วารสารมนษุ ยศาสตร์ มหาวิทยาลยั นเรศวร ปที ่ี 14 ฉบบั ท่ี 3 ประจำ� เดอื นกนั ยายน - ธนั วาคม 2560 91 การพฒั นาการอา่ นออกเสยี งควบกล้�ำภาษาไทยของนกั เรียน ชัน้ ประถมศกึ ษาปที ่ี 3 ตามแนวการสอนแบบสมดลุ ภาษา1 Enhancing Grade Three Students' Pronunciation of Thai Consonant Clusters Adopting Balanced Literacy Instruction Approach วฑิ ูรย์ ทยุ าวดั 2 Witoon Tuyawat สกุ ญั ญา เรืองจรูญ3 Sugunya Ruangjaroonบทคัดยอ่ การศึกษาวิจัยในครั้งนี้เป็นการพัฒนาการอ่านออกเสียงควบกล้�ำภาษาไทยตามแนวการสอนแบบ สมดลุ ภาษาและเพอ่ื เปรยี บเทยี บผลสมั ฤทธกิ์ ารอา่ นออกเสยี งควบกลำ�้ ภาษาไทยของนกั เรยี นชนั้ ประถมศกึ ษาปที ี่ 3 ที่ได้รับการสอนแบบสมดลุ ภาษาและนักเรยี นทไี่ ด้รบั การสอนแบบปกติ ผลของการวจิ ยั พบวา่ ผลสมั ฤทธกิ์ ารอา่ นออกเสยี งควบกลำ�้ ภาษาไทยของนกั เรยี นชน้ั ประถมศกึ ษาปที ่ี 3 ที่ได้รับการสอนแบบสมดุลภาษาสูงกว่านักเรียนท่ีได้รับการสอนแบบปกติแตกต่างกันอย่างมีนัยส�ำคัญทางสถิติ ท่รี ะดบั .01 ซ่ึงเป็นการจัดการเรยี นรแู้ บบองค์รวม-แยกสว่ น-องค์รวมค�ำส�ำคัญ: การสอนแบบสมดุลภาษา การสอนภาษาแบบองค์รวม การสอนภาษาแบบโฟนิกส์ การตระหนักรู้หน่วยเสียง การสอนแบบปกติAbstract This study was designed to enhance Grade Three students’ pronunciation of ThaiConsonant Clusters in Buriram Province. The aim of this study was to compare the pronun-ciation abilities of the students after learning through both Balanced Literacy Instruction andTraditional Teaching Methods. The results of this study revealed that the scores achieved by the students after learningthrough Balanced Literacy Instruction were significantly higher than the scores achievedlearning through Traditional Teaching Methods at the level of .01. Keyword: Balanced Literacy Instruction, Whole Language Approach , Phonics PhonologicalAwareness, Traditional Teaching Methods.1 บทความนเี้ ปน็ สว่ นหนง่ึ ของวทิ ยานพิ นธเ์ รอ่ื ง \"การพฒั นาการอา่ นออกเสยี งควบกลำ้� ภาษาไทยของนกั เรยี น ชนั้ ประถมศกึ ษา ปที ี่ 3 ตามแนวการสอนแบบสมดลุ ภาษา\" หลกั สตู รการศกึ ษามหาบณั ฑติ สาขาวชิ าภาษาศาสตรก์ ารศกึ ษา คณะมนษุ ยศาสตร์มหาวิทยาลยั ศรีนครนิ ทรวิโรฒ2 นิสิตระดบั ปรญิ ญาโท สาขาวิชาภาษาศาสตร์การศกึ ษา คณะมนษุ ยศาสตร์ มหาวิทยาลยั ศรีนครนิ ทรวโิ รฒ3 รองศาสตราจารย์ ดร. สาขาวชิ าภาษาศาสตร์การศกึ ษา คณะมนษุ ยศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ศรนี ครินทรวโิ รฒ
92 Journal of Humanities, Naresuan University Year 14 Volumn 3, September - December 2017บทนำ� การอ่านออกเสียงควบกล�้ำให้ถูกต้องเป็นสิ่งส�ำคัญในการส่ือสาร เน่ืองจากถ้าอ่านออกเสียงควบกล้�ำผิดจะท�ำให้ผู้ฟังเกิดความสับสนและเข้าใจผิดได้ ดังนั้นถ้าจะให้อ่านออกเสียงควบกล้�ำได้คล่องชดั เจน และถกู ต้อง ควรเรม่ิ ฝึกต้ังแต่ในวัยเด็ก โดยเฉพาะค�ำควบกลำ�้ ในภาษาไทยทีอ่ า่ นออกเสยี งยาก ซงึ่ปัญหาเหล่าน้ีมีมานานแล้วตั้งแต่สมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าพระราชทานพระราชกระแสรับส่ังมายังกรมศึกษาธิการให้หาทางแก้ไขและกวดขันครู อาจารย์รวมถึงนักเรียน จึงได้ มีแบบเรียนที่เป็นค�ำควบกล�้ำและตัวสะกดขึ้นเพ่ือพัฒนาทักษะการอ่าน การพูด และการเขียนให้ถูกต้อง (วชั รี ธวุ ธรรม. 2553) จากการศกึ ษางานวจิ ยั ของ สมบรู ณ์ เหลก็ เพช็ ร (2557: 6), และ อานงค์ ใจลงั กา (2547: 3)พบวา่ นักเรยี นไทยอา่ นออกเสยี งควบกลำ้� ไมถ่ กู ตอ้ ง นอกจากน้ี กฤษณา สุภาพกั ตร์ (2552: 13) กล่าววา่การอา่ นออกเสยี งควบกลำ�้ เปน็ เรอ่ื งยาก ถา้ อา่ นออกเสยี งควบกลำ�้ ไมช่ ดั เจนหรอื ไมถ่ กู ตอ้ งจะทำ� ใหเ้ กดิ ปญั หาในการส่อื สารและทำ� ใหเ้ กิดความไม่มน่ั ใจในการส่อื สารทมี่ ีเสียงควบกล�้ำ ดังตวั อย่าง ควบกลำ้� ภาษาไทย การอา่ นออกเสียงควบกลำ�้ ของนกั เรียน (1) ‘ปลา’[pla:0]4 (1) [pa:0] (2) ‘ปราบปราม’[prà p1pra m0] (2) [pà p1pa m0] ~ [plà p1pla m0] (3) ‘เปล่ยี นแปลง’[pliàn1plæ ŋ0] (3) [piàn1 pæ ŋ0] (4) ‘เกรงกลัว’[kre ŋ0klua0] (4) [ke ŋ0kua0] (5) ‘คลี่คลาย’[khliˆ 2khla j0] (5) [khiˆ 2kha j0] นอกจากนก้ี ารอา่ นออกเสยี งควบกลำ�้ ในประโยคไมถ่ กู ตอ้ งจะสง่ ผลกระทบตอ่ การสอื่ สาร โดยผฟู้ งัอาจเขา้ ใจความหมายผดิ ดงั ตวั อยา่ งที่ 1 ก) ฉนั ชอบปลาทองในอ่าง ข) ฉันชอบปาทองในอา่ ง จากตวั อย่างข้างต้นความหมายของค�ำและประโยคจะเปลยี่ นไปโดยสน้ิ เชงิ อกี กรณที จี่ ะทำ� ใหเ้ ขา้ ใจความหมายผดิ คอื การอา่ นชอ่ื หรอื นามสกลุ ของบคุ คลเชน่ กรณีช่อื หรือนามสกุลของประธานชมรมผปู้ ระกอบการทีวดี จิ ิตอล ดังตัวอย่างท่ี 2 ก) คณุ สภุ าพ คลี่ขจาย ข) คณุ สุภาพ ขี้ขจาย จากตวั อยา่ งของคำ� ว่า ‘ข้’ี [khiˆ 2] ซ่งึ ความหมาย ที่ไม่เหมาะสมในการอ่านออกเสียงผ่านทางส่ือวิทยุหรือโทรทัศน์ ท�ำให้ส่งผลกระทบต่อความรู้สึกของผู้ฟังและผ้รู ับชมรายการในทางลบได้ หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานพุทธศักราช 2551 ก�ำหนดให้นักเรียนระดับช้ันประถมศึกษาปีที่ 3 ในกลุ่มสาระการเรยี นรูภ้ าษาไทยมคี วามสามารถทางดา้ นการอา่ นออกเสยี งค�ำคลอ้ งจอง ค�ำที่มรี ปู วรรณยกุ ตแ์ ละไมม่ รี ปู วรรณยกุ ต์ คำ� ทมี่ ตี วั สะกดตรงตามมาตราและไมต่ รงตามมาตราคำ� ทม่ี พี ยญั ชนะควบกล�้ำ คำ� ทมี่ อี กั ษรนำ� ค�ำท่มี ีตัวการันต์ ค�ำที่มี รร ค�ำทม่ี พี ยัญชนะและสระท่ไี ม่ออกเสยี งและอา่ นบทรอ้ ยกรองง่ายๆ ได้แก่ ค�ำพ้อง และคำ� พเิ ศษอ่ืนๆ เชน่ คำ� ที่มี ฑ ฤ ฤๅ จะเหน็ ไดว้ ่าหลกั สูตรแกนกลางกลุม่ สาระการเรยี นรภู้ าษาไทยระบไุ วว้ า่ ใหน้ กั เรยี นในระดบั ชน้ั ประถมศกึ ษาปที ี่ 3 มคี วามสามารถในการอา่ นออกเสยี งคำ� ทีป่ ระกอบไปด้วยพยัญชนะควบกล้ำ� ย่ิงไปกว่านัน้ ยงั ก�ำหนดใหน้ ักเรียนชั้นประถมศึกษาปีท่ี 4 สามารถอ่านออกเสียงควบกล�้ำในบทร้อยแก้วและบทร้อยกรอง (ส�ำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน.2551: 8-10)4 เลข 0-5 หมายถงึ เสยี งวรรณยุกต์ สามัญ เอก โท ตรี และจตั วา
วารสารมนุษยศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยนเรศวร ปที ี่ 14 ฉบบั ท่ี 3 ประจำ� เดอื นกนั ยายน - ธนั วาคม 2560 93 สมิธ และแอลล่ี (Smith & Elley. 1994) กล่าวว่า การที่จะพัฒนาทักษะด้านการอ่านนั้นควรมี การจัดกิจกรรมแบบฝึกทักษะท่ีสนุกสนาน และมีความหลากหลายเพื่อสร้างนิสัยรักการอ่านให้แก่นักเรียน ผ่านวิธีการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่ยึดนักเรียนเป็นศูนย์กลาง (Child-Centered) โดยค�ำนึงถึงพัฒนาการตามวัยและความสนใจของนักเรียน ใหน้ กั เรียนได้ฝึกภาษาอยา่ งสมดุลตามแนวการสอนแบบสมดลุ ภาษาซึ่งเป็นการจัดการเรียนรู้ที่ให้นักเรียนได้ฝึกทักษะโดยเริ่มจากครูอ่านให้นักเรียนฟัง มาสู่กิจกรรมกลุ่มท่ีให้นักเรียนอ่านร่วมกันท้ังช้ัน และแก้ไขปัญหาด้านการอ่านสะกดค�ำโดยให้นักเรียนอ่านเป็นกลุ่มย่อย เม่ือนกั เรียนสามารถอา่ นไดค้ ลอ่ งแล้ว ให้นกั เรียนทำ� กจิ กรรมกลมุ่ โดยการร่วมมอื กนั ผลติ ผลงาน เพ่ือทน่ี ักเรยี นสามารถอา่ นเองตามลำ� พงั ได้ จากเหตุผลดังกล่าวท�ำให้ผู้วิจัยมีความสนใจที่จะพัฒนาการอ่านออกเสียงควบกล�้ำภาษาไทย ของนกั เรยี นชน้ั ประถมศกึ ษาปที ่ี 3 โดยใชก้ รอบแนวคดิ ตามแนวการสอนแบบสมดลุ ภาษาของ เทรชเทนเบริ ก์(Sithi-Amnuai. 2011; อา้ งองิ จาก Trachtenburg. 1990) ทีไ่ ด้กำ� หนดกรอบแนวคดิ ไว้ 3 ขนั้ คอื ขั้นที่ 1 การสอนภาษาแบบองคร์ วม (Whole Language) เปน็ การจดั การเรยี นรทู้ เี่ นน้ ใหน้ กั เรยี นไดร้ บั ความเพลดิ เพลนิจากการฟังนทิ าน ซ่ึงคัดเลือกหนังสือนิทานท่เี หมาะสมกับระดบั ของนักเรียน การจัดการเรียนร้ใู นข้นั ท่ี 2 คือการสอนภาษาแบบแยกสว่ น (Part) เพ่ือใหน้ ักเรยี นมีทักษะในการตระหนกั รหู้ น่วยเสยี งและสามารถสะกดค�ำศพั ทใ์ นนิทานได้ถกู ต้อง เพอื่ เตรยี มความพรอ้ มในการเรียนรูใ้ นข้ันท่ี 3 คือ การสอนภาษาแบบองคร์ วม(Whole Language) เปน็ ขนั้ ทนี่ กั เรยี นไดฟ้ งั นทิ านอกี ครงั้ ในนทิ านเลม่ ใหม่ แตย่ งั คงใชค้ ำ� ศพั ทเ์ ดมิ เพอื่ เปน็ การทบทวนใหน้ กั เรยี นนำ� ความรทู้ ไี่ ดเ้ รยี นจากขน้ั ท่ี 1 และขน้ั ท่ี 2 มาใชใ้ นการสรา้ งสรรคผ์ ลงานในการจดั กจิ กรรมกล่มุ ในขนั้ ที่ 3 ซงึ่ ต่างจากการสอนแบบปกติทเี่ น้นการฝึก (Drills) เป็นส่วนใหญข่ องคาบสอน นอกจากนี้ยังได้ศึกษาข้ันตอนตามแนวการสอนแบบสมดุลภาษาของ สมิธ และแอลลี่ (Smith&Elley.1994) ทไ่ี ดก้ ำ� หนดขน้ั กจิ กรรมการจดั การเรยี นรู้ 7 ขน้ั ดงั น้ี ขนั้ การอา่ นใหฟ้ งั (Read Aloud) ขน้ั การอา่ นร่วมกันท้ังช้ัน (Shared Reading) ข้ันการอ่านอีกคร้ัง (Read Again) ขนั้ การสรปุ และอภปิ รายเรือ่ งทีอ่ า่ น(Conclusion and Discussion) ขน้ั การฝกึ อา่ นกลมุ่ ยอ่ ย (Guided Reading) ขนั้ การนำ� ไปใชแ้ ละแลกเปลย่ี นความรู้ (Production and Sharing) และขน้ั การอ่านตามล�ำพัง (Independent Reading) จากปัญหาการอ่านออกเสียงควบกล�้ำภาษาไทยและข้อดีของการจัดการเรียนรู้ตามแนวการสอนแบบสมดลุ ภาษาผวู้ จิ ยั จงึ สนใจทจี่ ะทำ� การวจิ ยั เกยี่ วกบั การพฒั นาทกั ษะการอา่ นออกเสยี งควบกลำ้� ภาษาไทยของนกั เรยี นชน้ั ประถมศกึ ษาปที ี่ 3 โรงเรยี นบา้ นปา่ ชนั ไดต้ ระหนกั ถงึ ความสำ� คญั ของการอา่ นออกเสยี งควบกล�ำ้ ภาษาไทยทีถ่ กู ตอ้ งและมนี สิ ยั รักการอ่านวตั ถุประสงค์ของการวจิ ยั 1. เพอ่ื พัฒนาทกั ษะการอา่ นออกเสียงควบกลำ�้ ภาษาไทยของนกั เรยี นช้ันประถมศึกษาปีที่ 3 ตามแนวการสอนแบบสมดุลภาษา 2. เพ่ือเปรียบเทียบผลสัมฤทธ์ิการอ่านออกเสียงควบกล้�ำภาษาไทยของนักเรียนที่ได้รับการสอนแบบสมดุลภาษาและนักเรยี นท่ีได้รับการสอนแบบปกติ
94 Journal of Humanities, Naresuan University Year 14 Volumn 3, September - December 2017วธิ กี ารดำ� เนินการวิจัย กรอบแนวคดิ วิจัย ใช้การสอนภาษาแบบองค์รวม (Whole Language) บูรณาการกับการสอนภาษาแบบโฟนิกส์(Phonics) ตามแนวคิดของ เทรชเทนเบิร์ก (Sithi-Amnuai. 2011; อ้างอิงจาก Trachtenburg. 1990) ทกี่ �ำหนดขัน้ การจดั การเรยี นร้เู ป็น 3 ขนั้ คอื ข้ันท่ี 1 การสอนภาษาแบบองค์รวม ขั้นท่ี 2 การสอนภาษาแบบแยกสว่ น (Part) และ ข้นั ท่ี 3 การสอนภาษาแบบองค์รวม (Whole Language) สมมติฐานการวจิ ัย ผลสมั ฤทธกิ์ ารอา่ นออกเสยี งควบกลำ�้ ภาษาไทยของนกั เรยี นชนั้ ประถมศกึ ษาปที ่ี 3 ทไี่ ดร้ บั การสอนแบบสมดลุ ภาษาและการสอนแบบปกติหลังการทดลองแตกตา่ งกนั อย่างมีนัยส�ำคัญทางสถิติ โดยนกั เรยี น ทไ่ี ดร้ บั การสอนแบบสมดลุ ภาษาอา่ นออกเสยี งควบกลำ�้ ภาษาไทยไดจ้ ำ� นวนสงู กวา่ นกั เรยี นทไี่ ดร้ บั การสอนแบบปกติ กล่มุ ตวั อย่างของการวจิ ยั กลมุ่ ตวั อยา่ งทใี่ ชใ้ นการวจิ ยั ครงั้ นี้ คอื นกั เรยี นชน้ั ประถมศกึ ษาปที ่ี 3 โรงเรยี นบา้ นปา่ ชนั ตำ� บลปา่ ชนัอ�ำเภอพลับพลาชยั จงั หวัดบรุ ีรัมย์ ภาคเรียนท่ี 1 ปกี ารศกึ ษา 2559 จากการทดสอบโดยให้นักเรียนอ่านออกเสยี งในหนงั สอื ควบกลำ้� ภาษาไทยเรอื่ ง คำ� ควบกลำ�้ มนี ทิ านแสนสนกุ แตง่ โดย นฤชา ดฐิ เบญจกลุ (2554)มีคำ� ควบกลำ�้ ภาษาไทยจำ� นวน 44 ค�ำ แลว้ บนั ทึกเสยี งเพอ่ื ใหผ้ ู้ทรงคุณวฒุ ติ รวจให้คะแนน จากน้ันน�ำคะแนนผลสัมฤทธ์ิการอ่านออกเสียงควบกล้�ำภาษาไทยมาคัดเลือกนักเรียนที่ได้คะแนนตำ่� กวา่ รอ้ ยละ 50 จ�ำนวนท้ังสิน้ 40 คน หลงั จากนั้น ผู้วจิ ัยแบง่ นักเรียนช้ัน ป. 3 เปน็ 2 กลุ่ม โดยใช้วธิ กี ารจบั ฉลาก (Simple Random Sampling) ไดก้ ลมุ่ ทดลองจำ� นวน 20 คน ทไี่ ดร้ บั การสอนแบบสมดลุ ภาษาซงึ่ ผวู้ จิ ยั สอนหลงั เลกิ เรยี นและกลมุ่ ควบคมุ จำ� นวน20คนทไ่ี ดร้ บั การสอนแบบปกติโดยครผู สู้ อนวชิ าภาษาไทยผู้วิจัยเปน็ ผู้สงั เกตการณใ์ นช่วั โมงการเรียนการสอนวิชาภาษาไทยของนกั เรยี นช้ันประถมศึกษาปที ่ี 3 ระยะเวลาในการวิจัย ผูว้ ิจยั ใชเ้ วลาในภาคการศกึ ษาที่ 1 ปกี ารศกึ ษา 2559 ในกลมุ่ ทดลองที่ไดร้ ับการสอนแบบสมดุลภาษาใชร้ ะยะเวลา 7 สปั ดาห์ สปั ดาหล์ ะ 3 วนั วนั ละ 1 ชว่ั โมง รวมทง้ั สนิ้ 21 ชวั่ โมง สว่ นกลมุ่ ควบคมุ ทไ่ี ดร้ บัการสอนแบบปกติ ผวู้ จิ ยั สงั เกตการณใ์ นชว่ั โมงการเรยี นการสอนวชิ าภาษาไทยของนกั เรยี นชน้ั ประถมศกึ ษาปีท่ี 3 เป็นเวลา 7 สัปดาห์ สัปดาห์ละ 3 วนั วันละ 1 ช่วั โมง รวมทัง้ สิน้ 21 ช่ัวโมง เน้ือหาทีใ่ ช้ในการวิจัย การศึกษาวิจัยในคร้ังน้ีผู้วิจัยได้ศึกษาพยัญชนะควบกล้�ำในภาษาไทย 15 เสียง โดยหน่วยเสียงพพพแพลยยยยะญญัััญัญหชชชชนนนนน่วะะะะยเหคคเหสนววลยีบบว่ วงยกกพ/เลลlส/ยำ้�้�ำ,ยี ญัทภง/rปี่าเช/หษรนหลาาะรวกไเอื ทหฏ(หยลLอนiวยq(ว่ ตู่uยห2าiเdรรสตือsายี ำ�)เงงสแทหเยีลหี่ ร1งอื่นอื เ)นล่งหไื่อน/ดwนว่ แ้ เย/กปเเ่สมน็ หยีอพื่ นงนยว่เำ�ลญัยหอื่ เชสนนนยีว่ ะย(งGตกเสl้นกั iยีdเพปงeยกsน็ ากั)พงพใยคนยญั์เพญัสชยียชนญังนทะะชี่ตตน2้นน้ะพหเตสรยน้ ยีือาเงสงทCคยี ่ี2เ์ง1สไทดียห่ี แ้ง2รทอืกหี่่หC1รน1อื ่วหรยรCวือเม2สกยีCไบัดง1้
วารสารมนุษยศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยนเรศวร ปที ่ี 14 ฉบบั ที่ 3 ประจำ� เดอื นกนั ยายน - ธนั วาคม 2560 95ตารางที่ 1 หนว่ ยเสยี งควบกล้ำ� ภาษาไทย (สกุ ัญญา เรอื งจรูญ. 2560) หน่วยเสียงพยญั ชนะต้น l rw ตวั ที่ 2 pl pr -หนว่ ยเสียงพยัญชนะตน้ phl phr -ตวั ที่ 1 - tr - - -- p kl kr kw ph khl khr khw t th k kh เครอ่ื งมือทใ่ี ช้ในการวิจัย 1. แผนการจัดการเรียนรูต้ ามแนวการสอนแบบสมดลุ ภาษาจ�ำนวน 7 แผน 2. แผนการจัดการเรียนรกู้ ารสอนแบบปกตจิ �ำนวน 7 แผน 3. แบบทดสอบก่อนและหลังการทดลอง วธิ ีการเกบ็ รวบรวมขอ้ มูล ดำ� เนนิ การสอนตามแผนการอา่ นออกเสยี งควบกลำ�้ ภาษาไทยตามแนวการสอนแบบสมดลุ ภาษากบั กลมุ่ ทดลองจำ� นวน 7 แผน เปน็ เวลา 7 สปั ดาห์ สปั ดาหล์ ะ 3 วนั ๆละ 1 ชวั่ โมง รวมทงั้ สน้ิ จำ� นวน 21 ชว่ั โมงส่วนกลุ่มควบคุมน้ันผู้วิจัยสังเกตการณ์ในชั่วโมงการเรียนการสอนวิชาภาษาไทยรวมทั้งส้ิน 21 ช่ัวโมงหลังจากนน้ั ทำ� การทดสอบหลงั เรยี นทงั้ 2 กลมุ่ ทดสอบหลงั เรยี นโดยใชห้ นงั สอื นทิ านเลม่ ทใ่ี ชใ้ นการทดสอบกอ่ นเรยี น ซง่ึ ผวู้ จิ ยั ใหน้ กั เรยี นทงั้ 2 กลมุ่ อา่ นออกเสยี งนทิ านควบกลำ�้ ภาษาไทยและบนั ทกึ เสยี งเปน็ รายบคุ คลเพอื่ ผทู้ รงคณุ วฒุ คิ นเดมิ จำ� นวน 3 คน นำ� มาตรวจใหค้ ะแนนความความถกู ตอ้ งในการอา่ นออกเสยี งควบกลำ้�ภาษาไทย สถติ ิที่ใช้ในการวิเคราะหข์ ้อมูล สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลได้แก่ ค่าเฉล่ีย ค่าร้อยละ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน สถิติทดสอบ T-Test for Dependent Samples เพือ่ เปรียบเทยี บผลสมั ฤทธ์ิของนักเรียนช้นั ประถมศึกษาปีท่ี 3 ก่อนและหลังการทดลองท้ังกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม และใช้สถิติ T-Test for Independent Samples เพื่อเปรยี บเทยี บผลสมั ฤทธใิ์ นการอา่ นออกเสยี งควบกลำ�้ ภาษาไทยของกลมุ่ ทดลองและกลมุ่ ควบคมุ หลงั การทดลองผลการวจิ ยั 1. การเปรยี บเทยี บผลสมั ฤทธกิ์ ารอา่ นออกเสยี งควบกลำ�้ ภาษาไทยของนกั เรยี นกลมุ่ ทดลองทไ่ี ดร้ บัการสอนแบบสมดุลภาษาและนักเรยี นกลุ่มควบคมุ ทีไ่ ดร้ ับการสอน แบบปกติหลังการทดลอง ดังตารางท่ี 2
96 Journal of Humanities, Naresuan University Year 14 Volumn 3, September - December 2017ตารางท่ี 2 การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์การอ่านออกเสียงควบกล�้ำภาษาไทยหลังการทดลองของนักเรียน กลมุ่ ทดลองและนักเรยี นกลุ่มควบคมุ หลงั การทดลองผลสมั ฤทธกิ์ ารอา่ นออกเสยี ง N x S.D. t Sig.ควบกล้ำ� ภาษาไทย (2-tailed) 20กลมุ่ ทดลอง 20 24.00 4.44 17.51 0.000*กลมุ่ ควบคมุ 4.05 2.50* มนี ยั สำ� คัญทางสถิติทีร่ ะดบั .01 จากตารางท่ี 2 พบว่าคะแนนเฉลี่ยผลสัมฤทธิ์การอ่านออกเสียงควบกล�้ำภาษาไทยหลังการทดลองของกลมุ่ ทดลองมคี า่ เฉลย่ี สงู กวา่ กลมุ่ ควบคมุ โดยกลมุ่ ทดลองมคี า่ เฉลย่ี (x) หลงั การทดลอง เทา่ กบั24.00 สว่ นเบย่ี งเบนมาตรฐาน (S.D.) มคี า่ เท่ากบั 4.44 ในขณะท่ีกลุ่มควบคุมมคี ่าเฉล่ยี หลงั การทดลองเทา่ กบั 4.05 และสว่ นเบ่ียงเบนมาตรฐาน มคี า่ เทา่ กับ 2.50 และเม่อื หาคา่ นยั สำ� คัญทางสถิตแิ ล้วปรากฏวา่ค่า Sig. 2-tailed ผลสมั ฤทธกิ์ ารอ่านออกเสียงควบกล้�ำภาษาไทยหลงั การทดลองของนักเรยี นกลมุ่ ทดลอง ท่ีได้รับการสอนแบบสมดุลภาษาและนักเรียนกลุ่มควบคุมท่ีได้รับการสอนแบบปกติแตกต่างกันอย่างมีนัยส�ำคญั ทางสถิตทิ รี่ ะดับ .01 2. ผลสัมฤทธ์ิการอ่านออกเสยี งควบกล�ำ้ ภาษาไทยของนกั เรยี นทไ่ี ด้รบั การสอนแบบสมดุลภาษาและนักเรียนที่ได้รับการสอนแบบปกติหลังการทดลองของหน่วยเสียงควบกลำ้� ภาษาไทยท้ัง 15 เสียงของนักเรียนกลมุ่ ทดลองและกลมุ่ ควบคุม (ภาพท่ี 1) 100 85 79 75 90 45 53 80 50 58.1258.33 65 55 60 70้รอยละ 60 45 40 50 40 33.33 32.5 33.33 24 กลมุ่ ทดลอง 30 กลุ่มควบคมุ 20 19.17 10 0 3.33 10 10 8.33 5 2.5 5 3.33 0 5 0 0 ปล ปร ผล พล พร ตร กล กร กว ขล ขร ขว คล คร คว /pl/ /pr/ /phl/ /phl/ /phr/ /tr/ /kl/ /kr/ /kw/ /khl/ /khr/ /khw/ /khl/ /khr/ /khw/ ภาพท่ี 1 ผลสัมฤทธิ์การอ่านออกเสียงควบกล�้ำภาษาไทยของนักเรียนกลุ่มทดลองและนักเรียน กลุม่ ควบคมุภาพที่ 1 ผลสัมฤทธิ์การอ่านออกเสียงควบกล้าภาษาไทยของนักเรียนกลุ่มทดลองและนักเรียนกลุ่มควบคุม ภาพท่ี 1 แสดงให้เหน็ ว่านกั เรยี นกลุม่ ทดลองอา่ นออกเสยี งควบกล้าภาษาไทยหลังการทดลองได้สูง
วารสารมนษุ ยศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยนเรศวร ปที ่ี 14 ฉบบั ท่ี 3 ประจำ� เดอื นกนั ยายน - ธนั วาคม 2560 97 ภาพที่ 1 แสดงให้เหน็ ว่านกั เรียนกลุม่ ทดลองอา่ นออกเสยี งควบกลำ้� ภาษาไทยหลงั การทดลองได้สูงกว่านักเรียนกลุ่มควบคุมท้ัง 15 เสียง โดยหน่วยเสียงควบกล้�ำ ปร /pr/, ขล /khl/, กว /kw/, กล /kl/,คล /khl/, คร /khr/ และ พล /phl/ กลมุ่ ทดลองอ่านออกเสยี งไดส้ งู กวา่ กล่มุ ควบคมุ คดิ เป็นร้อยละ 80, 65,55, 53.12, 53, 51.67, และ 40 ตามล�ำดบั ส่วนหนว่ ยเสยี งควบกลำ้� ตร /tr/ และ คว /khw/ กลุ่มทดลองอา่ นออกเสยี งไดเ้ ทา่ กนั กบั กลมุ่ ควบคมุ คดิ เปน็ รอ้ ยละ 50 ในขณะทหี่ นว่ ยเสยี งควบกลำ้� กร /kr/ กลมุ่ ทดลองอ่านออกเสียงได้สูงกว่ากลุ่มควบคุมคิดเป็นร้อยละ 39.16 ส่วนหน่วยเสียงควบกล้�ำ ผล /phl/, ขว /khw/,พร /phr/ และ ขร /khr/ กล่มุ ทดลองอ่านออกเสยี งได้สูงกว่ากลุ่มควบคมุ คดิ เป็นรอ้ ยละ 30 และหนว่ ยเสียงควบกล้ำ� ปล /pl/ กลมุ่ ทดลองอา่ นออกเสยี งไดส้ ูงกวา่ กลมุ่ ควบคุมคดิ เป็นร้อยละ 25 เมื่อพิจารณาจากผลการอ่านออกเสียงควบกล้�ำภาษาไทยหลังการทดลอง พบว่ากลุ่มควบคุม อา่ นออกเสยี งควบกลำ้� ภาษาไทยได้ตำ่� กวา่ รอ้ ยละ 50 ทั้ง 15 เสียง ในขณะท่กี ลมุ่ ทดลองมนี ักเรียนอา่ นออกเสียงควบกล้�ำภาษาไทยไดส้ งู กวา่ ร้อยละ 50 จ�ำนวน 10 เสยี ง ไดแ้ ก่ หน่วยเสยี งควบกล�้ำ ปร /pr/, ตร /tr/, กล /kl/, กร /kr/, กว /kw/, ขล /khl/, ขว /khw/, คล /khl/, คร /khr/, และ คว /khw/ และมหี นว่ ยเสยี งควบกลำ้�ภาษาไทยท่กี ล่มุ ทดลองอ่านออกเสยี งได้ต�ำ่ กวา่ รอ้ ยละ 50 อยู่ 5 เสยี ง ได้แก่ หนว่ ยเสยี งควบกล้ำ� ปล /pl/,ผล /phl/, พล /phl/, พร /phr/ และ ขร /khr/สรปุ และอภิปรายผล 1. การจดั กิจกรรมการเรยี นรู้ 3 ข้ันตามแนวการสอนแบบสมดุลภาษา 1.1 การจดั กจิ กรรมขน้ั ที่ 1 การสอนภาษาแบบองคร์ วมทงั้ 4 ประเภท ไดแ้ ก่ 1) การนำ� เขา้ สบู่ ทเรยี น(Lead In) เป็นกิจกรรมเพื่อเตรียมความพร้อมให้แก่นักเรียนก่อนการเรียนการสอน 2) ขั้นการอ่านให้ฟัง(Read Aloud) เปน็ การอา่ นออกเสยี งนทิ านควบกลำ�้ ใหน้ กั เรยี นทงั้ ชน้ั ฟงั 3) ขน้ั การอา่ นรว่ มกนั ทง้ั ชนั้ (SharedReading) เป็นกิจกรรมที่ฝึกการอ่านนิทานควบกล�้ำร่วมกันทั้งช้ันท�ำให้นักเรียนมีความมั่นใจในการอ่านออกเสียงควบกล้�ำ 4) ข้ันการสรุปและอภิปรายผลจากเร่ืองท่ีอ่าน (Conclusion and Discussion) ท�ำให้นกั เรยี นมที กั ษะการคดิ วเิ คราะหใ์ นนทิ าน พรอ้ มทง้ั สามารถลำ� ดบั เหตกุ ารณ์ อธบิ ายเหตผุ ลในเนอ้ื เรอ่ื ง บคุ ลกิของตวั ละคร สรปุ และเสนอขอ้ คดิ ทไ่ี ดจ้ ากการฟงั นทิ านควบกลำ้� ผวู้ จิ ยั ใชก้ ารตง้ั คำ� ถามกอ่ นทจี่ ะเลา่ นทิ านเพอื่ สำ� รวจความรพู้ น้ื ฐาน (Background Knowledge) และประสบการณเ์ ดมิ ของนกั เรยี น เชน่ นทิ านควบกลำ�้เร่ืองเพล้ียสีเพลิง “ใครรู้จักเพล้ียบ้าง แล้วเพลี้ยมีประโยชน์หรือมีโทษต่อพืชของเกษตรกรอย่างไร” การต้ังค�ำถามก่อนเร่ิมการเรียนการสอนน้ันท�ำให้นักเรียนรู้ว่าส่ิงที่จะได้เรียนรู้นั้นเก่ียวกับอะไรและเป็นการน�ำความรู้เดมิ มาสมั พนั ธก์ บั ความรใู้ หม่ นอกจากนใี้ นขณะเลา่ นทิ านผวู้ จิ ยั ตงั้ คำ� ถามเกย่ี วกบั เนอ้ื เรอ่ื งในนทิ านให้นักเรียนช่วยกันตอบเป็นระยะๆ โดยการต้ังค�ำถามปลายเปิดสลับกับการใช้ค�ำถามปลายปิดเป็นการกระตุ้น เร้าความสนใจท�ำให้นักเรียนรู้สึกสนุกสนานและเป็นการส�ำรวจความเข้าใจ (Comprehension)สังเกตได้จากทุกคนยกมอื แยง่ กันตอบ ทำ� ใหน้ ักเรียนได้รับประสบการณ์ทางบวกในการฟงั นทิ าน กลวิธกี ารอ่านนิทานควบกล�้ำให้มีความน่าสนใจโดยการแสดงสีหน้า ลีลา ท่าทาง และแววตาให้ เข้ากับ บทบาทอารมณ์ของตัวละคร เช่น นิทานเร่ืองตราของราชา “ราชามีตราประจ�ำตัว พกติดตัวไปทั่ว ดูโก้หรู วันหน่ึงตราหายไป ราชาเลยตรอมตรม” เมอื่ อ่านถงึ ค�ำควบกลำ�้ เป้าหมายผวู้ จิ ยั จะแสดงสหี นา้ เศร้า ขณะเดียวกันก็ท�ำท่าทางร้องให้ประกอบ ท�ำให้นักเรียนจดจ�ำค�ำควบกล้�ำเป้าหมายได้ดียิ่งขึ้น การใช้ท�ำนองเสียงข้ึนลง
98 Journal of Humanities, Naresuan University Year 14 Volumn 3, September - December 2017(Intonation) โดยการเปลยี่ นเสียงตามบทบาทและลกั ษณะของตัวละครแตล่ ะตัวในนิทานให้มชี วี ิตชวี ิตชีวาเพือ่ เพ่มิ สีสนั ในการฟังนทิ านมากยิ่งขึน้ เชน่ นิทานเรือ่ ง มะปรงิ มะปราง “มะปรางชอบฟ้าร้อง เปรย้ี ง เปร้ียงแลว้ มฝี นตก ปรอย ปรอย มะปรงิ ชอบชา้ งรอ้ ง แปรน๋ แปรน๋ แลว้ พน่ นำ�้ โปรยปรอย” เมอื่ ถงึ คำ� วา่ “เปรย้ี ง เปรยี้ ง”“ปรอย ปรอย” “แปร๋น แปร๋น” และ “โปรยปรอย” ผู้วจิ ัยจะใชว้ ิธีการเลียนเสียงธรรมชาติ (Onomatopoeia)เช่น การใช้เสียงในระดับสูงและดัง เพื่อให้เกิดความสมจริงและสร้างความบันเทิงให้นักเรียนขณะฟังนทิ านจะเห็นได้วา่ การเล่านทิ านให้นักเรียนฟังนั้นช่วยสง่ เสริมจนิ ตนาการ สง่ ผลใหน้ กั เรียนชั้นประถมศึกษาปที ี่ 3รับรู้ค�ำควบกล้�ำเป้าหมายได้ดียิ่งข้ึนและได้ข้อคิดจากเนื้อเรื่องที่ได้ฟัง ท�ำให้นักเรียนสนใจท่ีจะอ่านหนังสือนิทานมากขนึ้ สอดคล้องกับ อารี สัณหฉวี (2550: 19) กล่าววา่ เด็กที่ผู้ปกครองเล่านทิ านใหฟ้ งั ก่อนนอนจะสามารถอา่ นหนงั สอื ไดเ้ รว็ กวา่ เดก็ ทผ่ี ปู้ กครองไมส่ นใจซง่ึ เดก็ เหลา่ นจี้ ะมกี ารเรยี นรทู้ ชี่ า้ และไมอ่ ยากอา่ นหนงั สอื 1.2 การจัดกิจกรรมขั้นที่ 2 การสอนภาษาแบบแยกส่วน การท่ีนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3ได้ฝึกกิจกรรมการตระหนักรู้หน่วยเสียง (Phonemic awareness) ประกอบด้วย 2 ข้ัน ได้แก่ขั้นการระบุหน่วยเสียง (Identification Task) เป็นกิจกรรมที่ฝึกทักษะการฟังเพื่อให้นักเรียนสามารถระบุหน่วยเสียงควบกล้�ำทีไ่ ดย้ นิ และขน้ั การจดั หมวดหมู่หนว่ ยเสยี ง (Categorization Task) เป็นกจิ กรรมทีฝ่ ึกใหน้ ักเรยี นสามารถแยกหน่วยเสียงที่แตกต่างจากหน่วยเสียงควบกล้�ำอ่ืน จากการฝึกกิจกรรมดังกล่าวท�ำให้นักเรียนบอกความแตกตา่ งของหนว่ ยเสยี งทไี่ มเ่ ขา้ กลมุ่ และนกั เรยี นตระหนกั รวู้ า่ เมอื่ นำ� หนว่ ยเสยี งมารวมกนั จะเกดิเปน็ คำ� ควบกล�ำ้ ในขนั้ การตระหนักรหู้ นว่ ยเสยี งนักเรยี นจะได้ฟงั เพยี งเสียงเท่านนั้ ส่วนการสอนภาษาแบบ โฟนกิ ส์ (Phonics) ผวู้ จิ ยั ไดแ้ บง่ กจิ กรรมออกเปน็ 2 ขนั้ ไดแ้ ก่ ขนั้ การผสมคำ� (Blending Task) เปน็ กจิ กรรมท่ชี ว่ ยใหน้ กั เรียนไดฝ้ ึกการสะกดคำ� ควบกลำ้� และข้นั การการฝึกแยกคำ� (Segmenting Task) เป็นกิจกรรม ท่ีฝึกให้นักเรียนสามารถแยกค�ำควบกล้�ำออกเป็นหน่วยเสียงได้ ผู้วิจัยพบว่าการจัดกิจกรรมดังกล่าวท�ำให้นักเรียนสามารถสะกดค�ำควบกล�้ำท่ีไม่เคยพบมาก่อนได้ และนักเรียนสามารถแยกค�ำควบกล�้ำออกเป็น หนว่ ยเสียงได้ การจดั กจิ กรรมการสอนภาษาแบบแยกส่วนผู้วิจยั ใชส้ ื่อในกิจกรรมที่มีความหลากหลาย เชน่รูปภาพการ์ตูนและบัตรพยัญชนะ ท�ำให้นักเรียนเกิดความรู้และความเข้าใจในการเชื่อมโยงระหว่างหน่วยเสยี งและพยญั ชนะ (Letter Sound Correspondence) เชน่ รูปปลา แทนดว้ ยหน่วยเสียง /p/ รูปเรอื แทนด้วยหน่วยเสียง /r/ นอกจากนี้การฝึกให้นักเรียนผสมหน่วยเสียงเป็นพยัญชนะควบกล�้ำ โดยการน�ำบัตรพยัญชนะ ป และ ร มารวมกันจะได้พยัญชนะควบกล�้ำ ปร จากการจัดกิจกรรมโดยใช้สื่อท่ีหลากหลายพบว่านักเรียนจดจ�ำหน่วยเสียงควบกล�้ำจากรูปภาพได้อย่างแม่นย�ำ สามารถสะกดค�ำและอ่านออกเสียงควบกลำ�้ ไดถ้ กู ตอ้ ง จากการจดั กจิ กรรมการเรยี นรขู้ นั้ การสอนภาษาแบบแยกสว่ น โดยเรมิ่ จากการใหน้ กั เรยี นไดฝ้ กึ การตระหนักรู้หน่วยเสียงก่อน และน�ำหน่วยเสียงมาเชื่อมโยงกับพยัญชนะแล้วฝึกการสะกดค�ำแบบโฟนิกส์ผ่านกิจกรรมท่ีสนุกสนาน และใบงานที่หลากหลาย ท�ำให้ผลสัมฤทธ์ิการอ่านออกเสียงควบกล้�ำภาษาไทยของนกั เรยี นกลมุ่ ทดลองสงู ขน้ึ ทกุ หนว่ ยเสยี ง เชน่ หนว่ ยเสยี งควบกลำ�้ ปร/pr/มนี กั เรยี นอา่ นออกเสยี งได้สูงสดุ คดิ เปน็ ร้อยละ 85 จากกอ่ นทดลองท่นี กั เรยี นอา่ นไมไ่ ด้เลย จะเหน็ ได้ว่าการจัดการเรยี นรู้ในขัน้ ที่ 2ช่วยพัฒนาทักษะการอ่านออกเสียงควบกล�้ำภาษาไทยท�ำให้นักเรียนอ่านออกเสียงควบกล้�ำภาษาไทยได้ถูกต้อง สอดคลอ้ งกับ แอมบรชั เตอร์ และคนอ่ืนๆ (Ambruster; et al. 2000: 11), แอลซ่ี (Elsea. 2001: 15),มาลนสิ (Malnnis. 2008), ซฮิ อน (Cihon. n.d.: 152), สุไปรมา ลลี ามณี (2553), และ ชลารินทร์ สุรนิ จกั ร์(2553) กล่าวว่า นักเรียน ที่ยังอ่านไม่ออกควรเริ่มจากการจัดกิจกรรมการตระหนักรู้หน่วยเสียงก่อน หรือ
วารสารมนษุ ยศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร ปที ่ี 14 ฉบบั ท่ี 3 ประจำ� เดอื นกนั ยายน - ธนั วาคม 2560 99เริ่มจากการอา่ นวรรณกรรมใหฟ้ งั เพอ่ื ใหน้ กั เรยี นรจู้ กั และคนุ้ เคยกบั ตวั หนงั สอื จนกระทง่ั สามารถระบหุ นว่ ยเสยี ง แยกแยะหน่วยเสยี งหรือถอดรหสั หน่วยเสียง กอ่ นทจี่ ะสอนใหน้ �ำหนว่ ยเสยี งมาเชอ่ื มโยงกับพยญั ชนะและฝึกสะกดคำ� 1.3 การจัดกิจกรรมขั้นท่ี 3 การสอนภาษาแบบองค์รวม การแต่งนิทานและแลกเปลี่ยนความรู้ (Production and Sharing) เปน็ ขน้ั ทใ่ี หน้ กั เรยี นทำ� กจิ กรรมกลมุ่ โดยการแตง่ นทิ านควบกลำ�้ วาดภาพระบายสีประกอบนิทาน ในการแต่งนิทานน้ันจะช่วยฝึกและช่วยส่งเสริมให้นักเรียนมีทักษะความคิดในข้ันสูง(Higher-Order Thinking) ทำ� ใหน้ กั เรยี นมจี นิ ตนาการ ความคดิ รเิ รม่ิ สรา้ งสรรค์ วางแผน สรปุ ความ ประยกุ ต์ความรู้ท่ีได้เรียนมาใช้แต่งนิทาน สอดคล้องกับแนวคิดของ บลูม (Bloom. 1979) ทักษะการน�ำไปใช้(Application)เปน็ การนำ� ความรทู้ ม่ี ไี ปประยกุ ตใ์ ชใ้ นกจิ กรรมอนื่ และมกี ารประกวดคดั เลอื กนทิ านโดยนกั เรยี นในหอ้ ง ซงึ่ เปน็ การฝกึ ทกั ษะการประเมนิ คา่ (Evaluation) โดยมเี กณฑก์ ารใหค้ ะแนน (Rubrics) อยา่ งชดั เจนปรากฏในผลงานชองนกั เรียนชัน้ ประถมศกึ ษาปที ี่ 3 (ภาพท่ี 2) ภาพที่ 2 ผลงานนกั เรยี นชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 จากการจัดกิจกรรมฝึกทักษะในข้ันที่ 3 ท�ำให้นักเรียนมีความม่ันใจที่จะอ่านเองตามล�ำพัง(Independent Reading) และนักเรียนมีความสามารถในการอ่านออกเสียงควบกล้�ำเองได้อย่างมั่นใจผลการวจิ ยั แสดงใหเ้ หน็ วา่ การจดั การเรยี นรตู้ ามแนวการสอนแบบสมดลุ ภาษาทงั้ 3 ขน้ั โดยเรมิ่ จากนกั เรยี นไดร้ บั ความเพลดิ เพลนิ จากการฟงั นทิ านควบกลำ้� ในขนั้ ท่ี 1 ทำ� ใหน้ กั เรยี นไดเ้ รยี นรู้คำ� ประโยค และความหมายของค�ำในประโยคใหม่ๆ ส่วนในข้ันท่ี 2 การสอนภาษาแบบแยกส่วน เป็นการฝึกการตระหนักรู้หน่วยเสียงและการสะกดค�ำ เพื่อเสริมสร้างความม่ันใจในการอ่านออกเสียงควบกล�้ำให้แก่นักเรียนจนกระท่ังนักเรียนสามารถสะกดคำ� และอา่ นออกเสยี งควบกลำ�้ ไดถ้ กู ตอ้ ง และสามารถนำ� ความรดู้ งั กลา่ วมาใชใ้ นการแตง่ นทิ าน
100 Journal of Humanities, Naresuan University Year 14 Volumn 3, September - December 2017ในขั้นที่ 3 โดยการน�ำควบกล้ำ� ทไ่ี ดเ้ รียนไปประยุกต์ใช้ในการแต่งนทิ าน วาดภาพระบายสีประกอบในนิทาน ซง่ึ จากการจดั กจิ กรรมทงั้ 3 ขนั้ ทำ� ใหน้ กั เรยี นสามารถอา่ นเองตามลำ� พงั และนำ� ไปประยกุ ตใ์ ชใ้ นชวี ติ ประจำ� วนั ได้สอดคลอ้ งกบั งานวจิ ยั ของสทิ ธอิ ำ� นวย(Sithi-Amnuai.2011)ทท่ี ำ� การศกึ ษาการจดั การเรยี นรตู้ ามแนวการสอนแบบสมดลุ ภาษาท้ัง 3 ข้นั พบวา่ ชว่ ยส่งเสริมทกั ษะดา้ นการอา่ นออกเสยี งภาษาองั กฤษของนักเรยี นเกรด 1ให้มปี ระสทิ ธิภาพดียิง่ ขึ้น 2. หนว่ ยเสียงควบกล้ำ� ภาษาไทยทเี่ ปน็ ปัญหาในการจดั การเรยี นรู้ การวจิ ยั ครงั้ นพี้ บวา่ มหี นว่ ยเสยี งควบกลำ�้ ทน่ี กั เรยี นกลมุ่ ทดลองอา่ นออกเสยี งไดต้ ำ�่ กวา่ รอ้ ยละ 50อยู่ 5 หน่วยเสียงได้แก่ หน่วยเสียงควบกล�้ำ ปล /pl/, ผล /phl/, พล /phl/, พร /phr/, และ ขร /khr/ ทั้งนี้มีสาเหตมุ าจากหน่วยเสียงควบกล�้ำ ปล /pl/ และ พร /phr/ มีคำ� ควบกล�ำ้ ท่อี ่านออกเสยี งยากและนักเรียนไมเ่ คยพบในแบบเรยี นและไมเ่ คยไดอ้ า่ นมากอ่ น เชน่ “กะปลกกะเปลยี้ ปลอมแปลง ปลอ่ ยปละ พรบ่ึ พน้ พรงั่ พร ู พรอ้ มพรกั ”สาเหตดุ งั กลา่ วทำ� ใหน้ กั เรยี นอา่ นออกเสยี งควบกลำ้� ทง้ั 2หนว่ ยเสยี งเทา่ กนั คดิ เปน็ คา่ รอ้ ยละ33.33 นอกจากนผ้ี วู้ ิจัย พบวา่ ถ้าพยัญชนะควบกล้�ำ 1 ตวั ท่ีมี 1 หน่วยเสียง (1:1) นั้นไม่เป็นปัญหามากสำ� หรบั นกั เรยี น ในขณะทพี่ ยญั ชนะควบกลำ้� 2 ตวั ทม่ี ี 1 หนว่ ยเสยี ง (2:1) นน้ั จะเปน็ ปญั หาในการจดั กจิ กรรมการเรยี นรู้มากกว่า จากการศกึ ษาวจิ ยั พบว่าหน่วยเสียงควบกล�้ำภาษาไทยทเี่ ปน็ ปัญหา ไดแ้ ก่ 2.1 หนว่ ยเสยี งควบกลำ�้ พยญั ชนะระเบดิ ไมก่ อ้ ง มลี ม และเกดิ จากรมิ ฝปี าก (Voiceless AspiratedBilabial Plosive) ดงั ภาพที่ 3 /phl/ ผล พล ภาพท่ี 3 แสดงหน่วยเสยี งควบกลำ้� ภาษาไทย /phl/ เม่ือพิจารณาค่าร้อยละการอ่านออกเสียงควบกล�้ำภาษาไทยของนักเรียนกลุ่มทดลอง ก่อนและ หลงั การทดลอง พบว่าหน่วยเสียงควบกล้�ำ พล ผล /phl/ นกั เรยี นอา่ นออกเสยี งได้คดิ เป็นรอ้ ยละ 45 และ ร้อยละ 32.5 ถอื วา่ ไมผ่ า่ นเกณฑร์ อ้ ยละ 50 ซึง่ มสี าเหตุมาจากการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ในข้ันการตระหนกัรหู้ นว่ ยเสยี ง โดยนกั เรยี นไมส่ ามารถระบหุ นว่ ยเสยี งทไี่ ดย้ นิ วา่ เปน็ หนว่ ยเสยี งพยญั ชนะควบกลำ้� ผล พล /phl/เชน่ เมอื่ ผู้วิจยั ออกเสยี งคำ� วา่ ผลัด กับ พลาด นกั เรียนจะตอบท้ัง 2 พยัญชนะเพราะไม่แน่ใจว่าเปน็ ตวั ไหนนอกจากนย้ี งั พบปญั หาดงั กลา่ วในขนั้ การจดั กจิ กรรมการสอนภาษาแบบโฟนกิ สข์ นั้ การเชอื่ มโยงหนว่ ยเสยี งและพยัญชนะ โดยนักเรียนจะใช้หนว่ ยเสยี งสลบั กนั ระหวา่ ง ผ เป็น พ เช่นคำ� ว่า ผลติ เปน็ คำ� ว่า พลติ ท้งั นี้เน่ืองจากพยญั ชนะดงั กล่าวมรี ปู พยญั ชนะท่มี ีลกั ษณะคลา้ ยคลงึ กันท�ำให้เกดิ ความสบั สน 2.2 หนว่ ยเสยี งพยญั ชนะระเบดิ ไมก่ อ้ ง มลี ม ซงึ่ เกดิ จากเพดานออ่ น (Voiceless Aspirated VelarStop) ดงั ภาพท่ี 4
วารสารมนษุ ยศาสตร์ มหาวิทยาลยั นเรศวร ปที ่ี 14 ฉบบั ที่ 3 ประจำ� เดอื นกนั ยายน - ธนั วาคม 2560 101 /khl/ /khr/ /khw/คล ขล คร ขร คว ขว ภาพท่ี 4 แสดงหนว่ ยเสยี งควบกล้ำ� ภาษาไทย /khl/, /khr/, /khw/ การจดั กจิ กรรมการตระหนกั รหู้ นว่ ยเสยี ง นกั เรยี นไมส่ ามารถระบคุ วามแตกตา่ งของหนว่ ยเสยี งได้เชน่ เมอ่ื ผวู้ จิ ยั ออกเสยี ง /kh/, /w/, /aa/, /n/ = ควาน ทเ่ี ปน็ คำ� กรยิ า นกั เรยี นจะเขา้ ใจผดิ เปน็ คำ� วา่ ขวานทเ่ี ปน็ คำ� นาม เพราะนกั เรยี นจะจดจำ� คำ� ควบกลำ้� ทเี่ ปน็ รปู ธรรมไดด้ กี วา่ คำ� ทเ่ี ปน็ นามธรรม นอกจากนป้ี ญั หาดังกล่าวยังพบในหน่วยเสียงควบกล�้ำ ขร คร /khr/ เมื่อผู้วิจัยออกเสียงค�ำว่า /kh/, /r/, /ua/ = ขรัวโดยนักเรยี นจะใชค้ ำ� วา่ “ครัว” มาแทนหนว่ ยเสียงควบกล�้ำ ขร /khr/ เพราะนกั เรยี นจะเลือกใช้คำ� ที่ค้นุ เคยมาตอบ ผู้วจิ ยั แก้ปญั หาดงั กล่าวโดยการใชร้ ปู ภาพท่มี ีสสี นั สวยงามและบัตรพยัญชนะควบกล้ำ� มาใชใ้ นขน้ัการสอนภาษาแบบแยกส่วน ท�ำให้นักเรียนได้เรียนรู้การเชื่อมโยงระหว่างรูปภาพและหน่วยเสียงควบกล้�ำและการนำ� รปู ภาพมาเชอ่ื มโยงกบั พยญั ชนะควบกลำ�้ โดยการใชร้ ปู ภาพนนั้ ชว่ ยสอื่ ความหมาย (Meaningful)ระหว่างหน่วยเสียงกับพยัญชนะได้ดีในกิจกรรมการตระหนักรู้หน่วยเสียงและสะกดค�ำในการสอนภาษาแบบโฟนิกส์ มาแกป้ ัญหาดังกลา่ วท�ำใหน้ กั เรยี นอา่ นออกเสยี งควบกลำ�้ ภาษาไทยไดส้ งู ขนึ้ เกินร้อยละ 50ขอ้ เสนอแนะในการวจิ ยั ในกิจกรรมการเล่านิทาน ครูควรใช้รูปภาพ สื่อสิ่งพิมพ์ หรือนิทานเล่มใหญ่ (Big Book) เพื่อให้นักเรียนทุกคนมองเห็นท�ำให้นักเรียนสนใจขณะฟังนิทานมากยิ่งข้ึน และควรเพิ่มเวลาให้นักเรียนในการทำ�ใบงาน ขนั้ การสอนแบบแยกส่วน เพราะบางกิจกรรมนักเรียนตอ้ งระบายสี การจัดกิจกรรมกลุ่มควรจัดให้มีสมาชิก 2-3 คนเพราะเมือ่ มีจำ� นวนสมาชิกมากเกนิ ไปนกั เรียนจะไมช่ ว่ ยกันท�ำงาน การจดั กจิ กรรมขน้ั ท่ี2ควรสอนความหมายของคำ� ควบกลำ�้ เพมิ่ เตมิ โดยการใชร้ ปู ภาพทมี่ คี วามหมายสอดคล้องกับค�ำควบกล้�ำเพื่อให้นักเรียนสามารถอ่านออกเสียงได้ถูกต้องและรู้ความหมายค�ำควบกล้�ำ โดยเฉพาะกิจกรรมการสอนภาษาแบบแยกส่วน ข้ันการตระหนักรู้หน่วยเสียง และขั้นการสอนภาษาแบบโฟนิกส์ พยัญชนะควบกล้�ำ 2 ตัว ท่ีมี 1 หน่วยเสียง ได้แก่ ผล พล /phl/, ขล คล /khl/, ขร คร /khr/ และขว คว /khw/ ครคู วรอธบิ ายความแตกตา่ งของหนว่ ยเสยี งควบกลำ�้ ดงั กลา่ วโดยใชร้ ปู ภาพ และบตั รพยญั ชนะช่วยให้นักเรียนเข้าใจก่อนที่จะจัดกิจกรรมการเรียนการสอน นอกจากน้ีควรพัฒนาการอ่านออกเสียงควบกลำ้� ภาษาไทยตามแนวการสอนแบบสมดลุ ภาษาในระดบั ชว่ งชนั้ ทส่ี งู ขนึ้ และกบั ทกั ษะทห่ี ลากหลายขนึ้ เชน่ทักษะการฟงั การพดู การอา่ นและการเขยี น
102 Journal of Humanities, Naresuan University Year 14 Volumn 3, September - December 2017 บรรณานกุ รมกฤษณาสภุ าพกั ตร.์ (2551).แบบฝกึ ทกั ษะการอา่ นออกเสยี งควบกลำ้� สำ� หรบั ชาวตา่ งชาต.ิ ปรญิ ญานพิ นธ.์ ศศ.ม. (การสอนภาษาไทยในฐานะภาษาตา่ งประเทศ). กรุงเทพฯ: บัณฑิตวทิ ยาลยั มหาวิทยาลยั ศรนี ครินทรวิโรฒ. ชลารนิ ทร์ สรุ นิ จกั ร.์ (2553). การสอนภาษาแบบโฟนกิ สป์ ระกอบกบั การสอนภาษาไทยแบบองคร์ วม เพอ่ื พฒั นาทกั ษะการอา่ นออกเสยี งและการเขยี นสะกดคำ� ของนกั เรยี นชน้ั มธั ยมศกึ ษาปที ี่ 1 ที่ใช้ภาษาไทยเป็นภาษาที่สอง. วิยานิพนธ์ ศศ.ม. (ภาษาไทย). เชียงใหม่: บัณฑิตวิยาลัย มหาวิทยาลัยราชภัฏเชยี งใหม.่นฤชา ดิฐเบญจกุล. (2554). ชุดเสริมทักษะทางภาษาเรื่องค�ำควบกล้�ำมีนิทานแสนสนุก. กรุงเทพฯ: Best 4kids. วัชรี ธุวธรรม. (2553). แบบฝึกอ่าน ร,ล และควบกล�้ำระดับประถมศึกษา. พิมพ์คร้ังท่ี 3. กรุงเทพฯ: องคก์ ารค้าของ สกสค.สุกัญญา เรืองจรูญ. (2560). การวิเคราะห์ปัญหาการอ่านออกเสียงภาษาไทยของนักเรียนชาวไทย ปกากะญอ ตำ� บลตะนาวศรี จังหวดั ราชบุรี. วารสารมนษุ ย์ศาสตรป์ รทิ รรศน์ 39(1), 71-81.สุไปรมา ลลี ามณี. (2553). ศึกษาความสามารถในการอา่ นคำ� และแรงจงู ใจในการอ่านของนกั เรียน ชั้นประถมศึกษาปีท่ี 3 ที่มีปัญหาการเรียนรู้ด้านการอ่านจากการสอนโดยผสมผสานวิธี แบบโฟนิกส์ (Phonics) กบั วธิ พี หสุ ัมผสั (Multi – Sensory Approach). ปรญิ ญานพิ นธ์ กศ.ม. (การศกึ ษาพิเศษ). กรงุ เทพฯ: บณั ฑติ วิทยาลัย มหาวิทยาลยั ศรีนครินทรวโิ รฒ.สมบูรณ์ เหล็กเพ็ชร. (2557). การพัฒนาแบบฝึกทักษะการอ่านออกเสียงค�ำควบกล้�ำ ร ล ว ส�ำหรับ นกั เรยี นชน้ั ประถมศกึ ษาปที ี่5. ปรญิ ญานพิ นธ.์ ค.ม.(การพฒั นาหลกั สตู รและการเรยี นการสอน). อุบลราชธาน:ี บณั ฑิตวิทยาลยั มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี. ส�ำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน. (2551). หลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพื้นฐาน พุทธศักราช 2551. กรุงเทพฯ: สำ� นกั งานวชิ าการและมาตรฐานการศึกษา.อานงค์ ใจรงั กา. (2547). การพัฒนาทกั ษะการอา่ นออกเสียงคำ� ควบกล�้ำส�ำหรบั นักเรียนช้ันประถม ศึกษาปีที่ 6 โดยใช้แบบฝึกทักษะการอ่านออกสียงค�ำควบกล้�ำ ร ล ว. วิทยานิพนธ์ ค.ม. (หลักสตู รและการสอน). อตุ รดิตถ์: บณั ฑิตวทิ ยาลยั มหาวทิ ยาลัยราชภฏั อุตรดติ ถ.์อารี สณั หฉวี. (2550). สอนภาษาไทยแนวสมดุลภาษา. กรงุ เทพฯ: สมาคมเพ่อื การศึกษาเด็ก.Ambruster, Bonnie B. et al. (2000). The Research Building Blocks for Teaching Children to Read Put Reading First Kindergarten Through Grade 3. Retrieved April 29, 2015, From https:// lincs.ed.gov/publications/pdf/PRFbooklet.pdf.Bloom, Benjamin S. (1979). Taxonomy of Education Objectives, Handbook I: Cognitive Domain : New York : David Mc Kay Company.Cihon, Traci M. (n.d.). Using visual Phonics as a strategic intervention to increase literacy behaviors for kindergarten participants at-risk for reading failure. Retrieved May 9, 2015, From http://files.eric.ed.gov/fulltext/EJ847485.pdf.
วารสารมนษุ ยศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร ปที ่ี 14 ฉบบั ท่ี 3 ประจำ� เดอื นกนั ยายน - ธนั วาคม 2560 103Elsea, Becky. (2001). Increasing Students’ Reading Readiness Skills through the Use of a Balanced Literacy Program. Retrieved May 1, 2015, From http://files.eric.ed.gov/fulltextpdf.Malnnis, Alicia. (2008). Phonemic awareness and sight word reading in toddlers. Retrieved April 9, 2015, From http://etd.lsu.edu/docs/available/etd06062008144403/unrestricted/ AMcInnisdiss2008.pdf.Sithi-Amnuai, Chamaphat. (2011). The Development Of Balanced English Instruction Course For Grade One Students In Bangkok. Chulalongkorn University. Photocopy.Smith, John W.A. & Elley, W. B. (1994). Learning to Read in New zealand. Auckland : Longman Paul.
Search
Read the Text Version
- 1 - 13
Pages: