แผนบริหารการสอนประจาวชิ า รหัสวิชา มส.ภท.155 THAI 155 รายวิชา ภาษาศาสตร์ภาษาไทย หน่วยกิต Thai Linguistics เง่อื นไขรายวิชา เวลาเรียน 3 (3-0-6) ไม่มี 15 สัปดาห์ / ภาคเรียน บรรยาย 45 คาบ คาอธิบายรายวิชา ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกบั ภาษาและภาษาศาสตร์ ระบบเสียง ระบบคา ระบบกลุ่มคา และ ระบบไวยากรณ์ในภาษาไทย การวิเคราะหภ์ าษาไทยตามทฤษฎีภาษาศาสตร์ วตั ถปุ ระสงค์ทว่ั ไป 1. นกั ศึกษาสามารถอธิบายความรทู้ ัว่ ไปเกี่ยวกบั ภาษาและภาษาศาสตร์ได้ 2. นกั ศึกษาสามารถอธิบายระบบเสียง ระบบคา ระบบกลุ่มคา และระบบไวยากรณ์ ในภาษาไทยได้ 3. นกั ศึกษาสามารถวิเคราะห์ภาษาไทยตามทฤษฎีภาษาศาสตร์ได้ 4. นกั ศึกษาสามารถบอกความสมั พนั ธ์ระหว่างวิชาภาษาศาสตร์กับศาสตร์อ่ืนๆได้ เนือ้ หา ความรทู้ ่ัวไปเกี่ยวกับภาษาและภาษาศาสตร์ 3 ช่ัวโมง บทที่ 1 ความหมายของภาษาและภาษาศาสตร์ ความสาคัญของภาษา ลกั ษณะท่ัวไปของภาษา บทสรุป
บทที่ 2 เอกสารอ้างองิ 3 ชัว่ โมง บทที่ 3 ใบงานบทที่ 1 3 ชั่วโมง บทที่ 4 แบบฝกึ หัดบทที่ 1 6 ช่วั โมง บทที่ 5 ประวตั ิการศึกษาภาษา 9 ชว่ั โมง ความเป็นมาของการศกึ ษาภาษาศาสตร์ภาษาไทย นกั ภาษากลุ่มต่างๆ และแนวทางการศกึ ษาภาษา บทสรปุ เอกสารอ้างองิ ใบงานบทที่ 2 สาขาของภาษาศาสตร์ ภาษาศาสตร์เชิงปัจจุบนั และภาษาศาสตร์เชิงประวตั ิ ภาษาศาสตร์บริสทุ ธิแ์ ละภาษาศาสตร์ประยกุ ต์ ภาษาศาสตร์ทีส่ ัมพนั ธ์กับวิชาอื่น ภาษาศาสตร์สาขาต่าง ๆ ในปัจจบุ นั บทสรุป เอกสารอ้างองิ ใบงานบทที่ 3 อวัยวะทีใ่ ชใ้ นการออกเสียงและกระบวนการออกเสียง ความหมายของเสียง อวัยวะที่ใชอ้ อกเสียงพดู กระบวนการออกเสียงพดู สัทอักษรสาหรับภาษาไทย บทสรปุ เอกสารอ้างองิ ใบงานบทที่ 4 แบบฝกึ หัดบทที่ 4 ระบบเสียงในภาษาไทย เสียงพยัญชนะ เสียงสระ เสียงวรรณยกุ ต์
บทสรปุ เอกสารอ้างองิ ใบงานบทที่ 5 แบบฝกึ หัดบทที่ 5 บทที่ 6 ระบบพยางค์ในภาษาไทย 3 ช่ัวโมง 6 ชว่ั โมง ความหมายของพยางค์ 6 ชว่ั โมง 6 ช่ัวโมง ระบบพยางค์ในภาษาไทย โครงสรา้ งของพยางค์ บทสรุป เอกสารอ้างองิ ใบงานบทที่ 6 แบบฝกึ หดั บทที่ 6 บทที่ 7 ระบบคาในภาษาไทย ความหมายของคา ชนิดของคา การสรา้ งคาในภาษาไทย บทสรปุ เอกสารอ้างองิ ใบงานบทที่ 7 แบบฝกึ หดั บทที่ 7 บทที่ 8 ระบบกลุ่มคาในภาษาไทย ความหมายของวลี ชนิดและโครงสรา้ งของวลี หนา้ ที่ของวลี บทสรปุ เอกสารอ้างองิ ใบงานบทที่ 8 แบบฝกึ หดั บทที่ 8 บทที่ 9 ประโยคในภาษาไทย ความหมายของประโยค
ส่วนประกอบของประโยค การวิเคราะหส์ ่วนประชิดของประโยค บทสรปุ เอกสารอ้างองิ แบบฝกึ หดั บทที่ 9 วิธีสอนและกิจกรรม 1. บรรยายตามเอกสารประกอบการสอนรายวิชาภาษาศาสตร์ภาษาไทย 2. ศกึ ษาค้นคว้าจากแหล่งข้อมูลและสอ่ื ต่าง ๆ รวมถึงฐานข้อมูลออนไลน์ทีเ่ กีย่ วข้อง 3. ศกึ ษาเอกสารงานวิจัยหรอื ผลงานวิจัยที่เกี่ยวกับภาษาศาสตร์ภาษาไทยที่ตีพิมพ์ใน วารสารวิชาการ 4. แบ่งกลุ่มศกึ ษาประเดน็ ทางภาษาตามหัวขอ้ ที่กาหนด 5. นาเสนอและอภิปรายแลกเปลี่ยนเรียนรู้ในชนั้ เรียนร่วมกับอาจารย์และนักศึกษา 6. ทาแบบฝกึ หดั สื่อการเรียนการสอน 1. เอกสารประกอบการสอนรายวิชาภาษาศาสตร์ภาษาไทย 2. เอกสารงานวิจยั หรือผลงานวิจัยที่เกีย่ วกบั ภาษาศาสตร์ภาษาไทย 3. แหลง่ ขอ้ มลู และสื่อตา่ ง ๆ รวมถึงฐานข้อมลู ออนไลน์ที่เกี่ยวข้อง 4. แบบฝกึ กิจกรรมรายบุคคล / รายกลุ่ม การวัดผลการศึกษา 10 % 1. คะแนนคณุ ธรรมจริยธรรม 50 % ความมมี ารยาท การพดู ภาษาไทยทีช่ ดั เจน การเข้าช้ันเรยี น การตรงต่อเวลา การรับผดิ ชอบต่องานทีร่ บั มอบหมาย การแต่งกายสภุ าพเรียบร้อย 2. คะแนนความรู้ ความเข้าใจ แบบทดสอบย่อยและแบบฝกึ
3. คะแนนทักษะทางปญั ญา 20 % การนาเสนองานกลุ่ม 10 % 4. ทกั ษะความสัมพนั ธ์ระหว่างบุคคล และ ความรบั ผดิ ชอบ 10 % การมสี ่วนรว่ มในชั้นเรียน การนาเสนองานกลุ่ม แบบประเมินการนาเสนองาน 5. ทกั ษะการวิเคราะหเ์ ชงิ ตัวเลข การสอ่ื สาร และการใช้ เทคโนโลยีสารสนเทศ การนาเสนองานหนา้ ช้ันเรยี น การใชส้ ือ่ ในการนาเสนอ การประเมินผลการศึกษา ช่วงคะแนน 80 ขึน้ ไป ระดบั A ช่วงคะแนน 75-79 ระดับ B+ ช่วงคะแนน 70-74 ระดบั B ช่วงคะแนน 65-69 ระดับ C+ ช่วงคะแนน 60-64 ระดับ C ช่วงคะแนน 55-59 ระดบั D+ ช่วงคะแนน 50-54 ระดับ D ช่วงคะแนน ตา่ กว่า 50 ระดบั F
แผนบริหารการสอนประจาบทที่ 1 มส.ภท.155 ภาษาศาสตร์ภาษาไทย 3 (3-0-6) Thai Linguistics จานวน 3 คาบเรียน บทท่ี 1 ความรทู้ วั่ ไปเกีย่ วกบั ภาษาและภาษาศาสตร์ ผ้เู ขียน อาจารย์ ดร.วาสนิ ี มีเครอื เอีย่ ม วัตถุประสงคเ์ ชิงพฤติกรรม 1. ผู้ศึกษามีความรู้ความเข้าใจความหมายของภาษาและภาษาศาสตร์ ลักษณะทั่วไป ของภาษา 2. ผศู้ กึ ษาตระหนักในความสาคัญและเหน็ คุณค่าของภาษาไทย เนือ้ หาสาระประจาบท 1. ความหมายของภาษาและภาษาศาสตร์ 2. ความสาคญั ของภาษา 3. ลักษณะทั่วไปของภาษา วิธีสอนและกิจกรรมการเรยี นการสอนประจาบท 1. ผู้สอนบรรยาย เร่ือง ความหมายของภาษาและภาษาศาสตร์ ความสาคัญของ ภาษา ลักษณะท่วั ไปของภาษา 2. แบ่งกลุ่มศึกษาและสรุปประเด็นความรู้เกี่ยวกับลักษณะท่ัวไปของภาษา เม่ือ รวบรวมความคดิ แล้วให้มีการอภปิ รายแลกเปลี่ยนระหว่างกลุ่ม 3. แบ่งกลุ่มศึกษาและร่วมกันหาคุณค่าของภาษาที่สะท้อนให้เห็นถึงความสาคัญต่อ ชีวติ ประจาวนั ของมนุษย์ในแตล่ ะแงม่ ุม 4. ผสู้ อนสรุปความรทู้ ว่ั ไปเกีย่ วกบั ภาษาและภาษาศาสตร์ 5. ทาแบบฝกึ หัด
สือ่ การเรียนการสอน 1. เอกสารประกอบการสอน บทที่ 2 ความรทู้ ่วั ไปเกี่ยวกบั ภาษาและภาษาศาสตร์ 2. เพาเวอร์พอยต์ เร่อื ง ความรู้ทัว่ ไปเกี่ยวกบั ภาษาและภาษาศาสตร์ 3. ใบงานบทที่ 1 4. แบบฝกึ หดั บทที่ 1 การวดั ผลและประเมินผล 1. ความสนใจและการมสี ่วนร่วมในชั้นเรียน 2. การทากิจกรรมกลุ่มและการนาเสนอ 3. การทาแบบฝกึ หดั
บทที่ 1 ความรู้ทวั่ ไปเกีย่ วกบั ภาษาและภาษาศาสตร์ ธรรมชาติของมนุษย์ต้องการการอยู่รวมกันเป็นกลุ่ม กระบวนการสื่อสารจึงเป็นปัจจัย สาคัญที่จะช่วยให้มนุษย์สามารถดารงชีวิตอยู่ในสังคมด้วยความเข้าใจกัน มนุษย์จึงผลิต เครื่องมอื ที่ใช้ในกระบวนการส่ือสารที่เรียกว่า “ภาษา” (language) ขึน้ มา เพื่อถ่ายทอดข่าวสาร ข้อมูล ความรู้ ประสบการณ์ ความรู้สึก ความคิดเห็น และกิจกรรมต่างๆ ที่ต้องการ แลกเปลี่ยนซึ่งกันและกัน ซึ่งในแต่ละกลุ่มสังคมจะมีภาษาที่ใช้ในการสื่อสารในรูปแบบที่มีท้ัง เหมือนและแตกต่างกันออกไป กระบวนการศึกษาภาษาในข้ันเริ่มต้นก่อนที่จะศึกษาภาษาใน แง่มุมต่างๆ น้ัน ผู้ศึกษาจาเป็นต้องมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับความรู้ทั่วไปท้ังในประเด็น ความหมายของคาว่าภาษาและภาษาศาสตร์ ความสาคัญของภาษา ลักษณะท่ัวไปของภาษา ประวัติการศึกษาภาษา นักภาษากลุ่มต่างๆและแนวทางการศึกษาภาษา เพื่อให้สามารถ เช่อื มโยงเข้าสู่ความรู้เกีย่ วกบั ภาษาและภาษาศาสตร์ได้ ความหมายของภาษาและภาษาศาสตร์ นกั ปราชญ์ทางภาษาและภาษาศาสตร์ได้ใหค้ วามหมายเกี่ยวกบั ภาษาและภาษาศาสตร์ ดังมตี ัวอย่างต่อไปนี้ ความหมายของภาษา ราชบัณฑิตยสถาน (2525 : 620) กล่าวว่า ภาษา หมายถึง เสียงหรือกิริยาอาการที่ทา ความเข้าใจกันได้, คาพดู , ถ้อยคาที่ใชพ้ ดู กัน เอ็ดเวิร์ด ซาเพียร์ (Edward Sapir, 1921 : 8) ให้ความหมายว่า ภาษา คือ กระบวนวิธี คิดของมนษุ ย์ซึง่ ไม่เกีย่ วกับสญั ชาตญาณ เพือ่ ใช้ในการสื่อความคิด อารมณ์ และความต้องการ โดยอาศยั ระบบสัญลักษณ์ทีต่ ง้ั ใจสร้างข้นึ มา กาญจนา นาคสกุล (2524 : 4) ให้ความหมายโดยสรุปได้ว่า ภาษาที่แสดงออกด้วย เสียงพูดหรือคาพูดเท่าน้ันที่เป็นภาษาที่แท้จริง เคร่ืองสื่อความหมายอย่างอื่น เช่น เคร่ืองหมาย สัญญาณ อากัปกิริยาท่าทางต่างๆ ไม่นับเป็นภาษา เนื่องจากไม่มีระบบระเบียบที่แน่นอนและ ไม่ได้เปน็ เสียงพูด
พิณทิพย์ ทวยเจริญ (2524 : 6) กล่าวว่า ภาษาเป็นรหัสชนิดหนึ่งซึ่งมนุษย์ใช้สื่อ ความหมายระหว่างกันในการทากิจกรรมต่างๆ ของหมู่ชนหรือของสังคม รหัสของแต่ละภาษา เป็นผลของการตกลงยอมรับกันในสังคมโดยสมาชิกของสังคมผู้ใช้รหัสนั้นๆ ตกลงกันว่าจะใช้ สัญลักษณ์ระบบใดเป็นเครื่องมอื ในการสอ่ื สารความหมายในโอกาสและสถานทีใ่ ด วิจินตน์ ภาณุพงศ์ (2543 : 6) ให้ความหมายว่า ภาษา คือ เสียงพูดที่มีระเบียบและมี ความหมาย ซึ่งมนุษย์ใช้เป็นเครื่องมือสาหรบั สื่อสารความคิด ความรู้สึก ความต้องการ และใช้ ในการประกอบกิจการรว่ มกัน จากความหมายข้างต้นกล่าวโดยสรุปได้ว่า ภาษา หมายถึง เสียงพูดซึ่งเป็นระบบ สัญลักษณ์ที่มีระเบียบและมีความหมายโดยการตกลงร่วมกันของคนในสังคม เพื่อใช้ในการสื่อ ความคิด อารมณ์ และความตอ้ งการต่างๆ ของมนษุ ย์ ความหมายของภาษาศาสตร์ คาว่า “ภาษาศาสตร์” เป็นศัพ ท์บัญ ญั ติจากคาภาษาอังกฤษว่า “Linguistic” พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2542 (2547 : 823) อธิบายว่า ภาษาศาสตร์ หมายถึง วิชาที่ศึกษาภาษาในแง่ต่างๆ เช่น เสียง โครงสร้าง ความหมาย โดยอาศัยวิธีการ วิทยาศาสตร์ เช่น มีการต้ังสมมุติฐาน เก็บรวบรวมข้อมูล และวิเคราะห์เพื่อพิสูจน์สมมุติฐาน ข้อมลู แล้วสรปุ ผล วิธีการทางวิทยาศาสตร์ที่นามาใช้ศึกษานั้นประกอบด้วยการสังเกต การต้ังสมมุติฐาน การเก็บหรือบันทึกข้อมูล การวิเคราะห์กฎเกณฑ์ของข้อมูลภาษา และสรุปเป็นแนวคิดหรือ ทฤษฎี ความสาคัญของภาษา 1. ภาษาเป็นเครื่องมอื ที่ใช้ในการติดต่อสื่อสารของมนษุ ย์ ทาให้มนุษย์สามารถดารงชีวิต อยู่ในสังคมด้วยความเข้าใจกัน ท้ังน้ีการอยู่ร่วมกันของมนุษย์ในสังคมหน่ึง ๆ นั้น จะมีความสุข ได้ต้องรู้จักการใช้ภาษาแสดงไมตรีจิต ความเอื้อเฟื้อเผ่ือแผ่ต่อกัน การทักทายกัน พูดคุยกัน เพื่อธารงใหส้ ังคมนนั้ อยู่ได้ด้วยปฏิสมั พนั ธ์ระหว่างกัน 2. ภาษาเป็นเคร่ืองมือในการถ่ายทอดวัฒนธรรม มนุษย์เรียนรู้วัฒนธรรมประเพณี ต่างๆ ของคนในสังคมจากการบอกเล่าสืบต่อกันมา และจากการบันทึกเร่ืองราวตามยุคสมัย ต่างๆ ไว้ให้คนรุ่นหลงั ได้รบั รู้ เชน่ การจดบันทึกเหตกุ ารณ์ในประวัติศาสตร์จะช่วยให้ทราบว่าสิ่ง
ที่ผ่านมาในอดีตน้ันมีเร่ืองใดที่ควรรักษาให้เป็นแบบแผนชีวิตของคนในสังคม ทั้งนี้เพื่อให้เป็น เอกลักษณ์ของสังคมและมีการถ่ายทอดเป็นมรดกให้แก่คนรุ่นหลังเพื่อที่จะได้นาไปปฏิบัติตาม แบบแผนทีด่ ีงาม 3. ภาษาเป็นพลังในการรวมตัวเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของคนในสังคม แม้ว่าภาษาแต่ ละภาษาจะมีคาใช้ไม่เท่ากัน แต่ทุกภาษาสามารถแสดงออกถึงความรู้สึก ประสบการณ์ และ วัฒนธรรมของชนชาตินั้นๆ ได้อย่างสมบูรณ์ ก่อให้เกิดความให้เกิดความภาคภูมิใจแก่เจ้าของ ภาษา และสร้างความผูกพันต่อกันในฐานะทีเ่ ปน็ คนรว่ มเผา่ พันธ์ุหรอื ชาติเดียวกนั ได้ 4. ภาษาเป็นเคร่ืองมือในการพัฒนามนุษย์ มนุษย์ใช้ภาษาในการถ่ายทอดความรู้ ความคิดและประสบการณ์ให้แก่กันและกัน ทาให้มนุษย์มีความรู้กว้างขวางมากขึ้นและเป็น รากฐานในการคิดใหม่ ๆ เพื่อทาให้ชีวติ ความเป็นอยู่และสังคมมนุษย์พฒั นาขึน้ 5. ภาษาเป็นศิลปะที่มีความสร้างสรรค์ ถึงแม้ภาษาจะมีขอบเขตจากัดของการใช้เสียง และตัวอักษร แต่ขอบเขตที่จากัดนี้สามารถสร้างคา วลี ประโยค เพื่อใช้สื่อความคิดและความ ต้องการของมนุษย์ได้อย่างไม่จากดั ลักษณะทัว่ ไปของภาษา นกั ภาษาศาสตร์ได้กล่าวถึงลักษณะของภาษาในหลายแง่มมุ ซึ่งสามารถสรุปได้ดงั นี้ โรแนล วอร์ดอฟ (1972 : 15-16) กล่าวถึงลักษณะสาคญั ของภาษาได้ ดงั นี้ 1. ภาษาเป็นเสียงต่อเนื่องที่มีระบบ ทาให้เกิดเป็นความหมายที่ต้องการได้ ไม่มีภาษา ของสัตว์ใดในโลกที่มรี ะบบเสียงและระบบความหมายเกี่ยวพนั ในลักษณะเชน่ นี้ 2. ภาษาเป็นสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นมาอย่างมีระบบแบบแผน เพื่อใช้ในการสื่อสารความ คิดเห็น ต่างๆ และสามารถสร้างเพิ่มเติมให้เหมาะกับสถานการณ์และยุคสมัยได้ ซึ่งต่างจาก ภาษาของสตั ว์ เชน่ ผึง้ ใช้วิธีการบินวนเพื่อสือ่ ความหมายว่ามีเกสรดอกไม้อยู่ ซึง่ เป็นการสื่อสาร ในวงจากัดและไม่สามารถสื่อความหมายถึงสิง่ อื่นๆ ได้อกี 3. ภาษาเป็นสิ่งสมมุติที่ได้รับการยอมรับและตกลงร่วมกันในกลุ่มชนที่ใช้ภาษาเดียวกัน โดยไม่สามารถอธิบายได้วา่ ทาไมจึงต้องใช้เสียงนน้ั เปน็ สัญลกั ษณ์ในการสือ่ ความหมายเช่นน้ัน 4. ภาษาเป็นสิ่งที่สามารถเปลีย่ นแปลงเพือ่ ใหใ้ ช้ได้กับสถานการณต์ ่างๆ ได้ 5. ภาษาสามารถทาให้มนุษย์เกิดจินตนาการในการเชื่อมโยงความหมายกับสิ่งที่ไม่ได้ ปรากฏจริงในขณะนนั้ ได้ เชน่ การเช่อื มโยงถึงเร่อื งราวในอดีต ปจั จุบนั และอนาคตได้
6. ภาษามีลักษณะพิเศษที่มนุษย์สามารถใช้ได้ทุกกิจกรรม กล่าวคือ มนุษย์สามารถใช้ ภาษาได้ในขณะที่กาลังทากิจกรรมต่างๆ อยู่โดยไม่ต้องหยุดหรือพักการทากิจกรรมน้ันๆ เพื่อใช้ ภาษาโดยเฉพาะ 7. ภาษาเป็นเคร่ืองมือในการถ่ายทอดวัฒนธรรม มนุษย์เรียนรู้วัฒนธรรมต่างๆ ผ่าน การบอกเล่าหรือใช้ภาษาเป็นเคร่ืองมือในการถ่ายทอดต่อๆ กันมา แตกต่างจากสัตว์ซึ่งเรียนรู้ ด้วยการใช้สัญชาตญาณ ดังจะเห็นว่าแม้มนุษย์จะสามารถฝึกสัตว์บางชนิดให้พูดหรือทากิริยา บางอย่างได้ แตส่ ัตว์เหล่าน้ันจะไม่สามารถถ่ายทอดสิง่ ที่เรียนรตู้ ่อไปยังสัตว์ตวั อ่ืนๆ ต่อไปได้ อดุ ม วโรตมส์ ิกขดิตถ์ (2532 : 11) กล่าวถึงลกั ษณะท่วั ไปของภาษาซึง่ สรปุ ได้ ดังน้ี 1. ภาษาเป็นกลุ่ม (set) ของเสียง 2. ภาษามีลักษณะที่ทานายล่วงหน้าไม่ได้ ให้เหตุผลไม่ได้ว่าทาไมจึงใช้คาหนึ่งแทน สิ่งของชนิดหนึง่ 3. ภาษามีระบบและกฎเกณฑ์ โดยที่แต่ละภาษามีกฎเกณฑ์ที่แน่นอนท้ังด้านเสียงหรือ การเรียงลาดับเสียง และทางดา้ นไวยากรณ์หรือการเรียงลาดบั คา 4. ภาษามีความหมาย ซึ่งไม่จาเปน็ ต้องเปน็ ความหมายที่เกิดขนึ้ เม่อื สิ่งของนั้นอยู่เฉพาะ หนา้ เท่านั้น เชน่ มนษุ ย์สามารถพดู ถึงทเุ รียนโดยที่ไม่ตอ้ งมที เุ รียนอยู่ตรงหน้าได้ 5. ภาษาแต่ละภาษาย่อมมีความสมบูรณ์ในตัวเอง แม้ว่าบางภาษาจะมีคาที่จากัด แตค่ าเหล่าน้ันจะสามารถแสดงออกถึงความรู้สึก ประสบการณ์ และวัฒนธรรมของภาษาน้ันได้ อย่างสมบูรณ์ นอกจากนี้ภาษายังสามารถงอกงามได้โดยการยืม หรือรับคาจากภาษาอื่นมาใช้ ร่วมกันอย่างเหมาะสมกบั ความตอ้ งการของผใู้ ช้ภาษาในแตล่ ะยุคสมัย 6. ภาษามีลักษณะเป็นสากล (universal) นักภาษาศาสตร์ได้ศึกษาลักษณะสากลของ ภาษาซึ่งเชื่อว่าทุกภาษาในโลกมีลักษณะอย่างเดียวกัน คือ ประโยคประกอบด้วยนามวลี และ กริยาวลี เปน็ ต้น 7. ภาษามีลักษณะทางสังคม มนุษย์ใช้ภาษาในการส่ือความหมายติดต่อกับคนในสังคม โดยใช้ภาษาเปน็ เครื่องมอื ทีช่ ่วยใหก้ ารดาเนินชีวติ ในสงั คมเป็นไปด้วยดี 8. ภาษามีจานวนประโยคที่ไม่รู้จบอันเกิดจากการสร้างประโยคใหม่ขึ้นจากจานวนคา และเสียงทีม่ จี านวนจากัด 9. ภาษามีลักษณะที่ว่าคาหนึ่งใช้แทนที่ (substitute) คาอื่นที่เปน็ คาพวกเดียวกัน เพื่อให้ เกิดความหมายต่างๆ กนั
วิไลวรรณ ขนิษฐานันท์ (2527 : 1) ให้ความเหน็ เกีย่ วกบั ลักษณะทวั่ ไปของภาษา ดงั น้ี 1. ทุกภาษาประกอบด้วยเสียงและความหมายซึง่ มีการใชอ้ ย่างเป็นระบบและมีขอบเขต 2. ภาษามีพลังในการงอกงามไม่รู้จบสิ้น กล่าวคือ แม้ภาษาจะมีขอบเขตจากัด แต่มนุษย์สามารถใช้ภาษาสื่อความคิดได้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด ไม่มีใครสามารถบอกได้ว่าแต่ละ ภาษามีประโยคจานวนกี่ประโยค ทั้งนี้หากมนุษย์สามารถพูดภาษานั้นได้แล้วจะสามารถผลิต ประโยคใช้ได้อย่างไม่จากดั จานวน 3. ภาษาเป็นเรื่องของการใช้สัญลักษณ์ร่วมกัน กล่าวคือ มีการตกลงกันร่วมกันของคน ในสังคมว่าจะใช้สัญลักษณ์อะไรแทนอะไร ซึ่งเป็นเร่ืองที่ไม่มีกฎเกณฑ์และไม่สามารถอธิบาย โดยใช้เหตุผลได้ ศรวี ิไล ดอกจันทร์ (2529 : 29-32) กล่าวถึงลักษณะของภาษา ดงั น้ี 1. ภาษาคือเสียง (Language is sound.) นักภาษาศาสตร์ถือว่าภาษาที่แท้จริงคือเสียง ส่วนตัวหนังสือหรือสัญลักษณ์อื่นใดก็ดีที่ใช้แทนเสียงน้ันเกิดขึ้นภายหลัง มนุษย์มีอวัยวะที่ใช้ใน การออกเสียงเป็นอย่างเดียวกัน แม้แต่ละภาษาจะมีเสียงที่แตกต่างกันแต่สามารถบรรยายได้ว่า ใช้อวัยวะในการออกเสียงใดและทางานอย่างไร ซึ่งเสียงที่มีความหมายในภาษาหนึ่งอาจไม่มี ความหมายในภาษาอื่นก็ได้ ผู้ใช้ภาษาจะเป็นผู้เลือกหน่วยเสียงต่างๆ เข้ามาใช้เป็นเสียงที่มี ความหมายในภาษาของตน 2. ภาษาคือระบบ (Language is systematic.) จะสังเกตเห็นว่าภาษา คือ เสียงที่เปล่ง ออกมาต่อกันเป็นเส้นตรง การเอาเสียงมาเรียงต่อกันน้ันมีระบบเรียกว่า ระบบเสียง ซึ่ง นอกจากนี้ภาษายังมรี ะบบไวยากรณ์โดยการเอาเสียงมาเรียงต่อกนั เพือ่ รวมกนั ออกเสียงเปน็ คา และมีระบบการเรียงคาที่ผูกเป็นประโยคด้วย ซึ่งการรวมและเรียงเสียงให้เกิดเป็นภาษามิอาจ ทาตามใจได้ แต่ต้องอาศัยกฎเกณฑ์ทางด้านเสียง ด้านไวยากรณ์ และด้านความหมายผสมกัน ภาษาจงึ มรี ะบบซึ่งเป็นไปอย่างตอ่ เนื่องกัน 3. ภาษามีความหมาย (Language is meaningful.) ภาษามีความสัมพันธ์และเกี่ยวข้อง กับชีวิตมนุษย์ เช่น มคี วามสมั พันธ์กบั วัฒนธรรมและสิ่งแวดล้อมรอบตัวของผพู้ ูดภาษานั้น การ ที่เด็กจะเป็นสมาชิกที่ดีของสังคมได้ต้องอาศัยการรับรู้ความหมายของภาษานั้นๆ ในการที่จะ กล่อมเกลาด้วยภาษาที่มีความหมายเชิงมุ่งสร้างคุณธรรมจริยธรรมให้แก่คนในสังคม ซึ่ง นอกจากนี้ยังพบว่าผู้นาของสังคมมักเป็นผู้ที่มีความสามารถในการสื่อสารกับผู้อื่นโดยใช้ภาษา ได้เป็นอย่างดี 4. ภาษาเป็นสิ่งที่กาหนดขึ้นใช้ (Language is arbitrary.) การที่คนต่างภาษาไม่สามารถ สื่อสารกันเข้าใจ เน่ืองจากไม่มีสัมพันธ์ระหว่างและสารที่จะสื่อถึงกันเหมือนในภาษาเดียวกัน
ท้ังนี้เพราะภาษาเป็นสิ่งสมมุติขึ้น ไม่มีความสัมพันธ์กันโดยตรงระหว่างภาษากับสิ่งต่างๆ ที่ ภาษานั้นกาหนดแทน และรับรู้ความหมายที่ตงั้ ข้นึ ร่วมกันของกลุ่มคนเท่าน้ัน 5. ภาษาเป็นเร่ืองของค่านิยมและการตกลงใช้ร่วมกัน (Language is conventional.) เนื่องจากภาษาเป็นเคร่ืองสมมุติจึงเป็นเร่ืองที่คาดหมาย หรือทานายไม่ได้ว่าคาๆ นั้นหมายถึง อะไร ซึ่งแม้คนที่พูดภาษาเดียวกันก็ยังมีความหมายแตกต่างกันในเรื่องของการใช้ภาษาเช่นกัน เช่น การออกเสียงในภาษาที่เหน่อหรือเปล่งจากภาษามาตรฐาน หรือการใช้คาเรียกสิ่งของที่ อาจผิดเพี้ยนไป เชน่ รองเท้า อีแตะ เกิบ เกือก เป็นต้น 6. ภาษาเป็นระบบของความแตกต่าง (Language is a system of contrast.) ภาษามี เอกลักษณ์เฉพาะตัว ซึ่งจะเห็นได้ชัดเม่ือมีการเปรียบเทียบ เช่น การที่นกแก้วไม่สามารถทา เสียงได้เหมือนคนอย่างชัดเจน เน่ืองจากไม่มีเส้นเสียงและโพรงจมูกแบบเดียวกับคน จึงทาให้รู้ ได้ว่าน่ันคือเสียงนกแก้วที่เลียนเสียงคนเท่าน้ันเอง และแม้แต่คนที่พูดภาษาเดียวกันเรายังจัดได้ ว่าคนกลุ่มใดพดู ภาษาเดียวกนั เพราะความแตกต่างนน้ั ยงั อยู่ภายใต้ระบบเดียวกัน 7. ภาษาเปน็ การสร้างสรรค์ (Language is creative.) มนุษย์สามารถพูดประโยคต่างกัน ได้มากมายอย่างไม่จากัด และคนฟังจะสามารถเข้าใจประโยคที่แตกต่างกันได้อย่างไม่จากัด เช่นกัน มนุษย์จึงขยายความสามารถในการรับรู้ภาษาของตนโดยอาศัยความสัมพันธ์ของระบบ ภาษาเหล่านีอ้ อกไปในวงกว้าง โดยการสร้างสรรคโ์ ลกใหมใ่ ห้แก่กลุ่มชนผ่านทางภาษานี่เอง 8. ภาษามีเอกลักษณ์ (Language is unique.) เน่ืองจากภาษาเป็นสิ่งที่กาหนดขึ้นใช้ ร่วมกัน มีระบบความประสานของความแตกต่าง แต่ละภาษาจึงมีความเป็นเอกลักษณ์ เฉพาะตัวของภาษานั้นๆ แม้ว่าภาษาบางภาษาอาจมีความเหมือนและความแตกต่างกันไป บางสว่ น จรัลวิไล จรูญโรจน์ (2558 : 12-16) กล่าวถึงลักษณะของภาษาในเชิงระบบของการ สื่อสาร ดงั น้ี 1. ใช้เสียงเป็นสัญลักษณ์ (Use of sound signals) การสื่อสารของสัตว์จะใช้ท่าทางใน การสอ่ื สาร แตม่ นษุ ย์ใชเ้ สียงพดู เป็นสญั ลักษณ์ในการส่ือสาร 2. มีความสัมพันธ์ที่อธิบายเหตุผลไม่ได้ระหว่างรูปและความหมาย (arbitrary) กล่าวคือ ภาษาไม่ใช่เพียงแค่มีเสียงพูด หากแต่เสียงพูดเหล่าน้ันต้องสื่อสารความหมายได้ด้วย นั่นคือ รูป (form) มีความสัมพันธ์กับความหมาย (meaning) โดยที่ความสัมพันธ์ระหว่างรูปกับ ความหมายเป็นไปอย่างไม่มีเหตุผลอธิบายได้ว่าทาไมความหมายของสัตว์เลี้ยงสี่เท้าที่เลี้ยงไว้ เฝ้าบ้านจึงสัมพันธ์กับรูปทางเสียงว่า “หมา” ในภาษาไทย สัมพันธ์กับรูปทางเสียงว่า “dog” ใน ภาษาอังกฤษ หรอื สัมพันธ์กับรปู ทางเสียงว่า “Hund” ในภาษาเยอรมนั
3. ภาษาเป็นระบบที่เกิดจากความตกลงกันในสังคม (conventional) แม้ว่าภาษาจะมี ความเป็นอิสระที่จะให้รูปใดสัมพันธ์กับความหมายใดก็ได้ แต่ในทางปฏิบัติแล้วคนในสังคม จาเป็นต้องมีข้อตกลงร่วมกันว่าจะให้รูปใดสัมพันธ์กับความหมายใด มิเช่นน้ันจะมีการสมมติ ระบบที่แตกต่างอย่างหลากหลายจนไม่สามารถสือ่ สารกนั ได้ 4. ภาษาเป็นสิง่ ที่ตอ้ งเรียนรู้ผา่ นกระบวนการทางสงั คม (need for learning) แม้ว่าภาษา เป็นระบบสมมุติที่เกิดจากการตกลงร่วมกันของคนในสังคม แต่หากมีสมาชิกใหม่เกิดขึ้นใน สังคมนนั้ คนในสังคมกต็ ้องสัง่ สอนให้สมาชิกใหมน่ ้ันรู้จกั ระบบที่สมมตุ ิขึน้ และตกลงใช้ร่วมกนั เพือ่ ให้สมาชิกใหมน่ ้ันเปน็ ส่วนหนง่ึ ของสังคมและสามารถสื่อสารกับคนอื่นๆ ได้ 5. ภาษาสามารถใช้ติดต่อสื่อสารได้ไม่จากัดเร่ือง (Productivity) กล่าวคือ ภาษาต้อง สามารถสื่ออะไรก็ได้ที่เราต้องการจะสื่อสาร เช่น สามารถใช้ภาษาพูดถึงเร่อื งการเมืองได้ เรื่อง ความต้องการไปท่องเที่ยว เรอ่ื งสัตว์เลี้ยง เร่อื งวิชาการ ฯลฯ หรือแม้แต่สามารถพูดถึงสิ่งที่ไม่มี อยู่จริงหรือเป็นไปไม่ได้เลยก็ตาม เช่น สามารถพูดและเข้าใจข้อความ “เม่ือวานพระอาทิตย์ขึ้น ทางทิศใต้” ได้ ทั้งที่ไม่สามารถเกิดขึ้นได้จริง 6. ภาษาสามารถสื่อเร่ืองที่ไม่ได้เกิดต่อหน้า หรือไม่เป็นจริงในขณะน้ันได้ เช่น การ กล่าวว่า “ฉันอิ่มมาก” ในขณะที่กาลังหิว หรือการโกหกของเด็กเลี้ยงแกะในนิทานที่กล่าวว่า “หมาป่ามากินแกะหมดแล้ว” ทั้งที่ไม่มีหมาป่าอยู่จริง ทั้งนี้ เนื่องจากภาษาสามารถสื่อเรื่องราว ได้แม้ว่าเร่ืองที่เราพูดจะเป็นอดีตผ่านไปแล้ว ซึ่งเราสามารถคาดการณ์อนาคตและพูดถึง อนาคตที่ยังไม่เกิดขึน้ ได้ 7. ใครๆ ทีร่ รู้ ะบบย่อมส่ือภาษานั้นได้ 8. ภาษาของมนุษย์มีความไม่จากัดแต่สร้างขึ้นจากสิ่งที่มีจานวนจากัด เช่น ภาษาไทย ถิ่นกรุงเทพมีหน่วยเสียงพยัญชนะ 21 หน่วยเสียง หน่วยเสียงสระ 21 หน่วยเสียง หน่วยเสียง วรรณยุกต์ 5 หน่วยเสียง รวมเป็น 47 หน่วยเสียง ซึ่งเม่ือนาหน่วยเสียงท้ัง 47 หน่วยเสียงมา ประกอบกนั ขึ้นเปน็ ประโยคจะสามารถผลิตประโยคได้มากมายไม่รู้จบ จากแนวคิดเกี่ยวกับลักษณะท่ัวไปของภาษาทั้งหมดตามที่กล่าวมานี้ สรุปได้ว่า ลักษณะทั่วไปของภาษาแบ่งออกเป็น 2 ลักษณะ คือ 1) แสดงให้เห็นถึงคุณสมบัติของภาษา เชน่ ภาษามีระบบ ภาษามีโครงสร้าง ภาษาเปน็ สิ่งสมมุติ ภาษามีความสมบูรณ์ในตวั เอง เปน็ ต้น และ 2) แสดงให้เห็นถึงความสาคัญของภาษา เช่น ภาษาทาหน้าที่เป็นเคร่ืองมือในการ ติดต่อสื่อสารของมนุษย์ ภาษาทาให้มนุษย์เกิดจินตนาการที่สามารถเชื่อมโยงเรื่องราวต่างๆ ที่ เกิดขึน้ จากอดีตกับปจั จุบันและสามารถทานายสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคตได้ และภาษาเป็นเครื่อง
แสดงเอกลักษณ์ของชนชาติ แม้ว่าบางภาษามีคาใช้ไม่มากเท่าภาษาอื่นแต่ทุกภาษาสามารถ แสดงออกถึงความรสู้ ึก ประสบการณ์ และวัฒนธรรมของภาษานั้นได้อย่างสมบรู ณ์ เป็นต้น บทสรุป ภาษาคือเสียงพูดซึ่งเป็นระบบสัญลักษณ์ที่มีระเบียบและมีความหมาย ภาษานอกจาก จะเป็นเคร่ืองมือในการสื่อสารแล้ว ยังเปน็ เครื่องมือของการเรียนรู้และการพัฒนาความคิดของ มนุษย์ รวมถึงเป็นเคร่ืองมือถ่ายทอดวัฒนธรรมเป็นมรดกให้แก่คนรุ่นหลังเพื่อที่จะได้นาไป ปฏิบัติตามแบบแผนที่ดีงาม และภาษาช่วยเสริมสร้างความสามัคคีของคนในชาติเพราะภาษา เป็นถ้อยคาที่เป็นศิลปะ มีความสร้างสรรค์ สามารถใช้ในการสื่อสารสร้างความเข้าใจกันใน สังคมได้ ภาษาจึงมีคุณค่าต่อมนุษย์ในทุกมิติ ทั้งนี้ ภาษาทุกภาษาทั่วโลกมีความเป็นสากล กล่าวคือ มีลกั ษณะร่วมกันหลายลกั ษณะ อาทิ ภาษาเปน็ สิ่งสมมุตทิ ี่ได้รับการยอมรับและตกลง ร่วมกันในกลุ่มชนที่ใช้ภาษาเดียวกัน โดยไม่สามารถอธิบายได้ว่าทาไมจึงต้องใช้เสียงน้ันเป็น สัญลักษณ์ในการสื่อความหมายเช่นนั้น ภาษามีจานวนประโยคที่ไม่รู้จบอันเกิดจากการสร้าง ประโยคใหม่ขึ้นจากจานวนคาและเสียงที่มีจานวนจากัด รวมถึงภาษามีระบบและกฎเกณฑ์ โดยที่แต่ละภาษามีกฎเกณฑ์ที่แน่นอนทั้งด้านเสียงหรือการเรียงลาดับเสียง และทางด้าน ไวยากรณ์หรือการเรียงลาดับคา เป็นต้น แม้ว่าภาษามีลักษณะร่วมกันหลายประการ แต่ใน ขณะเดียวกันยังมีการใช้ความแตกต่างเพือ่ แสดงเอกลักษณ์ของกลุ่มชน
ใบงานบทท่ี 1 คาชี้แจง 1. ให้ผศู้ กึ ษาแบ่งกลุ่ม 6 กลุ่ม 2. จับสลากหัวข้อศึกษา 2 หัวข้อ ได้แก่ 1) คุณค่าของภาษาที่สะท้อนให้เห็นถึง ความสาคัญต่อชวี ิตประจาวนั ของมนุษย์ 2) ความรเู้ กีย่ วกับลกั ษณะทว่ั ไปของภาษา 3. ร่วมกันสังเคราะห์ความรู้ตามหัวข้อที่ได้โดยสรุปเป็นประเด็นให้ครอบคลุม พร้อม ยกตวั อย่างประกอบการอธิบาย 4. นาเสนอผลการศึกษาหน้าช้ันเรียนโดยผู้สอนเป็นผู้ประเมินผลการนาเสนอ และสมาชิก ในกลุ่มประเมนิ การมสี ่วนรว่ ม
แบบฝึกหัดบทท่ี 1 จงทาเครื่องหมาย √ หนา้ ข้อความทีก่ ล่าวถกู และทาเครือ่ งหมาย X หนา้ ข้อความทีก่ ล่าวผดิ _____1. มนษุ ย์ทุกคนบนโลกนีล้ ้วนมภี าษา แมก้ ระท่ังชนเผา่ ทีล่ า้ หลังในป่าลกึ _____2.นักภาษาศาสตร์นบั ว่าเสียงพูดเท่านั้นที่เป็นภาษาที่แท้จริงของมนษุ ย์ _____3.ภาษาแต่ละกลุ่มอาจมีความซับซ้อนไม่เท่ากัน ความซับซ้อนน้ันขึ้นอยู่กับความเจริญ ของแต่ละกลุ่มชน _____4.ภาษาเปน็ สญั ชาตญาณที่มาพร้อมกับการเกิด _____5.มนษุ ย์ปรกติทุกคนเกิดมาพร้อมกับความสามารถในการเรียนรภู้ าษา _____6.ความสามารถในการเรียนรภู้ าษาเป็นสัญชาตญาณของมนุษย์ _____7.คนที่อา่ นออกแต่เขียนไม่ได้ถือว่ามีความรดู้ ้านภาษาที่ไม่ทัดเทียมคนที่อ่านออกเขียนได้ _____8.เชื้อชาติและพันธุกรรมไม่เกี่ยวข้องกับภาษา กระบวนการทางสังคมเท่าน้ันที่จะ เกีย่ วข้องกบั ภาษา _____9.ภาษามีความเปน็ อิสระที่จะให้รปู ใดสมั พนั ธ์กับความหมายใดก็ได้ _____10.ภาษาคาโดดมีการเปลี่ยนแปลงรูปไปตามหนา้ ที่หรอื ตามความสัมพนั ธ์ทางไวยากรณ์
เอกสารอ้างอิง กาญจนา นาคสกุล. (2524). ระบบเสียงภาษาไทย. กรงุ เทพฯ : โรงพิมพ์จฬุ าลงกรณ์ มหาวิทยาลัย. จรัลวิไล จรูญโรจน์. (2558). ภาษาศาสตร์เบื้องตน้ . พิมพ์ครงั้ ที่ 6. กรุงเทพฯ : มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์. พิณทิพย์ ทวยเจรญิ . (2525). สัทศาสตรแ์ ละสรวิทยาเบื้องตน้ . กรงุ เทพฯ : ไทยวฒั นาพานิช จากดั . ราชบณั ฑติ ยสถาน. (2525). พจนานุกรมฉบบั ราชบณั ฑติ ยสถาน พ.ศ.2525. กรุงเทพฯ : อกั ษรเจรญิ ทัศน.์ วิจนิ ตน์ ภาณุพงศ์. (2543). โครงสร้างของภาษาไทย : ระบบไวยากรณ.์ พิมพ์คร้ังที่ 15. กรงุ เทพฯ : มหาวิทยาลัยรามคาแหง. วิไลวรรณ ขนิษฐานันท์. (2527). ภาษาและภาษาศาสตร.์ พิมพ์ครั้งที่ 4. กรุงเทพฯ : มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์. ศรวี ิไล ดอกจนั ทร์. (2529). ภาษาและการสอน. พิมพ์คร้ังที่ 3. กรงุ เทพฯ : สกุ ัญญา. อุดม วโรตม์สกิ ขดิตถ์. (2532). ภาษาศาสตรเ์ บือ้ งต้น. กรงุ เทพฯ : ฝา่ ยตาราและอุปกรณ์ การศกึ ษา มหาวิทยาลัยรามคาแหง. Edward Sapir. (1921). Language. New York, Harcourt, Brance and Company, Inc. Wardhaugh, Ronald. (1972). Introduction to Linguistics. The U.S. : Mc Graw – Hill.
Search
Read the Text Version
- 1 - 18
Pages: