ความจำระยะสั้นและความจำขณะทำงาน (SHORT-TERM MEMORY AND WORKING MEMORY) ม ห า วิ ท ย า ลั ย ร า ช ภั ฏ เ ชี ย ง ใ ห ม่
รายงาน รายวชิ า PG 2114 จิตวทิ ยาการรู้คดิ เรื่อง ความจาระยะส้ันและความจาขณะทางาน เรียบเรียงและจัดทาโดย 1.นางสาววสั สพร อตุ รนคร 63141410 2.นายวศิ วะ ทมิ ปาน 63141418 3.นางสาวชฎาวรรณ จติ ต์สุขเกษม 63141425 4.นางสาวญาณิศา ตาดี 63141426 5.นางสาววรี ยา นามเยน็ 63141436 6.นางสาวพชิ ญา บุญเรือง 63141453 7.นางสาวจารุมน คงสถาน 63141459 เสนอ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ทัศนีย์ บญุ แรง ภาควชิ าจิตวทิ ยา คณะครุศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั เชียงใหม่
คานา รายงานฉบับน้ีเป็ นส่วนหน่ึงของรายวิชา PG 2114 จิตวิทยาการรู้คิด (Cognitive Psychology) คณะผูจ้ ัดทาได้ทาการศึกษาเรื่อง ความจาระยะส้ันและความจาขณะทางาน (Short-Term Memory and Working Memory) โดยมีวตั ถุประสงค์เพ่ือให้ไดศ้ ึกษาเกี่ยวกบั กระบวนการของความจา และรายละเอียด เกี่ยวกบั ความจาระยะส้นั และความจาขณะทางานของมนุษย์ ท้งั น้ีทางคณะผูจ้ ดั ทา ขอขอบพระคุณผูช้ ่วยศาสตราจารย์ทศั นีย์ บุญแรง อาจารยผ์ ูส้ อนในรายวิชา จิตวิทยาการรู้คิด ช่วยใหค้ วามรู้คาแนะในการทางาน Final Project และผชู้ ่วยศาสตราจารย์ ดร.ปวีณา โฆสิ โต ผูร้ วบรวมและจดั ทาหนงั สือรายวิชาจิตวิทยาการรู้คิด ภาควิชาจิตวิทยา คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลยั รา= ภฎั เชียงใหม่ และทางคณะผูจ้ ดั ทาหวงั ว่ารายงานฉบบั น้ีจะให้ความรู้และเป็ นประโยชน์แก่ผูอ้ ่านทุกๆท่าน หากผดิ พลาดประการใดขออภยั มา ณ ท่ีน้ี คณะผู้จดั ทา
ก หน้า สารบญั 1 2 เร่ือง 3 6 แบบจาลองความจา 7 - ความจาจากการรับสมั ผสั 9 - ความจาระยะส้ัน 11 12 แบบจาลองความจาขณะทางาน 13 ภาระความจา การวดั ความจา ตวั อยา่ งงานวจิ ยั ท่ีเกี่ยวขอ้ งกบั ความจาระยะส้ัน แบบทดสอบความจาระยะส้ัน บรรณานุกรม
ข หน้า สารบัญรูปภาพ 1 ภาพที่ 4 5 ภาพท่ี 1 แบบจาลองความจา 6 ภาพที่ 2 เกมจบั ผดิ ภาพคน้ หาความแตกต่าง 7 ภาพท่ี 3 กราฟแสดงร้อยละการระลึกไดต้ ามลาดบั การนาเสนอคา 8 ภาพท่ี 4 Working Memory Model ภาพที่ 5 เกมพอดีกบั แกะ ภาพท่ี 6 เกมแบบฟอร์มคู่
1 ความจาระยะส้ัน ความจาระยะส้ัน (Short-Term Memory หรือ STM) คือ หน่วยความจาที่สามารถเก็บขอ้ มูลไดจ้ ากดั ภายในระยะเวลาส้ันๆ ความจาชนิดน้ีมกั จะถูกรบกวนไดง้ ่ายและสามารถถูกลืมไดภ้ ายในไม่กี่วินาที เราใช้ ความจาระยะส้นั ในการจาชวั่ คราวเพ่ือใชใ้ นการทางาน แบบจาลองความจา (Modal Model) 1แอตคินสันและชิฟฟริน (Atkinson & Shiffrin, 1968) ไดเ้ สนอแบบจาลองความจาข้ึนมา มีใจความ วา่ ความจาระยะส้ัน (Short-term Memory) เป็นความจาชว่ั คราว ส่ิงใดกต็ ามถา้ อยใู่ นความจาระยะส้ันตอ้ ง ไดร้ ับการทบทวนอยตู่ ลอดเวลา มิฉะน้นั ความจาสิ่งน้นั จะสลายตวั ไปอยา่ งรวดเร็ว ในการทบทวนน้นั เราจะ ไมส่ ามารถทบทวนทุกส่ิงที่เขา้ มาอยใู่ นความจาระยะส้ัน ดงั น้นั จานวนส่ิงของที่เราจะจาไดใ้ นความจาระยะ ส้นั จึงมีจากดั เช่น ถา้ เป็นช่ือคนเราอาจทบทวนไดเ้ พียง 3 ถึง 4 ชื่อ ในขณะหน่ึงๆ การทบทวนป้องกนั ไม่ให้ ความจาสลายตวั ไปจากความจาระยะส้ัน และส่ิงใดก็ตามถา้ อยใู่ นความจาระยะส้ันเป็นระยะเวลายงิ่ นาน ส่ิง น้นั กจ็ ะมีโอกาสฝังตวั กลายเป็นความจาระยะยาว (Long-term Memory) และติดอยใู่ นความจาตลอดไป ภาพท่ี 1 แบบจาลองความจา ที่มา: https://www.healthcarethai.com/ระบบความจา/ แบบจาลองความจา Modal Model (Modal model of memory) ท่ีเสนอโดย Atkinson and Shiffrin (1968) น้ีไดด้ าเนินการตามหลกั การของ Newell and Simon (1972, อา้ งถึงใน อบุ ลวรรณา ภวกานนั ท,์ 2556; Goldstein, 2008) ที่เสนอหลกั การเบ้ืองตน้ ของความจาโดยระยะตา่ งๆของ Modal model น้ีเรียกวา่ ลกั ษณะ ทางโครงสร้างของแบบจาลอง (structural features of the model) ซ่ึงประกอบดว้ ย 3 ลกั ษณะทางโครงสร้าง สาคญั คือ ความจาจากการสัมผสั (sensory memory) ความจาระยะส้นั (short-term memory) และความจา ระยะยาว (long-term memory) ดงั จะกล่าวในรายละเอียดตอ่ ไป 1บทความการดูแลสุขภาพ และเคลด็ ลบั เพอ่ื สุขภาพดี, สืบคน้ เมอื่ 18 มกราคม 2665. จาก. https://www.healthcarethai.com/ระบบความจา/
2 1) ความจาจากการรับสัมผสั (Sensory memory) เป็ นระยะเริ่มตน้ ของความจาท่ีเป็ นการคงข้อมูลต่างๆ ที่เขา้ มาและบนั ทึกเก็บที่ประสาทสัมผสั (sensory register) ไวใ้ นระยะวินาทีหรือเส้ียววินาที ขอ้ มูลตา่ งๆมากมายท้งั ที่คนเราสามารถสมั ผสั ไดด้ ว้ ยการ มองเห็น การไดย้ ิน หรือ การสัมผสั ไดด้ ว้ ยอวยั วะรับสัมผสั อื่นๆ เมื่อบุคคลรับสัมผสั สิ่งเร้าแลว้ ก็จะเกิดเป็น ความจาจากการสัมผสั และบนั ทึกขอ้ มลู ท้งั หมดท่ีบุคคลรับสัมผสั เอาไว้ ซ่ึงเป็นความจาที่เกิดข้ึนในช่วงเวลา ท่ีส้ันมาก ถา้ บุคคลไม่ใหค้ วามสนใจในการรับสมั ผสั หรือไมไ่ ดน้ าขอ้ มลู ไปสู่ส่วนความจาระยะส้ัน เม่ือเวลา ผ่านไปขอ้ มูลที่เป็ นความจาจากการสัมผสั ก็จะสลายไป (วรรณี ลิมอกั ษรง 2554) โดยด่านแรกในการรับ ขอ้ มูลจากส่ิงแวดลอ้ มภายนอก ขอ้ มูลท่ีเก็บในส่วนน้ีจะสูญหายอย่างรวดเร็วเพราะมีความสามารถในการ เกบ็ ขอ้ มลู ในเวลา 0-2 วนิ าที ขอ้ มูลท่ีผา่ นการกรองจะถกู ส่งต่อไปยงั ความจาระยะส้ัน มีความสามารถในการ เก็บขอ้ มูล 20 วินาที และเก็บไวไ้ ดน้ านประมาณ 5-9 กลุ่มขอ้ มูลโดยเฉล่ีย 7 หน่วย หากไม่มีการทบทวน ขอ้ มูลจนถึงระดบั ที่สามารถจะส่งไปความจาระยะยาวเพ่ือการเก็บถาวรขอ้ มูลน้ันจะเลือนหายไปทาให้เกิด การลืม การลืมอาจเกิดจากการแทรกแซงขอ้ มลู ทาใหไ้ ม่สามารถเรียกขอ้ มูลจากความจาระยะยาวใชง้ านได้ Galotti (2008) ไดก้ ลา่ ววา่ นกั วิทยาการรู้คิดหลายทา่ นไดต้ ้งั สมมุติฐานวา่ ความจาจากการรับสัมผสั ต่างๆ น้นั แยกกนั ในรูปแบบการรับรู้ของระบบสมั ผสั แต่ละประเภท แต่งานวิจยั ส่วนมากจะมุง่ ศึกษาเกี่ยวกบั ความจาจากการรับสัมผสั 2 แบบแรก คือ ความจาจากการรับสัมผสั ทางการมองเห็น ที่เรียกว่า icon และ ความจาจากการรับสมั ผสั ทางการไดย้ นิ ท่ีเรียกวา่ echo โดยมีคณุ ลกั ษณะดงั น้ี 1.1 ความจาภาพติดตา (Iconic memory) เป็ นความจาจากการรับสัมผสั ทางการมองเห็น (Visual sensory memory) ที่เก็บจาภาพที่เห็น (ภาพติดตา) ซ่ึงมีระยะเวลาความคงอยปู่ ระมาณ 0.25 วินาที เช่น - ถา้ หลบั ตาสักครู่ แลว้ ยกมือมาไวต้ รงหนา้ กะพริบตาอย่างรวดเร็วดว้ ยการลืมตาและการหลบั ตาลง อีกคร้ัง จะยงั คงเห็นจินตนาการประมาณคร่ึงวินาทีท่ีหลบั ตาลง - ในขณะที่เราดูภาพยนตร์หรืออนิเมชนั่ ระหวา่ งการฉายภาพแต่ละภาพ เครื่องฉายจะกระพริบดบั ไป และจะสวา่ งอีกคร้ังเม่ือภาพไดถ้ กู เปลี่ยนไปแลว้ แตเ่ ราไมไ่ ดส้ งั เกตเห็นการกระพริบของแสง ดงั น้นั เราจะเห็นเป็นภาพที่ต่อเนื่องกนั ไปเรื่อยๆ - การปาลูกบอลลงพ้ืน เม่ือลูกบอลถูกกระแทกจากน้ันจะค่อยๆเด้งสูงข้ึน ซ่ึงเราจะไม่เห็นเป็ น ภาพเคล่ือนไหวอยา่ งชา้ ๆ แตจ่ ะเห็นเป็นภาพที่ลกู บอลถูกปาลงพ้นื แลว้ เดง้ ข้นึ ทนั ที - ภาพอบุ ตั ิเหตุสุดสยดสยอง ในสถานการณ์ท่ีเกิดอุบตั ิเหตุร้ายแรงบนทอ้ งถนนในเส้นทางท่ีตอ้ งผา่ น เราเผลอมองไปยงั ผปู้ ระสบอุบตั ิเหตมุ ีสภาพร่างกายท่ีผดิ รูป มีเลือดไหลนองเตม็ พ้ืน ซ่ึงเป็นภาพท่ี ไมน่ ่าดู ส่งผลใหเ้ รากลวั และจาภาพน้นั
3 - เม่ือเราเห็นแสงฟ้าแลบเราจะยกมือข้นึ ปิ ดตาทนั ที แต่เรายงั จาภาพของฟ้าแลบที่เป็นเส้นคลา้ ยรากไม้ ไดถ้ ึงแมว้ า่ เราจะปิ ดตาไปแลว้ ก็ตาม เป็นตน้ 1.2 ความจาเสียงก้องหู (Echoic memory) เป็ นความจาจากการรับสัมผสั ทางการไดย้ ิน (Auditory sensory memory) ท่ีเก็บจาดว้ ยการไดย้ นิ (เสียงกอ้ งหู) ซ่ึงมีระยะเวลาความคงอยปู่ ระมาณ 3 วินาที เช่น - เม่ือเพื่อนอ่านรายการสิ่งของใหเ้ ราฟัง เราจะเกบ็ ขอ้ มูลของแต่ละรายการในรูปของเสียงในหู - บางคร้ังเราฟังใครที่เขาพดู ไมช่ ดั เจนนกั จึงถามไปวา่ “พดู วา่ อะไรนะ” แตก่ ่อนที่จะไดร้ ับคาตอบ เรา ก็ชิงตอบก่อนว่า “อ่อ เขา้ ใจแลว้ ” หมายถึงการตีความเสียงน้ันใหม่จนเกิดความเขา้ ใจ และเสียงท่ี ตีความใหมน่ ้นั หาใช่เสียงจากผพู้ ูดหากแตเ่ ป็นเสียงท่ีกอ้ งอยใู่ นหู - การตามหาชื่อเพลงที่มีทานองหรือเน้ือร้อง จากการฟังผ่านสื่อต่างๆทาให้ติดอยู่ในหูและอยากฟัง เพลงท่ีไดย้ นิ ผา่ นๆอีกคร้ัง เป็นตน้ 1.3 ความจารับสัมผัส (Haptic memory) เป็ นความจาอาศยั ความรู้สึกท่ีเป็ นฐานขอ้ มูลของสิ่งเร้า ทางสัมผสั เช่น - เกมจบั ของในกล่อง ไดส้ ัมผสั กบั ของในกล่องโดยท่ีเรามองไม่เห็นส่ิงๆน้ันท่ีอยู่ขา้ งใน จะตอ้ งใช้ ความรู้สึกจากการสมั ผสั และประสบการณ์ - ความรู้สึกหลากหลายจากการสมั ผสั สิ่งเร้าผา่ นทางกายสัมผสั ซ่ึงเป็นความรู้สึกที่เกิดข้ึนทนั ทีทนั ใด แลว้ เราละลึกไดว้ า่ ความรู้สึกท่ีไดร้ ับน้นั เป็นแบบใด เมื่อเราโดนของมีคมบาดเขา้ ที่นิ้ว เรารู้ไดท้ นั ที ว่าเราน้ันรู้สึกเจ็บ หรือการโดนน้าร้อนลวกจะรู้สึกทนั ทีว่าร้อนมากๆ จึงรีบปล่อยมือออก เป็ น ความรู้สึกที่เกิดข้นึ ทนั ทีแลว้ เราจะจาวา่ ความรู้สึกจากการสมั ผสั สิ่งเร้าต่างๆเป็นแบบน้ี เป็นตน้ 1.4 ความจาจากกลน่ิ (Smell memory) เป็นความจาจากการรับสัมผสั ผา่ นทางจมูก เช่น กลิ่นอาหาร ท่ีคุน้ เคย เม่ือเดินผ่านร้านอาหารหรือสตรีทฟู้ดมกั จะได้กล่ินอาหารท่ีหลากหลายและกลิ่นน้ันจะประสม ปนเปกัน ถา้ เป็ นกลิ่นอาหารท่ีคุ้นเคยจะรับรู้ได้ว่ากลิ่นน้ันคืออาหารชนิดใด อย่างเมนูผดั กะเพราซ่ึงใบ กะเพราจะมีกล่ินฉุนท่ีเป็นเอกลกั ษณ์ 2) ความจาระยะส้ัน (Short-term memory / STM) เป็นระบบต่อจากความจาจากการสัมผสั ขอ้ มูลที่บนั ทึกไวใ้ นความจาจากการรับสัมผสั จะส่งต่อไป ยงั ความจาระยะส้ันซ่ึงเป็นช่วงระยะเวลาส้ันๆ และบนั ทึกในความจาระยะส้นั George Miller (1955, อา้ งถึง ใน Galotti, 2008) เสนอว่าถึงแมว้ ่าจะมีการบนั ทึกขอ้ มูลไวใ้ นความจาระยะส้ัน แต่ขีดจากดั ความสามารถ ของความจาระยะส้นั (Limitation of STM capacity) มีความจุขอ้ มูล 7 ± 2 หน่วย (5-9) หน่วย และระยะเวลา ความคงทนประมาณ 30 วินาที หลงั จากน้นั ถา้ ยงั ไม่ไดน้ าขอ้ มูลไปบนั ทึกในความจาระยะยาว บคุ คลกจ็ ะลืม
4 ขอ้ มูลในความจาระยะส้ันไปหมด วิธีการที่จะยดื เวลาให้ขอ้ มูลน้นั หรือท่องจาขอ้ มูลน้นั ซ้าๆ (rehearsal) ซ่ึง สามารถจาไดใ้ นช่วงเวลาไมน่ านนกั การลืมก็จะเกิดข้นึ ไดอ้ ีก เช่น - เกมจบั ผิดภาพคน้ หาความแตกต่าง ใหด้ ูภาพท่ีมีลกั ษณะคลา้ ยกนั และใหห้ าความแตกต่างของภาพ ท้งั สองจากน้นั ก็ใหว้ งกลมว่ามีจุดใดบา้ ง ซ่ึงบุคคลไม่สามารถจาไดท้ ้งั หมดเม่ือตอ้ งหาจุดท่ีแตกต่าง กนั คนเราก็จะตอ้ งเริ่มตน้ มองภาพใหม่อีกคร้ังเพื่อหาความแตกต่างในแตล่ ะจุด ภาพที่ 2 เกมจบั ผดิ ภาพคน้ หาความแตกตา่ ง ท่ีมา: ท่ีมา: https://th.thpanorama.com/articles/psicologa/11-juegos-para-ejercitar-la-memoria-en-nios- adultos-y-mayores.html - ในบางคร้ังเวลาจะพดู อะไรท่ีสาคญั ออกมา เรามกั จะชอบลืมในสิ่งที่จะพูดอยบู่ ่อยๆ เป็นตน้ การเพ่มิ ประสิทธิภาพความจาระยะส้นั สามารถทาไดห้ ลายวิธี เช่น 2.1 การรวมข้อมูลเป็ นหน่วยและช่วงความจา (Chunking and memory span) Chunk คือ การรวมเป็ นหน่วย/เร่ือง (Chunking การจดั กลุ่ม) และ Memory span คือ จานวนหน่วย ของขอ้ มลู ที่มีจานวนมากท่ีสุดที่สามารถบรรจุในการจาในช่วงเวลาหน่ึง ๆ เช่น - การจดจาหมายเลขโทรศพั ท์ 10 หลกั หรือเลขบตั รประจาตวั ประชาชน จะแบ่งการจาออกเป็ นกลุ่ม เพ่ือให้ง่ายต่อการจาโดยแบ่งหมายเลขโทรศพั ทอ์ อกเป็น 3/3/4 และแบ่งเลขบตั รประชาชนออกเป็น 4/3/4/2 - การจาจงั หวดั ในประเทศไทย อาจจะแบง่ เป็นภมู ิภาคแลว้ จาวา่ แต่ละภาคมีจงั หวดั อะไรบา้ ง - การสบั สนเสียงของตวั อกั ษร เสียงภาษาไทย (ม/น, บ/ป/พ, ค/ด) ภาษาองั กฤษ (E/P/D, H/S) เม่ือออก เสียงของตวั อกั ษรเหล่าน้ี อยา่ งภาษาไทย เสียง (ม/น) คาว่า มา้ -นา้ ภาษาองั กฤษ เสียง (B/ D) คาวา่
5 BEAR-DEER เสียงของตวั อกั ษรท่ีพูดจะคลา้ ยกันมากหากผูพ้ ูด พูดไม่ชดั เจนเปล่งเสียงไม่เต็มคา ผฟู้ ังก็อาจจะสบั สนและไดย้ นิ เสียงท่ีผดิ เพ้ยี นไปบา้ ง เป็นตน้ 2.2 การฝึ กซ้า (Rehearsal) ถา้ จานวนคร้ังของการฝึ กซ้าและทวนซ้ามากข้ึน การระลึกไดก้ ็อาจจะมี มากข้ึน ในขณะเดียวกนั บุคคลมกั จะเลือกจาในสิ่งท่ีนาเสนอเป็ นสิ่งแรก (primary effect) กบั ส่ิงที่นาเสนอ หลงั สุด (recency effect) ไดด้ ีกวา่ การนาเสนอในช่วงกลางๆ ลาดบั 1 เป็นคาที่ถูกนาเสนออนั แรกและลาดบั 31 เป็นคาที่ถูกนาเสนอหลงั สุด โดยเป็นขอ้ มูลจาการทดลองกบั อาจารยส์ อนวิชาจิตวิทยาการศึกษา จานวน 30 คน สิ่งเร้า (รายการคา) มี 4 ชุด แต่ละชุดประกอบดว้ ยคามีความหมาย 2 พยางค์ จานวน 30 คา โดยเสนอ ส่ิงเร้าโดยการอ่านให้ฟังทีละคา โดยใชเ้ วลาคาละ 3-4 วินาที (ชยั พร วิชชาวุธ, 2520) จากกราฟแสดงให้เห็น วา่ คาที่มีลาดบั การนาเสนออนั ดบั แรกและอนั ดบั หลงั สุดจะมีอตั ราร้อยละของการระลึกไดท้ ่ีสูง ในขณะที่คา ที่มีลาดบั การนาเสนอช่วงกลางจะมีอตั ราร้อยละของการระลึกไดท้ ี่ต่า ดงั น้นั หากขอ้ มูลท่ีตอ้ งการจาในช่วง กลางๆ มีจานวนมาก ขอ้ มลู ช่วงกลางอาจจะเส่ือมสลายไปหรือลืม เพ่อื เพิ่มประสิทธิภาพของความจาขอ้ มูลที่ ตอ้ งการจาควรมีจานวนที่ไมม่ ากเกินไปในแตล่ ะคร้ัง - เช่น เกมทาคาซ้าทางจิตใจ กาหนดในหวั ขอ้ ผลไม้ โดยคนแรกพูดคาวา่ “สม้ ” คนท่ีสองตอ้ งพดู ซ้าคา ของคนแรกก่อนแลว้ จึงพูดคาของตนต่อ “ส้ม, กลว้ ย” จากน้นั คนที่สามก็ตอ้ งพูดคาของสองคนแรก ซ้าถึงจะพูดคาของตนเองออกมา และทาอยา่ งน้ีถดั ไปเร่ือยๆจนกวา่ จะมีผแู้ พ้ เป็นตน้ ภาพท่ี 3 กราฟแสดงร้อยละการระลึกไดต้ ามลาดบั การนาเสนอคา ท่ีมา: https://www.novabizz.com/NovaAce/Intelligence/Memory.htm
6 แบบจาลองความจาขณะทางาน ( Working Memory Model ) ความจาขณะทางาน คือ กระบวนการทางานของสมองส่วนหน้า ทาหน้าท่ีจดจาขอ้ มูล จดั ระบบ แลว้ เก็บรักษาขอ้ มูลไวใ้ นคลงั สมอง เมื่อถึงเวลาที่เราตอ้ งการใช้งาน สามารถนาขอ้ มูลในสมองออกมาใช้ งานไดอ้ ตั โนมตั ิ เป็นความจาท่ีเรียกขอ้ มูลกลบั มาเพือ่ ใชอ้ ยา่ งถูกที่ถูกเวลา Allan Baddeley (1974, อ้างถึงใน Kaiat, 2007) เสนอแบบจาลองความจาขณะทางาน Working Memory Model ข้นึ โดย baddeley (1983)ไดใ้ หค้ วามหมาย Working memory ไวว้ า่ การจดั เกบ็ ขอ้ มลู ชว่ั คราว ที่เก่ียวขอ้ งกบั การปฏิบตั ิการทางการคิดต่างๆ ไดถ้ ูกนิยามศพั ทภ์ าษาไทยต่างๆ เช่น การอ่าน การแกป้ ัญหา การเรียนรู้ เป็ นตน้ ดงั น้ัน Working memory คือ ระบบความจาสาหรับการปฏิบตั ิการกบั ขอ้ มูลในขณะคิด แบบจาลองความจา working memory model ประกอบด้วยโครงสร้างต่างๆ ดังแสดงในภาพ 3 โดย อบุ ลวรรณา ภวกานนั ท์ (2556) และ Kalat (2007) ไดอ้ ธิบายรายละเอียดไวด้ งั น้ี ภาพที่ 4 Working Memory Model ที่มา:https://doi.nrct.go.th/ListDoi/Download/250642/e19e2c16338ab9bab062b929ac04c4a9?Resolve_DO I=10.14457/KKU.res.2014.4 1. การจัดการทส่ี ่วนกลาง (Central Executive) การจดั การส่วนกลางเป็นองคป์ ระกอบดา้ นการเช่ือมโยงและการบริหารจดั การขอ้ มูล เป็นส่วนท่ี ควบคุมระบบท้งั หมด ทาหนา้ ที่ในการเก็บจา แกป้ ัญหา และความใส่ใจ รวมถึงการควบคุมระบบผูร้ ับใช้ ประกอบไปดว้ ย ภาพร่างช่วงที่เห็น (Visuospatial Sketchpad) ส่วนรับเหตุการณ์ (Episodic Buffer) และ วงจรเสียง (Phonological Loop) การจดั การส่วนกลาง (Central Executive) ทาให้ภาพร่างช่วงท่ีเห็นและ วงจรเสียงทางานประสานกนั รวมถึงควบคุมกระบวนการใชค้ วามคิดในขณะท่ีทางานหลายอย่างในเวลา
7 เดียวกนั และช่วยโอนถ่ายขอ้ มูลใหถ้ ูกนามาใช้และนาไปเก็บได้ อีกท้งั ยงั ทาการเลือกขอ้ มูลที่สนใจเขา้ มา และยบั ย้งั ขอ้ มูลที่ไม่เหมาะสม องคป์ ระกอบหลกั ของการจดั การส่วนกลาง คือ การสับเปลี่ยนความใส่ใจ ดงั น้นั จึงถูกนาไปใชใ้ นการวดั การจดั การส่วนกลาง (Central Executive) เช่น - เกมคาที่ถูกล่ามโซ่ เป็นการผกู มดั หน่ึงคาต่อจากคาอ่ืน คนแรกจะพูดหน่ึงคา และคนท่ีสองตอ้ งพูด อีกคาโดยท่ีคาน้นั ข้นึ ตน้ ดว้ ยพยางคส์ ุดทา้ ยของคาก่อนหนา้ ทาแบบน้ีไปเร่ือยๆ จนกวา่ ผพู้ ดู จะหาคา มาต่อไม่ได้ 2. ภาพร่างช่วงทเ่ี ห็น (Visuospatial Sketchpad) เป็นองคป์ ระกอบท่ีเก่ียวขอ้ งกบั การมองเห็นและมิติสมั พนั ธ์ซ่ึงเป็นกระบวนการรับขอ้ มลู ภาพจาก การเห็น โดยแบ่งออกเป็ น 2 ชนิด คือ การรับภาพในลกั ษณะท่ีเป็ นรูปร่างและสี (Visual information) และ ขอ้ มูลช่วงระยะ/การเคล่ือนไหว (Spatial information) เช่น - เกมวาดภาพ ให้จาจากภาพแบบท่ีเห็นเพียงไม่กี่วินาที จากน้นั ให้วาดรูปออกมาตามแบบที่ไดเ้ ห็น โดยวาดภาพออกมาใหใ้ กลเ้ คยี งตวั แบบมากท่ีสุด - เกมพอดีกบั แกะ เป็นการจบั คู่แกะใหต้ รงกบั เงาของแกะท่ีมีลกั ษณะทา่ ทางเดียวกนั ภาพที่ 5 เกมพอดีกบั แกะ ท่ีมา: https://th.thpanorama.com/articles/psicologa/11-juegos-para-ejercitar-la-memoria-en-nios-adultos-y- mayores.html - เกมแบบฟอร์มคู่ เป็ นการจบั คู่แต่ละรูปทรงจะมีคู่อยู่ในการ์ดอีกชุดหน่ึง โดยเกมน้ีจะประกอบไป ดว้ ยการ์ดสองชุด การ์ดท้งั สองชุดจะมีการ์ดที่เหมือนกนั อยหู่ น่ึงใบ และให้ผูเ้ ล่นพลิกเปิ ดการ์ดเพ่ือ หาการ์ดอีกใบท่ีเหมือนกนั หากเปิ ดแลว้ ไม่ใช่แบบเดียวกนั ผูเ้ ล่นตอ้ งคว่าการ์ดท้งั สองใบและเปิ ด การ์ดใบใหม่ เป็นตน้
8 ภาพท่ี 6 เกมแบบฟอร์มคู่ ท่ีมา: https://th.thpanorama.com/articles/psicologa/11-juegos-para-ejercitar-la-memoria-en-nios-adultos-y- mayores.html 3. ส่วนรับเหตกุ ารณ์ (Episodic Buffer) เป็ นองคป์ ระกอบที่จาเป็ นในการลาดบั เหตุการณ์เรื่องราวทาหน้าที่เช่ือมขอ้ มูลจากากรรวมกัน ของข้อมูลรหัสภาพและรหัสเสียงท่ีจาเป็ นในการลาดับเหตุการณ์เรื่องราวและเช่ือมขอ้ มูลเพื่อนาเขา้ สู่ ความจาระยะยาวและการแปลความหมายของขอ้ มูล 4. วงจรเสียง (Phonological Loop) เป็นองคป์ ระกอบที่เกี่ยวขอ้ งกบั การพูดและการไดย้ ิน เป็นกระบวนการรับรู้ขอ้ มูลทางเสียง และ โดยแบ่งออกเป็ น 2 ส่วน คือ การเก็บจาเสียง (Phonological store) และกลไกในการทวนซ้า (Rehearsal mechanism) เป็ นการเก็บขอ้ มูลในระยะส้ันๆเก่ียวกับคาท่ีเกิดจากการใช้กระบวนการประมวลขอ้ มูลทาง ภาษา การฝึ กซ้า การแกป้ ัญหาเกี่ยวกบั คา เลขคณิต การวดั ความจาระยะส้ันเก่ียวกบั คาสามารถวดั ไดโ้ ดย การประเมินจาก ความสามารถในการจา ตวั เลข หรือคาศพั ทแ์ ละการเพม่ิ ภาระงาน ผสมผสานระหวา่ งการจา คา และทาโจทยป์ ัญหาเลขคณิต เช่น - เกมการ์ดคาศพั ท์ การเปิ ดการ์ดทีละใบใหเ้ ด็กจา ซ่ึงในการ์ดที่เห็นจะมีท้งั ภาพและคาสัพท์ คร้ังแรก ครูจะอ่านคาศพั ท์พร้อมกบั โชวก์ าร์ดให้เด็กดู เม่ือเวลาผ่านไปไม่ว่าครูจะเปิ ดการ์ดใด เด็กก็จะจา และอา่ นออกเสียงของคาศพั ทน์ ้นั ไดใ้ นทนั ที เป็นตน้
9 ภาระความจา (Cognitive Load) Sweller (1988, อา้ งถึงใน ลขั ณา สริวฒั น์, 2558; Brunning et al., 2004) ไดเ้ สนอแนวคิดทฤษฎีภาระ ความจา (Cognitive load theory) กล่าววา่ สภาพแวดลอ้ มในการเรียนรู้บางอยา่ งตอ้ งการพลงั งานทางการคิด มากมีผลทาใหเ้ กิดภาระการประมวลผลขอ้ มลู ที่สูงข้ึนกบั แหลง่ การคิดท่ีมีจากดั ของความจาขณะทางาน โดย ภาระความจาสามารถแบ่งไดเ้ ป็น 3 ลกั ษณะ คอื 1. ภาระความจาภายใน (Intrinsic cognitive load) เกิดข้ึนจากคุณลกั ษณะในตวั ขอ้ มูลท่ีจะเรียนรู้ ภาระความจาภายในไม่สามารถเปลี่ยนไดเ้ น่ืองจาก มนั เกิดข้ึนจากความซับซ้อนของตวั ขอ้ มูลเอง เช่น โจทยค์ ณิตศาสตร์ 6/(1-(5/7)) จะมีภาวะความจาภายใน มากกวา่ โจทยค์ ณิตศาสต์ 8+9/3 เป็นตน้ 2. ภาระความจาภายนอกหรือภาระความจาทไ่ี ม่เกย่ี วข้อง (extraneous cognitive load) เกิดข้ึนจากลกั ษณะขอ้ มูลที่จะเรียนรู้ถูกนาเสนอ หากส่ือออกแบบมาไมเ่ หมาะสมจะทาให้เกิดภาระ ความจาภายนอก โดยภาระความจาภายนอกสามารถถูกทาให้เปลี่ยนได้ในหลายลักษณะ เช่น การให้ คาแนะนาการเรียนรู้ การเรียบเรียงขอ้ มูลที่จะเรียนรู้ใหเ้ ป็นระบบ เป็นตน้ 3. ภาระความจาอตั โนมัติหรือภาระความจาทีเ่ ก่ียวข้อง (Germane Cognitive Load) เกิดจากกระบวนการอตั โนมตั ิซ่ึงสมองพยายามทาความเขา้ ใจกบั ขอ้ มูลที่จะเรียนรู้ เป็ นขอ้ มูลที่มี ความสาคญั จาเป็ น และตอ้ งการรับเขา้ ไวใ้ นหน่วยความจา อนั เป็ นประโยชน์ต่อการรับรู้ การเรียนรู้ และ การรู้คิด เช่น - การพยายามเขา้ ใจในสิ่งท่ีไดย้ ิน ว่าผูพ้ ูดกาลงั พูดถึงประเด็นใดมีใจความสาคญั อย่างไร ขณะที่เรา กาลงั นง่ั กินขา้ วอยู่ร้านอาหารแห่งหน่ึง มีชาวต่างชาติสองคนกาลงั พูดคุยกนั อยู่ แลว้ เราพยายามฟัง และใจความสาคญั ในส่ิงที่เขาคุย การวดั ความจา กระบวนการในการเรียกเอาขอ้ มูลท่ีเก็บจาไวแ้ ลว้ ข้ึนมาใช้สามารถทาไดห้ ลายวิธี การจาของเรา ไม่ได้อยู่ในลกั ษณะจาได้ท้ังหมดหรือไม่ก็จาไม่ได้เลย (all-or-none) เราอาจจาได้บางส่วน เช่น จาคาท่ี ตอ้ งการไม่ได้ แต่จาอกั ษรตวั ตน้ และตวั ทา้ ยไดห้ รืออาจจาความหมายได้ หากนึกคาไม่ออกเพราะติดอยู่ริม ฝีปาก โดย วรรณี ลิมอกั ษร (2554) และ Kalat (2008) ไดเ้ สอนวธิ ีการวดั ความจาไวด้ งั น้ี 1. การระลกึ ได้ (Recall) คอื การระลึกขอ้ มลู ตา่ งๆ จากระบบความจาดว้ ยตนเอง โดยที่ไม่อาศยั ตวั กระตุน้ ที่ทาให้เกิดการจา น้นั โดยการวดั ความจาจากการระลึกไดส้ ามารถทาการวดั ไดโ้ ดยการใหบ้ คุ คลไดเ้ รียนรู้สิ่งใดส่ิงหน่ึงมาก่อน
10 เม่ือเวลาผ่านไประยะหน่ึงก็ให้เขาระลึกว่าจาอะไรไดบ้ า้ งจากสิ่งท่ีไดเ้ รียนไปแลว้ เช่น การเล่าเหตุการณ์ ต่างๆใหต้ ารวจฟัง การเล่าเร่ืองภาพยนตร์ หรือท่องอาขยานไดท้ ุกตวั อกั ษร โดยไม่มีสิ่งช่วยกระตุน้ ความจา เป็ นตน้ 1.1 การระลึกตามลาดบั (Serial Recall) คือ ความสามารถในการเรียงลาดดบั ขอ้ มูลเดิมดงั น้นั การระลึกตามลาดบั ประกอบดว้ ย การระลึก ขอ้ มลู และการระลึกลาดบั ท่ีของขอ้ มลู น้นั เช่น - การระลึกหมายเลขโทรศพั ท์ - การจาขอ้ มูล จากหนา้ ไป-หลงั หรือยอ้ นกลบั หรือการปรุงอาหารตามสูตร - การทาอาหารหรือเบเกอร่ี ขณะที่ลงมือทาจะต้องทาตามข้นั ตอนและคานึงถึงปริมาณท่ีตอ้ งใส่ เพื่อใหร้ สชาติออกมาเหมือนที่เคยทามาก่อน เป็นตน้ 1.2 การระลึกโดยอิสระ (Free Recall) คือ ความสามารถในการจาขอ้ มลู ในแต่ละรายการโดยไม่เรียงลาดบั จะตอบรายการใดก่อนหรือหลงั กไ็ ด้ เช่น - การจารายการคา 20 คา โดยไม่ตอ้ งเรียงลาดบั - บรรยายลกั ษณะของสิ่งของ/เหตกุ ารณ์/คน ในตอนเด็กๆเวลาที่เราทาของหาย เรามกั จะไปถามหาสิ่ง น้นั กบั แม่วา่ มีลกั ษณะแบบใดตามความจาที่แมเ่ คยไดเ้ ห็น - เกมฟิ ลด์ความหมาย เป็ นการพูดคาที่รวมอยู่ในฟิ ลด์ความหมายน้ัน เกมน้ีจะตอ้ งเล่นกันเป็ นกลุ่ม โดยไม่ตอ้ งพูดคาศพั ทท์ ่ีเหมือนคนก่อนหน้า จนกว่าคนใดคนหน่ึงจะหาคาไม่ได้ ยกตวั อย่างเป็ น ฟิ ลดข์ องหมวดหม่สู ัตว์ : หมา,หมู,แมว,ไก่... เป็นตน้ 1.3 การระลึกโดยมีตวั ช้ีแนะ (Cued Recall) คอื การระลึกท่ีมีตวั ช้ีแนะในการคน้ คืนความจา เช่น การเรียนคาศพั ทภ์ าษาองั กฤษคู่คาไทย bird-นก , dog-สุนขั เรียกว่า คู่สัมพนั ธ์ (paired-associate) จากน้ันวดั ความจาแบบการระลึกโดยมีตวั ช้ีแนะ เช่น คา ซอ้ นในภาษาไทย คาวา่ น้าใจ-ไมตรี เพลิดเพลิน-เจริญใจ ทรหด-อดทน เอ้ือเฟ้ื อ-เผื่อแผ่ เป็นตน้ 2. การจาแบบค้นุ หูค้นุ ตา (Recognition) คือ การได้เห็นส่ิงที่กระตุน้ ที่เคยเห็นมาก่อนอีกคร้ังและนาไปเปรียบเทียบขอ้ มูลในสมองและ ประสบการณ์ในอดีต การวดั ความจาลกั ษณะน้ีกระทาไดโ้ ดยให้บุคคลเลือกว่าส่ิงที่เขาพบอยใู่ นขณะน้ี มีสิ่ง ใดบา้ งท่ีเขาเคยรู้จกั หรือเคยผา่ นหูผา่ นตามาแลว้ เช่น - ขอ้ สอบแบบปรนัย เราจะคุน้ กบั โจทยห์ รือชอยส์ท่ีไดเ้ ห็นกบั การอ่านในหนังสือและจากการฟัง อาจารยบ์ รรยายในหอ้ งเรียน ทาใหร้ ู้สึกคุน้ เคยและเลือกที่จะตอบขอ้ น้นั
11 - การใหพ้ ยานช้ีตวั ผตู้ อ้ งสงสยั จากตวั เลือกที่ให้ - ในบางสถานการณ์ท่ีเห็นคนๆหน่ึง กลบั รู้สึกคุน้ ๆเหมือนเคยเจอมาก่อนหนา้ น้นั เป็นตน้ 3. การประหยัดเวลาจา (Saving) หรือ การเรียนซ้า (Relearnin) คือ การเปรียบเทียบระยะเวลาในการเรียนรู้คร้ังแรกกบั ระยะเวลาในการเรียนรู้ซ้า หากความจาจาก การเรียนรู้คร้ังแรกยงั คงอยู่ การเรียนซ้าในขอ้ มูลเดิมจะใชเ้ วลานอ้ ยกว่าการเรียนคร้ังแรก ระยะเวลาในการ เรียนรู้ท่ีเร็วข้นึ อยกู่ บั ปริมาณความจาที่เหลืออยู่ เช่น - อ่านบทความตอนหน่ึงๆถึง 8 เที่ยว จึงสามารถท่องจาบทความตอนน้นั ได้ ความพยายามในการจา บทความตอนดงั กล่าวก็จะมีค่าเท่ากบั การทาซ้า 8 คร้ัง เมื่อเวลาล่วงเลยไปความจาก็จะค่อยๆ จาง หายไป จนบางคร้ังถา้ พบบทความตอนน้นั อีก เราอาจจาไม่ไดเ้ ลยว่าเป็ นบทความท่ีเราเคยพยายาม ท่องจามาแลว้ คร้ังหน่ึง อยา่ งไรก็ดี หากเราพยายามอ่านบทความ ตอนน้นั ซ้าอีกเพ่ือใหจ้ าได้ เราอาจ ใชค้ วามพยายามนอ้ ยกวา่ คร้ังแรกกไ็ ด้ เช่น หลงั จากการอ่านซ้าอีกเพียง 5 เที่ยวเท่าน้นั กส็ ามารถท่อง ไดอ้ ีก - การพมิ พค์ ียบ์ อร์ด คร้ังแรกตาของเราจะจอ้ งแต่แป้นพิมพแ์ ละตวั อกั ษรเพื่อท่ีจะวางนิ้วถูก แต่เม่ือฝึ ก ไปเร่ือยๆ จะเกิดความคล่องแคล่วมากข้ึนทาให้เราสามารถพิมพ์โดยไม่มองแป้นพิมพ์และจา ตาแหน่งของตวั อกั ษรได้ เป็นตน้ ตวั อย่างงานวิจัยที่เกยี่ วข้องกบั ความจาระยะส้ัน 2พีเตอร์สัน และพีเตอร์สัน (Peterson and Peterson, 1959 : 193 – 198) ได้ทา การทดลองเกี่ยวกับ ความจาระยะส้นั โดยใหผ้ รู้ ับการทดลองจาพยญั ชนะ 3 ตวั เช่น JLK หรือ QFZ โดยใหด้ ูพยญั ชนะท้งั สามตวั พร้อมกันเพียงคร้ังเดียวแล้วให้ผูร้ ับการทดลองนับเลข ถอยหลังทีละสามเพื่อป้องกันมิให้การทบทวน พยญั ชนะสามตวั น้นั อีก ปรากฏว่าความจาระยะ ส้ันไดห้ ายไปอย่างรวดเร็วในเวลา 6 วินาทีเท่าน้นั ความจา ลดลงเหลือเพยี ง 60% และเหลือ เพยี ง 10% ในเวลา 18 วนิ าที เมอร์ดอก (Murdok, 1961 : 618 – 625) ไดท้ ดลองเกี่ยวกบั ความจาใน 2 สภาพการณ์ คือ เม่ือส่ิงเร้า เป็ นคาเด่ียว และสิ่งเร้าเป็ นคาสามคา พบว่า อตั ราการลืมคาเดี่ยวใน ความจาระยะส้ันเม่ือเวลาผ่านไป 18 วินาที ความจาคาเด่ียวยงั อยู่ในระดบั สูงกวา่ 80% จึงสรุปไดว้ า่ อตั ราการลืมในความจาระยะส้ันจะเร็วหรือชา้ ข้ึนอยกู่ บั จานวนคา นนั่ คอื หากสิ่งเร้า ประกอบดว้ ยคาเด่ียวๆ หรือหน่วยเด่ียว ความจาจะลดลงในอตั ราที่ ชา้ 2 การวิจยั เรื่องความสมั พนั ธ์ระหวา่ งความสามารถดา้ นความจากบั ผลสัมฤทธ์ิทางการ เรียนของนกั เรียนช้นั มธั ยมศึกษาปี ที่ 2 จงั หวดั สงขลา, สืบคน้ เมือ่ วนั ท่ี 20 มกราคม 2565. จาก. https://kb.psu.ac.th/psukb/bitstream/2010/6707/9/Chapter2.pdf
12 มาก แต่หากส่ิงเร้าประกอบด้วยหน่วยหลายหน่วย เช่น พยญั ชนะ 3 ตวั หรือคา 3 คา ความจาจะลดลงใน อตั ราท่ีเร็วข้นึ ดูชาร์มและฟราอิสส์ (อุษา วีระสัย, 2533 : 26, Duharm and Fraisse, 1965) ได้สร้างแบบทดสอบ ระลึกคาและรูปภาพ พบว่าเด็กมีแนวโน้มที่จะระลึกคาไดม้ ากกว่ารูปภาพ แต่สาหรับผูใ้ หญ่จะระลึกรูปภาพ ไดม้ ากกวา่ คา สมบูรณ์ ชิตพงศ์ (2511 : 78) ไดศ้ ึกษาสมรรถภาพทางสมองท่ีส่งผลต่อความ สามารถในการเขียน เรียงความ กลุ่มตวั อย่างเป็นนกั เรียนช้นั มธั ยมศึกษาปี ที่ 3 จานวน 498 คน พบว่า ความจาเป็ นตวั พยากรณ์ใน การเขยี นเรียงความท่ีดี กู้เกียรติ เอ่ียวเจริญ (2528 : 91) ได้ใช้แบบทดสอบความจาเกี่ยวกบั สัญลกั ษณ์และภาพ เพ่ือใช้ใน การศึกษาตวั พยากรณ์ที่ส่งผลต่อผลสัมฤทธ์ิ ทางการเรียนพลศึกษา พบว่าความสามารถในการจาเป็ นตวั พยากรณ์ที่ดีอีกดว้ ย แบบทดสอบความจาระยะส้ัน แบบทดสอบน้ีไดร้ ับการออกแบบโดยเหลา่ ผูเ้ ชี่ยวชาญดา้ นการฝึ กและฟ้ื นฟูสมรรถภาพสมอง มนั จะช่วยวดั ระดบั ความสามารถในการจาระยะส้ันของคุณ และสามารถใชเ้ ป็นแบบฝึกเพื่อการฟ้ื นฟูสมองดา้ น ความจาได้ กติกา: เม่ือท่ีคุณเห็นชุดตวั เลข ให้เลือกป่ ุมตวั เลขที่ตรงกนั ตามลาดบั ยอ้ นหลงั ตวั อย่างเช่น หากแสดงชุด ตวั เลข 1 2 3 4 ใหค้ ณุ เลือก 4 3 2 1 หมายเหตุ: ตวั เลขในแบบทดสอบน้ีจะถูกเลือกข้ึนมาแบบสุ่ม หากคุณยงั ไม่คุน้ เคยกบั กติกาในคร้ังแรก คุณ สามารถลองทาแบบทดสอบน้ีซ้าได้ โดยไม่ส่งผลใดๆกบั ผลลพั ธข์ องคุณ https://www.arealme.com/brain-memory-game/th/
13 บรรณานุกรม ชยั พร วิชชาวุช. (2520). ความจามนุษย์ Human Memory. กรุงเทพฯ: จุฬานิเวศน1์ . บุราณี ระเบียบ และสุชาดา กรเพชรปาณี. (2559). การพฒั นาโปรแกรรรมฝึกการคิดเลขคณิตโดยประยกุ ต์ โมเดลทริปเพิลโคดสาหรับเพม่ิ ความจาขณะทางานของนกั เรียนช้นั ประถมศึกษาปี ท่ี1. วิทยาการ วิจยั และวิทยาการปัญญา. 14(2), 102-113 ปวณี า โฆสิโต,จิตวิทยาการรู้คดิ (Cognitive Psychology),พิมพค์ ร้ังที่ 2 พ.ศ. 2562 วราภรณ์ สุขยานุดิษฐ. (2559).ระบบความจา, สืบคน้ เมื่อ 17 มกราคม 2565. จากเวบ็ ไซต์ http://il258waraporn.blogspot.com/2016/03/blog-post_84.html สุภาพรรณ ศรีสุข. (2562). Working Memory คืออะไร ดีอย่างไรต่อกระบวนการเรียนรู้, สืบคน้ เมื่อ 17 ม ก ร า ค ม 2565. จ า ก เ ว็บ ไ ซ ต์ https://www.trueplookpanya.com/knowledge/content/77090/- parpres-par- เอกสารและงานวจิ ยั ท่ีเก่ียวขอ้ ง. ความสัมพนั ธ์ระหว่างความสามารถด้านความจากบั ผลสัมฤทธ์ทิ างการ เรียนของนักเรียนช้ันมธั ยมศึกษาปี ที่ 2 จงั หวัดสงขลา, สืบคน้ เมื่อ 22 มกราคม 2565. จากเวบ็ ไซต์ https://kb.psu.ac.th/psukb/bitstream/2010/6707/9/Chapter2.pdf superadmin. (2021 June 28). ภาพติดตา (Persistence of Vision), สืบคน้ เม่ือ 15 มกราคม 2565 จาก เวบ็ ไซต์ https://sciplanet.org/content/8172 Thpanorama. 11 เกมฝึ กความจาในเดก็ ผู้ใหญ่และผ้สู ูงอายุ, สืบคน้ เมื่อ 6 มกราคม 2565. จากเวบ็ ไซต์ https://th.thpanorama.com/articles/psicologa/11-juegos-para-ejercitar-la-memoria-en-nios- adultos-y-mayores.html
Search
Read the Text Version
- 1 - 21
Pages: