียนรู้ 22 7. ความเขา้ ใจของผู้เรียนและการเรยี นรู้ 23 8. การเรยี นการสอนที่เน้นผเู้ รียนเป็นศนู ยก์ ลาง 24 9.รูปแบบการเรยี นรแู้ ละวธิ กี ารจัดการเรียนการสอนทเ่ี น้นผู้เรยี นเปน็ ศนู ย์กลาง 26 10. การจดั การเรยี นรู้แบบ Active Learning 33 11. การจดั การเรียนรแู้ บบใช้โครงงานเป็นฐาน (PROJECT-BASED LEARNING) 38 12. เครอื่ งมือการสอนคิด 39 13. รูปแบบการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ 5E 42 14. การจัดการเรียนรู้แบบห้องเรียนกลบั ดา้ น Flipped Classroom 49 15. การกำหนดกลยุทธ์การสอนและกลยุทธ์การประเมินผลการเรยี นรู้ แหล่งอา้ งอิง
กลยทุ ธ์การเรยี นการสอน ในการออกแบบการเรียนการสอน ไม่ว่าจะออกแบบตามโมเดลของนักการศกึ ษาคนใดสิ่งหน่ึงที่ จะต้องพจิ ารณาก็คือ กลยุทธ์การเรียนการสอน (instructional strategies) คำวา่ “กลยทุ ธ์” เป็นการรวม วิธกี าร (method) วธิ ีปฏิบัติ (procedures) และเทคนคิ อย่างกวา้ งๆซง่ึ ครใู ช้ในการนำเสนอเน้ือหาวิชาให้กับ ผูเ้ รยี นและนำไปสู่ผลท่ีได้รบั ที่มปี ระสทิ ธิภาพ โดยปกติแล้วกลยุทธร์ วมถงึ วธิ ปี ฏิบตั หิ รือเทคนิคหลายๆอยา่ ง กลยทุ ธก์ ารเรียนการสอนทัว่ ไป คือ การบรรยาย การอภิปรายกลุ่มยอ่ ย การศกึ ษาค้นคว้าด้วยตนเอง การค้นควา้ มนห้องสมุด การเรยี นการสอนท่ใี ช่ส่ือ (mediated instruction) การฝึกหดั ซ้ำ ๆ การทำงานใน หอ้ งปฏิบัตกิ าร การฝกึ หดั (coaching) การตวิ (tutoring) วิธอี ุปนัยและนริ นยั การใช้บทเรยี นสำเร็จรปู การ แกป้ ัญหา และการตง้ั คำถาม อาจเป็นการเพยี งพอทจี่ ะกล่าวว่า ครเู ปน็ ผู้มกี ลยุทธ์การสอนของตนเอง ครตู กลงใจอย่างไรในการเลอื กกลยทุ ธก์ ารเรยี นการสอน ครูอาจจะพบได้ในค่มู ือหลกั สตู ร ซงึ่ ไม่ เพยี งแตจ่ ะให้กลยุทธท์ ีจ่ ะใช้เท่าน้ัน แต่มีจดุ ประสงคด์ ว้ ย และเปน็ ท่นี ่าเสยี ดายว่า ในคู่มือหลักสตู รไม่ได้มหี ัวข้อ เรื่องท่ีครูตอ้ งการเนน้ ปรากฏอย่ดู ้วย และบ่อยครง้ั แมว้ า่ จะมอี ยู่และหาได้ แตก่ ็ แต่ก็ไมเ่ หมาะกับความมุ่งหมาย ของครแู ละนักเรียน ผลก็คือ ครูต้องอาศยั ดลุ ยพินิจทางวชิ าชีพและเลือกกลยุทธท์ ่ีจะใชเ้ อง การเลือกกลยทุ ธ์ การสอนจะมีปญั หาน้อย เม่ือครูจำได้วา่ กลยทุ ธ์การสอนมาจากแหล่งสำคัญ 5แห่งคือ จุดประสงค์ เนื้อหาวิชา นกั เรยี น ชมุ ชน และครตู ัวเอง เนอ้ื หาในบทน้ปี ระกอบด้วยหัวสำคญั คือ สภาวการณก์ ารเรียนการสอนพื้นฐานของการเรยี นการ สอนปกติ ความต้องการทฤษฎกี ารเรยี นการสอน ธรรมชาติของทฤษฎีการเรยี นการสอน ทฤษฎกี ารเรยี นการ สอน หลักการเรยี นรู้ การวิจัยการเรยี นรู้ ความเข้าใจผู้เรยี นและการเรียนรู้
1.สภาวการณ์การเรียนการสอนพน้ื ฐานของการเรยี นการสอนปกติ เม่ือมีการเขยี น การจัดลำดับจดุ ประสงค์ และการสร้างแบบทดสอบแลว้ ผอู้ อกแบบการเรยี นการ สอนกพ็ ร้อมทจี่ ะพัฒนากลยุทธ์เพอ่ื การออกแบบสภาวการณ์ของการเรียนรตู้ ่าง ๆ ที่จะทำให้ประสบ ความสำเรจ็ ตามจดุ ประสงค์ ไม่ว่าการเรียนการสอนจะเป็นรูปแบบใด กจ็ ะมชี ดุ ของสภาวการณ์โดยท่วั ๆ ไปที่ จะใชก้ บั ทุกเหตกุ ารณก์ ารเรียนรู้ ไดอาแกรมของซลี ส์และคลาสโกว์ (Sells and Glasgow,1990:161) ได้ แสดงให้เห็นถึง สภาวการณ์การเรียนการสอน พ้ืนฐานของการเรียนการสอนปกติ สภาวการณ์เดียวกนั นจี้ ะ รวมอยใู่ นการเรยี นการสอนทุกชนดิ ไม่ว่าจะเปน็ การเรยี นด้วยตนเองหรือการเรยี นเปน็ กลมุ่ และไมว่ า่ จะใช้สอ่ื หรือวิธีการเรยี นการสอนใด เช่น การเรยี นการสอนโดยใชค้ อมพิวเตอร์ชว่ ยสอน ภาพยนตร์ สถานการณ์จำลอง ฯลฯ บทนำ (introduction) จะช่วยนำความตง้ั ใจของผู้เรียนไปสู่ภาระงานการเรียนรู้ (learningtask) จงู ใจผูเ้ รยี นดว้ ยการอธบิ ายประโยชนข์ องการประสบความสำเรจ็ ตามจดุ ประสงค์ และโยงความสมั พันธ์ของ การเรียนรใู้ หม่กับการเรียนรู้เดมิ ทม่ี ีมาก่อน การนำเสนอ (Presentation) เปน็ การนำเสนอสารสารสนเทศ ขอ้ ความจรงิ มโนทัศน์ หลกั การหรือ วธิ กี ารให้กับผ้เู รียน ข้อกำหนดของการนำเสนอจะหลากหลายไปตามแบบของการเรยี นรู้ที่จะทำใหป้ ระสบ ความสำเร็จ และข้ึนอยกู่ บั พฤตกิ รรมแรกเข้าเรียนหรือพฤติกรรมที่แสดงวา่ มีความพร้อมถงึ ระดับทจี่ ะรับการ สอน (entry-leve behavior) การทดสอบตามเกณฑ์ (criterion test) เปน็ การวัดความสำเร็จของผ้เู รยี นตามจดุ ประสงค์ปลายทาง (terminal objectives) การปฏบิ ัติตามเกณฑ์ (criterion practice) เกิดขนึ้ ในสถานการณเ์ ชน่ เดียวกับการ ทดสอบปลายภาค (การทดสอบหนสุดทา้ ย) โดยมีจุดประสงค์เพื่อการตดั สนิ ผเู้ รยี นวา่ มีความพร้อมทีจ่ ะสอบ ปลายภาคหรือมคี วามจำเป็นตอ้ งเรยี นซ่อมเสริม การปฏบิ ตั ใิ นระหวา่ งเรียน (transitional practice) เป็นการออกแบบช่วยผูเ้ รยี นใหส้ ร้างสะพานข้าม ชอ่ งวา่ งระหวา่ งพฤติกรรมทแ่ี สดงวา่ มีความพร้อมถงึ ระดับทจี่ ะรับการสอนกับพฤติกรรมทีก่ ำหนดโดย จุดประสงคป์ ลายทาง สง่ิ สำคัญท่คี วรจดจำเก่ยี วกับการปฏิบตั ใิ นระหว่างเรียน คือ เปน็ การเตรยี มตัวผู้เรยี นเพอ่ื การแสดงออกซ่ึงการปฏิบัตทิ ่ีเปน็ ไปตามเกณฑ์ การแนะนำ (guidance) เปน็ การฝกึ ทีฉ่ บั พลันท่ีชว่ ยเหลือใหผ้ ู้เรยี นแสดงออกอย่างถูกตอ้ งในชว่ งตน้ ของการปฏิบตั ิพบว่า จะมกี ารชว่ ยเหลอื มากและจะค่อยๆลดลง การชว่ ยเหลอื จะอยู่ในช่วงปฏบิ ัติในระหวา่ ง เรยี นเทา่ น้ัน สว่ นในช่วงของการปฏิบตั ิตามเกณฑ์ไมต่ ้องชว่ ย การให้ข้อมูลป้อนกลับ เปน็ สว่ นหน่ึงของการบูรณาการการปฏบิ ัติ เพื่อทีจ่ ะบอกกลบั ผเู้ รยี นว่า ปฏิบัติ ถูกต้องหรอื ปฏิบัติไม่ถูกต้อง และจะปรบั ปรุงการปฏิบัตนิ ัน้ อย่างไร การปฏิบตั ิแตเ่ พยี งอยา่ งเดียวโดยไม่มีข้อมูล ป้อนกลับไมเ่ ปน็ เพียงสำหรบั การเรยี นรทู้ ม่ี ปี ระสิทธภิ าพ
2.ความต้องการทฤษฎีการเรียนการสอน ทฤษฎกี ารเรยี นการสอน เป็นสิ่งจำเป็นท่จี ะผนวกเขา้ กับทฤษฎีการเรียนรู้โดยไม่มีข้อโต้แย้ง การ พฒั นาทฤษฎีการเรยี นการสอนขาดความเอาใจใส่ ละเลย และเม่อื เปรยี บเทียบกับทฤษฎีการเรยี นรูแลว้ ทฤษฎี การสอนเกือบจะไมไ่ ด้รบั การกล่าวถึงในผลงานการเขยี นทางทฤษฎีของนักจิตวิทยา เห็นไดจ้ ากบทคดั ย่อทาง จิตวทิ ยาจะเต็มไปดว้ ยปฏบิ ัติการทางการเรียนรู้ และการเรียนรู้ภายในโรงเรียนเปน็ จำนวนมาก เหตุผลต่อการเพิกเฉยต่อทฤษฎีการสอนเปน็ เร่ืองทนี่ ่าสนใจ การตรวจสอบท่จี ะกลา่ วตอ่ ไปน้ี อาจจะ ช่วยในการตดั สนิ ใจว่าเป็นไปได้หรือไม่ ท่ีทฤษฎกี ารสอนจะมีการก่อตวั ขน้ึ และเป็นไปตามต้องการ ศลิ ปะกบั วิทยาศาสตร์ บางคร้งั ความพยายามที่พัฒนาทฤษฎกี ารสอนดูเหมือนว่าจะเป็นนัยการ พัฒนาวทิ ยาศาสตรด์ ้วย แต่ผ้เู ขียนบางคนปฏิเสธความคิดในเรื่องของวิทยาศาสตร์ ไฮเจท (Highet) ไดเ้ ขยี น หนังสอื “ศลิ ปะการสอน” และกลา่ ววา่ …เพราะผมเชือ่ ว่า การสอนเป็นศลิ ปะไม่ใชว่ ทิ ยาศาสตร์ มันดู เหมอื นว่าเปน็ เรอ่ื งทน่ี า่ อันตรายในการมาก ในการท่จี ะประยุกตจ์ ุดหมายและวิธีการทางวิทยาศาสตรก์ ับแต่ละ บุคคล แมว้ ่าหลักการทางสถิติสามารถท่จี ะใช้การอธบิ ายพฤติกกรมในกลมุ่ ใหญแ่ ละวินิจฉัยโครงสรา้ งทาง กายภาพ โดยวิธกี ารทางวทิ ยาศาสตร์ได้กต็ าม โดยปกติแล้วมีคุณค่ามาก…แน่นอนท่สี ุด ที่เป็นความจำเปน็ ของ ครูบางคนท่ีจะเรียงลำดบั ในการวางแผนงานให้ถูกต้องแม่นยำโดยอาศัยข้อความจริง แต่ส่ิงนั้นไมไ่ ด้ทำให้การ สอนเป็น “วิทยาศาสตร์” การสอนเกี่ยวข้องกับอารมณ์ ซงึ้ ไม่สามารถจะประเมนิ ได้อย่างเป็นระบบและใช้งาน ได้ เป็นค่านยิ มของมนุษย์ซึ่งอยนู่ อกเหนือการควบคุมของวิทยาศาสตร์ การใช้วทิ ยาศาสตรก์ ารสอนหรือแม้แต่ วิชาท่เี ป็นวิทยาศาสตรจ์ ะไมเ่ ปน็ การเพียงพอเลย ตราบท่ที ั้งครแู ละนักเรียนยงั คงเป็นมนุษย์อยู่ การสอนไม่ เหมอื นกบั การพิสจู นป์ ฏกิ ริ ิยาทางเคมี การสอนมากไปกว่าการวาดภาพ หรอื การทำช้นิ ส่วนของเคร่อื งดนตรี หรอื การปลกู พชื หรอื การเขยี นจดหมาย (Highet,1995 requoted from Gage,1964:270) ไฮเจท ได้โต้แย้ง คัดค้าน ต่อต้านพัฒนาการของวทิ ยาศาสตร์การเรยี นรู้ โดยโต้แยง้ วา่ ในการ ประยุกตใ์ ช้ทฤษฎกี ารสอนไม่มีความจำเป็นทจ่ี ะต้องพจิ ารณาวทิ ยาศาสตร์การสอนโดยเห็นว่า ไม่สมควรจะให้ ความเท่าเทยี มกนั ในความพยายามเกี่ยวกับกจิ กรรมกับความพยายามทีจ่ ะขจดั ปรากฏการณ์เกี่ยวกับนสิ ยั และ คณุ ลกั ษณะทางศลิ ปะ การวาดภาพ การเรยี บเรยี ง และแม้ตาการเขียนจดหมาย และการสนทนา เปน็ เรอ่ื งที่ สบื ทอดกนั มาและถูกกฎหมาย และสามารถเป็นเน้ือหาวิชาที่จะวิเคราะหท์ างทฤษฎีได้ จิตรกรแมจ้ ะมศี ลิ ปะอยู่ ในการทำงานทท่ี ำ บ่อยครง้ั ท่ีแสดงให้เหน็ จากการแสดงออกของนกั เรยี นจะมเี ร่ืองทฤษฎีของสี สดั ส่วนท่เี หน็ ความสมดลุ หรือนามธรรมรวมอยดู่ ว้ ย จิตรกรผูเ้ ตม็ ไปดว้ ยความเปน็ จติ รกรอยา่ งถูกต้องไมไ่ ดเ้ ป็นโดยอัตโนมัติ ยงั คงต้องการขอบเขตที่กว้างขวางสำหรบั ความฉลาดและความเป็นสว่ นบุคคล กระบวนการและผลผลติ ของ จติ รกรไม่จำเปน็ ตอ้ งข้ึนอยู่กบั ผ้รู ูห้ รอื ผคู้ งแกเ่ รียน การสอนกเ็ ชน่ เดียวกนั แมว้ า่ จะต้องการความเป็นศลิ ปะแต่กส็ ามารถท่ีจะไดร้ ับการวิเคราะหเ์ ชงิ วิทยาศาสตร์ไดด้ ว้ ย พลงั ในการอธบิ าย ทำนาย และควบคุม เปน็ ผลจากการพินจิ วเิ คราะห์ ไมใ่ ช่ผลจาก เคร่อื งจักรการสอน เช่น วศิ วกรสามารถที่จะคงความเช่ืออยู่ภายในทฤษฎีท่ีว่า ด้วยความเคลือ่ นไหวเกย่ี วกบั ความร้อน ครูจะมีห้องสำหรับความหลากหลายทางศลิ ปะในทฤษฎีที่ศึกษาวิทยาศาสตร์การสอนท่ีอาจจะจัดทำ
ขน้ึ และสำหรบั งานของผู้ท่ีฝึกหัด จ้าง และนเิ ทศครูทฤษฎแี ละความรู้ที่อาศัยการสังเกตการสอนจะเปน็ การ จดั เตรียมพื้นฐานทางวทิ ยาศาสตรไ์ ดเ้ ป็นอย่างดี ทฤษฎกี ารเรยี นร้เู ก่ยี วกบั การเรยี นรู้ว่าผูเ้ รยี นทำอะไร แต่การเปลย่ี นแปลงทางการศกึ ษาตอ้ งขน้ึ อยู่ กบั ว่าส่วนใหญแ่ ลว้ ครทู ำอะไร น้นั คือ ผเู้ รียนเปลี่ยนแปลงอย่างไรในธุรกิจการเรียนรู้ทีเ่ กิดขน้ึ ตอบสนองต่อ พฤติกรรมของครหู รืออนื่ ๆ ท่ีอย่ใู นวงของการศึกษา ครเู ท่านนั้ ท่ีจะเปน็ ผู้นำความรู้สว่ นใหญ่เกย่ี วกบั การเรยี นรู้ ไปสู่การปฏบิ ตั ิ และวธิ กี ารต่าง ๆท่ีครูจะทำใหค้ วามร้เู หล่าน้ีเกิดผลประกอบข้นึ เปน็ ส่วนของวิชาทฤษฎีการ สอนในช่วงเวลาท่ียังไม่พฒั นาทฤษฎีการเรยี นการสอน ดังน้ัน ครจู ะกระทำตามนัยเหลา่ น้ีเพอื่ ท่จี ะปรับปรุงการ เรียนรู้ ทฤษฎีการสอนและการศึกษาเกยี่ วกบั การสอนอาจจะสามารถทำใหเ้ กดิ การใชค้ วามรู้เกยี่ วกบั การ เรียนรูท้ ดี่ ีกวา่ ได้ ทฤษฎีการสอนควรเกยี่ วข้องกับการอธิบาย การทำนาย และการควบคุมทศิ ทางครูท่ีครูปฏบิ ตั ิที่ สง่ ผลต่อการเรยี นรูข้ องผูเ้ รยี น ภาพทเ่ี ปน็ ลกั ษณะนี้ทำให้มีพื้นที่ (room) มากพอสำหรับทฤษฎกี ารสอน ดังนน้ั ทฤษฎกี ารสอนก็คงเก่ียวข้องกบั ขอบเขตท้งั หมดของปรากฏการณท์ ่ไี ม่ไดร้ ับการเอาใจใส่หรือถูกละเลยจาก ทฤษฎกี ารเรยี นรูด้ ้วย ความชัดเจนของทฤษฎกี ารเรยี นการสอนควรจะเปน็ ประโยชน์กับการผลติ ครู ในการผลติ ครูบอ่ ยครง้ั ที่ดูเหมอื นวา่ จะมีการอ้างทฤษฎีการเรยี นรู้ไปสกู่ ารปฏบิ ตั ิการสอน สิ่งท่ไี ม่เพยี งพอเหลา่ นี้จะเห็นไดช้ ัดใน รายวชิ าจิตวิทยาการศึกษา จากตำรา จากคำถามของผู้เรยี นว่า “ครจู ะสอนอยา่ งไร” ในขณะทค่ี ำตอบบางส่วน อาจได้มาจากการพจิ ารณาวา่ ผู้เรยี นเรียนรอู้ ย่างไร ซงึ่ ผู้เรยี นไมส่ ามารถรบั ความรู้ทั้งหมดได้ด้วยวธิ กี ารนีอ้ ย่าง เดียว ครสู ว่ นมากต้องรู้เก่ียวกับการสอนว่าไมไ่ ด้เป็นไปตามความรูใ้ นกระบวนการเรยี นรูโ้ ดยตรง ความรขู้ องครู ตอ้ งการความชดั เจนมากไปกว่าการลงความคดิ เห็น ชาวนาจำเปน็ ต้องรูม้ ากเกนิ ไปกวา่ ที่จะรู้แต่เพยี งวา่ ขา้ วโพดโตอยา่ งไร ครเู องก็จำเป็นต้องรมู้ ากไปกวา่ ทีจ่ ะรแู้ ต่เพยี งว่านักเรยี นเรยี นรู้อย่างไรเช่นกนั ครตู อ้ งรวู้ ่าจะจัดการกับพฤตกิ รรมของตนเอง ซึง่ มีผลตอ่ การเรียนรู้ของนักเรยี นอยา่ งไร ความรู้ เกีย่ วกับกระบวนการเรียนรู้ไม่ไดเ้ กิดขนึ้ อยา่ งอัตโนมัติ ในการอธิบายและการควบคุมการปฏิบัติการสอน ต้องการวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยกี ารสอนทถี่ กู ต้องของตนเอง ผเู้ รยี นจิตวทิ ยาการศึกษาแสดงความข้องใจ ว่า ไดเ้ รยี นรูม้ ากเกยี่ วกบั การเรยี นรแู้ ละผู้เรยี น แตไ่ ม่ไดเ้ รยี นรูเ้ กยี่ วกับการสอนและไดต้ ัง้ คำถามความสมบูรณ์ ของการสอนแบบสืบสวน ซ่ึงรวมอยูใ่ นทฤษฎกี ารเรียนการสอนดว้ ย 3.ธรรมชาติของทฤษฎีการเรียนการสอน ทฤษฎีการเรียนการสอน (theory of instruction) เปน็ กฎทเ่ี กยี่ วข้องกับวธิ ีการทีม่ ีประสิทธภิ าพทส่ี ุด ของการประสบความสำเร็จในความร้หู รือทักษะ ทฤษฎีการเรยี นการสอนเก่ียวข้องกับความปรารถนาที่จะสอน ให้ผ้เู รียนเรียนรู้ได้ดที ีส่ ดุ ไดอ้ ย่างไรดว้ ยการปรบั ปรุงแทนทจ่ี ะพรรณนาการเรียนรู้ ทฤษฎกี ารเรยี นรู้และทฤษฎีการพฒั นามคี วามสัมพนั ธก์ บั ทฤษฎกี ารเรียนการสอน ตามความเป็นจรงิ แลว้ ทฤษฎกี ารเรยี นการสอนต้องเกยี่ วขอ้ งกบั การเรียนรแู้ ละพฒั นาการดีเท่าๆกับเนื้อหาวชิ าและต้องมีความ สมเหตสุ มผลทา่ มกลางทฤษฎอี ่นื ๆ ที่มีอยหู่ ลากหลาย ทุกทฤษฎจี ะมีความสัมพันธซ์ ึ่งกันและกนั สำหรบั ทฤษฎี การเรียนการสอนมีลกั ษณะสำคญั สป่ี ระการคือ(Brunner,1964:306-308)
ประการแรก ทฤษฎกี ารเรยี นการสอนควรช้เี ฉพาะประสบการณ์ซึ่งปลูกฝังบ่มเฉพาะบุคคลให้โอน เอยี งสูก่ ารเรียนรู้ทีม่ ีประสิทธิภาพ หรอื เป็นการเรียนรู้ทีส่ ดุ หรือเปน็ การเรยี นรู้ชนดิ พเิ ศษ ตัวอย่างเชน่ ความสมั พนั ธ์ชนดิ ใดทมี่ ีโอกาสตอ่ โรงเรยี นและต่อสิ่งตา่ ง ๆ ในสงิ่ แวดล้อมของโรงเรียนอนบุ าลซงึ่ มแี นว แนวโนม้ ทจ่ี ะทำให้เด็กตัง้ ใจและสามารถเรียนรเู้ มือ่ เขา้ โรงเรียน ประการท่ีสอง ทฤษฎกี ารเรยี นการสอนตอ้ งชเี้ ฉพาะวิธีการจัดโครงสร้างองคค์ วามรเู้ พ่ือให้เกิดความ พรอ้ มที่สุดสำหรับผู้เรยี นทจ่ี ะตักตวงความรูน้ นั้ ความดขี องโครงสร้างขน้ึ อยู่กบั พลังในการทำสารสนเทศใหม้ ี ความงา่ ยในการให้ข้อความใหม่ ท่ตี อ้ งพิสูจนแ์ ละเพ่ือเพิ่มการถา่ ยเทองค์ความรู้ มอี ยูเ่ สมอทโี่ ครงสรา้ งตอ้ ง สมั พันธก์ ับสถานภาพและพรสวรรค์ของผเู้ รียนดว้ ย ประการที่สาม ทฤษฎีการเรยี นการสอนควรชี้เฉพาะข้นั ตอนที่มปี ระสทิ ธิภาพท่ีสดุ ในการนำเสนอสง่ิ ที่ผเู้ รียนต้องเรียนรู้ ตวั อย่างเช่น ผสู้ อนคนหนง่ึ ปรารถนาที่จะสอนโครงสรา้ งทฤษฎีฟสิ กิ สส์ มัยใหม่ เขาทำ อยา่ งไร เขานำเสนอสาระท่เี ป็นรูปธรรมกอ่ นดว้ ยการใช้คำถามเพื่อสบื ค้นความจริงเก่ียวกับกฎเกณฑ์ทผ่ี เู้ รยี น ต้องนำไปคดิ ซ่ึงทำให้งา่ ยขน้ึ เมอ่ื ต้องเผชญิ กับการนำเสนอกฎน้อี ีกครั้งในภายหลงั ประการสดุ ทา้ ย ทฤษฎกี ารเรียนรู้ควรชี้เฉพาะธรรมชาติและช่วงกา้ วของการให้รางวัลและการ ลงโทษในกระบวนการเรยี นรู้และการสอน ในขณะที่กระบวนการเรยี นร้มู ีจุดท่ีดีกว่าทีจ่ ะเปล่ียนจากรางวัล ภายนอก (extrinsic rewards) เช่น คำยกยอ่ สรรเสริญจากครู ไปเป็นรางวลั ภายใน (intrinsic rewards) โดย ธรรมชาติในการแก้ปัญหาท่ซี ับซอ้ นสำหรับตนเอง ดงั นนั้ การใหร้ างวัลทนั ทที ันใด ควรแทนทีด่ ว้ ยรางวัลของ การปฏิบัตติ ามหรืออนโุ ลมตาม (deferred rewards) อตั ราการเคลื่อนย้ายหรือการเปล่ียนแปลงจากรางวลั ภายนอกไปสรู่ างวลั ภายในและจะได้รางวลั ทนั ใดไปสรู่ างวลั การอนโุ ลมตาม เปน็ เร่ืองทเ่ี ข้าใจยากและมี ความสำคญั อยา่ งเหน็ ไดช้ ัด ตัวอย่างเช่น ไม่วา่ การเรียนร้จู ะเก่ียวข้องกับการบรู ณาการของการกระทำท่มี ี ข้ันตอนยาวหรือไม่การเปลีย่ นแปลงควรจะทำไดเ้ ร็วทสี่ ุดจากกรใหร้ างวลั ทันทีทนั ใดเป็นการอนโุ ลมตาม และ จากรางวัลภายนอกเป็นรางวลั ภายใน 4.ทฤษฎีการเรียนการสอน การเรยี นรู้มีความสัมพันธ์กับการออกแบบการเรยี นการสอนซง่ึ ไดม้ าจากผลการวจิ ยั เอกัต บุคคล เรียนรูอ้ ย่างไร คำอธิบายวา่ จะตีความไดด้ ที ่ีสุดได้อยา่ งไรตามความเห็นเหล่าน้ี ก่อให้เกิดทฤษฎีการเรยี นการ สอนจำนวนมาก ซ่งึ เกดิ ขน้ึ เม่ือ 30 ปที ีแ่ ลว้ หรือมากกว่านน้ั จากทฤษฎีพฤติกรรมนยิ มไปจนถงึ ทฤษฎปี ัญญา นยิ ม เปน็ ความหวังวา่ ทฤษฎเี หล่านี้จะช่วยใหเ้ กดิ ความเข้าใจการเรยี นรู้และการประยุกต์ วิธีการหรอื หลกั การ ใหม่ๆ ทเี่ ปน็ ประโยชนก์ บั ผู้ออกแบบการเรียนการสอน คำกล่าวทั่วไปของทฤษฎีเหล่าน้ี พบไดใ้ นทฤษฎีการเรยี นรูข้ องโบเวอรแ์ ละฮิลการ์ด (Bower and Hilgard,1981) ทฤษฎกี ารเรยี นการสอนบางทฤษฎี พยายามทีจ่ ะโยงความสมั พันธ์ของเหตกุ ารณ์การเรียนการ สอนเฉพาะอยา่ งไปสู่ผลที่ไดร้ ับของการเรยี นรู้ (learning outcomes) โดยกำหนดเง่อื นไขการเรียนการสอนซง่ึ ทำใหเ้ กดิ การเรียนรู้ท่ีไดผ้ ลดีทสี่ ุด ทฤษฎกี ารออกแบบการเรียนการสอนมีความคล้ายคลึงกนั กับทฤษฎกี าร เรยี นการสอน แตเ่ น้นไปท่ีกระบวนการพัฒนาการเรียนการสอนทก่ี ว้างกว่า ทัง้ ทฤษฎกี ารเรยี นการสอนและ ทฤษฎีการออกแบบการเรยี นการสอนต่างกจ็ ะท่ีพยายามโยงความสมั พนั ธ์ของเหตุการณ์การเรียนการสอน เฉพาะอยา่ ง (specific instructional events) ไปสู่ผลท่ไี ด้รับของการเรียนรู้ (learning outcomes) ทฤษฎี ระบบการเรยี นการสอน ดังนั้น เนิรค์ และกสู ตัฟสัน ( Knirk and Gustafson, 1986 : 102) จึงสรปุ ว่าทฤษฎี
การเรยี นการสอน (instructional theory) ไดร้ บั การพจิ ารณาวา่ เปน็ สว่ นยอ่ ยของทฤษฎีการออกแบบการ เรียนการสอน (instructional design theory) ซึง่ เปน็ สว่ นยอ่ ยของทฤษฎีระบบการเรยี นการสอน (instructional system theory) มีทฤษฎกี ารเรียนการสอนท่ีน่าสนใจและเปน็ ประโยชน์มากมาย ซึ่งในท่นี ีจ้ ะกลา่ วถงึ เพยี งส่ีทฤษฎีซงึ่ มลี กั ษณะตา่ งกนั คือ ทฤษฎีการเรยี นการสอนของกาเยแ่ ละบรกิ ส์ (Gagne and Briggs) ทฤษฎกี ารเรยี นการ สอนของเมอร์รลิ และไรเกลุท (Merrill and Reigeluth) ทฤษฎกี ารเรยี นการสอนของเคส (Case) และทฤษฎี การเรยี นการสอนของลนั ดา (Landa) 4.1 ทฤษฎกี ารเรยี นการสอนของกาเยแ่ ละบริกส์ กาเย่ (Gagne,1985) มสี ่วนช่วยอยา่ งสำคญั เกยี่ วกบั การเรยี นรดู้ ังท่เี ขาไดต้ รวจสอบข้อเงอื่ นไข สำหรบั การเรยี นร้กู าเยแ่ ละบริกส์ ได้ขยายเงื่อนไขน้ีออกไปโดยพัฒนาชุดของหลักการสำหรับการออกแบบการ เรยี นการสอน ทฤษฎีดังกลา่ วนมี้ แี นวแนวโน้มท่จี ะเพิกเฉยต่อปัจจยั การเพิกเฉยการเรียนรู้ด้ังเดมิ เช่น การ เสรมิ แรง (reinforcement) การตอ่ เน่ือง (contiguity) และการปฏบิ ัติ(exercise) เพราะกาเย่และบรกิ ส์คดิ ว่า เป็นเรอ่ื งธรรมดาเกนิ ไปท่จี ะใช้ในการออกแบบการเรียนการสอนโดยยืนยนั ในเร่อื งที่เกย่ี วกบั การเรยี นรู้ สารสนเทศทางถ้อยคำ (verbalinformation) ทักษะเชาว์ปัญญา (intellectual skill) และความสามารถใน การเรยี นร้ปู ระเภทอนื่ ๆ กาเย่ได้ระบุผลท่ีรับจากการเรียนรแู้ ต่ละประเภททต่ี ้องการ สภาวการณ์หรือเง่ือนไขท่ี แตกต่างกันสำหรบั การเรยี นรู้ การคงความทรงจำ และการถา่ ยโอนการเรยี นรู้ในขดี สงู สดุ ทฤษฎีการเรียนการสอนของกาเย่และบรกิ ส์คาดเดาการเสริมแรงของผู้เรียนผ่านทางข้อมลู ป้อนกลบั ของสารสนเทศ(information feedback) ทางสนั ฐานการเลอื ก (selective perception) ทางการสะสมของ ขอ้ มูลในหน่วยความจำระยะส้ัน ระยะยาว และ การนำกลับมาใชเ้ ป็นการนำเสนอทฤษฎีหรอื แบบจำลอง ประมวลความรอบรู้ที่รวมถึง ผลทไี่ ดร้ ับของการเรยี นรู้ทกุ ประเภทของการเรียนการสอน โดยทั่วไปได้กล่าวไว้ แบบจำลองให้คำแนะนำว่า การเรยี นการสอนสามารถนิยามว่าเป็นชดุ (set) ของเหตกุ ารณภ์ ายนอกทีจ่ ะ สนับสนุนกระบวนการภายในของการเรยี นรู้ของผเู้ รยี น เหตกุ ารณภ์ ายนอกเหล่านั้น คือ 1.เพม่ิ ความตัง้ ใจของผูเ้ รียน (gain learner attention) 2.แจ้งจดุ ประสงค์แก่ผู้เรยี น (inform the learner of the objective) 3.กระตุ้นให้ระลึกถึงความรเู้ ดิมทตี่ อ้ งมมี ากอ่ น (stimulate recall prerequisite) 4.นำเสนอสือ่ วสั ดุการเรียนการสอนทกี่ ระต้นุ เร่งเร้า (present stimulus materials) 5.จัดเตรียมคำแนะนำในการเรียนรู้ (provide learning guidance) 6.ใหน้ ักเรยี นปฏบิ ัตทิ ีต่ ้องการ (elicit the desired performance) 7.จดั เตรียมข้อมลู ป้อนกลบั เก่ียวกับการแก้ไข การปฏิบัติ 8.การประเมินผลการปฏบิ ัติ (assess the performance) 9.สง่ เสริมการคงความรแู้ ละการถา่ ยโอนการเรยี นรู้ (enhance retention and transfer)
4.2 ทฤษฎีการเรยี นการสอนของเมอรร์ ิลและไรเกลทุ ทฤษฎกี ารเรยี นการสอนของเมอร์ริลและไรเกลทุ (Marril,1984 : Reigeluth,1979 : 8-15) เก่ียวขอ้ งกบั กลยุทธม์ หภาพ (mecro-strategies) สำหรับการจดั การเรียนการสอน เชน่ ความสัมพันธ์ระหวา่ ง หัวข้อของรายวิชา และลำดบั ขั้นตอนการเรยี นการสอนทฤษฎีนเ้ี นน้ มโนทศั น์ หลกั การ ระเบยี บวิธีการ และ การระลกึ สารสนเทศข้อความจริงตา่ ง ๆได้โดยท่วั ไปแล้ว ทฤษฎีนี้มที ัศนะเกี่ยวกบั การเรียนการสอนวา่ เปน็ กระบวนการนำเสนอรายละเอียดอยา่ งค่อยเป็นค่อยไปทลี ะนอ้ ย หรืออย่างประณีตตามทฤษฎขี องเมอรร์ ิลแลพ ไรเกลุท ข้ันตอนของการเรยี นการสอนประกอบด้วย 1.เลือกการปฏบิ ตั ิท้ังหมดทจี่ ะสอนโดยการวิเคราะห์ภาระงาน 2.ตดั สินใจวา่ จะสอนการปฏบิ ตั ใิ ดเปน็ ลำดับแรก 3.เรียงลำดับข้ันตอนการปฏบิ ัติทีย่ ังค้างอยู่ 4.ระบเุ น้อื หาทส่ี นับสนนุ 5.กำหนดเนอ้ื หาทงั้ หมดเปน็ บทและจัดลำดับบท 6.เรยี งลำดบั การเรียนการสอนภายในบท 7.ออกแบบการเรยี นการสอนสำหรับแตล่ ะบท 4.3 ทฤษฎีการเรียนการสอนของเคส เคส (Case.1978 : 167-228) ไดแ้ นะนำวา่ ข้นั ตอนของพฤติกรรมระหว่างระยะสำคญั ของการ พัฒนาเชาวป์ ัญญาขึ้นอยกู่ บั การปรากฏใหเ้ ห็นถึงการเพ่ิมความซบั ซอ้ นของกลยุทธป์ ญั ญาและการทำงานใน หนว่ ยความจำอย่างคอ่ ยเป็นค่อยไปดว้ ย ขนั้ ตอนการออกแบบของเคส เกี่ยวกับการระบเุ ป้าประสงค์ของภาระงานทป่ี ฏิบตั ิ (เรียนรู)้ จดั ลำดบั ข้นั ปฏบิ ตั ิเพื่อช่วยผ้เู รียนให้ไปถึงเป้าประสงค์เปรยี บเทียบการปฏิบัติของผู้เรยี นกบั เอกตั บคุ คลที่มีทกั ษะ ประเมนิ ระดับงานของนักเรียน (โดยตั้งคำถามทางคลินกิ ) การออแบบแบบฝกึ หดั เพ่ือสาธติ ให้ผู้เรียนได้ศึกษา และอธบิ ายว่าทำไมกลยทุ ธ์ที่ถกู ต้องจงึ ให้ผลดีกวา่ และสุดท้ายนำเสนอตัวอย่างเพิ่มเตมิ โดยใชก้ ลยุทธ์ใหม่ 4.4 ทฤษฎกี ารเรียนการสอนของลันดา ทฤษฎีการเรียนการสอนของลนั ดา (Landa,1974) เป็นการออกแบบการจำลองการเรียนการสอน ท่แี ยกออกม โดยใช้วิธีการพเิ ศษในการแกป้ ัญหาเฉพาะอย่างของงาน ซี่งกำหนดให้ผูเ้ รียนตดิ ตามระเบียบ วิธีการทม่ี อี ย่ใู นคู่มือการอบรม ในการใชว้ ิธีการออกแบบของลนั ดา เปน็ ความจำเปน็ ทตี่ ้องมีการระบุกจิ กรรม และการปฏิบัติทั้งหมดที่มีอยู่ก่อนหน้าน้นั ซึ่งผู้เรยี นต้องแสดงออกมา เพื่อจะได้รวมไวใ้ นการแก้ปัญหา บางอยา่ ง ในทางตรงข้าม อาจเรยี กว่าเป็นวธิ กี ารทางจติ วิทยาในการวางแผนการเรียนการสอน ผเู้ ช่ยี วชาญ หลกั สตู รมแี นวโน้มท่จี ะเนน้ ไปท่โี ครงสรา้ งของเน้ือหาบนพื้นฐานของการนำปประยุกตใ์ ช้ บ่อยครัง้ ที่มีการ จดั การเรียนรูเ้ ป็น 1.เน้อื หาด้านปญั ญา 2.ทกั ษะทางวิชาการ 3.การเรยี นรู้สังคม 4.การเรียนรูต้ ามความต้องการของเอกัตบุคคล
โดยปกตผิ เู้ ช่ียวชาญทัง้ หลายยดึ ถือทัศนะทวี่ ่า การเรียนการสอนทุกชนิดอาจจะดีที่สุดดว้ ยการใช้ วิธีการที่สอดคล้องกับความต้องการจำเป็นของผเู้ รยี นแตล่ ะคน นน่ั คือ เม่ือแต่ละบุคคลรู้สกึ ถงึ ความจำเปน็ ท่ีจะ ให้มกี ารเรยี นการสอนอาชพี หรือสังคมแล้ว บุคคลเหล่าน้ันจะมีแรงจูงใจมากกวา่ ทจ่ี ะเรยี นเนอื้ หาท่ีไม่ตรง ประเด็น สภาพการณเ์ รียนใดเนน้ ความเปน็ เอกัตบุคคลกต็ ้องใช้การเรียนการสอนเป็นรายบุคคล กระบวนการ ออกแบบการเรยี นการสอนและการกำหนดกลยุทธ์การสอนตลอดจนการเลือกสื่อทจ่ี ะทำให้ง่ายข้ึน ทฤษฎีการเรยี นการสอนเหล่าน้ีและทฤษฎีการเรียนการสอนอืน่ ๆ ตา่ งกเ็ ปน็ ความจำเปน็ ส่วนหนึง่ ของกระบวนการวจิ ัยการจดั สารสนเทศเกยี่ วกบั การเรยี นร้ขู องมนุษย์ อย่างไรกต็ ามยงั เป็นหนทางอีกยาวไกล กวา่ ท่ีทฤษฎใี ดทฤษฎหี นึ่งเหล่านีจ้ ะกำหนดกระบวนการสำหรบั การออกแบบการเรียนการสอนที่มี ประสิทธภิ าพ สำหรับเอกตั บุคคลหรอื ของผเู้ รียน ปัจจุบนั นี้ทฤษฎกี ารเรียนการสอนท้ังหลายจะให้หลักการท่ี เป็นแนวทางที่มีประโยชน์ หรอื ใหค้ รอบคลมุ สำหรับการออกแบบจึงต้องเนน้ เป็นอยา่ งมากเกย่ี วกับการทดสอบ ตัวแบบของการเรียนการสอน (prototype of the instruction) กอ่ นทจี่ ะมีการเผยแพรเ่ พอื่ การนำไปใช้ โดยทว่ั ไป 5. พิจารณาคุณลกั ษณะของผเู้ รียน การวเิ คราะห์ภาระงานและการเรยี นการสอนแล้วน้นั จะพบว่าการพิจารณาคณุ ลักษณะของผู้เรียน ต้องอาศัยความร้ทู ม่ี ีอยู่ขอผเู้ รียนหรือความรเู้ ดิม ซึง่ จะมีความสมั พนั ธก์ ับการตัดสินใจวางแผนการเรมิ่ ต้นของ โปรแกรมการเรียนการสอนใหม่ๆ ในท่ีนี้จะได้กล่าวถึงประมวลสารสนเทศทางทักษะของผ้เู รยี น ซึง่ จะสัมพนั ธ์ กบั การออกแบบส่ิงแวดล้อมของการเรยี นต่อไป สไตล์การสอน สไตล์หรือลลี าการสอน (styles of teaching) เป็นการแสดงคุณค่าของครแู ตล่ ะคน เป็นปัจจัยส่วน บคุ คลที่ทำให้ครูคนหนึ่งต่างจากครูคนอนื่ ๆ ประกอบด้วยการแตง่ กาย ภาษา เสยี ง กรยิ าท่าที ระดับพลัง การ แสดงออกทางสหี น้า แรงจูงใจ ความสนใจในบุคคลอน่ื ความสามารถในการเชาว์ปัญญาและความคงแกเ่ รยี น การม่งุ งาน ครูจะกำหนดส่ิงทต่ี ้องการเรยี นรู้และบอกถึงความต้องการในการปฏิบตั ิงานของนักเรียน การเรียนที่ จะประสบความสำเร็จอาจจะเฉพาะเจาะจงไปท่ีพ้นื ฐานของนกั เรยี นแต่ละคน และมีระบบท่ีให้นกั เรียนแต่ละ คนเปน็ ไปตามความคาดหวังอยา่ งชัดเจนมน่ั คง การวางแผนการรว่ มมอื กัน ครรู ว่ มมือกนั วางแผนวิธีการและจุดหมายปลายทางของการเรียนการสอนดว้ ยความร่วมมือของ นกั เรียน ครไู ม่เพยี งแตร่ บั ความคดิ เห็นเท่านั้น แต่ครตู ้องกระตนุ้ ใหก้ ารสนับสนุนการมีส่วนร่วมของนักเรยี นทกุ ระดับชั้นด้วย
การใหน้ กั เรยี นเป็นจดุ ศนู ยก์ ลาง ครูจัดเตรยี มโครงสร้างต่าง ๆ สำหรับนักเรียนเพ่ือให้ติดตามแสวงหาความรู้ตามท่ีตอ้ งการหรือตาม ความสนใจ สไตล์แบบน้ีไม่เพียงแตจ่ ะพบวา่ มีน้อย แต่เกือบจะเป็นไมไ่ ด้ทีจ่ ะจนิ ตนาการใหเ้ ป็นไปตามที่ คาดหวงั เพราะว่าชน้ั เรียนทม่ี ีอตั ราส่วนระหวา่ งนกั เรียนกบั ครแู ละนกั เรียนกับส่งแวดล้อมในความรบั ผดิ ชอบ จะกระตุ้นสง่ เสริมความสนใจของนักเรียนบางคนและทำให้นกั เรยี นบางคนเกิดความทอ้ แทใ้ จโดยอัตโนมตั ิ การให้เนอ้ื หาวิชาเป็นศนู ยก์ ลาง วธิ กี ารนี้ครจู ะเนน้ ไปที่เนือ้ หาวิชาท่ีจดั ไวด้ แี ลว้ และคดิ ว่าเนื้อหาวิชาที่จัดน้ันครอบคลมุ รายวิชาครูจะพึงพอใจ แมว้ ่าการเรยี นรู้จะเกดิ ขนึ้ น้อย การใหก้ ารเรยี นรเู้ ป็นศูนย์กลาง วธิ ีการนี้ครจู ะใหค้ วามสำคัญเทา่ ๆ กนั ระหวา่ งนักเรยี นและจดุ ประสงค์ของหลักสตู ร ตลอดจนส่งิ ทใี่ ช้ ในการเรียน ครจู ะปฏิเสธการเนน้ อยา่ งมากเกนิ ไปท้ังในด้านการใหผ้ ู้เรียนเปน็ ศูนย์กลางแทนการช่วยเหลือ นักเรียน โดยคำนึงวา่ นักเรียนมคี วามสามารถหรอื ไมม่ ีความสามารถ เพ่ือที่จะพัฒนาไปสเู่ ป้าประสงค์ทีม่ ีความ เป็นไปได้ใหด้ เี ทา่ ๆกบั อิสรภาพในการเรยี นรู้ของนกั เรยี นให้มีการตืน่ เต้นทางอารมณ์และเป็นแบบอยา่ ง วธิ กี ารนีค้ รูจะแสดงอารมณ์ทเ่ี กี่ยวกบั การสอนอย่างเข้มข้น ครจู ะเขา้ ไปส่กู ระบวนการสอนอย่างใจจดใจจ่อ และโดยปกติแล้วจะก่อใหเ้ กดิ บรรยากาศของชัน้ เรียนทต่ี ่ืนเต้นและมีอารมณ์รว่ มสงู สไตลก์ ารเรียนรู้ สไตลก์ ารสอนของครมู ีความสัมพนั ธ์บางอยา่ งกับสไตล์การเรยี นรูข้ องนักเรยี น สไตล์การสอนไม่ สามารถเลือกในลักษณะเดียวกบั การเลือกกลยุทธก์ ารสอนได้ สไตลก์ ารสอนไมใ่ ชเ่ ร่ืองง่ายทจ่ี ะเปลย่ี นกรม่งุ งาน ไปเปน็ การมงุ่ ให้นักเรียนเป็นศนู ย์กลาง เร่ืองนเี้ ป็นเร่ืองทค่ี ่อนข้างทำไดย้ าก ครูทไ่ี ม่มกี ารต่นื เตน้ ทางอารมณจ์ ะ เปลี่ยนเปน็ ครูท่ีมีความตน่ื เต้นทางอารมณ์ไดห้ รอื ไม่ มีคำถามอยู่สองคำถามเก่ียวกบั สไตล์การสอนวา่ ครู สามารถเปลย่ี นสไตลก์ ารสอนได้หรอื ไม่ และ ครูจะเปลี่ยนสไตลก์ ารสอนหรือไม่ แบบจำลองการสอน แบบจำลองการสอน ในขณะที่สไตลก์ ารสอนเป็นชุดพฤตกิ รรมสว่ นบุคคลของครู แบบจำลองการสอน เป็นชุดพฤติกรรมทว่ั ไปซงึ่ เน้นกลยทุ ธห์ รือชุดของกลยุทธเ์ ฉพาะอยา่ ง ตวั อย่างเช่น การบรรยาย เป็นกลยุทธ์ การเรียนการสอนหรอื เป็นวิธกี ารทมี่ ีลักษณะครอบงำ กลยทุ ธ์ในการบรรยายคือการเติมเตม็ แบบจำลองของ การบรรยาย ข้อแตกต่างระหว่างแบบจำลอง (model) กับสไตล์ (style) สามารถสงั เกตเหน็ ไดโ้ ดยบุคคลท่เี ข้า ฟงั การบรรยายที่มีความแตกตา่ งกันทัง้ สอง
ทกั ษะการสอน โอลิวา ได้อธิบายเกี่ยวกับสไตล์และแบบจำลองการสอนซึง่ ท้งั สองอย่างเกย่ี วขอ้ งกับการเลอื กกลยุทธ์ หรอื วิธีการเฉพาะ ในตอนน้จี ะไดผ้ นวกมติ ิท่ีสามของการเลือกกลยทุ ธก์ ารเรียนการสอน คือ ทักษะการสอนเข้า ไปดว้ ยคำทจี่ ำเป็นและมีความสำคญั ตอ่ ความสัมพนั ธร์ ะหว่างกนั ของสไตล์โมเดลหรือแบบจำลองและทกั ษะ การสอน คือวธิ กี าร ถ้าไม่ได้แสดงความหมายของกลยุทธแ์ ละโมเดลไวเ้ รยี บรอ้ ยแลว้ เชน่ กลยุทธ์การบรรยาย มี ความหมายเทา่ กบั วิธกี ารบรรยาย สำหรบั ผู้ท่ีตอ้ งการคำที่ดีกว่าก็อาจจะใชค้ ำทคี่ ลมุ เครือวา่ วธิ ีเรม่ิ เรื่องซง่ึ ให้ ความสำคัญกบั ความสัมพนั ธร์ ะหว่างคำสามคำคือ สไตล์ โมเดล และทักษะ วิธีเริ่มเร่ืองของครู ตวั อยา่ งเช่นในการเรยี นการสอนแบบโปรแกรมครูซ่ึงแสดงบทบาทเป็นผูจ้ ัดทำโปรแกรม (โมเดล) เป็นศูนย์กลาง มีใจชอบในรายละเอียดเชื่อวา่ นกั เรยี นเรียนไดด้ ที ี่สุดด้วยสไตล์การสอนและมที ักษะใน การเลอื กเนื้อหา ขั้นตอน การเขยี นโปรแกรมและทักษะในการทดสอบ อาจกล่าวได้วา่ โปรกรมเป็นวิธกี ารของ ครู (หรือเปน็ โมเดล) และการใชโ้ ปรแกรมรว่ มกับผูเ้ รียนเป็นกลยทุ ธก์ ารสอนของครู (หรือเปน็ วธิ กี าร) 5.หลกั การเรียนรู้ การเรียนร้เู ป็นพื้นฐานของการดำเนินชวี ิต มนษุ ยม์ ีการเรียนร้ตู ง้ั แต่แรกเกิดจนถึงก่อนตาย จึงมีคำกลา่ ว เสมอว่า \"No one too old to learn\" หรอื ไมม่ ีใครแกเ่ กินทีจ่ ะเรยี น การเรยี นรจู้ ะช่วยในการพฒั นาคุณภาพ ชีวติ ไดเ้ ป็นอย่างดี ธรรมชาตขิ องการเรยี นรู้ มี4 ขน้ั ตอน คือ 1. ความต้องการของผเู้ รยี น (Want) คือ ผ้เู รียนอยากทราบอะไร เม่อื ผู้เรยี นมคี วามต้องการอยากรู้ อยากเห็นในส่งิ ใดก็ตาม จะเป็นสงิ่ ทย่ี ว่ั ยใุ ห้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ได้ 2. สิง่ เร้าท่นี ่าสนใจ (Stimulus) ก่อนท่ีจะเรยี นรไู้ ด้ จะตอ้ งมสี งิ่ เร้าทีน่ า่ สนใจ และน่าสัมผสั สำหรับ มนษุ ย์ ทำให้มนษุ ยด์ ้นิ รนขวนขวาย และใฝใ่ จที่จะเรยี นรูใ้ นส่ิงท่นี า่ สนใจนนั้ ๆ 3. การตอบสนอง (Response) เมือ่ มีสง่ิ เร้าทนี่ า่ สนใจและน่าสมั ผัส มนุษย์จะทำการสัมผัสโดยใช้ ประสาทสมั ผสั ต่าง ๆ เชน่ ตาดู หูฟงั ลน้ิ ชมิ จมกู ดม ผิวหนังสัมผัส และสมั ผัสดว้ ยใจ เป็นต้น ทำให้มกี ารแปล ความหมายจากการสัมผสั ส่งิ เร้า เปน็ การรับรู้ จำได้ ประสานความร้เู ข้าดว้ ยกนั มีการเปรียบเทยี บ และคิด อยา่ งมเี หตุผล 4. การได้รบั รางวลั (Reward) ภายหลงั จากการตอบสนอง มนุษย์อาจเกิดความพงึ พอใจ ซงึ่ เปน็ กำไร ชีวิตอย่างหน่งึ จะได้นำไปพัฒนาคุณภาพชีวติ เชน่ การได้เรียนรู้ ในวชิ าชพี ชั้นสงู จนสามารถออกไปประกอบ อาชพี ชัน้ สูง (Professional) ได้ นอกจากจะได้รับรางวัลทางเศรษฐกจิ เป็นเงนิ ตราแล้ว ยงั จะได้รับเกยี รติยศ จากสงั คมเปน็ ศกั ด์ิศรี และความภาคภมู ิใจทางสังคมได้ประการหนึง่ ด้วย ลำดบั ข้ันของการเรียนรู้ ในกระบวนการเรียนรขู้ องคนเราน้นั จะประกอบดว้ ยลำดบั ขนั้ ตอนพนื้ ฐานทีส่ ำคัญ 3 ข้ันตอนด้วยกัน คือ (1)ประสบการณ์ (2) ความเข้าใจ และ (3) ความนกึ คิด
1. ประสบการณ์ (experiences) ในบุคคลปกติทุกคนจะมีประสาทรบั รู้อยู่ด้วยกันทงั้ นัน้ สว่ นใหญท่ ี่ เปน็ ทเ่ี ขา้ ใจกค็ ือ ประสาทสัมผัสทัง้ ห้า ซ่ึงได้แก่ ตา หู จมูก ลิน้ และผวิ หนัง ประสาทรับรู้เหล่านี้จะเป็นเสมือน ชอ่ งประตูที่จะให้บุคคลได้รับรแู้ ละตอบสนองต่อส่ิงเร้าตา่ ง ๆ ถา้ ไม่มีประสาทรับร้เู หลา่ นี้แล้ว บคุ คลจะไมม่ ี โอกาสรบั รู้หรอื มปี ระสบการณ์ใด ๆ เลย ซงึ่ กเ็ ท่ากับเขาไม่สามารถเรียนรสู้ ่ิงใด ๆ ไดด้ ้วย ประสบการณต์ ่าง ๆ ท่ีบุคคลได้รับนน้ั ยอ่ มจะแตกต่างกนั บางชนดิ ก็เปน็ ประสบการณต์ รง บางชนิดเป็นประสบการณแ์ ทน บางชนดิ เปน็ ประสบการณ์รปู ธรรม และบางชนดิ เปน็ ประสบการณ์นามธรรม หรอื เป็นสญั ลักษณ์ 2. ความเข้าใจ (understanding) หลงั จากบุคคลไดร้ ับประสบการณแ์ ล้ว ขน้ั ต่อไปก็คือ ตีความหมาย หรือสรา้ งมโนมติ (concept)ในประสบการณ์น้นั กระบวนการน้ีเกดิ ขนึ้ ในสมองหรือจติ ของบคุ คล เพราะสมอง จะเกดิ สญั ญาณ (percept) และมีความทรงจำ (retain) ข้ึน ซึ่งเราเรยี กกระบวนการน้ีว่า \"ความเขา้ ใจ\" ในการ เรยี นรู้น้นั บุคคลจะเข้าใจประสบการณ์ท่เี ขาประสบได้ก็ต่อเมือ่ เขาสามารถจัดระเบยี บ (organize) วิเคราะห์ (analyze) และสังเคราะห์ (synthesis) ประสบการณต์ า่ ง ๆ จนกระทงั่ หาความหมายอันแทจ้ ริงของ ประสบการณ์นนั้ ได้ 3. ความนกึ คิด (thinking) ความนึกคดิ ถอื ว่าเปน็ ขัน้ สดุ ท้ายของการเรียนรู้ ซง่ึ เป็นกระบวนการที่ เกิดขึ้นในสมอง Crow (1948) ไดก้ ล่าวว่า ความนึกคิดท่ีมปี ระสิทธภิ าพนนั้ ต้องเปน็ ความนึกคดิ ทสี่ ามารถจัด ระเบียบ (organize) ประสบการณเ์ ดมิ กบั ประสบการณ์ใหม่ทไ่ี ดร้ บั ใหเ้ ข้า 6.การวจิ ัยการเรยี นรู้ 1. ความเปน็ มาของการวจิ ยั เพ่ือพัฒนาการเรียนรู้ การปฏิรปู การเรยี นรู้ตามพระราชบัญญัติการศึกษาแหง่ ชาติ พุทธศกั ราช 2542 ได้กำหนดไว้ ดงั น้ี หมวด 4 แนวการจดั การศึกษามาตรา24 (5) ส่งเสรมิ สนบั สนนุ ใหผ้ ู้สอนสามารถจัดบรรยากาศ สภาพแวดลอ้ ม สื่อการเรียน และอำนวยความสะดวกให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้และมีความรอบรู้รวมทัง้ สามารถ ใชก้ ารวิจยั เปน็ ส่วนหนง่ึ ของกระบวนการเรียนรู้ ท้งั นี้ ผู้สอนและผูเ้ รียนอาจเรียนรู้ไปพร้อมกันจากส่ือการเรียน การสอนและแหล่งวิทยาการประเภทต่าง ๆ มาตรา30 ให้สถานศึกษาพัฒนากระบวนการเรียนการสอนที่มปี ระสทิ ธภิ าพ รวมทงั้ สง่ เสริมใหผ้ ูส้ อน สามารถวจิ ัยเพื่อพัฒนาการเรียนร้ทู ่เี หมาะสมกับผเู้ รยี นในแตล่ ะระดับการศึกษา หมวด 6 มาตรฐานและการประกนั คุณภาพการศึกษา มาตรา 48 กำหนดให้หน่วยงานต้นสงั กดั สถานศึกษาจัดให้มีระบบประกันคณุ ภาพภายในสถานศกึ ษาและใหถ้ ือวา่ การประกันคณุ ภาพภายในเปน็ สว่ น หน่งึ ของการบรหิ ารการ หมวด 9 เทคโนโลยเี พอื่ การศึกษามาตรา 67 รัฐต้องสง่ เสริมให้มีการวจิ ัยและพัฒนา การผลิตและการ พฒั นาเทคโนโลยเี พ่ือการศกึ ษา เพื่อให้เกดิ การใช้ท่ีคุ้มค่าและเหมาะสมกับกระบวนการเรียนรู้ของคนไทย ดังนัน้ จงึ อาจสรปุ ได้วา่ พระราชบญั ญตั ิการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 แกไ้ ขเพิ่มเติม (ฉบับท่ี 2) พ.ศ. 2554 ไดก้ ำหนดใหน้ ำการวจิ ยั มาใชก้ ารวจิ ยั เพ่ือพัฒนาการเรียนรู้ ดังน้ี 1. การวจิ ยั ในกระบวนการเรียนรู้ มุง่ ใหผ้ เู้ รียนทำวิจยั เพ่ือใชก้ ระบวนการวจิ ัยเปน็ ส่วนหนึ่งของการ เรยี นรู้ ผเู้ รียนสามารถวจิ ยั ในเรอื่ งท่สี นใจหรือตอ้ งการหาความรู้หรอื ต้องการแก้ไขปญั หาการเรียนรู้ ซ่ึง
กระบวนการวิจยั จะชว่ ยใหผ้ ู้เรียนได้ฝกึ การคิด ฝกึ การวางแผน ฝึกการดำเนนิ งานและฝกึ หาเหตผุ ลในการตอบ ปญั หา โดยผสมผสานองคค์ วามรแู้ บบบูรณาการเพอ่ื ให้เกิดประสบการณ์การเรยี นรจู้ ากสถานการณจ์ ริง 2. การวจิ ยั พัฒนาการเรียนรู้ มงุ่ ให้ผ้สู อนสามารถทำวจิ ัย เพ่อื พัฒนาการเรยี นรู้ดว้ ยการศึกษา วิเคราะห์ปญั หาการเรยี นรู้ วางแผนแก้ไขปัญหาการเรยี นรู้ เกบ็ รวบรวมขอ้ มูล และวิเคราะหข์ ้อมูลอยา่ งเป็น ระบบ ผสู้ อนสามารถทำวิจยั และพัฒนานวตั กรรมการศกึ ษาทนี่ ำไปส่คู ุณภาพการเรียนรู้ ด้วยการศกึ ษา วิเคราะหป์ ัญหาการเรยี นรู้ ออกแบบและพัฒนานวัตกรรมการเรยี นรู้ ทดลองใชน้ วตั กรรมการเรยี นรู้ เก็บ รวบรวมขอ้ มูล และวเิ คราะห์ผลการใช้นวตั กรรมนน้ั ๆ และผูส้ อนสามารถนำกระบวนการวิจยั มาจัดกิจกรรม ใหผ้ เู้ รียนเกิดการเรียนรู้ ด้วยการใชเ้ ทคนิควิธกี ารท่ีช่วยใหผ้ เู้ รียนเกดิ การเรยี นจากการวเิ คราะหป์ ญั หา สรา้ ง แนวทางเลือกในการแก้ไขปญั หา ดำเนนิ การตามแนวทางท่เี ลือก และสรปุ ผลการแก้ไขปัญหาอนั เป็นการฝกึ ทกั ษะ ฝกึ กระบวนการคิด ฝกึ การจัดการจากการเผชิญสภาพการณ์จรงิ และปรับประยกุ ตม์ วลประสบการณ์ มาใช้แก้ไขปญั หา 3. การวิจัยพฒั นาคุณภาพการศกึ ษาของสถานศึกษา มุ่งให้ผู้บรหิ ารทำการวิจยั และนำผลการวิจยั มาประกอบการตดั สนิ ใจ รวมท้งั จดั ทำนโยบายและวางแผนบริหารจดั การสถานศึกษาให้เป็นองค์กรทน่ี ำไป สู่ คุณภาพการจดั การศกึ ษา และเป็นแหลง่ สรา้ งเสรมิ ประสบการณเ์ รียนรู้ของผู้เรียนอย่างมีคณุ ภาพ 2. กระบวนการวจิ ยั เพ่ือพัฒนาการเรียนรู้ กระบวนการวจิ ยั เพื่อพฒั นาการเรยี นรู้ มีขัน้ ตอนการวจิ ยั เช่นเดียวกับกระบวนการวิจัยโดยทว่ั ไป ดังน้ี แผนภูมแิ สดงขน้ั ตอนการวจิ ัยโดยทั่วไป
กระบวนการวจิ ยั เพื่อการเรยี นรู้ ไดม้ ีการนำกระบวนการวิจัยทั่วไปมาประยกุ ต์ใช้ในการแก้ไข ปัญหา การเรยี นรู้หรอื การพัฒนาการเรยี นรู้เปน็ สำคญั ดงั นั้นในขนั้ การศกึ ษาและวเิ คราะห์ปญั หา จงึ ต้องเน้น ไปท่ผี ลการพัฒนาผูเ้ รยี น 3 ด้าน คือดา้ นความร(ู้ Cognitive Domain) ด้านทักษะ(Psychomotor Domain) และดา้ นเจตคติ(Affective Domain) และก่อนท่ีผูส้ อนจะใชก้ ารวิจยั ในกระบวนการเรียนรู้ เพื่อ แก้ปญั หาหรือเพื่อพัฒนาผเู้ รยี น เช่นเดยี วกันกบั ผูบ้ รหิ ารจะทำการวจิ ัยเพื่อแก้ปญั หาหรือพฒั นาคณุ ภาพ การศึกษาของสถานศกึ ษา ซงึ่ องคป์ ระกอบของกระบวนการวิจยั เพอ่ื การเรียนรู้ มีการดำเนนิ งานอย่างต่อเน่ือง ดังแผนภูมิ แผนภูมิแสดงองคป์ ระกอบการเรยี นรดู้ ว้ ยการวิจัย การวิจยั เพ่อื พฒั นาคุณภาพการเรียนรู้ มงุ่ เนน้ ผลการเรียนรู้ของผู้เรียนเป็นเป้าหมายของการจดั การ เรยี นรู้ ด้วยการใช้การวจิ ยั ในกระบวนการเรียนรู้ การวจิ ยั พฒั นาการเรียนรู้และการวิจัยพัฒนาคุณภาพ การศกึ ษาของสถานศึกษา ซึ่งมรี ายละเอียด ดังนี้ 1. การวิจัยในกระบวนการเรียนรู้ การวจิ ัยในกระบวนการเรียนรู้ คือการนำระเบยี บวธิ วี ิจัยมามาใชใ้ นการจัดกระบวนการเรยี นรู้ให้กับ ผู้เรยี น ซง่ึ มาจากความเชือ่ วา่ “ผู้เรียนทกุ คนมีความสามารถเรยี นรู้ดว้ ยตนเองและพัฒนาตนเองได้” ดังน้นั การ จดั การศึกษาจะตอ้ งสง่ เสรมิ ให้ผู้เรยี นสามารถพฒั นาตามธรรมชาตแิ ละเต็มศักยภาพ โดยส่งเสริมให้ผูเ้ รยี น เรียนรู้ดว้ ยตนเองตามความสนใจ ความถนัด และความต้องการ จากสื่อและอปุ กรณท์ ีม่ ีอย่ตู ามแหล่งเรยี นรู้ต่าง ๆ ในครอบครัว ในสถานศึกษาและในชุมชนท่ีผเู้ รยี นพบในชวี ติ ประจำวนั
· แนวคิดเก่ยี วกับการสง่ เสรมิ ให้ผู้เรยี นได้เรียนรูด้ ว้ ยตนเอง มหี ลายแนวคดิ เช่น 1) แนวคดิ การเรยี นรู้แบบมีสว่ นรว่ ม (Participation learning) ซึ่งเน้นการสรา้ งความรู้จาก ประสบการณ์เดิมของผเู้ รียนและการมีปฏสิ ัมพันธร์ ะหวา่ งผเู้ รียน 2) แนวคิดการเรยี นรู้ตามหลกั พุทธศาสนา ซ่งึ มี 3 ระดับ คือการรจู้ ำจากการบอกหรือสอน การรู้จกั จากการคิดหาเหตผุ ล และการรู้แจง้ จากการสรา้ งความเข้าใจอย่างแจ่มแจง้ ด้วยการคน้ พบด้วยตนเอง 3) แนวคิดการสรา้ งความรู้ (Constructivism) เนน้ การสรา้ งความรดู้ ว้ ยตนเองจากวิธกี ารต่าง ๆ กนั โดยอาศัยประสบการณ์เดมิ จากโครงสรา้ งทางปัญญา และแรงจงู ใจ จากแนวคิดดังกลา่ วท่นี ำมาใชใ้ นการสง่ เสรมิ การเรยี นรู้ให้กับผู้เรียนได้ ประสบความสำเรจ็ ในการเรียนรู้ได้ อย่างมีประสทิ ธภิ าพ ควรจดั กระบวนการเรียนรอู้ ย่างเปน็ ระบบโดยอาศยั กระบวนการวจิ ัยเข้ามาชว่ ยในการ เรยี นรใู้ นเร่อื งท่ีมีความซับซ้อนทำให้ผู้เรียนได้ฝกึ คิด การจัดการ การหาเหตผุ ลในการแก้ปญั หา การผสมผสาน ความรูแ้ บบสหวิทยาการและการเรียนรปู้ ญั หาที่ผเู้ รยี นสนใจ ครูจะตอ้ งส่งเสริมใหผ้ เู้ รยี นมีอสิ ระในการทดลอง ใชแ้ นวคดิ และวธิ กี ารตา่ ง ๆในการเรยี นรู้ การทดสอบความรทู้ ไ่ี ดร้ บั และการสรุปความรู้ เจตคติ และทักษะอัน เปน็ เครือ่ งมอื พัฒนาการเรยี นรู้ตลอดชวี ติ มีพัฒนาการทางสติปัญญา ทางอารมณ์ สังคม และทางร่างกาย ซงึ่ รูปแบบการวิจยั ในกระบวนการเรยี นรู้ มีดังนี้ แผนภูมิ แสดงการวจิ ยั ในกระบวนการเรยี นรู้
จากแผนภูมิ การวจิ ัยในกระบวนการเรียนรู้ ซงึ่ เปา้ หมายของการจดั การเรียนรู้ คือผเู้ รียนมีความรู้ เจตคติ และ ทักษะ ซึง่ ได้จากการเรยี นรดู้ ้วยกระบวนการวิจัยอยา่ งเปน็ ระบบ มี 5 ขน้ั ตอน ดงั น้ี ขั้นตอนท่ี 1 การวิเคราะห์ความต้องการการเรียนรู้ ข้ันตอนน้ผี ู้เรียนจะต้องทราบความตอ้ งการการ เรยี นรขู้ องตนเอง มีการลำดับความสำคญั ของความต้องการกอ่ นหลงั ที่ต้องการจะเรียนเรียน และนำเรือ่ งท่มี ี ความสำคัญลำดบั แรก มากำหนดเป้าหมายของการเรยี นรู้ ข้นั ตอนที่ 2 การวางแผนการเรยี นรู้ ผ้เู รียนจะต้องวางแผนการเรยี นรู้ของตนเองวา่ จะเรยี นเรือ่ งอะไร ใช้ เวลาเรยี นเท่าไร เรียนรู้ดว้ ยวิธีใด เรยี นร้จู ากแหล่งเรียนรู้ใด ตอ้ งใช้สือ่ อะไร และเมอื่ มีปัญหาในการเรียน จะต้องปรึกษาใคร เม่ือไดร้ ับความร้แู ลว้ จะนำความรู้ไปใชอ้ ยา่ งไร ตลอดจนวางแผนการนำความร้ทู ่ไี ด้ไปใช้ใน การปรับปรงุ และพฒั นางาน ขัน้ ตอนที่ 3 การพัฒนาทกั ษะการเรียนรู้ เป็นขน้ั ตอนของการปฏบิ ตั ิเพื่อแสวงหาความรตู้ ามที่ได้ วางแผนไว้ ซึง่ อาจใช้วิธีการต่าง ๆ ในการเรียนรู้ เช่น การสังเกต การสัมภาษณ์ การบนั ทึกข้อความ การสรุป ความ การเรียนรจู้ ากแหลง่ เรียนรู้ เช่น ศนู ย์วทิ ยาการ ส่อื สิ่งพมิ พ์ สอ่ื บคุ คลและส่ือเทคโนโลยี เปน็ ตน้ เม่อื ได้ ความรู้แล้วควรตรวจสอบความถูกต้องของความรทู้ ี่ได้ และนำความรไู้ ปใชใ้ ห้เปน็ ไปตามเป้าหมายของการ เรียนรู้ ข้นั ตอนที่ 4 การสรุปความรู้ เปน็ ข้นั ตอนทผ่ี เู้ รยี นสรปุ ความรู้และนำเสนอความรู้ที่ไดจ้ ากการศึกษา ค้นควา้ ในรูปแบบต่าง ๆ เช่น รูปภาพ แผนภาพ แผนภูมิ ฯลฯ และอาจใช้ เคร่ืองมือ อุปกรณ์ หรอื เทคโนโลยี ตา่ ง ๆมาชว่ ยในการนำเสนอ ขน้ั ตอนท่ี 5 การประเมินผลเพอ่ื ปรับปรงุ และนำไปใช้ในการพฒั นา เปน็ ขัน้ ตอนทผี่ ู้เรยี นประเมนิ กระบวนการเรียนรู้ของตนเองในระหวา่ งการเรียนรู้ทกุ ขั้นตอน เพ่ือนำไปสู่การปรบั ปรุงและการนำไปใช้พัฒนา งานต่อไป 2. การวิจยั พัฒนาการเรยี นรู้ ในการจัดการเรียนรเู้ พ่ือใหผ้ ู้เรียนเปน็ มนษุ ย์ที่สมบูรณท์ ั้งร่างกาย จิตใจ สตปิ ัญญา ความรู้ และ คุณธรรม มจี รยิ ธรรมและวฒั นธรรมในการดำรงชีวิต สามารถอยู่ร่วมกบั ผู้อน่ื ได้อย่างมีความสขุ น้นั ผู้สอน จะตอ้ งคำนึงถงึ มาตรฐานการจดั การศึกษา ที่กำหนดในการจัดการเรียนรู้ที่มุง่ พัฒนาผ้เู รียนเปน็ สำคัญ คอื ผเู้ รยี นจะต้องเกดิ กระบวนการเรียนรตู้ รงตามเป้าหมายการเรยี นรู้ ซึ่งจะตอ้ งมกี ารปรบั ปรงุ และพัฒนาการ จัดการเรยี นรขู้ องผสู้ อนอย่างต่อเน่อื ง ดังน้นั การทำวจิ ัยเพื่อพัฒนาการเรยี นรจู้ งึ มบี ทบาสำคญั ในการ พฒั นาการจัดการเรียนรู้ ผสู้ อนจำเปน็ จะต้องบูรณาการภารกิจของการวิจยั มาใชเ้ ปน็ เคร่ืองมอื ในการ พัฒนาการเรียนรู้ ดังนี้ 1. ในการจดั กระบวนการเรยี นการสอน ควรใชก้ ระบวนการวิจัยมาเป็นสว่ นหนง่ึ ของการเรียนรู้ 2. ทำวจิ ยั เพือ่ จดั กจิ กรรมการเรียนรู้ที่เหมาะสมกับผ้เู รียน 3. นำผลการวจิ ัยมาใชใ้ นการปรบั ปรงุ กระบวนการเรียนการสอน
ดงั น้นั การใชก้ ารวิจยั เพ่อื พฒั นาการเรียนร้จู ึงเปน็ ภารกิจทส่ี ำคญั และจำเป็นทผ่ี ้สู อนควรนำมาใชใ้ นการ แกป้ ัญหาหรือพฒั นาการเรียนรู้ การวิจัยเพอ่ื พฒั นาการเรียนรู้ มีการดำเนนิ งาน ดังนี้ แผนภมู ิ แสดงกระบวนการการวจิ ัยเพื่อพฒั นาการเรยี นรู้ จากแผนภูมิกระบวนการวิจยั เพือ่ พฒั นาการเรียนรู้ มี 5 ข้ันตอน ดังน้ี ขั้นตอนที่ 1 วเิ คราะห์ความต้องการ/พัฒนาการเรียนรู้ ข้นั ตอนท่ี 2 วางแผนการจดั การเรียนรู้ ขั้นตอนที่ 3 จดั กจิ กรรมการเรยี นรู้ ขน้ั ตอนท่ี 4 ประเมนิ ผลการเรียนรู้ ขนั้ ตอนท่ี 5 ทำรายงานผลการเรยี นรู้
กระบวนการท้งั 5 ข้ันตอนผสู้ อนจะต้องนำวธิ ีวจิ ัยมาใชใ้ นการดำเนนิ งาน และในขัน้ ตอนที่ 3 เมอื่ ผ้สู อนทำการ ประเมินระหว่างจัดกจิ กรรมการเรียนรู้แลว้ พบวา่ มีปญั หาเกิดข้ึนเลก็ นอ้ ย ผู้สอนจะต้องดำเนินการปรบั ปรุง แกไ้ ขการจัดกิจกรรมการเรยี นรู้ เพอื่ ใหบ้ รรลผุ ลตามจดุ มุง่ หมายทกี่ ำหนดไว้ และเมอื่ ผสู้ อนประเมนิ ผลการ เรียนรู้ในขั้นตอนที่ 4 แล้วพบวา่ ไมม่ ปี ญั หา ผู้เรียนมีการพัฒนาการเรยี นรทู้ ี่ตรงกบั จุดมุง่ หมายของการจัด กิจกรรมการเรยี นรู้ ผ้สู อนจะต้องจัดทำรายงานผลการเรยี นรู้ เพือ่ รายงานแกผ่ ู้เกย่ี วขอ้ งเพ่อื ทราบและใช้ ประโยชนต์ อ่ ไป ในกรณีผสู้ อนทำการประเมินผลการเรียนรู้ในขั้นตอนที่ 4 แล้วพบวา่ มปี ัญหารุนแรง หรือพบวา่ มี บางเรอ่ื งท่จี ำเปน็ ต้องพัฒนา แตไ่ ม่อาจทำได้ทนั ที เช่น ผู้เรียนวชิ าภาษาไทยขาดทักษะการอา่ น โดยเฉพาะการ อา่ นจบั ใจความ ผู้สอนจะต้องทำวิจัยเพื่อแก้ปญั หาที่เกดิ ขึน้ โดยดำเนนิ การดงั นี้ 1) จัดกิจกรรมแกป้ ัญหา/พฒั นา 2) เกบ็ รวบรวมข้อมูล/วิเคราะห์ข้อมูล 3) สรปุ ผลการแกป้ ัญหา/พฒั นา เมอ่ื ได้ผลการแกป้ ัญหา/พัฒนาแลว้ ผ้สู อนจะต้องกลับไปประเมินผลการเรยี นรู้และรายงานต่อ ผเู้ ก่ียวข้องเพ่ือนำไปใช้ประโยชนแ์ ละเม่ือผู้สอนได้ทำวิจยั เพิ่มเติมเพือ่ แกป้ ัญหาท่ีเกิดขน้ึ ในการจดั การเรียนรู้ได้ แล้ว ผสู้ อนจะต้องนำผลวิจัยไปใชใ้ นการจัดการเรยี นรู้ตอ่ ไป 3. การวิจัยพัฒนาคณุ ภาพการศกึ ษาของสถานศึกษา การจัดการศึกษาของสถานศกึ ษาทีม่ ปี ระสิทธิภาพนั้น ข้ึนอยู่กับองคป์ ระกอบภายในของสถานศึกษา เช่น ผูส้ อน ผูเ้ รียน หลักสตู ร สื่อ วัสดุอปุ กรณต์ ่าง ๆ และผู้ทมี่ บี ทบาทสำคญั ที่สุดในการทำให้กจิ กรรมต่าง ๆ ของสถานศึกษาดำเนินไปได้ด้วยดี คือผบู้ ริหารสถานศึกษา ซง่ึ จะต้องระดมสรรพกำลงั บุคลากรทุกฝ่ายตั้งแต่ ผู้สอน ผู้เรยี น กรรมการสถานศกึ ษา และชมุ ชน มารว่ มกนั วิเคราะห์ปัญหาและความต้องการ เพ่ือกำหนด ทศิ ทางหรือวสิ ัยทัศน์ จัดทำแผนพฒั นาการจัดการศึกษา จัดทำแผนปฏบิ ตั กิ าร การดำเนินงานตามแผน การ นิเทศติดตามผล และการจดั ทำรายงานผลการดำเนินงานของสถานศกึ ษา กระบวนการต่าง ๆ ดงั กล่าวถือวา่ ผบู้ ริหารสถานศกึ ษาไดน้ ำกระบวนการวจิ ยั มาใชใ้ นการบริหาร จดั การของสถานศกึ ษา ดงั น้ี
แผนภมู แิ สดงการวจิ ัยพฒั นาคุณภาพการศึกษาของสถานศึกษา จากแผนภมู จิ ะเห็นไดว้ า่ ผู้บริหารได้ใช้กระบวนการวิจยั มาดำเนินการบริหารสถานศึกษา เรม่ิ ต้ังแต่ การวิเคราะห์ปัญหาและความต้องการเพ่ือกำหนดทิศทาง/วิสยั ทศั น์จดั ทำแผนพฒั นาการจัดการศึกษา/ แผนปฏิบัติการ กำกับ ดูแลการปฏบิ ตั งิ านใหเ้ ป็นไปตามแผน นเิ ทศ ติดตามประเมนิ ผลการดำเนินงาน และ จดั ทำรายงานผลการดำเนนิ งานของสถานศึกษา ในกรณที ปี่ ระเมนิ ผลการดำเนนิ งานแลว้ พบวา่ มปี ัญหารุนแรงหรือพบเรอื่ งที่ควรได้รบั การพฒั นา ผบู้ ริหารจะต้องทำวิจัยเพื่อแก้ปญั หาหรือพฒั นางานดังกลา่ วในระหว่างขั้นตอนที่ 4 ของการดำเนนิ งาน โดยมี ข้นั ตอนวิจยั 5 ขั้นตอน ดงั นี้ 1. การวิเคราะห์ปัญหา/พฒั นา 2. วางแผนแก้ปัญหา/พัฒนา 3. จดั กจิ กรรมแก้ปญั หา/พฒั นา 4. เก็บรวบรวมข้อมลู วเิ คราะหข์ ้อมูล 5. สรปุ ผลการแก้ปัญหา/พัฒนา
เมือ่ สรปุ ผลการแกป้ ญั หา/พฒั นา เสร็จแลว้ ขน้ั ต่อไปคือการนำผลการวิจัยไปใช้ และประเมินใน ขั้นตอนท่ี 4 ของการดำเนินงานบรหิ ารอกี ครั้ง ถ้าพบวา่ ไม่มีปัญหา จงึ จดั ทำรายงานผลการดำเนินงาน สถานศกึ ษาใหผ้ ู้เก่ียวข้องทราบหรอื เปน็ ข้อมูลในการพัฒนา ตอ่ ไป 7.ความเขา้ ใจผ้เู รยี นและการเรียนรู้ การเรยี นร้เู ปน็ การเปลย่ี นแปลงพฤติกรรมที่ถาวร เนอื่ งจากการฝึกปฏิบตั ิหรอื ประสบการณ์การ เรียนรขู้ นึ้ อยูก่ บั ปจั จยั 5ประการคือ 1. ความสามารถของผ้เู รียน 2. ระดับของแรงจูงใจ 3. ผู้เรียนเสาะหา วิธกี ารทเี่ หมาะสมในการแกป้ ัญหา 4. ผลของความกา้ วหนา้ จากการเลือกแก้ปญั หาทล่ี ดความตึงเครียด และ 5. การขจดั พฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม ขอบเขตของการเรียนรู้ 4 ประการ บลมู และเพ่ือนๆเป็นท่ีรู้จักกนั ดีในการแบ่งการเรียนรู้ออกเปน็ 3 ประเภท คือ ดา้ นปญั ญาหรือพทุ ธ พสิ ัย ดา้ นทักษะพิสัย พทุ ธพสิ ัยรวมถงึ การเรยี นร้แู ละการประยกุ ตใ์ ช้ความรู้ ทักษะพสิ ัยรวมถึงการพัฒนาเสรี ทางกายและทักษะท่ีต้องการใช้กลา้ มเนื้อสัมพนั ธ์กับประสาทจิตพสิ ยั เก่ียวข้องกับการได้มาซ่งึ เจตคติ ความ ซาบซ้ึงและคา่ นิยม การเรียนรู้ทง้ั 3 ประการน้ี ควรไดร้ ับการพิจารณาในการวางแผนผลทไี่ ด้รบั จากการเรยี นรู้ ที่ได้จากการเรยี นการสอน ในการทีจ่ ะประสบผลสำเร็จตามเปา้ หมายของการศึกษาขอบเขตการเรยี นรทู้ ั้ง 3 น้ี ตอ้ งได้รบั การบูรณาการเข้าไว้ในทุกลกั ษณะของการเรียนการสอนและการพฒั นาหลักสตู รซ่ึงจะทำให้ผู้เรยี น กลายเปน็ จดุ โฟกัสของกระบวนการเรยี นการสอนการเรยี นรู้ อนุกรมภธิ าน เปน็ ระบบของการแยกแยะบางพฤตกิ รรมทนี่ ักเรียนสามารถคาดหวงั ที่จะทำให้ได้ ภายหลังจากทไี่ ดเ้ รยี นรู้แล้ว อนุกรมภธิ านเปน็ ท่รี ้จู ักกนั มากทส่ี ดุ คือ อนกุ รมภิธานดา้ นพทุ ธพิสัยของบลูมและ เพ่ือนๆ พุทธิพิสยั รวมถึง ความรู้ ความเข้าใจการนำไปประยกุ ตใ์ ช้ในการวเิ คราะห์ การสังเคราะหแ์ ละการ ประเมินค่า พทุ ธิพสิ ัยแต่ละประเภทในอนุกรมอภิธาน ประกอบด้วยองคป์ ระกอบบางประการของประเภท ความรทู้ ีต่ ้องมากอ่ นอนุกรมนี้มปี ระโยชน์สำหรับการออกแบบหลกั สูตรและการสร้างแบบทดสอบ จิตพิสัย การเรียนรทู้ างเจตคติพาดพิงถึงคณุ ลักษณะของอารมณ์ของการเรียนรู้ เก่ียวข้องว่านกั เรยี น รสู้ กึ อยา่ งไรเกี่ยวกับประสบการณ์การเรียนรู้ รูส้ ึกอย่างไรกับการเรยี นรกู้ ับตนเอง และเป็นการพิจารณาความ สนใจ ความซาบซึ้ง เจตคติค่านยิ มและคุณลักษณะของผู้เรียน ทกั ษะพิสยั เกย่ี วข้องกับทางร่างกายหรอื ทักษะทางประสาทและกล้ามเน้ือสมั พันธ์กนั ในการเฝา้ ดู การเรยี นรู้ที่จะเดินก็จะความคิดวา่ มนุษย์เรียนรู้ทักษะการเคล่ือนไหวอยา่ งไร เม่อื เด็กได้รบั ความคิดว่าต้องการ อะไรและมีทักษะทตี่ ้องมีมาก่อนมีความแข็งแรง และวฒุ ิภาวะและอื่นๆ เดก็ จะพยายามมีความหยาบๆ ซ่งึ จะ คอ่ ยๆแกไ้ ขผา่ นไปขอ้ มลู กลบั ยอ้ นมาจากสิง่ แวดล้อม เช่น ธรณปี ระตู
สังคมพสิ ัย มคี วามใกลเ้ คียงและสัมพนั ธก์ บั จิตพิสัย และเกย่ี วขอ้ งกบั การปรับตวั ของบุคคลและ ทักษะการปฏสิ มั พนั ธ์ทางสงั คม ซิงเกอรแ์ ละดิค ไดส้ รปุ ส่ิงที่เก่ียวขอ้ งกบั สังคมพิสยั ไว้ 4 ประการ ดังนี้ คือ 1. ความประพฤติ การปฏิบตั ิ 2. ความมน่ั คงทางอารมณ์ 3. ความสัมพนั ธ์ระหวา่ งบุคคล และ 4. การรูจ้ กั เติมเตม็ ตัวเองให้สมบรู ณ์ ทเี่ รียกว่า Self – fulfillment ครตู ้องมนั่ ใจในทักษะทางสงั คมทางบวกมากกวา่ ทาง ลบเปน็ ผลทปี่ รากฏภายหลงั ของการศึกษา 8.การเรียนการสอนทเี่ นน้ ผเู้ รยี นเปน็ ศูนย์กลาง การเรียนการสอนทเี่ นน้ ผู้เรียนเปน็ ศูนยก์ ลาง การเรียนการสอนท่เี น้นผเู้ รียนเป็นสำคัญ เปน็ การ เรียนรมู้ ุ่งประโยชนส์ ูงสดุ แก่ผเู้ รยี น สนองความแตกต่างระหวา่ ง บคุ คล ผเู้ รยี น เกิดการเรียนรอู้ ย่างแท้จริง เรียนรอู้ ย่างมีความสุข ได้พัฒนาเดก็ ตามศกั ยภาพรอบด้านสมดลุ หรืออกี นัยหน่ึงว่า การเรียนการสอนท่ีเนน้ ผเู้ รยี นเปน็ ศูนยก์ ลาง หมายถงึ การสอนทม่ี งุ่ จัดกจิ กรรม การเรยี นรู้ทส่ี อดคลอ้ งกบั การดำรงชวี ิต เหมาะกับความสามารถและความสนใจของผ้เู รียน โดยให้ผเู้ รียนมีสว่ น รว่ มและลงมือปฏิบตั จิ รงิ ทกุ ขั้นตอน จนเกดิ การเรียนร้ดู ้วยตนเอง หรืออาจกล่าวอีกนัยหน่งึ ได้เช่นกันว่า หมายถงึ ผ้เู รียนเกิดการเรียนรู้อย่างแทจ้ รงิ เรียนอย่างมีความสขุ แนวคดิ ปัจจบุ นั มกี ารกล่าวขานกนั มากถึงการจัดการเรียนรู้ท่ีเน้นผู้เรียนเป็นศนู ยก์ ลาง หรือเน้นผูเ้ รียนเปน็ สำคัญ ซงึ่ นกั การศึกษาเปน็ ผู้คิดค้นและใช้คำนเ้ี ปน็ ครัง้ แรก คือ อาร์ โรเจอร์ โดยเชอื่ วา่ วิธีการเรียนการสอนที่ เน้นผ้เู รียนเป็นสำคญั เป็นการส่งเสรมิ ให้ผเู้ รียนมีความรบั ผิดชอบ โดยสง่ เสรมิ ความคดิ ของผูเ้ รียนและอำนวย ความสะดวกใหผ้ เู้ รียนและอำนวยความสะดวกให้ผู้เรยี นได้พฒั นาศักยภาพสงู สุดของตนเองโดยมีแนวคิด ดังนี้ 1. ผ้เู รียนตอ้ งรบั ผดิ ชอบตอ่ การเรียนรู้ของตน 2. เน้ือหาวชิ ามีความสำคญั และมีความหมายต่อการเรยี น 3. การเรียนร้จู ะประสบความสำเร็จ ถา้ ผู้เรียนมีส่วนร่วม 4. สมั พนั ธภาพท่ีดรี ะหว่างผู้เรยี น การมีปฏิสมั พนั ธ์ 5. ครเู ปน็ มากไปกวา่ การสอน ครเู ป็นทงั้ ทรพั ยากรบุคคล เป็นแหล่งการเรียนรู้ เปน็ ผอู้ ำนวยความสะดวก 6. ผเู้ รียนมโี อกาสเหน็ ตนเองในแง่มุมท่ีแตกต่างจากเดมิ 7. การศึกษาเปน็ การพฒั นาประสบการณ์การเรียนรู้ของผเู้ รยี นหลายๆดา้ น 8. ผูเ้ รยี นได้เรียนรวู้ ิธกี ารทำงานอย่างเปน็ กระบวนการ 9. ผเู้ รยี นนำความรู้ที่ได้ไปใช้ประโยชน์ในชีวติ ประจำวนั ได้ 10. การเนน้ ผเู้ รยี นเปน็ ศูนย์กลางก่อให้เกิดความเป็นประชาธิปไตย 11. การเน้นผู้เรยี นเปน็ ศนู ย์กลางสอนใหผ้ ูเ้ รียนรู้จักวิพากษว์ จิ ารณ์ 12. การเน้นผ้เู รียนเป็นศูนย์กลางทำให้เกดิ การนำตนเอง 13. การเนน้ ผ้เู รียนเปน็ ศูนย์กลางก่อใหเ้ กิดความคิดสรา้ งสรรค์ 14. การเน้นผ้เู รยี นเปน็ ศูนย์กลางก่อใหเ้ กิดการพฒั นามโนทศั นข์ องตน
15. การเนน้ ผู้เรียนเป็นศนู ย์กลางเป็นการเสาะแสวงหาความสามารถพเิ ศษของผเู้ รียน 16. การเน้นผเู้ รียนเป็นศูนย์กลางเปน็ วธิ กี ารที่ดจี ะชว่ ยดงึ ศักยภาพของผู้เรียน 9.รูปแบบการเรียนรแู้ ละวิธีการจดั การเรยี นการสอนที่เน้นผ้เู รยี นเปน็ ศนู ย์กลาง ในการจดั การเรียนการสอนท่เี น้นผเู้ รยี นเปน็ ศูนย์กลาง มรี ูปแบบการเรียนรู้ วิธีการและการจดั การ เรียนการสอนท่หี ลากหลายกลา่ วคอื รปู แบบการเรียนร้ทู ห่ี ลากหลาย เช่น การเรยี นรู้แบบสบื สวน การเรียนรกู้ ารใชเ้ หตุผลเชิงจรยิ ธรรม การเรียนรู้แบบมีส่วนร่วม การเรียนร้แู บบโครงงาน การเรียนรู้แบบกระบวนการทางปัญญา การเรียนรู้โดยใช้ แผนการออกแบบประสบการณ์ วิธีการจัดการเรียนการสอน การสอนท่ีหลากหลาย เชน่ เกมการศกึ ษา สถานการณ์จำลอง กรณีตวั อยา่ ง บทบาทสมมติ การแก้ปัญหา โปรแกรมสำเรจ็ รูป ศูนย์การเรียนรู้ ชุดการ เรียน คอมพิวเตอร์ การจัดกจิ กรรมการเรียนการสอน ในชั้นเรยี นหนึ่งๆจะมีความแตกต่างระหว่างบุคคลอย่มู าก ไม่มีใคร 2 คนท่เี หมือนกนั ทกุ ประการ แมก้ ระทั่งลกู แฝดท่ีเกดิ จากไข่ใบเดียวกัน และผเู้ รยี นแตล่ ะคนก็จะมีสไตลก์ ารเรียนรทู้ ี่เป็นของตวั เอง และมี ความถนดั ในการเรียนร้ทู แ่ี ตกต่างกนั ท้ัง 4แบบ (จินตนาการ วิเคราะห์ สามญั สำนกึ เรยี นรูด้ ้วยตนเอง : พล วัติ) เพอื่ ให้ผู้เรียนเรียนรู้อย่างมคี วามสขุ สนกุ สนานและมีส่วนร่วมในรปู แบบการเรียนรู้ตามทีถ่ นัด ทั้งยังมีการ พฒั นาความสามารถในด้านอ่ืน ๆ ท่ีตนไม่ถนัดดว้ ยวธิ ีการเรยี นรูร้ ูปแบบอ่นื ๆ จอห์สันและจอหส์ นั (Johnhon and Jonhon, 1991) จัดใหม้ ยี ทุ ธศาสตร์ 5 ประการท่ีอนุญาตให้เรยี นรู้แบบ ร่วมมือกันไปใช้อย่างมปี ระสิทธิภาพในเชงิ วชิ าการดา้ นใด ๆ คือ 1. ระบจุ ุดประสงคข์ องบทเรียนให้ชัดเจน 2. ตดั สนิ ใจในการกำหนดใหน้ ักเรียนอยู่ในกล่มุ การเรียนรู้ใดกอ่ นทีจ่ ะสอน 3. อธบิ ายภาระงาน โครงสรา้ งของเป้าประสงคแ์ ละกจิ กรรมการเรยี นรู้อยา่ งชดั เจน 4. เฝา้ ระวังประสทิ ธผิ ลของกลุ่ม และคอยให้ความชว่ ยเหลือ 5. ประเมนิ ผลสัมฤทธิข์ องนักเรยี น ลักษณะและองค์ประกอบพืน้ ฐาน 1. ความเก่ยี วข้องสมั พนั ธ์กนั หรอื การพ่ึงพาในทางบวก 2. ความสมั พันธแ์ บบหนั หนา้ เขา้ หากัน 3. มาตรฐานการตรวจสอบรายบคุ คล 4. การใช้ทักษะระหวา่ งบุคคลและทกั ษะการทำงานกลุ่มยอ่ ย 5. การใชก้ ระบวนการกลุ่ม
10. การจดั การเรียนรแู้ บบ Active Learning Active Learning คือกระบวนการจดั การเรยี นรทู้ ี่ผเู้ รียนได้ลงมือกระทำและได้ใช้กระบวนการคดิ เกีย่ วกบั สงิ่ ทเี่ ขาได้กระทำลงไป (Bonwell, 1991) เป็นการจัดกิจกรรมการเรยี นรูภ้ ายใต้สมมติฐานพ้ืนฐาน 2 ประการคือ 1) การเรียนรูเ้ ปน็ ความพยายามโดยธรรมชาตขิ องมนษุ ย์ และ 2) แต่ละบุคคลมีแนวทางในการ เรียนร้ทู ี่แตกตา่ งกนั (Meyers and Jones, 1993) โดยผเู้ รียนจะถกู เปลยี่ นบทบาทจากผู้รบั ความร(ู้ receive) ไปสูก่ ารมีสว่ นรว่ มในการสรา้ งความรู้(co-creators) ( Fedler and Brent, 1996) Active Learning เป็นกระบวนการเรียนการสอนอยา่ งหนึ่ง แปลตามตวั ก็คือเป็นการเรียนรู้ผา่ นการปฏบิ ัติ หรอื การลงมือทำซึ่ง ” ความรู้ “ท่ีเกิดขนึ้ ก็เป็นความรู้ท่ไี ด้จากประสบการณ์ กระบวนการในการจดั กิจกรรม การเรยี นรู้ที่ผู้เรียนตอ้ งได้มีโอกาสลงมอื กระทำมากกว่าการฟงั เพยี งอย่างเดยี ว ตอ้ งจัดกจิ กรรมใหผ้ ู้เรียนได้การ เรยี นรโู้ ดยการอ่าน, การเขยี น, การโตต้ อบ, และการวิเคราะห์ปญั หา อีกทั้งให้ผู้เรยี นไดใ้ ชก้ ระบวนการคดิ ขัน้ สูง ได้แก่ การวิเคราะห์, การสังเคราะห์, และการประเมินคา่ ดังกล่าวน่ันเองหรอื พดู ให้งา่ ยขน้ึ มาหน่อยก็คือ หากเปรียบความรเู้ ป็น ” กับขา้ ว ” อย่างหนึ่งแลว้ Active learning กค็ ือ ” วิธีการปรุง ” กบั ข้าวชนดิ นนั้ ดงั นน้ั เพื่อให้ได้กับข้าวดังกลา่ ว เรากต็ ้องใช้วธิ ีการปรุงอันนี้แหละแต่วา่ รสชาติจะออกมาอย่างไรก็ขึ้นกบั ประสบการณ์ความชำนาญ ของผูป้ รงุ นัน่ เอง ( ส่วนหนง่ึ จากผ้สู อนให้ปรงุ ด้วย ) “เป็นกระบวนการเรียนร้ทู ใ่ี ห้ ผู้เรียนไดเ้ รียนรู้อยา่ งมีความหมาย โดยการรว่ มมอื ระหว่างผู้เรียนดว้ ยกนั ในการนี้ ครูต้องลดบทบาทในการ สอนและการให้ข้อความรู้แกผ่ ู้เรยี นโดยตรงลง แตไ่ ปเพมิ่ กระบวนการและกจิ กรรมทจี่ ะทำใหผ้ เู้ รยี นเกดิ ความ กระตือรือรน้ ในการจะทำกจิ กรรมต่าง ๆ มากขนึ้ และอยา่ งหลากหลาย ไมว่ ่าจะเป็นการแลกเปล่ียน ประสบการณ์ โดยการพูด การเขียน การอภิปรายกับเพ่ือนๆ” กระบวนการเรียนรู้ Active Learning ทำให้ ผูเ้ รียนสามารถรกั ษาผลการเรียนรู้ใหอ้ ย่คู งทนได้มากและนานกว่ากระบวนการเรียนรู้ Passive Learning เพราะกระบวนการเรยี นรู้ Active Learning สอดคลอ้ งกบั การทำงานของสมองท่ีเกย่ี วข้องกับ ความจำ โดยสามารถเก็บและจำสิ่งทผ่ี ู้เรียนเรยี นรอู้ ย่างมีสว่ นร่วม มีปฏิสัมพนั ธ์ กบั เพื่อน ผู้สอน สง่ิ แวดลอ้ ม การเรียนรไู้ ดผ้ า่ นการปฏิบตั ิจริง จะสามารถเกบ็ จำในระบบความจำระยะยาว (Long Term Memory) ทำ ใหผ้ ลการเรียนรู้ ยังคงอย่ไู ด้ในปรมิ าณท่ีมากกว่า ระยะยาวกว่า ซง่ึ อธิบายไว้ ดังรปู
จากรปู จะเหน็ ไดว้ า่ กรวยแหง่ การเรยี นรูน้ ้ีไดแ้ บง่ เป็น 2 กระบวนการ คือ กระบวนการเรียนรู้ Passive Learning กระบวนการเรียนรู้โดย การอา่ นท่องจำผเู้ รยี นจะจำได้ในสง่ิ ท่เี รียนไดเ้ พียง 10% การเรียนร้โู ดยการ ฟังบรรยายเพยี งอย่างเดยี วโดยทผ่ี ้เู รียนไม่มโี อกาสได้มีสว่ นรว่ มในการเรยี นรู้ด้วยกจิ กรรมอื่นในขณะทอ่ี าจารย์ สอนเม่อื เวลาผา่ นไปผูเ้ รยี นจะจำได้เพยี ง 20%หากในการเรียนการสอนผู้เรยี นมโี อกาสไดเ้ ห็นภาพประกอบ ด้วยกจ็ ะทำให้ผลการเรียนรู้คงอยไู่ ด้เพ่ิมขึน้ เป็น 30%กระบวนการเรียนรทู้ ่ผี สู้ อนจดั ประสบการณใ์ ห้กับผู้เรยี น เพิม่ ขน้ึ เช่น การใหด้ ภู าพยนตร์ การสาธิต จดั นทิ รรศการให้ผู้เรยี นไดด้ ู รวมทง้ั การนำผูเ้ รียนไปทัศน ศกึ ษา หรือดงู าน ก็ทำใหผ้ ลการเรียนรู้เพิ่มขึ้น เป็น 50% การบวนการเรยี นรู้ Active Learning การให้ผ้เู รียนมีบทบาทในการแสวงหาความรู้และเรยี นรู้อย่างมปี ฏิสมั พนั ธจ์ นเกดิ ความรู้ ความเขา้ ใจ นำไปประยุกตใ์ ชส้ ามารถวิเคราะห์ สงั เคราะห์ ประเมนิ คา่ หรือ สร้างสรรค์สิง่ ต่าง ๆ และพฒั นาตนเองเต็ม ความสามารถ รวมถึงการจดั ประสบการณ์การเรียนรใู้ ห้เขาได้มโี อกาสรว่ มอภปิ รายให้มโี อกาสฝึกทักษะการ ส่อื สาร ทำใหผ้ ลการเรยี นรเู้ พ่ิมขึ้น 70%การนำเสนองานทางวชิ าการ เรียนร้ใู นสถานการณจ์ ำลอง ทั้งมกี ารฝึก ปฏิบัติ ในสภาพจริง มกี ารเชื่อมโยงกบั สถานการณ์ ตา่ ง ๆ ซ่งึ จะทำให้ผลการเรียนรเู้ กดิ ขึ้นถงึ 90% ลักษณะของ Active Learning (อา้ งอิงจาก :ไชยยศ เรอื งสวุ รรณ) เป็นการเรยี นการสอนท่ีพฒั นาศกั ยภาพทางสมอง ได้แก่ การคดิ การแก้ปัญหา การนําความรไู้ ป ประยกุ ตใ์ ช้เปน็ การเรยี นการสอนท่เี ปิดโอกาสให้ผ้เู รยี นมีส่วนรว่ มในการเรยี นรผู้ ้เู รยี นสรา้ งองคค์ วามรแู้ ละ จัดระบบการเรียนรดู้ ว้ ยตนเองผู้เรียนมสี ว่ นร่วมในการเรยี นการสอน มีการสรา้ งองคค์ วามรู้ การสรา้ งปฎิ สัมพันธ์ร่วมกนั และรว่ มมือกันมากกวา่ การแข่งขันผ้เู รยี นไดเ้ รียนรคู้ วามรบั ผดิ ชอบร่วมกัน การมวี ินยั ในการ ทาํ งาน และการแบง่ หน้าท่ีความรบั ผิดชอบเป็นกระบวนการสร้างสถานการณ์ให้ผู้เรยี นอ่าน พดู ฟงั คิด
เปน็ กิจกรรมการเรยี นการสอนเน้นทักษะการคดิ ขนั้ สูงเป็นกจิ กรรมท่ีเปิดโอกาสให้ผู้เรยี นบรู ณาการข้อมูล, ขา่ วสาร, สารสนเทศ, และหลกั การสู่การสร้างความคิดรวบยอดความคิดรวบยอดผู้สอนจะเปน็ ผู้อํานวยความ สะดวกในการจดั การเรยี นรู้ เพื่อให้ผเู้ รยี นเป็นผู้ปฏิบตั ดิ ว้ ยตนเองความร้เู กดิ จากประสบการณ์ การสรา้ งองค์ ความรู้ และการสรปุ ทบทวนของผู้เรียน บทบาทของครู กับ Active Learning ณัชนนั แกว้ ชยั เจรญิ กจิ (2550) ได้กล่าวถึงบทบาทของ ครูผสู้ อนในการจดั กจิ กรรมการเรียนร้ตู ามแนวทางของ Active Learning ดงั นี้ จัดให้ผ้เู รียนเป็นศนู ยก์ ลางของ การเรยี นการสอน กจิ กรรมต้องสะทอ้ นความตอ้ งการในการพัฒนาผเู้ รียนและเนน้ การนำไปใช้ประโยชนใ์ นชวี ติ จรงิ ของผเู้ รยี นสร้างบรรยากาศของการมีสว่ นร่วม และการเจรจาโต้ตอบท่ีส่งเสริมใหผ้ เู้ รียนมปี ฏิสัมพันธ์ทีด่ ีกับ ผู้สอนและเพือ่ นในชั้นเรยี นจัดกจิ กรรมการเรยี นการสอนให้เปน็ พลวตั สง่ เสรมิ ให้ผู้เรยี นมีสว่ นร่วมในทกุ กิจกรรมรวมทั้งกระต้นุ ใหผ้ เู้ รียนประสบความสำเรจ็ ในการเรียนรูจ้ ัดสภาพการเรียนรแู้ บบร่วมมอื สง่ เสริมให้ เกิดการรว่ มมือในกลมุ่ ผเู้ รียนจัดกจิ กรรมการเรยี นการสอนให้ท้าทาย และใหโ้ อกาสผเู้ รยี นไดร้ บั วิธกี ารสอนท่ี หลากหลายวางแผนเก่ยี วกบั เวลาในจัดการเรยี นการสอนอยา่ งชดั เจน ท้งั ในส่วนของเนอ้ื หา และกิจกรรม ครูผสู้ อนตอ้ งใจกว้าง ยอมรับในความสามารถในการแสดงออก และความคิดเของทผี่ ้เู รยี น การจัดการเรียนรแู้ บบใช้โครงงานเปน็ ฐาน (PROJECT-BASED LEARNING) ความหมาย การจัดการเรียนร้แู บบใช้โครงงานเป็นฐาน หมายถึง การจัดการเรียนร้ทู ี่มีครเู ปน็ ผู้กระต้นุ เพื่อนำความ สนใจทีเ่ กิดจากตวั นักเรยี นมาใชใ้ นการทำกจิ กรรมค้นคว้าหาความร้ดู ว้ ยตวั นกั เรยี นเอง นำไปส่กู ารเพมิ่ ความรู้ท่ี ไดจ้ ากการลงมือปฏิบัติ การฟังและการสังเกตุจากผเู้ ช่ียวชาญ โดยนักเรยี นมีการเรียนรผู้ ่านกระบวนการ ทำงานเปน็ กลุ่ม ที่จะนำมาสู่การสรุปความรใู้ หม่ มีการเขยี นกระบวนการจัดทำโครงงานและไดผ้ ลการจดั กิจกรรมเปน็ ผลงานแบบรปู ธรรม (ดษุ ฎี โยเหลาและคณะ, 2557: 19-20) ลักษณะเดน่ การเรียนรู้แบบโครงงาน เปน็ อกี รูปแบบหน่ึงทมี่ ผี ู้ให้ความสนใจมากในปจั จุบัน McDonell (2007) ได้ กลา่ วว่า การเรียนรแู้ บบโครงงานเปน็ รปู แบบหนึ่งของ Child- centered Approach ทเ่ี ปดิ โอกาสใหน้ ักเรียน ไดท้ ำงานตามระดบั ทักษะทต่ี นเองมีอยู่ เปน็ เรอ่ื งที่สนใจและรูส้ กึ สบายใจทจี่ ะทำ นักเรยี นได้รับสทิ ธใิ นการ เลือกว่าจะตั้งคำถามอะไร และต้องการผลผลิตอะไรจากการทำงานชน้ิ น้ี โดยครทู ำหนา้ ที่เปน็ ผูส้ นบั สนนุ อปุ กรณ์และจัดประสบการณใ์ หแ้ ก่นักเรียน สนับสนนุ การแกไ้ ขปัญหา และสร้างแรงจูงใจให้แกน่ ักเรยี น โดย ลักษณะของการเรียนรู้แบบโครงงาน มดี งั น้ี 1. นักเรียนกำหนดการเรยี นรู้ของตนเอง 2. เชอ่ื มโยงกับชวี ิตจริง สงิ่ แวดล้อมจรงิ 3. มฐี านจากการวิจยั หรอื องคค์ วามรู้ทีเ่ คยมี 4. ใช้แหล่งขอ้ มลู หลายแหลง่
5. ฝังตรงึ ดว้ ยความรแู้ ละทักษะบางอย่าง (embedded with knowledge and skills) 6. ใช้เวลามากพอในการสรา้ งผลงาน 7. มีผลผลิต แนวคดิ สำคญั การเรียนร้แู บบโครงงานน้ัน มีแนวคิดสอดคล้องกับ John Dewey เร่ือง “learning by doing” ซง่ึ ไดก้ ล่าววา่ “Education is a process of living and not a preparation for future living.” (Dewey John, 1897: 79 cite in Douladeli Efstratia, 2014) ซึ่งเปน็ การเนน้ การจัดการเรียนรู้ท่ใี หน้ ักเรยี นได้รบั ประสบการณ์ชีวิตขณะท่ีเรียน เพือ่ ให้นักเรยี นได้พฒั นาทักษะต่าง ๆ ซึ่งสอดคล้องกบั หลักพัฒนาการคิดของ Bloom ท้ัง 6 ขั้น คือ ความรู้ความจำ (Remembering) ความเขา้ ใจ (understanding) การประยุกตใ์ ช้ (Applying) การวเิ คราะห์ (Analyzing) การประเมนิ คา่ (Evaluating) และ การคดิ สรา้ งสรรค์ (Creating) ซง่ึ การจัดการเรียนร้แู บบใช้โครงงานเป็นฐาน น้นั จึงเป็นเป็นอีกรูปแบบหนึ่ง ที่ถือไดว้ า่ เปน็ การจดั การเรียนร้ทู ่ี เน้นผเู้ รยี นเป็นสำคญั เนื่องจากผู้เรยี นไดล้ งมือปฏิบัติเพอื่ ฝกึ ทกั ษะต่าง ๆ ด้วยตนเองทุกข้ันตอน โดยมคี รเู ปน็ ผู้ จดั ประสบการณ์การเรียนรู้ การเตรยี มตัวของครกู ่อนการจัดการเรยี นรู้ ในการจดั การเรียนรู้แตล่ ะคร้ัง ครูจะตอ้ งเปน็ ผู้ท่ีมีความพร้อมและมีความแม่นยำในเน้ือหาเพือ่ ให้การ จัดการเรยี นร้เู ปน็ ไปอย่างราบรน่ื และสามารถอำนวยความสะดวกใหผ้ ู้เรียนเกดิ การเรยี นรูไ้ ดข้ ณะกิจกรรม ซ่งึ การจัดกิจกรรมการเรยี นรดู้ ังกลา่ ว มแี นวทางในการจัดการเรยี นรู้ 2 รูปแบบ คือ การจัดกิจกรรมตามความ สนใจของผเู้ รยี น และการจัดกิจกรรมตามสาระการเรยี นรู้ การจดั กจิ กรรมตามความสนใจของผู้เรยี น เป็นการจดั กิจกรรมทใี่ ห้ผู้เรียนเลือกศกึ ษาโครงงานจากสง่ิ ทส่ี นใจอยากรูท้ ม่ี ีอยู่ในชวี ติ ประจำวัน สิง่ แวดลอ้ มในสงั คม หรือจากประสบการณ์ตา่ ง ๆ ท่ียงั ตอ้ งการคำตอบ ข้อสรุป ซ่ึงอาจจะอยนู่ อกเหนือจากสาระการเรยี นรใู้ นบทเรียนของหลกั สตู ร มีขนั้ ตอนดังนี้ – ตรวจสอบ วิเคราะห์ พิจารณา รวบรวม ความสนใจ ของผ้เู รียน – กำหนดประเด็นปัญหา/ หวั ขอ้ เรือ่ ง – กำหนดวตั ถปุ ระสงค์ – ตงั้ สมมติฐาน – กำหนดวิธีการศึกษาและแหลง่ ความรู้ – กำหนดเค้าโครงของโครงงาน – ตรวจสอบสมมตฐิ าน – สรปุ ผลการศกึ ษาและการนำไปใช้ – เขียนรายงานวจิ ยั แบบง่ายๆ – จัดแสดงผลงาน
การจดั กิจกรรมตามสาระการเรียนรู้ เปน็ การจดั กิจกรรมการเรยี นร้โู ดยยึดเนื้อหาสาระตามท่ีหลกั สตู ร กำหนด ผเู้ รยี นเลือกทำโครงงานตามทส่ี าระการเรยี นรู้ จากหนว่ ยเน้ือหาทเ่ี รยี นในช้นั เรยี น นำมาเป็นหวั ขอ้ โครงงาน มขี ้ันตอนที่ผ้สู อนดำเนนิ การดงั ต่อไปน้ี – ศกึ ษาเอกสาร หลักสูตร คมู่ อื ครู – วเิ คราะห์หลักสูตร – วเิ คราะหค์ ำอบิ ายรายวิชา เพ่ือแยกเน้ือหา จุดประสงค์และจดั กจิ กรรมใหเ้ ด่นชัด – จดั ทำกำหนดการสอน – เขยี นแผนการจัดการเรยี นรู้ – ผลิตส่อื จดั หาแหลง่ เรียนรแู้ ละภูมิปัญญาท้องถ่ิน – จัดกจิ กรรมการเรียนรู้ โดยเร่ิมตง้ั แต่ แจง้ วัตถุประสงค์ กรระตุ้นความสนใจของผเู้ รยี น จัดกลุ่ม ผเู้ รยี นตามความสนใจ การใชค้ ำถามกระตุ้นการมีส่วนร่วมของผเู้ รียน ซ่งึ จะกลา่ วถงึ รายละเอียดในหัวขอ้ บทบาทของครใู นฐานะผู้กระตุ้นการเรยี นรู้ – จดั แหล่งเรยี นรเู้ พ่ิมเตมิ – บนั ทกึ ผลการจดั การเรยี นรู้ ขน้ั ตอนการจดั การเรียนรู้แบบใชโ้ ครงงานเปน็ ฐาน การจดั การเรียนรแู้ บบใช้โครงงานเป็นฐานนน้ั มกี ระบวนการและขัน้ ตอนแตกต่างกันไปตามแตล่ ะ ทฤษฎี ซ่ึงในค่มู ือการจัดการเรยี นรแู้ บบใชโ้ ครงงานเปน็ ฐานฉบบั น้ี ขอนำเสนอ 3 แนวคิดทถี่ ูกพจิ ารณาแลว้ เหมาะสมกับบรบิ ทของเมอื งไทย คือ 1. การจดั การเรยี รูแ้ บบใช้โครงงาน ของ สำนักงานเลขาธิการสภา การศึกษาและกระทรวงศึกษาธิการ (2550) 2. ข้ันการจัดการเรียนรู้ ตาม โมเดล จกั รยานแหง่ การเรยี นร้แู บบ PBL ของ วจิ ารณ์ พาณิช(2555) และ 3. การจัดการเรยี นรูแ้ บบใช้โครงงานเปน็ ฐาน ท่ีได้จากโครงการสรา้ งชดุ ความรเู้ พ่ือสรา้ งเสรมิ ทักษะแหง่ ศตวรรษที่ 21 ของเด็กและเยาวชน: จากประสบการณค์ วามสำเรจ็ ของ โรงเรียนไทย ของ ดษุ ฎี โยเหลาและคณะ (2557) ดังน้ี แนวคิดที่ 1 ข้นั ตอนการจัดการเรยี นรู้แบบโครงงาน ของ สำนกั งานเลขาธิการสภาการศึกษาและ กระทรวงศึกษาธิการ ซง่ึ ไดน้ ำเสนอขน้ั ตอนการจัดการเรียนรแู้ บบโครงงาน ไว้ 4 ขน้ั ตอน ดังนี้
ภาพ 1 ข้ันตอนการจัดการเรียนรู้แบบโครงงาน สำนกั งานเลขาธกิ ารสภาการศึกษาและกระทรวงศึกษาธกิ าร 1. ข้ันนำเสนอ หมายถึง ขั้นที่ผู้สอนให้ผูเ้ รียนศกึ ษาใบความรู้ กำหนดสถานการณ์ ศกึ ษาสถานการณ์ เลน่ เกม ดูรปู ภาพ หรือผูส้ อนใชเ้ ทคนิคการตัง้ คำถามเกีย่ วกับสาระการเรยี นรู้ที่กำหนดในแผนการจดั การ เรยี นร้แู ตล่ ะแผน เช่น สาระการเรยี นรูต้ ามหลักสตุ รและสาระการเรยี นรูท้ ี่เป็นขัน้ ตอนของโครงงานเพื่อใชเ้ ป็น แนวทางในการวางแผนการเรียนรู้ 2. ขัน้ วางแผน หมายถึง ขั้นที่ผเู้ รียนรว่ มกันวางแผน โดยการระดมความคิด อภิปรายหารือข้อสรุป ของกลุ่ม เพื่อใช้เป็นแนวทางในการปฏิบัติ 3. ขน้ั ปฏบิ ตั ิ หมายถึง ขั้นทผ่ี เู้ รยี นปฏิบัติกจิ กรรม เขยี นสรุปรายงานผลท่เี กดิ ขึน้ จากการวางแผน ร่วมกนั 4. ขัน้ ประเมนิ ผล หมายถึง ข้ันการวดั และประเมินผลตามสภาพจริง โดยให้บรรลจุ ุดประสงคก์ าร เรยี นรทู้ ่กี ำหนดไวใ้ นแผนการจดั การเรยี นรู้ โดยมผี ูส้ อน ผู้เรียนและเพื่อนรว่ มกนั ประเมิน แนวคดิ ที่ 2 ขั้นการจัดการเรยี นรู้ ตาม โมเดล จกั รยานแห่งการเรียนรแู้ บบ PBL ของ วจิ ารณ์ พาณิช (2555:71-75) ซึง่ แนวคิดนี้ มีความเช่อื ว่า หากต้องการใหก้ ารเรียนร้มู พี ลังและฝงั ในตัวผ้เู รียนได้ ต้องเป็นการ เรยี นรูท้ ่ีเรียนโดยการลงมือทำเปน็ โครงการ (Project) รว่ มมือกันทำเปน็ ทีม และทำกับปัญหาท่ีมีอยู่ในชีวติ จริง ซึง่ ส่วนของ วงลอ้ แตล่ ะช้นิ ไดแ้ ก่ Define, Plan, Do, Review และ Presentation ภาพ 2 โมเดล จักรยานแหง่ การเรยี นร้แู บบ PBL
1. Define คอื ขัน้ ตอนการทำใหส้ มาชกิ ของทีมงาน ร่วมทงั้ ครดู ้วยมคี วามชัดเจนร่วมกันว่า คำถาม ปญั หา ประเด็น ความท้าทายของโครงการคืออะไร และเพ่ือให้เกิดการเรียนรู้อะไร 2. Plan คอื การวางแผนการทำงานในโครงการ ครูก็ตอ้ งวางแผน กำหนดทางหนีทีไลใ่ นการทำหนา้ ท่ี โค้ช รวมทง้ั เตรียมเครื่องอำนวยความสะดวกในการทำโครงการของนกั เรียน และท่ีสำคัญ เตรยี มคำถามไว้ถาม ทมี งานเพื่อกระต้นุ ใหค้ ิดถงึ ประเดน็ สำคญั บางประเด็นทน่ี ักเรียนมองข้าม โดยถือหลักว่า ครูต้องไม่เขา้ ไป ชว่ ยเหลือจนทมี งานขาดโอกาสคดิ เองแกป้ ัญหาเอง นกั เรียนท่เี ป็นทีมงานกต็ ้องวางแผนงานของตน แบ่งหน้าท่ี รับผดิ ชอบ การประชุมพบปะระหวา่ งทมี งาน การแลกเปล่ยี นขอ้ ค้นพบแลกเปลี่ยนคำถาม แลกเปล่ยี นวิธีการ ย่ิงทำความเขา้ ใจรว่ มกันไวช้ ดั เจนเพยี งใด งานในข้ัน Do กจ็ ะสะดวกเลื่อนไหลดีเพยี งนั้น 3. Do คอื การลงมือทำ มกั จะพบปัญหาทไี่ มค่ าดคดิ เสมอ นกั เรยี นจงึ จะได้เรียนรู้ทักษะในการ แกป้ ัญหา การประสานงาน การทำงานรว่ มกันเป็นทมี การจัดการความขดั แยง้ ทักษะในการทำงานภายใต้ ทรพั ยากรจำกัด ทักษะในการคน้ หาความรู้เพ่ิมเติมทักษะในการทำงานในสภาพท่ีทีมงานมีความแตกตา่ ง หลากหลาย ทักษะการทำงานในสภาพกดดนั ทักษะในการบันทึกผลงาน ทกั ษะในการวิเคราะห์ผล และ แลกเปล่ยี นขอ้ วิเคราะห์กบั เพ่ือนร่วมทมี เป็นตน้ ในขั้นตอน Do นี้ ครูเพื่อศิษย์จะได้มโี อกาสสังเกตทำความ รู้จกั และเข้าใจศิษยเ์ ป็นรายคน และเรยี นรู้หรอื ฝึกทำหน้าท่ีเป็น “วาทยากร” และโคช้ ดว้ ย 4. Review คือ การที่ทีมนักเรียนจะทบทวนการเรียนรู้ ท่ไี มใ่ ช่แค่ทบทวนวา่ โครงการได้ผลตามความ ม่งุ หมายหรือไม่ แตจ่ ะต้องเน้นทบทวนวา่ งานหรอื กจิ กรรม หรือพฤติกรรมแตล่ ะขั้นตอนได้ใหบ้ ทเรยี นอะไรบา้ ง เอาทัง้ ข้ันตอนท่ีเปน็ ความสำเร็จและความลม้ เหลวมาทำความเขา้ ใจ และกำหนดวธิ ีทำงานใหม่ที่ถูกต้อง เหมาะสมรวมทั้งเอาเหตุการณร์ ะทึกใจ หรือเหตุการณ์ทภี่ าคภูมใิ จ ประทับใจ มาแลกเปล่ียนเรียนรกู้ ัน ขน้ั ตอน น้เี ปน็ การเรียนรแู้ บบทบทวนไตร่ตรอง (reflection) หรือในภาษา KM เรยี กวา่ AAR (After Action Review) 5. Presentation คือ การนำเสนอโครงการต่อชนั้ เรยี น เป็นข้นั ตอนที่ใหก้ ารเรียนรู้ทักษะอีกชดุ หน่ึง ต่อเนอื่ งกบั ข้นั ตอน Review เปน็ ข้นั ตอนท่ีทำใหเ้ กดิ การทบทวนขน้ั ตอนของงานและการเรยี นรทู้ เี่ กิดขึน้ อย่าง เขม้ ขน้ แลว้ เอามานำเสนอในรปู แบบที่เรา้ ใจ ให้อารมณ์และใหค้ วามรู้ (ปัญญา) ทีมงานของนกั เรียนอาจสรา้ ง นวัตกรรมในการนำเสนอก็ได้ โดยอาจเขยี นเปน็ รายงาน และนำเสนอเป็นการรายงานหน้าชั้น มี เพาเวอร์ พอยท์ (PowerPoint) ประกอบ หรอื จัดทำวดี ิทัศน์นำเสนอ หรือนำเสนอเป็นละคร เป็นต้น “Project-Based Learning increases long-term retention, improves problem-solving and collaboration skills, and improves students’ attitudes towards learning.” (Strobel , 2009) แนวคดิ ท่ี 3 การจัดการเรยี นรู้แบบใช้โครงงานเปน็ ฐาน ท่ีปรับจากการศกึ ษาการจดั การเรียนรู้แบบ PBL ที่ไดจ้ ากโครงการสร้างชุดความรู้เพื่อสร้างเสริมทักษะแหง่ ศตวรรษท่ี 21 ของเด็กและเยาวชน: จาก ประสบการณ์ความสำเร็จของโรงเรียนไทย ของ ดษุ ฎี โยเหลาและคณะ (2557) โดยมีท้ังหมด 6 ขนั้ ตอน ดงั น้ี
ภาพ 3 ขั้นตอนการจัดการเรียนรแู้ บบใช้โครงงานเป็นฐาน (ปรับปรุงจาก ดุษฎี โยเหลาและคณะ, 2557: 20-23) ในการจดั การเรียนรู้แบบใชโ้ ครงงานเป็นฐานครง้ั นี้ ได้นำแนวคิดทีป่ รบั ปรงุ จาก ดุษฎี โยเหลาและคณะ (2557: 20-23) ซ่ึงเปน็ แนวทางการจัดการเรียนรทู้ ่สี รา้ งข้ึนมาจากการศกึ ษาโรงเรยี นในประเทศไทย โดยมขี ั้นตอนดงั น้ี 1. ขนั้ ใหค้ วามรู้พนื้ ฐาน ครูใหค้ วามรพู้ น้ื ฐานเกี่ยวกบั การทำโครงงานก่อนการเรียนรู้ เน่ืองจากการทำ โครงงานมีรปู แบบและขั้นตอนท่ชี ดั เจนและรดั กลุม ดังน้ันนกั เรยี นจึงมคี วามจำเปน็ อย่างยงิ่ ท่ีจะต้องมคี วามรู้ เกีย่ วกับโครงงานไว้เป็นพนื้ ฐาน เพื่อใช้ในการปฏิบัตขิ ณะทำงานโครงงานจรงิ ในขั้นแสวงหาความรู้ 2. ขน้ั กระตุ้นความสนใจ ครเู ตรยี มกิจกรรมท่ีจะกระตนุ้ ความสนใจของนกั เรยี น โดยต้องคดิ หรือ เตรียมกจิ กรรมที่ดงึ ดูดให้นักเรียนสนใจ ใครร่ ู้ ถึงความสนุกสนานในการทำโครงงานหรอื กิจกรรมรว่ มกัน โดย กจิ กรรมนัน้ อาจเปน็ กจิ กรรมท่ีครกู ำหนดข้ึน หรอื อาจเปน็ กิจกรรมที่นักเรยี นมีความสนใจต้องการจะทำอย่แู ลว้ ทั้งน้ใี นการกระตุ้นของครูจะต้องเปิดโอกาสใหน้ ักเรียนเสนอจากกิจกรรมท่ีได้เรียนรู้ผา่ นการจดั การเรยี นรูข้ อง ครูที่เกย่ี วข้องกับชมุ ชนท่ีนกั เรียนอาศยั อยู่หรือเปน็ เร่ืองใกล้ตวั ท่สี ามารถเรียนรู้ได้ด้วยตนเอง 3. ขั้นจัดกลมุ่ รว่ มมือ ครูให้นักเรียนแบ่งกลุ่มกนั แสวงหาความรู้ ใชก้ ระบวนการกลุ่มในการวางแผน ดำเนินกจิ กรรม โดยนักเรียนเป็นผูร้ ่วมกนั วางแผนกิจกรรมการเรยี นของตนเอง โดยระดมความคดิ และหารือ แบง่ หน้าที่เพ่ือเป็นแนวทางปฏบิ ัตริ ่วมกนั หลังจากทไ่ี ดท้ ราบหัวข้อสิง่ ท่ตี นเองต้องเรียนรู้ในภาคเรยี นนน้ั ๆ เรยี บร้อยแล้ว
4. ขน้ั แสวงหาความรู้ ในขัน้ แสวงหาความร้มู แี นวทางปฏบิ ตั ิสำหรบั นกั เรยี นในการทำกิจกรรม ดงั น้ี นักเรียนลงมอื ปฏิบตั ิกิจกรรมโครงงาน ตามหวั ข้อทกี่ ลุ่มสนใจ นักเรยี นปฏิบตั ิหน้าท่ีของตนตามข้อตกลงของกลุม่ พร้อมทัง้ ร่วมมือกนั ปฏิบตั ิกจิ กรรม โดยขอคำปรึกษาจากครู เป็นระยะเมอ่ื มีข้อสงสัยหรือปัญหาเกดิ ข้ึน นักเรยี นรว่ มกันเขยี นรปู เล่ม สรปุ รายงานจากโครงงานทตี่ นปฏิบัติ 5. ข้ันสรปุ สง่ิ ทเ่ี รียนรู้ ครูใหน้ ักเรยี นสรุปสิ่งทเ่ี รียนรู้จากการทำกิจกรรม โดยครใู ชค้ ำถาม ถาม นักเรียนนำไปสู่การสรุปสิ่งท่เี รยี นรู้ 6. ขน้ั นำเสนอผลงาน ครใู ห้นกั เรยี นนำเสนอผลการเรียนรู้ โดยครูออกแบบกจิ กรรมหรือจัดเวลาให้ นักเรยี นไดเ้ สนอส่งิ ท่ีตนเองได้เรยี นรู้ เพอื่ ให้เพื่อนรว่ มชั้น และนักเรียนอืน่ ๆในโรงเรยี นไดช้ มผลงานและเรียนรู้ กิจกรรมทน่ี ักเรียนปฏบิ ตั ใิ นการทำโครงงาน 12. เคร่ืองมอื การสอนคดิ
13. รปู แบบการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ 5E ของสถาบันส่งเสริมการสอนวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี (สสวท., 2546) ประกอบดว้ ยขั้นตอนท่สี ำคัญดงั น้ี
1) ข้ันสรา้ งความสนใจ (Engagement) เปน็ การนำเข้าสบู่ ทเรยี นหรือเรอื่ งทส่ี นใจซ่งึ เกิดข้นึ จาก ความสงสัย หรืออาจเร่ิมจากความสนใจของตัวนักเรยี นเองหรือเกิดจากการอภปิ รายภายในกลุ่ม เร่อื งที่ น่าสนใจอาจมาจากเหตกุ ารณ์ท่ีเกดิ ขึน้ อยูใ่ นชว่ งเวลาน้ัน หรอื เปน็ เรอ่ื งทเี่ ช่ือมโยงกับความรเู้ ดมิ ทเ่ี พิ่งเรยี นรู้ มาแล้ว เปน็ ตัวกระตุ้นใหน้ ักเรยี นสรา้ งคำถาม กำหนดประเดน็ ทศ่ี ึกษา ในกรณีที่ไม่มีประเด็นใดทีน่ า่ สนใจ ครู อาจให้ศึกษาจากสอื่ ต่าง ๆ หรอื เปน็ ผกู้ ระต้นุ ดว้ ยการเสนอดว้ ยประเด็นข้ึนมาก่อน แตไ่ ม่ควรบังคบั ให้นักเรยี น ยอมรบั ประเดน็ หรือคำถามท่ีครกู ำลังสนใจเปน็ เร่ืองทจี่ ะใช้ศกึ ษา เมื่อมีคำถามทน่ี า่ สนใจและนักเรียนส่วนใหญย่ อมรับใหเ้ ปน็ ประเด็นท่ีต้องการศึกษา จึงร่วมกันกำหนด ขอบเขตและแจกแจงรายละเอยี ดของเรื่องท่จี ะศึกษาให้มคี วามชัดเจนมากข้ึน อาจรวมท้ังการรบั รู้ ประสบการณเ์ ดมิ หรือความรู้จากแหลง่ ต่าง ๆ ท่จี ะช่วยให้นำไปสู่ความเขา้ ใจเร่ืองหรอื ประเดน็ ท่จี ะศกึ ษามาก ขนึ้ และมีแนวทางทใ่ี ชใ้ นการสำรวจตรวจสอบอย่างหลากหลาย 2) ข้ันสำรวจและคน้ หา (Exploration) เม่อื ทำความเขา้ ใจในประเด็นหรอื คำถามทส่ี นใจจะศึกษา อย่างถ่องแทแ้ ล้ว กม็ ีการวางแผนกำหนดแนวทางสำหรบั การตรวจสอบตงั้ สมมติฐาน กำหนดทางเลอื กท่เี ป็นไป ได้ ลงมือปฏบิ ตั ิเพ่ือเกบ็ รวบรวมข้อมูล ข้อสนเทศ หรอื ปรากฏการณ์ต่าง ๆ วธิ ีการตรวจสอบอาจทำได้หลายวธิ ี เช่นทำการทดลอง ทำกจิ กรรมภาคสนาม การใช้คอมพวิ เตอร์เพื่อช่วยสร้างสถานการณจ์ ำลอง (Simulation) การศึกษาหาข้อมลู จากเอกสารอา้ งอิงหรือจากแหลง่ ข้อมูลต่าง ๆ เพ่ือให้ไดม้ าซึง่ ข้อมลู อย่าง เพียงพอท่จี ะใชใ้ นขนั้ ตอ่ ไป 3) ขน้ั อธิบายและลงข้อสรปุ (Explanation) เมื่อได้ข้อมูลอยา่ งเพยี งพอจากการสำรวจตรวจสอบแล้ว จึงนำข้อมูลขอ้ สนเทศท่ีได้มเิ คราะห์ แปลผล สรุปผลและนำเสนอผลท่ไี ดใ้ นรูปต่าง ๆ เช่น บรรยายสรุป สรา้ ง แบบจำลองทางคณิตศาสตร์ หรือรูปวาด สรา้ งตาราง ฯลฯ การค้นพบในขนั้ น้ีอาจเป็นไปไดห้ ลายทาง เช่น สนบั สนนุ สมติฐานทต่ี ัง้ ไว้ โต้แยง้ กบั สมมติฐานท่ตี ัง้ ไว้ หรือไมเ่ กี่ยวข้องกับประเดน็ ท่ีได้กำหนดไว้ แตผ่ ลทไ่ี ดจ้ ะ อยใู่ นรูปใดก็สามารถสร้างความรู้และชว่ ยให้เกดิ การเรียนร้ไู ด้ 4) ขั้นขยายความรู้ (Elaboration) เปน็ การนำความรู้ที่สร้างขน้ึ ไปเชื่อมโยงกับความรู้เดิมหรอื ความคิดท่ีได้คน้ ควา้ เพ่ิมเตมิ หรือนำแบบจำลองหรอื ข้อสรุปท่ีได้ไปใช้อธิบายสถานการณ์หรอื เหตุการณ์อน่ื ๆ ถ้าใช้อธบิ ายเรื่องตา่ ง ๆ ได้มากกแ็ สดงวา่ ขอ้ จำกัดนอ้ ย ซึ่งจะชว่ ยใหเ้ ช่ือมโยงกับเร่ืองตา่ ง ๆ และทำให้เกิด ความรกู้ วา้ งขวางข้นึ 5) ขั้นประเมิน (Evaluation) เปน็ การประเมินการเรยี นรูด้ ้วยกระบวนการต่าง ๆ วา่ นักเรียนมีความรู้ อะไรบ้าง อย่างไร และมากน้อยเพียงใด จากขัน้ นี้จะนำไปส่กู ารนำความรูไ้ ปประยุกต์ใช้ในเร่ืองอ่นื ๆการนำ ความร้หู รอื แบบจำลองไปใชอ้ ธบิ ายหรือประยกุ ตใ์ ชก้ บั เหตุการณ์หรือเร่ืองอน่ื ๆ จะนำไปส่ขู อ้ โตแ้ ย้งหรือ ข้อจำกัดซง่ึ จะก่อใหเ้ กิดประเด็นหรอื คำถาม หรือปัญหาที่จะตอ้ งสำรวจตรวจสอบตอ่ ไป ทำใหเ้ กิดเปน็ กระบวนการท่ตี อ่ เนื่องกนั ไปเรอื่ ย ๆ จึงเรยี กวา่ Inquiry cycle กระบวนการสืบเสาะหาความรู้จึงช่วยให้ นกั เรยี นเกิดการเรียนร้ทู ้ังเน้ือหาหลักและหลักการ ทฤษฎี ตลอดจนลงมือปฏบิ ัติ เพื่อใหไ้ ด้ความรซู้ งึ่ จะเป็น พนื้ ฐานในการเรยี นต่อไป
14. การจัดการเรยี นรูแ้ บบห้องเรียนกลบั ดา้ น Flipped Classroom Flipped Classroom เปน็ การจัดการเรยี นการสอนท่ีสวนทางกบั ส่ิงที่เป็นอยูป่ ัจจุบนั โดยใหน้ ักเรียน ศึกษาความรู้ผา่ นอนิ เตอร์เนต็ นอกห้องเรียน นอกเวลาเรียน สว่ นในห้องเรียนจะเปน็ การจดั กิจกรรม นำ การบ้านมาทำในห้องเรยี นแทน วธิ ีนเ้ี ดก็ มีเวลาดูการสอนของครผู า่ นวีดโี อออนไลน์ ดูกี่ครง้ั กไ็ ด้ เมื่อไรก็ ได้ สามารถปรึกษาพูดคยุ กับเพ่ือนหรือครู ดว้ ยโปรแกรมสนทนาออนไลน์ก็ได้ ในห้องเรียนครใู หน้ กั เรียน ทำงานที่เก่ียวข้องกบั เนื้อหาที่ดผู า่ นวดี ีโอ เพอ่ื ทำความเข้าใจหลกั การความรผู้ า่ นกิจกรรม โดยครจู ะเป็นผู้ให้ คำแนะนำเมื่อเด็กมีคำถาม หรอื ติดปญั หาท่ีแก้ไม่ได้ หลักการของ Flipped Classroom ใช้เทคโนโลยที างการศึกษา บวกกับการจดั กิจกรรมในห้องเรยี น เนอ่ื งจากเวลาในห้องเรยี นมจี ำกดั การท่ีจะให้นกั เรียนเขา้ ใจในหลักการความรู้บางอย่างอาจมีเวลาไม่พอ ดงั น้ันการศกึ ษาความรู้จากการสอนผ่าน วีดโี อทค่ี รไู ดบ้ ันทกึ ไว้แล้ว รวมทง้ั การอ่านหนงั สือเพ่ิมเติม ปรึกษาเพื่อนหรือครูออนไลน์ สามารถทำไดล้ ว่ งหน้า นอกห้องเรยี น สว่ นเวลาในห้องเรียน ครกู ส็ ร้างสภาวะแวดลอ้ มให้เหมาะกับการจดั กิจกรรมทอ่ี อบแบบไว้ เพ่อื ใหเ้ ดก็ ได้ลงมือปฎบิ ัติ ครูก็เดินสำรวจไปรอบ ๆ ห้อง คอยใหค้ ำแนะนำหลักการที่เขา้ ใจยาก หรอื ปัญหาที่ เด็กพบ วิธนี จี้ ะทำให้เด็กเขา้ ใจความรู้ และเช่อื มโยงในหลักการ มากยิ่งขน้ึ ทสี่ ำคัญไม่งว่ งดว้ ย!
ถ้าสอนแบบเดมิ ตามปกติ ในมมุ มองของเด็กนกั เรยี น อาจตามไม่ทัน ไมเ่ ข้าใจกไ็ มก่ ล้าถาม ครูไมม่ ชี ่องว่างให้ถาม เนอ้ื หาเยอะ อัดแน่นในเวลาที่จำกดั ปรกึ ษาเพอ่ื นกโ็ ดนครูดุ เมื่อกลบั มาบา้ น ทำการบ้านกไ็ ม่ได้ เลยต้องลอกเพ่ือนตลอด แล้วก็สะสมความไม่เข้าใจตลอดท้ังเทอม ในมุมมองของครู กส็ อนเหมอื นปีที่แลว้ อัดอยา่ งเดียวเวลามีน้อย มองดูเด็ก ๆ ในหอ้ งเรียน กไ็ มม่ ีใครสงสยั การบา้ นทส่ี ่งมากท็ ำได้เหมอื นกันหมด ตรวจง่ายจงั ใครเก่งไมเ่ ก่ง วดั กันตอนสอบเลย ถ้าสอนแบบ Flipped Classroom สิ่งที่นกั เรยี นตอ้ งเตรียม ในมมุ มองของเด็ก มีเวลามากพอที่จะดวู ดี โี อ สามารถปรึกษากับเพื่อนหรือครูออนไลนไ์ ด้ ไม่มี การบ้าน ไมเ่ ครยี ด ไม่ต้องลอกการบา้ นเพอื่ นแต่เช้า ทำการบ้าน (กิจกรรม) ในหอ้ งเรียนก็ไม่เครียด มีครู มี เพ่ือน ให้คำปรึกษาตลอดเวลา ไดล้ งมือปฎิบัติ ได้โตต้ อบกับเพอื่ นกับครู เร่ืองยากก็ดจู ะง่ายข้นึ บทบาทของครู ครู คอ่ นข้างหนกั ทีเดยี ว เนอื่ งจากต้องเตรียมอัดวีดีโอการสอนลว่ งหน้า ถา้ มีวีดีโอเหมือน Khan Academy ฉบับภาษาไทยก็อาจจะสบายหนอ่ ย หรอื ไม่ ก็ต้องหาหนว่ ยงานกลางทีท่ ำวีดโี อแทน เชน่ สสวท. ตกดกึ กค็ อยให้คำปรึกษาออนไลนก์ บั เด็ก ๆ ตอ้ งหาเวลาออกแบบและเตรียมจดั กจิ กรรม สรา้ งส่งิ แวดลอ้ มให้ สอดคล้องกบั เน้ือหาใหม่ ในแตล่ ะกิจกรรมทไ่ี ม่เหมือนเดิม ครตู ้องทบทวนความรู้พ้ืนฐาน ความเขา้ ใจใน หลักการ เนอื้ หาทั้งหลักสตู ร เตรยี มพร้อมสำหรับใหค้ ำแนะนำเด็ก ๆ ขณะทำกิจกรรม ครูต้องมีความพร้อม ชว่ ยเหลอื เด็กตลอดเวลา ตอ้ งคอยกระตุ้นเด็ก ตอ้ งสังเกตความเขา้ ใจของเด็ก เมื่อเด็กมปี ัญหา ตอ้ งวเิ คราะห์ ปัญหาและความเขา้ ใจของเด็กตอ่ ปัญหาน้ัน ซึ่งปกติเดก็ แต่ละคนจะมปี ญั หาไมเ่ หมือนกนั
15. การกำหนดกลยทุ ธ์การสอนแล ผลการเรยี นรู้ กลยทุ ธการสอนท่ีใช มีความรู้ สามารถประยุกต์ความรู้ ในการประกอบวิชาชพี -การสอนแบบบรรยาย หรือ -การสอนแบบจัดกระบวนก ความรู้ 5E - การเรยี นแบบโครงงาน - การสอนคิด Thinking Sc -การสอบแบบActive Lear -การลงมือปฏิบตั ิ -การสอนแบบห้องเรียนกลบั (google classroom)
ละกลยุทธก์ ารประเมนิ ผลการเรียนรู้ ชพ้ ัฒนาการเรียนรู้ กลยทุ ธก์ ารประเมนิ ผลการเรียนรู้ อบรรยายกึง่ อภปิ ราย การประเมนิ ความรู้ การเรียนรแู้ บบสบื เสาะหา - ใชแ้ บบทดสอบวัดความรู้ - แบบประเมนิ ผังมโนทัศน์ chool ประเมินดา้ นทกั ษะ rning -ใช้แบบประเมินการสงั เกตรายบุคคล - แบบประเมนิ การปฏิบตั ิงาน บด้าน -แบบประเมินชน้ิ งาน -แบบประเมนิ การนำเสนอผลงาน ประเดน็ ด้านคณุ ลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์ - แบบสังเกตพฤติกรรมการทำงานรายบคุ คล - แบบสังเกตพฤติกรรมการทำงานกล่มุ - แบบประเมินคุณลกั ษณะอันพึงประสงค์
ผลการเรยี นรู้ กลยทุ ธ มคี ุณธรรม การสอนแบบโครงงาน และการสอนแบบห้องเรยี นกลบั ด้าน -จดั การปฐมนิเทศน (google classroom) ระเบยี บ และข้อกำ 1. มีคณุ ธรรมและจยิ ธรรม -หลักคดิ และแนวปฏิบัติท่ีแสดงถงึ -จดั กิจกรรมที่หลาก ความรับผิดชอบต่อผเู้ รยี นและสังคม มีศลี ธรรม ซ่อื สัตย์ สุจริต กลบั ด้าน (google 2. มจี รรบาบรรณ – มีระเบยี บวินยั และเคารพกฎกติกาของ การตรงต่อเวลา จร สังคมมีการประพฤติปฏบิ ัตติ นตามจรรบรรณแหง่ วชิ าชีพ และ มอบหมาย ในทุกรา จรรยาบรรณของครู คิดเปน็ ใช้การสอนแบบสอนคิด Thanking school รว่ มกบั การสอน - การปฏบิ ตั ติ นเปน็ แบบสบื เสาะหาความรู้ 5E 1. การคิดแบบอย่างมีวิจารณญาณ คอื - การสอนคิด Thin 1.1 มีทักษะการคดิ แบบมวี ิจารณญาณและคิดแบบองค์รวม รู้ นักเรียนมีการเรยี นร และเขา้ ใจในกหลกั การและทฤษฎี การสอนคิด Thinking นกั เรยี นสามารถคดิ School อยา่ งถ่องแท้ 1.2. สามารถประสานความคิดดว้ ยหลักแห่งเหตผุ ลและความ ถกู ต้อง - มกี ารกระต้นุ ให้นัก นักเรียนมคี วามคิดส 2.สามารถคดิ รเิ ริม่ สรา้ งสรรค์ - มีการลงมอื ปฏบิ ัต การแกป้ ัญหา
ธการสอนทีใ่ ช้พัฒนาการเรียนรู้ กลยทุ ธก์ ารประเมินผลการเรยี นรู้ นักเรยี นใหม่ ใหท้ ราบแนวปฏบิ ตั ิ กฎ ประเมนิ จาก ำหนดต่าง ๆ ในห้องเรียน 1.ความตรงตอ่ เวลาของนักเรียนในการเข้าช้ันเรยี น กหลาย โดยนำวธิ กี ารสอนแบบ ห้องเรยี น การสง่ งานตามกำหนดระยะเวลาทม่ี อบหมายและการ classroom) เพื่อสอดแทรกเรื่องคุณธรรม เขา้ รว่ มกจิ กรรม ริยธรรมความรับผดิ ชอบในงานทไ่ี ด้รับ 2. ความรบั ผิดชอบต่อหน้าท่ีหรอื งานท่ีไดร้ ับ ายวิชา มอบหมาย นแบบอย่างทด่ี ขี องครู -การประเมนิ ความรู้และการประยกุ ตใ์ ช้ความรู้ในการ สอบขอ้ เขียนดว้ ยเครื่องมือชนิดต่าง ๆ nking School เน้นการเรยี นการสอนเพ่ือให้ - แบบประเมินสงั เกตพฤตกิ รรม รดู้ ว้ ยตนเอง มกี ารใชก้ ารสอนคิดเพอ่ื ให้ - แบบประเมินการปฏิบตั งิ าน ดอย่างมีวจิ ารณาณ - แบบประเมินแบบบันทึกผลการจัดกจิ กรรม กเรียนโดยใช้กิจกรรม Active Learning ให้ สรา้ งสรรค์ในการแกป้ ญั หาทางการเรยี นรู้ ติงานจรงิ เพ่ือส่งเสริมใหน้ กั เรียนเกิดทักษะใน
2.1. ความสามารถคิดรเิ ร่ิมสร้างสรรค์ในการปฏบิ ัตติ ามหนา้ ท่ี เปน็ การสอนท่ีฝึกกา และสามารถสร้างสรรคผ์ ลงานวจิ ยั ท่ีเกย่ี วขอ้ งกบั การ - นักเรยี นกำหนดกา แก้ปัญหาและการต่อยอดองค์ความรู้ทางการคดิ เปน็ - เชื่อมโยงการเรยี น 3. มีทักษะในการคดิ แกป้ ัญหา คอื - มฐี านจากงานวจิ ัย 3.1 มที กั ษะการตดั สนิ ใจท่ีเหมาะสมกบั สถานการณ์ - ฝงั ตรึงความรูด้ ้วย 3.2 สามารถประเมนิ ข้อมูลและแนวคิดจากแหล่งข้อมลู ที่ - ใชเ้ วลามากพอใน หลากหลายเพ่อื แก้ปัญหาได้อย่างสรา้ งสรรค์และเปน็ ระบบ -มผี ลผลิต ทำเป็น การสอนแบบโครงงาน -ใชท้ ักษะเทคโนโลยเี หมาะสมในการสืบคน้ วิเคราะห์ ตดิ ตาม ความกา้ วหนา้ การทำงาน และการนำเสนอผลงาน
ารลงมอื ปฏบิ ตั เิ ร่มิ จากการต้ังปญั หา -แบบสังเกตการณป์ ฏิบตั งิ านจากสถานการณจ์ ริง ารเรยี นรู้ของตนเอง - แบบประเมินการทำงานกลุ่ม นกับชีวติ จริงสิ่งแวดลอ้ มจริง - แบบประเมินการนำเสนอผลงาน ยหรอื องค์ความรู้ท่ีเคยมี ยทักษะบางอย่าง นการสร้างผลงาน
ผลการเรียนรู้ กลยุทธการ ใฝร่ แู้ ละรูจ้ กั วิธกี ารเรียนรู้ -การเรยี นรู้ขากกิจกรร - การปฏิบตั ิตนเปน็ แบ ใฝ่ร้คู อื แสวงหาความรู้ สามารถประเมนิ ตนเอง คดิ สะทอ้ น -การใชก้ ารประเมินผล รจู้ ักวิธีการเรยี นรู้ มีทกั ษะดา้ นภาษา ด้านเทคโนโลยี นกั เรียน สารสนเทศ สามารถสบื คน้ ขอ้ มูลจากแหลง่ ต่าง ๆ และ นำเสนออย่างสรา้ งสรรค์ สามารถเพิ่มพูนความรู้ -การมอบหมายงานให ความสามารถของตนเองและสามารถดแู ลสุขภาวะของ -การเรียนรู้จากกิจกรร ตนเองสามารถบรหิ ารเวลา ปรับตวั ตอ่ การเปล่ียนแปลง -การปฏบิ ตั ติ นเปน็ แบ มีภาวะผูน้ ำ สามารถทำงานร่วมกบั เพอื่ นในชัน้ เรียนทำงานเป็นกล่มุ โดย สามารถส่อื สาร วางแผนดำเนินการใหบ้ รรลุตามเป้าหมาย และแกไขขอ้ ขัดแยง้ ในการทำงานร่วมกนั ได้ มจี ิตสาธารณะและสำนกึ สาธารณะ - การรว่ มกจิ กรรมขอ มจี ติ สำนึกห่วงใยสงั คมส่งิ แวดล้อมและสาธารณสมบตั ิ มจี ิต กำหนดให้นกั เรยี นเข้า อาสาไมด่ ดู าย มงุ่ ทำประโยชน์ให้สังคม โรงเรียนจัดข้ึน ดำรงความเป็นไทยในกระแสโลกาภวิ ฒั น์ เป็นผู้มความสำนกึ ในคณุ คา่ แหง่ ตน คุณคา่ แหง่ ความเป็น ไทย ทำงานและอยู่รว่ มกบั ผู้อ่ืนมวี ฒั นธรรมแกตา่ งโดยยงั ดำรงความเปน็ ตวั ของตัวเองและทะนบุ ำรุงสบื สาร วฒั นธรรมไทยอยา่ งเป็นอสิ ระ ยงั่ ยนื และมีสันตสิ ขุ
รสอนท่ีใช้พัฒนาการเรียนรู้ กลยทุ ธก์ ารประเมนิ ผลการเรยี นรู้ รมเสริมหลกั สตู ร -การสงั เกตพฤติกรรมในการปฏบิ ัติงาน บบอย่างที่ดขี องครู -การประเมนิ ผลงานหรือชิ้นงาน ลเพ่ือเป็นการสรา้ งพฤตกิ รรมทีด่ ขี อง - การประเมินสมรรถนะในการสบื ค้นข้อมูล หน้ ักเรียนทำงานร่วมกันเป็นกลุ่ม -แบบสงั เกตพฤติกรรมรายบคุ คล รเสรมิ หลกั สูตร - แบบสงั เกตพฤตกิ รรมกล่มุ บบอยา่ งทดี่ ขี องครู - แบบประเมนิ ผลงาน/ชน้ิ งาน องหลักสตู ร/กจิ กรรมอ่ืน ๆในโรงเรยี น ประเมินผลการจัดกจิ กรรมต่าง ๆ ารว่ มกิจกรรมศิลปวัฒนธรรมที่ทาง ประเมินผลโดยการสงั เกตการณม์ ีสว่ นรว่ มในกจิ กรรม ทโ่ี รงเรยี นจดั ข้นึ
แหล่งอา้ งอิง กระทรวงศกึ ษาธกิ าร.(2548) ม าตรฐานการศึกษาของชาต.ิ กรุงเทพฯ : สหายบลอ็ กและการพิมพ์ กรมวชิ าการ.(2545) การวิจยั เพ่อื พัฒนาการเรยี นรู้ตามหลักสูตรการศกึ ษาข้ันพื้นฐาน.กรุงเทพฯ : โรงพมิ พ์คุรุสภาลาดพรา้ ว สำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมนิ คณุ ภาพการศึกษา(องค์การมหาชน)(2547).พระราชบญั ญัติการศึกษา แห่งชาติ พ.ศ.2552 แก้ไขเพ่ิมเตมิ (ฉบับท่ี 2) พ.ศ. 2545. กรุงเทพฯ : พรกิ หวานกราฟฟคิ พจิ ติ รา ธงพานิช. วชิ าการออกแบบและการจดั การเรียนรู้ในชั้นเรียน. นครปฐม : โรงพิมพม์ หาวิทยาลยั ศิลปากร.
Search
Read the Text Version
- 1 - 50
Pages: