634143034 นางสาวอาภาศิริ แจม่ ใส สาขาคณติ ศาสตร์ ชัน้ ปที ่ี 3 หมู่ท่ี 1 1.สมรรถนะด้านความรขู้ องครคู ณิตศาสตร์ 1.1 เจตคตติ ่อวชิ าชีพครู (ธมลวรรณ มีเหมย, 2553) ได้กล่าวว่า ในศตวรรษที่ 21 เทคโนโลยีมีอิทธิพลอย่างมากต่อการ เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วทั่วโลก เรียกได้ว่าเป็นกระแสแห่งยุคโลกาภิวัตน์หรือกระแสแห่งยุคโลกไร้พรมแดน ทำให้เกิดการแข่งขนั ในระดับนานาชาตมิ ากขึ้น สง่ ผลกระทบตอ่ สถานศกึ ษาทเ่ี ป็นองค์การทางการศกึ ษาอย่างมาก จําเป็นอย่างยิ่งที่นกั ศึกษาหลักสูตรประกาศนียบัตรทางการสอนสมควรต้องมีเจตคติต่อวิชาชีพครูใน ทางบวกซ่ึง ต้องใช้แนวคิดในการบริหารงานในรูปแบบใหม่เพื่อให้สถานศึกษามีศักยภาพในการแข่งขัน สามารถปรับปรุง เปล่ยี นแปลงใหม้ ีประสิทธภิ าพไดอ้ ยา่ งเหมาะสมและรวดเรว็ ผปู้ ระกอบอาชพี ครูตอ้ งมคี ุณลักษณะและคุณสมบัตทิ ่ีสำคัญหลายประการ ผปู้ ระกอบอาชพี ครคู วรมี เจต คตทิ ดี่ ีต่อคุณลักษณะและคณุ สมบัติท่ีสำคญั ๆ นนั้ ๆ ดว้ ย จึงจะประสบความสำเรจ็ ในหน้าท่ีการงาน ก่อให้เกิดผลดี ต่อสังคมและประเทศชาติ เจตคติที่ดีต่อคุณลักษณะและคุณสมบัตขิ องอาชพี ครมู ีหลายประการ ซึ่งอาจจาํ แนกได้ ดงั ตอ่ ไปนีค้ อื 1. เจตคตทิ ดี่ ตี อ่ ลกั ษณะอาชพี ของครู ผูป้ ระกอบอาชพี ครตู อ้ งมีความเสยี สละ มีเมตตากรุณา และต้องมี ความอดทนอดกล้ันเป็นอยา่ งยิ่ง ครคู วรมีความภูมิใจในอาชพี ของตน ไม่ควรคิดวา่ ตำ่ ตอ้ ยหรือดอ้ ยเกยี รติใน สังคม 2. เจตคติที่ดีต่อลักษณะการเป็นครู ผู้ประกอบอาชีพครูควรเป็นผู้รอบรูท้ ันสมัย ขยันขันแข็ง มีสุขภาพ สมบูรณ์ แข็งแรง 3. เจตคติที่ดีต่อนักเรียน ผู้ประกอบอาชีพครูต้องมีความรู้สึกที่ดีต่อเด็ก รักและเอ็นดูเด็ก ให้อภัยและ ช่วยเหลือเด็กอยู่เสมอ 4. เจตคตทิ ดี่ ตี อ่ การเรยี นการสอน ผู้ประกอบอาชีพครตู อ้ งมคี วามรสู้ ึกรกั การสอน มีการเตรยี มการ สอน ที่ดี มีเทคนิคและมวี ธิ ีการสอนที่หลากหลายให้นักเรียนมีความรู้ และมีความเข้าใจในเน้ือหาวิชาอยา่ ง กวา้ งขวาง ชัดเจน พร้อมท้ังมีการปรบั ปรงุ การสอนอยู่เสมอ 5. เจตคติที่ดีต่อความเจริญก้าวหน้าในหน้าที่การงานของครู อาชีพครูทุกอาชีพมีความเจริญก้าวหน้า ทั้งสิน้ ถา้ ผูป้ ระกอบอาชพี มคี วามตง้ั ใจอย่างเต็มกําลงั ความสามารถและยังผลใหง้ านนั้นสำเร็จลลุ ่วงไปดว้ ยดี อย่าง มีประสทิ ธิภาพ วชิ าชีพครเู ปน็ วิชาชพี ท่ีมีความสำคัญต่อกระบวนการพัฒนาการศึกษา เปน็ วิชาชีพที่ ใหบ้ ริการ ทางด้าน การศกึ ษาแกป่ ระชาชนซง่ึ เปน็ ส่วนสำคัญในการพัฒนาประเทศ ดงั นั้น ครูจึงเปน็ บคุ ลากรวิชาชพี ทาง การศึกษาท่ีมี ความสำคัญเป็นอย่างยิ่งต่อความสำเร็จของงานการศึกษา ทั้งนี้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักร ไทย พุทธศักราช 2540 มาตรา 81 ได้บัญญัติให้มีกฎหมายเกี่ยวกับการศึกษาแห่งชาติและการพัฒนาวิชาชีพครู และได้มีการ
634143034 นางสาวอาภาศริ ิ แจ่มใส สาขาคณติ ศาสตร์ ชัน้ ปีที่ 3 หมู่ที่ 1 ประกาศใชพ้ ระราชบัญญตั กิ ารศึกษา แหง่ ชาติพุทธศกั ราช 2542 มาตรา 53 กาํ หนดให้องค์กร วิชาชพี ครู โดยให้มี ฐานะเป็นองค์กรอิสระภายใต้การบริหารงานของสภาวิชาชีพ ในการกำกับของ กระทรวงศึกษาธิการ มีหน้าที่ใน การกำหนดมาตรฐานวิชาชีพ ออกและเพกิ ถอน ใบอนุญาตประกอบวิชาชีพกำกับดแู ลการปฏบิ ตั ิตามมาตรฐานและ จรรยาบรรณของวิชาชีพ ท้ังนี้จรรยาบรรณของวชิ าชีพครูเป็น มาตรฐานการ ปฏิบตั ทิ ่ีกำหนดข้ึนเพ่อื เป็นแบบแผน ในการประพฤติตน ผู้ประกอบวิชาชีพทางการศกึ ษาต้อง ปฏิบตั ิตาม เพ่อื รกั ษาและสง่ เสริมเกยี รตคิ ณุ ช่ือเสียงและ ฐานะของผปู้ ระกอบวิชาชีพทางการ ศกึ ษาให้เป็นท่ี เชื่อถอื ศรทั ธาแก่ผู้รบั บริการและ สังคม อันจะนํามาซ่ึงเกียรติ และศักดิ์ศรีแห่งวิชาชีพ ซึ่งจรรยาบรรณวิชาชีพ ครู แบ่งออกเป็น 5 ด้าน (ราชกิจจานุเบกษา, 2556) ได้แก่ 1) จรรยาบรรณต่อตนเอง 2) จรรยาบรรณต่อวิชา ชีพ 3) จรรยาบรรณต่อผู้รับบริการ 4) จรรยาบรรณต่อผู้ร่วม ประกอบวชิ าชีพ และ 5) จรรยาบรรณต่อ สังคม ดังนนั้ การศึกษาเพือ่ ให้ไดข้ ้อมูลเจตคติของนกั ศึกษาวชิ าชพี ครูตาม จรรยาบรรณวิชาชีพ จึงเป็นแนวทางสำคัญ ในการปลูกฝังหรือพัฒนาเจตคติในทางที่ดีตามจรรยาบรรณวิชาชีพ ให้กับนักศึกษาวิชาชีพครูก่อนที่จะออกไป ปฏิบัติการสอนในสถานศึกษา ซึ่งจะช่วยให้บุคลากรครูในอนาคต สามารถปฏบิ ัตติ ามขอ้ บังคับครุ ุสภาว่าดว้ ย จรรยาบรรณของวชิ าชพี ด้วยความเตม็ ใจและ ภาคภูมใิ จ ก่อให้เกิดผลดี ทัง้ ต่อตัวครู ผเู้ รยี น และ ระบบของการศึกษา สรุปได้ว่า เจตคติที่ดีต่อวิชาชีพครมู ีความสำคญั มากดุจเดียวกับโครงสร้างเหลก็ ภายในที่ช่วยยึดอาคาร ใหม้ ั่นคงแขง็ แรง เจตคติเป็น ความรสู้ ึกของ บุคคลท่ีมีต่อส่ิงใดส่งิ หนง่ึ ในทางท่ีเหน็ ชอบ เห็นดหี รือไม่เหน็ ชอบ หรือ เฉยๆ เป็นกลาง ดังนนั้ เจตคตติ อ่ วิชาชีพครขู องนกั ศกึ ษาคณะศึกษาศาสตร์หมายถงึ ความรู้สึกของ นกั ศึกษาคณะ ศกึ ษาศาสตร์ท่ีมีต่อวิชาชีพครูและเจตคติท่ีดีต่อวิชาชีพครูมีความสำคญั บุคคลทเ่ี ปน็ ครู และผู้ ศึกษาวิชาชีพครูเพ่ือ จะไปเปน็ ครูในอนาคต เพราะเม่ือบคุ คลเกิดเจตคติที่ดีต่องานของตนหรือพอใจในงานทีต่ น ทำอยู่ ยอ่ มทำใหท้ ำงาน อย่างมีความสุข และมีความตั้งใจในการทำงานอย่างดีที่สุด ดังนั้นจึงอาจกล่าวได้ว่า เจตคติที่ดีวิชาชีพครูมี ความสำคัญมากดจุ เดยี วกนั กับโครงเหล็กภายในที่ชว่ ยยึดอาคารให้มัน่ คงแขง็ แรง 1.2 คุณลักษณะของความเป็นครู ลักษณะของครูท่ดี ตี ามแนวคดิ ในวงการการศกึ ษาตะวันตก (เฮลซองและวีคส์ อ้างใน ไพพรรณ เกียรติโชติชัย,2536) ลักษณะครูที่ดีนั้นในทัศนะของนกั การศึกษา ตะวนั ตกน้ัน ไดส้ รปุ แนวความคิดของครทู ี่ดไี ว้เป็นระบบและครอบคลมุ คุณลักษณะของครอู ยา่ ง กว้างขวาง ดงั นี้ 1. เป็นผู้มีความรอบรู้ 2. เปน็ ผู้มีอารมณข์ นั 3. เป็นผูม้ ีความยดื หยุ่นผอ่ นปรน 4. เปน็ ผมู้ คี วามตั้งใจในการทำงาน
634143034 นางสาวอาภาศิริ แจม่ ใส สาขาคณติ ศาสตร์ ช้นั ปีท่ี 3 หมู่ท่ี 1 5. เป็นผมู้ คี วามซือ่ สัตย์ 6. เป็นผ้มู ีความสามารถสร้างความชัดเจน 7. เป็นคนเปดิ เผย 8. เปน็ ผู้มคี วามอดทน 9. เป็นแบบอยา่ งทด่ี ี 10. เปน็ ผ้สู ามารถประยกุ ต์ทฤษฎีไปปฏบิ ตั ไิ ด้ 11. เปน็ ผู้มคี วามเช่ือมนั่ ในตนเองสงู 12. เปน็ ผมู้ คี วามสามารถในศิลปะวิทยาการหลายๆดา้ น 13. เปน็ ผแู้ ตง่ กายเหมาะสมและมสี ุขอนามยั สว่ นบุคคลดี สรปุ ครูจะต้องพัฒนาและสามารถความเชื่อมั่นในตนเองโดยการสั่งสมประสบการณ์ต่างๆ โดย เฉพาะท่ี เกย่ี วกบั การสอนให้มากทส่ี ดุ และครจู ะตอ้ งเช่ือมน่ั ในสง่ิ ที่ตนเองสอน ลกั ษณะของครทู ี่ดีจากผลการวจิ ัยต่างๆ ฝ่ายโครงการของวิทยาลัยครูบ้านเจ้าพระยา ได้ทำการวิจัยเรื่องลักษณะของครูที่สังคมต้องการ โดยนักเรียน ครู ผปู้ กครอง ในเขตกรุงเทพฯ เปน็ กล่มุ ตัวอย่าง ได้สรุปผล ดงั นี้ 1. ด้านความประพฤตคิ วรมีความประพฤตทิ ดี่ เี ป็นแบบอยา่ งทด่ี ใี ห้แกเ่ ด็ก ๆ และสังคม 2. ดา้ นความรทู้ างด้านวิชาการ ควรมคี วามรู้กวา้ งขวางนอกเหนือไปจากความรูเ้ ฉพาะ 3. ด้านการสอนตอ้ งรูจ้ ักพัฒนาปรบั ปรงุ การสอนของตนใหไ้ ด้ผลดี 4. ดา้ นการปกครองนกั เรียน ควรฝึกนักเรียนใหม้ ีวนิ ัยควบคู่ไปกบั การอบรมทางศลี ธรรม 5. ดา้ นมนุษย์สัมพนั ธ์ของครู ครูควรสรา้ งความเขา้ ใจและคณุ ความดขี องสังคม 6. ด้านบุคลกิ ภาพของครู ครคู วรแตง่ กายเหมาะสม มอี ารมณ์มัน่ คง มีเสียงพูดชัดเจน และมี ลักษณะของ ความเป็นผ้นู าํ 7. ด้านการทำงานนอกเวลาและงานอดิเรกของครูเห็นว่าครูควรทำได้ไม่กฎหมายหรือขัดต่อ ขนบธรรมเนยี ม ประเพณีอันดงี าม ผลงานการวิจยั ของ เฉลียว บรุ ีภัคดี เกยี่ วกับคณุ ลกั ษณะของครูท่ีดีโดยการรวบรวมข้อมูลจาก นักเรียน ผู้ปกครอง ครอู าจารย์ ผูบ้ รหิ าร พระ และผทู้ รงคณุ วุฒิจำนวนท้ังสนิ้ 7,762 คน มี ดงั น้ี
634143034 นางสาวอาภาศริ ิ แจม่ ใส สาขาคณติ ศาสตร์ ช้ันปที ี่ 3 หมู่ที่ 1 ครูท่ีไม่ชอบมากทส่ี ดุ เรียงจากมากไปหานอ้ ย มี ดงั น้ี 1.ขาดความรบั ผิดชอบ 2.การเป็นคนเจา้ อารมณ์ 3.ขาดความยุติธรรม 4.เห็นแกต่ ัว 5.ประจบสอพอ ครทู ่ีชอบมากท่ีสุด มี ดงั น้ี 1. ตงั้ ใจสอนและสอนเขา้ ใจแจ่มแจง้ 2. ความเขา้ ใจและเป็นกนั เอง 3. ความรบั ผิดชอบ 4. มีความยตุ ิธรรม 5. ความเมตตา 6. ร่าเรงิ แจ่มใส สุภาพ 7. มีวธิ สี อนแปลก ๆ 8. มีอารมณข์ นั 9. เอ้อื เฟ้อื เผ่ือแผ่ ความบกพร่องของครู จากมากไปหาน้อย มี ดังน้ี ชาย 1. ความประพฤตไิ มเ่ รียบร้อย 2. มัวเมาในอบายมขุ 3. การแตง่ กายไมส่ ภุ าพ 4. การพดู จาไม่สุภาพ 5. ไม่รับผิดชอบการงาน หญงิ 1. การแต่งกายไมส่ ุภาพ 2. ความเปน็ คนเจ้าอารมณ์ 3. ประพฤติไม่เรียบรอ้ ย 4. ไม่รับผิดชอบการงาน 5. ชอบนนิ ทา 6. จจู่ ้ขี ้ีบน่
634143034 นางสาวอาภาศริ ิ แจ่มใส สาขาคณติ ศาสตร์ ช้ันปที ี่ 3 หมู่ที่ 1 7. วางตวั ไมเ่ หมาะสม 8. คยุ มากเกินไป หนา้ ทขี่ องครทู ีจ่ ําเปน็ มากทส่ี ุด คอื 1.สอนและอบรม 2.การเตรียมการสอน 3.หนา้ ทธ่ี ุรการ เชน่ ทำบญั ชีเรียกช่ือและสมดุ ประจำวันช้นั 4.การแนะแนว 5.การศึกษาค้นควา้ เพ่มิ เติม 6.ดแู ลอาคารสถานท่ี ลักษณะของครทู ี่ดี เรียงตามลำดับ คือ 1. ความประพฤตเิ รียบรอ้ ย 2. ความรดู้ ี 3. บคุ ลิกการแตง่ กายดี 4. สอนดี 5. ตรงเวลา 6. มคี วามยุตธิ รรม 7. หาความรู้อยูเ่ สมอ 8. ร่าเรงิ แจ่มใส 9. ซ่ือสัตย์ 10. เสียสละ (จำเนยี ร น้อยท่าชา้ ง) ยงั ได้ทำการวิจัยเรื่องครูดีในทัศนะของเดก็ โดยเลือกสุ่มตวั อย่างจาก นักเรียนชั้น มัธยมศกึ ษาในเขตการศึกษา 5 ทุกจงั หวดั เป็นจำนวน 2,418 คน ชาย 1,203 หญงิ 1,215 คน สรุปได้ดงั นี้ เกีย่ วกับคุณลักษณะทัว่ ไปของครู 1. ครูจะเป็นหญิงหรอื ชายก็ได้ 2. อายทุ ี่เหมาะสมของครคู วรอยใู่ นระหวา่ ง 31–40 ปี 3. สถานภาพสมรสของครูจะเป็นอย่างไรก็ได้ 4. ครทู สี่ อนในระดับมธั ยมศึกษาควรเปน็ ครูทม่ี วี ุฒใิ นระดบั ปริญญาตรี 5. ครูควรมคี วามสามารถในการสอน โดยสอนได้ทว่ั ไป และมีความสามารถเฉพาะรายวิชา
634143034 นางสาวอาภาศิริ แจม่ ใส สาขาคณติ ศาสตร์ ช้ันปที ่ี 3 หมู่ที่ 1 6. ในการเรียนวิชาใดวิชาหนึ่ง เช่น วิทยาศาสตร์ ปรากฎว่านักเรียนต้องการเรียนกับครูที่ จบ วทิ ยาศาสตรเ์ ป็นวชิ าเอกและจบวิชาครูมาด้วย เกย่ี วกับบุคลิกภาพลกั ษณะของครู 1. ครคู วรมีความสงบเสงย่ี ม ตอ้ งระมดั ระวงั ในการวางตวั เสมอ 2. ครคู วรแต่งกายเรียบร้อย ไมแ่ ต่งกายนาํ สมยั และใชเ้ ครอื่ งสาํ อางแตพ่ อประมาณ 3. พูดจาไพเราะนุ่มนวลอยเู่ สมอ 4. ครูควรพดู เสยี งดัง 5. มีอารมณเ์ ย็น 6. เปน็ กนั เองกบั เดก็ นักเรยี นและมีอารมณ์ขนั บา้ ง 7. มสี ขุ ภาพแข็งแรงท้ังทางดา้ นจิตใจและก็ทางดา้ นร่างกาย 8. มลี กั ษณะเปน็ ผู้นาํ และเปน็ ผทู้ ี่พึง่ พงิ ได้ เกี่ยวกับทางด้านวชิ าการของครู 1.ควรศกึ ษาและเพ่มิ เติมความรอู้ ยู่เสมอในทกุ ดา้ น 2.ควรมีความคดิ รเิ ริ่มและสรา้ งสรรค์ 3.เคยเรยี นวิธีสอนและผา่ นการฝกึ สอนมาก่อน 4.ควรมวี ชิ าความรวู้ ชิ าวดั ผล 5.ควรมีความรใู้ นวชิ าจติ วทิ ยา การสอนและการปกครองของครู 1. ชอบครทู ใ่ี ชอ้ ปุ กรณก์ ารสอนช่วยในการสอน 2. ไมช่ อบครทู ี่มคี วามชํานาญแต่ไม่เตรยี มการสอน 3. ชอบครทู ่ใี หง้ านและตรวจงานเสร็จเสมอ 4. ต้องการใหค้ รูสอนซ่อมนอกเวลาเรียน 5. ตอ้ งการให้ครูมกี จิ กรรมประกอบการสอนในบางโอกาส 6. ตอ้ งการให้ครูเปิดโอกาสให้นกั เรยี นคน้ ควา้ หาความรดู้ ว้ ยตนเองบา้ ง 7. ไม่ชอบครูทเ่ี อาเวลาสอนไปทำงานอื่น 8. ชอบให้ครยู ึดระเบยี บ กฎเกณฑ์ ขอ้ บงั คบั โดยเครง่ ครดั ถงึ จะมกี ารลงโทษก็ยนิ ดี 9. การลงโทษไมต่ ้องการใหค้ รูเฆ่ยี นตี 10. นกั เรียนต้องการเรียนดีถึงแมว้ า่ ความประพฤติจะดอ้ ยไปบ้าง
634143034 นางสาวอาภาศิริ แจม่ ใส สาขาคณติ ศาสตร์ ชั้นปีที่ 3 หมู่ท่ี 1 ความประพฤตขิ องครู 1. ไม่เห็นดว้ ยกับการที่ครจู ะไปเที่ยวพักผอ่ นในสถานเรงิ รมย์ต่าง ๆ 2. ไม่อยากใหค้ รดู ื่มสรุ า ไม่ว่าจะเปน็ ทสี่ โมสรขา้ ราชการหรอื สถาบันท่ีทั่ว ๆ ไป 3. ครูควรประพฤติตัวดกี ว่าข้าราชการอาชีพอื่น ๆ เช่น หมอ หมายความว่า ตำรวจ ทหาร และ ข้าราชการปกครอง 4. ครคู วรประพฤติตวั เรียบร้อย แต่ไม่ถึงกับจะเหมอื นผา้ พับไว้ 5. ครคู วรรวู้ ฒั นธรรม แตไ่ ม่ต้องเครง่ ครดั มากนัก 6. ครคู วรเป็นกันเองกับเด็ก มนุษยส์ ัมพนั ธ์ของครู 1. สามารถแนะนาํ ใหเ้ ดก็ ได้ทง้ั เรือ่ งสว่ นตวั และเรอ่ื งการเรียน 2. ไมเ่ หน็ ด้วยท่ีครแู สดงตวั เป็นกนั เองกบั เด็กโดยการพูดจาแบบนกั เลง ๆ 3. ชอบครทู ่มี คี วามยตุ ธิ รรมและเป็นคนใจดี 4. ไมช่ อบทค่ี รจู ะเข้ากับผ้ปู กครองโดยวิธกี ารร่วมดมื่ สุราหรอื เลน่ การพนัน 5. ครูควรร่วมมือพฒั นาชมุ ชน เพ่ือจะเข้ากบั ชมุ ชนได้ 6. ครูควรเชิญผู้ปกครองมารว่ มปรึกษาหารือในการจดั กิจกรรมในโรงเรยี นดว้ ย “ครูทแ่ี ท้จริงนนั้ ตอ้ งเป็นผู้ที่กระทำแตค่ วามคอื ” คือ - ต้องหม่นั ขยันอตุ สาหะพากเพียร - ตอ้ งเอ้อื เฟื้อเผ่ือแผ่ และ เสยี สละ - ตอ้ งหนักแนน่ อดทนอดกล้นั - ต้องรักษาวินยั ำรวมความประพฤติของตนใหอ้ ยู่ในระเบยี บแบบแผนท่ีดงี าม - ต้องปลกี ตวั ปลกี ใจออกจากความสนุกสนานรา่ เรงิ ทีไ่ ม่ควรแก่เกียรติภูมขิ องตน - ต้องตัง้ ใจให้ม่นั คงและแนว่ แน่ - ตอ้ งรกั ษาความซ่ือสตั ย์รกั ษาความจริงใจ - ต้องมีเมตตาและหวงั ดี - ตอ้ งวางใจเป็นกลางไม่ปล่อยไปตามอำนาจอคติ - ตอ้ งมั่นอบรมปญั ญาใหเ้ พิม่ พูนขึ้นทั้งในด้านวทิ ยาการและความฉลาดรอบรู้ กรมการฝึกหัดครู กระทรวงศึกษาธิการได้ทำการวิจยั เรื่องของครทู ี่ดโี ดยการสอบถามจากบุคคล หลาย ฝ่าย คอื นกั เรยี น ครู ผบู้ ริหารการศกึ ษา ผ้ทู รงคุณวฒุ ิ ศึกษานิเทศก์ และผูป้ กครอง ใช้เวลาในการวจิ ยั พ.ศ.2518
634143034 นางสาวอาภาศิริ แจ่มใส สาขาคณติ ศาสตร์ ชนั้ ปีท่ี 3 หมู่ที่ 1 – พ.ศ.2520: ซึง่ เปน็ ครั้งแรกในประเทศไทยท่ีทำการวิจยั เรื่องลักษณะของครทู ี่ดที ไี่ ด้กระทำในวงกว้าง ผลจากการ วจิ ัยลักษณะของครทู ่ดี ี สรุปผลได้ดงั น้ี 1. ด้านคุณธรรมและความประพฤติ ได้แก่ ความเที่ยงธรรม ความซื่อสัตยส์ ุจริต การตรงตอ่ เวลา ร่าเรงิ แจ่มใส ร้จู กั เสียสละ วาจาสภุ าพเรียบร้อย เปน็ กันเองกบั เด็ก และเขา้ กับเด็กได้ เป็นตวั อย่างในการ ประพฤติดี มี มนุษย์สมั พนั ธ์ แต่งกายเรยี บรอ้ ยมีบุคลกิ ลักษณะที่ดมี วี าจาสุภาพออ่ นโยนเว้นจากอบายมขุ ต่างๆ ไม่ทำตัวเสเพล มี ระเบยี บวนิ ัย อารมณ์ม่ันคง มคี วามปรานรี ูจ้ ักปกครองแบบประชาธิปไตย เป็นคนมีเหตผุ ล ร้จู กั สิทธแิ ละหน้าที่ 2.ด้านความยึดมั่นในสัญชาติศาสนา พระมหากษัตริย์ อันเป็นหลักสำคัญและความจําเป็นอย่าง ยิ่ง สำหรับบุคคลท่ีทำหน้าที่เป็นครูที่ ให้การศึกษาแก่อนุชนของชาติ ให้มีความรักและห่วงแหนในสิ่งที่เป็น องคป์ ระกอบสำคัญของความเปน็ ไทย 3. ความรับผิดชอบต่อหน้าที่การงาน รู้จักเตรียมการสอนเพื่อให้การสอนและการเรียนของ นักเรียน บรรลเุ ปา้ หมายที่ ต้องการเอาใจใส่การสอน อบรมความประพฤติและปลูกฝั่งค่านิยมดงี ามให้แก่ นักเรียน มีความ ขยันขันแข็ง มีความกระตือรือรน้ ในการทำงาน มีความศรัทธาต่ออาชพี ครู อุทิศตัวเพ่ือราชการ มีสุขภาพทางกาย และจติ ใจท่ดี ี รู้จักตดิ ต่อกบั ผูป้ กครอง และพยายามเข้าใจเด็ก 4. ความสามารถในการใช้ภาษาสื่อสาร รู้จักหลักการพูด การอภิปรายบทเรียนแจ่มชัด รู้จักใช้ภาษา ถกู ต้อง 5. เอาใจใส่คน้ คว้าความรูอ้ ยูเ่ สมอ ร้แู ละตามความเคลื่อนไหวทางการศึกษาอยู่เสมอโดยเฉพาะ แผนการ ศึกษาแห่งชาติและ หลักสตู ร รจู้ ักปรบั วธิ กี ารสอนแบบใหม่และเหมาะสมอยู่ตลอดเวลา การเปน็ ครู สอนให้คนเป็น มนุษย์ที่สมบูรณ์ คือ ความรู้คู่คุณธรรมมิใช่เป็นสิ่งที่ทำได้ง่าย การเป็นครูที่ดีต้องอาศัยความ อดทน เสียสละ มี เมตตา ซ่ึงเปน็ คณุ สมบัติเพียงส่วนหนึ่งของความเป็นครูท่ีดี คุณลกั ษณะของครูที่ดีมีหลาย ประการ ซ่ึงจะได้นํามา กล่าวถึงลักษณะของครูท่ีดีตามคาํ สอนในพทุ ธศาสนา ลักษณะของครูท่ีดี (ดิเรก พรสีมา และคณะ,2543) จากการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับลักษณะครูดีในประเทศไทยของ นัก การศกึ ษาหลายทา่ น พบว่าครทู ีด่ ีควรมลี กั ษณะท่ีจําเป็น 3 ดา้ น ดงั นี้ 1. ด้านคณุ ลกั ษณะ 1.1 ตอ้ งมคี วามรักและศรัทธาในวิชาชีพครู และพรอ้ มทจ่ี ะพัฒนาวชิ าชพี ของตนอยู่เสมอ 1.2 ประพฤติตนเป็นแบบอย่างแก่ผู้เรียนทั้งด้าน ศีลธรรม วัฒนธรรม กิจนิสัย สุขนิสัย และ อุปนิสัย มคี วามเปน็ ประชาธิปไตย 1.3 ใฝห่ าความรแู้ ละพฒั นาตนเองอยู่เสมอ 1.4 มีความเมตตาแกศ่ ิษย์ และเหน็ คณุ คา่ ของศษิ ย์
634143034 นางสาวอาภาศิริ แจ่มใส สาขาคณติ ศาสตร์ ชั้นปีท่ี 3 หมู่ท่ี 1 1.5 มีสุขภาพสมบรู ณ์ 1.6 มีความคดิ รเิ รม่ิ สร้างสรรค์ทางวิชาการสามารถใช้กระบวนการคิดวิเคราะห์ เพือ่ แก้ไข ปัญหา ต่าง ๆ ได้ 1.7 มบี ทบาทในการพัฒนาชุมชน สามารถเปน็ ผู้นาํ ชุมชนได้ 1.8 ใชเ้ ทคโนโลยที ท่ี นั สมยั ภาษา และการวจิ ยั เพอื่ เป็นเครอ่ื งมือในการพฒั นาตนเอง 1.9 สามารถพัฒนาตนเองให้เป็นครูแบบใหม่ในระบบสากลได้คือ การรู้ในวิทยาการด้าน คอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศมากขึ้น มคี วามหลากหลายเพ่ือตอบสนองผเู้ รียนเป็นหลักสามารถ พฒั นาผเู้ รียนได้อยา่ งเตม็ ศักยภาพและสร้างสรรค์ขอ้ มูลสะท้อนกลบั สู่ ผเู้ รียนได้อยา่ งต่อเนื่องรวมทั้งเป็น ครูที่ เขา้ หาผ้เู รียนและชมุ ชนได้มากข้ึน 2. ด้านความร้ขู องครู 2.1 ครตู ้องเปน็ ผู้ท่มี คี วามรู้ในวิชาท่สี อนอยา่ งแท้จรงิ สามารถเชอ่ื มโยงทฤษฎใี นศาสตร์ ความรู้มา สู่การปฏบิ ัตไิ ด้ ทง้ั การปฏิบตั ใิ นระดบั สากลและในระดบั ท้องถน่ิ 2.2 มีความรู้ด้านการวิจัยวิทยาการคอมพิวเตอร์และภาษาเพื่อเป็นเครื่องมือในการแสวงหา ความรู้ 2.3 มีความรู้เรื่องเทคนิคการสอนจิตวิทยาการวัดผลและประเมินผลและสามารถประยุกต์ใช้ ใน การจดั กจิ กรรมการเรียนการสอน 2.4 รู้ข้อมูลข่าวสารรอบตัวและเรื่องราวในท้องถิ่นเพื่อแลกเปลี่ยนความรู้และฝึกผู้เรียนคิด วิเคราะห์วิจารณ์ได้ 3. ด้านการถ่ายทอดของครู 3.1 สามารถประยุกต์ใช้เทคนิคการสอนต่างๆ เพื่อจัดบรรยากาศการเรียนรู้ที่น่าสนใจทำให้ ผเู้ รยี นเข้าใจเนือ้ หาวิชาท่ีเรียนสามารถเชือ่ มโยงความรนู้ ั้นส่กู ารนําไปประยุกต์ใชใ้ นชีวติ ประจำวันและการ เรยี นรู้ต่อไปได้ 3.2 สามารถอบรมนิสัยให้ผูเ้ รียนมีศีลธรรมวฒั นธรรมกิจนิสัย สุขนิสัย และอุปนิสัยรวมท้ัง รักใน ความเปน็ ประชาธปิ ไตย เพอ่ื เปน็ บรรทัดฐานในการใช้ชีวติ อยรู่ ว่ มกับผอู้ ่ืนในสงั คมได้อยา่ งมีความสขุ 3.3 สามารถพฒั นาให้ผู้เรยี นใฝ่รู้กา้ วทันเทคโนโลยีตลอดจนสามารถใช้ภาษาส่ือสารกนั ได้ เพ่ือให้ ผู้เรียนได้พัฒนาตนเองอยู่เสมอ และสามารถใช้เครื่องมือต่างๆในการแสวงหาความรู้และเรียนรู้ได้ด้วย ตนเอง
634143034 นางสาวอาภาศิริ แจม่ ใส สาขาคณติ ศาสตร์ ชนั้ ปีท่ี 3 หมู่ท่ี 1 3.4 สามารถพัฒนาให้ผู้เรียนมองกว้างคิดไกลและมีวิจารณญาณที่จะวิเคราะห์และเลือกใช้ ข่าวสารข้อมลู ใหเ้ กิดประโยชนต์ ่อตนเองได้ 3.5 พัฒนาผู้เรียนเรียนรู้เรื่องราวต่างๆของชุมชนสามารถนําความรู้ไปประยุกต์ใช้เพื่อพัฒนา ชมุ ชน และแก้ปญั หาต่างๆ ในชมุ ชนได้ คณะกรรมการส่งเสริมวิชาชีพครูได้กำหนดว่าบุคคลที่ประกอบวิชาชีพครูควรมีความรัก ความ เมตตาและความปรารถนาดี มีความเสียสละและอุทิศตนและเวลาเพื่อส่งเสริมให้นักเรียนทุกคนได้ เจริญเติบโต และมีพัฒนาการในทุกด้าน ทั้งควรมีลักษณะอย่างน้อย 4 ประการ คือ 1. รอบรู้ 2. สอนดี 3. มคี ุณธรรม จรรยาบรรณ 4. มงุ่ มั่นพฒั นา 1. รอบรู้ คือ จะต้องมีความรู้เกี่ยวกับสภาพเศรษฐกิจและสังคม รวมทั้งความเปลี่ยนแปลงและ พัฒนาการที่เกิดขึ้นในสังคมของตนและของโลก มีความรอบรู้ในวิชาชีพของตน เช่น ปรัชญาการศึกษา ประวัติ การศึกษา หลักการศึกษานโยบายการศึกษา แผนและโครงการพัฒนาการศึกษา และจะต้องมี ความรู้อย่าง เชี่ยวชาญในเร่ืองหลักสูตร วิธีสอนและวิธปี ระเมินผลการศึกษาในวิชาชีพ หรือกิจการที่ตน รับผิดชอบ 2. สอนดี คือ จะต้องทำการสอนอย่างมีประสิทธิภาพ มีการพัฒนาการสอนให้สอดคล้องกับ ความสามารถ และความสนใจของนกั เรยี น อกี ทั้งสามารถให้บรกิ ารแนะแนวในด้านการเรยี นการครองตน และ การรักษาสุขภาพ อนามัย จัดทำและใช้สื่อการเรียนการสอนอย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งสามารถ ปรบั การเรียน การสอนให้เหมาะสมกับสถานการณข์ องบา้ นเมือง 3. มีคณุ ธรรมจรรยาบรรณ คือ มีศรทั ธาในวชิ าชีพครู ตงั้ ใจใชค้ วามรคู้ วามสามารถทางวิชาชีพเพ่ือ ให้บริการแก่นักเรียนและสังคม มีความซื่อสัตย์ต่อหลักการของอาชีพครูมีความรับผิดชอบในด้าน การศึกษาตอ่ สังคม ชุมชน และนักเรยี น มคี วามรกั ความเมตตาและความปรารถนาดีต่อนกั เรียน อุทิศตน และเวลาเพอ่ื ส่งเสริมใหน้ กั เรียนทุกคนไดร้ บั ความเจรญิ เตบิ โตและ พฒั นาการในทกุ ดา้ น 4. มุ่งมั่นพัฒนา คือ รู้จักสํารวจและปรับปรุงตนเอง สนใจใฝ่รู้ และศึกษาหาความรู้ต่างๆ รู้จัก เพิม่ พูนวทิ ยฐานะของตน คิดค้นและทดลองใช้วิธกี ารใหม่ๆ ที่เปน็ ประโยชนต์ อ่ การเรียนการสอน และเป็น ประโยชนต์ ่อชุมชนด้วย สรุปได้ว่า ครูเป็นผู้ใหก้ ำเนิดพลเมืองทีด่ ี คือ ชุบพลเมืองให้เป็นนักรู้ นักทำงาน นักพูด นักเขียน นกั ตาํ รา นกั ประดษิ ฐ์ นกั คน้ คว้าเหตผุ ล นกั ปราชญ์ ฯลฯ เปน็ ตน้ ความสามารถในการดำเนินการสอนงานครูนั้นถือว่าการสอนเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด และครูที่ดี จะต้อง มีความสามารถในวิทยาการหลายๆด้านเพอื่ นาํ มาสั่งสอนศษิ ยไ์ ด้
634143034 นางสาวอาภาศริ ิ แจ่มใส สาขาคณติ ศาสตร์ ชน้ั ปที ่ี 3 หมู่ที่ 1 ลกั ษณะของครทู ดี่ ีจากการศกึ ษาวเิ คราะห์ประวัติครดู เี ด่น (ธีรพงศ์ แก่นอินทร์ นิราศ จันทรกิจ และสมคิด ธนะเรืองสกุลไทย,2529) ได้ศึกษา คุณลักษณะของครู โดยการศึกษาวิเคราะห์ประวัติครดู ีเด่นจากหนังสอื ประวัตคิ รูจำนวน 24 คน พบว่า คุณลักษณะของครูท่ีไดศ้ ึกษา และวิเคราะหม์ าไดพ้ บวา่ คณุ ลักษณะเดน่ ของครทู ดี่ อี ันพงึ มีประจำใจ มีดังตอ่ ไปน้ี 1. มคี วามตงั้ ใจทำงานอย่างจรงิ จังดว้ ยความรัก ละรบั ผิดชอบ 2. มคี วามขยันขันแขง็ 3. มีความเสียสละ 4. เปน็ ผู้ใฝ่รู้ใฝเ่ รยี น 5. อุทศิ เวลาให้แก่งานราชการ 6. มกี ิริยามารยาทเรยี บร้อย 7. มคี วามเมตตากรณุ า มีความซ่อื สตั ย์สจุ รติ 8. มีอารมณแ์ จ่มใสร่าเรงิ มอี ัธยาศยั ดี 9. มคี วามเปน็ ผู้นํา มขี นั ติ รู้จกั ใชเ้ วลาวา่ งใหเ้ ป็นประโยชน์ มีระเบียบวนิ ัย สามารถแบง่ เปน็ ลกั ษณะสำคญั ๆได้3ด้าน ดังนี้ 1. ภูมิรู้ ความสามารถทางดา้ นวิชาการท่จี ะสอน ตลอดจนการเป็นผูท้ ม่ี ีสติปัญญาดี 2. ภูมิธรรม การประพฤติดี เวน้ จากอบายมุขท้ังปวง 3. ภมู ิฐาน มบี คุ ลกิ ดีรูปร่างทา่ ทางดี แตง่ กายสะอาดเรยี บร้อย พูดจาไพเราะน่มุ นวล สรุปได้ว่าคุณลักษณะของครทู ี่ดีนัน้ ล้วนแต่เป็นสิ่งท่ีฝึกฝนได้ทั้งส้ิน เพียงแต่ผู้ประกอบวิชาชพี ครู ต้องมี ความตัง้ ใจและความมุ่งมัน่ เท่านน้ั ฉะนนั้ ผ้ปู ระสงค์จะประกอบวชิ าชพี ครทู ุกคนสามารถฝกึ ฝนและ ปรับปรุงตนเอง ใหเ้ ป็นครทู ี่ดไี ดด้ ว้ ยความพากเพยี รและสม่ำเสมอ ลักษณะของครทู ่ดี ที ี่พงึ ประสงค์น้ันเป็นอย่างไร 1. มีความรอบรู้ (Being Knowledgeable) หมาย ถึง เป็นผู้มีความรู้ ความเข้าใจ ในวิชาการต่าง ๆ ที่ได้ ศกึ ษาเลา่ เรียนมาจากมหาวทิ ยาลยั เป็นอย่างดี และมีความแมน่ ยําใน วชิ าท่ีจะสอน 2. มีอารมณ์ขัน (Being Humorous) หมายถึง เป็นผู้มีความสามารถแสดง ความรู้สึกในสิง่ ที่ทำให้ ขำขนั หรือทำให้การสอนสนกุ สนาน 3. มีความยืดหยุ่นผ่อนปรน (Being Flexible) หมายถึง เป็นผู้มีความสามารถใน การเปลี่ยนแปลง แก้ไข ปรบั หรอื เปลยี่ นวธิ ีการเรยี นการสอนให้เหมาะสมกับสถานการณ์
634143034 นางสาวอาภาศริ ิ แจม่ ใส สาขาคณติ ศาสตร์ ชั้นปที ่ี 3 หมู่ที่ 1 4. มวี ญิ ญาณความเป็นครู (Being Upbeat) หมายถึง เปน็ ผูม้ ีความรกั ในตัวเด็ก และยนิ ดเี ต็มใจ ในภารกิจ ทางการสอน 5. มคี วามซอ่ื สัตย์ (Being Honest) หมายถงึ เปน็ ผูม้ คี วามซอ่ื สัตย์สุจริตต่อคน ทกุ คน ต่อหน้าที่ การเรียน การสอน 6. มีความสามารถทำให้เข้าใจได้ชัดเจนและรวบรัด (Being Clear and Concise) หมาย ถึง เป็น ผู้มี ปฏภิ าณไหวพริบดหี รือเปน็ ผมู้ คี วามสามารถในการใชภ้ าษา ทั้งภาษาพดู และภาษาเขียน รวมท้ังการแสดงออกทาง ภาษาทา่ ทาง หรอื กริยาอาการ เพ่ือใหเ้ กดิ การ สอื่ สารความหมายทถี่ กู ต้อง 7. เป็นคนเปิดเผย (Being Open) หมายถึง เป็นผู้ที่เต็มใจเปิดเผยเรื่องราวให้ ผู้อื่นรับรู้และรู้จัก รับ ความคิดของผู้อ่ืนดว้ ย 8. มีความอดทน (Being Patient) หมายถึง เปน็ ผทู้ ่ีมีความเพยี รพยายาม ขยันขนั แขง็ ในการงาน 9. ทำตวั เปน็ แบบอย่างทดี่ ี (Being a Role Model) หมาย ถึง เป็นผูท้ กี่ ระทำตนให้ เป็นแบบอย่าง ท่ดี ีงาม แก่ศิษยแ์ ละสงั คม ลกู ศิษย์ต้องมีแบบอย่างทถ่ี ูกตอ้ งดีงามเพ่อื เป็น แนวทางในการดำรงชวี ิตของตน 10. สามารถนําความรู้ทาง ทฤษฎีไปปฏิบัติได้ (Being Able to Relate Theory to Practice) หมาย ถึง เป็นผู้นําเอาความรู้ที่ได้รับจากการศึกษาเล่าเรียนในสถาบันการศึกษา ไปใช้ในโรงเรียนจริง ๆ ให้เกิดผลอย่างมี ประสทิ ธิภาพ ซึ่งบางครัง้ สภาพความจรงิ อาจจะไม่ เหมอื นกับทฤษฎีท่เี รียนมา ครตู อ้ ง สามารถประยุกต์ทฤษฎีไป ใช้ไดอ้ ยา่ งเหมาะสม 11. มีความเชื่อมั่นในตนเอง (Being Self-Confident) หมายถึง การทดสอบตัวเอง และพัฒนาความ เช่ือม่ันในตนเอง โดยการส่งั สมประสบการณ์ต่าง ๆ ท่ีเกีย่ วข้องกบั การสอน ใหม้ ากท่ีสุด ครูต้องเชื่อมั่นใน สิ่งที่ตน สอนดว้ ย 12. มีความสามารถพิเศษในศิลปะและวิทยาการหลาย ๆ ด้าน (Being Diversified) หมาย ถึง เป็นผู้มี ความสามารถพิเศษในหลาย ๆ ด้าน เช่น การเขียนภาพระบายสี ดนตรี กีฬา ความรู้เครื่องยนต์ กลไก การใช้ คอมพิวเตอร์ หรืองานอดิเรกอื่น ๆ ความรู้พิเศษเป็น ความสามารถเฉพาะตัวที่จะช่วยให้ผู้ประกอบ วิชาชีพครู อาจจะต้องใช้เพอื่ ช่วย ให้งานใน หน้าทค่ี รมู ปี ระสิทธภิ าพยงิ่ ข้นึ 13. แต่งกายเรียบร้อย สะอาด สง่าผ่าเผย และมีสุขอนามัยส่วนตัวดี (Being Well Groomed and Having Good Personal Hygiene) หมาย ถงึ การแตง่ กายสุภาพเรียบร้อย สะอาดอยู่เสมอ ใส่เสื้อผ้า ถกู ต้องตาม กาลเทศะ และมีความเหมาะสมกบั การเปน็ ครู หรือ ตามรูปแบบท่ีทางสถานศกึ ษาไดก้ ำหนดไว้ นอกจากนี้สุขภาพ ทางร่างกายและจิตใจของครกู ็ มีผลทำใหก้ ารสอนประสบความสำเรจ็ ด้วย
634143034 นางสาวอาภาศริ ิ แจม่ ใส สาขาคณติ ศาสตร์ ช้นั ปีท่ี 3 หมู่ท่ี 1 - มีความรู้ดี ซึ่งได้แก่ ความรู้ในวิชาการทัว่ ไป ความรู้ในเนือ้ หาวิชาที่จะสอน ความรู้ในวิชาครู ความรู้ใน หนา้ ท่ีและงานครทู ุกประการ - มที กั ษะในการสอนและการปฏิบัตงิ านครู เช่น อธิบายเกง่ สอนสนกุ ใช้สอื่ และอปุ กรณเ์ สมอ จัด กิจกรรม สร้างบรรยากาศไดน้ ่าเรียน เร้าพฤติกรรม ตลอดจนชี้แนะแนวทางในการศึกษา จนนาํ ไปสู่การดำเนนิ ชีวิตท่ถี ูกตอ้ ง โดยใชน้ วัตกรรมหรือเทคโนโลยที ี่ทันสมัย เปน็ ต้น - มีคุณธรรมนิยม อันได้แก่ คุณธรรมของครู จริยธรรม และคตินิยมในความเป็นครู เช่น ภาคภูมิใจ ที่ได้ เป็นครู มีทัศนคติที่ดีต่ออาชีพครู รักการสอน พอใจที่ได้ทำประโยชน์แกก่ ารดำเนินชีวิตของศิษย์ ช่วย พัฒนาคน และสงั คม ตลอดจนมีวญิ ญาณแหง่ ความเป็นครู
634143034 นางสาวอาภาศิริ แจ่มใส สาขาคณติ ศาสตร์ ช้ันปที ี่ 3 หมู่ท่ี 1 2.สมรรถนะดา้ นความรขู้ องครูคณติ ศาสตร์ 2.1 ทฤษฎจี ิตวทิ ยาทีค่ วรรู้ 2.1.1 ทฤษฎีการเรยี นรู้ ไดม้ าจาก 2 กลมุ่ ใหญ่ คือ กล่มุ พฤตกิ รรมและกลุ่มความรู้ 2.1.1.1 กลมุ่ พฤติกรรมนิยม (Behaviorism) ทฤษฎีการเสริมแรง ของพาฟลอฟ การปฏกิ ิรยิ าตอบสนองอยา่ งใดอย่างหนง่ึ แตเ่ พยี งอย่าง เดยี วสิ่งเร้าน้ัน ก็อาจจะทำให้เกิดการตอบสนองเช่นนั้น ได้ถ้าหากมีการวางเงื่อนไขที่ถูกต้อง นักจิตวิทยา การศึกษากลุ่มนี้ เช่น chafe Watson Pavlov, Thorndike, Skinner ซึ่งทฤษฎีของนักจิตวิทยากลุ่มนี้มีหลาย ทฤษฎี เช่น ทฤษฎีการ วางเงอ่ื นไข (Conditioning Theory) ทฤษฎีความสัมพันธ์ตอ่ เนอ่ื ง(Connectionism Theory) ทฤษฎกี ารเสรมิ แรง (Stimulus-Response Theory)ทฤษฎีการวางเงื่อนไข (Conditioning Theory) เจ้าของทฤษฎีนี้ คือ พาฟลอฟ (Pavlov) กล่าวไวว้ า่ ปฏกิ ริ ยิ าตอบสนองอย่างใดอยา่ งหน่ึงของ รา่ งกายของคนไมไ่ ดม้ าจากส่งิ เรา้ อยา่ งใดอย่างหนึ่ง แตเ่ พียงอยา่ งเดยี ว ส่ิงเรา้ นั้นก็อาจจะทำใหเ้ กดิ การ ตอบสนองเชน่ นนั้ ไดถ้ า้ หากมกี ารวางเง่อื นไขทถ่ี ูกตอ้ งเหมาะสม ทฤษฎีความสมั พนั ธ์ตอ่ เน่ือง (Connectionism Theory) เจา้ ของทฤษฎีนี้ คอื ธอรน์ ไดค์ (Thorndike) ซ่ึงกล่าวไว้ ว่า สิ่งเร้าหนึ่ง ๆ ย่อมทำ ให้เกิดการตอบสนองหลาย ๆ อย่าง จนพบสิ่งที่ตอบสนองที่ดีทีส่ ุด เขาได้ค้นพบกฎการ เรียนร้ทู สี่ ำคญั คอื 1. กฎแห่งการผล (Law of Effect) 2. กฎแห่งการฝึกหัด (Law of Exercise) 3. กฎแห่งความพร้อม (Law of Readiness) แนวคิดของธอร์นไดค์ นักการศึกษาและจิตวิทยาชาวเยอรมัน ผู้ให้กําเนินทฤษฎีแห่งการเรียนรู้ได้ เสนอ หลักการ ภารกจิ ของการสอนของครไู ว้2 ประการ และเสนอหลกั การเบือ้ งต้นเกี่ยวกับเทคโนโลยีทาง การศึกษาไว้ 5 ประการ ภารกจิ ของการสอนของครไู ว้ 2 ประการ คือ 1. ควรจัดเร่อื งหรือส่ิงท่จี ะสอนต่าง ๆ ทค่ี วรจะไปด้วยกนั ใหไ้ ด้ดำเนินไปดว้ ยกัน 2. ควรให้รางวัลการสัมพันธ์เชื่อมโยงที่เหมาะสม และไม่ควรให้ความสะดวกใด ๆ ถ้าไม่สามารถสร้าง ความสัมพันธ์เช่ือมโยงที่เหมาะสมขึ้นมาได้ หลกั การเบ้ืองต้นเกย่ี วกบั เทคโนโลยที างการศึกษาและการสอนของเขา ไว้ 5 ประการ คือ 1. การกระทำกจิ กรรมตา่ ง ๆ ดว้ ยตนเอง (Self – Activity) 2. การทำใหเ้ กดิ ความสนใจดว้ ยการจูงใจ (Interest Motivation) 3. การเตรยี มสภาพทเ่ี หมาะสมทางจติ ภาพ (Preparation and Mental set)
634143034 นางสาวอาภาศริ ิ แจม่ ใส สาขาคณติ ศาสตร์ ชน้ั ปีท่ี 3 หมู่ท่ี 1 4. คำนึงถึงเร่ืองเอกัตตะบุคคล (Individualization) 5. คำนึงถึงเรื่องการถา่ ยทอดทางสงั คม (Socialization) ทฤษฎีการวางเงื่อนไข/ทฤษฎีการเสรมิ แรง(S- R Theory หรือ Operant Conditioning) เจ้าของ ทฤษฎี น้คี ือ สกนิ เนอร์ (Skinner)กล่าวว่า ปฏิกิรยิ าตอบสนองหน่งึ อาจไม่ใช่เนื่องมาจากส่ิงเร้าสิง่ เดียวส่ิงเร้า น้ันๆก็คงจะ ทำให้เกิดการตอบสนองเช่นเดียวกันได้ถ้าได้แนวคิดของสกินเนอร์นัน้ นำมาใช้ในการสอนแบบ สําเร็จรูปหรือการ สอนแบบโปรแกรมสกินเนอรเ์ ปน็ ผ้คู ดิ บทเรยี นโปรแกรมเป็นคนแรก คาร์เพนเตร์ และเดล(C.R. Carpenter and Edgar Dale) ได้ประมวลหลักการและทฤษฎีเทคโนโลยี ทาง การศกึ ษาในลกั ษณะของการเรียนรู้ท่ีมปี ระสิทธภิ าพ คอื หลกั การจงู ใจ ส่อื เทคโนโลยที างการศกึ ษาจะมี พลงั จูงใจ ที่สำคัญในกิจกรรมการเรยี นการสอน เพราะเป็นสิ่งที่สามารถผลักดัน ส่งเสริมและเพิ่มพนู กระบวน การจูงใจที่มี อทิ ธิพลต่อพลงั ความสนใจความต้องการ ความปรารถนา และความคาดหวงั ของผู้เรียนท่ีจะศกึ ษา การพัฒนามโน ทัศน์ (Concept) ส่วนบุคคล วัสดกุ ารเรยี นการสอนจะชว่ ยส่งเสริมความคิดความเขา้ ใจแก่ ผู้เรียนแต่ละคน ดังนั้น การเลือก การผลิตและการใช้วัสดุการเรียนการสอน ควรจะต้องสมั พนั ธ์กบ ความสามารถของผู้สอน และผู้เรียน กระบวนการเลือกและการสอนด้วยสื่อเทคโนโลยี ความสมั พนั ธร์ ะหวา่ ง การปฏบิ ตั เิ กย่ี วกับสอื่ จะเป็นแบบลูกโซ่ใน กระบวนการเรียนการสอน การจัดระเบียบประสบการณ์เทคโนโลยี ทางการศึกษา ผู้เรียนจะเรียนได้ดีจากส่ือ เทคโนโลยีที่จัดระเบียบเป็นระบบการมีส่วนรวมและ การปฏิบัติ ผู้เรียนต้องการมีส่วนร่วมและการปฏิบัติด้วย ตนเองมากทีส่ ุด การฝึกซํ้าและการเปลี่ยนแปลงส่ิงเร้าบ่อยๆ อัตรา การเสนอสื่อ ในการเรียนการสอน อัตราหรือ ช่วงเวลาการเสนอข้อความรู้ต่างๆ จะต้องมีความสอดคล้องกับ ความสามารถอัตราการเรียนรู้และประสบการณ์ ของผู้เรียน ความชัดเจน ความสอดคล้อง และความเป็นผล การถ่ายโยงที่ดีโดยที่การเรียนรู้แบบเก่าไม่อาจ ถา่ ยทอดไปสู่การเรียนรู้ใหมไ่ ดอ้ ย่างอัตโนมัติ จงึ ควรจะต้องสอน แบบถ่ายโยงเพราะผู้เรยี นต้องการแนะนําในการ ปฏิบัติ และเจตคติทด่ี ตี อ่ การเรยี นรูน้ นั้ ท่ีเป็นประโยชนต์ อ่ การ นําไปใช้ในสถานการณจ์ รงิ การใหร้ ้ผู ลการเรียนรู้จะ ดีขึน้ สว่ นบูเกสสกี (Bugelski) ไดส้ นบั สนนุ ว่า การเรียนร้จู ะเป็นผลจากการกระทำของผู้เรยี นไมใ่ ช่ กระบวนการ ถ่ายทอดของผู้สอน เพือ่ ผเู้ รยี นจะได้เชอ่ื มโยงความรู้ใหมไ่ ด้สะดวกซึ่งหมายถึงว่า เทคโนโลยี ทางการศึกษาจะเป็น ตัวการประสานความร้โู ดยตรงแกผ่ ู้เรียน หลักการและทฤษฎีที่เกี่ยวกับนวัตกรรมและเทคโนโลยีทางการศึกษายังต้องอาศัยวิธีการที่สำคัญ คือ วิธีการเชิงมนุษยวิทยา (Humunistic Approach) ได้แก่ การที่ครูให้ความสนใจต่อการพัฒนาในด้านความ เจริญเติบโตของผู้เรียนแต่ละคนวิธีการสอนเชิงระบบ (Systematic Approach) ได้แก่ การจัดการเรียนการ สอน
634143034 นางสาวอาภาศิริ แจ่มใส สาขาคณติ ศาสตร์ ชัน้ ปีที่ 3 หมู่ที่ 1 โดยอาศัยวิธีระบบทั้งเพราะการเรียนการสอนเป็นการถ่ายทอดศิลปะ วัฒนธรรม ความรับผิดชอบต่อ สังคมใน ลักษณะของการเขา้ ใจเน้ือหาวิชาจิตวิทยาการเรยี นรู้ 2.1.1.2 กลมุ่ ความรู้ (Cognitive) ทฤษฎีภาคสนาม เช่นของไดเลอร์ (cognitive Field Theory )เน้นความสำคัญของส่วนรวม ดังน้ัน แนวคดิ ของการสอนซง่ึ มุ่งใหผ้ ู้เรียนมองเหน็ สว่ นรวมกอ่ นโดยเน้นเรยี นจากประสบการณ์ ความหมายกลุ่มปญั ญานยิ ม ปัญญา นิยมหรือกลุ่มความรู้ความเข้าใจ หรือบางครั้งอาจเรียกวากลุ่มพุทธินิยมเป็นกลุ่มที่เน้น กระบวนการทางปัญญาหรือความคิด นักคิดกลุ่มนี้ ได้ขยายขอบเขตของความคิดที่เน้นทางด้านพฤติกรรม ออก ไปสู่กระบวนการทางความคิด ซ่ึงเปน็ กระบวนการภายในสมอง นกั คดิ กลมุ่ น้ีเช่ือวา่ การเรียนรู้ของมนษุ ย์ ไม่ใช่เรื่อง ของพฤตกิ รรมทีเ่ กิด จากกระบวนการตอบสนองต่อสิ่งเร้าเพียงเท่านั้น การเรียนรู้ของมนุษย์มีความซับซ้อนยิ่งไปกว่าน้ัน การ เรยี นรเู้ ปน็ กระบวนการทางความคดิ ที่เกดิ จากการสะสมข้อมูล การสร้างความหมาย และความสัมพนั ธข์ อง ข้อมูล และการดึงข้อมูลออกมาใช้ในการกระทำและการแก้ปัญหาต่างๆ การเรียนรู้เปน็ กระบวนการทาง สติปัญญาของ มนุษย์ในการทจ่ี ะสรา้ งความรู้ความ เข้าใจใหแ้ กต่ นเอง ทฤษฎีปัญญานิยมนี้ เกิดขึ้นจากแนวคิดของชอมสก้ี (Chomsky) ที่ไม่เห็น ด้วยกับสกิน เนอร์ (Skinner)บิดา ของทฤษฎีพฤติกรรมนิยม ในการมองพฤติกรรมมนุษย์มนุษย์ไว้วา เป็นเสมือนการทดลอง ทาง วทิ ยาศาสตร์ ชอมสกี้เชอ่ื วา พฤติกรรมมนุษย์น้ันเปน็ เรอ่ื งของภายในจิตใจ มนษุ ยไ์ มใ่ ช่ผ้าขาวท่เี ม่ือใสส่ ี อะไรลงไป ก็จะกลายเป็นสีนั้น มนุษย์มีความนึกคิด มีอารมณ์จิตใจและความรู้สึกภายในที่แตกต่างกนออกไป ดังนั้นการ ออกแบบการเรยี นการสอนก็ควรทจี่ ะคำนึงถงึ ความแตกตา่ งภายในของมนษุ ย์ด้วย 2.2 ทฤษฎีความแตกตา่ งระหว่างบุคคล ได้รับการพัฒนามาจากแนวความคิดเรื่องสิ่งเร้าและการตอบสนอง (Stimulus-Response) หรือ ทฤษฎี เอส-อาร์(S-R theory) ของกาเย่ และนํามาประยุกต์ใช้อธิบายว่า บุคคลมีความแตกต่างกันหลาย ประการ เช่น บคุ ลิกภาพ ทัศนคติ สติปัญญา และความสนใจ เปน็ ต้น ความแตกต่างนี้ยังขึ้นอยู่กับสภาพทางสังคมและวัฒนธรรมทำให้มีพฤติกรรมการสื่อสารและการเลือก เปิดรบั สารท่ีแตกต่างกัน ไดแ้ ก่ 1) มนุษย์เรามีความแตกต่างกันมากในองค์ประกอบทางจติ วทิ ยาส่วนบุคคล 2) ความแตกตา่ งนีบ้ างสว่ นมาจากลักษณะแตกต่างทางชีวภาค หรือทางรา่ งกายของแต่ละบุคคล แต่ ส่วน ใหญ่แล้วจะมาจากความแตกต่างที่เกดิ จากการเรยี นรู้
634143034 นางสาวอาภาศริ ิ แจ่มใส สาขาคณติ ศาสตร์ ชน้ั ปีที่ 3 หมู่ท่ี 1 3) มนษุ ย์ซ่ึงถกู ชบุ เล้ียงภายใตส้ ภาพการณ์ตา่ งๆ จะเปิดรับความคดิ เห็นแตกตา่ งกันไป 4) การเรียนรู้สิ่งแวดล้อมทำให้เกิดทัศนคติ ค่านิยม และความเชื่อที่รวมเป็นลักษณะทางจิตวิทยาส่วน บุคคลทีแ่ ตกต่างกันไป 2.3 ทฤษฎกี ารพฒั นาการ ประกอบดว้ ย ทฤษฎขี องเพียเจต์ บรนู เนอร์ อริ คิ สนั กเี ซล ทฤษฎพี ัฒนาการของกีเซล (Gesell’s Theory of Development) ได้อธบิ ายว่า พฤตกิ รรมของบุคคล จะ ขึ้นอยู่กับพัฒนาการ ซึ่งจะเป็นไปตามธรรมชาติ และเมื่อถึงวัยก็จะสามารถ กระทำพฤติกรรมต่างๆ ได้เอง ไม่ จำเป็นต้องฝึก หรือเร่งเมื่อยังไม่พร้อมในการจัดการเรียนการสอน ผู้สอนจะต้องคํานึงความพรอ้ ม ความสามารถ ความสนใจ และความตองการของผูเ้ รียน ทฤษฎีพัฒนาการของเพียเจต์ (Piaget’s Theory of Development) ได้อธิบายว่าการ พัฒนาการ สต ปัญญาและความคิดของผู้เรียนนั้นเกิดจากการปรับตัวกับสิ่งแวดล้อม และผู้สอนควรจะต้องจัด สภาพแวดล้อม ทางการเรยี นการสอนให้สอดคล้องกับความพรอ้ มของผูเ้ รยี นดว้ ย ทฤษฎีพัฒนาการของบรูเนอร์ (Bruner’s Theory of Development) ได้อธิบายการ ความพร้อม ของ เด็กสามารถจะปรับได้ซง่ึ สามารถจะเสนอเน้อื หาหาใดๆ แกเ่ ด็กในอายเุ ท่าใดก็ไดแ้ ต่จะตอ้ งร้จู ักการตดั เนื้อหาและ วธิ ีการสอนทเ่ี หมาะสมกบั พฒั นาการของเด็กเหล่านน้ั ดังน้ันผู้สอนจึงจําเปน็ จะต้องเขา้ ใจเด็ก และ ร้จู ักกระตุ้นโดย การจัดสภาพการเรียนการสอนใหเ้ หมาะสมกบั ความต้องการของเด็กดว้ ย ทฤษฎพี ฒั นาการของอรี ิคสัน (Erikson’s Theory of Development ) ได้อธบิ ายวา่ การพัฒนาการ ทาง บคุ ลกิ ภาพย่อมขน้ึ อย่กู บั การปฏิสัมพนั ธ์ระหว่างอนิ ทรยี ก์ ับสภาพสงั คมที่มีอิทธิพลมาเปน็ ลำดับขั้นของการ พัฒนา และจะสบื เนอื่ งต่อๆ ไปเดก็ ท่มี ีสภาพสงั คมมาดี กจ็ ะมีผลต่อการพัฒนาบุคลิกภาพท่ีดีดงั นัน้ ผูส้ อนควร จะตอ้ งสร้าง สมั พนั ธภาพกบั ผู้เรียน ใหค้ วามสนใจเพือ่ ชวยแกป้ ญั หาค่านยิ มบางประการ หลักการและทฤษฎีทางจิตวทิ ยาทีส่ ำคัญ จิตวทิ ยาท่เี ก่ียวข้อี งกับการศกึ ษาและการเรียนการสอนโดยตรงได้แก่ 1. จิตวิทยาพัฒนาการ (Developmental psychology) จะกล่าวถึงพัฒนาของบุคคลแต่ละวัยใน ด้าน ตา่ งๆ หรือความพรอ้ มของผู้เรยี น ซึ่งชว่ ยในการจัดการเรยี น การอบรมสงั่ สอนมคี วามสอดคลอ้ งกบั ธรรมชาติของ ผู้เรียนย่ิงขึ้น 2. จติ วทิ ยาทวี่ า่ ดว้ ยความแตกตา่ งระหวา่ งบุคคล (Psychology of individual Differences) จะ กล่าวถงึ ความแตกต่างของบุคคลในด้านต่างๆ และธรรมชาติของบุคคลที่จักต้องยอมรับลักษณะเช่นนี้เพื่อที่จะ ชวยจัด การศกึ ษาใหด้ ีทส่ี ดุ สำหรับผเู้ รียนทกุ ๆ คน
634143034 นางสาวอาภาศิริ แจม่ ใส สาขาคณติ ศาสตร์ ช้นั ปีท่ี 3 หมู่ท่ี 1 3. จิตวิทยาการเรียนรู้ (Psychology of learning) จะกล่าวถึง สภาพการณ์เรียนรู้ และกระบวนการ เรียนรู้ของคนเรา ซึ่งจะอธิบายโดยทฤษฎีการตอบสนองต่อสิ่งเร้า (S-R Theory) ลักษณะหนึ่งและอธิบายโดย ทฤษฎีความรู้ (Cognitive Theory) หรือ Cognitive-field Theory) ซ่ึงจะช่วยในดา้ นการสอนโดยตรง 4. จิตวิทยาบุคลิกภาพ (Psychology of Personality) จะกล่าวถึงพฤติกรรมการเรียนรู้ และ แรงจูงใจท่ี ปฏิสมั พันธก์ นั ซึง่ จะชวยใหผ้ ู้สอนเขา้ ใจพฤตกิ รรมของผู้เรยี นดีขน้ึ 5. จติ วทิ ยาสังคม (Social Psychology) จะกลา่ วถงึ คณุ คา่ จรยิ ธรรม และการรวมกลุม่ ของบุคคล รวมทง้ั อทิ ธิพลของกลุม่ และสภาพแวดลอ้ ม ซึ่งจะช่วยใหผ้ ู้สอนสามารถใชก้ ระบวนการกลุ่มในการเรยี นการ สอน และการ ปรบั สภาพการเรียนการสอนให้สอดคลอ้ งกับสังคม 2.2 ความรู้ด้านเนือ้ หาวชิ าคณิตศาสตร์ ปัจจุบันการจัดการเรียนรู้คณิตศาสตร์ในปจั จุบันของประเทศไทยเรา ยังไมป่ ระสบความสำเร็จ เท่าท่คี วร เม่ือเรามองย้อนหลงั และลองพิจารณาผลของการประเมินผลสมั ฤทธทิ์ างการเรยี นภาพรวม ระดบั ประเทศ (NT) ปี การศึกษา 2549 ของสำนักงานการศึกษาขั้นพื้นฐาน พบว่า คะแนนเฉลี่ยวิชา คณิตศาสตร์ของนักเรียนช้ัน ประถมศึกษาปีที่ 6 ค่อนข้างต่ำได้คะแนนเฉลี่ยเท่ากับ 15.55 คะแนน จากคะแนน เต็ม 40 คะแนน และเมื่อ จําแนกคะแนนเป็นด้านโครงสร้างความรู้ และทักษะเฉพาะวิชา พบว่า ในส่วนของ โครงสร้างความรู้ ได้คะแนน เฉลีย่ 8.36 คะแนน จากคะแนนเตม็ 19 คะแนน ในส่วนของทกั ษะเฉพาะวิชาได้ คะแนนเฉลี่ย 7.18 คะแนน จาก คะแนนเต็ม 21 คะแนน นอกจากนี้ผลการทดสอบระดับชาติขั้นพื้นฐาน (O– NET) ปีการศึกษา 2550 พบว่า ใน วิชาคณิตศาสตร์ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ได้คะแนนเฉลี่ยร้อยละ 47.54 จะเห็นว่าผลสัมฤทธิ์ทางการ เรียนคณิตศาสตร์ของนักเรียนไทยต่ำกว่าเกณฑ์มาตรฐานทั้งสองปี การศึกษา ซึ่งเป็นปัญหาที่น่าหนักใจสำหรับ ครูผู้สอนคณิตศาสตร์ที่จะต้องหาวิธีการจัดการเรยี นรู้ที่สามารถ ส่งเสริมประสิทธิภาพการเรียนรูข้ องนักเรียนได้ อย่างแท้จรงิ สาขาวิจัย สสวท. จึงได้ทำการวิจัยและพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ในปีงบประมาณ 2551 โดยดำเนินการวิเคราะห์ปัญหาและระดมพลังสมองจากครูที่มีประสบการณ์และเชี่ยวชาญในการสอน คณิตศาสตร์ระดับประถมศึกษา พบว่า เนื้อหาในวิชาคณิตศาสตร์เรื่องที่นักเรียนไม่เข้าใจ คือ เรื่อง เศษส่วน จึง พัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ เรื่อง เศษส่วน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 เพื่อใช้ เป็นแนวทางในการจัดการเรยี นรู้คณติ ศาสตรใ์ ห้มีประสิทธิภาพและเกิดประโยชน์สูงสุดในการเรียนรู้ของ นักเรียน โดยใช้วธิ กี ารจัดการเรยี นรู้แบบมีส่วนร่วม และเกมค้นคว้าหาดาวเพือ่ เตรียมความพร้อมในการเรยี นรู้ และส่งเสริม ใหน้ ักเรยี นมคี วามรู้สกึ เชิงจำนวนทุกชั่วโมงการสอนฃ
634143034 นางสาวอาภาศิริ แจม่ ใส สาขาคณติ ศาสตร์ ชั้นปีที่ 3 หมู่ที่ 1 การเรียนรู้แบบมีส่วนร่วมอาศัยหลักการเรียนรู้ที่ยึดนักเรียนเป็นศูนย์กลาง โดยให้นักเรียนเป็นผู้สร้าง ความรู้ จากประสบการณเ์ ดิม การเรียนรู้แบบมีส่วนรว่ มมหี ลกั สำคัญ ดงั นี้ • เป็นการเรยี นร้ทู ่อี าศัยประสบการณ์ของนักเรยี น • เป็นการเรียนรทู้ ี่ทำให้เกดิ การเรยี นรใู้ หม่ๆ อยา่ งต่อเนือ่ ง และท้าทาย • มปี ฏิสมั พนั ธ์ระหวา่ งนกั เรียนกับนักเรียน และนกั เรยี นกับผู้สอน • ปฏสิ มั พันธ์ทีเ่ กิดขึน้ นาํ ไปส่กู ารขยายเครือขา่ ยความรขู้ องทุกคน ทั้งนักเรยี นและผู้สอน • เปน็ การเรยี นร้ทู อี่ าศยั การสื่อสารทกุ รูปแบบทน่ี าํ ไปสู่การแลกเปลีย่ นประสบการณ์ การสร้างความรู้ความ เข้าใจ การวิเคราะห์สังเคราะห์ที่นําไปสู่ข้อสรุป หรือองค์ความรู้ใหม่เช่น พูด เขียน วาดภาพ การแสดง บทบาทสมมติ ฯลฯ ในการจัดการเรยี นรูแ้ บบมีสว่ นร่วมน้นั เป็นการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนท่ียึดหลกั การมีส่วนร่วม ของ นักเรียน เพื่อช่วยให้นักเรียนเกิดการเรียนรู้สูงสุด เนื่องจากการมีส่วนร่วมสามารถกระตุ้นให้นักเรียนเกิด ความ กระตือรือร้น ความกระฉับกระเฉง และความตื่นตัวในการเรียนรู้รวมถึงความรู้สึกรับผิดชอบต่อการ เรียนรู้ของ ตนเอง และความสามารถในการเรียนรู้แบบนาํ ตนหากผู้สอนเปิดโอกาสใหน้ กั เรียนมีส่วนร่วมใน กจิ กรรมการเรียนรู้ ในทุกขน้ั ตอน ต้งั แต่ขน้ั การวางแผนการเรยี นรู้ขน้ั ทำกจิ กรรมการเรยี นรู้ และข้นั ประเมนิ ผล การเรยี นรู้ องคป์ ระกอบสำคัญของการเรียนรู้เชิงประสบการณ์ในการเรียนรู้แบบมีสว่ นร่วม มีอยู่ 4 องค์ประกอบ ดัง แผนภูมิที่ 1 และรายละเอยี ดตอ่ ไปนี้ องค์ประกอบที่ 1 ประสบการณ์ (Experience) เป็นการเรียนรู้จากการใช้ประสบการณ์ของนักเรียนมา แลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกัน การออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้ อาจจะต้องสํารวจประสบการณ์เดิมหรือสร้าง ประสบการณ์พื้นฐานของนักเรียนให้สัมพันธ์กับประสบการณ์ใหม่ หรือองค์ความรู้ใหม่ ดังนั้น ผู้สอนจะเป็นผู้ กระตนุ้ ใหน้ ักเรยี นนําประสบการณ์เดิมของนกั เรยี นมาพฒั นาเปน็ องคค์ วามรู้ใหม่ องค์ประกอบที่ 2 การสะท้อนความคิด (Reflection and Discussion) เป็นการเรียนรู้ร่วมกันเป็นกลุ่มท่ี ชว่ ย กระตุ้น หรือส่งเสริมนักเรียนได้แสดงออก หรือสะทอ้ นความคดิ โดยการอภปิ รายแลกเปลย่ี นความคดิ เห็นหรือ ความรู้สึกของตนกับสมาชิกในกลุ่มตามประเด็นของคําถามเชิงลึกที่กําหนดให้ การออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้ ควรกำหนดประเดน็ ของคําถามใหน้ ักเรียนแต่ละกลุ่มได้ใช้ความคดิ วิเคราะห์และสังเคราะห์จากความรู้ความ เข้าใจ ของนกั เรียนเองในฐานะสมาชกิ ของกล่มุ องคป์ ระกอบท่ี 3 การสรา้ งความเข้าใจและความคิดรวบยอด (Understand or Concept) เป็นการเรยี นรู้ จากแหลง่ เรยี นรู้ตา่ งๆ ทีส่ ัมพันธก์ บั สาระการเรยี นรูเ้ รอ่ื งนั้นๆ จนเกดิ ความร้คู วามเข้าใจที่หลากหลายของ นักเรียน แต่ละคนในกลมุ่ แล้วนาํ มาสงั เคราะห์ความรู้ความเขา้ ใจร่วมกันเป็นความคิดรวบยอด หรือองคค์ วามรู้ ใหม่ ดังนั้น
634143034 นางสาวอาภาศริ ิ แจม่ ใส สาขาคณติ ศาสตร์ ชนั้ ปที ่ี 3 หมู่ท่ี 1 ในการออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้ ควรให้นักเรียนได้เรียนรู้ด้วยตนเอง เรียนรู้รว่ มกันเป็นกลุ่ม หรือ เรียนรู้จาก ผูเ้ ช่ยี วชาญหรอื ผู้สอน จนเกิดความรูค้ วามเขา้ ใจและสังเคราะห์เปน็ ความคดิ รวบยอดหรือองค์ ความรู้ใหม่รว่ มกนั องค์ประกอบท่ี 4 การทดลองหรือประยุกต์แนวคิด (Experimentation or Application) เป็นการเรียนรู้ ที่ เกิดขึ้นจากการนําเอาความคิดรวบยอดหรือองค์ความรู้ใหม่ไปทดลองปฏิบัติ หรือประยุกต์นําไปใช้ใน สถานการณต์ ่างๆ ทีส่ มั พันธ์กับชวี ิตจริงของนกั เรยี นจนเกดิ เป็นแนวปฏิบัติของตนหรือในสถานการณ์ที่ส่งเสริม ให้ นักเรียนได้มีความชํานาญและความคิดสร้างสรรค์มากยิ่งขึ้น ดังนั้นการออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้ ควรให้ นักเรียนไดน้ าํ ประสบการณ์ใหม่หรือองค์ความรู้ใหมไ่ ปทดลองปฏิบัติหรือประยุกต์ใช้ในสถานการณ์ต่างๆ จน เกิด ความชาํ นาญ ความคดิ รเิ รมิ่ สรา้ งสรรค์ หรอื แนวปฏิบัติของตนเอง 2.3 ความรู้ทางด้านกระบวนการการเรียนการสอนคณิตศาสตร์ (ครูโกโยระทัย, 2555) ได้กล่าวไว้ว่า กระบวนการที่ใช้ในการเรียนการสอน กระบวนการคือ แนวทาง ดำเนินการเรือ่ งใดเรอื่ งหนึ่งอย่างมีลำดับขั้นตอนที่ต่อเน่ือง ต้งั แต่ตน้ จนแลว้ จบ โดยข้ันตอนดังกล่าวมีการทดลอง ใชแ้ ลว้ พบว่าชว่ ยให้การดาํ เนนิ งานมปี ระสิทธภิ าพ นาํ ไปสู่ความสำเร็จตามเป้าหมาย เชน่ 1. กระบวนการคณติ ศาสตร์ มี 2 กระบวนการยอ่ ย คอื 1.1 กระบวนการสรา้ งทักษะคํานวณ ประกอบดว้ ย 1) ตรวจสอบความคิดรวบยอด เป็นขน้ั ใหน้ ักเรียนได้เข้าใจเกีย่ วกบั เคร่ืองหมาย สัญลักษณ์ศัพท์ สจั พจน์ หรอื นยิ ามต่างๆ ท่เี กีย่ วข้องกบั กฎ สตู ร หรือทฤษฎที ีจ่ ะสอน 2) สรปุ เป็นกฎ สตู ร หรือทฤษฎบี ท เปน็ การใหน้ ักเรียนสรปุ กฎ สตู ร หรือทฤษฎตี ่างๆ 3) ฝึกการใช้กฎ สตู ร หรือทฤษฎีบท เปน็ การนํากฎ สูตร หรือทฤษฎีไปใช้แกป้ ญั หา 4) ปรับปรงุ แก้ไข เป็นการตรวจสอบคําตอบหรือหาข้อบกพร่องในแต่ละข้นั ตอนของการฝึก เพื่อ ปรบั ปรงุ ให้ดขี ึน้ 2.2 กระบวนการแกโ้ จทย์ปญั หา ประกอบดว้ ย 1) วิเคราะห์โจทย์เป็นการวเิ คราะหเ์ พื่อให้ทราบวา่ โจทย์กำหนดอะไรให้บ้าง โจทยถ์ ามหาอะไร 2) กำหนดข้ันตอนการปฏิบตั ิเปน็ การวางแผนเพื่อจะหาคาํ ตอบนั้นเปน็ ลำดับข้ันตอน 3) ลงมือปฏิบตั ิเปน็ การปฏบิ ตั ิตามข้นั ตอนทีไ่ ด้วางแผนไว้ในขัน้ ที่ 2 4) ตรวจสอบคําตอบ เปน็ ขั้นให้นกั เรียนได้ตรวจสอบความถูกตอ้ งของคาํ ตอบและปรับปรุงแก้ไข 2. กระบวนการสรา้ งความคดิ รวบยอด ประกอบด้วย 1. สังเกต เปน็ ข้ันท่คี รูเสนอตัวอยา่ งต่างๆ ทง้ั ทเี่ ป็นลักษณะของความคดิ รวบยอดนัน้ และไมใ่ ช่
634143034 นางสาวอาภาศิริ แจม่ ใส สาขาคณติ ศาสตร์ ช้ันปีท่ี 3 หมู่ที่ 1 2. จําแนกความแตกต่างและหาลักษณะร่วม เป็นการให้นักเรียนระบุว่า จากตัวอย่างที่ยกมา ทั้งหลายน้ัน มีอะไรบา้ งที่เปน็ ส่ิงทีแ่ ตกตา่ งกนั และอะไรบา้ งทเี่ ปน็ สงิ่ ที่เหมือนกนั 3. ระบุความคิดรวบยอด เป็นการให้นักเรียนสรุปภาพรวมเก่ียวกับความเหมือนเหล่านั้น เป็น วธิ กี าร หลกั การของความคดิ รวบยอด หรอื อธบิ ายเกย่ี วกบั ความคดิ รวบยอดนนั้ ๆ 4. ทดสอบและนาํ ไปใช้เป็นการอธบิ ายเกี่ยวกับความคดิ รวบยอดน้ันอีกครัง้ แลว้ จึงนาํ ไปใชต้ อ่ ไป 3. กระบวนการเรียนความรู้ความเขา้ ใจ ประกอบดว้ ย 1. สังเกตตระหนัก เป็นขั้นให้นักเรียนเล็งเห็นความสำคัญ ความจําเป็นของสิ่งที่จะเรียน และ กำหนด เป้าหมายในการแสวงหาคําตอบจากขอ้ มลู หรือปญั หาทค่ี รกู ําหนดให้ 2. วางแผนปฏิบตั ิเปน็ การวางแผนปฏิบัตเิ พ่อื หาคาํ ตอบในสิง่ ท่ีครูกำหนด 3. ลงมือปฏบิ ตั ิเป็นการปฏบิ ตั ิตามแนวทางหรอื วธิ กี ารที่ไดว้ างแผนไว้ หรอื ตามทไี่ ดร้ บั มอบหมาย เช่น การไปศกึ ษาค้นควา้ การสัมภาษณ์ ฯลฯ 4. พัฒนาความรู้ความเข้าใจ เป็นการนําความรู้ที่ได้มารายงาน อภิปรายเชิงแปลความ ตีความ ขยาย ความ วิเคราะห์ หรือสังเคราะห์ เพอ่ื ใหเ้ กิดความเขา้ ใจแจม่ แจ้งย่งิ ข้ึน 5. สรปุ เปน็ การสรุปสาระสำคัญท่ีควรรู้ หรือเป็นคาํ ตอบของคาํ ถามที่เราต้องการแล้วจดบนั ทกึ ไว 4. กระบวนการตระหนกั /สรา้ งเจตคติ ประกอบด้วย 1. สังเกต เป็นขั้นเสนอข้อมูลต่างๆ แก่ผู้เรียน เพื่อกระตุ้นให้ตระหนักในสิ่งที่จะเรียน เช่น ใช้ คาํ ถาม รปู ภาพ ยกตัวอยา่ งเหตุการณ์ เปน็ ตน้ 2. วเิ คราะหว์ ิจารณเ์ ปน็ การกระตุน้ ให้ผู้เรียนได้มีการอภิปรายจากข้อมูล เหตุการณ์ สถานการณ์ นาํ เสนอ 3. สรปุ เปน็ การสรุปแนวคดิ หลกั การ การกระทำ แนวปฏิบัติท่นี ่าจะยดึ ถือ ด้วยเหตผุ ล 5. กระบวนการปฏบิ ัติ ประกอบด้วย 1. สงั เกตรบั รู้เปน็ ข้นั ให้ผู้เรียนไดร้ ู้จักกบั เครอ่ื งมอื หรืออุปกรณ์ ข้ันตอนการปฏิบตั ิ วิธีปฏิบัติ ข้อ ควร ระวัง ความสำคัญของสง่ิ ที่จะเรยี นหรือปฏิบตั ิ 2. ทำตามแบบ เป็นขั้นให้นักเรียนปฏิบัติตามครู หรือทำตามแบบ เช่น ตัวอย่าง เทป วิดีโอ ขั้นตอนหรือ วิธีการ 3. ทำเองโดยไม่มีแบบ เป็นการให้นักเรียนฝึกปฏิบัติด้วยตนเอง ตั้งแต่ต้นจนครบกระบวนการ ทำงาน ครู เปน็ เพียง ผ้คู อยช้แี นะ
634143034 นางสาวอาภาศริ ิ แจ่มใส สาขาคณติ ศาสตร์ ช้ันปีที่ 3 หมู่ที่ 1 6. กระบวนการ 9 ขนั้ ประกอบดว้ ย 1. ตระหนักในปัญหาและความจําเป็น เป็นขั้นที่ครูเสนอข้อมูลต่างๆ เพื่อกระตุ้นให้ผู้เรียนได้ เลง็ เห็น ปัญหาและความสำคญั ของส่ิงทจี่ ะเรยี น 2. คิดวิเคราะห์วิจารณ์เป็นขั้นการกระตุ้นให้ผู้เรียนได้มีการวิเคราะห์วิจารณ์ระบุองค์ประกอบ ย่อย ๆ ของการทำงาน หรอื สาเหตตุ ่างๆ ของปัญหา 3. สรา้ งทางเลือกหลายหลาก เปน็ ขั้นให้นักเรียนคน้ หาวิธกี ารทำงานตามองค์ประกอบยอ่ ย ๆ ใน ขน้ั ท่ี 2 หรอื คิดหาวธิ แี ก้ปัญหาในแต่ละสาเหตอุ ย่างหลายหลาก 4. ประเมนิ และเลอื กทางเลอื ก เป็นข้นั ที่นกั เรียนมีการประเมนิ และเลอื กวธิ ีการท่คี ดิ ว่าเหมาะสม และดี ที่สดุ ในการทำงานนนั้ ๆ หรือในการแกป้ ัญหานั้นๆ 5. กำหนดและลำดับขั้นตอนปฏิบัติเป็นขั้นให้นักเรียนวางแผนการทำงาน หรือแก้ปัญหาตาม วธิ ีการท่ี เลือกไว้ 6. ปฏบิ ัติดว้ ยความชน่ื ชม เปน็ ข้นั ทน่ี กั เรียนลงมือปฏบิ ัตติ ามขั้นตอนตา่ งๆ ท่วี างไว้ 7. ประเมินระหว่างปฏิบัติเป็นขั้นให้นักเรียนบันทึกผลการทำงาน หรือการแก้ปัญหาในแต่ละ ขน้ั ตอน พร้อมทงั้ มกี ารตรวจสอบความถูกต้อง หรอื ความเหมาะสมดว้ ย 8. ปรับปรุงให้ดีขึ้นอยู่เสมอ จากขั้นที่ 7 เมื่อพบว่าการดําเนินงานขั้นตอนไหนบกพร่องก็ให้รบี ปรับปรงุ แก้ไขใหด้ ขี ึ้น 9. ประเมินผลรวมเพื่อเกิดความภูมิใจ เป็นขั้นให้นักเรียนสรุปผลการทำงาน หรือการแกป้ ัญหา ทงั้ หมด แล้วนาํ เสนอผลงานนัน้ 7. กระบวนการสอนเพื่อการสื่อสาร เป็นขั้นตอนของการสอนภาษา เช่น ภาษาไทย ภาษาอังกฤษ ประกอบดว้ ย 1. นําเข้าส่บู ทเรยี น (Warm up) เป็นขั้นกระตุ้นหรอื จูงใจใหผ้ ู้เรยี นเกิดความสนใจ ความตอ้ งการ เล็งเห็น ความสำคัญและประโยชน์ในสิง่ ทีจ่ ะเรยี นน้ัน 2. ข้ันนาํ เสนอบทเรียน (Presentation) เปน็ ข้นั ให้นกั เรียนไดร้ ู้จกั และทำความเข้าใจในสิ่งที่จะ เรียน เช่น ความหมายของคํากลุ่มคํา ประโยค ถ้อยคําสํานวน สัญลักษณ์ รูปภาพ เครื่องหมาย ความหมายของ แบบฟอร์ม องค์ประกอบหรือหลักการตา่ งๆ เปน็ ตน้ 3. ขั้นฝึก (Practice) เป็นขั้นฝึกปฏิบัติงานต่างๆ ทางภาษา ให้เกิดความชํานาญ ถูกต้องและ แม่นยาํ เชน่ ฝึกทกั ษะการพดู การฟงั การอา่ น หรือการเขียนเกี่ยวกับส่งิ ทคี่ รกู ําหนดให้
634143034 นางสาวอาภาศิริ แจ่มใส สาขาคณติ ศาสตร์ ช้ันปีที่ 3 หมู่ที่ 1 4. การใช้ภาษาเพื่อการสื่อสาร (Production) เป็นการนําเอาความรู้จากสิ่งที่ได้เรียนไปใช้ ประโยชน์ อย่างกว้างขวางย่ิงข้ึน เช่น จัดแสดงผลงาน รายงานผลงาน ตรวจผลงานของคนอ่ืน ใช้ในการ ตดิ ต่อสอื่ สารกบั บคุ คลอน่ื หรือประยุกต์ใช้ใหเ้ หมาะสมกบั สภาพการณ์ต่างๆ เปน็ ต้น ในการจัดการเรียนการสอนคณิตศาสตร์เพื่อให้นักเรียนประสบผลสำเร็จได้นั้น ไม่เพียงแต่ ครูผู้สอนจะ มีความความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับเนื้อหาและวิธีสอนอย่างดียิ่งเท่านั้น ครูผู้สอนจะต้องมี ความรู้เกีย่ วกับ หลักการสอนเปน็ อยา่ งดีดว้ ย เพอ่ื จะช่วยให้การสอนมีประสิทธิภาพยง่ิ ขึ้น มีนักการศึกษา ไดใ้ หห้ ลักการหรือ แนวทางในการสอนคณิตศาสตรห์ ลายทรรศนะด้วยกัน ดังนี้ (บุญทัน อยูช่ มบุญ,2529) ได้กลา่ วถึงหลักการสอนคณติ ศาสตร์ ดงั น้ี 1. สอนโดยคำนึงถึงความพร้อมของนักเรียน คือ พร้อมในด้านร่างกาย อารมณ์ สติ ปญั ญา และ พร้อมในแง่ความร้พู ้ืนฐานที่จะมาต่อเน่อื งกับความรู้ใหม่ โดยครูต้องมีการทบทวนความรู้เดิมก่อน เพ่ือให้ ประสบการณ์เดิมกับประสบการณ์ใหม่ต่อเนื่องกัน จะช่วยให้นักเรียนเกิดความเข้าใจและมองเห็น ความสมั พนั ธข์ องสิ่งทีเ่ รียนได้ดี 2. การจัดกิจกรรมการสอนต้องใหเ้ หมาะสมกบั วยั ความต้องการ ความสนใจ และ ความสามารถ ของนักเรียนเพื่อมใิ หเ้ กดิ ปญั หาตามมาภายหลงั 3. ควรคำนึงถงึ ความแตกต่างระหว่างบุคคล โดยเฉพาะวิชาคณติ ศาสตรเ์ ปน็ วชิ าท่ีครู จำเปน็ ต้อง คำนึงถึงให้มากกว่าวชิ าอ่ืน ๆ ในแงค่ วามสามารถทางสติปัญญา 4. ควรเตรียมความพร้อมทางคณิตศาสตร์ ใหน้ กั เรียนเปน็ รายบุคคล หรอื รายกลุ่มกอ่ น เพื่อเป็น พน้ื ฐานในการเรยี นรู้ จะชว่ ยใหน้ ักเรียนมีความพร้อมตามวัย และความสามารถของแต่ละคน 5. วชิ าคณติ ศาสตรเ์ ปน็ วิชาที่มีระบบท่ีจะต้องเรยี นไปตามลำดับขั้น การสอนเพือ่ สร้าง ความคิด ความเขา้ ใจ ในระยะเรม่ิ แรกจะต้องเปน็ ประสบการณ์ท่ีง่าย ๆ ไมซ่ ับซ้อน สงิ่ ท่ไี มเ่ กย่ี วข้องและทำให้ เกิด ความสบั สน จะตอ้ งไม่นําเข้ามาในกระบวนการเรยี นการสอน การสอนจะเปน็ ไปตามลำดบั ขั้นตอนทว่ี างไว้ 6. การสอนแตล่ ะครง้ั จะต้องมจี ดุ ประสงค์ท่แี น่นอนว่า จดั กิจกรรมเพอ่ื สนองจุดประสงค์อะไร 7. เวลาทใี่ ชส้ อน ควรใช้ระยะเวลาพอสมควรไมน่ านจนเกนิ ไป 8. ครคู วรจัดกิจกรรมการเรียนการสอนที่มีการยดื หยุ่นใหน้ กั เรียนได้มีโอกาสเลือกทำกิจกรรมได้ ตามความพอใจ ตามความถนัดของตน และใหอ้ ิสระในการทำงานแกน่ กั เรยี น สง่ิ สำคัญประการ หน่ึง คือ การปลูกฝังเจตคติที่ดีแก่นักเรียนในการเรียนคณิตศาสตร์ ถ้าเกิดมีขึ้น จะช่วยให้ นักเรียนพอใจในการ เรยี นวชิ านี้ เหน็ ประโยชนแ์ ละคุณค่าย่อมจะสนใจมากขนึ้
634143034 นางสาวอาภาศริ ิ แจม่ ใส สาขาคณติ ศาสตร์ ช้ันปีที่ 3 หมู่ท่ี 1 9. การสอนที่ดคี วรเปิดโอกาสใหน้ ักเรียนมีการวางแผนร่วมกับครู เพราะจะชว่ ยให้ครู เกิดความ มนั่ ใจในการสอน และเปน็ ไปตามความพอใจของนกั เรยี น 10. การสอนคณิตศาสตร์ควรให้นักเรียนมโี อกาสทำงานร่วมกันหรอื มีส่วนร่วมเป็นการ ค้นควา้ สรปุ กฎเกณฑต์ ่าง ๆ ด้วยตนเองรว่ มกบั เพอ่ื น ๆ 11. การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนควรสนุกสนานบันเทิงไปพร้อมกับการเรียนรู้ด้วย จึงจะ สรา้ งบรรยากาศท่ีน่าติดตามใหแ้ กน่ กั เรียน 12. นักเรียนจะเรียนได้ดีเมื่อเริ่มเรียนโดยครูใช้ของจริง อุปกรณ์ ซึ่งเป็นรูปธรรม นําไปสู่ นามธรรม ตามลำดบั จะช่วยให้นกั เรยี นเรียนรูด้ ว้ ยความเข้าใจ มใิ ชจ่ ำดงั เช่นการสอนในอดตี ที่ผา่ นมา ทำ ให้เหน็ วา่ วิชาคณิตศาสตร์เปน็ วชิ าที่งา่ ยตอ่ การเรยี นรู้ 13. การประเมินผลการเรียนการสอนเป็นกระบวนการต่อเน่ืองและเป็นส่วนหนึ่งของ การเรียน การสอน ครอู าจใชว้ ธิ ีการสงั เกต การตรวจแบบฝกึ หัด การสอบถามเป็นเครอื่ งมอื ในการ วดั ผล จะ ชว่ ยให้ ครทู ราบขอ้ บกพรอ่ งของนกั เรียนและการสอนของตน 14. ไม่ควรจํากัดวิธีคํานวณหาคําตอบของนักเรียน แต่ควรแนะนําวิธีคิดทีร่ วดเรว็ และ แม่นยํา ภายหลัง 15. ฝึกให้นักเรยี นรจู้ ักตรวจเชค็ คําตอบดว้ ยตวั เอง (ประสิทธิ์ ม่ิงมงคล และศกั ดา บญุ โต, 2525: 36-44) ไดก้ ล่าวถงึ หลกั การสอนคณิตศาสตรไ์ ว้ดังนี้ 1. การสอนคณิตศาสตร์ให้เหมือนรูปแบบของศิลปะอย่างหนึ่ง การสอนลักษณะนี้เน้นให้ นกั เรยี นซาบซง้ึ และสามารถแสดงออกถึงความสำเรจ็ ในทางคณิตศาสตร์ด้วยภาษาคณติ ศาสตรท์ ่ีเหมาะสม และ รดั กมุ 2. การสอนคณิตศาสตร์ให้เหมือนกบั เล่นเกมอย่างหนึง่ การสอนลกั ษณะนี้ผู้สอนเน้นให้ นักเรียน รจู้ ักกฎเกณฑต์ ่าง ๆ คลา้ ยกับการเลน่ เกมแต่ละอย่างจะตอ้ งมขี ้อตกลงเบ้อื งตน้ ในการปฏิบัตติ า่ ง ๆ 3. การสอนคณิตศาสตร์ให้เหมอื นกับเปน็ สาขาหนึ่งของวิชาวิทยาศาสตร์ การสอน ลักษณะนี้ยึด ระเบียบทางวิทยาศาสตรเ์ ปน็ หลัก โดยมกี ารตั้งสมมตฐิ าน ตรวจสอบสมมติฐาน แล้วสรุปเป็น กฎเกณฑ์ 4. การสอนคณิตศาสตร์ให้เหมือนกับแนวทางไปสู่เทคโนโลยีต่าง ๆ การสอนลักษณะน้ี เป็นการ สอนโดยใช้แผนภูมิสายงาน ซึ่งทำให้นักเรียนสามารถนําไปใช้ประโยชน์ได้อย่างกว้างขวางทั้งในส่วน คณติ ศาสตร์ และในส่วนของวทิ ยาการสาขาตา่ ง ๆ
634143034 นางสาวอาภาศริ ิ แจม่ ใส สาขาคณติ ศาสตร์ ช้นั ปีที่ 3 หมู่ที่ 1 สรปุ ได้วา่ การสอนคณิตศาสตร์ ควรเร่มิ สอนจากเรื่องงา่ ยไปสเู่ รื่องยาก ควรเชอ่ื มโยงประสบการณเ์ ดมิ กบั ประสบการณ์ใหม่เข้าด้วยกัน สอนโดยใช้สื่อที่เป็นรูปธรรมมากกว่านามธรรม เริ่มจากของจริง ไปสู่ สัญลักษณ์ การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนเน้นให้นักเรียนได้ลงมือปฏิบัติจริง เพื่อให้นักเรียนเกิด ความคิด สร้างสรรค์ ตามกระบวนการเรยี นร
634143034 นางสาวอาภาศริ ิ แจม่ ใส สาขาคณติ ศาสตร์ ชนั้ ปที ่ี 3 หมู่ท่ี 1 อา้ งองิ ธมลวรรณ มเี หมย.(2553). เจตคตทิ ีด่ ีต่อวชิ าชพี ครู .เข้าถงึ ได้จาก : https://www.google.com/search?q.authuser=1&source=hp&ei=PxT5YJryG9X4hwOxwI6YCQ&ifl sig=. [ออนไลน]์ . สบื คน้ เม่อื วนั ที่ 24 กรกฎาคม 2565. ดเิ รก พรสีมา และคณะ.(2543). การสรา้ งความศรทั ธาและเจตคตทิ ี่ดีตอ่ วิชาชีพครู .เขา้ ถึงไดจ้ าก : https://sites.google.com/site/orathaieducation/home/kar-srang-khwam-sraththa-laea-cetkhti-thi- di-tx-wichachiph-khru.[ออนไลน์].สบื ค้นเม่ือวันที่ 24 กรกฎาคม 2565. บุญทัน อยชู่ มบุญ.(2529). หลกั การสอนคณิตศาสตร์ .เขา้ ถึงได้จาก : https://coggle.it/diagram/XVjWm664DtGDYsUd/t/.[ออนไลน์].สบื ค้นเมื่อวนั ท่ี 24 กรกฎาคม 2565. มณั ฑรา ธรรมบุศย.์ (มปป).ทฤษฎที างจติ วิทยาการศึกษา. เข้าถึงไดจ้ าก : https://sites.google.com/site/psychologybkf1/home/citwithya-kar-suksa/thvsdi-thang-citwithya- kar-suksa.[ออนไลน]์ .สบื คน้ เม่อื วนั ที่ 24กรกฎาคม 2565. ธีรพงศ์ แก่นอินทร์ นิราศ จนั ทรกจิ และสมคิด ธนะเรืองสกุลไทย.(2529).ลกั ษณะทดี่ ขี องคร.ู เข้าถงึ ได้จาก : https://www.scimath.org/article-mathematics/item/622-learning-mathematics .[ออนไลน]์ .สบื คน้ เม่ือวนั ที่ 25 กรกฎาคม 2565. ครโู กโยระทยั .(2555). กระบวนการที่ใช้ในการเรยี นการสอน .เขา้ ถึงไดจ้ าก : https://mathpittayakom.wordpress.com/2012/08/22.[ออนไลน]์ .สบื ค้นเมอ่ื วันที่ 25 กรกฎาคม 2565. ประสทิ ธิ์ มิง่ มงคล และศักดา บุญโต.(2525 : 36-44).หลกั การสอนและกระบวนการสอน คณติ ศาสตร.์ เขา้ ถงึ ได้จาก : https://sites.google.com/site/chatchawanwy/hlak-kar-sxn-wicha-khnitsastr.[ออนไลน]์ . สบื คน้ เมอ่ื วันที่ 25 กรกฎาคม 2565
Search
Read the Text Version
- 1 - 26
Pages: