โดย นางสาวพรทิพย์ พรมฟ้า การเเบ่งโครงสร้างโลก division of the world structure
การแบ่งโครงสร้างโลก การแบ่งโครงสร้างของโลกมีอยู่หลายวิธี แต่นักวิทยาศาสตร์นิยมใช้มีอยู่ 2 ประเภทที่สำคัญคือ -แบ่งจากการศึกษาความเร็วของคลื่นไหวสะเทือน -แบ่งจากการศึกษาส่วนประกอบทางเคมี แบ่งจากการศึกษาความเร็วของคลื่นไหวสะเทือน ที่มา http://www.chaiyatos.com/geol01.gif
ธรณีภาค 1. ธรณีภาค (lithospherer) เป็นชั้นนอกสุดของโลก พบว่าคลื่น P และคลื่น S จะเคลื่อนที่ผ่านธรณีภาคด้วยความเร็วที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยทั่วไป ชั้นนี้มีความลึกประมาณ 100 กิโลเมตร จากผิวโลก ประกอบด้วยหินที่มี สมบัติเป็นของแข็ง ที่มา http://darasart-kit.blogspot.com/2010/10/lithosphere.html
ฐานธรณีภาค 2. ฐานธรณีภาค (asthenosphere) เป็นบริเวณที่คลื่นไหวสะเทือนมี ความเร็วไม่สม่ำเสมอ แบ่งออกได้เป็น 2 บริเวณ คือ (1) เขตที่คลื่นไหวสะเทือนมีความเร็วลดลง (low velocity zone) เป็นบริเวณ ที่คลื่นไหวสะเทือน P และ S มีความเร็วลดลง เนื่องจากบริเวณนี้ประกอบ ด้วยหินที่มีสมบัติเป็นพลาสติก (อุณหภูมิและความดันบริเวณนี้ทำให้แร่บาง ชนิดที่อยู่ในหินเกิดการหลอมตัวเล็กน้อย) (2) เขตที่มีการเปลี่ยนแปลง (transitionzal zone) เป็นบริเวณที่คลื่นไหว สะเทือนมีความเร็วเพิ่มขึ้นในอัตราที่ไม่สม่ำเสมอ เนื่องจากหินบริเวณส่วน ล่างของฐานธรณีภาคเป็นของแข็งที่แกร่ง และมีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้าง ของแร่ 3. มีโซสเฟียร์ (mesosphere) เป็นชั้นที่อยู่ใต้ฐานธรณีภาค และเป็นบริเวณที่ คลื่นไหวสะเทือนมีความเร็วเพิ่มขึ้นสม่ำเสมอ เนื่องจากหิน หรือสาร บริเวณส่วนล่างของมีโซสเฟียร์มีสถานะเป็นของแข็ง มีความลึกประมาณ 660-2,900 กิโลเมตร จากผิวโลก 4. แก่นโลกชั้นนอก (outer core) เป็นชั้นที่อยู่ใต้มีโซสเฟียร์ มีความลึก ประมาณ 2,900-5,140 กิโลเมตร คลื่น P มีความเร็วเพิ่มขึ้นอย่างช้าๆ ใน ขณะที่คลื่น S ไม่สามารถเคลื่อนที่ผ่านชั้นดังกล่าวได้ 5. แก่นโลกชั้นใน (inter core) อยู่ที่ระดับความลึกประมาณ 5,140 กิโลเมตร จนถึงจุดศูนย์กลางของโลก คลื่น P และ S มีอัตราเร็วค่อนข้างคงที่ เนื่องจากแก่นโลกชั้นในเป็นของแข็งที่มีเนื้อเดียวกัน
แบ่งจากการศึกษาส่วนประกอบทางเคมี นักธรณีวิทยาแบ่งโครงสร้างภายในของโลก โดยพิจารณาจากองค์ประกอบ ทางเคมี ออกเป็น 3 ส่วน 1. เปลือกโลก (Crust) เป็นผิวโลกชั้นนอก มีองค์ประกอบส่วนใหญ่เป็นซิลิกา ไดออกไซด์ และอะลูมิเนียมออกไซด์ ประกอบด้วยเปลือกโลกทวีปและเปลือก โลกมหาสมุทร -เปลือกโลกทวีป (Continental crust) ส่วนใหญ่เป็นหินแกรนิต มีองค์ประกอบ ส่วนใหญ่เป็น ซิลิกาและอะลูมิเนียม มีความหนาเฉลี่ย 35 กิโลเมตร ความ หนาแน่น 2.7 กรัม/ลูกบาศก์เซนติเมตร -เปลือกโลกมหาสมุทร (Oceanic crust) ส่วนใหญ่เป็นหินบะซอลต์ มีองค์ ประกอบส่วนใหญ่เป็น มีเหล็ก แมกนีเซียมและซิลิกาเป็นองค์ประกอบส่วน ใหญ่ ความหนาเฉลี่ย 5 กิโลเมตร ความหนาแน่น 3 กรัม/ลูกบาศก์ เซนติเมตร มากกว่าเปลือกทวีป ดังนั้นเมื่อเปลือกโลกทั้งสองชนกัน เปลือก โลกทวีปจะถูกยกตัวขึ้น ส่วนเปลือกโลกมหาสมุทรจะจมลง และหลอมละลาย เป็นแมกมาอีกครั้ง
2. เนื้อโลก (Mantle) คือส่วนซึ่งอยู่อยู่ใต้เปลือกโลกลงไปจนถึงระดับความลึก 2,900 กิโลเมตร มีองค์ประกอบหลักเป็นซิลิคอนออกไซด์ แมกนีเซียม ออกไซด์ และเหล็กออกไซด์ แบ่งออกป็น 3 ชั้น ได้แก่ -เนื้อโลกตอนบนสุด (Uppermost sphere) มีสถานะเป็นของแข็ง เป็นฐาน รองรับเปลือกโลกทวีป และเปลือกโลกมหาสมุทร อยู่ใต้แนวแบ่งเขตโมโฮวิชิก เรียกโดยรวมว่า ธรณีภาค (Lithosphere) มีความหนาโดยรวมประมาณ 30 – 100 กิโลเมตร -เนื้อโลกตอนบน (Upper mantle) หรือบางครั้งเรียกว่า ฐานธรณีภาค (Asthenosphere) อยู่ที่ระดับลึก 100 – 700 กิโลเมตร มีึลักษณะเป็นของแข็ง เนื้ออ่อน อุณหภูมิที่สูงมากทำให้แร่บางส่วนหลอมละลายเป็นหินหนืด (Magma) เคลื่อนที่หมุนวนด้วยการพาความร้อน (Convection) -เนื่อโลกตอนล่าง (Lower mantle) มีสถานะเป็นของแข็งที่ระดับลึก 700 – 2,900 กิโลเมตร มีองค์ประกอบส่วนใหญ่เป็นเหล็ก แมกนีเซียม และซิลิเกท
3. แก่นโลก (Core) คือส่วนที่อยู่ใจกลางของโลก มีองค์ประกอบหลักเป็น เหล็ก แบ่งออกเป็น 2 ชั้น -แก่นโลกชั้นนอก (Outer core) เป็นเหล็กในสถานะของเหลว เคลื่อนที่ หมุนวนด้วยการพาความร้อน (Convection) ที่ระดับลึก 2,900 – 5150 กิโลเมตร เหล็กร้อนเบื้องล่างบริเวณที่ติดกับแก่นโลกชั้นในลอยตัวสูงขึ้น เมื่อปะทะกับแมนเทิลตอนล่างที่อุณหภูมิต่ำกว่าก็จะจมตัวลง การเเคลื่อ นที่หมุนวนเช่นนี้เหนี่ยวนำให้เกิดสนามแม่เหล็กโลก -แก่นโลกชั้นนอก (Inner core) ที่ระดับลึก 5,150 กิโลเมตร จนถึง ใจกลางโลกที่ระดับลึก 6,370 กิโลเมตร ความดันมหาศาลกดทับทำให้ เหล็กมีสถานะเป็นของแข็ง
Search
Read the Text Version
- 1 - 7
Pages: